[ห้องขังหมายเลข 1][ คุกหลวง ] หลิน หยา
<style type="text/css">BODY{background:url("https://img5.pic.in.th/file/secure-sv1/26d5b83f8cbc551426ef6fb37fa1e5b5c33e1ffa5951b-1oDlLh_fw658webp.png"); background-attachment:fixed; }</style><style type="text/css">.head1 {background-color:none ;}.head2 {background-color:none ;}</style><style>
#boxx01 {
border: 0px double ;
box-shadow: rgb(141, 163, 147) 1px 1px 1em;
border-radius: 25px;
padding: 30px;
background-image: url("https://i.imgur.com/sHURGMB.png");}
#boxx02 {
border: 0px double #1B1F2A;
width: 80%;
padding : 0px 0px;
box-shadow: 2 2 3px rgba(0, 0, 0, 0);
background-color: #1B1F2A; }
#boxx03 {
width: 500px;
border: 0px solid #f6b262 ;
padding: 30px;
box-shadow: rgba(0, 0, 0, 0) 2px 2px 1em;
border-radius: 25px;
background-image: url("https://i.imgur.com/pGX3lk9.png");}
</style>
<link href="https://fonts.googleapis.com/css2?family=Charmonman:wght@400;700&family=Niramit:ital,wght@0,200;0,300;0,400;0,500;0,600;0,700;1,200;1,300;1,400;1,500;1,600;1,700&family=Zhi+Mang+Xing&family=Niramit:ital,wght@0,200;0,300;0,400;0,500;0,600;0,700;1,200;1,300;1,400;1,500;1,600;1,700&display=swap" rel="stylesheet">
<div align="center">
<div id="boxx01">
<div id="boxx02">
<div style="margin-top: 100px; margin-left: 0px;text-align: center;">
<img style="width: 50%;" src="https://img5.pic.in.th/file/secure-sv1/-1387be4e0faa247320.png" border="0" alt=""></div>
<div style="margin-top: -100px; margin-left: 0px;text-align: center;">
<font color="#ffffff"><span style="text-shadow:#8888AA 2px 2px 1em;"><div style="text-align: center;"><span style="text-align: initial; white-space: initial;"><font size="20" face="Zhi Mang Xing">大牢</font></span></div></span></font>
<br></div>
<div style="margin-top: 0px; ">
<img style="border: 5px double rgba(255, 186, 130, 0.08); border-radius: 25px; box-shadow: rgba(255, 186, 130, 0.08) 2px 2px 1em; overflow: auto; width: 700px;" src="https://img5.pic.in.th/file/secure-sv1/9c471e75ebcad7ffa871ab81baa34931.jpg" border="0" alt=""></div>
<br>
<br><br>
<div id="boxx03">
<font face="Niramit" size="3"><font color="White"><br><br>
<font face="Niramit" size="7">ห้องขังหมายเลข 1</font><br><br><font face="Niramit" size="5"><b>[ คุกหลวง ]</b></font><br><br><i>+50 พลังงานจากการพักผ่อนและกินอาหารวันละมื้อ</i><br>
<br>
<div align="left">
ห้องขังในคุกหลวงห้องหนึ่งพื้นหินเย็นเฉียบปูด้วยกองฟางแห้ง ๆ ในห้องมีเพียงแสงสว่างที่ลอดจากช่องกรงเหนือศีรษะสูงหรือแสงตะเกียงน้ำมันยามค่ำคืนเท่านั้นกลิ่นชื้นอับปะปนกลิ่นโลหิตจากไม่อาจแยกได้ว่ามาจากห้องใดมื้ออาหารประทังชีวิตเห็นทีจะมีเพียงก้อนหมั่นโถวแข็ง ๆ น้ำหนึ่งแก้ว หรืออาหารที่เหลือเศษให้ทานยังชีพก็เท่านั้น
</div>
<br><br>
</font></font></div>
<br><br><br><br>
</div>
</div></div>
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ 26 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามไห่ เวลา 22.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ คุกหลวงห้องขังหมายเลขหนึ่ง
เสียงสนิมกรงเหล็กนั้นเสียดกับพื้นหินดัง ครืดดด… ก่อนที่ประตูนั้นจะถูกปิดลงจากด้านนอกโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ ออกมา ชายฉกรรจ์สองคนถอยห่างจากบานประตูนั้นดั่งตั้งใจแยกตัวจากคนที่พวกเขาคุมมาให้โดยเร็วที่สุด ร่างบางของหลินหยาก้าวเข้าสู่ห้องขังที่มีความเงียบสงัดเป็นเพื่อนนางโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด แม้เงาของนางที่ทอดผ่านพื้นหินจะสั่นไหวเพราะเปลวไฟจากตะเกียงในมุมสูง แต่เจ้าของเงากลับนิ่งงัน เย็นเยียบประหนึ่งกำลังเดินเข้าไปในห้องของตนเอง..
“มีห้องครั้งแรก..ก็ห้องขังเลยสินะเนี้ย..” เธอพึมพำ
กลิ่นอับของเชื้อราบนกำแพงผสมกับกลิ่นสนมเลือดและฟางเก่าที่เหี่ยวแห้งจนหลงเหลือเพียงเสียงก๊อบแก๊บยามเท้าก้าวเหยียบพื้น หลินหยาทิ้งตัวนั่งลงอย่างเงียบงัน มือเรียวพิงกำแพงเย็นจัด พลางทอดสายตาไปยังช่องแสงเหนือหัวของตนเอง แสงเรืองจางลอดผ่านกรงเหล็กเล้ก ๆ อย่างแผ่วเบา ราวกับฟ้าด้านนอกก็ไม่ได้อยากจะมองเข้ามายังห้องนี้เสียเท่าไร
หลินหยานั้นหลับตาลงเงียบ ๆ ไม่ได้เพราะเหนื่อยหรือหวาดกลัว หากแต่เพราะหัวของเธอคล้ายกำลังว่างเปล่าเกินไป ความเงียบงันอันน่ากลัวไม่ใช่เสียงในห้องขัง แต่เป็นเสียงภายในจิตใจตนเองที่ไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ทั้งความกลัว ความคาดหวัง ความหวัง ทั้งหมดนั้นดูเหมือนจะถูกเหยียบจนจมหายไปกับฝุ่นฝ้าบนพื้นไปเสียแล้ว มือข้างหนึ่งของหลินหยาขยับออกช้า ๆ ตรงข้างขวา ดึงชายผ้าพันแขนออกจากมือของตนเองราวกับหวังเพื่อระบายความร้อนใต้ผิวหนังหรือไม่ก็ลดความคับแน่นของแขน
ทว่า…
เมื่อผ้าพันแขนหลุดออก เธอกลับพบสิ่งที่ไม่ควรปรากฎอยู่บนร่างตนเอง เส้นเลือดสีเขียวหม่น ปรากฎขึ้นมาจางบ ๆ ราวกับเถาวัลย์บางชนิดที่แอบเลื้อยพันในเงามืด เส้นสีเขียวนั้นไม่มาก หากแต่มันกำลังขยายตัวขึ้นจากครั้งแรกเล็กน้อย และไหลเวียนในแนวเดียวกับเส้นเลือดของเธอ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่กำลังหาเส้นทางของมันอยู่..
“....”
หลินหยาจ้องมองแขนของตัวเองนิ่งเงียบ นางไม่แสดงสีหน้าตื่นตระหนกนัก แต่อึดอัดแปลกประหลาดเมื่อมีบางสิ่งจุกค้างในลำคอ “แปลก..” นางพึมพำเบา ๆ ลมหายใจถูกกลืนกลับเข้าไปในอก ริมฝีปากเม้มเข้าหากันขณะนิ้วเรียวแตะเบา ๆ บริเวณเส้นสีเขียวนั้น ไม่เจ็บ ไม่แวบ ไม่ชารุนแรง แต่ราวกับมีความเย็นบางอย่างที่กำลังไหลซึมเข้าสู่ร่างกายจากภายใน เป็นความเย็นที่ไม่อาจอธิบายได้ มันไม่ใช่อาการของไข้หวัด ไม่ใช่อาหารออนแรงจากการอดนอน หรือพิษจากอาหารเสีย แต่มันเป็น อะไรบางอย่าง ที่นางก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน..
“เพราะข้าป่วย..ใช่ไหมนะ?” น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาดังขึ้นแทบไม่พ้นขอบปาก ตาหวานจ้องมองมือตัวเองซ้ำไปซ้ำมา เธอไม่รู้ไม่เข้าใจว่านี้คืออะไร เธอไม่รู้ว่ามันเกี่ยวอะไรตอนไหนด้วยซ้ำ ไม่รู้หรอกว่าเลือดของใครบางคนที่เป็นพิษร้ายกำลังแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของนางเอง แต่ที่แน่ ๆ หลินหยาไม่เคยรู้ว่าใครบางคนมอบ พิษ นี้ให้เธอโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดซึมเข้าสู่เส้นเลือดภายใต้ผิวเนื้ออ่อนละมุนเช่นนี้ ตั้งแต่เมื่อไรหรือนานเท่าใด
ไม่มีคำตอบหรือคำอธิบายจากใคร หลินหยาค่อย ๆ ขยับมือดึงผ้าพันแผลกลับขึ้นไว้พันไว้ดังเดิม แม้มือจะเริ่มสั่นน้อย ๆ จากอากาศเย็นในห้องขัง และจากแรงล้าที่ไม่อาจออกมาได้ แต่นางก็ยังคงนิ่ง ไม่โอดครวนอะไรออกมา จ้องมองเพดานนั้นอย่างเงียบ ๆ เหมือนกำลังรอเวลา
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: เมื่อไรหนอ จะมีเลข 0 กับเลข 9รางวัล: -
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ 27 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามจื่อ เวลา 00.00 น. ณ ถนนสิบลี้ คุกหลวงห้องขังหมายเลขหนึ่ง
“หาววว…” เสียงหาวเบา ๆ ดังขึ้นภายในห้องขังเย็นเฉียบที่ไร้ผู้คนเป็นพยาน ร่างบางในชุดธรรมดาของสาวชาวบ้านขยับตัวช้า ๆ พลางลืมตามขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเปลวไฟของตะเกียงน้ำมันตรงมุมห้องวูบไหวไปมา แม้ไม่มีลม ไม่มีเสียงฝีเท้าใดเข้าใกล้ นางก็รุ้ว่ามันไม่ได้แปลกนัก เพราะยังไม่ข้ามวัน เปลวไฟอาจจะเต้นระบำไปตามจังหวะของความชื้น ความหนาวเหน็บ หรือว่า..จะเป็นความว่างเปล่าของห้องขังแห่งนี้เองก็เป็นไปได้
“เห่อ…ฮาวววว” หลินหยาหาววอดอีกครั้ง จนต้องยกหลัวมือขึ้นปิดปาก แม้ไม่รู้ว่าเธอหาวเพราะง่วง หรือเป็นการถอนหายใจแบบหนึ่งที่เธอใช้ก็เถอะ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว ร่างบางขยับตัวเล็กน้อยขณะมองไปยังพื้นหินที่มีฟางแห้งแผ่กระจายอยู่เบื้องล่าง แต่เมื่อสายตาจับจ้องจริง ๆ จะพบว่า ฟางที่เห็นนั้นมีบางส่วนที่เปียกชื้น มันไม่ใช่จากหยาดน้ำฝนจากข้างนอก น่าจะเป็นหยาดน้ำจากผนังที่ซึมไหลลงมาสะสมอยู่ตามซอกมุม ความชื้นผสานกับกลิ่นสาบของสนิม และเศษของอาหารเน่าเสียจาง ๆ ทำให้ฟางเหล่่านั้นก็ไม่ต่างจากการหมักรอเวลา
“ชื้นจังเลย..” เสียงพูดของหลินหยานั้นแผ่วเบา ดวงตาที่แม้เคยสว่างไสวเหมือนกลุ่มดาวบนฟ้าคืนเดือนดับ บัดนี้กลับขุ่นหมองและอ่อนแรงลงไปมากโข มือข้างหนึ่งค่อย ๆ กวาดฟางที่ชื้นเหล่านั้นไปไว้ด้านหนึ่ง ไม่ได้รังเกียจ แต่แค่ไม่อยากให้มันยิ่งแย่ลงกับร่างกายที่ไม่ค่อยจะปกติของเธอ
หลินหยาเปลี่ยนใจไม่นอนบนฟาง แต่เลือกที่จะนอนราวกับพื้นหินเย็นเฉียบแทน เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่เปียก ความเย็นของหินคล้ายคุ้นเคยเหมือนการนอนกลางดินในป่าลึก คืนหนาวเหน็บบนหลังคาชาวบ้านตอนที่เดินทางมาที่ฉางอัะน หรือแม้กระทั่งที่เธอต้องกอดเหล้าหมักไว้กลางสวนผลไม้เพราะหลบท่านพ่อและท่านแม่ ร่างกายของหลินหยานั้นชินเสียแล้ว..
ชินกับความเหงา เย็นกับความเย็น ชินกับการที่ต้องเอาตัวรอดอย่างเงียบงัน
นางเอียงกายพิงไหล่เข้ากับกำแพงหิน สีหน้ามิได้ทุกข์ทนอะไรมากนัก เพียงแต่แววตานั้นดูเหมือนจะจางลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับในใจของนางที่เคยตะโกน วันนี้กลับเงียบงัน “ไม่รู้จะไต่สวนตอนไหนกันด้วยสิ..” เสียงของนางพูดกับตัวเองคล้ายขำเย็น ๆ ปนแค่นเสียงของตน “แต่ก็ไม่แปลกหรอก..ถ้าไม่ทันถึงวันนั้น..ข้าอาจจะตายไปก่อนก็ได้นะ”
หลินหยาไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่น้อยใจอะไร ไม่ได้เปล่งคำพูดออกมาเพราะกลัวตาย แต่มันคือความจริงที่นางนั้นมองตรงเข้าไปตรงนั้น ถ้ามีอะไรฆ่านางได้ง่ายดายกว่าดาบของราชสำนักก็คงเป็นสิ่งที่นางไม่รู้ว่ากำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายนั้นแหละ…พิษ..หรืออะไรบางอย่างที่นางไม่รู้ว่าอะไร แต่มันกำลังซึมช้า ๆ คล้ายกับระวิงเวลาให้นางตายอย่างทรมาร
หลินหยาหลับตาลงอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เพราะง่วงหนัก แต่มันคล้ายเป็นเพียงวิธีหนึ่งในการหลบจากความคิดที่ตามมาเป็นระลอก ๆ อย่างที่หยุดไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ไม่รู้สิ หลินหยาไม่ใช่คนที่หวังอะไรแล้ว หากตายไปจริง ๆ อย่างน้อย..ก็ได้เป็นตัวของตัวเองในช่วงเวลาสุดท้ายที่ไม่มีใครพรากไปจากเธอได้อีกแล้ว
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: -รางวัล: -
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-27 02:19
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ 27 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามโฉ่ว เวลา 01.00 - 00.00 น. ณ ถนนสิบลี้ คุกหลวงห้องขังหมายเลขหนึ่ง
ในห้องขังที่เย็นเฉียบที่เงียบสงัดเกินกว่าที่จะแยกแยะได้ว่ายามราตรีผ่านล่วงไปนานเพียงใด เสียงเพียงหนึ่งเดียวคือลมหายใจของหญิงสาวคนหนึ่งที่พิงกำแพงหินมานานหลายชั่วยามแล้วล่ะ หลินหยาถูกจับกุมฐานะผู้ต้องการ โทษหนักมิใช่น้อย แต่สีหน้าแววตาของนางไม่ได้แสดงถึงความกระวนกระวายจนออกนอกหน้าด้วยซ้ำเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความเงียบอันหนาวเหน็บที่คืบคลานคล้ายเกราะเหล็กบางใส ล้อมตัวเธอเอาไว้จนแน่น
ถึงกระนั้น..ในอกของนางเองก็ไม่อาจปฎิเสธได้หรอกว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ในใจเสมอ แม้มิได้ปริปากบ่นหรือแสดงออกอย่างชัดเจน ความคิดนับร้อยนับพันไหลเวียนวนดั่งแม่น้ำที่ไม่รู้ปากทางออก ไม่รู้ว่าจะรอสิ่งใด ไม่รู้ว่าจะเริ่มนับจากตรงไหน แผ่วเบา.. หลินหยาหาววอดออกมาอีกครั้งหนึ่งก่อนจะยกมือบางขึ้นมาปิดปาก ดวงตาหวานซึ้งที่มักสดใสดั่งหยาดตะวันคล้อยกลับพร่าเลือนราวกับสายหมอกยามเช้า เหนื่อยเล็กน้อย...แต่มิใช่เหนื่อยกาย หากเป็นใจที่เริ่มล้าอย่างช้า ๆ ล้าแบบไม่อาจเอ่ยกับใครได้
ร่างบางของเธอค่อย ๆ ขยับเอื้อมมือไปคว้าสิ่งที่ดูจะใกล้เคียงกับคำว่า สิ่งที่ขุ้นเคย มากที่สุดของห้องเย็นเฉียบแห่งนี้ กระเป๋าเจ็ดสมบัติของตัวเองที่ติดตัวมาเสมอ ใบไม่ใหญ่นักแต่กลับสะอาดเรียบร้อยจนดูผิดแผกไปจากสถานที่รอบข้าง
นางล้มตัวลงนอนช้า ๆ บนพื้นหินอันแข็งกระด้างอย่างเคยชินโดยไร้เสียงครวญครางใด ๆ ใช้กระเป๋าผ้าหนุนรองศีรษะ แม้ไม่สบาย...แต่มันอุ่นใจ ร่างของหญิงสาวขดตัวเพื่อลดความเย็นที่ไหลซึมจากพื้นจนถึงผิวกระดูก เส้นผมที่ตัดสั้นเพียงไหล่ปล่อยตกกระจายบนพื้นอย่างไร้ระเบียบ เมื่อเอนตัวลง ความเงียบก็คล้ายแผ่ขยายออกอีกครั้ง ล้อมตัวเธอในม่านของความว่างเปล่าที่ไม่มีแม้แต่เสียงกุกกักจากขังข้างเคียง
“ไม่หลับเสียที..” พึมพำแผ่วเบาให้ตนเอง เหมือนคนที่กำลังปลอบตัวเองในที่ที่ไม่มีใครอยู่ หรือบางที...ในใจลึก ๆ นางอาจรู้ว่าความเงียบไม่ใช่ศัตรู มันเพียงแต่...ไม่สามารถพูดตอบกลับมาเท่านั้น ดวงตาปรือ ๆ ค่อย ๆ ปิดลงอย่างช้า ๆ ริมฝีปากได้รูปขยับคล้ายจะบ่นอะไรอีก แต่สุดท้ายก็เงียบเสียงลง หลับตาลงอย่างคนที่ยอมจำนนต่อราตรีอย่างสงบ ด้วยแรงอ่อนล้าจากทั้งกายและใจที่สะสมมานับไม่ถ้วน
คืนนี้ยังอีกยาวไกลนัก...แต่หลินหยาเองก็เคยผ่านค่ำคืนที่แย่กว่านี้มาแล้วเช่นกัน
แต่จะจริงเร่อออออ
กองฟางที่เคยนอนพิง แม้จะชื้นเพียงเล็กน้อยจากไอน้ำของห้องขังก็ยังพอทน แต่ตอนนี้มันกลับเย็นแล้วก็แฉะกว่าที่ควรจะเป็น หลินหยาที่กำลังหลับ ๆ ตื่น ๆ ราวกับปลาตะเพียนติดตาข่าย สะดุ้งเบา ๆ เมื่อลำตัวขยับแล้วรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป…หืม?...ชื้น?..ชุ่ม..แล้วก็เริ่มเหนียวตรงหว่างขา…
"หืม...?" ริมฝีปากสีแดงน้อย ๆ พึมพำในลำคอ ขณะที่มือบางข้างหนึ่งยกขึ้นขยี้เปลือกตาด้วยความง่วงงุน หงุดหงิด เพราะกำลังจะหลับได้สนิทแท้ ๆ ไหงจู่ ๆ ก็รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวขึ้นมาเสียอย่างงั้น มือเรียวข้างหนึ่งเอื้อมแตะลูบเบา ๆ ลงบนส่วนนั้นของเสื้อผ้าที่ตอนแรกคิดว่าเพียงแค่เปียกจากกองฟาง แต่แล้วก็ต้องชะงัก… ความเหนียวหนืดเล็ก ๆ ปะทะปลายนิ้ว แล้วกลิ่นคาวอ่อน ๆ ก็ตามมาติด ๆ
“...สัจจเทพอี้เหอ..เกลียดข้าหรอ..”
หลินหยาพูดเหมือนประชด เบิกตากว้างทันที ก่อนจะพึมพำเสียงหลงกับตัวเองเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ก้ำกึ่งระหว่างความพังทลายและการอยากร้องกรี๊ดจนให้ผนังห้องถล่ม "ชิบหายแล้ว...เป็นประจำเดือน..."
โอ้วสวรรค์ เง็กเซียนฮ่องเต้ เทพอู่อ๋อง เทพสัจจเทพ ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าองค์ใดก็ไม่มีใครแจ้งล่วงหน้าแม้แต่น้อยว่านางจะประสบเคราะห์ซ้ำกรรมซัดขนาดนี้! ชาติที่แล้วไปเหยียบหางมังกรตัวไหนไว้กันนะ!? "อ๊าาา…จะบ้าตาย..." นางกระซิบเสียงแหบพร่าขณะเงยหน้าพิงกำแพงเย็น ๆ อย่างอ่อนแรงสุดขีด มือทั้งสองขยุ้มกระเป๋าผ้าแน่น ไม่ใช่เพื่อหาอะไรออกมาใช้หรอกก็ในนี้ไม่มีอะไรช่วยได้เลยสักนิด! ไม่มีแม้แต่เศษผ้าเปลี่ยน ไม่มีสมุนไพรบรรเทาอาการปวดท้อง ไม่มีแม้แต่คนให้บ่นด้วย!
“ไอ้ท่านจางกงกงบ้า..ไอ้ท่านจางทังหน้าขึง” หลินหยาสบถในลำคอไม่เจาะจงถึงใคร แต่ทุกคนที่มีส่วนทำให้นางตกอยู่ในสภาพนี้ล้วนโดนรวบไปประณามอย่างเท่าเทียมกันหมด นางพยายามจะตั้งสติ สูดลมหายใจลึก ๆ อย่างคนที่พยายามไม่ร้องไห้ แต่ก็เผลอเบะปากน้อย ๆ ออกมาจนได้ "นี่มันโคตรจะไม่ใช่จังหวะเลย... ทรมานทั้งแขนทั้งท้องทั้งหัวแล้วต้องมาเจอไอ้นี่อีก..."
แต่นั้นแหละนะ..นางยังเป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อ ร่างกาย..และร่างกายแม่งก็ไม่เคยสนใจว่านางจะอยู่ห้องขังหรือหลบหนีพิษสงครามอยู่ด้วย เพราะมันยังส่งเลือดประจำเดือนออกมาราวกับเป็นวันฉลองเฉพาะกิจมันทุกเดือนอย่างซื่อสัตว์เสมอ..
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: -รางวัล: -
โรลกาว ๆ แล้วได้ 9 เฉยยยยยยยย ระบบเป็นไร ชอบโรลกาว ๆ เราะ
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ 27 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ณ ถนนสิบลี้ คุกหลวงห้องขังหมายเลขหนึ่ง
หลินหยานั้นก้าวเท้าลงจากบันไดเหมือนเคย พลันเมื่อเงาร่างเล็ก ๆ ของนางถูกดันตัวเข้าสู่ห้องคุกหมายเลขเดิมตามความหมายนต้องทนทานกับกลิ่นอับและเสื่อฟางแข็งกระด้างกลับถูกทำลายลงจนสิ้น สายตาของหลินหยาเบิกกว้างเล็กน้อย เบาะนอนผืนบางที่ถูกปูเรียบร้อยอยู่มุมห้องดูใหม่และสะอาดผิดวิสัย ใต้เทียนข้างผนังยังมีถ้วยน้ำสะอาดตั้งไว้ เส้นฝุ่นเก่าที่เคยขีดร่องบนพื้นกลับเลือนรางไปอย่างน่าประหลาด ห้องทั้งห้องดูเหมือนมีคนตั้งใจทำความสะอาดให้ล่วงหน้า ราวกับ ใครบางคน คาดว่านางจะกลับมา
นางชะงักก่อนจะหันขวับไปทางทหารยามหน้านิ่งที่ปิดประตูกรงเหล็กอยู่เบื้องหลัง “นี่คือ... คุกหลวงบริการงั้นหรือเจ้าคะ?” นางถามพลางย่นคิ้วด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองปนงุนงง “หรือว่ามีใครส่งของพวกนี้มาให้ข้าเจ้าคะ?” ทหารผู้นั้นสบตานางเพียงวูบเดียว ก่อนจะหันหน้ากลับไปแบบไร้คำตอบ ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีแม้แต่เสียงถอนหายใจ ความเงียบอันเรียบเฉยราวถูกสั่งให้ ‘ปิดปากสนิท’ คล้ายบ่งบอกว่าเรื่องนี้มิใช่สิ่งที่พวกเขากล้าจะพูด
หลินหยายืนมองประตูเหล็กที่ถูกเลื่อนปิดอย่างแผ่วเบา แต่เสียงกลอนล็อกกลับกึกก้องยิ่งกว่าเสียงศาล เมื่อประตูสนิทลง สิ่งที่เหลืออยู่คือความเงียบ กับกลิ่นกฤษณาแผ่ว ๆ ที่ลอยตัดกับกลิ่นอับเดิมจนผิดธรรมชาติ “หืม...” นางพึมพำต่ำ ริมฝีปากคลี่ยิ้มขื่น “คงจะไม่ใช่เทพเซียนในฝันหรอกกระมัง...ที่เอาเบาะผืนนี้มาให้ข้า” หลินหยาเดินไปหย่อนกายนั่งลงอย่างเชื่องช้า ปลายนิ้วลูบขอบเบาะอย่างจับผิด ก่อนจะหลับตาลงชั่วครู่
ถ้ามันเป็นกับดัก... ก็ให้มันกลืนข้าไปเสียเถอะ หากไม่ใช่ ก็จะได้รู้กันว่า...ผู้ใดกันแน่ ที่ยังไม่กล้าปล่อยมือจากเงาของข้า
เสียงประตูเหล็กด้านนอกเลื่อนเปิดอีกครั้ง ทำให้หลินหยาเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ นางยังนั่งอยู่บนเบาะผืนนุ่มแบบคนที่ยังไม่แน่ใจว่าควรจะเชื่ออะไรได้บ้าง จังหวะเดียวกับที่ร่างของทหารหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามาโดยไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงวางถาดไม้เรียบ ๆ ลงบนพื้นหินหน้าที่นอนของนาง ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบงัน
หลินหยาเลิกคิ้วแล้วโน้มตัวมองในถาด สิ่งที่ปรากฏทำให้นางตะลึงน้อย ๆไม่ใช่แค่ก้อนหมั่นโถวแข็ง ๆ ดำ ๆ อย่างที่เคยคาดไว้ แต่กลับมีหมั่นโถวขาวสะอาดกลมอวบวางเรียงกันอย่างเรียบร้อย พร้อมซาลาเปาร้อนที่ยังมีไอจาง ๆ ลอยจากรอยจีบ และถ้วยน้ำอุ่นหนึ่งถ้วย ตบท้ายด้วยถ้วยเคลือบเล็กอีกใบที่มี หมูเค็มผัดยอดผัก อย่างง่าย ๆ วางเคียงอยู่ นางขยับตัวนั่งลงตรงถาดอย่างระวัง แววตาเหมือนลูกแมวที่จู่ ๆ ได้กลิ่นปลาย่างสดใหม่ในป่าที่ไม่มีปลาสักตัว
“หืม...” หลินหยาพึมพำเบา ๆ พลางหยิบหมั่นโถวขึ้นมาจิ้มดู กลิ่นหอมยังอ่อน ๆ เหมือนเพิ่งนึ่งเสร็จได้ไม่นาน นางกัดคำแรกแบบระแวดระวัง แต่พอเนื้อแป้งแตะลิ้น แม่หญิงกลับทำตาโตเล็กน้อยเหมือนแมวที่ได้กินของอร่อย..ไม่ได้ดีขนาดนั้นแต่.. “อุ่น...แล้วก็ยังนุ่มด้วย... ไม่ได้แข็งเหมือนหินปาหัวใครแตกอย่างที่คิด...”
แล้วจู่ ๆ ใบหน้าของหลินหยาก็เริ่มบวมตุ่ยขึ้นทีละนิดเพราะคำที่สอง คำที่สาม ซาลาเปาก็โดนงับเหมือนลูกกระต่ายตะกายไส้เนื้อ ขณะที่หมูเค็มผัดยอดผัก แม้จะเค็มนำไปนิดแต่กลับช่วยชูรสจนนางกัดหมั่นโถวอีกคำแทบไม่ทัน ยังคงสามารถกินแซ่บได้แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว..ง่ำ ๆ …นางกินอย่างเงียบ ๆ ง่ำ ๆ แบบที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่พอได้อาหารก็หลบมุมกินเงียบ ๆ ด้วยแก้มที่เริ่มพองตุ่ยอย่างน่าเอ็นดู ลมหายใจของนางค่อย ๆ ผ่อนคลายลง นัยน์ตาที่เคยหม่นเหมือนตะเกียงใกล้ดับค่อย ๆ สะท้อนประกายแสงบาง ๆ อีกครั้ง
"ข้าก็แค่คนจะตาย ยังต้องหลงดีใจกับข้าวร้อน ๆ อีกหรือเนี่ย..." นางบ่นเบา ๆ แต่ไม่หยุดกิน จนมุมปากเลอะเศษผักไม่รู้ตัว ข้างในใจกลับเต้นแผ่วช้าเป็นจังหวะรอดชีวิต... ขณะที่ริมฝีปากยังง่ำอย่างมูมมามเป็นที่สุด
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ:รางวัล: +50 พลังงานจากการพักผ่อนและกินอาหารวันละมื้อ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-27 16:15
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ 27 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ณ ถนนสิบลี้ คุกหลวงห้องขังหมายเลขหนึ่ง
ห้องขังหินเย็นยะเยือกไร้แสงตะเกียง แม้ยามสายจะคล้อยมานานแต่ในคุกหลวงกลับยังชื้นแฉะและหนักอึ้งไปด้วยความเงียบงัน หลังจากกลืนคำสุดท้ายของหมั่นโถวลงคอ หลินหยาก็เอนหลังพิงผนังหิน ท้องอิ่มแต่ใจยังว่างเปล่าราวถูกขุดลึกให้กลายเป็นโพรงมืดในอก... และในวินาทีนั้นเสียงก้าวเท้าแผ่วเบาอย่างไม่สมควรมีในคุกก็ดังขึ้น หลินหยานางขมวดคิ้วทันที หันหน้าไปทางประตูด้วยสัญชาตญาณ ก่อนจะหยุดชะงักราวถูกจุดกลางอกด้วยเข็มเย็นเฉียบ
คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น... ไม่ใช่นายทหาร ไม่ใช่คนครัว ไม่ใช่แม้แต่ผู้คุม แต่เป็น เขา ผู้ซึ่งไม่ควรอยู่ที่นี่ ไม่ควรอยู่ที่ใกล้เธอถึงเพียงนี้ จางกงกงยืนอยู่ในเงามืดของประตูห้องขัง สีหน้าเรียบสนิท ร่างกายสูงโปร่งในชุดคลุมขันทีชั้นสูงสีน้ำตาลเข้มที่ปักลายเด่นด้วยรอยปักทองจางที่ขลิบตะเข็บแขนและชายเสื้อ ดวงตาคมลึกของเขาสะท้อนแสงเพลิงตะเกียงจากโถหินนอกห้องอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากบางเม้มแน่นเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับสายตาของหญิงสาวผู้ถูกจองจำ
หลินหยาขบริมฝีปาก นางเบือนหน้าหนีทันทีราวกับถูกทิ่มแทงด้วยสิ่งสกปรก เธอไม่แม้แต่จะลุกขึ้นยืน ไหล่ผอมบางของนางยังคงพิงกำแพงหินเหมือนเดิม นัยน์ตาฉายแววค้อนขวับ ดั่งกำลังถามว่าผู้ใดกันอนุญาตให้บุรุษผู้นี้ย่างกรายเข้ามาในที่ของนางอีก "ท่านไม่ใช่ผู้คุม ท่านไม่ใช่คนส่งของ..." น้ำเสียงของนางค่อยและเย็นเยียบ "เหตุใดจึงมายืนอยู่ตรงหน้าข้า?"
จางกงกงกลับไม่มีอาการโกรธเคือง เขาเพียงยกมือเบา ๆ ส่งสัญญาณให้นายทหารเฝ้าประตูถอยออกไป เขาวางถาดไม้ลงบนพื้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่คล้ายมีขลุ่ยเคลือบยาพิษซุกอยู่ในถ้อยคำ "ข้ามิได้มาก้าวก่าย เพียงแต่...เป็นห่วงว่าแม่นางหลินหยาอาจยังไม่อิ่ม" บนถาดมีถ้วยชาจาวเข็มเงินร้อนระอุ ไอน้ำลอยเบา ๆ ข้างถ้วยคือซาลาเปาห้าลูกใหญ่ และขนมกุ้ยฮวารูปกลีบดอกไม้สวยเกินจำเป็นสำหรับคุกหลวง
“เมินเสียเถอะ ที่ข้าหวังรับของจากคนที่เคยโยนข้าลงหุบเหวนรกนั้น”
จางกงกงนิ่งไปเพียงครู่หนึ่ง แววตาของเขายากจะอ่าน ดั่งถูกเคลือบด้วยหมอกควันแห่งอดีตที่ไม่มีใครอาจมองทะลุได้ "แม้เจ้าจะเห็นข้าเป็นปีศาจ ข้าก็มิคิดจะเถียง เพียงแต่ปีศาจก็มิได้หิวโหยในคราเดียวกับมนุษย์...เจ้าเองก็ควรเลือกกินเสีย ก่อนมันจะเย็น"
"ถ้าท่านคิดว่าข้าจะซาบซึ้ง ท่านคิดผิด ถ้าท่านคิดว่าข้าจะร้องไห้ให้ ท่านยิ่งคิดผิดใหญ่"
"ข้ามิได้หวังให้เจ้าทำสิ่งใดเลย" เขาตอบเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนช้า ๆ แววตานิ่งขรึมปราศจากแววหัวเราะเยาะเช่นเมื่ออยู่หน้าศาล จางกงกงยืนมองหลินหยาในความเงียบหนึ่งอึดใจเต็ม ก่อนจะกล่าวว่า "หลินหยา...เจ้ากำลังเข้าใจผิดว่าทุกอย่างมีคำตอบเดียว และว่าข้าคือคนที่เจ้าควรเกลียดที่สุด แต่วันหนึ่งหากเจ้ายังมีชีวิตไปถึงวันนั้น เจ้าจะรู้...ว่าโลกนี้ มีคนที่เลวกว่าข้าอีกมากนัก"
ระหว่างที่นางกำลังจะกล่าวพูดอะไรบางอย่างแต่กลับต้องชะงัก ลงในจังหวะที่ปลายนิ้วแตะรอยเปื้อนสีคล้ำบนสันจมูก... เลือด…อีกแล้ว รู้สึกร้อนวูบขึ้นกลางหน้าผากเหมือนเส้นเลือดจะแตกทะลุออกมาด้วยแรงบีบรัดบางอย่างที่มองไม่เห็น นางรีบเช็ดมันออกอย่างลวก ๆ ด้วยแขนเสื้อที่สกปรกอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะดูไม่งามหรอก แต่เพราะไม่อยากให้เขาเห็นเธอในสภาพอ่อนแอซ้ำอีก
"ข้าไม่กิน...หากจะกิน ก็ขอให้เป็นของข้าเองไม่ใช่เศษจากความเวทนาเจือพิษของใคร" เสียงของนางเอ่ยอย่างแผ่วเบาแต่ยังคงเด็ดเดี่ยว ทว่ากลับแผ่วลงราวกับแรงจะขาดผึง จางกงกงยืนพิงกรอบกรง ขายังคงยิ้มอย่างเย็นเยียบ เยียบเสียจนเหมือนน้ำแข็งที่ก่อรูปเป็นรอยยิ้มจำแลง ไม่ใช่จากใจ เขามองมือเธอที่ยังเปื้อนเลือด แล้วกล่าวเสียงเบาราวกับกระซิบแต่กระซิบที่เย็นจนสะท้านถึงไขสันหลัง "ข้าไม่จำเป็นต้องใส่ยาพิษลงไปหรอกนะ... เจ้าเองก็รู้อยู่แล้วมิใช่หรือว่าตอนนี้ ร่างของเจ้ามันก็คล้ายกับถูกพิษอยู่ทั้งร่าง" ดวงตาของหลินหยาพร่าไหวเล็กน้อย เธอกัดฟันจนแน่นจนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของกราม แต่ยังไม่ยอมถามยังไม่ยอมแพ้นางเพียงปรายตามองเขาด้วยแววที่ทั้งดื้อรั้นและหวาดระแวงในคราเดียวกัน
แสงจากโถตะเกียงสาดผ่านชายผ้าคลุมของเขา เงาทอดทับเข้ามาในห้องขังนั้นจนเหมือนโลกเล็กแค่นั้นเหลือเพียงเขากับเธอ "หากเจ้ายินดีจะกลับมาอยู่ใต้อาณัติของข้า... ข้าอาจจะช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่" เสียงเขานุ่ม แต่ไม่ใช่นุ่มจากความเมตตา มันคือเสียงของคนที่รู้ว่าตัวเองมีอำนาจ และกำลังเสนอเชือกเส้นเดียวให้คนที่กำลังจมน้ำ "และบางทีข้าอาจจะเมตตา... ช่วยจัดการกับพิษในร่างของเจ้าให้" เขาว่าพลางก้มลงเล็กน้อย โน้มตัวเข้าหาเธอ แม้ว่าจะอยู่ห่างกันแบบลูกกรงกั่น..แต่นางได้กลิ่นจาง ๆ จากเนื้อผ้าของเขา กลิ่นนั้นคุ้นเคย... กลิ่นจากวันคืนที่นางไม่อาจย้อนกลับไป และไม่อยากหวนคืน
หลินหยายืดตัวขึ้นแม้ไหล่จะอ่อนแรง เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรเกลียดหรือกลัวเขามากกว่ากัน เธอรู้แค่ว่าหัวใจในอกมันกำลังเต้นแรง รุนแรงอย่างไม่สมเหตุสมผลแต่มันคงเป็นเพราะความโกรธและโมโห "ข้าไม่ใช่ของใครทั้งนั้น" นางกล่าวเบา ๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีอีกครั้ง ไม่แม้แต่จะแตะชาหรือซาลาเปาที่เขานำมา
เสียงก้าวเท้าของจางกงกงยังคงทอดสะท้อนเป็นจังหวะสม่ำเสมอในห้องขังอับชื้น เขาเดินวนอย่างผู้ที่ไม่รีบร้อน ไม่มีความลนลานสักนิด แม้จะอยู่ในที่ซึ่งกลิ่นสนิมของเหล็กกรงคลุกเคล้ากับกลิ่นหญ้าแห้งเหม็นอับ เส้นผมสีนิลของเขาถูกเกล้าไว้เรียบลื่น ดวงหน้าคมประหนึ่งสลักจากหินเย็น ตาสีนิลแฝงรอยเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าเสือในเงาไม้ เขามองหลินหยาที่ยังคงไม่แตะชาหรือของกินแม้แต่น้อย ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ คล้ายเอ็นดู “ข้ามาเยี่ยมเจ้า หากเจ้ามีอะไรเกิดขึ้นไป… ข้าเองก็คงไม่พ้นตกเป็นผู้ต้องสงสัย ใต้เท้าจางทังไม่ใช่คนที่ปล่อยอะไรให้คลุมเครือหรอกนะ”
หลินหยาหัวเราะออกมาในลำคอ เสียงนั้นแหลมแต่ปิดไว้ด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ “ในท้ายที่สุด สิ่งที่ท่านทำ... ก็ยังคงเป็นการทำดีที่หวังผลตอบแทนอยู่ดี” นางปรายตาขึ้นมองเขา ยิ้มจาง ๆ อย่างคนที่ผ่านความเจ็บมามากพอจนไม่กลัวแม้แต่จะท้าทายอีกคน
ราวกับรับสัญญาณที่มองไม่เห็น จางกงกงขยับตัวหันหน้าออกไปทางประตูห้องขัง กะระยะเสียงให้ลอดผ่านกำแพงบาง ๆ ไปถึงผู้คุมด้านนอก จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงดังกังวาน เปี่ยมด้วยความเศร้า “เด็กดี... เจ้าไม่น่าหลงผิดเลยสักนิด หนาน หลินหยา ข้าแค่อยากฉุดเจ้าขึ้นมาจากที่ต่ำต้อยนั้นจากหอคณิกาสกปรกเพื่อมอบอนาคตที่ดีให้เจ้า” น้ำเสียงโศกเศร้า หากฟังเผิน ๆ ย่อมเหมือนผู้ใหญ่ที่แสนเมตตากำลังเวทนาเด็กสาวผู้ตกต่ำ แต่หลินหยาฟังแล้วกลับกำหมัดแน่นจนข้อขาวขึ้น นางเงยหน้าช้า ๆ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธที่คุกกรุ่นอยู่ใต้ผิวหนังจนแทบปะทุ ดวงตาหวานเฉียบที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้แลดูเหมือนเปลวเพลิงที่มืดมน
นางมองเขาเขม็ง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อยราวกับอยากจะเอ่ยด่าให้เจ็บกว่านี้ แต่นางรู้... สิ่งใดที่พูดในตอนนี้จะถูกใช้กลับมาทำลายเธออีก จางกงกงเลิกคิ้วคล้ายตกใจในสีหน้าแสดงชัดของเธอ เขาเอ่ยเสียงเบากว่าเดิมเล็กน้อยแต่ยังดังพอจะให้ด้านนอกได้ยิน
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เสี่ยวหลิน ข้า… ข้ารู้สึกเอ็นดูเจ้ามากนะ ตั้งแต่เห็นพรสวรรค์เจ้าครั้งแรกในคืนที่เจ้าบรรเลงดนตรี ข้าไม่ได้มองเจ้าด้วยตาเปื้อนราคะเลย ข้ารู้ว่าเจ้าสามารถก้าวหน้าไปได้ไกลและข้าเพียงอยากช่วยเท่านั้นเอง” คำพูดแฝงเมตตา แต่ในโทนเสียงนั้น กลับคล้ายผู้ที่มีมือรัดปลายด้ายของเธอแน่นจนอีกฝ่ายขยับไม่ได้ เสียงของเขายังคงพร่ำพูดกับผู้คุมที่อยู่ด้านนอกมากกว่าที่พูดกับเธอจริง ๆ แต่ดวงตาเยียบเย็นของเขากลับจับจ้องเพียงเธออย่างนักล่าที่กำลังเล่นกับเหยื่อ
หลินหยาหอบลมหายใจเบา ๆ นางไม่ตอบ…ไม่แม้แต่จะด่าหรือโต้กลับ ในแววตาเธอมีบางอย่างที่ตายไปแล้ว... แต่มันไม่ใช่ความพ่ายแพ้ มันคือความแน่วแน่แบบคนที่หากยังไม่ตาย... วันหนึ่งจะย้อนกลับมา ‘ชำระบัญชี’ อย่างแน่นอน
จางกงกงเพียงยิ้ม เขาเห็นสิ่งนั้นในตาของเธอ และยังคงเลือกพูดต่ออย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่กินซาลาเปาเลยหรือ? เสี่ยวหลิน ข้าอุตส่าห์เลือกร้านเจ้าชอบนะ”
จนกระทั่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นหลินหยาก็หัวเราะ เสียงหัวเราะในลำคอของหลินหยาเบาแต่แทงทะลุผ่านอากาศอึมครึมของคุกหลวงได้อย่างแสบสัน นางไม่ได้หัวเราะเพราะขำ หากแต่เป็นเสียงเย้ยหยันที่ฝังลึกไปถึงกระดูก ก่อนจะเอ่ยขึ้นทั้งที่ไม่เหลือบตามองอีกคน "รู้ด้วยหรือนั่น ว่าข้าชอบซาลาเปาร้านไหน… ท่านนี่ใส่ใจข้าเกินไปแล้วกระมัง?" ดวงหน้าหวานหันมามองเขาแวบหนึ่งด้วยแววตาเหยียดเย้ย ปากแดงน้อย ๆ ยิ้มเย็น "ทั้งพาข้าขังคุก ทั้งที่บอกกับปากตัวเองว่าอย่าให้เห็นหน้า… แล้วนี่อะไร ยังอุตส่าห์เดินมาเยี่ยมเยียน แม้จะเต็มไปด้วยความคิดสกปรก"
นางโน้มตัวเล็กน้อย เอียงคอพลางกระซิบเสียงเบาทว่าคมกริบ "เจ้าหลงรักสตรีที่เพิ่งปักปิ่นไม่ถึงปีงั้นหรือ? ไอ้คนโรคจิต" คำพูดนั้นแหลมเสียจนเงียบทั้งคุกลงในทันที จางกงกงชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ทันจะได้ตอบอะไร นางก้มหน้าหลบแสงตะเกียงก่อนจะหัวเราะเบาอีกครั้งเหมือนจะกระซวกจิตเขาให้ลึกขึ้นกว่าเดิม คำพูดนั้นแหลมเสียจนเงียบทั้งคุกลงในทันที จางกงกงชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ทันจะได้ตอบอะไร นางก้มหน้าหลบแสงตะเกียงก่อนจะหัวเราะเบาอีกครั้งเหมือนจะกระซวกจิตเขาให้ลึกขึ้นกว่าเดิม
"เจ้าพูดอะไร… ขันทีอย่างข้าจะมีความรักได้อย่างไรกัน?" เขากล่าวเสียงนุ่ม ลมหายใจแทบไม่สะเทือนอากาศ "ข้าแค่ทำหน้าที่ของข้าด้วยความภักดีต่อฮ่องเต้ คัดสรรผู้มีพรสวรรค์เข้าสู่วัง เพื่อให้แว่นแคว้นเจริญรุ่งเรือง… ข้าเพียงอยากช่วยเด็กยากไร้ที่มีความสามารถได้ฉายแวว… ไม่ต่างอะไรจากหมอที่ช่วยคนเจ็บ เจ้าเข้าใจผิดเสียแล้ว เสี่ยวหลิน" เขากล่าวก่อนจะแสร้งชำเลืองไปทางซี่กรงเหล็ก บีบน้ำตาปลอม ๆ ขึ้นมาอย่างแยบยล แล้วทำท่าปาดด้วยปลายนิ้ว
"ข้าเศร้าใจยิ่งนัก"
หลินหยาเบ้ปากทันที นางกลอกตาสุดวงจนแทบหงายหลัง แรงขยับศีรษะทำให้ผมสั้นตรงระต้นคอของนางนั้นระแกะระกะไปด้านหนึ่ง แต่ดวงตาของเธอคมกริบราวกับมีดที่ฝนจนแหลมที่สุดในโรงฆ่าสัตว์ "ก็จริง… คนอย่างท่านมันรักใครไม่เป็น รักเป็นอย่างเดียวก็คือตัวเองนั่นแหละ" น้ำเสียงนางไม่ดัง ไม่ดุดัน แต่เฉือนคมทุกคำ "ข้าเคยคิดว่าคนอย่างท่านน่าสงสารนัก แต่ตอนนี้ข้าเห็นชัดแล้ว...ท่านแค่น่าขยะแขยง" จากนั้นนางก็หันหน้าหนีเขาไปอีกด้าน พลางทำปากยู่ ๆ อย่างไม่อยากมองอีกคนแม้แต่น้อย ดวงหน้าเธอหงิกงอราวกับกินผลไม้อาบน้ำส้มสายชู และที่สำคัญนางยังทำท่าเอาผ้าห่มมาคลุมหัวคล้ายจะปิดโลกไม่รับรู้ทุกสิ่งอีกด้วย
จางกงกงยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาอีก เขาแค่จ้องไปยังเงาหลังของนางที่หันหนีด้วยดวงตาเงียบสงบ เย็นเยียบ… และไม่แสดงออกว่าเขากำลังรู้สึกอะไร ไม่โกรธ ไม่โมโห ไม่ตื่นเต้น แต่เขาจดจำทุกถ้อยคำได้แม่นยิ่งกว่าอักษรในพระราชโองการ
"ข้ารักไม่เป็น? ...เสี่ยวหลิน เจ้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ"
แล้วเขาก็หันหลังกลับ เดินจากไปเหมือนทุกก้าวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าทุกย่างเท้าที่เหยียบบนพื้นอิฐเย็นเฉียบ กลับเหมือนทิ้งรอยแผลเป็นไว้ในความเงียบอย่างไม่มีวันจาง
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: ได้ของกิน ฮึ เพราะเป็นของกินหรอกนะ
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป จางกงกงหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
อัพพรสวรรค์จาก ผู้มีบุญ (น้ำเงิน) (+10) เป็น คนดวงแข็ง (ม่วง)(+15)
เงื่อนไขพัฒนาคลาส:
- Level 30 เป็นต้นไป
- สเตตัส LUK 30 ขึ้นไป
- อัปเกรด ผู้มีบุญ ถึงระดับ 10 (ใช้หินอัปเกรด)
- สร้างความสัมพันธ์กับ NPC หัวใจ 4 ดวง อย่างน้อย 4 คน (หลิวอัน - เถียนเฟิง - เว่ยชิง - จางทัง)
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ 27 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามซื่อ เวลา 09.00 - 11.00 น. ณ ถนนสิบลี้ คุกหลวงห้องขังหมายเลขหนึ่ง
หลินหยานั่งหน้างออยู่บนเบาะผ้าที่เพิ่งปูไว้ไม่นานนักในห้องขังอับชื้น เส้นผมหลุดรุ่ยแนบแก้มขาว ผิวซีด ๆ ที่ยังไม่ทันดีขึ้นหลังถูกพิษก็ยิ่งดูหม่นหมองลงกว่าเดิมเมื่อประกายตาอันเจ็บปวดสะท้อนอยู่ในดวงตา นางทอดสายตามองซาลาเปาในจานไม้ไผ่ หมั่นโถวร้อน ๆ คู่กับผักเขียวหมูเค็มที่ดูดีเกินกว่ามาตรฐานคุกหลวงทั่วไป แล้วเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่ถ้วยชาเงียบ ๆ ขอบถ้วยบางเรียบ ใบชาภายในยังลอยวนเบา ๆ ในของเหลวสีอ่อนใส เมื่อไอน้ำระเหยแตะจมูก ความขมจาง ๆ และกลิ่นอ่อนละมุนของ ‘ชาขาวเข็มเงิน’ ก็ทำให้นางนึกออกทันที
"ชาขาวเข็มเงิน…" เสียงพึมพำนั้นเบายิ่งกว่าลมหายใจ นางรู้สรรพคุณของมันดี ชานี้ช่วยขับร้อน บรรเทาอาการไข้ และสามารถช่วยชะลอพิษที่แทรกซึมในเส้นเลือดได้ หากผู้ดื่มยังมีลมหายใจพอเหลือ ริมฝีปากนุ่มขยับเล็กน้อย แล้วพ่นลมหายใจออกมาเงียบ ๆ ราวกับไม่อยากให้อากาศโดยรอบรับรู้ความรู้สึกของตนเอง “ให้มาเพราะหวังให้ข้าหายดี แล้วใช้เป็นข้ออ้างว่ามาเยี่ยมเยียนอย่างมีเมตตา…” เธอครุ่นคิดพลางมองถ้วยชาราวกับมันคือคำถามที่ไม่มีใครตอบได้
จางกงกงเข้ามาได้เพราะได้รับอนุญาตแน่นอน ใต้เท้าจางทังต้องเป็นคนออกปากให้ หลินหยานั้นเงยหน้ามองเพดานหินเปลือยที่เย็นเฉียบ “ใต้เท้าจางทัง ท่านคิดอะไรของท่านอยู่กันแน่” ..นางกระซิบเบา ดวงตาของตนเองเหม่อลอยระคนสับสนยิ่งนัก ไม่ว่าจะจางกงกง หรือใต้เท้าจางทัง ทั้งสองคนต่างก็ทำให้เธอไม่เข้าใจ
จางกงกง…นางอาจเคยเข้าใจเขาบ้างก็จริงแต่ก็คิดเองเออเองมาตลอด รู้ดีว่าเขาเป็นคนประเภทไหน ใช้เล่ห์กลเป็นอาวุธและความเย็นชาปกคลุมความรู้สึก แต่ตอนนี้…นางไม่แน่ใจเลยว่าเข้าใจเขาจริงหรือไม่ หรือบางที…ไม่เคยเลยตั้งแต่ต้น
ใต้เท้าจางทัง…คนผู้นั้นแววตาดูเหมือนมองผ่านทะลุผู้คน แต่กลับไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกให้ใครได้เห็น ทั้งที่เป็นผู้พิพากษา แต่คำตัดสินของเขากลับดูคล้ายไม่เคยยุติธรรมกับหัวใจใครเลย..นางให้สงสัยเรื่องที่เขาจะให้นางหนี..เหมือนราวเขาอยากจะทดสอบนางมากกว่าว่าพอมีค่าให้คบเป็นสหายต่อไปได้หรือไม่งั้นหรือ?..
แม้แต่ตัวเอง..นางยังไม่เข้าใจตัวเองเลย "ข้าก็ไม่เข้าใจตัวเองด้วยเหมือนกัน…" พูดออกมาเบา ๆ ด้วยเสียงที่แม้ไม่มีใครได้ยิน แต่สะท้อนก้องอยู่ในอกตัวเองดังที่สุด ราวกับคำพูดเหล่านั้นคือประโยคเดียวในโลกที่ยังยอมให้เธอรู้สึกถึงความเป็นคนแม้จะอยู่ในคุกหลวงมืดมิด ใต้เงาของความเจ็บปวดทั้งหมด บ้าบอที่สุด…ใช่..มันบ้าบอที่สุดเลยล่ะ
หลินหยาเบะปาก กรอกตาจนแทบจะได้ยินเสียงกระพือในหัวตัวเอง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเบาะผ้านุ่มนิ่มที่ไม่รู้ว่าใครหน้าด้านเอามาให้แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน เพราะมันนุ่มกว่าหินพื้นคุกเย็นเฉียบเป็นไหน ๆ เธอซุกตัวลงคลุมผ้าบาง ๆ ไว้ถึงไหล่ หน้างอนิด ๆ มุมปากตกจนดูเหมือนลูกแมวหงุดหงิด เธอไม่ได้ปวดประจำเดือน ไม่ถึงขั้นต้องขดตัวดิ้นพราดกับอาการจุกเสียด...แต่เจ้าวันพวกนี้มันก็ใช่ว่าจะดี ร่างกายมันก็เหมือนเครื่องเรือนที่โดนตากแดดแรง ๆ แค่ลมปะทะเบา ๆ ก็แทบหงุดหงิดได้ทั้งวัน ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย ทั้งรู้สึกเหมือนเหงื่อจะซึมออกมาจากหลัง แม้จะไม่มีลมร้อนอยู่ตรงนั้นก็ตาม และไอ้ความหิวบ่อยนี่อีก กินไปเมื่อเช้าแท้ ๆ แต่ไส้ก็เริ่มส่งเสียงครางเบา ๆ เหมือนประท้วงความว่างเปล่าของตัวมันเองซะแล้ว
"บ้าบอ...เป็นอะไรนักหนา" นางพึมพำอย่างไม่พอใจตัวเอง เสียงงอแงแบบเด็กสาวติดพ่อแม่ที่ไม่ได้ขนม สุดท้ายตัวเองก็ยื่นมือไปคว้ากล่องไม้ไผ่ที่บรรจุซาลาเปา 5 ลูกนั้น ของขวัญปนเจตนาแปลกประหลาดจากจางกงกง แล้วก็ดึงมันมากอดไว้แนบอกอย่างเอาเรื่อง แต่ไม่ถึงห้าวิ ก็ดึงฝาออก ซาลาเปาขาวนวลไส้แน่นอบอุ่นยังคงมีไอร้อนกรุ่น เธอคว้ามาหนึ่งลูกกัดทันทีแบบไม่รอให้สมองคิด
“ง่ำ…” เสียงเคี้ยวแก้มตุ่ยเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่โกรธโลกไปวัน ๆ นางเคี้ยวไปเรื่อยอย่างดื้อ ๆ แก้มพองข้างละป้านเหมือนเด็กหญิงขี้หงุดหงิด…ง่ำ…ง่ำ…พอกินซาลาเปาลูกที่สองเสร็จ ก็มีความรู้สึกบางอย่างโผล่ขึ้นมา…คือซาลาเปาอร่อยแหละ แต่รำคาญใจมากเลยที่มันอร่อยน่ะสิ!! "ข้าจะโกรธเขา…ไม่ใช่ให้ข้าโกรธแบบอิ่มท้องนี่!" เธอแอบฟึดฟัดในใจ แต่นางก็ยื่นมือไปคว้าลูกที่สามอยู่ดีอย่างกับว่าอีกครึ่งนึงของตัวเองเป็นฝ่ายชนะในศึกนี้ แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ใช่ก็ตาม
ร่างเล็กซุกอยู่บนผ้าอุ่น กลิ่นขนมปนกลิ่นชาขาวอ่อน ๆ ลอยในอากาศ และในหัวก็ว้าวุ่นกับทุกสิ่งรอบตัวจนไม่มีแรงจะสาปใครให้ตกนรกเหมือนเคย สุดท้ายเธอก็แค่…งอแงกับตัวเอง งอแงกับชะตากรรม และงอแงกับความรู้สึกที่เธอเองก็คุมไม่อยู่แล้ว ฮือออ งอแงง่ะ…ชีวิตมันก็แค่นี้แหละตอนนี้
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: -รางวัล: -
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ 27 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามอู่ เวลา 11.00 - 13.00 น. ณ ถนนสิบลี้ คุกหลวงห้องขังหมายเลขหนึ่ง
ภายในคุกหลวงเงียบสงัด แสงอาทิตย์ยามอู่ส่องลอดผ่านซี่เหล็กลงมากระทบผืนดิน เผยให้เห็นร่างบางของหญิงสาวคนหนึ่งนอนแผ่หราอยู่บนเบาะนอนหนานุ่มผิดวิสัยนักโทษทั่วไป หน้าท้องนูนขึ้นเล็กน้อยจากซาลาเปาห้าลูกที่เจ้าตัวซัดเข้าไปอย่างไม่ยั้งมือ นางดูอิ่มหนำมากเสียจนนอนขดตัวเหมือนแมวหลังอิ่มมื้อใหญ่ พุงป่องเล็ก ๆ ดันผ้าฝ้ายที่พันตัวไว้ขึ้นมาราวกับแสดงความภาคภูมิใจในความสามารถการบริโภคของตนเอง
เส้นผมของหลินหยาที่สั้นระบ่าปลายเส้นถูกรวบเก็บลวก ๆ ด้วยเชือกผ้าเก่า ๆ ของผู้คุม ดวงตากลมโตยามนี้กลับปรือลงด้วยความง่วง แต่อารมณ์ดูผ่อนคลายเกินกว่าใครจะคิดว่านี่คือผู้ต้องหาคดีร้ายแรง กระทั่งเสียงฝีเท้าแผ่วเบาและกลิ่นหอมบางของเป็ดปักกิ่งอบด้วยฟืนไม้ผลแตะปลายจมูกของนางเข้า…
หลินหยาลืมตาขึ้นช้า ๆ มองผ่านเส้นผมตัวเองไปยังประตูเหล็กของคุก ก่อนจะเห็นร่างสูงในชุดขุนนางตัดสีเข้มสอดแทรกด้วยลวดลายคลื่นเมฆขลิบเงิน เถียนเฟิงยืนอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งถือพัดขนนกอย่างสง่างาม อีกข้างหิ้วกล่องข้าวไม้ไผ่ทรงสี่เหลี่ยมประณีต สีหน้าเรียบนิ่งของเขายังคงไม่เปลี่ยน ราวกับเขามาเยี่ยมผู้ป่วยไม่ใช่นักโทษ “วันก่อนมิใช่ว่าเจ้าเข้าวังไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้ ข้าพยายามพูดเตือนเจ้าเป็นนัย ๆ แล้ว”
น้ำเสียงของเขานั้นสงบ ทว่าทิ่มแทงไม่ต่างจากเข็มที่สอดแทรกลงกลางอก หลินหยาขยับลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน มือข้างหนึ่งลูบท้องตัวเองเบา ๆ ก่อนจะยิ้มแหย ๆ ส่งให้ “ท่านก็รู้..ว่าข้าโง่กับดื้อขนาดไหน”
เถียนเฟิงขยับพัดในมือเบา ๆ สีหน้ามิได้เปลี่ยน แต่ดวงตาใต้เงาพัดกลับจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่เหมือนกำลังคำนวณ...ความสามารถในการเอาชีวิตรอดของนางนั้นเกินคาดเสมอ เขาเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้นเสียงต่ำ “ข้าไม่ถามหรอกว่าเจ้าทำอะไรไปบ้าง เพราะเจ้าคงไม่บอกข้าอยู่ดี” เขาวางกล่องข้าวลงบนโต๊ะเล็ก ๆ ใกล้ลูกกรง “แต่จงจำไว้ว่าในวัง...ไม่มีใครใจดีหรอกแม้แต่ครึ่งคำ คนที่ใจดี...อาจเป็นหมากที่อยู่เบื้องหลังฉาก”
"ท่านคิดผิดเจ้าค่ะ…ข้าจะเล่าให้ฟัง" ร่างบางขยับกายเล็กน้อย พลางยกมือขวาที่พันผ้าไว้ขึ้นวางไว้บนตัก เธอมองเขาอย่างตรงไปตรงมา ดวงตาในยามนี้แม้ยังล้า แต่กลับมีประกายแวววาวน่าประหลาดคล้ายหญิงสาวผู้เพิ่งพบทางออกในหุบเขาที่มืดมิดมาเนิ่นนาน และแม้จะยังบาดเจ็บอยู่ ก็ยังยิ้มได้เช่นเดิม "ข้าโดนคดีเพราะซัดหน้าจางกงกงไปห้าหมัดเจ้าค่ะ ด้วยมือนี้นี่แหละ ยังไม่รวมตบหน้าหนึ่งครั้งกับถีบเข่าอีกครั้งหนึ่ง"
เถียนเฟิงไม่ตอบในทันที พัดขนนกในมือลดลงเล็กน้อยก่อนเขาจะขยับปลายนิ้วช้า ๆ ดวงตาสีดำเข้มสบสายตานางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาเรียบ ๆ "เจ้าบ้าหรือกล้าหาญกันแน่...บางทีก็ยากแยกออก" เสียงของเขานั้นราบเรียบ แต่ลึกลงในชั้นเสียงนั้น…เหมือนซ่อนความพึงพอใจเล็กน้อยไม่มิด และหากฟังให้ดีอีกหน่อย คงพบคำหนึ่งซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด ‘ประทับใจ’
"...เจ้ารอดมาได้โดยไม่ถูกสังหารทันที ถือว่าเหนือความคาดหมายของข้ามาก" ใบหน้าเขาเรียบสงบ แต่สายตาคู่นั้นกลับทาบทอลึกลงไปในหัวใจหญิงสาว และหลินหยาก็เห็นสายตานั้นด้วยเช่นเดียวกัน..นางจ้องมองเขา..ก่อนที่จะเริ่มเอ่ยคำหนึ่งออกมา
"ตอนที่ข้ามืดแปดด้านในวัง..." เธอเริ่มช้า ๆ ดวงตาคู่นั้นยังทอดมองเขา "...ข้าคิดถึงหน้าของใต้เท้าเถียนเฟิงด้วย" เมื่อหลินหยาเอ่ยคำพูดนั้นขึ้นมา รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏบนริมฝีปากนางไม่ต่างจากเคย ยามที่สายตาเธอหยุดอยู่บนเขา ไม่ได้เต็มไปด้วยความคาดหวัง ไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือ หากแต่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เรียบง่ายเสียจนดูอันตราย...เพราะมันซื่อ หญิงสาวยกยิ้มเล็กน้อย "มันน่าขำใช่ไหม? ท่านน่ะเป็นคนที่เอาแต่ใช้งานข้า เอาแต่พูดแทงใจ เอาแต่ทำให้ข้าไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไร...กลับกลายเป็นคนที่แค่ชื่อก็ทำให้ข้ารู้สึกดี" เสียงหัวเราะเบา ๆ ของหลินหยาดังขึ้นในคุกนั้น เธอไม่พูดประชด ไม่ร้องขอ ไม่แม้แต่จะหวังให้เขาตอบกลับ นางเพียงแค่...พูด
เถียนเฟิงไม่พูดอะไรในทันที สายตาเขาเคลื่อนไปหยุดตรงมือน้อย ๆ ที่ยังมีรอยแผลพันอยู่ ความเงียบคืบคลานรอบตัวแต่มันไม่ใช่ความเงียบอึดอัด หากแต่เป็นความเงียบที่ลึก...และมีคำถาม เถียนเฟิงไม่พูดอะไรในทันที สายตาเขาเคลื่อนไปหยุดตรงมือน้อย ๆ ที่ยังมีรอยแผลพันอยู่ ความเงียบคืบคลานรอบตัวแต่มันไม่ใช่ความเงียบอึดอัด หากแต่เป็นความเงียบที่ลึก...และมีคำถาม
"เจ้ากำลังจะถูกไต่สวน เจ้าอาจถูกตัดสินโดนโบย หรือ...แย่กว่านั้น แต่ถึงกระนั้น...หากแม้แต่ชื่อของข้ายังทำให้เจ้าไม่รู้สึกเดียวดาย เช่นนั้นข้าจะไม่ปล่อยให้มันสูญเปล่า" เขาเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะหันหลังเดินจากไปโดยไม่รอให้นางตอบ ดั่งคนที่รู้ดีว่าคำตอบของเรื่องบางเรื่อง…ไม่อาจใช้ถ้อยคำใดเอ่ยได้
หลินหยาย่อตัวลงแล้วเปิดกล่องดู ภายในคือกลิ่นหอมฉุนของหนังเป็ดกรอบสีน้ำตาลทองฉ่ำมันที่ถูกจัดอย่างประณีตบรรจง รอยผ่าบนเนื้อเป็ดเผยให้เห็นการย่างด้วยไฟพอเหมาะ น้ำมันจากชั้นไขมันบาง ๆ ซึมลงไปในข้าวหุงร้อนที่รองอยู่ด้านล่าง...กลิ่นยั่วเย้ายิ่งกว่าอาหารใดที่นางเคยได้สัมผัสในคุกแห่งนี้ "เหอะ สมเป็นท่านจริง ๆ …" นางพึมพำกับตัวเองขณะหลุบตามองกล่องอาหารแสนหรูอย่างครุ่นคิด ใต้เท้าเถียนเฟิงผู้นั้น...เอาของเช่นนี้มาให้ ไม่พูด ไม่สั่ง ไม่อธิบายแม้แต่ครึ่งคำ ยิ่งเหมือนย้ำชัดว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีวันเข้าใจได้ง่าย
หลินหยาเดินกลับไปยังเบาะนุ่ม ๆ ที่ใครสักคนส่งมาให้ ยังไม่รู้ว่าใครกันแน่ แต่นางก็เริ่มเลิกตั้งคำถามเสียแล้วในเมื่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวังนี้ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่เรียบง่ายอย่างที่ควรจะเป็น
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: -
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป เถียน เฟิงหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ 27 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเว่ย เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ ถนนสิบลี้ คุกหลวงห้องขังหมายเลขหนึ่ง
ในห้องขังลึกของคุกหลวง หญิงสาวผู้หนึ่งกลับไม่อาจได้หลับอย่างที่ควรจะเป็น เสียงรองเท้าหนังทหารกระทบหินดังแผ่วในทางเดินหินแคบ เสียงเหล็กขูดกับลูกกรงสลับกับเสียงสนทนาเบา ๆ ของยามหลวงที่ควบคุมความเงียบไม่อยู่ และก่อนที่หลินหยาจะรู้ตัว… "กรึบ" เสียงเปิดบานประตูเหล็กเล็กน้อย เสียงฝีเท้าชายคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหยุดหน้าเรือนขังอย่างเงียบงัน หลินหยาในสภาพหัวฟู ตากลอกเบลอเพราะเพิ่งสะลึมสะลือจากความฝัน ห่มผ้าหยาบอยู่บนฟูกที่นุ่มกว่าคนอื่นอย่างผิดวิสัยขยับตัวพลางขมวดคิ้วช้า ๆ …ก็ในคุกมันไม่มีอะไรให้ทำนอกจากกินกับนอนง่ะ..ยิ่งเป็นประจำเดือนมันยิ่งต้องนอนปะล่ะ
นางยังงัวเงียอยู่ มือหนึ่งขยี้ตา ริมฝีปากพึมพำงึมงำว่า “อะ...หืม ใครอีกล่ะ...จะขุนอาหารข้าหรือไง..งึม ๆ อิ่มแล้ว” และเมื่อลืมตาเต็มที่ภาพที่อยู่ตรงหน้า ทำให้สมองที่มึนเบลอของหล่อนถึงกับกระตุกเหมือนคนเพิ่งถูกสะกิดด้วยน้ำเย็น…
ท่านชายเว่ยจ้งชิง..มาได้ยังไงน่ะ?
เขายืนอยู่เงียบ ๆ หน้าห้องขัง ดวงตาเรียวยาวใต้คิ้วเข้มสะท้อนแสงไฟจากคบเพลิงที่สั่นไหว หลังเขา แววตานั้นไม่เปลี่ยนจากที่นางจำได้อบอุ่น สงบ และอ่อนโยน แต่คราวนี้...มีอะไรบางอย่างที่เพิ่มขึ้นมาในแววตานั้น…มันคือความห่วงใย..ในมือของเขาไม่ใช่ดาบแต่เป็น ขลุ่ยไม้ไผ่เลาหนึ่ง
เว่ยชิงไม่พูด ไม่เร่ง เพียงแค่สบตากับเธอที่ยังมึนงงราวกับไม่แน่ใจว่าฝันอยู่หรือไม่ ก่อนที่เขาจะหันไปบอกทหารข้างตัวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เปิด”
หลินหยาเบิกตากว้างเล็กน้อยหัวใจเต้นวูบในอก เธอมองหน้าเขา มองประตูเหล็ก มองยามจากประสบการณ์ทั้งหมดของนาง ไม่มีนักโทษคนไหนที่ประตูจะเปิดเพราะคำสั่งเพียงคำเดียวจากชายคนหนึ่งที่ไม่ได้ใส่ชุดราชการ ไม่ได้แสดงยศ ไม่แม้แต่จะพูดว่า ข้าคือใคร ..รู้เพียงเขาต้องได้รับอนุญาตจากท่านจางทังทำให้มาหานางได้แน่ ๆ
แต่ประตู...มันก็เปิด บานเหล็กสึกหรอที่ควรจะแข็งกว่าคำสัญญาใด ๆ กลับเปิดออกในเสียงโลหะเสียดกันเหมือนโลกนี้มีกุญแจเพียงดอกเดียว ที่อยู่ในมือเขา หลินหยาขมวดคิ้วน้อย ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ แล้วเอียงศีรษะ “ท่าน...ไปหลอกทหารได้ยังไงเนี่ย...ใต้เท้าจางทังมองแรงท่านแล้วมั้งตอนท่านขอมาเจอข้า” น้ำเสียงนางยังงัวเงียแต่มีรอยล้อเลียนประปราย
เว่ยชิงยิ้มนิด ๆ ดวงตาเขามองนางแบบเดิมอย่างคนที่จำทุกแววตา รอยยิ้ม น้ำเสียงของเธอได้แม่นยำยิ่งกว่าทหารจำแผนที่สนามรบเขาไม่ได้ตอบคำถามแต่ยื่นขลุ่ยนั้นให้เธอโดยตรง หลินหยารับขลุ่ยมาเงียบ ๆ ปลายนิ้วยังแตะไม่มั่นคงนัก เธอมองมันแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเขา "...จริง ๆ ท่านไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้" เสียงเธออ่อนลงนิดหนึ่ง
“ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร หากเป็นแม่นางที่ข้าต้องมาหาถึงคุกหลวง..ข้าก็จะมา” คำพูดนั้นไม่ได้ดัง แต่ทิ้งน้ำหนักลงลึกกว่าเหล็กทั้งคุก หลินหยาเม้มปากเบา ๆ ไม่รู้จะตอบอะไรดีในชั่วขณะนั้น
“ถ้าข้ารู้มาก่อนว่าท่านเป็นคนแบบนี้..ข้าคงให้เหล้าไปสองไหแล้วเจ้าค่ะ..” เหมือนนางพูเพื่อแก้เก้อเหลือบมองดนตรีในมือของตนเอง..เอาสอดเข้ามาด้านในก็ได้..แต่กลับเอามายื่นให้ด้วยมือตัวเองเช่นนั้นหรือ..น่าขำนัก.. ไฟคบในคุกหลวงลุกสลัว สะท้อนเงาบนผนังหินที่เย็นชื้นเหมือนห้วงเวลายาวไม่รู้จบ แต่ในเงาสลัวนั้น ดวงตาของเว่ยชิงกลับยังคงมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างแน่วแน่ ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความแปลกใจ ไม่ได้เอ่ยถาม ไม่ได้เร่งรัดให้หล่อนเล่าเหตุใดถึงตกอยู่ที่นี่
ไม่มีคำถามว่า ‘เหตุใดเจ้าถึงโดนขัง?’ ไม่มีความสงสัยว่า ‘เจ้าทำผิดสิ่งใด?’ มีเพียงสายตา...ที่รับฟังอยู่เสมอ แม้ไม่มีคำพูดจากอีกฝ่าย เมื่อเขายื่นขลุ่ยให้เธอเว่ยชิงยังคงยืนนิ่งและเอ่ยเสียงเรียบ เสียงทุ้มต่ำของเขากระทบความเงียบในคุกหลวงเหมือนหยดน้ำกระทบผิวน้ำ “แม่นาง แม้ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้ามาที่นี่เพราะเหตุอันใด..แต่ข้ารู้ว่าสถานที่เช่นนี้คงหดหู่ใจนัก..หากแม่นางต้องการผ่อนคลาย..จงบรรเลงเถิด” ถ้อยคำไม่มีความสงสาร มีเพียงความเมตตาสงบไม่ใช่เมตตาแบบผู้สูงศักดิ์เอ็นดูผู้ต่ำต้อย แต่คือความเข้าใจของคนที่เดินผ่านความหนาวเหน็บของชีวิตมาพอจะรู้ว่าดนตรีบางท่อน อาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พาใจคนให้มีชีวิตอยู่รอด
ใบหน้าเปลือยเปล่าของหลินหยานั้นไร้เครื่องประทินโฉม มองชายหนุ่มตรงหน้าที่ไม่ได้ถาม เร่งเร้าหรือตัดสิน..นางมองเข้านานพอที่จะรู้สึกได้ว่าเขาดีเหลือเกิน “ท่านไม่ถามข้าเลยหรือเจ้าคะ ว่าข้าทำอะไรมา?” เธอเอ่ยเสียงเบา ดวงตาฉายประกายประหลาดใจแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น เหมือนเด็กสาวที่ยังไม่คุ้นเคยกับคนที่ เชื่อเธอโดยไม่ต้องมีเหตุผล
“ข้าฟังดนตรีของอม่นาง ไม่ใช่คำสารภาพ” ประโยคนั้นเหมือนอะไรบางอย่างในอกหลินหยาหลุดลงจากบ่า เธอระบายยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มของคนเข้มแข็งแบบสร้างภาพ แต่เป็นรอยยิ้มที่จริงใจจนแทบสั่น “ท่าน...อยากฟังก่อนไปไหมเจ้าคะ?” เธอถามอย่างเบา แต่แฝงความกล้า กล้าเพราะเชื่อว่าเสียงขลุ่ยของเธออาจทำให้เขาอยู่ตรงนี้นานขึ้นอีกนิดก็ยังดี
เว่ยชิงพยักหน้าเล็กน้อยรอยยิ้มเขายังอยู่ในสายตา และคำตอบนั้นไม่ได้อยู่ที่ปาก หากแผ่ผ่านท่าทีของเขาทั้งร่าง “ข้าอยู่ที่นี่เพื่อฟังอยู่แล้ว”
หญิงสาวจึงค่อย ๆ ยกขลุ่ยขึ้นจรดริมฝีปาก เสียงแรกของไม้ไผ่ดังขึ้นช้า ๆ แผ่วเบา ราวกับกลัวจะกระทบเงาความเงียบในคุกหลวง แต่กลับแทรกซึมลงลึกถึงหัวใจของคนที่ยืนฟัง และเมื่อเสียงขลุ่ยสุดท้ายลอยหายไปกับอากาศในคุกหลวงราวกับเงาเมฆที่เคลื่อนผ่านยอดไม้เงียบ ๆ ไม่มีเสียงปรบมือ ไม่มีคำชม ไม่มีแม้แต่ถ้อยคำสรรเสริญใด ๆ แต่ในดวงตาของเว่ยชิงกลับเปล่งประกายบางอย่างที่ชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำใด เขาไม่ได้ขยับ ไม่แม้แต่จะหายใจแรง ดวงตาเรียวยาวของชายหนุ่มสบหญิงสาวตรงหน้าอย่างแน่วแน่ ใบหน้าสงบ เรียบนิ่ง แต่แฝงความอ่อนโยนแบบคนที่เข้าใจดนตรีโดยไม่จำเป็นต้องตีความ
หลินหยาหลังจากเป่าขลุ่ยจบลง ก็ค่อย ๆ ลดมันลงจากริมฝีปาก แล้วเธอก็ยิ้ม ยิ้มแบบเต็มหัวใจ ดวงตากลมโตระยิบระยับราวกับมีน้ำค้างสะท้อนแสงไฟจากคบเพลิง เธอมองเขาผู้ที่นั่งฟังอย่างตั้งใจจนแม้เสียงสนิมที่กรงบานประตูยังไม่อาจกลบสมาธิของเขาได้ “ข้า...จะไม่ลืมเลยเจ้าค่ะ” เธอเอ่ยเสียงเบา ขณะที่ปลายนิ้วลูบขลุ่ยอย่างรักใคร่ “ไม่ใช่เพียงเพราะท่านนำมันมาให้ข้า แต่เพราะ...ท่านฟังมันด้วยใจ”
วินาทีนั้น ใบหน้าของหลินหยาขึ้นสีจาง ๆ ที่แก้มขาวนวลไม่ใช่เพราะเขินอาย ไม่ใช่เพราะรักแต่มันเป็น...ความรู้สึกอ่อนโยนของใครสักคนที่ได้รู้ว่าโลกใบนี้ยังมีคนที่ฟังเธอจริง ๆ เว่ยชิงเฝ้ามองอาการนั้นอยู่เงียบ ๆเขาเห็นความรู้สึกในแววตาเธอ รู้ว่าเธอไม่ได้รักเขาแบบชายหญิง รู้ว่าเธอเพียงรู้สึก ปลอดภัยและอบอุ่นใจและนั่น...ก็มากพอแล้วสำหรับเขา
“หากแม่นางคิดว่าขลุ่ยนี้เป็นสมบัติ..จงใช้มันเพื่อเตือนใจแม่นางในวันที่ไม่มีใครอยู่ข้างเจ้าเพราะแม้ข้าจะไม่อยู่ตรงหน้าเสียงของมันจะอยู่กับแม่นางเสมอ”
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: ความจริงเต็มแล้วแหละ 4 ดวง แต่แบบ ปลดได้ไหมเนี้ย 555 อยู่ในคุกปลดยังไงอ่ะ อยู่ในคุกปลดหัวใจมันแปลกนะ
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป เว่ย ชิงหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้มทักษะนักดนตรี เล่นดนตรี โบนัสความสัมพันธ์ +5
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-27 23:42 <br /><br /><span id="docs-internal-guid-ceb6a4b9-7fff-bcaf-efea-9e419f0a92fb"><p dir="ltr" style="text-align: center; line-height: 1.38; margin-top: 0pt; margin-bottom: 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0); background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><img src="https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png" width="500" _height="57" border="0"><font face="Sarabun" style="" size="3"></font></span></p><p dir="ltr" style="text-align: center; line-height: 1.38; margin-top: 0pt; margin-bottom: 0pt;"><b style="color: rgb(65, 105, 225); font-family: Sarabun; font-size: large; background-color: transparent; white-space-collapse: preserve;">วันที่ 27 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11</b></p><p dir="ltr" style="text-align: center; line-height: 1.38; margin-top: 0pt; margin-bottom: 0pt;"><span style="background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><font face="Sarabun" size="4" style="" color="#4169e1"><b style="">ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ คุกหลวงห้องขังหมายเลขหนึ่ง</b></font></span></p><font face="Sarabun" size="3"><br></font><p dir="ltr" style="line-height:1.38;margin-top:0pt;margin-bottom:0pt;"><span style="background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><font face="Sarabun" size="3" style=""><font color="#000000"> </font> เสียงบิดขี้เกียจจากร่างบางของหลินหยานั้นดังขึ้น เธอนอนแบบสบายตรงฟูกที่โดนเตรียมไว้โดยใครก็ไม่รู้ ก่อนที่จะเห็นว่าเป็ดปักกิ่งกำลังส่งเสียงเรียกเธอไว้ หลินหยาพลิกตัวพลางครางงึมงำในลำคอ ดวงตาคู่งามกระพริบไล่แสงยามโพล้เพล้ที่ลอดผ่านช่องเล็ก ๆ ของคุกเข้ามา นางยันกายลุกนั่ง ม่านผมยุ่งนิด ๆ จากการนอนขดตัว คราบไอน้ำอุ่นลอยอ้อยอิ่งจากชุดอาหารที่วางเรียงกันอย่างเรียบร้อยจนเกือบจะเข้าใจผิดว่านี่คือห้องรับรองในจวนผู้ตรวจการ มากกว่าจะเป็นห้องขัง</font></span></p><font face="Sarabun" size="3"><br></font><p dir="ltr" style="line-height:1.38;margin-top:0pt;margin-bottom:0pt;"><span style="background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><span style="font-family: Sarabun; font-size: medium;"><font color="#000000"> </font><b style=""><font color="#dda0dd"> </font></b></span><font face="Sarabun" size="3" style=""><b style=""><font color="#dda0dd">"นี่มัน...คุกหลวงระดับไหนกันแน่เนี่ย" </font></b>หลินหยาขมวดคิ้ว มองดูสำรับกับข้าวที่เรียงรายอย่างสง่าผ่าเผย เป็ดปักกิ่งหนังกรอบวาว ๆ น้ำซุปซี่โครงตุ๋นกับหมั่นโถวอุ่น ๆ ที่ส่งกลิ่นยั่วลมหายใจ คนภายนอกถ้าได้เห็น...คงคิดว่านางโดนจับมาเป็นแขกบ้านแขกเมืองแทนแล้วกระมัง เธอยกนิ้วขึ้นกวักเบา ๆ เรียกนายทหารยามที่ยืนอยู่หน้าห้องขัง เป็นชายหนุ่มที่เธอจำได้ว่าเคยเผลอถามชื่อไปครั้งหนึ่ง แต่เขาไม่ตอบ แถมหน้าก็จริงจังยิ่งกว่าขุนทหารราชองครักษ์</font></span></p><font face="Sarabun" size="3"><br></font><p dir="ltr" style="line-height:1.38;margin-top:0pt;margin-bottom:0pt;"><span style="background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><span style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: Sarabun; font-size: medium;"> </span><font face="Sarabun" size="3" style=""><b style=""><font color="#dda0dd">“ท่าน..มานี่สิ มากินด้วยกันหน่อยไหม?”</font></b><font color="#000000"> </font>นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ได้สั่ง แต่หากใครหูดีจะจับได้ว่ามันมีแววขี้เล่นเจืออยู่ นายทหารสะดุ้งนิดหน่อยก่อนส่ายหน้าอย่างสุภาพ <b style=""><font color="#006400">“ขอรับ แม่นาง...ข้ากินไม่ได้”</font></b></font></span></p><font face="Sarabun" size="3"><br></font><p dir="ltr" style="line-height:1.38;margin-top:0pt;margin-bottom:0pt;"><span style="background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><span style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: Sarabun; font-size: medium;"> </span><font face="Sarabun" size="3" style=""><b style=""><font color="#dda0dd">“หืม? กลัวข้าจะวางยารึ?” </font></b>หลินหยาแกล้งเลิกคิ้ว เหล่มองด้วยหางตา แต่นายทหารกลับสายหัวไปรัว ๆ เพราะว่านางอยู่ในคุก อาหารทั้งหลายล้วนแต่ต้องโดนตรวจสอบแม้ว่าจะได้มาจากคนใหญ่คนโตถึงเพียงนี้ก็ตาม <b style=""><font color="#006400">“เปล่าขอรับ…แต่ใต้เท้าจางทังสั่งไว้เด็ดขาด ว่าห้ามล่วงละเมิดขอบเขตระหว่างผู้คุมกับนักโทษ และหากมีข้อสงสัยว่าท่านได้รับของจากใครเพิ่มเติม จำต้องรายงานทันที”</font></b></font></span></p><font face="Sarabun" size="3"><br></font><p dir="ltr" style="line-height:1.38;margin-top:0pt;margin-bottom:0pt;"><span style="background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><span style="font-family: Sarabun; font-size: medium;"><font color="#000000"> </font><b style=""><font color="#dda0dd"> </font></b></span><font face="Sarabun" size="3" style=""><b style=""><font color="#dda0dd">"โอ้โห ใต้เท้าจางทังนี่เข้มงวดจริง ๆ นะ"</font></b><font color="#000000"> </font>นางพึมพำเบา ๆ ก่อนจะทำหน้าเศร้าจอมปลอม หยิบเป็ดขึ้นมากัดกร้วม ๆ ต่อหน้าเขาอย่างจงใจ เสียงเคี้ยวดังกรอบกรุบ<font color="#000000"> </font><b style=""><font color="#dda0dd">“งั้นข้ากินคนเดียวก็ได้”</font></b><font color="#000000"> </font>นางว่าพลางส่งยิ้มหวานแสบตา ทหารคนนั้นยืนตัวตรงเหมือนหอกเสียบพื้น แต่ลูกกระเดือกกลับกลืนน้ำลายลงไปอย่างห้ามไม่ได้ สายตาเขาเผลอมองหนังเป็ดมันเงาที่หลินหยากำลังคีบขึ้นจาน หมั่นโถวถูกบั้งเป็นแผ่นบาง ๆ พร้อมซอสเข้มข้นที่เทไว้ข้างชามเล็ก ทุกอย่างดูพร้อมให้กินอย่างเกินไปหน่อย...เกินไปสำหรับนักโทษธรรมดา</font></span></p><font face="Sarabun" size="3"><br></font><p dir="ltr" style="line-height:1.38;margin-top:0pt;margin-bottom:0pt;"><span style="background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><span style="font-family: Sarabun; font-size: medium;"> </span><font face="Sarabun" size="3" style="">หลินหยายิ้มเยาะในใจเล็ก ๆ พลางหันหลังให้เขาแสร้งเป็นคนใจดีที่ไม่เคี่ยวเข็ญ<font color="#000000"> </font><b style=""><font color="#dda0dd">“ท่านก็ขยันทำงานเข้านะ ข้ากินต่อละเจ้าค่ะ”</font></b><font color="#000000"> น</font>ายทหารถอนหายใจเบา ๆ พยายามหันหน้าหนีเป็ดปักกิ่งแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะกลิ่นยังไล่ตามเขาอยู่ดี</font></span></p><p dir="ltr" style="line-height:1.38;margin-top:0pt;margin-bottom:0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0); background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><font face="Sarabun" size="3"><br></font></span></p><p dir="ltr" style="text-align: center; line-height: 1.38; margin-top: 0pt; margin-bottom: 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0); background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><img src="https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png" width="500" _height="57" border="0"><font face="Sarabun" size="3"></font></span></p><p dir="ltr" style="text-align: center; line-height: 1.38; margin-top: 0pt; margin-bottom: 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0); background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><br></span></p><p dir="ltr" style="text-align: center; line-height: 1.38; margin-top: 0pt; margin-bottom: 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0); background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;">@Admin </span></p><font face="Sarabun" size="3"><br></font><p dir="ltr" style="text-align: center; line-height: 1.38; margin-top: 0pt; margin-bottom: 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0); background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><font face="Sarabun" size="3">พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) </font></span></p><p dir="ltr" style="text-align: center; line-height: 1.38; margin-top: 0pt; margin-bottom: 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0); background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><font face="Sarabun" size="3">มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่</font></span></p><p dir="ltr" style="text-align: center; line-height: 1.38; margin-top: 0pt; margin-bottom: 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0); background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><font face="Sarabun" size="3">อื่น ๆ: เมื่อไรหน่อออ จะเลขที่ออกกก สาธุ๊วววววววว</font></span></p><p dir="ltr" style="text-align: center; line-height: 1.38; margin-top: 0pt; margin-bottom: 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0); background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><font face="Sarabun" style="" size="3">รางวัล: -</font></span></p><div><span style="font-size: 12pt; font-family: Sarabun, sans-serif; color: rgb(0, 0, 0); background-color: transparent; font-variant-numeric: normal; font-variant-east-asian: normal; font-variant-alternates: normal; font-variant-position: normal; font-variant-emoji: normal; vertical-align: baseline; white-space-collapse: preserve;"><br></span></div></span>
หน้า:
[1]
2