บ้านหลังเล็ก (คุณชายอันเล่อ)
<style type="text/css">BODY{background:url("https://i.postimg.cc/8zhxRsjC/image-2025-06-09-031627974.png"); background-attachment:fixed; }</style>
<style type="text/css">.head1 {background-color:none ;}.head2 {background-color:none ;}</style>
<style>
#boxba {
border-radius: 30px;
padding: 10px;
box-shadow: #817772 0px 0px 3em;
background-image: url("https://i.postimg.cc/XJm02m3N/image-2025-06-09-031807553.png");
}
</style>
<style>
#boxOO {
width: 850px;
border-radius: 30px;
padding: 35px;
box-shadow: #b87d00 1px 0px 0em;
background: #fcfcfc7d;}
</style>
<div id="boxba">
<div align="center" style="margin: 0px; padding: 0px; word-wrap: break-word; color: #444444; font-size: 14px; list-style-type: none; font-family: Verdana, Helvetica, sans-serif;"><br>
<br><br>
<div id="boxOO">
<br>
<div style="text-align: center;">
<font face="Browallia New" style="font-family: " browallia="" new";="" color:="" rgb(127,="" 57,="" 1);="" font-size:="" 12px;="" text-align:="" start;="" margin:="" 0px;="" padding:="" overflow-wrap:="" break-word;"=""><font size="5" style="margin: 0px; padding: 0px; word-wrap: break-word;"><div style="text-align: center;">
<br>
<img src=" " border="0" alt=""> <br><br></div></font></font>
<span style="text-shadow: rgb(203, 190, 170) 0px 0px 1px, rgb(184, 125, 0) 0px 0px 5px, rgb(203, 190, 170) 0px 0px 10px, rgb(203, 190, 170) 0px 0px 30px;">
<font face="Browallia New" style="" size="7"><pat style="">
<font color="#ffffff"><pat>บ้านหลังเล็ก (คุณชายอันเล่อ)</pat></font></pat></font></span></div>
<br>
<div style="font-family: " browallia="" new";="" text-align:="" center;"="">
<font face="Browallia New" ;="" margin:="" 0px;="" padding:="" 0px;"="" <span="" style="text-shadow: #b87d00 0px 0px 0.5em;" color="#ffffff" size="4">
<i style=""><cls style="">{ ถนนสิบลี้ }</cls></i></font></div>
<br>
<img src="https://i.postimg.cc/0N6L3ZNV/image-2025-06-09-032635740.png" width="650" border="0">
<br><br><br>
<center>
<center>
<style>
#boxEw {
width: 450px;
border: 0px solid;
border-radius: 20px;
padding: 50px;
box-shadow: #817772 0px 0px 1em;
background: linear-gradient(rgba(255, 255, 255, 0.6), rgba(225, 220, 191, 0.6)),
url("https://i.postimg.cc/XJm02m3N/image-2025-06-09-031807553.png");
</style>
</center>
<center>
<div id="boxEw">
<div align="center" style="list-style-type: none;">
<font size="6" color="#ffffff"><span style="text-shadow: rgb(203, 190, 170) 1px 4px 3px;"><pat>【 บ้านหลังเล็ก 】</pat></span></font>
<br><font color=" #807b5f" face="Kanit" size="4"><b>『<i>เรือนธรรมดา คนธรรมดา</i> 』</b></font></div><br>
<div><div>
<font color="#807b5f" face="Kanit" size="4">
เรือนไม้สูงหนึ่งชั้นขนาดกลางตั้งอยู่ช่วงปลายเขตถนนลิบลี้ซึ่งมีผู้สัญจรผ่านไปมามากมาย เจ้าของเรือนหลังเล็กแห่งนี้ลึกลับไม่เปิดเผยตัว มักเข้าออกทางประตูหลังและปิดเงียบ มีเพียงคนงานไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าออกเป็นประจำเพียงพอจะให้คนทราบได้ว่าสถานที่แห่งนี้หาใช่บ้านร้าง ภายในไม่ได้มีเรือนแยกมากมาย ประกอบไปด้วยตัวเรือนหลัก เรือนพักของเจ้าของและครอบครัว และเรือนรับรองแขก พื้นที่ส่วนมากถูกเก็บกวาดให้กว้างขวางและสะอาดสะอ้านเหมาะสำหรับการทำ<b>เต้าหู้</b>สูตรพิเศษ
</font>
<br>
</div></div></div><br>
<br><br><br></center></center></div>
<br><br><br>
</div></div>
<style name="captain" type="text/css">
img {border-radius: 8px;}</style><style name="captain" type="text/css">
img {border-radius: 8px;}
img { filter: alpha
(opacity=100); opacity:1.0;}img:hover { filter: alpha(opacity=70);
opacity:.7 } img {-webkit-transition:0.7s; -moz-transition:0.7s;
-o-transition:0.7s;}
img:hover{
-webkit-transform:scale(0.9);
transform:scale(0.9);
}
img:hover{
overflow:hidden;
}
img{
-webkit-transform:scale(1.0);
transform:scale(1.0);
-webkit-transition: all 1.0s ease;
transition: all 1.0s ease;
}</style><p></p>
<style id="Gather Codes." type="text/css"> img{ -webkit-transition: all 0.4s linear; -moz-transition: all 0.4s linear; transition: all 0.4s linear;} img:hover { -webkit-transition:1s; -webkit-filter: invert(1); -moz-filter: invert(1);}</style>
<style type="text/css">@import url('https://fonts.googleapis.com/css?family=Kanit'); cls {font-family : 'Kanit';}</style>
<style type="text/css">@import url('https://fonts.googleapis.com/css?family=Pattaya'); Pat {font-family : 'Pattaya';}</style>
<style type="text/css">@import url('https://fonts.googleapis.com/css?family=Zhi Mang Xing'); Zhi Mang Xing {font-family: 'Zhi Mang Xing';}</style>
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-9 15:57
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ เก้า เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น.
แสงแดดยามสายสอดสายทางผ่านชายคาหลังคายาวทอดเงาไม้เป็นลายริ้วบางบนพื้นที่ของศิลาอันเรียบเย็นนั้น เงาระแนงไม้สะท้อนความเคลื่อนไหวที่แผ่วเบาไปตามสายลมอ่อนของช่วงฤดูร้อนแห่งนี้ บริเวณเฉลียงยาวด้านหน้าของตัวเรือนรับรองซึ่งทอดตัวแนบกับสวนหญ้าเรียบสะอาด ก็ดูเงียบสงบจนได้ยินเสียงของแมลงช่วงกลางวันร้องอยู่แผว ๆ ไม่ห่างไปไหน และตอนนี้รถม้าสีดำสนิทก็เคลื่อนตัวจากเร่งรีบก็ค่อย ๆ ขยับช้าชะลอลง มาจอดหน้าทางเดินหินตัดตรงเข้ามาในเขคตัวเรือน เสียงล้อไม้บดกับพื้นกรอกส่งเรียงกรอบแกรบเบา ๆ ก่อนที่จะหยุดนิ่งสนิทตรงริมร่มไม้ไผ่ที่ปลูกไว้ข้างเสาที่ค้ำไม้ระเบียงเฉลียงงาม ราวกับผู้บังคับรับรู้ว่าต้องมาถึงตรงนี้ และไม่ควรให้มันมีเสียงดังเร่งรีบ
รถม้าคันสีดำนั้นมาหยุเตรงนี้ บ้านที่ถือว่าชื่อในหมู่คนงาน คือ บ้านหลังเล็ก เรือนธรรมดาแห่งหนึ่งที่ไม่เปิดเผยเจ้าของ ไม่มีป้ายชื่อ ไม่มีเครื่องประดับบอกฐานะ แต่ทุกอย่างเงียบสงบและสะอาด ม่านหน้าต่างข้างรถม้าโดนแหวกออกมาอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นแววตาหรือขอบชายเสื้อของคนโดยสายที่ไม่อาจอยากจะเปิดเผยตัวตน รถม้าคันนี้ไม่ใช่ของพ่อค้าวาณิชหรือใคร มันเรียบง่าย แต่มีออร่่าบางอย่างอยู่เงียบ ๆ ประตูหลังเปิดออกโดยไร้เสียง คนงานเพียงสองคนยืนรออยู่ตรงหน้าประตูรั้วไม้สีซีด พยักหน้าเบา ๆ ทันทีที่เห็นชายชุดดำก้าวลงจากรถม้า และตามมาด้วยหญิงสาวร่างเล็กในอ้อมแขนของเขา ร่างกายของเธอยังคงอ่อนแรง แนบแน่นในผ้าคลุมร่างของเธอไม่อาจพยุงให้เดินไปด้วยตนเองได้ ลมหายใจยังสั่นถี่แปลก ๆ
“เปิดหน้าต่างห้องรับรองให้หมด” หลิวอันเอ่ยเสียงต่ำ สั้น ได้ใจความ
คนทั้งสองพยักหน้าแล้วเดินทางนำไปยังบ้านหลังเล็กที่แตกต่างจากภายนอก ผ่านโถงไม้โปร่ง สะอาด เรียบร้อยเป็นระเบียบแบบที่คนรักความเป็นระเบียบเท่านั้นถึงจะอยู่ได้อย่างสงบ ทุกอย่างถูกจัดยวางไว้พอดี ไม่มีส่วนเกิน พื้นหินสะอาด โต๊ะไม้กลม ม้านั่งเล็กตั้งไว้มุมหนึ่งเพื่อรับแสงแดดยามสายที่ส่องผ่านหลังจา แฝงกลิ่นของความละเมียดละไมที่เจ้าของไม่เคยอยากโอ้อวดเสียเท่าไร ตอนแรกคนงานจะมาพาตัวนางไป แต่เพราะท่านอ๋องไม่ได้ปล่อย เขาอุ้มเธอไว้เองแล้วเดินตรงไปห้องรับรองแขก ที่ตั้งอยู่ทิศตะวันตกของตัวเรือนหลัก
มันโดนเปิดรับลมจากสวนกลางบ้าน เตียงนอนไม้ไผ่และผ่านผ้าสีขาวที่บางเบาพลิ้วไหว เขาวางเธอลงเงียบ ๆ แล้วเดินถอยออกมา ดวงตาสีเข้มทอดมองนางไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกจากปาก เขาทำเพียงถอยออกมา ไม่แม้กระทั่งปรับหมอนให้เข้ากับศีรษะของเธอเสียด้วยซ้ำ “หมอมาถึงหรือยัง” เขาเอ่ยถามเหมือนกับจะบอกว่า ต้องมาถึงที่นี่เพียงอึดใจ
ชายคนนั้นรับคำสั่งแล้วรีบวิ่งออกไปทันทีเหลือเพียงเงาของชายสูงสง่าที่ยืนอยู่ข้างเตียงไม้ไผ่ไม่ก้มหน้าแต่หลุบตาลงต่ำ ลมหายใจของหลินหยาเริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ สภาพยังอ่อนแรงเกินกว่าจะพูดได้ชัดเจนแผ่นอกของเธอยังคงรุนแรง ผิวใต้ร่างกายมีผื่นแดงเถือกขึ้นเป็นจุด ๆ ไร้แสงสว่าง เสียงฝีเท้าทั้งบ้านราวกับความเงียบหยุดหายใจ ไม่มีคำพูด ไร้การแสดงออก ชายหนุ่ม(?) ทำเพียงเฝ้าดูเธอ เด็กสาวที่ไม่อาจเดาอารมณ์และตัวตนได้สักครา ยอมกินสิ่งที่อันตรายเข้าไปภายในร่างกาย
เขาไม่ไว้ใจนาง ไม่รู้ว่านางเป็นใคร ไม่มีการคุยหรือถามชื่อ นางไม่เคยถาม นางทำเพียงมองแล้วพูดบางครั้ง ไม่รู้ว่าไม่สนใจ หรือไม่ได้ใคร่รู้ เสียงลมอ่อนพัดผ่านม่านสีขาว เสียงฝีเท้าของหมอมาถึงในไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำไป
….
…..
กลิ่นไม้กฤษณาในห้องรับรองเจือเบา กลบกลิ่นเหงื่อและกายเนื้อของเด็กสาวที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงไม้ไผ่ ใบหน้าอันเคยเปล่งปลั่งสดใสของนางในยามนี้ซีดเผือก ริมฝีปากแตกแห้ง ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิทคิ้วขยับเข้าหากันแน่นเหมือนกำลังอยู่ในห้วงความฝันอันร้ายกาจ สะท้อนถึงสภาวะร่างกายที่กำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดของนางอย่างถึงที่สุด แผ่นอกของหลินหยาขยับขึ้นลงอย่างยากลำบากลงทุกที แผ่วเบาราวกับคนที่หายใจผ่านช่องเข็มเพียงเล่มเดียว ขาทั้งสองข้างแน่นิ่ง ผิวตามร่างกายปรากฎรอยผืนแดง บ่งบอกถึงอาการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันที่ไม่เคยสร้างปั่นป่วนจนมีสภาวะประหลาด…
ชายมีอายุในชุดพทย์คลุมสีน้ำหมึกเดินเข้ามาเคารพท่านอ๋องของตนเองแล้วถืออุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับเขาออกมา อีกข้างถือกล่องไม้เก่าที่เต็มไปด้วยสมุนไพรและยาสกัดทั้งหลาย เขาคุกเข่าข้างเตียงด้วยท่าทางที่เงียบสงบและละเอียดอ่อนตามประสาแพทย์มีวิชา สายตามองร่างของเด็กสาวที่เป็นนกน้อยเปียกปอนจากฝันร้าย มือเรียวแตะปลายนิ้วลงบนชีพจรของข้อมือนาง ใช้ปลายสามนิ้วกดลึกลงไปที่จังหวะ ไม่พูดอะไรพักใหญ่ ๆ จนแม้แต่หลิวอันที่มองอยู่ยังเริ่มนึกสงสัยจนอยากขมวดคิ้ว
ท่านหมอเงยหน้าขึ้นในที่สุด ดวงตาที่เปล่งประกายของความคงแก่เรียนเริ่มแสดงท่าทีของความวิตกกังวนปนทึ่งไปด้วยภายใน
“องค์หว่างเย่ จากจังหวะชีพจรของนาง กับผื่นร่างกายที่เริ่มกระจายจากใต้ผิวหนังของนาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางอยู่ในภาวะแพ้อย่างรุนแรง ข้าน้อยเคยเห็นสิ่งนี้ในตำราของอาจารย์ แต่ไม่คิดว่าวันนี้จะได้พบด้วยตนเองเช่นกัน” เขาเอ่ยทูนอ๋องหลิวอันแล้วพูดต่อออกมาเล็ก ๆ “อาจารย์ของข้าเคยบันทึกว่า ผู้ใดที่ชงกับธาตุอาหารบางประเภท ไม่ว่าจะธรรมชาติหรือคุณภาพดีเพียงใด ก็กลายเป็นยาพิษสำหรับร่างกายคนคนนั้นได้ เหมือนไฟเผาทุ่งหญ้า ความร้อนจะเผาไม่ทัน แต่ควันครอบครองไปทั่วร่างกาย” ก่อนที่จะยกมือไปตรวจอกีข้าง
“ชีพจรบอกชัดว่านางแพ้อย่างรุนแรงขอรับ ทั่งตัวกระตุ้น ถ้าได้รับปริมาณมากกว่านี้เพียงหนึ่งถ้วยก็เหมือนกับดื่มยาพิษเขาปาก”
หลิวอันยืนนิ่ง คิ้วเหมือนจะขยับเข้าหากันแบบที่ไม่รู้ตัว เขาเพียงเบือนสายตาไปยังใบหน้าของเด็กสาวที่อยู่ตรงนั้น ดวงตาของเธอไม่อาจปิดสนิทแต่สติคงไม่อยู่กับตัว ก่อนที่ท่านหมอจะเริ่มทำการรักษาอย่างเร่งด่วนเพราะหากพูดมากกว่านี้ชีวาของนางคงจะดับไปเสียก่อน มือขวาถือเข็มเงินเรียบยามกดปักตามตำแหน่งอย่างแม่นยำ ทั้งหมดล้วนเป็นจุดสำคัญในการเปิดไหลเวียนของลมปราน รักษาอาการบวมของทุกสิ่ง หลอดลม หัวใจ ขับผิดของร่างกายที่แปลกปลอม กลิ่นเข็มอุ่นด้วยไปรินและชาสมุนไพรปรากฎ กลิ่นหวานร้อนผสมกับน้ำยาหมักล้ำลึกที่ใช้เฉพาะผู้ป่วยโดนเอาออกมา
อาบน้ำยาลงเข็มเรียงรายตามแขนขา ลำคอ หลังใบหู เหนือข้อเท้าอย่างนิ่งสนิทดุจงานศิลป์บนเรือนร่างที่ใกล้สิ้นชีพแสนเจ็บปวด ลมหายใจของนางยังติดขัดแต่ไม่หนักเท่าเดิมแล้ว
“ท่านอ๋อง ตอนนี้ข้าน้อยให้ยาสำหรับขับพิษถอนออก ฝังเข็มจนเรียบร้อย แต่ความเสียกายของระบบลมหายใจและการบวมของหลอดลมนั้นต้องใช้เวลาพักฟื้น หากไม่มีคนช่วยทันการณ์ อีกหนึ่งก้านธูปร่างกายนางอาจหยุดหายใจไม่รู้ตัว ตอนนี้ปล่อยให้นางพักผ่อนเถอะขอรับ นางปลอดภัยแล้ว”
ท่านหมอรายงาน..
เงาสลัวบนพื้นกำแพงสะท้อนใบหน้าของชายผู้เป็นต้นเหตุโดยไม่ตั้งใจ หลิวอันยืนนิ่งเป็นรูปสลัด ไม่มีอะไรแสดงความรู้สึกออกมา ดวงตาเท่านั้นที่เคลื่อนไหว แม้แต่แสงจากภายนอกจะส่องแสงเพียงใด ก็ไม่มีใครอาจมองทะลุเข้าไปในใจของเขาได้เลย ดวงตาของเขาทอดมองเด็กสาวที่โดนรักษาให้เสร็จ …เขาไม่ได้เสียใจ แต่เขารู้สึกแปลก ๆ ..
เต้าหู้ถ้วยเล็ก ๆ เพียงคำเดียวของเขา เกือบพรากชีวิตใครไปแล้วหนึ่งคน
นางหยิบมันเข้าปากด้วยตัวเอง กลืนมันไปทั้งที่กำลังรู้ว่ากลืนพิษของร่างกาย เหมือนนางไม่รักชีวิตของตนเอง หรือนางไว้ใจคนที่พึ่งเจอหน้ากันไม่กี่ครั้งเสียแล้ว? ไม่รู้สิ หลิวอันไม่อาจเดาใจนางได้เลยสักนิด ไม่เข้าใจ
“นางกินเต้าหู้ของข้าไปหนึ่งคำ อาจเป็นเพราะถั่วเหลืองหรืองาดำ” เสียงนั้นเหมือนกับติดขมที่ปลายลิ้น เหมือนยอมรับความจริงที่อาจกดจิตใจมานาน สำหรับคนที่คลั่งรักเต้าหู้เสียเป็นชีวิตและจิตใจของเขา ดวงตาสีเข้มมองปลายเข็มเงินที่สั่นตามจังหวะ หญิงสาวที่ไม่รู้จักกระทั่งชื่อ สภาพกึ่งตายเพราะเต้าหู้เพียงคำเดียวที่เขาให้นางจากน้ำใจ แต่ก็จุดประกายบางอย่างในหัวของเขาสำหรับอะไรบางอย่าง..
เต้าหู้จะจำกัดแค่ถั่วเหลืองหรือ?..ไม่นะ…น่าสนุกดี
“อันตรายจริง ๆ …สาวน้อย” อ๋องหลิวอันไม่พูดอะไรนอกจากนี้ เขาเดินถอยออกมาจากห้องรับรอง และไม่ได้กลับไปเหยียบที่นั้นอีกในวันนี้
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่รางวัล: ไม่อาจสร้างความสัมพันธ์จากอาการสลบ
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ สิบ เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น.
สายลมเย็นยามเช้าขยับพัดมาแผ่วเบาผ่านชายผ้าม่านสีขาวบริเวณระเบียงเรือนรับรอง แสงแดดยามเหม่าตกกระทบลงบนพื้นหินที่เรียบเรียงตามไม้ไผ่ที่บังแดดไว้เป็นระเบียง เงาของโครงสร้างเรือนแห่งนี้ทอดยาวตัดกับลายเงาบนพื้นราวกับภาพอันแสนงดงาม ไม่มีเสียงผู้คนคุยกันมากมายในลาย ไม่มีการกล่าวทักทายของผู้คน ไม่มีเสียงฝีเท้าใดดังให้รบกวนแม้แต่น้อย และในบรรยากาศที่เหมือนโลกหยุดนิ่งเช่นนี้ ใครบางคนก็เดินเข้ามา..
ดวงตาสีเข้ม ร่างสูงที่ยืนสงบอยู่ใต้เงาหลังคาไม้ด้านข้างห้องรับรอง มือข้างหนึ่งซ้อนในแสนเสื้อมืออีกบ้างถืออะไรสักอย่างอยู่มองไม่ชัด เขาไม่ได้มองไปที่บรรยากาศโดยรอบ และดวงตานิ่งลึกคู่นั้นจับจต้องภาพนสะท้อนผ่านผ้าม่านสีขาวตัวโปร่งที่โอบล้อมเตียงไม้ไผ่ของหญิงสาวที่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น หญิงสาวที่น่าจะเป็นเด็กสาวที่พึ่งแรกรุ่นนอนนิ่งอยู่อย่างสงบในห้อง ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของเธอผิดสนิทไม่ไหวติง ร่างกายซึ่งปราศจากเข็มเงินที่เคยฝังไว้แล้วบัดนี้เหลือเพียงผ้าห่มตัวบางคลุมแนบผิวที่อยู่ใต้แสงเงาของหลังคาจวนขนาดเล็กของห้องรับรอง เส้นผมที่เคยปลิวกระเซอะกระซิงในตลาดหรือเมืองเวลาพบตอนนี้เรียบราบกับขยับ ขนตายาวราวกับเส้นพู่กันยังไม่ขยับ ริมฝีปากแม้คลายความเขียวคล้ำซีดไร้เลือดลงแล้วก็ยังคงไร้ความมีชีวิตชีวาอยู่เลย ชีวิตของนางที่เคยกระโดดโลดเต้นแทบจะเหลือเพียงการหายใจแผ่วเบาอย่างเชื่องช้า
อ๋องหลิวอันต้องมองภาพนั้นไม่ขยับแม้สักครั้ง ไม่ขยับเข้าไปหาหรือกระทั่งเข้าไปในห้องด้วยซ้ำ เขายืนอยู่อย่างงั้น นานกว่าที่คนทั่วไปจะทนได้ ไม่พูด ไม่กระแอมไอ ไม่มีรำพึงรำพัน ไม่มีการเรียกชื่อ ทั้งที่เขาเองก็ไม่รู้จักชื่อของนางด้วยเสียซ้ำไป สตรีรับใช้เดินเข้ามาในชุดสีอ่อนแล้วก้มค้อยศีรษะให้กับชายหนุ่มผู้เป็นนายโดยไร้คำสั่งใด ๆ แต่รับรู้จากแววตาท่านชายแล้วนางควรที่จะรายงาน “แม่นางน้อยคนนี้ยังไม่ฟื้นเจ้าค่ะ แต่ท่านหมอที่เข้ามาตอนเช้าแจ้งว่าชีพจรไม่สั่นไหวแล้ว หายใจเริ่มสม่ำเสมอ เพียงแต่ยังไม่รู้สึกตัว นางคงกำลังฟื้นฟูร่างกายตนอยู่เจ้าค่ะ”
หลิวอันทำเพียงพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบมือที่ถืออะไรบางอย่างื่นไปเงียบ ๆ ให้สาวใช้โดยไม่อธิบาย เมื่อสาวใช้เห็นก็ขยับมือรับไว้แล้วอ้อมค้อมศีรษะก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องที่หลินหยานอนอยู่อย่างแผ่วเบา
ชายหนุ่มทำเพียงยืนอยู่ตรงนั้นเฝ้ามองผ่านม่านผ้า สายตาของเขามองเห็นไม่มากนัก รู้แค่เพียงว่าเธอยังลืมตาตื่นขึ้นมา เพียงพอจะเห็นว่าร่างนั้นไม่เหมือนเมื่อวานที่ลื่นก้นฟาดพื้นที่จัตุรัสแต่อย่างใด น่าแปลกที่แม้ไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้นามสกุล ไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่ภาพของนางที่ลื่นล้มกลางจัตุรัสเพราะไล่แมว และตอนที่พูดว่า อร่อย ก่อนที่จะเริ่มชักกระตุกและมือเริ่มซีด ราวกับจะกลับลมหายใจกลับติดแน่นในความทรงจำ
เขาไม่ได้รู้สึกห่วงในเชิงอ่อนโยน เพียงแต่รู้สึกว่าสิ่งที่เขาชอบเกือบฆ่าคนตาย มันไม่ควรเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดในชีวิตของเขาเคยผิดพลาดขนาดนี้ ไม่ควรมีเลยสักครั้งเดียว .. “เต้าหู้งาดำ?...หรืองาดำ? หรือทั้งคู่?” เขาพึมพำนิดหน่อยเหมือนกำลังจะคิดอะไรสักอย่าง แม้ความรู้ในทางการแพทย์ของเขาจะมีบ้างแต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญพอเป้นหมอ ถั่วเหลืองเป็นศัตรูทางธรรมชาติของคนที่แพ้ แต่มีน้อยคนเสียเหลือเกิน งาดำอาจเป็นตัวกระตุ้นก็ได้..เขาไม่แน่ใจ นั้นทำให้มันรบกวนเขายิ่งนัก
“อันตรายจริง ๆ …สาวน้อย”
น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบเฉียบคม ไม่ใช่คำพูดอ่อนโยนเหมือนใครที่จะพูดกับสตรีที่นอนป่วย แต่มันคือคำตัดสินที่ตัวเจ้าไม่รู้ว่าได้บรรจุนางไว้ในพื้นที่เล็ก ๆ ในความคิดของเขาแล้ว หลิวอันยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันหลังกลับช้า ๆ เดินไปตามทางของตนเอง เงาของเขาจะได้หันหายไปตามเส้นทางเดิน ปล่อยให้นางอยู่กับสาวใช้แล้วก็ดูแลคนป่วยไป…
แสงแดดยามสายเริ่มทอดตัวผ่านกระเบื้องหลังคาเรือนอย่างอ้อยอิ่ง กลิ่นยาขม ๆ ยังคงจาง ๆ ลอยอวลปะปนกับกลิ่นไม้กฤษณาที่อยู่กใล้ ๆ เรือนแห่งนี้ยังคงเงียบงันเหมือนเดิม แต่หากฟังดี ๆ ตอนนี้ได้ยินเสียงไม้กวาดเสียดีกับพื้นหินสลับกับเสียงนกที่ร้องอยู่ต้นไม้ใหญ่เขียวชุ่ม ไกลออกไปมีเสียงรถม้าหยุดลงตรงหน้าซุ้มประตูบ้านหลังเล็กแห่งหนึ่งก่อนที่จะปรากฎร่างของหญิงสาวที่ออกมาจากรถม้าคันนั้น
“คุณหนู โปรดระวังเท้าด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทรีบร้อยร้องเตือนเสียงหลงในขณะที่เห็นว่ารองเท้าแพรปักไหมลายกลีบดอกไม้ของนางกำลังจะก้าวลงแผ่นหินที่ยังมีความชื้นจากน้ำค้างยามเช้าแต่ไม่ทันแล้วเสียงตึก ยังเบา ๆ อย่างไม่มีผิดมีภัย ร่างสง่านั้นโคลงเล็กน้อยก่อนที่จะทรงตัวได้อย่างน่าทึ่งและหัวเราะเบา ๆ ให้กับความซุ่มซ่ามของตนเอง
“ไม่เป็นอะไรหรอกน่า ข้าไม่ได้หกล้มทุกวันเสียหน่อย” น้ำเสียงใสของนางไหลมามีประกายความขบขันในตัวเองก่อนที่จะหันไปทางในบ้าน นางคือ หลิว หรงเล่อ ที่กำลังอยู่ในชุดผ้าโร่งสีขาวสวลผักลายดอกไม้ขาวหอมซ้อนด้วยไหมสีชมพูระเรือง มวยผมครึ่งศีรษะประดับด้วยปิ่นหยกขาวเนื้อดี นางยกมือขึ้นพัดตัวเองแล้วเดินไปตามเขคของเรือนเล็กแล้วสำรวจโดยรอบ นางเหมือนพึมพำอะไรสักอย่าง ดวงตากลมโตใสประกายเหมือนเด็กได้เห็นของเล่นไหม บรรยากาศเรียบง่ายกับกลิ่นเรือนของท่านพ่อที่เอาไว้ทำเต้าหู้ที่ไม่เคยจะเปิดให้ใครเห็นสักที ความเงียบก็เร้าใจไปอีกแบบ
“เรียนคุณหนู แม่นางที่ท่านอ๋องรับมาดูแลอยู่ในจวนของเรือนรับรองเล็กเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทเอ่ย หรงเล่อก็พยักหน้าแล้วเดินเข้าไป เห็นสาวใช้อีกคนที่กำลังดูแลนางอยู่ ทันทีที่มองผ่านม่านบางที่กั้นระหว่างชานพักกับเตียงนอน เธอเห็นร่างของเด็กสาวคนหนึ่งที่นอนสงบนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบาง ดวงหน้าซีดเซียวไร้เลือด เงียบจนไม่รู้ว่าหายใจอยู่หรือเปล่า ใบหน้าเหมือนกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบหรือตุ๊กตาหุ่นเชิด ร่างกายสมส่วนแต่บางส่วนกลับเล็กบ้าง..
“พระเจ้า..นางดูเด็กกว่าข้าเสียอีก ทำไมอาการถึงได้ทรุดหนักขนาดนี้เนี้ย” หรงเล่อเอ่ยเบา ๆ พร้อมเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก้มลงมองในระยะประชิด “เจ้ารู้ไหมท่านพ่อบอกว่านางอายุพอ ๆ กับข้า แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะตัวบางขนาดนี้..” หรงเล่อบ่นอุบอิบในลำคอของนางขณะที่กำลังจะยื่นมือออกไปสัมผัสกับหน้าผากของอีกฝ่ายเพื่อสัมผัสอุณหภูมิเช่นที่ท่านพ่อเคยทำให้เวลานางป่วย..
ตัวเย็นเฉียบเชียว..
ก่อนที่จะผละมือออกมาแล้วเดินออกจากห้องของเรือนรับรอง เสียงประตูไม้ของค่อย ๆ ปิดลงอย่างเบามือแล้วหลิวหรงเล่อก็เดินออกมา นางคือธิดาผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาแห่งจวนหวยหนานหว่าง ใบหน้าอ่อนวัยยกยิ้ม เมื่อเห็นว่าสาวใช้กำลังดูแลนางต่อบนเตียง ทว่าคิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหาหันในทันทีเพราะเหมือนเธอคิดว่าอีกฝ่ายก็ซูบซีดริมฝีปากไร้เลือดใบหน้าก็ดูมีเหงื่อซึมเสียด้วยกัน..
“ท่านพ่ออยู่ที่ไหนหรอ?” นางหันไปถามสาวใช้คนสนิท “ท่านอ๋องอยู่ในเรือนด้านหลังเจ้าค่ะ คาดว่าน่าจะกำลังดูบัญชีส่งเต้าหู้เช้านี้” นางเอ่ยบอก เมื่อหรงเล่อได้รับรู้ก็ขอบคุณแล้วเดินตรงไปยังเรือนด้านหลังที่บิดาตนเองกำลังพักอยู่ พอเดินเข้าไปถึงก็พบว่าท่านพ่อของตนเองกำลังนั่งอย่างงสงบในชุดผ้าที่เรียบง่ายสีดำสนิท ข้างกายมีเอกสารมากมายรอบข้าง กระดาษจดอะไรก็ไม่รู้วางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบในกล่องไม้
“ท่านพ่อเจ้าคะ..หรงเล่อเองเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้น
หลิวอันขยับหน้าเลิกติ้วเล็กน้อย ไม่พูดอะไรแต่วางพู่กันของตนเองลงอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะขยับหน้าเชิงประมาณว่าเขาฟังอีกคนอยู่ “ท่านพ่อเจ้าคะ แม่นางน้อยปริศนาที่ท่านช่วยไว้เมื่อวานนางเป็นอะไรหรือเจ้าคะ? ทำไมอาการดูรุนแรงนัก?” สุดท้ายหญิงสาวก็ออกถามจนได้ เมื่อหลิวอันได้ยินก็เหมือนจะนิ่งไปหนึ่งอึดใจก่อนที่จะตอบเสียงเรียบแต่ไม่ไร้อารมณ์เหมือนคุยกับคนอื่น
“แพ้อาหาร”
เมื่อหรงเล่อได้ยินก็อ้าปากค้างเล็กน้อย “ห๊าาา แพ้อาหารหรือท่านพ่อ ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ? นางดูเหมือนคนจะไม่รอดอยู่มะรอมมะร่อเลยเมื่อครู่” หรงเล่อเอ่ยแล้วเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามของท่านพ่อเมื่อเขากำลังจะรินชาให้กับเธอดื่มจะได้พูดคุยกันตามประสาพ่อลูกเพราะตอนนี้หลิวอันไม่ได้ตอบในทันที เพียงแค่พยักหน้าช้า ๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงเรียบแต่จขริงจัง “นางกินเต้าหู้งาดำที่ข้าทำเอง ไม่รู้ว่านางแพ้ถั่วเหลืองขั้นรุนแรงเหมือนกัน และนางเองก็ไม่ระวัง” เขาเอ่ยบอก
“แต่ท่านพ่อ…” หรงเล่อที่ยังไม่ทันจะพูดจบประโยคหลิวอันก็พูดต่อ “ข้าไม่ได้บังคับให้นางกิน ข้าเพียงถามว่าสนใจหรือไม่ นางก็บอกว่าถ้าไม่ใช่ถั่วเหลืองจะลองข้า เลยเสนอเพราะมันเป็นเต้าหู้งาดำ ไม่คิดว่านางจะกินไม่ได้ด้วย” เขาบอกแล้วเหลือบมองหน้าของบุตรสาวตนเอง ส่วนหรงเล่อก็เหมือนจะกัดริมฝีปากน้อย ๆ อย่างเข้าใจ แต่ก็เข้าใจนิสัยของบิดาตนเองดี เขาไม่ได้ใจร้าย แต่เงียบเกินไปจนรอบข้างไม่อาจคาดเดาอะไรได้ ท่านพ่อของนางเป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่ใช่คนอ่อนหวาน ทว่าก็มีความรับผิดชอบในรูปแบบของตนเอง
“แล้วท่านพบนางได้เช่นไรเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม คราวนี้หลิวอันนิ่งนานกว่าเดิม เขาเหมือนไม่กล้าสบตาลูกสาวด้วยกันด้วยซ้ำขณะตอบ “เจอกันโดยบังเอิญ ครั้งแรกที่ศาลเจ้าสัจจเทพอี้เหอ นางไปนอนที่นั้น ครั้งที่สองที่หอดูดาว แล้วครั้งล่าสุดคือนางลื่นล้มตอนกำลังไล่แมว”
“ฮ๊าาา? ลื่นล้มตอนกำลังไล่แมว?” หรงเล่อหัวเราะเล็ก ๆ “เป็นสาวน้อยแบบใดกันถึงได้ซ่อมซ่ามเช่นนี้ แถมยังกินของจากคนที่พึ่งพบกันแค่สามครั้งเอง..หัวอ่อนเกินไปแล้ว…เอ่อ..ขอโทษเจ้าค่ะ” นางรีบยกมือปิดปากของตนเองเมื่อนึกได้ว่าคำพูดนั้นคงจะไม่เหมาะสมเท่าไร แต่หลิวอันไม่พูดอะไรเพียงเหลือบตามองลูกสาวของตนเองแล้วหยิบกระดาษมาดูเงียบ ๆ แล้วกล่าวเสียงราบเรียบเช่นเดิม
“นางยังไม่ฟิ้น รอดูอาการก่อน ถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็คงจะฟื้นในอีกสองสามวันละมั้ง? กะว่าจะให้สาวใช้พานางกลับบ้าน แต่ไม่รู้ว่านางมาจากไหน รู้แค่ว่านางมาจากทางใต้ สำเนียงเหมือนชาวกว่างโจว”
หรงเล่อกระพริบตาถี่ ๆ เหมือนกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ “ถ้าอย่างงั้น ข้าขออยู่ดีแลนางเองได้ไหมเจ้าคะ? อย่างน้อยก็ให้ข้าทำความรู้จักกับนางเถิด อายุก็คงไล่เลี่ยกับข้า ข้าอยากมีเพื่อนบ้าง แถมนางยังแปลกสุด ๆ ด้วยนะท่านพ่อ ทั้งไล่แมว ทั้งกินอาหารจากท่านแล้วแพ้ ดูเป็นคนมุทะลุยิ่งนัก” หรงเล่อเอ่ย เพราะนาน ๆ จะได้มีเพื่อนเช่นนี้เหมือนกัน อยากจะมีคนที่เข้าใจความซนหรือว่าไปซนด้วยกันเสียมากกว่ากระมัง?
หลิวอันไม่ตอบตอนนี้แต่ในใจของเขากลับกำลังชั่งน้ำหนักคำว่า เพื่อน ของบุตรสาวตนเองอย่างเงียบ ๆ ระหว่างบุตรสาวของตนผู้ที่มีแต่ความเปราะบางของใจกับเด็กสาวปริศนาที่กำลังหลับใหลจากพิษที่เขาเป็นคนยื่นให้ บางทีนะ..เพียงบางที อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเท่าใดนัก หากทั้งสองจะได้รู้จักกันในนามอื่น
“เช่นนั้นแล้วพ่อว่าเจ้าเรียกข้าว่า อันเล่อ แล้วกัน เป็นคนขายเต้าหู้ที่เรือนหลังนี้ อย่าได้เอ่ยเรื่องอื่นกับผู้ใดโดยเฉพาะนาง” เสียงของหลิวอันบอกผู้เป็นบุตรสาวขงตนเอง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นทุ่มต่ำดุจว่าไม่ใช่คำสั่งแต่ก็ไม่อาจจะปฎิเสธเลย หรงเล่อจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนกับกำลังทำความเข้าใจอยู่ แต่ก็ไม่ภามอะไรออกมาตรง ๆ แต่ดวงตาของนางสื่อความสงสัยมาอย่างชัดเจน
“แล้วท่านพ่อจะให้ข้าบอกว่าข้าชื่ออะไรดีเจ้าคะ?”
“เจ้าเป็นบุตรสาวของอันเล่อ คนขายเต้าหู้ ใช้ชื่อเดิมก็ได้ ไม่ต้องกล่าวนามสกุล จะเอ่ยชื่อปลอมอื่นก็แล้วแต่เห็นสมควร พ่อไม่ห้าม” เสียงยังคงเรียบราบเช่นเดิม ก่อนที่เขาจะขยับมือจิบชาแล้ววางมันเล็กน้อย หันมองเผชิญหน้ากับบุตรสาวของตนเองที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “แต่เมื่อนางฟื้นขึ้น จงถามชื่อแซ่ของนางให้ชัดเจน ข้าสงสัยนักเหตุใดนางไม่เคยนึกอยากถามชื่อแซ่ข้าเลย หากนางเป็นภัยจะได้รู้และตัดไฟเสียแต่ต้นลม”
หรงเล่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย นางไม่ขัดแม้จะเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนปากแทบระเบิดแต่ก็เข้าใจได้ว่าท่านพ่อของตนเองเป็นคนนิสัยเช่นใด ขนาดกับเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มยังไม่เว้นว่าง หากนางแว่งกัด ก็พร้อมกำจัดทันทีเช่นเดียวกัน “แต่นางป่วยหนักขนาดนี้..ท่านพ่อดู..” น้ำเสียงเตือความนุ่มนวลจริงใขเหมือนจะถามท่านพ่อของตเนอง หลิวอันในคราบของอันเล่อหลุบตาลงครู่หนึ่งแล้วรีบพูดตอบ “นางแค่คนที่เกือบถูกรถม้าชน ข้าเพียงช่วยไว้เท่านั้น นางไม่เคยบอกนามตนเอง ข้าก็ยังไม่รู้เว่านางคือใคร หากถามไถ่เกินจำเป็นอาจทำให้นางระแวงเกินเหตุ ให้เจ้าดูแลก็ดีแล้ว แต่อย่าใช้สาวใช้ประจำเรือน ไม่เช่นนั้นจะโดนคิดว่าทำไมจวนเล็ก ๆ นี้ถึงมีคนใช้มากนัก”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นหากนางตื่นข้าจะลองคุยดูแล้วก็ดูแลนางด้วยตนเองไม่ให้ใครมายุ่งด้วยเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ”
หลิวอันพยักหน้าเพียงเล็กน้อย ดวงหน้าเย็นเยือบอย่างประหลาด แต่สายตาเหมือนกับกำลังทอดมองอะไรบางอย่างไปทางทิศทางของห้องเรือนรับรองราวกับกำลังไคร่ครวญอะไรบางอย่างที่ล้ำลึกเกินที่จะคิดกันได้
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่รางวัล: ไม่อาจสร้างความสัมพันธ์จากอาการสลบ
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ สิบ เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามซวี เวลา 19.00 - 21.00 น.
และแล้วการเดินทางของการเวลาก็บรรจบกันอีกครั้ง ยามเวลาเย็นที่คล่อยต่ำ แสงอาทิตย์อาบเรือนหลังเล็กด้วยสีทองอุ่นนุ่มละมุน แสงสะท้อนจากผนังไม้สีน้ำตาลเข้มของตัวเรือนแต่งแต้มไล่เฉดระเรื่องไล่ตามเงาทางเดินยามใต้ชายคา กลิ่นดินที่ละเหยขึ้นอากาศจากสวนเล็กข้างเรือนลอยตลบปะปนกับกลิ่นชาจาง ๆ ที่ยังอุ่นอยู่ในกาน้ำชาเคลือบดินเผาตัวงามบนโต๊ะกลมริมเฉลียง ใบไม้ในสวนเริ่มสงบนิ่งเหลือเพียงเสียงจั๊กจั่นร่ำร้องเบา ๆ แทรกเข้าผ่านกับเสียงลมไหวพัดผ้าม่านโปร่งข้างหน้าต่างเรือนรับรองให้สะบัดแผ่วราวสายลมหายใจที่กำลังหลับใหล...
ภายในเรือนรับรองบรรยากาศกลับเย็นเงียบอย่างเปี้ยมไปด้วยความระมัดระวัง พื้นไม้ถูกเช็ดจนสะอาดไร้ฝุ่น ทุกอย่างอยู่ภายในการควบคุมและจัดวางเป็นระเบียงเงียบงันราวกับไม่ใช่เรือนของผู้มีชีวิต หากแต่เป็นวิหารอันสงบที่ผู้หนึ่งกำลังพักรักษาตัวทั้งกายและดวงใจ และไม่อาจมีใครได้รับรู้ว่านางกำลังฝันสิ่งใดที่ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวหรือไม่ แต่ทว่าเสียงลมหายใจบางครั้งมีติดขัด บางครั้งก็ไม่ติดขัดเลยสักนิด แต่ก็น่าเป็นห่วงเสียเหลือเกิน ว่านางจะเป็นอะไรหรือเปล่า?
หลินหยานอนแนบฟมอนบนเตียงไม้ไผ่เตี้ยริมหน้าต่างผ้าห่มผืนบางทอด้วยเส้นฝ่ายธรรมชาติตลุมร่างของนางไว้จนถึงแก ลมหายใจของหญิงสาวนั้นยังคงแผ่วเบาแต่เป็นจังหวะอย่างเห็นได้ชัด แก้มซีดจางยังมีประกายของเหงื่อเบา ๆ ที่เห็นมือเรียวเล็กของนางวางอยู่เหนือผ้าห่มตรงอกด้วยท่าทางเหมือนกับกำลังสู้กับฝันร้ายที่ไม่อาจส่งเสียงแต่อย่างใด ข้างเตียงนั้นมีร่างของหญิงสาวอีกผู้หนึ่งที่นั่งลงอย่างสงบอยู่ เธอสวมเพียงเสื้อผ้าเนื้อดีแต่เรียบร้อยเรียบง่าย แม้จะไร้เครื่องประดับ ไม่สิ มีปิ่นปักผมอยู่นี้หน่า? แต่ปฎิกิริยาท่าทางกลับบอกถึงการอบรมจากสถานะที่สูงศักดิ์ที่ฝังลึกในทุกจังหวะการหายใจและขยับตัวของตน
หลิว หรงเล่อ บุตรีของอ๋องหลิวอันบัดนี้เปลี่ยนมาเป็นเพียงหญิงสาวมัญชนในเรือนธรรมดา ลูกสาวของพ่อค้าเต้าหู้นามอันเล่อ ตอนนี้เธอใช้ชื่อ หรงล่อ อย่างไร้คำต่อท้ายหรู ไม่มีคำห้อยว่า ธิดาหวยหนานอ๋อง ต่อท้าย ดวงตาตู่งามของนางจับจ้องหลินหยาด้วยแววตาบางอย่างและมุ่งมะ่น แม้จะไม่แสดงอาการร้อนรนแต่มือของนางกลับขยับมือไปจับมือของหลินหยาอย่างไม่รู้ตัว คงเพราะมือของหลินหยางามมาก..
งามราวแกะสลักจากหยกจันทร์ขาวสว่าง ผิวเนียนละเอียดไร้คำหนิแม้เพียงริ้วเส้นเดียว ปลายนิ้วของนางยาวเรียวบางโค้งรับกันอย่างสมส่วนราวกับโดนเรียบเรียงด้วยความปราณีตและเทพสร้าง ปลายเล็บเป็นทรงกลมมนธรรมชาติยาวพอเหมาะขัดเงาใสเจือสีชมพูระเรื่องราวกับกลีบดอกเหมยแรกที่ผลิบานกลางฤดู สะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟยามค่ำคืนแล้วเป็นประกายแผ่วเหมือนกับหยาดน้ำค้างยามรุ่งสาง
เส้นเลือดบางใต้ผิวปรากฎขึ้นจาง ๆ ให้สัมผัสได้ถึงความเปราะบางและบริสุทธิ์ดั่งมือของหญิงสาวที่ไม่ต้องเคยหยาบกร้านด้วยการทำงานหนักแต่ตอนนี้มันเหมือนจะเริ่มมีร่องรอยของการทำงานอยู่แล้ว ในนิ้วทุกข้อมีความอ่อนช้อนอย่างผู้มีสายเลือดสูงศักดิ์ ทว่าก็แฝงไว้ด้วยความเรียบง่ายที่น่าจะไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์เอาเสียเลย..มือคู่นี้หากได้สัมผัสกับพินงาม จะบรรเลงได้เพเราะถึงเพียงใดกันนะ? …
หลังจากนั้นหรงเล่อที่ยังคงอยู่ในห้องเธอไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ขยับมือออกจากมือของสตรีปริศนาที่มีมือที่งดงาม..ใบหน้าเหมือนตุ๊กตาหุ่นไม้แถมมือยังงามอีก แสงที่ส่องลอดจาากหน้าต่างห้องเหมือนจังหวะอะไรบางอย่างในช่วงเวลานี้ ก่อนที่นางจะเหลือบมองกระเป๋าที่ติดตัวของเด็กสาวปริศนามาเปิดออกภายในกระเป๋าใบใหญ่ที่มีผ้าเรียบ ๆ ห่อไว้มีสิ่งที่เห็ยว่าเป็น ขลุ่ยไม้?...
ดวงตาของนางเหมือนเบิกกว้างเล็ก ๆ เหมือนมีความสงสัยและแคลงใจนิดหน่อย ขลุ่ยไม้ที่ทำงานไม้เนื้อดีวางอยู่ในกระเป๋า นางเล่นขลุ่ยด้วยหรอ?? นั้นสินะ แม้ไม่ได้พูดออกมาก็เต็มไปด้วยความสงสัยพอคลี่กระเป๋าต่อไปอีกก็พบว่าไม่ได้มีเพียงขลุ่น แต่ทว่ายังมีห่อสเบียงสองห่อวางพับไว้อย่างเรียบร้อย หรงเล่อขยับมือเปิดดู..อืม?..อะไรกันนะ? ช่างเป็นสตรีที่มีอะไรลึกลับในตัวเยอะเสียจริง?
เหตุใดท่านพ่อถึงไม่ยอมสำรวจนางนะ? แต่เอาตรง ๆ ท่านคงไม่อาจคิดว่าการใส่ใจหรือยุ่งเกี่ยวจะเป็นสิ่งที่ดีกับสตรีแปลกหน้าละมั้ง? แต่ต่อมาก็เจอสิ่งที่ไม่คาดคิดมากกว่า มันคือ..สุรา..เอิ่ม? นางเป็นพวกขี้เหล้าหรือ? ทำไมมันมีขนาดนี้ได้ละเนี้ย? บ้าบอน่า มันเยอะขนาดนี้เลยหรอ? พกแบบนี้เนี้ยนะ?
“หรือว่าแม่นางน้อยจะเป็นพวกขี้เหล้ากันเนี้ย” น้ำเสียงของหรงเล่อเอ่ยก่อนที่จะเจือไปด้วยความอ่อนโยนปนขำเล็กน้อยแต่ในใจก็ยังคงสงสัยและขบคิดไม่ห่างกาย ว่าเรื่องราวของสตรีแปลกหน้ามีความสงสัยกว่าที่นางคิดไปเสียอีก ก็ดีเหมือนกันนะ? สนุกดี? ไม่แปลกที่ท่านพ่อจะรู้สึกไม่ไว้ใจนางถึงขนาดนั้น แต่หลังจากนั้นไม่นานสาวใช้คนสนิทก็เดินมาหาทางคุณหนูของตนเองแม้ตอนนี้จะอยู่ในบทของลูกสาวของคุณชายอันเล่อก็ตามที "คุณหนูเจ้าคะ กลับเรือนใหญ่เถอะเจ้าค่ะ ให้นางได้พักผ่อนนะเจ้าคะ" เสียงของสาวใช้เอ่ยบอกกับคุณหนูสุดดื้อดึงของตนเองแล้วระบายยิ้ม หลิวหรงเล่อเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้คนสนิทแล้วขยับตัวขึ้นลุกเตรียมจะเดินออกไปจากห้องรับรอง "งั้นวันนี้ให้คนมาดูนางด้วยล่ะ อีกอย่างอย่าให้ใครเข้าเขตห้องทดลองเต้าหู้ของท่านพ่อนะ ไม่งั้นคนนั้นจะโดนโยนออกจวน" นางเอ่ยบอกขำ ๆ จากนั้นก็เดินจากไปจากตรงนี้เพราะว่าเธอก็คิดว่า เดี๋ยวนางก็คงฟื้นละมั้ง? ...
เดี๋ยวพรุ่งนี้นางจะเข้ามาดูอีก แทนท่านพ่อผู้แสนเย็นชาของนางเอง
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่รางวัล: ไม่อาจสร้างความสัมพันธ์จากอาการสลบ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-11 11:08
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ สิบเอ็ด เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น.
ยามเหม่ากลับมาอีกครั้ง แสงอาทิตย์ฤดูร้อนยังลอดผ่านม่านสีขาวที่ปกคลุมหน้าต่างเอาไว้ภายในห้องรับรองที่เงียบสงบ ภายในเรือนธรรมดาหลังเล็ก กลิ่นจางของยาสมุนฑรยังคงลอยอ้อยอิ่งจากกองถาดที่วางอยู่มุมห้อง ถ้วยยาร้อนที่่พึ่งโดนเตรียมไว้เริ่มเย็นนิดหน้อย เพราะไม่มีผู้ใดแตะต้องมัน หลินหยายังคงนินิน่งไม่ขยับตัวอยู่บนตั่งไม้ไผ่เตียงที่โดนทำมา ใต้ผ้าห่มผืนบางสีอ่อนที่พาดคลุมครึ่งลำตัว ใบหน้าซีดเล็กเผือดริมฝีปากไร้สีพระทั่งแผขนตาที่ปกปิดเปลือตาไว้ก็ไม่มีแม้แต่การขยับไหวเล็กน้อยแต่เพียงอย่างใด บนแขนยังมีรอยเข็มเล็ก ๆ ที่ท่านหมอใช้ในการฝังเพื่อกระตุ้นจุดชีพจรเมื่อสองวันก่อน ทว่าในตอนนี้แม้รอยเข็มจะจางหายไปแล้วแต่ร่างกายของนางยังคงแน่นิ่งไร้สติสัมปชัญะเช่นเดิมเล่น
อ๋องหลิวอันยืนพิงประตูกรอบไม้เก่าเนื้อดีเงียบ ๆ ท่ามกลางสายตาอันไร้แววของเขาที่หนักแน่นเงียบเย็นเหมือนจะว่างเปล่า ทว่าหากใครที่สนิทและมองให้ลึกลงไปนัยต์ตาสีเข้มนั้นจะพบกับประกายบางอย่างอยู่ในความสงบ ประกายความรู้สึกที่ไม่อาจนิยามออกมาได้ เขาไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้ ไม่ได้เอื้อมมือแตะต้องนาง ไม่ได้พูดจาอะไรออกมาจากริมฝีปาก เพียงแค่มอง มองเด็กสาวร่างเล็กคนหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนนั้นมาอีกวันแล้ว เสียงฝีเท้าแผ่วเบาเคลื่อนเข้ามาในห้องต่อจากนั้น
“ท่านอ๋อง” เสียงของหมอประจำจวนของอ๋องหลิวอันเดินมาแล้วก้มลงคำนับอีกฝ่าย ชายวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์สีเรียบสะอาด โค้งคำนับอีกฝ่ายแล้วพูดต่อด้วยเสียงนอบน้อมและจริงจัง “ข้าตรวจดูชีพจรของนางแล้ว สัญญาณชีพของแม่นางน้อยคนนี้ยังปกติ เพียงแต่ดูเหมือนร่างกายของนางจะใช้เวลาฟื้นตัวมากกว่าคนทั่วไปเสียอีกขอรับ”
ชายหนุ่มผมดำยังไม่พูดในทันที เขาขยับหัวของตนเองเพียงเล็กน้อยเหมือนกับบอกให้หมอพูดต่อได้ และเมื่อท่านหมอโดนอนุญาตให้พูดแล้วตนเองก็พูดต่อ “อาการแพ้เมื่อคราวนั้นรุนแรงจนนระบบในร่างกายสะเทือนไปชั่วขณะ แม้ข้าจะใช้วิธีของอาจารย์ช่วยขับพิษของร่างกายและฟื้นพลังได้แล้วแต่การฟื้นกลับมาของแม่นางน้อยผู้นี้ต้องใช้เวลาของนางเอง ท่านอ๋องวางใจเถิดนางจะฟื้นอย่างแน่นอนในอีกไม่กี่วัน แต่ต้องดูแลนางให้ใกล้ชิด และห้ามกระทบกระเทือนร่างกายของนางก็เพียงพอ”
เมื่อได้ยินทุกอย่างอ๋องหลิวอันที่ตอนนี้กำลังอยู่ในคราบพ่อค้าเต้าหู้อันเล่อขยับดวงตามองเด็กสาวตรงหน้าอีกครั้ง ดวงหน้าที่เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยเห็นยังไงในชีวิตนี้ ที่หากไม่ได้เห็นกับตาเขาคงไม่คิดว่าสิ่งมีชีวิตเช่นนางจะสามารถแสดงสีหน้าท่าทางของความรั่วและตลกแบบร่าเริง วิ่งไล่ตามแมวในตอนนั้นอย่างที่เขาเห็นก่อนหน้านั้น ท่าทางของนางเปิ่น ๆ ในยามก้นตกกระแทกพื้นสีหน้าโอดครวญ…
“เข้าใจแล้ว..” เขาพูดแผ่วเบาไม่มีเสียงสั่งการหรือโทนของความร้อนรน นิ่งเฉียบเย็นเยียบดั่งสายลมเดือนสิบเอ็ด “ไปได้” เขาบอกต่อ หมอชายวัยกลางคนก็โค้งตัวอีกครั้งแล้วถอยออกจากห้องอย่างรู้หน้าที่เหลือเพียงความเงียบงันกับสายตาของชายผู้หนึ่งที่ยังคงทอดมองร่างเล็กบนเตียงไม้ไผ่นั้น หลิวอันไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะต้องมายืนมองใครที่ไม่รู้จักเช่นนี้ เขาที่เคยเป็นดั่ง เขี้ยวคมอสุรา ในนามของฐานะ หน้าที่ คำสั่งของแผ่นดินคราวนี้เขาไม่เข้าใจตัวเองเล็กน้อยว่าเหตุใดกัน? กับความคิดอันเดาไม่ได้ของเด็กสาวตรงหน้า
“โง่หรือบ้ากันแน่?..” เขาพึมพำอย่างแผ่วเบา แววตาทอดมองใบหน้าซีดเผือกอย่างเงียบงัน “จะตื่นขึ้นมาเมื่อไรกันนะ? แม่นางปริศนา”
ประตูบานไม้เก่าแต่สภาพดีอันถูกปิดไว้แง้มออกมาเล็กน้อยกับแสงยามเช้าที่เริ่มลอดผ่านม่านโคร่งบางสาดลงมาบนพื้น เงาของอ๋องหลิวอันทอดตัวนิ่งอยู่ข้างเตียงในห้องพักรับรองอย่างเงียบสงบ ดวงตาของเขาทอดมองร่างนั้นที่ยังไม่รู้สึกตัวบนเตียงไม้ไผ่อย่างเงียบงันไร้คำถ้อยคำเช่นเดิม ไม่มีสีเหมือนเช่นเดิม แต่เมื่อครู่เขาพูดอะไรบางอย่าง มีความนิ่งเฉยที่แฝงสิ่งยากจะหยั่งรู้
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังใกล้เข้ามาตามด้วยเสียงเปิดประตูเบา ๆ ราวกับเจ้าของเสียงไม่ต้องการรบกวนบรรยากาศในตอนนี้ แต่ทันทีที่ร่างในชุดกระโปรงชาวฮั่นสีอ่อนลวดลายดอกไม้บาง ๆ ปรากฎที่กรอบประตูพร้อมกับใบหน้าอันสดใสนดวงตากลมโตของเธอและรอยยิ้มแบบสตรีแรกรุ่นก็ปรากฎ แม่นางหรงเล่อเอียงหน้าขึ้นเล็กน้อยแสร้างทำว่าเป็นเสียงกระซิบแต่ตั้งใจให้ท่านพ่อของตนเองได้ยิน
“หวายย มาแค่ตอนเช้าหรอเนี้ย” เสียงของนางขี้เล่นหวานปนซุกซนอย่างจงใจ
จนกระทั่งหลิวอันต้องหันมองทางบุตรสาวตัวเองช้า ๆ ไม่แสดงอาการอะไร แม้ดวงตาจะทอดผ่านลูกสาวเพียงเล็กน้อยแวบเดียวเท่านั้นแล้วหันกลับมา เขาไม่ตอบคำของนางแต่กลับกล่าวเสียงเรียบ “หากเจ้าว่างนักก็ช่วยดูอาการนางต่อด้วย”
“แหม่…โหดร้ายจังเลยท่านพ่อ บางครั้งข้าก็คิดว่านางเป็นใครกันนะ ถึงทำให้ท่านพ่อของหรงเล่อยอมเสียเวลามาดูอาการนางทุกเช้า” หรงเล่อขยับตัวมายืนข้างท่านพ่อของนางอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตของนางหลอกล้ออย่างช่างสังเกตแม้ตะรู้ดีว่าท่านพ่อของตนเองจะไม่แสดงอารมณ์และความรู้สึกให้ใครได้เห็นง่าย ๆ
“....พูดมากเกินไปแล้ว” หลิวอันพูดเสียงเบาเหมือนพึมพำ ๆ แล้วหันมองดวงตระริกระรี้ของบุตรสาวตนเองแล้วหายใจเบา ๆ เอื้อมมือไปยีเส้นผมของแม่นางหรงเล่อเสียแรงจนเส้นผมที่ส้วนไว้เรียบร้อยฟูเล็กน้อย “เลิกแกล้งพ่อแล้วไปดูอาหารของนางได้แล้ว”
หรงเล่อเหมือนกับกำลังงอแงนิดหน่ยอ แต่ก็ยังแกล้งท่านพ่อของตัวเองไม่ห่างจากไปไหน “ท่านพ่อเจ้าขาาา ถ้าหรงล่อบอกชื่อจริงไปท่านคงจะตกใจมากกว่านี้ไหมน่า” หรงเล่อย่นจมูกบางอย่างอย่างน่ารักก่อนที่จะดึงแขนเสื้อท่านพ่อเบา ๆ “แล้วท่านพ่อจะบอกนางเมื่อไรเจ้าคะ ว่าท่านไม่ใช่แค่คนขายเต้าหู้ธรรมดา”
“เจ้าก็รู้ว่าเราไม่ควรบอกใครโดยง่าย โดยเฉพาะกับคนที่ยังไม่รู้จักกันแม้กระทั่งชื่อ” น้ำเสียงของหลิวอันยังคงเรียบเย็น แต่ท่าทางของการสบตาลูกสาวกลับนุ่มนวลกว่าทุกคราที่เขาใช้กับผู้อื่น คงเพราะนางเป็นธิดาเพียงคนเดียวของเขา “บอกไปว่าข้าเป็นเพียง อันเล่อ คนขายเต้าหู้ก็พอ” นั้นคือคำที่อ๋องหลิวอันพูด ส่วนหรงเล่อก็ทำหน้าเหมือนประมาณว่าตนเองรับคำสั่งแต่โดยดี ยิ้มกว่างอย่างอารมณ์ดี ขณะที่แววตายังคงเป็นประกายด้วยควาอยากรู้อยากเห็น “แล้วท่านพ่อไม่คิดจะถามชื่อนางตอนพบเลยหรือเจ้าคะ?”
“จำเป็น?”
คำเดียวทีร่เหมือนเป็นคำถามของอ๋องหลิวอันพูดขึ้น เขาคงไม่ใส่ใจใครถึงขนาดนั้นเลยไม่คิดจะถามชื่อเลยด้วยซ้ำ และนางเองก็ไม่เคยคิดจะถามชื่อท่านพ่อของตนเองด้วยเหมือนกัน น่าแปลกใจจนน่าสงสัย “เสียงพ่อคงไม่นุ่มนวลพอที่จะถามตอนนางฟื้นจากอาการป่วยหรอก” หลิวอันพูดต่อ ส่วนหรงเล่อก็พยักหน้าทำหน้าทะเล้น “อ๊ะ..แต่ท่านพ่อก็ไม่เคยพูดคำว่า เป็นห่วง ใครชัด ๆ เลยนี่น่า? มีแค่ประเทศชาติ ข้า กับท่านอาเท่านั้นแหละ” เมื่อพูดจบก็แทบจบหลบหลังมือของท่านพ่อที่อาจจะมาดีดหน้าผากเธอทันควันไปได้
แล้วก็หนีก่อนที่ท่านพ่อจะให้นางไปต้มน้ำยาแทนแต่ยังไม่หยุด “แต่ถ้านางตื่นขึ้นมาสวยมาก ท่านพ่อจะให้หรงเล่อจัดเรือนรับรองพิเศษหรือเรือนเจ้าสาวให้เจ้าคะ~?” และแล้วมือหนาของท่านอ๋องก็ขยับดีดหน้าผากลูกสาวตนเองในที่สุด คราวนี้แม่นางตัวดีหลบไม่ทันจนร้องเบา ๆ แล้วรีบหนีกลบเกลื่อน เขาไม่เคยคิดกับเด็กสาวเช่นนั้นและหรงเล่อเองก็ควรได้เพื่อนมากกว่าแม่ใหม่ แน่นอนว่าเขายังไม่คิดจะใคร่พิศวาทคนที่ไม่รู้จักหรอก
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่รางวัล: ไม่อาจสร้างความสัมพันธ์จากอาการสลบ
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ สิบเอ็ด เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามอู่ เวลา 11.00 - 13.00 น.
ช่วงบ่ายคล่อยที่ดวงตะวันตกลงมายามสายบ่ายอ่อน ๆ แสงแดดยามนี้ลอดผ่านม่านหน้าต่างตัวบางเข้ามาเพียงน้อยนิด แต่เพราะเป็นช่วงฤดูร้อนมันจึงร้อนกว่าที่เคย กลิ่นยาสมุนไพรบางส่วนอบอวลไปกับกลิ่นของถั่วเหลืองจากบางทิศผสมกับกลิ่นไม้หอมอ่อนจากฉากกั้นห้อง ด้านในเรือนรับรองหลินหยายังคงนอนสลบอยู่บนเตียงไม้ไผ่ที่มีฟูดผ้านุ่มเสื้อคลุมสีอ่อนของเธอคลุมกายนางเบา ๆ เหมือนจะเริ่มขยับเพียงเล็กน้อยจากลมหายใจที่แผ่วราวกับปุยเมฆ
ข้างเตียงยังมีแม่นาง หรงเล่อ บุตรีเพียงหนึ่งเดียวของหวยหนานอ๋อง นั่งสงบอยู่ตรงมุมเตียงด้านข้าง มือเรียสวยจับผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดบิดน้ำอุ่นในอ่างไม้มาเช็ดร่างกายของสตรีปริศนาที่นางไม่รู้จักชื่อ และท่านพ่อเองก็เช่นเดียวกัน พร้อมกับสายตาของหรงเล่อที่นิ่งเรียบ เธอทำทุกอย่างอย่างละเมียดละไม อ่อนโยนอย่างที่สุดในยามมองหน้าเด็กสาววัยใสคนนี้ สีผิวซีดขาวของเธอเริ่มกลับมามีเลือดฝาดบาง ๆ แม้แววตายังปิดแน่น แต่กล้ามเนื้อใบหน้าเริ่มผ่อนคลายจากอาการเคร่งเกร็งที่เคยมี มือข้างหนึ่งของเธอที่เคยเย็นเฉียบไร้การตอบสนอง บัดนี้อบอุ่นขึ้นเล็กน้อย นิ้วเรียวกระตุกเบา ๆ ราวกับสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวของโลกภายนอก ลมหายใจที่เคยแผ่วจางและติดขัด บัดนี้เริ่มคงจังหวะ ยังอ่อนแรง แต่ไม่ลมหายใจแห่งคนใกล้ดับอีกต่อไป
เส้นผมสีดำขลับของนางเอาความจริงเมื่อมันสะท้อนแสงอาทิตย์มันจะกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม ตอนนี้มันกระจายบนหมอนแสนนุ่มสบายแบบพอเหมาะ หรงเล่อเฝ้ามองเส้นผมนั้น ก่อนที่จะขยับมือเอาผ้าออกแล้วจะขยับเอื้อมมือแตะเพียงเล็กน้ยอ นางเพียงแตะเบา ๆ ตรงปลายเส้นอย่างลังเล ริมฝีปากคล้ายจะเอ่ยถ้อยคำอะไรบางอย่าง นิ้วเรียวกำลังขยับลงไปจับเส้นผมที่ปลิวอยู่ข้างแก้มของคนป่วย ..หมายจะลองสัมผัสเส้นผมของนางพร้อมกับพวงแก้มใสที่ตอนนี้ยังคงซูปเพียงชั่วครั้งชั่วคราว หากเวลาจริงนางคงจะมีแก้มเต็มจนเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบจนน่าจับแน่นอน ใบหน้าที่ไม่มีริ้วรอยและรอยดำแดงเลย...แสดงว่าคงใส่ใจความงามของตนเองแน่ ๆ ตั้งแต่เด็ก ๆ
ทว่า..
“หรงเอ๋อร์”
เสียงทุ้มต่ำของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูห้องจนหรงเล่อสะดุ้งเล็กน้อยแล้วรีบชักมือของตนเองกลับทันที พลางหันมองลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าบุรุษในชุดสีเข้มนั้นเป็นใคร ท่านพ่อของนางก้าวเข้ามาในห้องอย่างมั่นคงและเงียบงัน หวยหนานหวางแห่งสกุลหลิวมีสีหน้าเรียบเฉย เย็นชา เส้นผมสีดำเข้มของเขามัดขึ้นอย่างเรียบร้อยขับให้ผิวหน้านั้นดูเหมือนดั่งภาพวาดเขียน ชุดสีเข้มดำที่ไม่ได้มีท่าทางของความเป็นอ๋องแต่อย่างใด เขาน่ากำลังอยู่ในช่วงเวลาของการเป็นเจ้าของร้านเต้าหู้ในฉางอัน สายตาสีเข้มของเขากวาดมองบุตรีของตนเองก่อนที่จะแปรเปลี่ยนไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียงเพียงชั่วครู่แล้วกลับมามองที่บุตรสาวตนเองต่อ
“ยังไม่ฟื้นเลยหรอ?” เขาเอ่ยเรียบ ๆ
“เจ้าค่ะท่านพ่อ นางไม่มีท่าทีฟื้นเลย” นางกล่าวขึ้นมาบอกท่านพ่อ “หมอให้น้ำต้มสมุนไพรไว้ หากนางฟื้นให้คนใช้มารับไปแล้วนำยาไปอุ่นเตรียมไว้” เสียงของเขาหนักแน่นและมั่นคงเรียวบนิ่งแม้จะอยู่ในยามนี้เขาก็เอ่ยขึ้นกับหญิงสาวปริศนาที่ไร้เรี่ยวเรงบนเตียงอย่างเรียบง่าย ก่อนที่จะหันมองบุตรสาวตัวเองต่อ
“นางยังไม่ได้รับอาหารมาสองวันได้แล้ว หากนางตื่นมาห้ามให้ดื่มน้ำทีเดียวมาก ให้ใช้ช้อนตัก คำเล็ก ๆ ค่อย ๆ ป้อนให้ชุ่มคอก่อน แล้วค่อยเพิ่มทีละนิด ถ้านางหิวน้ำ ห้ามปล่อยให้ดื่มเองเด็ดขาด” เสียงของเขาเอ่ยเน้นย้ำกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงที่สงบเย็น เพราะคุยกับบุตรสาวเลยพูดได้ยาวมากขึ้นไปอีก และเป็นคำบอกกับทางลูกสาวตนเอง ส่วนหรงล่อก็พยักหน้ารับคำทันทีที่ท่านพ่อได้กล่าวบอกเช่นนั้น ก่อนที่นางจะพยายามจำไว้แม้ว่าจะเคยดูแลคนมาพอสมควรแต่เอาตรง ๆ เธอก็พึ่งจะมาดูแลคนที่ป่วยเพราะแพ้อาหารนั้นแหละ และยังเป็นอาหารที่ท่านพ่อชอบจนเข้าขั้นคลั่งไคล้จนหากกรีดเลือดออกมาคงเป็นน้ำเต้าหู้กระมัง?
“ใช้เวลาประมาณครึ่งเค่อแล้วค่อยเพิ่มจนหมดถ้วยได้ หากอาเจียนออกก็ให้หยุดแล้วเปลี่ยนเป็นน้ำอุ่นธรรมดาแทน” เขากล่าวกับลูกสาวตนเองด้วยใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนสี ทว่ารอบดวงตานั้นกลับปรากฎเส้นเลือดบาง ๆ เหมือนกับคนที่คิดอะไรจนนอนไม่หลับบ่อยมากนัก ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันหลังของตนเองแล้วจากไปและไม่ได้ทิ้งท้ายสิ่งใด ปล่อยให้เงาเย็นแห่งบารมีหวยหนานอ๋องจางหายไป เหลือแต่เพียงพ่อค้าเต้าหู้นามอันเล่อเท่านั้น..ให้ทุกคนคิดว่ามันเป็นเช่นไร และจะยังไม่มีการเปิดเผยทุกสิ่งจากการที่ไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ จากนิสัยของคนที่อยู่ท่ามกลางตำแหน่งที่ไม่อาจไร้ความเมตตากับสิ่งใด
หรงล่อยืนนิ่งแล้วมองร่างของสตรีปริศนาที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้งแล้วค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งใหม่กระชับผ้าห่มให้นางก่อนที่จะกระซิบข้างหูเธอเบา ๆ “ได้ยินไหม แม่นางน้อย ท่านพ่อเป็นห่วงเจ้าด้วยล่ะ” ก่อนที่ปลายนิ้วของหรงเล่อจะขยับอีกครั้งแตะเบา ๆ ลงบนเส้นผมสีดำของนางที่วางพาดหมอน
และครั้งนี้…ไม่มีใครขัด เธอยังคงนิ่ง...แต่ดูสงบกว่าก่อนหน้า ราวกับจิตวิญญาณนั้นยังวนเวียนในม่านฝัน และกำลังตัดสินใจว่าจะกลับมาสู่โลกใบนี้เมื่อใด ในขณะเดียวกัน ผ้าห่มถูกปรับใหม่ให้แนบแน่นกับไหล่ของเธอ มือใครบางคนปัดเส้นผมที่ร่วงลงจากแก้มข้างหนึ่งด้วยความแผ่วเบาราวกับกลัวแม้จะทำให้ฝันของเธอสั่นไหว หลินหยายังไม่ตื่น…แต่ก็ไม่ใช่ผู้ใกล้ดับ เธอเพียงหลับลึกอยู่ในราตรีอันยาวนานhttps://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่รางวัล: ไม่อาจสร้างความสัมพันธ์จากอาการสลบ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-12 02:45
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ สิบสอง เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเหม่าถึงยามอู่ เวลา 05.00 - 13.00 น.
เงาอรุณแรกขยับตัวแตะขอบฟ้าดั่งปลายนิ้วของฤดูร้อนที่กำลัวคลี่คลายดวงอาทิคย์ออกจากม่านรัตติกาล แสงทองอ่อนอาบแผ่วเบาผ่านบานหน้าต่างลงมาทาบแก้มบางของเด็กสาวผู้หนึ่งซึ่งนอนแน่นิ่งเป็นเวลาเนินนานอย่างไร้สติ ภายในห้องที่เงียบสงบที่มีเพียงเสียงสายลมพัดผ่านม่านไหมสีขาวนั้นเบา ๆ กลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ที่ปลูกไว้ลอยอ้อยอิ่งมาตามลม..
??...
หลินหยาค่อย ๆ ขยับเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับต้องใช้แรงทั้งหมดจากร่างที่เริ่มผ่ายผอมที่ผ่านการอยู่ระหว่างแม่น้ำแห่งปรโลก เธอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด รู้เพียงแต่ว่าหัวใจยังเต้นอยู่ เสียงนกร้องเบา ๆ และแสงอ่อนที่ลอดผ่านม่านบางทำให้เธอรับรู้ได้ว่า…ข้านึกว่าฝันไป..แต่ไม่ใช่ฝัน..ลมหายใจของเธอ่อนแรงแต่คงจังหวะ เสียงลมหายใจของตนเองดังชัดในความเงียบ
ร่างกายของเธอ่อนล้าเกินกว่าจะขยับได้ แม้เปลือตาจะเปิดขึ้นแล้วอย่างเชื่องช้า แสงจากหน้าต่างด้านข้างห้องมันสาดส่องผ่านม่านบางเข้ามาปะทะแก้มซีดขาวของหลินหยาที่เพิ่งฟื้นจากอาการที่แทบจะพรากชีวิตของนาง ลมหายใจที่เคยติดขีดตอนนี้ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยราวกับผ่านพ้นคลื่นพายุใหญ่ ในร่างกายมาได้ครึ่งเดียว มือเล็กบอกบางที่วางอยู่เหนือผ้าห่มเนื้อบางที่คลุมร่างพยายามที่จะยกขึ้นมาช้า ๆ คล้ายต้องใช้แรงทั้งหมดในกายเพื่อทำสิ่งเดียว
กลิ่นสมุนไพรที่อบอวลอยู่ในห้องนั้นชวนขมขื่นจนชวนอ้วกออกมา ทว่าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยฉุดรั้งตัวนางไว้จากเงามืดของสิ่งที่เป็นพิษจากร่างกาย ริมฝีปากของเธอซีดแห้งเบา ๆ ไม่ได้ออกเสียงเพียงกระซิบคล้ายจะเอ่ยคำอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ไม่มีเสียง มันเบาราวกับลมที่พัดผ่านใบไผ่งาม แทบจะหลอมรวมกับเสียงลมหายใจอย่างอ่อนแรง ริมฝีปากสี่นเล็กน้อย..หลินหยาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เหลือบมองดูว่ามีใครอยู่หรือไม่ หากไม่มีใครเลย นางจะยังคงจมอยู่กับความเงียบของตนเอง..
ความเงียบของผู้ที่ตื่นขึ้นมาบนโลกอีกครั้งในสถานที่อันไม่คุ้นเคย นางขยับดวงตารของตนเองแล้วจ้องมองห้อง เตียงไม้ไผ่งามที่ดูเรียบง่าย ห้องรับรองที่ด้านข้างมีถังน้ำเตรียมไว้ แล้วก็ม่านผ้าบางที่ปลิวเล็ก ๆ ยามเช้า..หลับไปนานเพียงใดกัน? ที่นี่ที่ไหน? โรงหมอหรอ?
ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรนางก็พบว่ามีเสียงของใครบางคนที่กำลังเดินมาที่นี่..ประตูบานนั้นเปิดออกอย่างแผ่วเบามีเป็นร่างของสตรี..?
นางเป็นสตรีผมยาวดำขลับถูกรวบครึ่งศีรษะด้วยเครื่องประดับงามบนเส้นผมแซมกลีบดอกไม้ราวกับแสงอรุณ ชุดตลุมไหมสีครีมงาช้างปีกลายกิ้งหวงอวี้น้อย ๆ ที่สะท้อนแสง ดวงตาคู่นั้นจ้องมองหลินหยาอยู่ เธอกำลังจะมาเปลี่ยนผ้าแล้วเช็ดตัวให้สตจรีที่ป่วยใกล้สิ้นชีพในทุกเช้าแต่พอก้มลงมอง “อ๊ะ..!!” เสียงหลุดร้องของนางแทบกระเด้งตัวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพราะว่านัยน์ตาของสตรีคนนั้นลืมตาขึ้นแล้ว
ดวงตางามสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนปรากฎขึ้น หรี่ตามองแม่นางที่เข้ามาโดยตรงอย่างแผ่วเบาแต่มีประกายของสติที่ไม่ใช่การเพ้อฝันอีกต่อไป
“ตะ..ตื่นแล้ว! เจ้าฟื้นแล้วจริง ๆ หรอ? มองเห็นข้าหรือเปล่า?! เจ้ารู้ไหมว่าเจ้านอนมาหลายวันมา!” หรงเล่อถามรัว ๆ แล้วก็ยังคังรัวถามเป็นปืนกลนต่อไป “ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่ฟื้นเสียแล้ว! แล้วเจ้าหิวหรือเปล่า? เจ็บตรงไหนไหม? หัวหมุนไหม? จำอะไรได้บ้าง เจ้าฝันร้ายไหม?..หรือ..”
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อมากกว่านี้หลินหยาก็เหมือนจะพยายามยกมือที่สั่นนิดหน่อยขึ้นมาปางห้ามญาติ ไม่ได้อยากยกห้ามหรอกนะ เธอเพียงทำท่าจะพูดออกมาสักคำแต่ทว่าริมฝีปากกลับแห้งผากและไร้เสียง แทบจะกลืนหายไปกับลมหายใจที่กำลังพ่นออกมา จนหรงเล่อต้องชะงักไปในเสี้ยววินาทีแล้วรีบเปลี่ยนจากการถามรัวเป็นสายฟ้ากลับกลายเป็นคนที่รู้แล้วว่าตัวเองควรจะทำอะไร
“ขอโทษจริง ๆ ฮ่ะ ๆ จะถามแม่นางทั้งที่พึ่งฟื้นมาคงไม่ดีนัก คอแห้งใช่ไหม? เดี๋ยวค่อย ๆ กินน้ำนะ น้ำต้มอุ่นแล้วเดี๋ยวข้าเอายาต้มสมุนไพรที่ท่านหมอเตรียมไห้มาไว้” หรงเล่อบอกแล้วเดินหายไปแปปหนึ่งแล้วเดินกลับมาพร้อมกับน้ำต้มอุ่นและช้อนเหมือนกินซุปเพราะท่านพ่อย้ำนักเรื่องการดูแลคนป่วย หรงเล่อนั่งลงแล้วเอ่ยต่อ “มาเถิด ค่อย ๆ กินนะ กินน้ำด้วยช้อนเล็ก ๆ ก่อน ค่อย ๆ ทำให้ชุ่มคอทีละนิดหากดื่มเลยเจ้าจะดื่มมันไปหลายอึกแล้วร่างกายจะรับไม่ไหว ดื่มทีละนิดนะ เติมได้เรื่อย ๆ เลยนะ”
หลังจากนั้นหรงเล่อก็ขยับมือป้อนน้ำต้มสุกอุ่น ๆ เข้าริมฝีปากของแม่นางน้อยเงียบ ๆ ค่อย ๆ ทำทีละนิดไม่ให้นางสำลักออกมา..พอดื่มไปได้ถ้วยหนึ่งแล้วก็รอสักหน่อยคนงานก็เอาน้ำยาต้มสมุนไพรมาให้แล้ว…
เสียงสายลมพัดผ่านผ่านเช่นเคยมันพลิ้วไหวยามเช้าเบา ๆ แสงแดดตอนนี้ทอแสงออกผ่านซี่ไม้ไผ่ของหน้าต่างเรือนเคลียแก้มของเด็กสาวที่กำลังนอนพิงหมอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่ ร่างของหลินหยายังคงอ่อนแรงแต่ได้กินน้ำต้มสุกอุ่น ๆ เมื่อครู่ก็รู้สึกดีขึ้นเป็นกอง แม้ดวงตาจะเปิดแล้วแต่นางก็ยังไร้แสงพูดร่างทั้งร่างอ่อนระโหยเหงื่อชื้นจัดจับผิวหน้าผาก ส่วนหรงล่อที่นั่งอยู่ข้างเตียงนั้นมีสีหน้าจริงจังขึ้น ความเงียบระหว่างสองสาวอบอวลไปด้วยความอุ่นจากถ้วย กลิ่นสะอาดจากน้ำต้มสุกยังไม่หายกับบรรยากาศอบอุ่น
“น้ำยาต้มสมุนไพรมาแล้วเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้คนสนิทที่ตอนนี้เทิร์นตัวเองเป็นแม่บ้านจำเป็นพูดพลางเดินเข้ามายื่นถ้วยกระเบื้องเซรามิกที่มีควันกรุ่นลอยขึ้นมาจากน้ำขมสีเข้ม หรงเล่อรับถ้วยด้วยมือทั้งสองของตนเองยกขึ้นสูดลมกลิ่นมันเบา ๆ แล้วถอนหายใจหน้าเกเหยไปด้วยกลิ่น “อืม..กลิ่นขมยันกระดูกเลยแฮะ” จากนั้นก็หันมาทางแม่นางน้อย
“เจ้าต้องอดทนนะ ขมไปสักหน่อยแต่ต้องกินเพื่อหายนะ ข้าจะป้อนช้า ๆ เอง ไม่ต้องกลัวไปนะ” นางพูดจบก็ค่อย ๆ ตักน้ำยามาทีละน้อยด้วยช้อนคำเล็กที่สุด หลินหยาที่ได้กลิ่นและลิ้มปลานลิ้นเท่านั้นร่างก็กระตุกเบา ๆ แล้วจู่ ๆ ก็กระอักน้ำยาออกมาจนสาวใช้ที่เร็วพอเอาถังไม้มารองไว้ให้นางอาเจียนมันลงไปภายในนั้น เสียงตะคอกทุกอย่างออกจากคอสำลักไอดังขึ้นอย่างทรมานใบหน้าแดงจัดเพราะแรงอ้วกที่ตีขึ้นมาในตอนนี้ ขอบตาแดงก่ำจากแรงดันร่างกายที่ขึ้นมา
“โอ้ย..ตายแล้ว..” หรงเล่อที่ตกใจจนแทบทำถ้วยหลุดรีบวางถ้วยยาข้างเตียงแล้วประคองหลังของหลินหยาแล้วลูบหลังเบา ๆ “ไม่เป็นอะไร ๆ ค่อย ๆ นะ เดี๋ยวข้าป้อนน้ำให้ ใจเย็น ๆ นะ” นางคว้าน้ำมาล้างปากให้สตรีที่พึ่งฟื้นจากการนอนหลับไปสามวันเต็ม แล้วคว้าของมาล้างปากให้เรียบร้อย ตักน้ำให้นางกลั่วปาก แล้วป้อนน้ำอุ่นแทนก่อน แล้วรอให้สีหน้าดีขึ้นค่อยป้อนน้ำยาขม ๆ ให้สาวน้อยต่อ แน่นอนว่าหลินหยาไม่ชอบมันแต่เธอต้องฝืนกลืนมันแบบทรมารอย่างเห็นได้ชัด
ใช้เวลานานพอสมควรน้ำยาถึงจะหายไปเสียหมด แม้จะลนลานในตอนแรกแต่ดวงตาของหรงเล่อที่มองสตรีที่พึ่งฟื้นก็ค่อย ๆ อ่อนโยนอย่างประหลาด หรงเล่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาราวกับเอาใจตัวเองออกไปเล่นด้วย มองเด็กสาวที่ยังซึมอยู่เงียบ ๆ นางคงสับสนไม่น้อยเลยทีเดียว หรงล่อคิดว่าจะรอให้นางพักผ่อนก่อนแล้วค่อยเล่าทุกเรื่องให้เพราะแม่นางน้อยคงจะสับสนน่าดู
….
…….
แสงแดดอ่อนเริ่มลอดผ่านเข้ามาเีรื่อย ๆ ที่เรือนรับรอง สาดทาบบนเส้นผมนุ่มของหลินหยาที่เหมือนจะกระด่างจากการไม่ได้สระมาสามวัน แสงเรือง ๆ สีทองประหนึ่งน้ำผึ้งอุ่นส่องสะท้อนแก้มสีขาวซีดของนางที่พึ่งฟหื้นคืนสติได้เพียงไม่นาน ยังอ่อนแรงนัก พูดก็แทบไม่ได้ แต่ดวงตากลมโตนั้นยังเหมือนเปล่งประกายด้วยชีวิตที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวเรื่อย ๆ ราวกับสมองของนางก็เริ่มเดินเครื่องขึ้นอีกครั้ง
หลินหยาที่พยายามรู้สึกดีกับยาขมแต่นางก็ไม่ชอบอยู่ดีมองคนที่กำลังเอาของไปทิ้งแล้วก็เตรียมน้ำมาไว้อีกแบบสงสัย..อ่ะ? ใครกันน่ะ? นั้นสินะ? ใครกัน ที่นี่ที่ไหน? …เอ๊ะ อืม? โรงหมอหรอ.. พลางพยายามคิดว่าตอนสุดท้ายที่เธอรู้ตัวมันเป็นยังไงกันนะ? ในจังหวันั้นเองหรงเล่อก็เดินกลับมาอย่างกระฉับกระเฉงพร้อมกับมองสตรีที่น่าจะอายุประมาณตอนนี้ เธอที่ได้เห็นหน้าของเด็กสาวหน้างิ่วคิ้วขมวดแล้วก็เข้าใจได้ทันทีว่านางรู้สึกยังไง
“แม่นางน้อยยังไม่รู้จักข้าสินะ?” เจ้าของเสียงพูดพลางก้าวเข้ามาพร้อมกับนั่งลงด้านข้าง “ข้าชื่อหรงเล่อ เป็นบุตรของ อันเล่อ พ่อค้าขายเต้าหู้ที่คลั่งรักเต้าหู้สุด ๆ เลยล่ะ” เสียงนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างที่สุด นางต้องบอกแบบนั้นเพราะท่านพ่อบอกว่าให้ปกปิดสถานะของตนเองไว้เพราะไม่อาจไว้ใจคนแปลกหน้าได้ แม้นางจะป่วยแต่ท่านพ่อก็ไม่เคยพลาดเรื่องนี้แม้สักคราว
และคำว่า พ่อค้าขายเต้าหู้ ก็ดูธรรมดาจนหลินหยาแทบจะพยักหน้าตามไปด้วยโดยไม่คิดอะไร …จนกระทั่งคำต่อมา “พ่อของข้าก้คนที่ให้เจ้ากินเต้าหู้งาดำนั้นแหละ แล้วเจ้าก็แพ้อาหารแล้วก็หมดสติไปเลยในวันนั้น ท่านพ่อเลยพาเจ้ามาที่บ้านหลังเล็ก ๆ ของเรานี้แหละ แล้วก็เรียกหมอมารักษาน่ะ” นางเอ่ยบอกตามความจริงในตอนนี้เพราะไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง แต่ไม่ได้บอกว่าหมอนั้นจากจวนหวยหนานอ๋องหรอกนะ
หลินหยาที่เอนตัวพิงหมอนอยู่ถึงกับเบิกตากว้าง ริมฝีปากของตนเองเผยเล็กน้อยแต่ยังพูดไม่ได้จะมีก็แต่เสียงอึก ที่ดังขึ้นในลำคอเท่านั้น หือออ ท่านพ่อ? ท่านพ่อของเธอ? เต้าหู้? ดิสดิสอะเต้าหู้งาดำ…
!!?
ดวงตาของหลินหยานั้นเบิกโพลงขึ้นมาทันทีเมื่อภาพจำซ้อนทับขึ้นในสมอง ชายหนุ่มผมดำเข้มร่างสูงสง่าในชุดตลุมเรียบสีดำหรือสีเข้ม ใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งหรงงามแต่กลับวางท่าแบบประหลาด ชายที่พูดแทบจะนับคำได้ ชายที่ดูหนุ่มมาก.. มากราวกับพี่ชายผู้เงียบขรึมไม่เกินสามสิบต้น ๆ เสียด้วยซ้ำไป!! พ่อหรอ?!!! ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวของหลินหยาชะงักแล้วกระพริบปนิบ ๆ เหมือนสมองขาดจังหวะกระทันหัน นางมองหน้าหรงเล่ออีกครั้งด้วยแววตาที่เหมือนถูกฟาดด้วยความจริง … งั้นคุณชายคนนั้นอายุเท่าไรกันแน่นะเนี้ย? แต่ตอนนี้..หลินหยายังไม่อาจสามารถถามอะไรออกไปได้เพราะพูดได้แผ่วเบาเท่านั้น ริมฝีปากนุ่มแค่เผยอเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ พร้อมกับคิ้วที่ยังขยับเข้าหากันอยู่ไม่ห่าง
หรงเล่อเห็นปฎิกิริยาขึ้นน้อย ๆ ก็ระบายยิ้มหัวเราะเหมือนจับได้ว่าอีกคนคิดอะไร “หน้าแม่นางน้อยดูเหมือนจะสงสัยสินะ คนที่หน้าตาดีหล่อราวกับเทพเซียนคนนั้นจะเป็นพ่อใครได้..แหม่ก็พ่อข้านี้แหละ ถึงจะหน้าเด็กไปหน่อยก็ตามที”
หลินหยาเกือบจะเบ้ปากเล็กน้อยเพื่อคิดว่าตัวเองไม่ควรประเมินอายุคนอื่นจากหน้าตาเลยจริง ๆ กลบความอึ้งของตนเองด้วยแววตานิ่งสนิท คำว่า หน้าเด็ก ไม่คิดว่าจะใช้กับพ่อของใครสักคน อีกอย่าง คงอายุน้อยกว่าพ่อเธอไม่เท่าไร แต่ทำไมท่านพ่อของหลินหยาถึงเหมือนคนอายุเยอะมากแล้วล่ะ? มีเคราด้วยมีหนวดอีก แต่ชายผู้เย็นชาดั่งน้ำแข็งช่วงฤดูเหมันต์กลับหน้าเกลี่ยงเกลาไร้ริ้วรอย
“ตอนนี้เจ้าพักอยู่ในบ้านของเราล่ะ ยังไม่ต้องห่วงอะไรนะ เราไม่ใช่คนแปลกหน้าหรอก แม่นางแค่พักให้หายก่อน อย่าพึ่งออกไปไหนเลย ยาต้มรอบหน้าจะพยายามผสมกับชาหรือเก๊กฮวยให้กลิ่นหอมขึ้นนะ จะได้ไม่ขมจนเจ้าสำลักอีกแน่นอน” หรงเล่อกล่าวยิ้ม ๆ แล้วขยับมือเอาผ้าชุบน้ำขึ้นมาทางสตรีไร้ชื่อที่ตอนนี้ยังพูดไม่ไหว “มาเถอะ ข้าจะเช็ดร่างกายให้” นางพูดพลางเริ่มเช็กร่างของคนป่วยบนเตียง
หลินหยายอมให้ทำแต่โดยดี ริมฝีปากกระตุกเล็กน้อยอย่างฝืน ๆ เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่กล้าให้มากก็คนที่ช่วยเธอทั้งพ่อทั้งลูก ดูยังไงก็เหมือนพี่ชายกับน้องสาวมากกว่าที่จะเป็นพ่อกับลูกเสียอีก อีกอย่างนิสัยต่างกันราวกับฟ้ากับเหว หากคุณชายคนนั้นเป็นหิมะในฤดูเหมันต์ สตรีตรงหน้าของหลินหยาก็คงเป็นดอกตะวันที่ละลายน้ำแข็งในช่วงฤดูใบไม้ผลิละมั้งเนี้ย?
….
……
ดวงอาทิตย์ตั้งตรงหัวแล้วยามบ่ายก็มาเยือนทอดตัวลงมาตามเคยด้ายนอกเรือนเสียงทุกสิ่งกำพลังดำเนินไปสลับกับเสียงลมพัดยอดไม้ส่งกลิ่นใบหน้ษที่รื่นจมูกเข้ามาแตะปลายจมูกของเธอ หลินหยากลับมานอนเอนร่างลงบนฟูกตัวนุ่มบนเตียงไม้ไผ่ขนาดกลางที่แข็งแรงดี หลังจากที่ได้เข้าห้องน้ำเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน ร่างแายแม้ยังอ่อนแรงแต่ดวงตาและสีหน้านั้นดูเปล่งประกายขึ้นอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ผิวพรรณเริ่มคืนสีเลือดจาง ๆ ใต้พวงแก้มงาม ไม่ซีดเซียวดังเดิมแล้ว เส้นผมที่เคยเกะกะปรงใบหน้าของตนเองบัดนี้โดนจัดอย่างเรียบร้อย เส้นขนตาสะท้อนแสงอ่อน ๆ ยามนางปรือตามองบานประตูที่เริ่มถูกเปิดออกมาอีกครั้ง
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้น นั้นคือแม่นางหรงเล่อนั้นเอง กลิ่นข้าวอบเห็ดและขิงอ่อนยังคงอบอวลบนชายแขนเสื้อ ร่างบางเดินอย่างคล่องแคล่วเข้ามาแล้วชายกระโปรงยาวนั้นก็หวาดพื้นเบา ๆ ก่อนเจ้าตัวจะย่อลงนั่งข้างเตียง ดวงหน้าใสดูเป็นธรรมชาติแต่ก็ปทินโฉมเช่นสตรีที่เติบโตแล้วนางยังคงแสดงใบหน้าที่ห่วงใยอย่างชัดเจน
“ข้ากลับมาแล้ว..วันนี้ข้าวอ่รอยมากเลยล่ะ น่าเสียดายนักข้าอยากลองให้เจ้าได้ชิมสักครั้ง ถ้าร่างกายของแม่นางน้อยเริ่มหายดีแล้วนะ” นางเอ่ยอย่างร่าเริงส่วนหลินหยาก็มอง เธอเอนหายหันหน้ามาทางแม่นางหรงเล่อก่อนที่จะพยายามเปแล่งเสียงเบาของตนเองออกมราาวกับสายลมเอื่อยพัดผ่านหน้าประตูและริมระเบียงด้านนอก
“ข้า…ชื่อ…หลินหยา…หนาน…หลินหยา”
คำพูดชัดเจนแม้ยังอ่อนแรงนักนดวงตาคู่งามกลมโตสีน้ำตาลมะพร้าวสบเข้ากับดวงตาของแม่นางหรงเล่ออย่างตรงไปตรงมา “ข้ามาจาก…กว่างโจว..เขตหนานหลิง..บิดาของข้า..เป็นเจ้าเมืองที่นั้น ที่กว่างโจว” นางสูดลมหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่งเพราะเหนื่อย หรงเล่อที่กำลังนั่งแล้วจะยกชาร้อนมาจิบก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยแบบไม่ทันตั้งตัว ปลายนิ้วยังคงจับถ้วยชาค้างไว้ก่อนที่จะค่อย ๆ คลี่ยิมหวานเจือรอยยิ้มประหลาดใจออกมา
“อ่าาา..เจ้าเมืองหรอ? ข้าได้ยินว่าเมืองนั้นร่ำรวยมากเลยล่ะ เจริญมากเลยใช่ไหมเพราะว่าเป็นเมืองท่า? มีเรือกับท่าเรือของแปลก ๆ ก็เยอะจากต่างชาติใช่ไหมล่ะ?” น้ำเสียงแม้จะยังสงสัยเช่นเคย แต่ดวงตากลับเปลี่ยนเป็นเงียบงันไปครู่หนึ่งอย่างประเมินบางสิ่ง หรงเล่อไม่ได้กล่าวอะไรเกี่ยวกับฐานะตัวเอง ยอกจากพยักหน้ารับคำเล่าของคนป่วย แต่แววตานั้นไหววูบอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกำลังวิเคราะห์ เปรียบเทียบลำดับชั้นในใจ …
เจ้าเมืองถือว่าเป็นขุนนางท้องถิ่น เจ้าเมืองคือไท่โช่วสังกัดต้าซือถูสินะใต้หล้าอาณาเขตพนึ่ง แต่หากเทียบกับอ๋องแล้ว.. อ๋องคือสายพระโลหิตแม้มิได้ครองนครก็ยังมีพระยศ ถือสูงส่งกว่าผู้ครองเมืองทั่วไปเสียอีก…
หรงเล่อหันมองแล้วระบายยิ้ม สายตาที่หันมองหลินหยาไม่มีความถือตัวหรือเย่อหยิ่งแม้แต่น้อยมีเพียงรอยยิ้มที่นุ่มนวลลงไปกว่าเดิมเสียอีก “ขอบคุณที่บอกข้านะแม่นางหลินหยา แล้วเจ้าอยากให้ข้าเรียกว่า แม่นางหลิยหยา แม่นางน้อย หรือคุณหนูหนานดีล่ะ?” หรงเล่อเอ่ยมองแล้วเท้ามือวางไว้บนเตียงของหลินหยาแล้วระบายยิ้มหวานเล็ก ๆ ส่วนหลินหยาที่ได้ยินเช่นนั้นก็เหมือนจะหัวเราะท่าทีไม่ถือตัวส่ายเพียงใบหน้าพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ แบบอ่อนแรง
“ข้า..เป็นแค่นักเดินทางที่อดมื้อ..กินมื้อ..เรียกตามใจท่านเถิดแม่นางหรงเล่อ อย่าเรียกว่าคุณหนูเลย” หลินหยาเอ่ยบอกแล้วระบายยิ้มให้หรงเล่ออย่างเห็นได้ชัด “ตกลงตามนั้น งั้นข้าก็จะเรียกเจ้าว่าแม่นางน้อยแหละ เจ้าตัวบางกว่าข้าเสียอีก ตอนเห็นเจ้าตอนแรกข้าตกใจแทบแย่แหนะ” ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งในช่วงบรรยากาศยามบ่ายที่สงบเงียบแดดส่องผ่านรำไรใบไม้ผลิวปลิวเอื่อยน ๆ นอกหน้าต่างกับเงาสะท้อนที่กำลังเริ่มต้นขึ้น
หรงเล่อที่ยังคงนั่งอยู่ข้าง ๆ ขณะที่ปลายนิ้วเรียวกำลังช่วยจัดหมอนให้กับหลินหยาเอนตัวได้สบายขึ้นหลิ่นหอมของสมุนไพรก็ยังคงมีอยู่ไม่มีการจางหายไปไหนเลย แต่ช่วยกลบกลิ่นยาแผนโบราณขมปร่าที่ยังเหลืออยู่ในลำคอของหญิงสาวผู้พึ่งตื่นจากหลับไหลอันยาวนาน หลินหยาขยับริมฝีปากนิดหน่อยแล้วพูดขึ้นเหมือนกับคนที่พึ่งมีแรงแล้วใช้แรงฮึนตัวเอง “ข้าหลับไป..นานขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม
“หืม?..ก็สามวันเต็ม ๆ เลยล่ะ” หรงเล่อรีบตอบ ดวงตากลมใสของนางมีประกายอย่างคนยินดีที่เห็นอีกฝ่ายพูดได้ถนัดมากขึ้น “ตอนแรกข้านึกว่าเจ้าจะไม่ฟื้นแล้วเสียอีก โชคดีนะที่เชื่อท่านหมอ แต่ก็ยังดี ยังดีที่่แม่นางลืมตาตื่นขึ้นมา หากช้ากว่านี้ร่างกายคงอ่อนแรงกว่านี้ยิ่งนัก”
“แล้ว..มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือเจ้าคะ?” หลินหยาเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา ดวงตาเรียวทรงงามเงยขึ้นสบตาแม่นางหรงเล่อชวนให้นางเล่าทุกอย่างให้นางฟัง เพราะหลินหยาเหมือนกำลังพยายามประติดประต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่แบบมึน ๆ เขาว่าคนนอนเยอะจะสับสน แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร ความทรงจำจะมึนยงงไปชั่วขณะท่าจะจริง
“ตอนนั้นเจ้าอยู่ที่จัตุรัสใช่ไหมล่ะ แล้วก็..เห็นท่านพ่อบอกว่าเจ้าโดนแมวขโมยอาหารแล้วล้มก้นกระแทกพื้น ท่านพ่อสงสารเลยให้เต้าหู้งาดำกับเจ้า เหมือนเจ้าจะกินมันลงไปคำหนึ่งไม่ถึงครึ่งถ้วยก็ล้มลงตรงนั้นเลยล่ะ หน้าซีดเหมือนคนจะสิ้นใจ ท่านพ่อเลยพาเจ้ามาที่บ้านหลังนี้แล้วก็เรียกหมอ ส่วนข้าน่ะตามมาทีหลังในช่วงวันต่อมาละมั้ง?” หรงเล่อเล่าตอนแรกด้วยท่าทางแข่มใสเหมือนกันนะ “พ่อข้าพอเรียกหมอก็มาทันทีเลยล่ะ โชคดีมากนะที่หมอคนนี้เก่งมาก ทันทีที่เห็นอาหารก็ลงมือรักษาเจ้าเลย ถ้าไม่ได้รับการรักษาเร็ว ๆ นะ แค่หนึ่งชั่วยามเดียวเจ้าอาจจะไปเฝ้าเทพบนสวรรค์แล้วก็ได้”
คำสุดท้ายทำเอาหลินหยาชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด หัวใจนางกระตุกนิดหน่อยแล้วความเงียบก็คลุ่มบรรยากาศอยู่ครู่หนึ่ง
“แล้วตอนนี้?..อยู่ที่บ้านของแม่นางหรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม ส่วนหรงเล่อก็พยักหน้า ดวงตาสีเปล่งประกายในแสงแดดอ่อน ๆ ยามบ่ายอีกครั้ง “ตอนนี้เจ้าอยู่ที่บ้านข้ากับท่านพ่อ ข้าอาสามาดูแลเจ้าเองแหละแม่นาง ส่วนท่านพ่อก็ออกไปทำงานน่ะ ท่านพ่อข้างานเยอะ แต่หากเขาว่างก็คงมาดูอาการเข้าเองแหละ เขาคงดีใจมากนะหากเจ้าฟื้นแบบนี้”
หลินหยาเมื่อได้ยินคำว่าดีใจมากก็เหมือนจะส่ายหัวนะ เพราะเธอไม่คิดว่าจะทำให้ชายแสนเย็นชาคนนั้นดีใจได้เลย “ข้าคิดว่าไม่น่าจะดีใจนะ ข้าหาเรื่องทำให้เขาและบุตรสาวอย่างแม่นางหรงเล่อลำบาก ไหนจะต้องคอยดูแลน้ำอาหาร ดูแลรักษา แล้วก็แบ่งที่นอนให้คนไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นข้าเอง ขออภัยนะเจ้าคะ แม่นางหรงเล่อที่ต้องให้มาดูแล แต่ข้าขอขอบคุณมากนะเจ้าคะ?”
“หืม? ไม่เป้นอะไรหรอกน่า คิดมากแหม่..…เหตุใดเจ้าเกล่าว่าตัวเองเป็นคนไร้หัวนอนปลายเท้าละ?..แล้วทำไมท่านพ่อจะไม่ดีใจที่เจ้าฟื้น?” หรงเล่อเอ่ยถาม ส่วนหลินหยาเหมือนกับว่าจะเหนื่อยใจนิดหน่อยแต่ก็อธิบายต่อ
“ท่านพ่อของแม่นางหรงเล่อคงเหนื่อยใจกับข้านะ เพราะข้าน่ะไม่ดูแลตัวเองทำให้ท่านและบุตรสาวต้องลำบาก ไหนจะกินอาหารที่เขาทำแล้วเป็นพิษอีก ข้าเอาเข้าปากตัวเองแบบไม่คิดอะไร ไม่นึกถึงผลกระทบที่จะตามมาใช่ไหมล่ะ คนอย่างท่านพ่อแม่นางหรงเล่อก็คงไม่พอใจนักหรอก” หลินหยาเอ่ยอธิบาย เพราะเอาตรง ๆ เธอกับเขาก็แค่คนแปลกหน้าของกันและกัน การที่ต้องพาคนแปลกหน้ามารักษา ไหนจะต้องทำเช่นนี้อีก..มันลำบากใจนะ และเมื่อบุตรสาวอย่างแม่นางหรงเล่อบอกว่าเขาชอบทำเต้าหู้มาก ๆ การกินของที่เขาชอบแล้วแพ้ เขาอาจจะรู้สึกบางอย่างในจิตใจแน่ ๆ
หรงเล่อที่ได้ยินความคิดของหลินหยาแล้วก็เหมือนนิ่งไป..แม่นางน้อยคนนี้มีความคิดที่ซับซ้อนเหมือนกันแฮะ? … “แล้วเหตุใดตอนนั้นเจ้าถึงกินเต้าหู้นั้นเข้าไปล่ะ? เมื่อเจ้าแพ้มันขั้นนั้น”
…
“ข้า..นึกว่าจะไม่แพ้มันแล้ว..แบบว่ามันเป็นเต้าหู้งาดำ ก็อาจจะทำมาจากงาดำ แล้วก็ถึงท่านพ่อของแม่นางจะบอกว่าทำจากส่วนผสมของถั่วเหลืองแต่ก็บอกว่ามันเป็นถ่วเหลืองชั้นดี มันน่ากินด้วย..ข้าไม่ได้กินข้าวเพราะโดนแมวขโมยปลาไปด้วย” หลินหยาเอ่ยพลางทำหน้าเหมือนเธอนั้นแหละผิดเต็ม ๆ ที่เลือกกินอะไรไม่คิดให้รอบคอบสักนิด ส่วนหรงเล่อก็เหมือนกับสงสารนิดหน่อย เอาตรง ๆ สงสารทั้งสองคนนั้นแหละ
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าท่านพ่อจะคิดยังไง แต่ท่านพ่อไม่ใช่คนโกรธใครแบบนั้นหรอก ท่านอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมแม่นางถึงทำเช่นนั้น ท่านพ่ออาจจะดูเย็นชาแต่มีความรับผิดชอบมากเลยนะ หากพบเขาอีกครั้งละก็ อย่าบอกคุยกันให้ดีล่ะ ข้าน่ะคิดว่าท่านพ่อก็น่าจะชอบเหมือนกันนะที่แม่นางกินมันเข้าไป มันอร่อยใช่ไหมล่ะ?”
“....”
“เจ้าค่ะ..มันเป็นเต้าหู้ที่อร่อยที่สุดที่ข้าเคยกินมาเลย” หลินหยาเอ่ยบอกพลางระบายยิ้มเล็ก ๆ ให้กับแม่นางหรงเล่อ แก้มของเธอขึ้นสีแดงระเรือนิด ๆ จนผิดสังเกต จนหรงเล่อรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอีกแล้ว การอยู่กับแม่นางน้อยหลินหยาทำให้เธอคิดว่าบางทีนางอาจจะหลงเสน่ห์อันแสนเย็นชาของท่านพ่อนางหรือเปล่า? ท่านพ่อนางก็หน้าตาดีเสียด้วยสิ..
แม้ว่าหลินหยาจะเป็นสตรีแต่ก็อายุคราวเดียวกันกับนางเพราะหรงเล่อช่างสังเกตและขี้สงสัยโดยธรรมชาติเป็นทุนแล้วเธอมองสายตาอันออก นั้นคือสายตาของคนที่รู้สึกดีลึก ๆ มันซ้อบซ้อนแต่งดงามในความเงียบ..สายตาของหลินหยาไม่ได้อยากครอบครองท่านพ่อของนางเลย แต่บางครั้งกลับเผลอมองเขาเป็นพระจันทร์บนท้องฟ้าแอบเก็บไว้ในห้องเล็ก ๆ ของหัวใจนาง..นางพบสตรีที่หวังครองครองท่านพ่อในฐานะ หน้าตา สายเลือด แต่แม่นางน้อยคนนี้ แค่เหมือนตกหลุมรักในแรกพบ แม้ว่าจะรู้ว่าเขาเป็นเพียงพ่อค้าเต้าหู้ก็เพียงพอแล้ว ดั่งดอกท้ออันเปรี้ยวหวานที่ไม่อาจเก็บลงมาและมันจะร่วงหลนไม่ให้ใครเก็บมันได้ และท่านพ่อก็ไม่เคยชายตามองสตรีใดมาก่อนเลย..
ช่างน่าสงสารเสียจริง…
หรงเล่อคลียิ้มออกมาบาง ๆ นางคิดว่าจะเก็บความรู้นี้ไว้กับตัวเองแล้วกัน ไม่แอบเชียร์ แต่ก็ไม่ขัดข้องนางจะปล่อยให้มันเป็นเรื่องของคนสองคน “แม่นางน้อย..เจ้ากังวนอะไรอยุ่หรือเปล่า?” หรงเล่อเอ่ยถาม ส่วนหลินหยาก็เหมือนมองดวงตาขึ้นแล้วทำท่าคิดนิดหน่อย..
“ข้ากำลังกังวนว่าหากพบท่านพ่อของท่าน..ข้าควรบอกขอโทษและขอบคุณเขาอย่างไรดีน่ะเจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ย ส่วนหรงเล่อก็เหมือนกับพยักหน้าน้อย ๆ ก็นะ นางไม่สนิทกับท่านพ่อนี้หน่า? พึ่งเคยพบกันเอง
“เจ้าเป็นตัวของตัวเองจริงใจก็พอแล้ว เขาน่ะเป็นคนที่ไม่ได้ใส่ใจคำพูดหวานหูนักหรอกนะ หากเจ้าจะกล่าวขอบคุณแบบประจบประแจง ท่านพ่ออาจจะไม่แม้แต่จะเหลียวมอง แต่หากเจ้าพูดจากใจจริง ไม่ต้องมากก็น่าจะเพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องขอโทษ ข้ามองว่าเจ้าไม่ได้ทำผิดนะแม่นาง แค่แพ้เต้าหู้ แพ้ถั่วเหลือง ไม่ใช่ว่าตั้งใจล้มสลบต่อหน้าเขาเสียหน่อย แต่ถ้าเจ้าอยากให้เขาสบายใจ พูดขอบคุณก็คงจะดี จำไว้นะ สิ่งที่ต้องพูดกับท่านพ่อน่ะ ไม่ต้องเยิ่นเย้อ ไม่ซับซ้อน แค่ซื่อตรงก็เพียงพอแล้ว”
หลังจากนั้นก็มองอย่างเอ็นดูพลางมองหน้าของหลินหยานิดหน่อยระหว่างพูด ส่วนหลินหยาที่ได้รับคำแนะนำมารัว ๆ ก็เหมือนจะเก็บความรู้พวกนั้นไว้ในร่างกายและในหัวของตนเอง หรงเล่อระบายยิ้มก่อนที่จะกล่าวถามต่อ “แม่นางอายุพอ ๆ กับข้าใช่ไหม? ข้าเกิดปัจงหยวนศกที่ 4 เจ้าล่ะ?” หรงเล่อเอ่ยถาม
“ข้าเกิดจงหยวนศกปีที่ 5 เจ้าค่ะ” หลินหยาตอบ
แต่หรงเล่อกลับเบิกตากว้างเพราะว่าเด็กว่าเธอแค่หนึ่งปีเองหรอ?! ทำไมตัวแค่นี้อ่ะ! “แม่นางน้อยยย ทำไมเจ้าตัวแค่นี้ เจ้าเป็นลูกสาวเจ้าเมืองจริงหรอเนี้ย?! ผอมกว่าข้าเสียอีก ทำไมไม่กินอาหารให้มันเยอะ ๆ แก้มเจ้าซูบลงตั้งเยอะ แก้มเจ้าออกจะน่ารักเหมือนตุ๊กตา” หรงเล่อเหมือนจะโวยวาย ส่วนหลินหยาก็ยกมือปางห้ามญาติประมาณว่า คอยเดี๋ยวก่อนโยม อะไรประมาณนั้นแหละ ให้อีกคนเลิกงอแงข้างเตียงเธอได้ละ
“ข้ากินอาหารเยอะเจ้าค่ะ แต่ที่ข้าดูผอมเพราะป่วยอยู่ อีกอย่างตั้งแต่ข้ามาถึงฉางอัน ข้าก็ทำงานเยอะมากเจ้าค่ะ แม่นางหรงเล่ออยากรู้ตารางงานข้าหรือไม่เจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม แล้วเริ่มไล่เรียงว่าช่วงเวลาไหนเธอทำงานอะไรบ้างในแต่ละวัน
ยามเหม่า ตื่นนอน ยามเฉินไปทำงานที่ร้านผ้าและเครื่องประดับซือโฉว ยามซื่อไปทำงานที่โรงเงินตราฮันหัวหรงหมิน ยามอู่ไปทำงานที่ร้านหม้อไฟและปิ้งย่าง ฉ่าบู๋มู่ก่าต้า ยามเว่ยไปทำงานร้านบะหมี่สามหาวสาขาฉางอัน ยามเซินไปทำงานโรงหมอเจิ้งเทียน ยามโหยว่เป็นเวลาพักผ่อน แต่ถ้าวันไหนที่โรงเตี้ยมชางลั่งถิงเปิดให้ทำงานหรือรับงานก็จะไปทำงานไม่ได้พัก จากนั้นยามซวีจนถึงยามไฮ่ก็ไปทำงานที่หอว่านหงเหรินเป็นสาวใช้และนักดนตรีฝึกหัดอยู่ที่นั้น …
หลินหยาค่อย ๆ เล่าเรื่องตารางชีวิตของเธอในชีวิตประจำวันที่แทบไม่ได้มีช่องว่างให้แม้แต่การถอนหายใจแม้สักครา หลินหยาตื่นตั้งแต่ฟ้าสางละจากหมอนในยามเหม่าแล้วทำงานต่อเนื่องแทบทุกยามจนกระทั่งต้องพาตัวเองไป… แม่แจ้า ตารางเวลาแน่นเอียดของหลินหยาทำเอาแม่นางหรงเล่อแทบอึ้งเพราะว่านางทำงานตลอดไม่มีพักเลย จะได้พักก็เพียงหลังทำงานที่หอว่านหงเหรินเสร็จแล้วเท่านั้น..นางไม่พูดแทรกแต่ยังฟังหลินหยาจนเล่าจบปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยกล่าวถามต่อ
“เจ้า..แม่นางน้อย..ทำ..เช่นนี้ทุกวันหรือ?” น้ำเสียงของเธอนุ่มแต่มีอะไรสั่นอยู่ในอก เด็กสาวตัวแค่นี้ต้องทำอะไรแบบนี้ด้วยหรอแม้หรงเล่อจะเป็นธิดาหวยหนานอ๋อง แต่เธอก็รู้จักว่าการทำงานในหอว่านหงเหรินนั้นหมายความว่ายังไง แม้ว่าจะเป็นเพียงนักดนตรีหรนือเด็กรับใช้ แต่ผู้หญิงที่เดินเข้าออกยามราตรีกับสถานที่นั้นต้องยอมแบกรับสายตากับคำดูถูกและความเข้าใจผิดอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่ ๆ .. “เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นเลยหรอ?”
หลินหยายิ้มบาง ๆ ราวกับว่าเธอไม่ได้คิดอะไรมาก เธอแค่เล่าให้ฟังว่าสิ่งที่เธอทำแบบไหนมันก็เป็นชีวิตของเธอ “มีหรือไม่ ก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ..ข้าแค่อยากมีชีวิต อยากเก็บเงินข้ามีความฝันเจ้าค่ะ อยากจะมีที่ดินแล้วทำสวนนั่งหมักเหล้าไปเสียทุกวัน แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องใช้เงินทุน ข้ารู้ว่าสักวันข้าต้องแต่งงานออนเรือน แต่ข้าชอบทำงาน ข้าชอบเงินเพราะมันทำให้ข้าไม่ลำบาก..”
หรงเล่อไม่เอ่ยอะไรอีกขยับตจัวมานั่งข้างเตียงอย่างช้า ๆ ไม่มีคำแนะนำอะไรหรือวาจาอ่อนโยน เพราะหรงเล่อคือธิดาหวยหนานอ๋อง เธอรู้ว่าโลกแห่งนี้ไม่ได้สวยงามเสมอไป นางรู้ว่าโลกภายนอกโหดร้าย ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดมาใต้ร่มเงาของอำนาจและเงินตรา บางคนแม้แต่คำว่า ขอพักสักหน่อย ก็ไม่สามารถเอ่ยได้โดยไม่รู้สึกผิดกับชีวิตตัวเอง
“ท่านพ่อท่านแม่ ครอบครัวของเจ้ารู้เรื่องนี้ไหม?”
หลินหยาขยับมือสายหัว เธอไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง เพราะหากรู้ ท่านพ่อจะลากฉุดกระชากเธอออกมาแล้วไม่ให้ออกจากกว่างโจวอีกเลยเป็นแน่ การที่เธอมาผจญภัยอยู่าที่นี่มันเป็นความต้องการของเธอเลยทั้งหมดเพราะงั้นก็จะปล่อยให้มันเป็นปริศนาสำหรับครอบครัวต่อไป
สุดท้ายหรงเล่อก็จับให้หลินหยานอนลงแล้วพักผ่อน นางเชื่อว่าเย็นนี้ท่านพ่อจะมาหาหลินหยาแน่ ๆ ก่อนที่จะห่มผ้าให้แม่นางน้อย รอนานจนลมหายใจของเธอสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงการนิทราพักผ่อนยามกลางวันเสร็จแล้ว จึงค่อยเดินทางออกไป ต้องไปแจ้งคนอื่น ว่านางฟื้นแล้ว และท่านพ่อก็จะมา..ส่วนเรื่องงานนางจะไม่พูดเสียจะดีกว่าตอนนี้
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่รางวัล : ขออนุญาตเช็คเรทติ้งของ NPC ประกอบ หลิว หรงเล่อ
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ สิบสอง เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเซินถึงกลางยามโย่ว เวลา 15.00 - 18.00 น.
เวลายามสนธยาเริ่มคลี่ผ่านคลุมผืนฟ้างามของนครฉางอัน แสงสีทองอ่อนทอดผ่านบานหน้าต่างผ่านกระเบื้องดินเผาที่เย็นจากช่วงเวลาที่แดดร่มลมตก แสงนั้นตกกระทบปลายเท้าของสตรีน้อยผู้หนึ่งที่เริ่มขยับตัวอย่างเชื่องช้า หลังจากนอนหลับพักผ่อนในช่วงบ่าย เสียงลมหายใจของหลินหยาเริ่มกลับมาดีขึ้นมากแล้ว อาจจะบางเบาเหมือนม่านผ้าป่านโบกไหว เธอลืมตาช้า ๆ โลกหมุนแผ่วเบาเช่นกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นจากกิ่งไม้ สูงต่ำกลับตาลปัตรก่อนจะตั้งมั่นอยู่ในความจริงอันแผ่วเบา บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบอย่างผิดปกติ มีเพียงกลิ่นหอมของน้ำยาสมุนไพรที่กรุ่นค้างอยู่ในอากาศ และความรู้สึกหนักแน่นบริเวณขมับที่ยังคงเหลือ
มือสีขาวของนางข้างหนึ่งขยับขึ้นอย่างเงียบงัน ค่อย ๆ ขยับมือปัดผ้าห่มที่คลุมตจัวออก ไม่ได้มองหาผู้ที่อยู่รอบตัวเช่นเคยเพราะแม่นางหรงเล่อคงจะไปพักผ้อน เธอเบนสายตาไปยังมุมหนึ่งของห้องแทน ที่ตรงนั้น ขลุ่ยไม้ไผ่ที่ถูกส่งมาจากกว่างโจวซึ่งพ่อของนางฝากคนส่งมาให้เมื่อวันก่อนที่จะป่วย วางแบบอยู่ข้างกระเป๋าหอผ้าสีน้ำตาลไหม้ ดูเรียบง่ายไร้ค่าในสายตาใครหลายคนหากแต่เปี่ยมไปด้วยความหมายทางใจแก่เด็กสาวผู้ถือครองยิ่งนัก
หลินหยายืนยันกายขึ้นนั่งช้า ๆ แม้แผ่นหลังยังสะท้านจากแรงที่เพิ่งคลาย แต่หลับไม่มีความลังเลใดในดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนนั้นเลย มือเรียวบางงามของนางหยิบขลุ่ยขึ้นมาแนบริมฝีปาก บทเพลงบรรเลงออกมาไม่ใช่ทำนองฉลองหรือบทเพลงมงคล บทเพลงโบราณจากตำหรับเพลงหลวง แต่เป็นทำนองที่เรียบง่าย เยือกเย็นและหม่นเศร้า รางกับบันทึกเสียงแห่งอดีตที่ไร้ถ้อยคำและแม่พิมพ์แต่กลับหนักแน่นเสียยิ่งกว่าประโยคใด ๆ เสียอีก
…. เสียงขลุ่นเบา รินไหลเหมือนสายน้ำค้างเย็นที่หล่นกระทบกลีบดอกไม้บานในยามรุ่งสาง แผ่วแต่ไม่หายไปง่าย ๆ ในสายลม ยิ่งบรรเพลงต่อ เสียงนั้นกลับยิ่งมีชีวิตเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ละมุนละไม แต่ลึกซึ้งถึงใจเสียจนบรรยากาศภายในห้องพักรับรองเปลี่ยนไปโดยที่ไม่รู้ตัว..และใช่หลินหยาเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน
ว่าที่หน้าประตูนั้นเอง มีชายหนุ่ม(?) จะเรียกว่าหนุ่มดีไหมล่ะ? เพราะเขาก็มีลูกสาวที่อายุพอ ๆ กันกับหลินหยา หลิวอัน หรือตอนนี้คือคุณชายอันเล่อ กำลังอยู่ในชุดธรรมดา เนื้อผ้าชั้นดีสีเข้ม ซึ่งปรากฎตัวทุกวันในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาไม่ได้ผลักประตูเข้าไปดู แต่ยืนเงียบอยู่ในเงามุมประตู แววตาเรียบเฉยเช่นเคยแต่ไม่ได้หลุบลงเหมือนทุกครา เขามองผ่านช่องทางแง่มบานของประตูไม้เก่า ฟังเสียงขลุ่ยนั้นโดยไม่ออกเสียงใด ใบหน้าคมเข้มนิ่งเฉยราวกับรูปปั้น แต่แววตาคมดุที่มักทำให้ใครต่อใครหวั่นเกรงกลับอ่อนลงในจังหวะที่ท่วงทำนฃองสะท้อนถึงบางสิ่ง ที่เคยอาจเคยรู้สึกแต่ลืมไปนานมากแล้ว
หลิวอันหรือคุณชายอันเล่อ ไม่พูด ไม่ก้าวก่าย ไม่ขัดจังหวะ ทั้งที่ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่มีความอดทนฟังสิ่งใดที่ไม่ได้ต้องการได้ยิน แต่เสียงขลุ่ยนั้น..ก็ทำให้เขาเลือกที่จะรับฟัง จนเมื่อบทเพลงจบอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วของหลินหยายังคงค้างที่เหนือรูของขลุ่ยงาม สายตาเหม่อมองผนังปละหน้าต่าง เงียบงันเหมือนกับคนที่ยังไม่อยากกลับสู่โลกแห่งความจริงในทันที และหลิวอันยังยืนอยู่ตรงนั้น ไม่พูดคำใด
แสงสุดท้ายของอาทิตย์กำลังค่อย ๆ ลาลับริมฟ้า สีทองแดงเจือม่วงระบายผ่านผืนฟ้าและกรอบไม้ฉลฃุของเรือนรับรองอย่างแผ่วเบา เสียงรองเท้าไม่มี ไม่มีสิ่งใดเลย ไม่นานบานประตูไม้ถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ เงาร่างสูงใหญ่ในชุดเรียบง่ายปรากฎกายพร้อมกับกลิ่นจางของไม้หอมและความนิ่งขรึมที่ทำให้ทั้งเรือนเล็กเหมือนจะหยุดหายใจตาม หลินหยาเห็นเช่นนั้นก็เหลือบดวงตามองคนที่พึ่งเข้ามาแล้วขยับเอามือที่ถือขลุ่ยลดลง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาได้ยินหรือเปล่า ไม่น่าจะได้ยินนะ
หลังจากนั้นเขาทำเพียงจับจ้องเธอ ใบหน้านวลขาวราวหยกของหลินหยานั้นซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัดจากอาการป่วยที่พึ่งผ่านพ้น ดวงตาคู่งามยังคงแดงเรื่อ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นเล็กน้อยโดยไม่มีสีสันแต่งแต้ม แต่กลับเผยอารมณ์หนักแน่นบางอย่างท่ามกลางความเปราะบาง เส้นผมยาวสีดำขลับของนางปล่อยสยายลงมาจนถึงเอว บางส่วนชี้ยุ่งเล็กน้อยจากการล้มป่วยและนั่งพิงหมอนนานหลายวัน แม้จะถูกหวีอย่างเบามือแต่ยังคงไร้แรงจัดทรงให้เรียบร้อยดังเดิม กลับกลายเป็นความงามอ่อนโรยที่ชวนให้ห่วงหา ชุดที่นางสวมเป็นเพียงผ้าฝ้ายสีขาวบางเบา ชุดชั้นในของสตรีที่เพิ่งฟื้นไข้ซึ่งไร้ซึ่งลวดลายหรือสีสัน ทว่ากลับทำให้นางดูสะอาดบริสุทธิ์และเปราะบางมากขึ้นไปอีก แขนเสื้อยาวปกปิดมือขาวซีดที่ประสานไว้หน้าตัก เผยให้เห็นปลายนิ้วเรียวที่เริ่มมีสีเลือดไหลเวียน กลับมาจากความเย็นเฉียบในยามวิกฤติ
ชายหญิงที่อยู่ในห้องกันสองคนที่มีแสงอุ่นสลัว ๆ ตกกระทบกับเสี้ยวหน้าของคนทั้งคู่ แววตาของหลินหยายังอ่อนระโหยแต่กลับแน่วแน่ขึ้น หากแต่บรรยากาศรอบข้างไม่ได้อบอุ่นเฉกเช่นตคอนที่หรงเล่ออยู่ด้วย ตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มองไม่เห็นเส้นแบ่งชัดเจน คล้ายว่าการขยับผิดจังหวะเพียงเล็กน้อยอาจรบกวบบางสิ่งที่สงบนิ่งเกิดมนุษย์ไปแล้ว.. แต่หลินหยาก็ต้องพูดอะไรสักอย่าง
“สวัสดีเจ้าค่ะท่านชาย” นางเอ่ยสวัสดีอีกคนขึ้น น้ำเสียงที่เขาไม่ได้ยินมาสามวันด้วยกันแล้วและเสียงสุดท้ายคือเสียงของความทรมารแบบที่กำลังล้มลงกับชีวิต “ข้าขอประทานโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นนะเจ้าคะ..ที่ทำให้ท่านลำบากนัก เป็นเหตุให้ท่านกับแม่นางหรงเล่อต้องมาเสียเวลาหลายวันนัก” น้ำเสียงของหลินหยาแผ่วเบา หากแต่ไม่มั่นคงนัก แล้วนางก็กลั้นใจที่จะพูดต่อ “ขอบคุณที่ให้การดูแล..และช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
เขาไม่พูดทันที จนหลินหยาเหมือนจะหยุดหายจ นิ่งไปเสียจนคิดว่าเสียงใบไม้กระทบกันภายนอกนั้นฟังชัดกว่าชั่วขณะเสียอีก แววตาของเขานิ่งเย็นไม่ต่างจากทุกครั้งที่เคยปรากฎตัว เหมือนหิมะในฤดูเหมันต์ไม่มีผิดเพี้ยน หากแต่ในแววตาคู่นั้นกลับมีอะไรบางอย่างที่ยากจะจับจ้อง คล้ายประหลาดใจที่นางยังคงอยู่ ทั้งยังพูดเช่นนี้ออกมา เขาเคลื่อนสายตาลงช้า ๆ มองมือของนางที่วางตรงตักกำขลุ่ยไม้นั้นแน่นสั่นเล็กน้อยราวกับยังระแวงกลัวจะถูกตัดบท ก้นด่าหรือลงโทษด้วยถ้อยคำอันเฉียบคมลึกปาดใจ
“หากเจ้าไม่กินของข้า เจ้าอาจไม่ป่วย” เขาพูดช้า ๆ แต่น้ำเสียงแผ่วจนฟังดูผิดปกติจากคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคมเขี้ยวอสุรา และหลินหยาก็แทบหลุบดวงตาลงเพราะไม่อาจมองได้ หายใจไม่ทั่วท้องขึ้นทึกที “แต่หากข้าไม่เสนอ เจ้าก็ไม่มีโอกาสป่วยเช่นกัน”
คำพูดที่ฟังดูตอกย้ำความผิดพลาดของตนเองกลับทำให้หลินหยาต้องชะงัก นางเหลือบดวงตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจนัก จนสบเข้าดวงตาของชายที่นางไม่รู้จักชื่อจริง แต่กลับจำเขาได้แม่นยิ่งกว่าเจ้าหนี้เสียอีก
“แม่นาง” หลิวอันเอ่ยต่อ ไม่ได้มองเธอด้วยซ้ำจากสายตา เหมือนกำลังมองผ่านกลีบดอกไม้ที่แหว่งไหวในแจกัน “ข้าไม่ชอบเป็นหนี้ผู้ใด และยิ่งไม่ชอบให้ผู้ใดเป็นหนี้ข้า”
หลิงหยาเมื่อได้ยินแบบนั้นเธอขยับมือบีบขลุ่ยไม้ราวกับไม่กลัวมันแตก พลางขยับริมฝีปากมากัดเล็กแน่น “ข้าจะหาเงินมาคืนท่านชาย..สำหรับการรักษาเจ้าค่ะ หากแม้ข้าต้องทำงานเพิ่มอีก..ข้าก็…”
“ไม่ใช่เรื่องของเงิน” เขาเอ่ยขัดขึ้นมา เสียงยังคงราบเรียบแต่เย็นลงอย่างชัดเจน “ข้าไม่ใช่คนใจดี แต่ข้าไม่ชอบให้เรื่องที่เริ่มจากข้า หลายเป็นเรื่องที่ทำให้ใครตาย” หลินหยาเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ เพราะนางก็ไม่มั่นใจนักว่าควรทำอะไร นางกลัวว่าจะโดนเขาดุด่าหรือตำหนิรุนแรง “เจ้าค่ะ..”
….
ความเงียบของคนทั้งสองผ่านไปเพียงอึดใจ ก่อนที่สุดท้ายหลินหยาเลยตัดสินใจที่จะเอ่ยขึ้น “ท่านชาย..ข้าขออภัยที่ไม่ได้แนะนำตัวไปก่อนหน้านี้..ข้ามีนามว่าหลินหยาเจ้าค่ะ หนาน หลินหยา มาจากกว่างโจว ข้าขอขอบคุณอีกครั้งนะเจ้าคะ แม้ว่าข้าจะยังไม่เข้าใจอะไรมากมายนัก แต่แม่นางหรงเล่อ บุตรสาวของท่านแจ้งข้าว่าท่านมาเยี่ยมข้าทุกวันแม้ไม่พูดสิ่งใด ข้าซึ้งใจยิ่งนัก”
หลิวอันไม่ตอบในทันทีเพราะคล้ายว่าชั่งใจอยู่นานกว่ากับคำว่า ทุกวันแต่ไม่พูดสิ่งใด อยู่ในหัวของเขาสั้น ๆ เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน..นั้นสินะ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องมาเยี่ยม ทั้งที่ทุกครั้งก็ไม่เคยได้รับคำตอบเลยสักคราเพราะเขาก็ไม่คิดจะตั้งคำถามเหมื่อนกัน “พักให้พอ แล้วอย่าทำอะไรโง่ ๆ นั้นอีก” เสียงที่เฉยชาและเฉียบคมเอ่ยบอกกับหลินหยา ราวกับลมหนาวที่พัดผ่านกลางใจโดยไม่มีใครขออนุญาต และตอนนี้หลิวอันก็เตรียมจะเดินออก
“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ คุณชาย” เสียงของหลินหยาเอ่ย นางหยุดรั่งเขาไว้เป็นครั้งแรก ก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียงไปหยิบเอาบางอย่างออกมาจากหอบผ้าในกระเป๋า ขวดงามที่ราคาไม่อาจถามได้ว่ามันเท่าไร แต่มันน่าแปลกใจยิ่งนักที่นางมีมัน สุราเซียนเมามาย ยอดสุราดอกท้อนับว่าเป็นหนึ่งในยอดสุราเลิศล้ำในแผ่นดินทุกหยาดหยดกลั่นเอามาจากดอกท้อบานสะพรั่งหอมหวานละมุนลิ้น รสชาติดั่งดอกไม้แรกแย้ม
“ข้าไม่รู้ว่าท่านจะชอบหรือไม่ แต่สำหรับข้าแล้ว นี้คือสิ่งที่มีค่าที่ข้าคิดว่าจะมอบให้ท่านได้” นางเอ่ยพูดเช่นนั้น แต่ปฎิกิริยาของท่านชายตรงหน้าของนางนั้นคือความนิ่ง นิ่งเสียจนหลินหยารู้สึกว่าตนเองเสียมารยาทและพลาดในจังหวะนั้นด้วยซ้ำ เขาไม่ยิ้ม ไม่ยกคิ้ว ไม่แม้แต่จะขอบใจทันที และนางก็นิ่งไปรู้สึกเครียกไปด้วย..โดยที่ไม่รู้เลยว่าชายตรงหน้านั้นคิดอะไรอยู่
สำหรับหลิวอันนั้น เขาไม่คุ้นเคยจากการได้รับสิ่งของที่ให้ด้วยน้ำใจจริงโดยไม่มีผลประโยชน์พ่วงท้าย โดยเฉพาะจากสตรีที่ไม่ได้สนิท ไม่ใช่ขุนนาง ไม่ใช่หญิงสาวที่เอาตัวเข้าแลก ไม่ใช่ญาติ และคำพูดของหลินหยานั้นดูตรงและซื่อเกินไป
“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าสิ่งนี้มีราคาเท่าใด?” คำพูดของท่านชายอันเล่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ตำหนิ แต่ไม่อ่อนโยน เหมือนถามเพื่อวัดจิตใจและปัญญาของหญิงสาวว่านางจะดึงกลับไหมหรือจะยังคงยืนยันเช่นเดิมเช่นนี้เมื่อรู้ว่าราคาของมันเท่าใดกัน
“ข้าไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ แค่ข้าคิดว่าจะให้ท่าน ตอบแทนแม้สักนิด กับคนที่ต้องแบ่งห้องพักให้ข้าตลอดสามวันมานี้ และส่งบุตรสาวของเขามาดูแลข้าอีก” นางยืนยันที่จะส่งให้ เขาก็พิจารณาเธอด้วยสายตาที่นิ่งแต่ลึก ยาวนานจนน่าอึดอัดสำหรับหลินหยา แต่สุดท้ายเขาก็ยื่นมือหนาของตัวเองออกมาไม่แตะต้องผิวของหลินหยาแม้สักนิด ไม่เคยสัมผัสมัน แม้ว่าเขาจะเคยอุ้มนางมาแล้ว แต่ก็ไม่มีผิวกายเนื้อที่เคยสัมผัสกันสักครา เขายื่นมือมารับด้วยท่าทางที่เฉยชาราวกับไม่สนใจ
“ข้าไม่ดื่มเหล้าที่ผู้อื่นมอบให้ นอกจากจะเคยเห็นเจ้าของมันลิ้มลองต่อหน้าข้า”
หลิวอันเอ่ยบอกวาจาของเขาปะทะนางออกมาเพราะเขาเคยถูกวางตามาจนเกือบตายในทุกครั้งที่ผ่านมา เขาไม่แสดงออกว่าประทับใจ สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำ สำหรับคนที่ผ่านการทรยศหักหลังมานานนับครั้งไม่ถ้วนอย่างเขาแล้ว นั้นไม่ใช่ น้ำใจ แต่มันคือหลักฐานว่านางอยากจะกล้าหรือเปล่า
หลินหยาเมื่อเห็นว่าอีกคนบอกเช่นนั้นก็เลิกคิ้วก่อนที่จะขมวดคิ้วนิดหน่อยนางพึ่งหายจากอาหารป่วยยังดูอ่อนแรง ยังใบหน้าอ่อนแรง ริมฝีปากแม้จะดีขึ้นมากแต่นางก็ทำบางอย่าง เธอขยับมือแล้วจับขวดเหล้านั้นกลับมาแล้วรินลงจอกน้ำชาด้านข้างเตียง ก่อนที่จะดื่มมันเข้าไปต่อหน้าต่อตาด้วยเหตุผลอันแสนเรียบง่ายว่านางยังคงจะบอกว่านางไม่มีทางวางตาเขาแน่นอน
รสชาติหวานหอมอมเปรี้ยวหวานและมีแอลกอฮอล์เข้ามาในลำคอของหลินหยา ท่ามกลางสายตาของท่านชายอันเล่อ ชายหนุ่มมองนาง ไม่หัวเราะ ไม่เอ่ยปากห้าม เขาทำเพียงจ้องสตรีตัวเล็กตรงหน้า จ้องเงียบ ๆ จนหลินหยารู้สึกราวกับจะถูกล้วงจิตใจ อ่านใจนางทีละชั้น แต่ก็ไม่อาจเข้าใจความคิดของนางแม้สักคราเลยสักนิด
“เจ้าเป็นหญิงสาวประเภทใดกันแน่?” หลิวอันเอ่ยถามหลินหยาพลางมองนางด้วยสายตาที่เขาไม่อาจเข้าใจ แล้วขยับมือไปเทขวดเหล้าลงจอกของตนเองแล้วดื่มอย่างแผ่วช้า ไม่รียบร้อยและไม่หลบสายตาเธอแม้สักนิดเดียว ทั้งสองดื่มอย่างเงียบงันกันเพียงชั่วครู่ ไม่ใช่เพราะไร้เรื่องที่จะคุย แต่คุณชายอันเล่อ ไม่ใช่คนที่ชอบชวนใครคุย เขาไม่ชอบเสียคำพูดโดยไม่จำเป็น และเขายิ่งไม่รู้จะพูดเรื่องใดกับคนแปลกหน้าที่บังเอิญป่วยเพราะเต้าหู้ของเขา
เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมหลินหยาถึงกล้าทำสิ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยทำ เอาความจริงมันก็ไม่แปลกขนาดนั้น แต่เธอดูเป็นเด็กสาวตัวบาง ๆ คนหนึ่งที่ยอมดื่มกับชายแปลกหน้าที่ไม่ยิ้มสักนิดโดยไม่กลัวอะไร และเพียงสองจอกเท่านั้นที่เขาดื่ม หลินหยามองมันอย่างเสียดาย แต่นางก็ไม่ได้ว่าอะไร คุณชายอันเล่อจึงทำเพียงหยิบขวดเหล้านั้นไว้ “ข้ารู้แล้วว่ามันปลอดภัย” เขาเอ่ย
หลินหยาเมื่อเห็นก็ระบายยิ้ม แล้วเมื่อเงียบได้ชั่วครู่เขาก็เอ่ยต่อว่า..
“หากวันหนึ่งเจ้าป่วยอีก..อย่าดื่มกับใครง่าย ๆ เช่นนี้” ไม่รอคำตอบ เขาหยิบขวดที่เหลือแล้วลุกขึ้น ทิ้งเงาที่สงบนิ่งของตนเองและเด็กสาวตรงหน้าให้กลายเป็นความสงสัยในใจของเขาอย่างชัดเจน
ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวของหลินหยาทอดมองแผ่นหลังของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ในคราบพ่อค้าเต้าหู้ที่เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่และคิดเพียงว่าเขาเป็นพ่อค้าเต้าหู้คนหนึ่งเท่านั้น เขาเดินจากไปอย่างสงบ ปราศจากถ้อยคำอำลาใด ๆ ทว่ากลับถือขวดเหล้าชั้นดีนั้นติดมือไปด้วยราวกับของที่ตนควรมีสิทธิ์ได้ หลินหยาไม่ขุ่นเคืองเพราะเธอเป็นคนให้เขาเอง เธอทำเพียวงหลุบสายตาลงมองพื้นและโต๊ะที่มีแก้วจอกหล้าของตนเองวางอยู่ หยดสุดท้ายของเหล้าที่เคยเติมเริ่มแห้งเหือดเหมือนกับความหวังบางอย่างที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอหวังอะไรที่ทำเช่นนั้น แค่ขอบคุณก็เกินไปแล้วล่ะ หรือเธอแค่ต้องการรู้จักเขาให้ได้มากขึ้น แต่เอาเถิด..
ช่องหว่างระหว่างเราทั้งสองไม่อาจถมให้เต็มได้ภายในเร็ววัน พร้อมกับคำถามที่ไม่มีคำคอบกับรอยยิ้มจาง ๆ ของเธอหรอก ท่านชายอันเล่อผู้เย็นชาเหมือนลมหายใจของเหมนต์ในหุบเขาช่วงหน้าหนาว ผู้ที่ถือชามเต้าหู้มาวางหน้าเธอ…แล้วหลินหยาก็กินมันแต่โดยดีราวกับมันไม่เป็นพิษกับเธอ ไม่รู้สิ ตอนนั้นเธอกินมันไปเพราะมันน่ากินและเธอก็อยากลอง แต่สุดท้ายก็ต้องล้มป่วยอยู่ดี จนทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น..แต่เธอก็แคร์คนที่อยู่รอบข้างนะ เพราะงั้นเธอจะพยายามหายป่วยเร็ว ๆ กลับไปทำงานแล้วก็..หึ..
หรือว่า? เขากำลังคิดจะทำเต้าหู้ที่เธอกินได้กันนะ? หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาคงจะต้องทดลองมากมาย และหลงรักสิ่งที่เรียกว่าเต้าหู้จนถอนตัวไม่ขึ้นแน่เลย เธอได้กลิ่นของอะไรสักอย่างจากปลายนิ้วมือเขาตอนที่เดินเข้ามา เขาคงทดลองทำมันทุกวัน..บางครั้งสักวัน เธออาจจะได้ลิ้มรสเต้าหู้โดยที่ไม่กลัวว่าจะช็อคตายก็ได้..
ว่าไปนั้น..
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป หลิว อันหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มทักษะนักดนตรี เล่นดนตรี โบนัสความสัมพันธ์ +5มอบ สุราเซียนเมามาย สุราเกรดแดง ความสัมพันธ์ +20
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ สิบสอง เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามไฮ่ เวลา 21.00 - 23.00 น.
ราวเวลาสามทุ่มตรง แสงจันทร์ทอดผ่านเงากระเบื้องหลังคากระทบแนวเสาด้านนอก เงาไม้ไผ่ปลิวไหวตามแางลมที่อ่อน ๆ ในยามฤดุร้อนแห่งนี้ ที่พัดลอดชายระเบียงมาด้วยกลิ่นหญ้าสะอาด หอมเย็นจนหัวใจนิ่งสงบยิ่งกว่าคำกล่อมใด ๆ เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงสาวที่เพิ่งหายป่วยเดินช้า ๆ ไปตามระเบียงไม้เรียง ลมกลางคืนเอื่อยเย็นจนผิวซีดของนางเย็นวาบนิด ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นลมหนาว ร่างในชุดคลุมบางเดินออกมาช้า ๆ จากเรือนในความเงียบสงบของคุณชายอันเล่อและแม่นางหรงเล่อ เขาคงเป็นพ่อค้าเต้าหู้มีชื่อเสียงลือไกลละมั้ง? ซึ่งเธอได้มาพำนักชั่วคราวเพราะเหตุไม่คาดฝัน..
หนาน หลินหยา หญิงสาวจากกว่างโจวเดินไปเรื่อยจนมาหยุดอยู่ตรงระเบียงที่ทอดยาวไปยังลานกลางของบ้าน ด้านหน้าคือโต๊ะกลมไม้และม้านั่งทรงลมสลัดลายเมฆหกรพจาย สะท้อนแสงโคมไฟกระดาษแขวนสูงที่ยังสว่างอยู่ลาง ๆ แสงนั้นสว่างพอให้เห็นแต่ไม่รบกวนความเงียบงันของค่ำคืนนี้แม้สักนิด
นางหย่อนกายนั่งลงอย่างแผ่วเบา แล้วนิ้วเรียวกลับแตะขอบโต๊ะเบา ๆ ก่อนที่จะทอดสายตาของตนเองมองฟ้าด้านบนผ่านชายคาของด้านบนบ้าน …เงียบเกินไป เงียบเสียจนได้ยินเสียงของแมลงกลางคืนร้องเป็นจังหวะ ไม่มีเสียงของเสี่ยวเอ้อร์เดินลากรองเท้า ไม่มีเสียงหม้อจาก๊อกน้ำในครัวง ไม่มีแม้แต่เสียงซุบซิบจนน่าสงสัยว่าคนที่บ้านหลังนี้หายไปไหนกันหมดกันนะ?
หลินหยาเหลือบตามองไปรอบ ๆ ตัวช้า ๆ ราวกับต้นหาเงาของคนที่อาจจะยังไม่นอน แต่สิ่งที่ได้กลับมีเพียงความเงียบสงบชนิดที่กระจกในใจคนเริ่มสะท้อนตัวตนเองตัวเองออกมาอย่างชัดเจน..นั้นสินะ? ไม่มีใครเลย คงเข้านอนกันหมดแล้วละมั้ง? ทุกคนก็มีช่วงเวลาส่วนตัวนั้นแหละ นั้นคือสิ่งที่หลินหยาคิด นางคิดอย่างเรียบเฉยแต่ก็รู้สึกแปลกใจนิด ๆ อย่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ราวกับสถานที่แห่งนี้ใหญ่เกินไปสำหรับการอยู่อย่างว่างเปล่า ใหญ่เกินไปสำหรับคำว่า บ้านของพ่อค้าเต้าหู้ ใหญ่เกินไปสำหรับสองพ่อลูก???
แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้คิดต่อ นางเพียงพิงหลังกับขอบเก้าอี้เย็น ๆ เงยหน้ารับสายลมเงียบ ๆ ปล่อยให้เส้นผมสีดำของนางปลิวไหวและสะบัดข้างแก้มตนเอง คืนนี้เงียบดี ไม่ต้องฝันร้าน ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องทรมาร คืนนี้ลมดี กลิ่นเต้าหู้ก็ไม่ตามติดจนคลื่นไส้ แต่มีบางที่ซึ่งมีกลิ่นของถั่วเหลืองและเต้าหู้แรงกว่าที่ใด และแน่นอนว่าหลินหยาจะไม่ไปเหยียบที่นั้นเด็ดขาด
นางนั่งนิ่งอยู่อย่างงั้น สองมือของตนเองลูบรอยเส้นของโต๊ะไม้ที่เย็นจับผิว นิ้วบางของนางไล่ตามรอยวงของลายเนื้อนั้นอย่างใจลอย แม้จะยังไม่แข็งแรงเต็มรอยแต่นางรู้ดีว่าคืนแรกที่ได้ยืน ได้นั่งด้านนอกห้องเช่นนี้ คือคืนแรกของการกลับมาที่ตัวเองอีกครั้ง และในความเงียบนี้หลินหยาก็หวังเพียงว่าพรุ่งนี้เธอจะได้ยินเสียงของมนุษย์อย่างแม่นางหรงเล่ออีกนะ?
หลินหยานั่งอยู่ที่เดิมในยามค่ำคืนอันเงียบสงัด เงาของไม้ไผ่พลิ้วไหวทอดลงบนลานหินเรียบราบนั้น แสงจันทร์ครึ่งดวงชะโลมพื้นกระเบื้องเย็น ๆ อย่างอ่อนโยนจนดูคล้ายน้ำที่กลิ้งตัวในห้วงอากาศ หลินหยายังคงนั่งอยู่ตรงนั้นบนพื้นข้างโต๊ะทรงกลม แม้เรือนโดยรอบจะเงียบงันสงัดราวกับไร้ผู้คน แต่เสียงในหัวของนางกลับไม่เคยเงียบเลยแม้เพียงครึ่งอึดใจที่พัดผ่าน ในความนี้ไม่มีใครพูด ไม่มีใครถาม และไม่มีใครห้ามให้ความคิดต้องหยุดพักแม้สักคราเดียว
นางทอดสายตามองขึ้นท้องฟ้ายยามค่ำคืน สีดำเข้มยามค่ำคลี่ตัวราวกับผีนผ้ากำมะหยี่ ดวงดาวหลายดวงกระพริบประกายระยิบระยับราวกับลมหายใจของจักรวาน และในช่วงขณะนั้นเอง จิตใจของนางก็เผลอไหลย้อนกลับไปในห้วงของความคำนึงหาบางสิ่ง นางคิด คิดถึงสิ่งที่ทำให้ชีวิตของตนเองมีความสุข ไม่ใช่ความสุขของใคร ไม่ใช่คำว่าพอเหมาะหรือคำว่าพอดี ที่ผู้อื่นนิยายม ไม่ใช่ความสุขที่ต้องแลกมาด้วยอดทนฝืนกล้ำกลืนเพื่อให้ใครรักหรือยอมรับ แต่เป็นความสุขในแบบของเธอทั้งสิ้น
หลินหยาคิดถึงเสียงของเหรียญเงินที่กระทบกันเบา ๆ ในถุงผ้าเล็ก ทุกครั้งที่หยิบออกมาตอนซื้อของหรือได้รับจากเหล่าคนที่นางไปทำงาน รู้สึกเหมือนเป็นเสียงของอิสระทางการเงินที่กำลังขยับตัวอยู่ในมือเล็ก ๆ ของเธอ เธอชอบเวลาที่มีเงินใช้ไม่ขาดมือ ไม่ใช่เพื่อที่จะอวดใคร ไม่ใช่เพื่อที่จะดูดีในสายตาผู้คน แต่เพราะมันทำให้เธอไม่ต้องกลัว ไม่ต้องยืมใคร ไม่ต้องก้มหัว ไม่ต้องร้องขอ ไม่มีใครมาต่อรองด้วยความสงสารหรือใช้บุญคุณค้ำคอของเธอ มันเป็นความสุขที่แสนเรียบง่ายแต่สง่างามในแบบที่เธอรู้สึกปลอดภัยกับโลกใบนี้
แล้วก็ของกิน แึค่ได้ทานของอร่อยเท่านั้น แค่ข้าวอบรสอร่อยกลมกล่อม หรือหมูสามชั้นเค็มหวานในตอนที่ฝนตกหนักช่วงกลางวัน ซาลาเปาไส้เสื้อหอม ๆ ในวันที่เป็นเช้ามืด หรือกระทั่งผลไม้ที่หวานเปรี้ยวฉ่ำน้ำที่กัดเข้าไปมีรสหวานของน้ำฉ่ำ ๆ นั้นพวยพุ่งออกมาทุกครั้งที่กัดและเคี้ยวมัน หรือกระทัง้ข้าวกับเห็ดผัดตามฤดูก็ชวนให้คิดถึงว่าอยากกินเสียแล้ว หลินหยายังคิดว่าความสุขเล็ก ๆ ของเธอยังคงมีอยู่เสมอ หากได้กินเต็มปากเต็มคำ …
และหลังจากนั้นเธอก็ขยับมือมาทาบไว้ตรงอกของตัวเองเล็ก ๆ เหมือนกับปลอบหัวใจของตนเอง “แล้วก็…การมีใครสักคนที่คอยฟัง” เธอคิดถึงเสียงของตัวเอง ตอนที่พูดแล้วไม่มีใครฟัง หรือไม่อาจเข้าใจสิ่งใดได้ หรืออาจโดนมองว่าไร้สาระ เธอแค่ต้องการใครสักคนที่ไม่พูดแทรก ไม่ทำหน้าเบื่อหรือหันมองไปทางอื่น เธอต้องการคนฟัง ไม่ต้องเข้าใจทั้งหมดก็ได้ แค่ฟังเธอพูดเงียบ ๆ ตอนที่เธอเหนื่อยเกินกว่าที่จะเข้มแข็งเหมือนเดิม..ก็เพียงพอแล้ว..
“หวังว่าวันหนึ่ง..ข้าจะพบนะ”
นั้นคือความหวังของนาง…แล้วเริ่มคิดถึงกระถางพีชใบเล็กที่เคยปลูกไว้รอบ ๆ จวนสกุลหนานที่กว่างโตว มันไม่เคยโตเร็ว ไม่เคยต้องพูดหรือไม่เคยวิจารณ์เธอเลย แต่มันโตขึ้นทุกวัน แค่เธอรดน้ำ ใส่ปุ๋ย ดูแลมัน การปลูกต้นไม้ทำให้เธอรู้ว่าแม้สิ่งเล็กน้อยที่เธอทำ มันก็สามารถให้ชีวิตของอีกชีวิตนั้นเติบโตในแบบของมัน ในเวลาของมัน ไม่เร็ว ไม่ช้า เหมือนกับเธอ เธอก็แค่อยากมี่ชีวิตที่เติบโตในแบบของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องเร่งให้ทันใคร ..และสุดท้ายสิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ภายในหัวและห้วงจิตใจของเธอคือ…
การตกหลุมรัก ใครสักคน..
ไม่ใช่รักแบบอ่อนหวานในนิทาน ไม่ใช่รักแบบร้อนแรงตามตำรากามรมณ์ แต่เป็นรักที่เธอรู้สึกได้จากหัวใจของเธอที่เต้น แค่ได้เฝ้ามองใครคนหนึ่งจากมุมที่เงียบ ๆ แค่ได้คิดถึงเขาโดยที่ไม่ต้องพูดออกไป แค่ได้กลัวว่าเขาจะเจ็บ ได้ห่วงว่าเขาจะหนาวเย็น และรู้แค่ว่าเขายิ้ม เธอก็คงเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิเสียแล้ว … “การได้ตกหลุมรักใครสักคน..” หลินหยาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง น้ำเสียงเหมือนลมหายใจเคลื่นอที่ในความเงียบ มันทำให้ชีวิตมีอะไรบางอย่างให้เฝ้ารอ
แล้วนางก็เงียบไปอีกครั้ง มองแสงจันทร์ที่กระทบพื้นกระเบื้องตรงหน้านั้น ไม่มีใครรู้ว่าในเด็กสาวที่เหมือนไร้พิษภัยคนหนึ่ง แม้จริงแล้วก็มีกลิ่นคลื่นของความคิดมากสาดกระแทกภายใน แต่หลินหยารู้ว่าชีวิตนั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบ เธอยังมีความสุขเล็ก ๆ ในหลายอย่างที่ทำให้โลกใบนี้ไม่ได้กลวงเปล่าเกินไปด้วยซ้ำ อย่างน้อยคืนนี้ก็เป็นคืนที่ฟ้าไม่มืดจนเกินไป และหัวใจเธอก็อาจจะไม่เดียวดายเพราะมีธรรมชาติคอยชี้นำ
เสียงลมยามค่ำยังพัดเบา ๆ แผ่วปลายเสื้อคลุมของหลินหยาที่นั่งพิงขอบม้านั่งไม้ตรงเฉลียงกลางจวนแห่งนี้ เสี้ยวจันทร์ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นเหนือยอดชายคา เงาไม้ไหวกลิ้วหวานอย่างเงียบงัน ขณะที่หญิงสาวกำลังนั่งคงเหม่อคิดถึงทุกอย่างที่ทำให้เธอมีความสุขอยู่เงียบ ๆ และแน่นอนว่าความสุขก็ชอบมาหาในเวลาที่คนเรานั้นคิดถึงมันพอดีเสียด้วยสิ?
ตุ๊บ…
เสียงแผ่วเบาเล็กน้อยดังมาชายระเบียงฝั่งหนึ่ง ก่อนที่เงาร่างเล็ก ๆ จะกระโดดมาพร้อมกับเสียง “เหมียว ว วววววว” แผ่ว ๆ หลินหยาที่เห็นเบิกตาน้อย ๆ ก่อนที่จะก้มลงไปมองแล้วสิ่งที่เธอเห็นคือแมวจรสีขาวครีมปนส้มตัวไม่ใหญ่มาก แต่นวลแล้วก็กลมป้อมอย่างน่าประหลาดเดินย่องเข้ามาด้วยท่าทีระวังเล็กน้อย ขนฟู ๆ ของมันสะท้อนแสงโคมอย่างอ่อนโยน ใบหูตั้งหงึก ๆ จมูกสีชมพูกระดิกสูดกลิ่นอะไรบ้างอย่าง ก่อนที่จะย่องก้าวย่อง ๆ เข้ามาอยู่ในระยะขาของนางอย่างไม่ลังเล…
“เจ้าเหมี๋ยว..” เสียงของหลินหยาเปล่งออกมาครั้งนี้เบาก็จริง แต่แววตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของนางกลับเปล่งประกายเหมือนเด็กน้อยเห็นของโปรดของตนเอง นางแทบไม่รอให้แมวขยับตัวไปไหนด้วยซ้ำ ทันทีที่เจ้าขนนุ่มฟูย่องตัวจะเตรียมนั่ง เธอก็ก้มลงแล้วก็จับฟัดมันเต็มเข้าสองแขนของตัวเอง “โอยยยยย ขนนุ๊มนุ่ม ข้าน่าจะตายไปแล้วแล้วขึ้นสวรรค์แน่ ๆ!” เสียงฟืดฟัดจรากนางเริ่มดังขึ้นตามแรงฟัด ไม่สนเลยว่าตัวเองยังไม่ฟื้นดีหรือไม่ มือซ้ายลูบหัว มือขวาลูบท้อง ลูบไล้ทุกอนูจากเจ้าขนฟูที่ร้องครางเหมียวเหมียวอย่างงุนงง แต่กลับไม่ได้หลบหนีแต่ยอมให้เธอกอดแน่นแนบอกอยู่แบบนั้น
“อุแง๊งงงง เจ้าเป็นแมวสวรรค์ใช่ไหม ข้ารู้…แอบแปลงร่างมาปลอบข้าใช่หรือไม่! น่ารักเกินไปแล้ววว~!”
เสียงฟูมฟายผสมเสียงหัวเราะคิก ๆ เริ่มดังขึ้นกลางเรือนที่เงียบงันเมื่อครู่นี้ บรรยากาศเปลี่ยนไปจากความสงบอ่อนโยนเป็นอบอุ่นจนน้ำตาแทบไหลเลยล่ะ หลินหยาทิ้งตัวนอนตะเองบนพื้นแล้วอุ้มเจ้าเหมียวขึ้นมาแนบอกตัวเอง ปล่อยให้มันใช้อุ้งเท้ามังคุดสีชมพูนั้นเหยียบท้องของเธอเบา ๆ ขณะที่หัวแมวซุกอยู่ใต้คางของนางเอง ปลายนิ้วเรียวยาวของเธอก็เริ่มลูบขนเบา ๆ อย่างเป็นจังหวะ ราวกับมือของใครบางคนที่รู้จังหวะของหัวใจเธอมากกว่าตัวเธอเองเสียอีก “เจ้าชื่ออะไรน่าาา ยังไม่มีชื่อหรออ เป็นแมวจรสินะ” นางเอ่ยขึ้นแล้วทำท่าทางร่าเริง “เรียกว่าเจ้าฟูซิ่วดีไหมมม” เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอาจมูกซุกกับหลังคอเจ้าแมวจนฟัดเต็มแรงอีกครั้งหนึ่ง
เจ้าเหมียวร้องออกมาในลำคอคล้ายจะตอบรับหรือว่าแค่หมดแรงต้านจากการถูกอุ้มจนหัวหมุน เสียอย่างงั้น ในคืนนี้จู่ ๆ หัวใจของแม่นางหลินหยาก็เหมือนถูกใครโอบกอดไว้จริง ๆ อย่างแนบแน่น ไม่ใช่ด้วยคำพูด ไม่ใช่ด้วยมนุษย์ แต่เป็นเจ้าก้อนกลม ๆ ขนนุ่ม ๆ ที่ไม่มีคำพูดใดออกมา แต่กลัยบทำให้นางรู้สึกว่าโลกทั้งใบไม่น่ากลัวอีกเลย
ไม่มีอะไรฮีลใจได้เท่ากับแมวตัวหนึ่งในยามกลางคืนนี้อีกแล้ว โดยเฉพาะในวันที่คุณคิดว่าตัวเองนั้นหลงทางในโลกนี้..แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตขนปุยตัวหนึ่งกระโดดมาให้อุ้มโดยไม่ลังเล
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่รางวัล: -
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ สิบสอง เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามจื่อ เวลา 23.00 - 01.00 น.
ฟิ้ว ว ว
ในขณะที่เข็มเวลากำลังคืบคลานเข้าสู่ยามจื่อ ยามแห่งรัตติกาลที่เงียบงันที่สุดของวัน ลมกลางคืนที่เคยเพียงเย็นสบายตอนนี้เริ่มหนาวเย็นเยียบจับเนื้อโดยที่ไม่รู้ตัว อุณหภูมิโดยรอบดูลดต่ำลงอย่างประหลาดผิดวิสัยนัก แสงจันทร์ข้างแรมกึ่งดวงถูกเมฆบางมาบดบังเพียงชั่วครู่ยามหนึ่ง ทว่าความมืดที่แผ่มานั้นกลับกดบรรยากาศรอบตัวลงอย่างไม่อาจอธิบายได้
หลินหยายังคงนั่งเอนกายนิด ๆ บนพื้นใกล้ม้านั่งใต้เฉลียง ร่างกายสีครีมส้มของเจ้าแมวยังวางแหมะอยู่บนตักของเธอท่ามกลางเสียงลูบขนที่กล่อมเวลาให้ไหลเวียนไปอย่างเนินนาน ไม่มีใครอยู่้ในจวนตอนนี้ ไม่มีแม้แต่เสียงจิ้งหรีดยามฤดูร้อน มีเพียงเสียงของสายลมเย็นที่เริ่มแทรกซึมส่วนของผิวงผ่านเหมือนมีชีวิตที่มีมือใดลูบผ่านต้นคอเธออย่างช้า ๆ ในตอนแรกหลินหยาเพียงรู้สึกว่าอากาศเย็นขึ้นก็เลยกะว่าจะกลับไปหาผ้ามาห่มให้เรียบร้อย แต่แล้ว แมวบนตักของเธอก็หยุดขยับ เจ้าเหมียวยันตัวขึ้นขนฟูกระจายไปทั่วตัว ดวงตากลมโตต้องไปยังมุมมืดข้างตัวเรือนแล้วมันก็ขู่เบา ๆ เสียงต่ำ แผ่ว ราบ แต่น่าขนลุกกว่าเสียงร้องใดที่เธอเคยได้ยิน
“หืม?...เจ้าเหมียว?” หลินหยาเอ่ยร้องเบา ๆ แต่ไร้คำตอบจากเจ้าแมวที่ปกติน่าจะยินดีที่จะโดนคลอเคลียหรือถูกเรียกไม่ใช่หรอ?? มันยังต้องไม่กระพริบไปยัง บางสิ่ง ที่หลินหยาไม่เห็น มุมหนึ่งของเสาเรือน มุมที่เงามืดสุมตัวทึบทั้งที่ไม่มีอะไรบังแสงแม้สักครา เสียงสายลมอ่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นคล้ายเสียงกระซิบ คล้ายเสียงพูดที่ไร้เสียง ดุสายลมหอบเบา ๆ ที่หู แต่กลับไม่มีลมใดพัดผ่านปอยผมของนางแม้แต่เล็กน้อย
ในจังหวะนั้นเอง…ปึ้ง!!
เสียงเหมือนอะไรบางอย่างตกกระทบพื้นกระเบื้องตรงมุมเงาทึบนั้น แต่เมื่อหลินหยาหันไปก็พบแต่เพียงความว่างเปล่าเสียอย่างงั้น ไม่มีกิ่งไม้ ไม่มีถ้วยชา ไม่มีแม้แต่เศษของใบไม้ แต่ความเย็นมันเย็นยิ่งกว่าเดิม แม้จะมองไม่เห็นอะไร แต่จู่ ๆ หญิงสาวกลับรู้สึกว่าข้างหลังของตัวเองเหมือนมีใครอยู่ ลมหายใจใครบางคนซึมผ่านผิวหลังคอราวกับแรบใบหน้าลงใกล้ในระยะแค่เอื้อม แล้วแต่หันไปมองก็ไร้คน ไม่มีใคร ไม่มีอะไรเลย
หลินหยากลืนน้ำลายฝืด ๆ ลงคอของตนเองแล้วมองเจ้าเหมียวอีกครั้งหนึ่ง พบว่าตอนนี้แมวบนตักเธอกำลังสั่นอยู่…
ชิบหายละ…
เธอขยับมือเอามือลูบแล้วอุ้มเจ้าแมวน้อยมาแนบอกตัวเองเพื่อปลอบมันเงียบ ๆ
“ท่านเจ้าที่เจ้าทางได้โปรดปกป้องลูกด้วย…ได้โปรดอย่าหลอกกันนะเจ้าคะ” นางเอ่ยเสียงของหลินหยาในตอนนี้กลั่นออกมาจากคอของเธอ ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงพูดแบบนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงแน่ใจนักว่าบางสิ่งอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะปรากฎตัวให้เห็นหรอก แต่เขาน่าจะกำลังเฝ้ามองอยู่ อยู่ใกล้ ๆ เพียงปลายลมหายใจ
บรรยากาศที่มืดมิดดูหนักขึ้นเรื่อย ๆ และทันใดนั้นเอง เพล้ง!!
กระถางกดินเผาเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมผนังลานด้านในสุดของเรือนก็ร่วงตกแตกโดยที่ไม่มีใครแตะต้อง ดินกระจายข้ามทางเดืินราวกับว่ามีแรงกระชากจากภายในมันเอง หลินหยาแทบไม่กล้าขยับแม้เพียงปลายนิ้ว เจ้าแมวกระโดดออกจากอ้อมแขนของเธอพุ่งหนีหายไปในเงามืดใต้ชายคาโดยไม่หันกลับมามอง หลินหยายกมือทาบอกสูดลมหายใจเต็มปอดแต่ยังรู้สึกอากาศไม่พอ ร่างกายชาหนึบเย็นเฉียบ มือที่ยกขึ้นสั่นเทาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว นางรู้ดีว่านั้นไม่ใช่เงา ไม่ใช่ลม แต่คือสิ่งที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อนเธอ
เธอกำลังจะก้าวลุกขึ้นเพื่อเข้าห้องอย่างระวังทุกย่างก้าวเหมือนเหนียบอยู่บนพื้นดินที่ไม่มั่นคง และเมื่อเธอหันกลับมาดูเป็นครั้งสุดท้าย ตรงมุมเงาทึบที่กระถางร่วงเมื่อครู่มีรอยเท้า รูปเท้ามนุษย์ หันเข้าหาหลินหยาอย่างพอดิบพอดี ทั้งที่พื้นไม่ได้เปียกแม้แต้น้อย…
หน้าของหลินหยาซีดทันที เธอรีบวิ่งหนีเข้าห้องพักรับรองที่ตัวเองพักแบบไม่คิดชีวิต..ผีเจ้าที่ไม่ชอบเธอหรอ? มาไล่หรอ..หรือยังไง ยยังไงง่ะ กลัว กลัว
ประตูบานไม้แผ่วเบาค่อย ๆ ปิดลงพร้อมกับเสียงแกร๊ก ที่ดังชัดเจนเกินปกติในห้องรับรอง หญิงสาวตัวบางรีบขยับปิดด้วยมือสั่น ๆ แล้วพยายามคิดว่าไม่เหลือช่องว่างให้สายลมหรือสิ่งใดลอดผ่านเข้ามาได้ทั้งที่รู้ว่าเป็นการกระทำอันไร้ค่า เธอไม่แม้แต่จะเหลียวหันกลับไปอีกด้านของห้องเลย แสงจันทร์จากหน้าต่างซีดจางลงเพราะเมฆดำหม่น เธอเดินเร็ว ๆ กึ่งวิ่งจนเสียงปลายเท้าดังปึกปัก ๆ ขึ้นเตียงแล้วกระโดดขึ้นไปทันที ร่างเล็ก ๆ ม้วนตัวกลมเหมือนลูกแมวตื่นตระหนก ซุกกายลงใต้ผ้าห่มผืนบางแล้วยกมือขึ้นคลุมโปงปิดหัวจนมิด
“ฮื้อออออออออ” เสียงครางอู้อี้ในลำคอแทบไม่ได้เปล่งเป็นคำพูด หัวใจของเธอเต้นรั่วเหมือนกลองศึกรบแบบทุงยาบาเล ผนังอกกระเพื่อมแรงจนสัมผัสได้ถึงชีพจรของตัวเองด้วยซ้ำ เธอกอดแขนแน่น ร่างกายยังสั่นระริก ทั้งที่ใต้ผ้าห่มอุ่นอบอวลไปด้วยกลิ่นยาจาง ๆ จากในห้องที่โดนใช้รักษาเธอมาตลอดสามสี่วัน
ใต้ผ้าห่มสีอ่อนเธอกำลังพยายามสะกดลมหายใจอย่างช้า ๆ แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนมือก็ยังเย็นเฉียบ ราวกับบางสิ่งที่อยู่ข้างนอกนั้นได้กลืนเอาความอบอุ่นของอากาศไปเสียหมดแล้วนั้นเอง
“ถ้ามีอะไรอยู่ก็อย่าเข้ามาเลยนะเจ้าคะ…ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคนเถอะเจ้าค่ะ” เสียงอู้อี้ ๆ ดังเบา ๆ กระซิบราวกับเด็กน้อยที่กำลังอ้อนวอนอยู่ “ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ก่อนข้าก็ถืทอว่าได้โปดรเมตตาที่ข้าเผลอไปรบกวนด้วยเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้” เสียงในลำคอกลืนหายไปกับความเงียบของเธอ เธอกัดริมฝีปากตัวเองแน่น พยายามหาที่ยึดเหนี่ยวแล้วริมฝีปากเล็ก ๆ นั้นก็เริ่มขยับช้า ๆ กล่าวในความมืดมิดราวกับท่องบทสวนที่ไม่มีบทไหนเขียนไว้เลย
“ผีปู่ย่าตาทวดของข้า ถ้าท่านยังอยู่ ขอจงปกปักษ์ปกป้องคุ้มครองหลานด้วยเถิดเจ้าค่ะ หากข้ายังมีบุญเหลือ หากข้ายังเป็นสายโลหิตของบรรพบุรุษ ขอท่านอย่าให้ข้าต้องพบเจอเรื่องที่ไม่สมเหตุสมควรเช่นนี้ด้วยเถิดนะเจ้าคะ” เสียงของเธอเหมือนเริ่มสั่นเห็นได้ชัด น้ำตาตลอเต็มขอบตาใต้ผ้าห่มเลยล่ะ
“แม้แต่ผีบ้านผีเรือน เทวดาประจำตัว ท่านที่อยู่ข้างกายข้าตลอดชีวิต ถ้าท่านมีจริงได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะนะเจ้าคะ” นางเอ่ยขึ้นแล้วกอดหมอนใต้ผ้าห่มแน่นขึ้นไปเอง คลุมโปงเสียจนลมหายใจเริ่มอับชื้น แต่ในความอึดอัดนั้นเธอไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีเสียงกระซิบ ไม่มีฝันร้าย มีเพียงเสียงลมหายใจของเธอที่ยังเต้น และความเงียบที่กลับคืนมาอีกครั้ง อาจจะไม่มีใครตอบ แต่หลินหยารู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
และตอนนี้พยายามจะหลับตาลงภาวนาให้ฟ้าสางมาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ทว่าค่ำคืนอันยาวนานในยามจื่อนั้นกลืนกินทุกแสงสว่างไปหมดแล้วในตอนนี้บ้านพ่อค้าเต้าหู้(?)หลังงามนั้นเงียบสงัดราวกับกลายเป็นอีกหนึ่งภพหนึ่ง หลินหยานอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้ไผ่ ผ้าห่มคลุมถึงปลายคาง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง จ้องเพดานไม้ไผ่เหนือศีรษะอย่างแน่นิ่งไม่กระพริบตา ราวกับว่านางไม่ใช่คน แต่เป็นตุ๊กตาที่ลืมกลับตาเสียงั้น
ทั้งที่ร่างกายเหนื่อยล้า หัวสมองก็พึ่งผ่านพ้นอะไรไปก็ไม่รู้ แต่เปลือกตากลับไม่ยอมหลุบลงแม้สักนิดเดียว หัวใจเต้นเป็นจังหวะปกติ ทว่าความรู้สึกกลับไม่ปกติเลยสักนิดเดียวหรือเสี้ยวเดียวเลย นางพลิกตัวไปข้างหนึ่งก็นอนไม่หลับ พลิกตัวกลับไปอีกข้างก็ยังนอนไม่หลับ ผ้าห่มถูกปรับให้พอดีร่างก็แล้ว แต่กลับรู้สึกหนาวยะเยือกชวนประหลาดใจจริง ๆ ทั้งที่อากาศในห้องก็อบอุ่นด้วยความที่มีอากาศอบอยู่ภายในตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ
“โอ้ย…”
ตอนนี้เสียงร้องของสัตว์ภายนอกร้องครวญครางอยู่ไกล ๆ ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาก็ยังไม่พอที่จะกล่อมใจนางให้สงบได้ ความคิดมากมายลอยนในหัวเหมือนฝูงผึ้งตอง กระพือปีกไม่มีวันหยุดยั้งสักครา ตั้งแต่เรื่องแมวจร ตั้งแต่เรื่องเมื่อครู่ ไปจนถึงใบหน้าของเถียนเฟิงผู้แสนสุขุม แต่มีแววตายคล้ายกลืนคนทั้งเมือง หรือกระทั่งยามที่หรงเล่อจับข้อมือป้อนน้ำ ป้อนข้าวด้วยแววตาอ่อนโยนปนประหลาดใจ แล้วก็กลับไปที่คำถามเดิมว่าทำไมแม่งนอนไม่หลับกันวะครับเนี้ย?
หรือเพราะฝันร้ายที่พึ่งประสบมาเมื่อกี้? หรือเพราะยังรู้สึกถึงเงาเย็นเฉียบที่เคยเกาาะหลังอยู่ตรงนั้น? หรือเพราะว่าร่างกายเพิ่งตื่นจากอาการสลบยไปสามวันเต็ม ๆ เลยไม่ยอมเข้าสู่ห้วงนิทราในราตรีนี้แบบปกติ? หรือเพราะว่ายังไม่หายตกใจวะเนี้ย..
“เห้ออออ” เสียงถอนหายใจเงียบ ๆ เล็ดรอดออกมาจากลำคอของเธอ หลินหยาพลิกตัวหันหน้าออกนอกเตียง มองไปทางหน้าต่างที่ปิดสนิท แต่แสงจันทร์บาง ๆ ก็ยังสาดเงาเข้ามาบนพื้นได้ ลากผ่านลายไม้ที่โค้งเว้าอย่างปราณีต นางทำเพียงเงี่ยหูฟังความเงียบ คิดจะพนมมือสวดมนต์ก็มือเย็น ไม่อยากขยับตัวด้วยซ้ำหลังกลัวเงาบนเตียงจะมีอะไรอีก หัวใจจะไม่ยอมหยุดดิ้นหรือหยุดเต้นรัวไปเสียได้
“ถ้ายังไม่หลับอีกนะ ฉันคงได้ตื่นไปล้างเต้าหู้แล้วหลับไปตลอดวันแน่ ๆ หลับเถิดดดด” เสียงพึมพำ ๆ ดังเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ดึงผ้าห่มให้กระชับขึ้นไปอีกราวกับจะใช้ผ้าห่มแทนโล่กันสิ่งเร้นลับที่เคยเกิดขึ้น นางหลับตาลงช้า ๆ พยายามฝืนคิดถึงและฝันถึงอะไรดี ๆ เช่นแปลงต้นพืชที่งอกงามในบ้านหลังเก่า แมวจรที่มาบนตัก หรือแม่แต่เสียงเครื่องดนตรีที่บรรเลงในวัยเด็กที่ท่านย่าเคยสอนไว้ แต่ไม่ว่ายังไงตาของนางก็แข็งเหมือนกินคาแฟอีนมาเต็มขวดเสียนงั้น ยิ่งฝืนก็ยิ่งตื่น ยิ่งพยายามก็ยิ่งลืมตาเสียเฉย ๆ
สุดท้ายหลินหยาก็ทำเพียงถอนหายใจอย่างยอมแพ้ สอดมือเข้าใต้หมอน ลูบเส้นผมของตัวเองเบา ๆ บึมพำด้วยเสียงเบาจนเหมือนเสียงลมพัดผ่านหูก่อนที่เธอจะพยายามนอนอีกครั้ง ให้มันจบลงอีกสักครั้ง…
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่รางวัล: +50 พลังงาน