LinYa โพสต์ 2025-6-9 11:14:16

https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ เก้า เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. (ลาภลอย)

          ช่วงเวลายามเฉินของจัตุรัสกลางเมืองหลวงอย่างฉางอันตอนนี้เหมือนกับจะเป็นช่วงเวลาที่ดี ดีกับผีน่ะสิ ริมฝีปากของหลินหยาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีดไร้เส้นเลือดฝาด เวลาไม่ถึงห้านาทีหลังจากกลืนเต้าหู้คำสุดท้ายของเต้าหู้งาดำลงไปเสียงภายในลำคอของเธอเหมือนจะดังขึ้นมาเล็กน้อย มันลอดออกมาจากลำคอที่เริ่มบีบรัดตัวเองอย่างผิดธรรมชาติของคนธรรมดา เธอไม่ใช่มารหรอกนะ แต่เธอแค่แพ้ถั่วเหลือง ถึงมันจะออแกนิกซ์ธรรมชาติก์แพ้เว้ย ลมหายใจเริ่มติดขัดแล้วก็หายใจขาดห้วงติด ๆ ขัด ๆ เหมือนคอหอยของตัวเองถูกรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น ดวงตาของเธอที่เคยกลมโตเริ่มเบิกโพลงออกมานิดหน่อยก่อนที่จะค่อย ๆ หลุบลงเรื่อย ๆ มันควรที่จะมีน้ำตารื้นตรงขอบตา แต่ไม่..หลินหยาไม่มีของพวกนั้น ไม่ใช่เพราะความรู้สึกหรอกนะ แต่เธอไม่ค่อยร้องไห้หรอก เพราะร่างกายมันกำลังตะโกนออกมาว่า

          Go To โรงหมอได้เลยจ้าาาา

          มือเล็กอมืเหนกับสั่นระริกยกขึ้นมาป้องอกของตัวเอง แล้วขยับมาที่ลำคอขาวนวลที่เริ่มแดงนิด ๆ ปลายนิ้วปัดผ่านปลอกคอเสื้อที่ตอนนี้เหมือนตีบตันแคบลงทุกวินาที หน้าของเธอเริ่มขึ้นผื่นแดงจาง ๆ เป็นหย่อม ๆ ใต้ผิว ผิวแก้มที่เคยเปล่งปลั่งดูราวกับระเบิดจากภายในของตนเอง ดวงตาพร่ามั่ว ริมฝีปากเหมือนอยากพูดต่อแต่ทำไม่ได้ ทำเพียงอ้าปากเอาอากาศเข้าร่างกายให้ได้มากที่สุด ความรู้สึกทรมารล้นทะลักสมัยก่อนที่เธอกินถั่วเหลืองก็เป็นแบบงนี้เช่นนั้นหรือ? …ก็เรียกว่าทรมารได้อยู่หรอก ทรมารมากอย่างกับโดนบีบคอให้ตายทั้งเป็น

          หลิวอันมองความผิดปกตินั้นด้วยดวงตาที่ไร้อารมณ์ แต่ใบหน้าของเขาเริ่มเอียง แรงในร่างของเธอหายไปในพริบตาเหมือนหุ่นฟางหรือกองเต้าหู้ที่ละลายเพราะความเหลว ที่ถูกดูดพลังงานออกมาจนหมด เขาก้าวเข้ามาแล้วจับมือที่แดงเถือกของเธอก่อนที่จะรวบแขนแล้วก็เธอเข้ามาในอ้อมแขนของตนเอง มือสองข้างประคองคนละที่..ข้างหนึ่งสอดใต้ขาทั้งสองข้าง อีกข้างช้อนแผ่นหลัง ก่อนที่จะยกเธอขึ้นเหมือนกับเพียงใบไม้ที่เบาหวิวราวกับจะปลิวไปตามลม

         “อดทนไว้” เสียงของเขายังคงเย็นชาและมั่นคง หลินหยาที่เหมือนจะสลบไปแล้วไม่เห็นสิ่งใด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้อีกคนรู้สึกยังไง เธอแค่เริ่มกระตุกเล็กน้อย อาการที่แสดงว่าน่าจะตอบสนองกับสิ่งที่เป็นพิษต่อตัวเอง

          ชายหนุ่ม(?) เดินอุ้มคนร่างเล็กกว่าไปที่ด้านนอกของจัตุรัส รถม้าที่นั่งมาไม่ทำให้หรูหราเกินไปแต่สะอาดเรียบร้อยและมีกลิ่นของไม้กฤษณาจาง ๆ ลอยอยู่เหนือพื้น แล้วเดินขึ้นรถม้านั้นไปพร้อมกับมีคนเปิดประตูให้ เขาขยับขึ้นรถม้าสีดำสนิทคันใหญ่ที่จอดไว้ตรงนั้น วางร่างของเด็กสาวที่น่าจะอายุคราวเดียวกับบุตรสาวของตนเองไปที่เบาะด้านใน แล้วขยับมือหยิบผ้าคลุมลงร่างนั้น

          แม้จะอากาศร้อนแต่เมื่อเห็นว่าระบบภายในกำลังล่มสลาย อุณหภูมิร่างกายของเธอก็ไม่นิ่งอีกต่อไป…หลินหยานอนหลับตาพริ้มไม่ได้ดูสบายแต่กลับเป็นการทรมารแทน ใบหน้าเริ่มขึ้นผื่นแดงลุกลามมาบนไรผมและบริเวณคอ ริมฝีปากช้ำเสียงหอบหายใจสลับสั่นถี่เหมือนกับโดนดัดสายไปมา

      “เรียกหมอจากจวนมา..” เขาหันไปสั่งคนรถอีกคนที่อยู่ด้านนอก ไม่นั่งกับคนที่กำลังป่วยอยู่ ในใจเหมือนเขากำลังคิดอะไรบางอย่างไม่ใช่ความเป็นห่วงแบบที่เขาเคยเป็นกับคนในครอบครัว แต่ก็ไม่ใช่คนเย็นชาถึงเพียงนั้น.. บางทีเขาอาจจะคิดแค่คำว่า กินเต้าหู้ไม่ได้ตลอดชีวิตคงน่าสงสารแย่ก็ได้หากนางตาย..มันคงแปลกสำหรับคนทำเต้าหู้แบบเขาแน่..มันเสียศักดิ์ศรี..

          เสียงรถม้าเคลื่อนตัวออกช้า ๆ ไปสู่ถนนมุ่งหน้าสู่แหล่งกบดาน(?)ของอ๋องหลิวอัน เสียงล้อหมุนคลอไปกับเสียงหอบของเด็กสาว ดวงตาหนักแน่นลึก ไม่ใช่สงสาร..เอาตรง ๆ เขากำลังแปลกใจ ใครกันที่มักจะมีอารมณ์ที่ยากจะคาดเดาเสียยิ่งกว่าบุตรสาวของเขาเสียอีก หัวเราะกับอาหารที่เกือบตายเพราะมัน และถ้าไม่ได้รักษาเร็ว ๆ นี้คงตายแน่ ใครกันที่กินอาหารจากคนแปลกหน้าเพราะเขาเป็นคนเสนอ.. เปราะบางเกินคาด เสียงลมหายใจยังไม่สิ้น แต่สั้นและขาดตอนทุกคราว

          นางโง่..แต่ก็ไม่คิดว่าจะโง่จนปล่อยให้ตัวเองเสี่ยงถึงเพียงนี้..


https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png

@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่รางวัล: ไม่อาจสร้างความสัมพันธ์จากอาการสลบ


LinYa โพสต์ 2025-6-16 21:07:09

https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ สิบหก เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามซวี เวลา 19.00 - 21.00 น. ไปพักผ่อนที่จัตุรัสกลางเมืองฉือจิ่งชาน (พบคุณชายอันเล่อ หรือ หลิวอัน)

         แสงตะวันยามซวีอัสดงลงแล้ว เงาสีส้มทองทอดยาวหายไปเคลียร์พื้นเหลือเพียงสิ่งที่เรียกว่าความมืดพื้นหินที่เรียงตัวเป็นลวดลายบนลานจัตุรัสฉือจิ่วชายเสียงผู้คนจอแจเบาลง ทว่าบรรยากาศหลับยังมีชีวิตชีวาอยู่เต็มไปด้วยเสียงของอย่างอื่น ยาวบ้านที่เริ่มทยอยกันออกมาเล่นเล่นคลายร้อนเพราะช่วงกลางวันนั้นแดดร้อนเกินสำหรับช่วงกลางหน้าร้อนเช่นนี้ หลินหยาก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าผ่านฝูงชน ผ้าคลุมบางสีขาวสะอาดพาดบนไหล่แนบไปกับตามรูปร่างที่บอบบางอยู่แล้วพลันยิ่งดูเหนื่อยล้ากว่าเดิม ดวงตาเรียวโตที่หม่นแสงเล็กน้อยได้แต่มีเงาระบายของขนตาที่ยังติดผงแป้งจากบางส่วนเวลาเธอทำงานที่หอว่านหงเหริน มือเรียวบางนั้นยกขึ้นปาดเหงื่อจากขยับ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนเก้ากี้หินกลางลานแห่งนี้

         ดวงหน้าที่แม้จะหวานใสเหมือนแต่งหน้าเบาบางกลับยิ่งโดดเด่นยามถูกอาบด้วยแสงตะวันสุดท้าย กลิ่นละมุนของกลีบดอกเหมยจากร้านขนมด้านข้างลอยมาตีจมูก พร้อมเสียงสายพิณของนักดนตรีข้างถรรที่เล่นอยู่ไม่ไกล มันควรจะผ่อนคลาย หากไม่ติดที่ว่าเท้าของหลินหยากำลังปวดร้าว และปลายนิ้วของหลินหยายังคงมีผ้าพันแผลจากการฝึกเล่นดนตรีที่เป็นเหมือนเดิม เธอถอนหายใจเบา ๆ พึมพำกับตัวเอง “เหนื่อยชะมัด..”

         แต่ยังไม่ทันจะสิ้นคำ หางตาก็เหลือบเห็นเงาร่างหนึ่งที่คุ้นเคยยืนอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวเธอกระพริบตาช้า ๆ แล้วเลื่อนสายตาไปตรงนั้น บุรุษในชุดผ้าแพรไหมสีน้ำเงินเทาดูสุขุมตัดด้วยลายปักลึกสีเงินที่คอเสื้อ ดูไม่ฉูดฉาดแต่บ่งบอกอะไรสักอย่างอยู่ทุกฝีเย็น ก้าวเดินของเขานิ่งเรียบแต่มีบางอย่างในท่าทางที่ทำให้ผู้เห็นอดไม่ได้ที่จะเหลียวมอง…

         คุณชายร้านเต้าหู้ เถ้าแก่หนุ่ม(?) ไม่หนุ่มละ แค่หน้าอ่อนแค่นั้นเอง หลินหยาไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงยามเย็นที่ตะกระทบพอดีหรือเพราะเธอเหนื่อยเกินไปกันแน่ แววตาของเธอคล้ายจะพร่าไปสักเล็กน้อย แต่เมื่อสบสายตากันแล้วเธอกลัยฝืนยิ้มบาง ๆ พร้อมกับลุกขึ้นเล็กน้อยเอ่ยเสียงแผ่วอย่างพอมีแรงขึ้นมาบ้าง

         “สวัสดีเจ้าค่ะท่านชายอันเล่อ ค่ำแล้ว ท่านยังออกมาเดินเล่นอีกหรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม น้ำเสียงแม้พยายามทำให้สดใสทว่าความเหนื่อยล้าก็ยังคงคุกกรุ่นอยู่ชัดเจนในทุกพยางค์ของเธอ หลิวอันมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่สายตากลับซับซ้อนราวกับอ่านอะไรบางอย่างในแววตาของเธอมากกว่าที่เจ้าตัวนั้นอยากจะเผย เขาก้าวขยบับตัวเข้ามาใกล้เธอแต่ไม่ใกล้เกินไป เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบราบเหมือนเช่นเคย

         “ไม่คิดว่าแม่นางจะยังเดินเล่นมาจนถึงนี่ได้ ทั้งที่สถาพเจ้าเหมือนไผ่ที่เปียกน้ำจนแทบละลาย” คำพูดที่ไม่อ่อนโยนแต่กลับไม่ทำให้หลินหยารู้สึกโกรธ กลับกันเธอเงยหน้ามองเขาก่อนที่จะยิ้มขำมั้งห่อไหล่เพราะกำลังเหนื่อยอยู่จริง ๆ

           “เหนื่อยนิดหน่อยเจ้าค่ะ..แต่ก็เดินมาพักเองแหละ ข้าไม่ได้ถูกลากมาสักหน่อย” นางเอ่ยบอกก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกสักเฮือก ดวงตาของชายหนุ่มมองเธอแล้งปรายตาไปทางนิ้วมือที่พัดแผลไว้ ทั้งที่เมื่อวานยังไม่มีหรืออาจจะมีรอยเล็ก แต่เขาอาจจะไม่สังเกต

         “นิ้วแม่นางเจ็บอยู่?” เขาเอ่ยถามน้ำเสียงไม่เปลี่ยนไปไหน หลินหยาส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่มากแล้วเจ้าค่ะ ข้าแค่ฝึกดนตรีที่เล่นไม่ชิน ความจริงข้าเล่นดนตรีได้หลายชนิด แต่เพราะไม่ค่อยได้เล่นเลยต้องทวนความจำกันสักหน่อย” หลินหยาพูดแล้วก็ขำเอง พยายามจะปล่อยบรรยากาศให้เบาลง หลิวอันยังคงเงียบ เขาเหมือนจะหยอ่นตัวนั่งลงบนเก้าอี้หินฝั่งตรงบข้ามมองดูเธออย่างสงบ

         “ข้าคิดว่าแม่นางจะไม่แสดงความเหนื่อยให้ใครเห็นเสียอีก”

         “หืม?..ข้าก็ไม่..อืม..ก็ไม่รู้สิเจ้าคะ หากไม่เจอท่านในคืนนี้ก็คงไม่ได้แสดง” หลินหยาเอ่ยพลางหลุบดวงตาลงต่ำ ดวงหน้าอ่อนลงจนไม่เหมือนหญิงสาวที่ใครหลายคนเคยเห็นเวลาทำงานอย่างร่าเริงสดใสชอบเงินเป็นชีวิตจิตใจ

         “ข้าคิดว่าแม่นางอาจควรหาที่ที่ปลอดภัยกว่านี้ หากไม่อยากให้ท่านพ่อของแม่นางรู้ว่าทำงานที่ไหน”

         “ข้าไม่สนหรอกเจ้าค่ะ ที่นี่มันเงินดีนี้ท่าน ข้าน่ะชอบเงินนะ อิสระทางการเงินดีออกจะตาย” หลินหยาเอ่ยบอกก่อนที่จะมีแววตาที่เหมือนดื้อรันนิดหน่อย เพราะไม่รู้ว่าทำไมอยู่ ๆ เขาพูดออกมาแต่เพราะเธอมองเงินแหละ แล้วมองหน้าอีกคนผ่านลมเย็นที่พัดผ่านมาอีกครั้ง กลิ่นหอมของดอกไม้ปะปนกับกลิ่นกายจาง ๆ ของถั่วเหลืองในร่างกายของเขา

         “ท่านชายข้าได้ของดีมาล่ะ” เธอขยับตัวพลางเปิดประเป๋าแล้วหยิบกล่องยาวมาที่มีเส้นไหมสีขาวละเอียดพัดกลมรวมกันเป็นกลุ่มก้อนกลมกลึงแน่น “เนี้ย ข้าแวะตลาดเมื่อเช้า เจอขนมไหมฟ้าพอดี ท่านคงรู้จักใช่ไหม ขนมหนวดมังกรน่ะ กล่องหนึ่งมีตั้ง 4 ชิ้นแหนะ ข้าเลยซื้อมาสองกล่องอย่างคุ้มม”

         เอ่ยบอกแบบคนที่ชอบของถูกและดีแตกต่างการใช้เงินในแบบตัวจริงของหวยหนานหว่างสุด ๆ แบบที่ไม่เคยถามราคาถ้าถูกใจก็แค่ซื้อเลย หลิวอัน หรือที่ในนามที่หลินหยารู้จักคือ คุณชายร้านเต้าหู้ อันเล่อ เหลือบมองกล่องขนมนั้นเล็ก ๆ แต่ไม่ได้เอื้อมมือไปรับในทันที ดวงตาเรียวลึกยังคงจดจ้อง กล่องนั้นราวกำลังประเมินอะไรบางอย่างอยู่ภายใน

         “แม่นางลืมเสียแล้วหรือว่าข้าไม่ไว้ใจอาหารที่คนอื่นส่งให้”

         หลินหยายื่นกล่องให้อีกคนอีกคนไปชะงักนิดหน่อย เธอยกคิ้วก่อนที่จะฉีกห่อขนมส่วนของตนเองออกตรงหน้า เขาเห็นเธอหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมากัน เส้นผมสีขาวที่ละลายเข้าปากเธอด้วยความบางเบาก่อนที่เธอจะเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้ากินแล้วนะ เห็นไหม ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ถ้าท่านไม่ชอบก็ไม่ต้องกินเอาไปให้หรงเล่อก็ได้ ฮึ ข้าแค่เกรงว่าให้ขนมหรงเล่อบ่อย ๆ เดี๋ยวนางติดใจ แต่เอ๊ะ..อันนี้น่ะ ร้านฝีมือขนมแถวประตูใต้ที่คนแถวนั้นบอกว่าเด็ดที่สุดในเมืองฉางอันเลยนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ใส่อะไรหรอก ขนาดเหล้าที่ส่งให้ท่านข้ายังไม่มีปัญญาใส่ยาพิษเลย”

         หลินหยาเอ่ยอธิบาย คำพูดนั้นทำให้หลิวอันเงียบไปชั่วครู่ภาพของสตรีป่วยบนเตียงที่ยกเหล้าชั้นเลิศมอบให้เขาและเขาที่บอกว่าเขาไม่รับดื่มจากใครหากไม่เห็นต่อหน้ายังจำได้ว่านางกลืนสุราแม้มือเรียวจะซีดเซียวในตอนนั้น ก่อนที่จะยื่นมือไปรับกล่องมาอย่างสงบนิ่ง ถึงจะดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่หลินหยาเห็นว่าเขาไม่เปิดมันทันที เพียงแต่ถือไว้ข้างลำตัวแนบชุดคลุมยาวอย่างปราณีตนั้น

         “งั้นข้าไปก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ..เดี๋ยวข้าต้องเข้าเวรดึกไปทำงานอีก..” หลินหยาเอ่ยก่อนที่จะลุกขึ้นจากที่นั่งตรงนั้น เธอโบกมือลาอีกคนทันทีแล้วจากไป หลินหยายังคงทำงานทุกอย่างเสมอ เธอทำงานหลายอย่างที่เขารับสมัครงาน ขอแค่ได้เงินเธอก็ทำโดยไม่อิดออดแม้ว่าจะงานหนักถึงเพียงไหนก็ตาม…นางก้าวเท้าออกไปจากที่ลานแห่งนี้ปล่อยให้ท่านชายอันเล่ออยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียวเหมือนเธอมาแค่ผ่านทางมาแล้วพบเขาที่เป็นคนรู้จักและทักทายตามมารยาทเท่านั้น

         หรือทำงานกระทั่งนิ้วแสนงามของนางกำลังโดนทำลายลงทุกทีนางก็ไม่หยุด


https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png

@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป หลิว อันหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้มมอบ ขนมไหมฟ้า ขนมว่างเกรดทอง ความสัมพันธ์ +20 (ส่งแล้ว)

LinYa โพสต์ 2025-6-18 15:32:11

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-18 15:33

https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ สิบแปด เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเซิน เวลา 15.00 เป็นต้นไป ณ จัตุรัสกลางเมืองฉือจิ่งชาน ในฉางอัน

         เมื่อก้าวพ้นจากถนนด้านข้างของจวนโอวหยางไปเส้นทางสายรองที่ปูด้วยหินเก่าบ่งบอกถึงความเก่าแก่ของที่นี่อย่างชัดเจน ทว่าเมื่อเดินตัดผ่านตรอกไปเรื่อย ๆ มาสู่จัตุรัสกลางแล้วภาพตรงหน้ากลับเป็นอีกโลกหนึ่งทันที ที่นี่คึกคัก ครื้นเครงและมีชีวิตชีวาเสียนจนคนที่ไม่ชินอาจจะเวียนหัวได้ง่าย ๆ แผงลอยผลไม้ตั้งเรียงรายเป็นแนวยาว ผ้าคลุมลวดลายฉูดฉาดพลิ้วไหวไปตามแรงลม มีทั้งแอปเปิ้ลภูเขาที่ห่อด้วยใบไม้สด ส้มเขียนหวานลูกกลมเรียงรายในถาดไม้และใบไม้ มะม่วงสุกจากแดนใต้ มะเดื่อสดที่ยังมีก้านติดอยู่และรอยหยดน้ำพราว ชวนให้รู้สึกว่าผลนั้นยังมีลมหายใจ รสชาติคงจะฉ่ำหวานกรอบติดปลายลิ้นจนแทบไม่ต้องโรยเกลือหรือจิ้มน้ำผึ้งเลยสักนิด เสียงคนขายตะโกนเชิญชวนคลอไปกับเสียงขลุ่ยของชายแก่ริมทางที่เป่าทำนองเพลงพื้นเมืองอย่างไม่รีบร้อย เด็ก ๆ วิ่งเล่นกับตามมุมขอบ ฝูงชนบ้างกลุ่มยืนดูระบำชายหญิงหมุนตัวไปกับจังหวะดนตรีเครื่องดีด และไม่ไกลออกนั้นมีชายในชุดสีกรมหม่นนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ซุ้มหนึ่ง ตรงหน้ามีแผ่นไม้แกะสลัดเขียนว่า ดูดวง เขาเหมือนนั่งนิ่งไม่เหมือนคนมีพลังแต่แปลก..กว่าหมอดูเร่ธรรมดีเสียอีก

         หลินหยาเหลือบมองเพียงนิดหนึ่งก่อนที่จะเบือนหน้ากลับ เธอรู้สึกว่าชายผู้นั้นคุ้นตามาก คุ้นเสียจนเหมือรู้สึกว่าพึ่งเจอกันไม่นาน หรืออาจจะเคยได้ยินเสียงเขา แต่ก็นึกไม่ออกเสียนี้สิ

          “เสี่ยวหนานเสร็จงานซื้อของเมื่อไร เราไปดูดวงกันหน่อยไหมล่ะ ข้าชอบดูนัก อยากถามว่าเมื่อไรจะได้ครอบรักกับคนที่ข้าหลงรักเสียที” รุ่นพี่สาวใช้เอ่ยขึ้นบอกพลางทำหน้าตาเพ้อฝัน

         “เห?..แล้วท่านไม่ได้ชอบท่านพ่อบ้านหรือ?” เสี่ยวหนานหรือหลินหยาเลิกคิ้วถามน้อย
         “แหม่ ไม่ใช่หรอก ข้าชอบแค่ตอนเขาทำหน้าเฉย ๆ แล้วเงียบใส่มากกว่า มันสะใจดี” รุ่นพี่บอก

         หลินหยาที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมานิดหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ แล้วก็พยักหน้าเบา ๆ “ตกลงเจ้าค่ะ ถ้าซื้อเสร็จแล้วไปดูกันก็ได้เจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ยบอก ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปตรงแผงขายของ เด็กสาวตัวเล็กที่ถือถุงผ้าที่ยืดออกจนป่องไปครึ่งแขนเดินไปตรงโซนผลไม้ ตามรุ่นพี่ที่คล่องมือคล่องทางมากกว่า รุ่นพี่สาวใช้พูดไม่หยุด บ่นถึงแม่ค้าคนโน้น เปรียบรสผลไม้ของแผงโน้นกับแผงนี้ บางทีก็กัดชิมผลไม้สด ๆ อย่างคนคุ้นหน้าคุ้นตาของเจ้าของร้าน

         “ของสดพวกนี้น่ะ ควรซื้อนะ เพราะอะไรรู้ไหม ของที่ไปถึงจวนส่วนใหญ่ผ่านมือพ่อค้าคนกลางมาแล้วทั้งนั้น ของที่ซื้อจากชาวบ้านจะหวานหอมกรอบกว่า หากเก่งพอที่จะคัดคุณภาพก็เลือกซื้อได้ง่าย ๆ เลยล่ะ” นางเอ่ยกล่าวบอกเรื่องการเลือกของ หลินหยาก็พยักหน้า เหมือนว่าเธอจะได้รับความรู้ใหม่ ๆ แล้วล่ะเรื่องการซื่อของ เด็กสาวรับของไปเรื่อย ๆ มองลูกผลสาลี่อย่างคิด กลิ่นหอมลอยล่อมาถึงปลายจมูก เธอไม่รู้หรอกว่าผลไม้นั้นโดนปลูกด้วยความรักแค่ไหน แต่รอยยิ้มของเจ้าของแผงที่ยื่นให้เมื่อครู่กับอบอุ่นดี..เธอก็อยากปลูกแล้วทำเช่นนั้นเหมือนกัน

         ดวงตาใสของหลินหยาหรือเสี่ยวหนานตอนนี้ เหลือบมองไปที่ตลอดที่เต็มไปด้วยชีวิตและสีสัน แตกต่างจากจวนโอวหยาง เธอคิดถึงบ้านเกิดที่กว่างโจวเพราะที่ืนั้นก็วุ่นวายไม่ได้ต่างกันนัก แสงแดดลอดผ่านซุ้มไม้ทอดแนวกับพื้นหินหยาบ แผงหมอดูที่ตั้งอยู่ใต้เงาของต้นไม้สูงใหญ่ดูไม่เหมือนร้านค้า ไม่มีป้ายแขวนขายเครื่องราง ไม่มีซุ้มขอพร ไม่มีเสียงเรียกลูกค้า มีเพียงชายผู้หนึ่งที่นั่งนิ่งอยู่หลังแผ่นไม้แกะสลัก

         แผงรับทำนายอักษร ดูดวง - ราคา 30 ตำลึงเงิน

         ใบหน้าของเขายาวเรียวงาม ผิวขาวจัด ผมดำถูกรวบตึงไว้ด้วยเชือกยาวสีหม่น ใต้ดวงตาที่ลึกซึ้งนั้นมีบางสิ่งที่ยากจะบรรยาย เหมือนคนที่เห็นบางอย่างแม้ยามหลับตา รุ่นพี่พี่สาวใช้เห็นก็แทบจะถลาเข้าไปทันทีที่เห็นป้ายราคา “คุ้มเลยยเจ้าเด็กน้อย มาสิเสี่ยวหนาน ข้าเคยเจอหมอดูบางครั้งคิดตั้ง 80 ตำลึงแหนะ แต่ทำนายมั่วมาก เป็นหมาไม่ได้เรื่อง เดี๋ยววันนี้จะลองดูคนนี้เสียหน่อย พ่อหมอหล่อเสียด้วย” นางเอ่ยแบบตื่นเต้น ส่วนหลินหยาน่ะหรอ แค่เห็นป้ายราคาก็อยากจะเดินหนีแล้ว..

         “ท่าน..มันแพงไปสำหรับข้า” หลินหยาเอ่ยบอกนางขณะที่ยืนมองจากข้างหลังแบบลังเลอยู่พอประมาณมือเล็กยกถุงซื้อของไว้กอดแนบอกเพราะกลัวมันปลิวหายไปกับสายลม “เจ้าไม่อยากดูหรือไงเนี้ยเสี่ยวหนาน” หญิงสาวเอ่ยถามหันกลับมามองแบบจะเอายังไงเนี้ย

          “ข้าชอบดูนะเจ้าคะ” เด็กสาวตอบตามตรงว่าเธอชอบอยู่ ดวงตากลบโตโค้งมองไปยังชายหนุ่มหลังแผงที่ยังคงนั่งนิ่ง “ข้าไม่ได้ว่าท่านนะ แต่สำหรับข้าน่ะ ไม่ว่าจะคนไหน ก็ไม่เคยดูตรงเลยสักครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าไปดูแบบไพ่มา หมอดูคว่ำไพ่ตรงหน้าข้าเลย บอกว่า เทวดาประจำตัวข้าไม่ให้ดูก็มี อีกเจ้าหนึ่งบอกว่าข้ากำลังจะเจอรักแท้ สุดท้ายคนที่ว่าก็แต่งกับลูกสาวของแม่ค้าก็มี” เธอหัวเราะกลั้วเบา ๆ แม้ว่าแววตาจะไม่ได้ขำตามเท่าไร “บางคนดูให้แล้วบอกว่าข้ามืดบอด บางคนทำนายเรื่องร้ายก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่สำหรับข้าที่ชอบดูนั้น..อืม..ก็แค่ชอบดูว่าคนไหนจะตรงจริงเท่านั้นเอง”

         หญิงสาวใช้รุ่นพี่นั้นเท้าสะเอวใส่ ฟังแล้วพ่นลมหายใจ “เอ้า เจ้านี่นะ มานี้ เดี๋ยวขาให้ยืม ข้าน่ะทำเงินได้เยอะกว่าที่เจ้าคิดนะเอออ แต่ไม่บอกหรอกว่าได้มายังไง เจ้ามันก็แค่สาวใช้ใหม่ ต้องคนเก๋าอย่างข้านี้”

         “หรือท่านเสี่ยงโชคอะไรแปลก ๆ มาหรือเจ้าคะ?” หลินหหยาเอ่ยถามเสียงเบา

          “ไม่บอก ๆ ของแบบนี้จะบอกหรอ ไม่มีทาง” รุ่นพี่เอ่ยพลางแลบลิ้นใส่ แล้วหันไปทางพ่อหมอ(?) “สองคนเลยท่าน จิ๊บ ๆ”

         ชายหนุ่มหลังแผงดูดวงยังคงนิ่งเงียบเรียบร้อยเหมือนรูปวาด สาวใช้รุ่นพี่ก็เดินเข้าไปนั่งเป็นคนแรก ยื่นเงินให้แบบไม่รีรอพลางกระแอบหนึ่งครั้ง แล้วเริ่มทำนายของนาง เสียงของนางค่อย ๆ เงียบจมหายไปเพราะหลินหยานั้นไม่ได้ใส่ใจไม่ได้อยากเสือกหรอกนะ เมื่อหลินหยาเอียงหน้าเหลือบมองเขาอีกครั้งอย่างจับสังเกต ใบหน้านิ่งขรึมนั้นแววหนึ่งปรากฎอยู่ในฉากที่..อ้อ โรงตราเงินนี้หน่า.. ใช่แล้ว คนที่เคยมาที่นั้นครั้งหนึ่ง เธอเป็นคนจัดห้องรับรองเขาเอง เธอยังจำได้ที่หัวยหน้าบอกว่าเขาคือ ลูกค้าคนสำคัญ..

         ชายคนนั้นตอนนั้นหล่อ นิ่ง เยือกเย็น ใส่ชุดไหมอย่างดีและใบหน้าของเขาก็เหมือนคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าของเธอในตอนนี้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่สำหรับหลินหยาแล้วมันเป็นไปไม่ได้หรอก คนรวยขนาดนั้นจะมานั่งดูดวงแผงละ 30 ตำลึงเงินเนี้ยนะอย่าตลกเลย..เป็นไปไม่ได้

         หลินหยาเม้มปากเข้าหากันพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเพราะเกรงจะเสียมารยาท นึกหมั่นไส้ตัวเองนิด ๆ ที่คิดอะไรไร้สาระยิ่งนัก เพราะมันไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้เลย แต่เธอไม่รู้หรอก ไม่เลยสักนิดว่า..คนผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา เขาก็คือ ตงฟางซั่ว ต้าซือถูแห่งราชสำนักฮั่น ตัวจริง เสียงจริง..

         คนเดียวกับที่เธอเจอที่โรงเงินตรานั้นแหละ

          “เสี่ยวหนาน ตาเจ้าแล้ว” เสียงของรุ่นพี่เอ่ยขึ้นหัวเราะคิกคัก ๆ หลังจากเสร็จคำทำนายของตัวเองพร้อมรอยยิ้มปนขนลุก “เขาทำนายแม่นมากข้าบอกเลย” ก่อนที่จะดันหลังหลินหยาไปนั่งเบา ๆ พลางส่งเหรียญเงินให้ เด็กสาวก็รับเงินจากพี่สาวคนนั้นขณะยังลังเล ดวงตาคู่นั้นสบกับดวงตาเฉียวคมของชายผู้นั่งหลังแผงนั้น หัวใจเธอเต้นช้าลง เพียงเสี้ยววินาทีที่เธอนั่งลงตรงข้ามก็เริ่มฟังกติกาในการทำนาย

         ชายหนุ่มคนนั้นนั่งนิ่งดั่งภาพวาด เขากวาดดวงตามองเหมือนกับไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น หากแต่ซึมซาบเข้าไปในทุกอณูของอากาศรอบตัวเขา เสียงตลาดยังคงมีอยู่ แต่ไม่อาจเข้าใกล้ขอบเขตเงาไม้ที่คลุมแผงแห่งนี้มันค่อนข้างเงียบ “สวัสดีแม่นาง” เขาเอ่ยทักทาย แล้วเริ่มอธิบายการดูดวงของตนเองออกมา เมื่อหลินหยารู้เธอก็หัวเราะแห้ง

          “ข้า..เขียนหนังสือไม่เป็นเจ้าค่ะ” นางยิ้มเล็ก ๆ ทำเสียงอ่อนน้อมแต่ชัดเจน เหมือนจะพูดกับเขา พลางเอียงคอทำหน้าซื่อ ทั้งที่ในใจนั้นลอยอยู่ห่างไกล เพราะอะไรน่ะหรอ เพราะเธอกำลังโกหกอยู่น่ะสิ ลายมือก็โคตรแย่ ใครมันจะไปอยากเขียนกันนะ.. เธอคือเสี่ยวหนาน ในตอนนี้ ไม่ใช่ หนานหลินหยา ที่เป็นบุตรสาวเจ้าเมืองกว่างโจวเสียหน่อย..

         “งั้นท่านช่วยเขียนให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ ข้าขอเลือกตัวอักษรนี้ 雅 (หยา) เอาตัวนี้เจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้นบอกอีกฝ่าย ก่อนที่เธอจะกระพริบตาปริบ ๆ นิ้วเรียวของชายหนุ่มนั้นมอง ก่อนที่จะหยิบก้านไม้มาเขียนเส้นทรายทีละจุด ทีละจุด ค่อย ๆ ก่อนตัวขึ้นเป็นอักษรอย่างงดงามไร้ที่ติ แม้ขนาดหลินหยาไม่ได้เขียนเองก็โอ้ว โคตรสวยเลย..

         “หยา..” เขาทวนคำช้า ๆ ปลายนิ้วมองตัวอักษรงั้น “มันมีความหมายว่า สง่างาม ความเรียบร้อย ความสุนทรี และความสูงส่งทางวัฒนธรรม มีทั้งความเรียบง่าย ความเย่อหยิ่ง มันสงบเสงี่ยมแต่ก็แฝงด้วยความทะเยอทะยานในเงาเงียบ” เขาเอ่ยขึ้ยแล้วมองหน้าเธอ สบตากับหลินหยาในคราบเสี่ยวหนาน

         “จะถามอะไรแม่นาง”

         “ความรัก อนาคต และวิบากกรรมเจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ยบอก


ตัวอักษร
雅 (หยา)
ความหมาย สง่างาม เรียบร้อย สุนทรี สูงส่งทางวัฒนธรรม ความงามที่เรียบง่าย


https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png


@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: จ่ายค่าทำนาย 30 ตำลึงเงิน(โอนแล้วจ้า)
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป ตงฟาง ซั่วหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


LinYa โพสต์ 2025-6-18 18:35:55

https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ สิบแปด เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเซิน เวลา 15.00 เป็นต้นไป ณ จัตุรัสกลางเมืองฉือจิ่งชาน ในฉางอัน

          ใต้ร่มเงาของไม้ที่ลมพัดยามนี้ปลิวผ่านไปอย่างเนิบนาบ ซินแสตงฟางมองแล้วจิบชาเบา ๆ พร้อมกลิ่นใบชาเขียวลอยคลอเหมือนสายกู่เจิงโบราณที่ถูกดีดลงเพียงเส้นเดียว พัดผ้าในมือของเขาถูกวางลงอย่างแช่มช้างดงาม ท่ามกลางความเงียบที่อยู่ตรงนี้ มือของเขาบื่อยแผ่นไม้บางให้หลินหยาที่อยู่ตรงหน้าพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่มีอะไรแต่กลับมีบางอย่างในทุกวรรค “แม่นางน้อย ลองเขียนดู คำที่เจ้าเลือกเมื่อครู่” เขาเอ่ยบอก ประโยคนั้นไม่ได้ถามในเชิงทดสอบ แต่เป็นการเปิดประตูดูว่าหัวใจของเด็กสาวตรงหน้า แท้จริงแล้วซ่อนอะไรอยู่

          หลินหยายิ้มเก้อ ๆ ก่อนที่จะรับพู่กันมาจากมือเขาแบบเก้ ๆ กัง ๆ ตามบทบาทของสาวใช้ที่ เขียนหนังสือไม่เป็น อย่างที่ตอแหลไว้ก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเธอ เขียนได้และก็เขียนมันออกมาจริง ๆ นางจรดลายพู่กันลงแผ่นไม้ น้ำหมึกชุ่มเล็กน้อยเพราะมือเธอกะไม่พอดี ท่าทีเหมือนเด็กที่กำลังตั้งใจทำข้อสอบวิชาที่ไม่ถนัด เธอพยายามที่จะเขียนให้ดีที่สุดแล้วนะ แต่เส้นสายกลับเอียง ๆ เบี้ยว ๆ เล็กน้อยตอนลากเส้นขวา รอยปาดหมึกตรงคำว่า 牙 ยังจิกลงปลายเส้นสุดท้ายอย่างมีน้ำหนัก เหมือนมันกำลังแบกบางอย่างที่เธอไม่พูดออกมาอยู่

          พอเขียนเสร็จแล้วเธอก็ยื่นให้เขาอย่างเงียบ ๆ ดีใจที่รอบนี้ไม่เมายาบ้าเหมือนอย่างเคย ซินแสตงฟางรับแผ่นไม้มาด้วยมือเดียว ดวงตาเรียวยาวของเขามองตัวอักษรนั้นเงียบ ๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกราวกับอ่านจดหมายรักจากอดีตชาติ

          “เจ้าว่าเจ้าเขียนไม่เป็น แต่ข้ากลับเห็นว่าเจ้าเขียนได้ดีกว่ากลายคนที่เขียนเป็น” เขาหยุดพูดก่อนที่จะต่อช้า ๆ คล้ายจงใจให้ทุกคนนั้นกลั่นลงไปในใจของสตรีน้อยตรงหน้าอย่างลึก

          “ตัวอักษร 雅 นั้นประกอบด้วยสองส่วน ด้านซ้าย ‘隹’ (จุย) นกตัวเล็ก เปราะบาง อ่อนไหว ต้องการการดูแล ด้านขวา ‘牙’ (หยา) เขี้ยวเล็ก ซ่อนไว้เงียบ ๆ รอจังหวะ...เป็นสัญลักษณ์ของสัญชาตญาณหรือความระแวดระวัง” เขาวางแล้วกดนิ้วที่แผ่นไม้เบา ๆ ลูบตามรอยหมึกในส่วน 牙 ที่หลินหยานั้นลากหนักกว่าส่วนอื่นเล็กน้อย

          “ในเรื่องของความรัก เจ้าคือคนที่ให้ความรู้สึกน่าปกป้อง น่าทะนุถนอมเหมือนเจ้านกน้อยตัวเล็ก เจ้ารักความละเอียดอ่อน..แต่ขณะเดียวกัน เจ้ากลับฝังเขี้ยวเล็ก ๆ ไว้ในใจอย่างลึกซึ้ง เจ้ากลัวความเจ็บจนไม่เปิดใจเต็มที่ เจ้ากลัวความหวังที่จะทำให้ผิดหวัง จึงห่อความรักไว้ในเปลือกอันสง่างามที่เหมือนตัว 雅 มันดูละเมียดละไมในภายนอกหากมอง แต่ข้างในเป็นฟันเขี้ยวแหลมที่ยังงอกไม่เต็มที่” เขาหรี่ตาเล็กน้อยก่อนที่จะพูดเนิบช้าเหมือนสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ไหวสั่นเอน

          “รักในอนาคตของแม่นาง จะเกิดกับคนที่เหมือน 隹 เขาอาจดูบอบบาง ซื่อสัตว์และอ่อนโยน จริงใจแต่เจ้าต้องระวังไว้ เจ้าต้องแน่ใจว่าอีกฝ่ายมิได้ซ่อน 牙 ซึ่งแหลมคอมกว่าที่เจ้าเคยฝังไว้เสียอีก” หลินหยาเมื่อได้ยินก็กระพริบตาปริบ ๆ ฟังเงียบ ๆ ในใจไม่ได้มีภาพของใครคนใดผุดขึ้นมาเลยชัดเจน เธอยังไม่ได้ตกหลุมรักใครในตอนนี้ ไม่มีชื่อใครในหัวที่ขยับไหวเวลาใจสั่น แต่ใช่…เธอชอบคนที่หน้าตานะ แต่เธอชอบคนแมน ๆ นะ หล่อ ๆ ง่ะ คนนั้นจะเหมือนนกน้อยได้ไงเนี้ย..ตรงนี้อาจจะไม่ตรงหรืออาจจะหมายถึงมารยาทดีหรือเปล่านะ?

          “ข้าขอเตือน แม่นางจะรักอย่างงดงามหากกล้าวางความระแวดระวังของตนเองลงบ้าง แต่หากมัวแต่ดูความงามภายนอกของมัน เหมือนเช่นตัวอักษร 雅 แม่นางจะได้แค่เปลือกของความรัก และไม่เคยที่จะแตะหัวใจของมันได้เลยแม้สักนิด” ลมพัดเบา ๆ ชาวผ้าคลุมของสาวใช้ของหลินหยานั้นสะบัดนิด ๆ ตามแรงลม ดวงตาของหลินหยายังจ้องเขา ไม่แน่ใจว่าเธอกำลังฟังเขาอยู่ตรง ๆ หรือกำลังตั้งคำถามเงียบ ๆ กับตัวเอง หรือนางแค่กลัวรัก มากกว่าการรักเสียเองกัน?

          ซินแซตงฟางยกชาขึ้นจิบอีกครั้งปล่อยให้กลิ่นหอมนั้นลอยขึ้นก่อนที่จะค่อย ๆ วางถ้วยลง เสียงก้นถ้วยกระทบกันเบา ๆ กับโต๊ะราวกับเคาะประตูใจของสตรีร่างน้อยตรงหน้า “ต่อไปคืออนาคต” เขาเอ่ยขึ้นต่อ ส่วนหลินหยาก็เงียบไป ดวงตากลมโตจ้องมองเขาที่แตะตัวอักษรนั้น เธอไม่รู้ทำไม แค่ลมหายใจของเธอเหมือนหนักเกินจำเป็นไปเสียแล้ว

          “นก 隹 ต้องโผบินสูง แต่ว่าเขี้ยว 牙 นั้นฝังลึกลงในดิน เจ้ามีพรสวรรค์พิเศษในการ อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างกลมกลืน ตัวอักษร 雅 สิ่งนั้นคือความสามารถในการเข้ากับโลก ได้อย่างละมุน ไม่สะดุด ไม่ขาด ไม่เกิน เจ้าวางตนสง่างาม พูดจาไพเราะ และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน” เขาเว้นวรรค์แล้วพูดต่ออีก ด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เฉียบคมเหมือนปลายดาบที่แช่อยู่ในน้ำผึ้งหวานล้ำของเดือนห้า

          “แต่หากเจ้ามัวแต่รักษารูปลักษณ์ของ ความเรียบร้อย มัวแต่กลัวว่าใครจะมองไม่ดี มัวแต่กดความดื้อ ความแรงและความกล้าหาญไว้ภายในนั้น เจ้าจะพลาดโอกาศที่แสดงตัวตนที่แม้จริงไปตลอดกาล” นิ้วของเขาวาดไปไม้นั้นอีกครั้ง สร้างรอยขีดในอากาศเหมือนรากไม้ที่ซับซ้อนแทรกลงไปในดินให้มันชอนไชอ่านดวงชะตาของผู้คนตรงหน้า

          “อนาคตของเจ้าจะยิ่งใหญ่ หากเจ้ากล้าที่จะ เปิดเผยความแหลมคมในจิตใจขิงตนเอง 牙 อย่างกล้าหาญ ไม่ต้องซ่อนมันไว้ภายใต้เปลือกของคำว่า 雅 ไว้ตลอดเวลา”

          หลินหยานิ่ง ราวกับหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง เธอไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าลมหายใจเมื่อครู่เข้าหรือออก แต่ในอกของเธออึดอักอย่างน่าแปลกประหลาด หายใจไม่ทั่วท้องเหมือนคนพึ่งผ่านอะไรหนัก ๆ มาทั้งที่ชายตรงหน้าไม่ได้แตะต้องเธอแม้แต้นิดเดียว แต่คำพูดของเขา เข้าใกล้เธอมากกว่าที่เธอคิด ดวงตาของหลินหยานั้นไหววูบ วูบหรือไม่ใช่เพราะกลัวหรือเศร้า แต่เพราะเธอแค่รู้ว่า ไม่มีใครมองตัวตนภายในของเธอออก และใช่ เธอสวมเปลือกนั้นมาตลอดยิ้ม เธอยิ้มแม้ไม่อยากยิ้ม เธอเป็นคนดี ในที่ไม่อยากเป็นและเธอก็ซ่อนฟันเล็ก ๆ ของตนเองเอาไว้..

          ซินแซตงฟางนั้นหลังตรงเขาวางพู่กันไว้ข้างมือ สายตาเหลือยมองลึกดิ่งเข้าไปในแววตาสีน้ำตาลมะพร้าวของเด็กสาวตรงหน้า ไม่ใช่ในฐานะลูกค้า หรือ สาวใช้ แต่เป็นของคนที่เห็นดวงบางอย่างที่ต้องกล่าวด้วยความเคารพ เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก เย็นเยียบเช่นเคยแต่กลับค่อย ๆ ร้อยรัดขึ้นเรื่อย ๆ ดั่งไหมที่ถักทอจากเส้นด้ายแห่งโชคชะตา

          “และสำหรับคำถามข้อสุดท้าย วิบากกรรม..” เขาเอ่ยแล้วแตะปลายนิ้วตรงคำว่า 牙 ที่เธอเคยเขียนเมื่อครู่นี้

      “ 牙 นั้นในอีกนัยหนึ่ง คือคำที่ไม่ได้กล่าวออกมา คือความแข็งในใจที่เจ้าเก็บไว้ใต้ลิ้น ไม่กล้าเผย ไม่อยากปะทะ ในอดีตชาติ เจ้าเคยสง่างามเกินไป จนผู้คนรู้สึกห่างไกลแต่เจ้ามิได้ตั้งใจให้ใครรู้สึกห่างไกลเจ้า แต่กลายเป็นเช่นนั้นอยู่ดี เพราะคนเห็นเพียงเปลือกที่เรียบร้อยสวยงามและไม่แตะต้องมัน พวกเขาตัดสินเจ้าโดยไม่เคยเข้าใกล้แม้สักครา” เขาเงียบไปชั่วครู่ทอดมองหญิงสาวเหมือนมองเห็นเงาอดีตที่ห่างไกลของเธอ ไกลจนไม่รู้ว่านางเป็น….หรือไม่

          “วิบากกรรมของเข้าจึงไม่ใช่คำสาป แต่คือความเข้าใจผิดที่ถูกวงเวียนซ้ำ ๆ ถูกตีค่าโดยเปลือกนอกที่เจ้าตั้งใจรักษาไว้เอง แต่เมื่อเจ้ากล้าเผยใจที่แท้จริง แม้มันจะแลดูไม่งามตามธรรมเนียมหรือไม่อ่อนโยนดั่งที่โลกคาดหวังให้เจ้าเป็น เจ้าจะคลี่คลายกรรมนี้ลงได้” นิ้วเรียวของเขาหยุดอยู่ที่ตรงปลายของตัวอักษร 雅 ก่อนที่จะเริ่มเอ่ยคำสรุปของเขาราวกับปล่อยปีกนกลงจากกรงทอง

          “แม่นาง เจ้ามีหัวใจของ นกที่อ่อนไหว (隹) และ เขี้ยวที่ไม่กล้าใช้ (牙) เมื่อใดที่เจ้ากล้าบินด้วย ปีกของตนเอง ไม่ใช่เพื่อตามรอยเท้าของใคร ตัวอักษร 雅 นี้ของเจ้าจึงจะเปล่งประกายอย่างแท้จริง 雅 มิใช่เพียงความงามภายนอก หากแต่คือ การประสานระหว่างสิ่งอ่อนแอและสิ่งที่แข็งแกร่งให้สมดุลต่างหาก”

          หลินหยานั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจ แต่เพราะเข้าใจเกินไปต่างหาก เธอพยักหน้าเบา ๆ หนึ่งทีแล้วกระพริบดวงตาช้า ๆ คล้ายต้องปรับสภาพของจิตใจก่อนที่จะยิ้มออกมาบ้าง ๆ แบบไม่มีความปิดบัง “ท่านทำนายไม่เหมือนใครเลย ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางกล่าวเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงนั้นมีทั้งแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยในอก และรอยยิ้มบางที่ไม่ได้เกิดจากมารยาท

          ชายหนุ่มเพียงยิ้มรับเล็กน้อยโดยไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เขายกพัดขึ้นมาช้า ๆ โบกเบา ๆ แล้วปิดดวงตาลงอีกครั้ง ราวกับว่าเวลาของเขาหมดลงเพียงเท่านั้น หลิยหยาจึงคำนับแล้วจากมา พร้อมกับหอบของในมือและเดินไปหาพี่สาวใช้ที่บ่นว่าทำไมคำทำนายของหลินหยาจึงเยอะนัก เจ้านี้กรรมหนักหนาหรืออย่างไรกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินทางกลับจวนโอวหยาง ปล่อยให้สิ่งนี้เป็นเพียงคำทำนาย และคำทำนายจะเป็นจริงตามนั้นหรือไม่ ไม่มีใครรู้…จริงไหมล่ะ..ดอกพวงครามงามล้ำเลิศ..


https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png


@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: -
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป ตงฟาง ซั่วหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

LinYa โพสต์ 2025-6-21 20:49:55

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-21 23:46

https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ ยี่สิบเอ็ด เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 19.00 น. ไปเดินเล่นที่ตลาดตะวันออก (พบเว่ย ชิง)

          ตลาดตะวันออกยามโหย่วนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แสงแดดยามเย็นทอดเงายาวบนถรรหิน เสียงพ่อค้าแม่ค้าเร่เรียกลูกค้าดังเต็มไปหมด ปะปนกับกลิ่นหอมของเกี๊ยวร้อนนึ่งหรือย่างเสียบไม้ และผลไม้สดใหม่ที่วางเรียงรายอยู่ในเข่งไม้ไผ่ใบใหญ่ บรรยากาศเปล่งประกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายฤดูร้อนอันเร่าร้อน ทว่าก็แฝงไปด้วยความเบิกบานที่ยากจะละสายตา หลินหยาสาวเท้าไปตามกลางฝูงชนเหมือนเคยในชุดผ้าฝ้ายบางเบาสีอ่อน ดวงตากลมโตสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนคู่นั้นเป็นประกายวาวอย่างมีชีวิตชีวาเมื่อเห็นลุกพลับสีทองผิวตึงเรียบที่เรียงราวอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่ง

          เธอเอียงหน้าเล็กน้อยยกนิ้วขึ้นแตะปลายคางอย่างช่างเลือกก่อนที่จะโน้มตัวลงหยิบลูกที่ดูสมบูรณ์ที่สุดขึ้นมาพลิกดูช้า ๆ พลางพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง “อืม..ลุกนี้ผิวดี แต่อีกลูกสีเข้มกว่า เอาสองลูกก็พอละ” เธอกล่าวแล้วหันไปจ่ายเงินให้กับแม่ค้าพร้อมกับรอยยิ้มหวานและขอบคุณเสียงใส จากนั้นเดินเตร็ดเตร่ต่อไปยังร้านผลไม้อีกร้านที่มีพวงองุ่นลูกเล็กสีม่วงเข้มแน่นเบียดกันเป็นพวงใหญ่ ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเนื้อฉ่ำหวานขนหลินหยาได้มาชิบหนึ่งเม็ด..

          “อร่อยแฮะ..หวานอมเปรี้ยวแบบที่ชอบเลย” หญิงสาวขอซื้องุ่นมาครึ่งพวงแล้วจากนั้นก็เหลือบมองเห็นว่าน่าจะซื้อเพิ่มอีกหน่อยหนึ่งแล้วเอาใส่กระเป๋าเจ็ดสมบัติที่มีระหว่างเดินผ่านแผงค้ากลิ่นเครื่องหอมแว่วมากระทบจมูก หญิงสาวหันขวับตามกลิ่นเจือกฤษณาที่ลอยมาอ่อน ๆ แววตาเป็นประกายอีกหน อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวเข้าไปใกล้ร้านเครื่องหอมที่มีซองผ้าเล็ก ๆ แขวนอยู่เรียงรายด้านหน้า ระหว่างที่เลือกอยู่นั้น เด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นแถวนั้นก็หัวเราะเสียงดังพลางไล่จับกันผ่านหน้าเธอไป ร่างเล็ก ๆ บางคนหันมาเกือบชนเธอแต่หลินหยาเอื้อมมือรับไว้ก่อนพร้อมหัวเราะเบา ๆ พลางลูบหัวเด็กอย่างใจดี

      "ระวังหน่อยน้า เดี๋ยวหัวเข่าแตกนะ"

          บรรยากาศยามนี้มันช่างผ่อนคลายเหลือเกิน คลายความตึงเครียดจากเหตุการณ์ท่านชายเมื่อครู่แบบไม่ทันตั้งตัวเลยล่ะ การได้มาเดินตลาดแบบนี้ แสงแดดอ่อน กลิ่นของผลไม้สด และเสียงผู้คนที่คุ้นเคย มันเหมือนดึงหล่อนกลับสู่โลกธรรมดาอีกครั้ง

          พื้นหินนั้นสะท้อนแสงอาทิตย์ที่กำลังตกเรื่อย ๆ จนจะมืด เสียงผู้คนยังคงเคลื่อนยไหววุ่นวายอย่างมีชีวิตชีวา แต่ในห้วงเสี่ยวเวลานั้นเอง หลินหยาได้ชะงักฝีเท้า เธอเงยหน้าจากถุงผลไม้ที่หอบอยู่ในอ้อมแขนก่อนที่่จะสะดุดตาเข้ากับเงาร่างหนึ่งซึ่งยืนสงบนิ่งเบื้องหน้าของเธอ เขาสูงเด่นในชุดผ้าทอลายคลื่นสีหมึกเข้ม กลุ่มผมรวบงขึ้นอย่างเรียบร้อยตามขนม รอยยิับของเสื้อคลุมยามต้องลมแผ่วพลิ้วคล้ายเงาของภูเขาในภาพเขายืนอยู่ริมแฝงต่าง ๆ มือหนึ่งประสานอยู่หน้าท้อง อีกมือวางอยู่บนข้อศอกคล้ายกำลังใช้ความคิด เงียบขรึม เยือกเย็น แต่ไม่เย่อหยิ่ง

      “เอ๊ะ..ท่านชายเว่ย จ้งชิง..สวัสดีเจ้าค่ะ ท่านมาซื้อของหรอเจ้าคะ?” หลินหยาเอ่ยทักทายอีกคนแล้วก้มคำนับ หลินหยาเอ่ยทักอย่างอ่อนหวาน ท่านชายก็หันกลับมา ดวงตายาวเรียวใต้คิ้วมองเธออย่างอ่อนโยนพลางผงกศีรษะตอบกลับ

          “อ้อ..แม่นางหลินหยา เราเคยพบกันที่ร้านบะหมี่ใช่ไหม?” เขาเอ่ยถามแต่มีน้ำหนักเหมือนจะทวนความจำตัวเองเพราะไม่ค่อยได้พบเธอเหมือนกัน ไม่ได้ใช้ถ้อยคำฟุ่มเฟือย หากก็ไม่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกห่างเหิน เขาเบือนสายตาเล็กน้อยไปยังถุงผลไม้ในมือของหลินหยา แล้วกลับมามองเธออีกครั้ง “วันนี้ข้ามาหาของว่างบ้างนิดหน่อย ข้าบอกคนของข้าว่าจะหาผลไม้สดไปให้ ใส่น้ำแข็งไว้กินคลายร้อน แต่ยอมรับนะ ว่าข้าก็ไม่ได้ถนัดเรื่องการเลือกซื้อของพวกนี้นัก”

          ริมฝีปากของเขาที่คล้ายดูจะเข้มงวดแต่กลับคลี่ยิ้มอ่อนเบา ๆ แม้จะเป็นเพียงรอยยิ้มที่แทบไม่เห็นฟันแต่ก็ทำให้บรรยากาศรอบข้างดูผ่อนคลายลงหลายส่วน ดวงตาคู่นั้นแฝงประกายขบขันราวกับเจ้าตัวไม่ได้เย้าใครเป็นปกติ แต่ก็ช่วยไม่ได้เขามองแม่นางตัวน้อยในสายตาเขาก็เหมือนมองเด็กนั้นแหละ

          “แม่นางดูคล่องแคล่วกับตลาดกว่าข้า ไม่ทราบว่าผลไม้ชนิดใจที่ท่านว่าแหมะกับหน้าร้อนนี้ที่สุดหรือ?” เขาไม่ได้เอ่ยเสียงดังหรือหยอกล้อโจ่งแจ้ง แต่กลับเต็มไปด้วยความสุภาพนุ่มนวล มีเสน่ห์ในแบบของคนที่เติบโตขึ้นมาแบบคนมีวินัยและสู้ชีวิต

          ส่วนหลินหยาที่ได้ยินดังนั้นเธอก็ทำท่าคิดนิดหน่อย “หากเป็นผลไม้แนะนำ ข้าแนะนำแตงโมหรือลูกท้อเจ้าค่ะ สาลี่คงแพงไปสักหน่อย แตงโมนั้นรสหวานฉ่ำ มีน้ำเยอะ คลายร้อนได้ดับกระกายก็ดีนัก หากท่านจะให้กินเย็น ๆ นอกจากแช่น้ำแข็งก็เอาไปแช่น้ำไหลก็ได้เจ้าค่ะ แล้วค่อยยกขึ้นมากิน เย็นถึงใจ” หลินหยาเอ่ยพลางระบายยิ้มหวานให้กับอีกคน เพราะนาน ๆ ทีจะเจอคนคุยแบบปกติ แบบไม่ออกคำสั่งหรือเต๊ะท่าใส่เธอ แบบนี้เธอรู้สึกสบาย ๆ

          คำพูดของหญิงสาวดั่งสายลมฤดูร้อนที่พัดผ่านซุ้มองุ่น ความสดใสของน้ำเสียงขี้เล่นแฝงความอ่อนโยนของเด็กสาวผู้ใส่ใจในเรื่องของอาหารที่ตนเองชอบมันมิใช่เพียงถ้อยแนะนำในตลาดทั่วไป หากแต่เต็มไปด้วยความใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยของชีวิต และวิธีดูแลคนที่รักในฤดูอันร้อนระอุ ทว่าเว่ย จ้งชิงหาได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง เพียงพยักหน้ารับน้อย ๆ ราวกับซึมซับทุกคำพูดไว้ “ข้าจะจำไว้นะ” เขาเอ่ยสั้น ๆ ดวงตาคู่นั้นที่เคยดูเคร่งครัดกลับฉายแววอบอุ่นเล็กน้อย แววตาที่พอใครได้จ้องกลับแล้วก็ยากนักจะหันหนี

          เขาเหลือยบไปเห็นแผงปผลไม้ใกล้ ที่มีแตงโมวางเรียงกันเป็นระเบียบ แม้ค้ากำลังใช้ไม้เคาะเปลือกลุกโตเพื่อฟังเสียงในเนื้อ ท่านชายเว่ยชิงนั้นเดินเข้าไปใกล้แต่ดูไม่มั่นใจนักว่าควรเลือกเช่นไร สุดท้ายเขาก็หันกลับมาอย่างสงบนิ่งไม่ปิดบังอะไรเลย “แม่นาง..จากท่าทางของเจ้า ข้าว่าเจ้านายจะชอบผลไม้มาก ข้าจึงวางใจให้ช่วยเลือกแทนได้หรือไม่? หากแม่นางเลือกแตงโมนั้น ข้าจะถือว่ามันเป็นของฝากจากแม่นางแล้วกัน” น้ำเสียงยังคงราบเรียบแต่มีหางเสียงละมุนขึ้นเล็กน้อย คล้ายยินดีแต่ไม่เผยตรง ๆ ส่วนหลินหยาก็ยิ้มรับอย่างร่าเริง

      “ได้แน่นอนเจ้าค่ะ สักครู่น่า ข้าจะเลือกลูกดี ๆ หวานฉ่ำอร่อย ๆ เลยแหละ” หลินหยาพูดระหว่างเลือกลูกแตงโมให้อีกคน ระหว่างนั้นเขาก็มองนางเหมือนกัน สงบนิ่งดังเดิมมองแบบตรงไปตรงมา ไม่ผลีผลามหรือเร่งร้อน

          “หากไม่เป็นการรบกวน...ข้าจะถือโอกาสเดินชมตลาดพร้อมแม่นางครู่หนึ่ง” เขาเอ่ยหลังเงียบไปชั่วอึดใจ พลางพับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยให้พอคล่องตัวเมื่ออยู่ในตลาด เบือนหน้าหลบแสงตะวันราวไม่ชินแสงจัด ก่อนจะกล่าวเบา ๆ “หรือว่าแม่นางกำลังจะไปที่ใดต่อ?”

          หลินหยาที่ได้ยินดังนั้นก็เอียงคอเล็ก ๆ ตายละ..เธอต้องไปทำงานต่ออ่ะสิ “ท่านชายข้าต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ข้าคงอยู่ด้วยต่อไม่ได้ ข้ามีงานที่ต้องทำรอบดึก หากท่านอยากพบข้า..งึมมม เดี๋ยวก็ได้พบแหละเจ้าค่ะ ข้าทำงานอยู่แถวนี้แหละ วิ่งวน ๆ อยู่ไม่กี่ร้านหรอก ที่เงินดี ๆ น่ะ” หลินหยาเอ่ยบอกก่อนที่จะหัวเราะร่าระบายยิ้ม ก่อนที่จะกล่าวลาอีกคนแล้วเดินจากไปแบบร่าเริงหลังจากที่เลือกแตงโมให้เสร็จ

          เสียงฝีเท้าวิ่งเบา ๆ ของหญิงสาวคล้ายเงาดอกท้อที่ลอยผ่านธารน้ำเมื่อยามวสันต์ ดั่งม่านโปร่งที่ปลิวแผ่วทิ้งเพียงกลิ่นหอมบางเบาไว้ในอากาศ เมื่อหลินหยาเอ่ยถ้อยคำเช่นนั้น น้ำเสียงก็ยังคงสดใสแม้จะแฝงความกระอักกระอ่วนไว้บาง ๆ สายตาของชายหนุ่มใต้เรือนผมสีดำนั้นจ้องมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่กล่าวลาแล้วจากไป ชุดผ้าสีอ่อนตามแรงวิ่งนั้นไม่ได้ทิ้งร่องรอยของผู้หญิงที่น่าอาย แต่มันเป็นความประกายที่มีชีวิตชีวา

          เขาไม่ได้เอ่ยคำรั้งไว้แม้แต่คำเดียว ไม่ถามให้มากความ ไม่เร่งไถ่ถามอย่างผู้ชายทั่วไป หากแต่เพียงยืนอยู่เงียบ ๆ และโน้มศีรษะลงต่ำเล็กน้อยแทนคำลาจากที่เธอวิ่งหนีไป ท่าทีสุภาพเช่นเคย ราวกับจะบอกว่าเขาเข้าใจโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย

https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: เอาไว้ปลดหัวใจสองด้วยเว่ยชิงงงงงง พี่ชายยยยยรางวัล: -

LinYa โพสต์ 2025-6-22 20:45:33

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-22 20:47

https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ ยี่สิบสอง เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 18.00 น. ณ ตลาดตะวันออก (พบ เว่ย ชิง)

         หลินหยาที่ออกมาจากหอว่านหงเหรินเพื่อพักผ่อนก่อนที่จะได้ไปทำงานกะสุดท้ายเธอก็เดินทางมาที่ตลาดตะวันออกอีกครั้ง เพราะเธอมีเป้าหมายบางอย่าง นั้นคือการพบใครบางคน เธอเดินหาเขาอยู่นานเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเขาจะมาเดินตลาดอีกไหมเพราะมันก็ใหญ่จริง ๆ แดดยามโหย่วยามนี้ทอดแสงนุ่มนวลระเรื่อแต้มท้องฟ้าอย่างอบอุ่น เสียงเจื้่อยแจ้วของเหล่าแม่ค้าและพ่อค้ายังคงเหมือนเดิมผสานกับกลิ่นของเครื่องเทศ ผลไม้หวานฉ่ำ และกลิ่นเตาถ่านจากเกี๊ยวปิ้งก็มี บะหมี่ต้มร้อนก็มา เหมือนอ้อมกอดของเมืองที่ไม่ยอมหยุดหายใจไปสักที

         นางเดินมาด้วยชุดผ้าฝ้ายสีอ่อนที่คลุมผ้าผืนบางสีชมพูย่างเท้าเบา ๆ ไปตารมตรอกด้วยึความคุ้นตาท่าทีเหมือนเดินเล่น แต่ความจริงแล้วเธอกำลังเดินหา เธอมไ่ได้พูดบอกใคร ไม่ได้แม้บอกกับตัวเองว่ากำลังมองหาเขา ชายหนุ่มในชุดผ้าหมึกเข้ม ผู้พูดจาเรียบตรงแต่ไม่เย็นชา ผู้ที่วันนั้นไม่รั้งเธอไว้ด้วยถ้อยคำ แต่ฝากแตงโมไว้ใสนกล่องไม้ผูกเชือกที่ร้านบะหมี่ ท่านชายเว่ยจ้งชิง หรืออาจจะชื่ออื่นที่คล้ายกว่านั้น

         หญิงสาวเดินผ่านร้านผลไม้ร้านเดิม สายตาหยุดที่องุ่นสีม่วงเข้ม ก่อนที่จะกลบไปมองแตงบโมในเข่งแล้วหลุดขำนิดหน่อย เธอก้าวเดินไปต่อ ยังคงมองหาความเป็นไปได้เรื่อย ๆ อย่างเอื่อยเฉี่ยนในสายตาของคนอื่น แต่ในใจหลินหยากระตุกเล็ก ๆ ในตอนที่เธอเห็นเงาสูงในชุดคล้ายกันหรือผ้าคลุมสีเข้มที่ไหวไปตามสายลม เธอเดินมาหยุดตรงมุมเดิมที่เคยพบเขา

         “หรือวันนี้เขาจะไม่มากันนะ?” หลินหยาถามกับตัวเองเสียงเบา ไม่ได้เศร้าหรือผิดหวัง เพียงแต่รู้สึกว่าวันนี้จังหวะมันไม่ประสานกันอย่างเคย แต่แล้วเสียงฝีเท้าหนักแน่นสามก้าวก็หยุด จากเบื้อลหังของนาง ฝีเท้าที่ไม่ดังมาก แต่มีน้ำหนักที่แผ่วอย่างมีแบบแผน ราวกับเจ้าของก้าวด้วยความตั้งใจ เธอรู้สึกได้ก่อนที่จะหันหลังไป และเมื่อหันไป…

         เงาร่างสูงในชุดผ้าทอลายหมึกเข้ม ผู้มีแววตามเคร่งขรึมแต่ไม่เย็นชายืนอยู่ไม่ไกล เขาไม่ได้ส่งเสียงเรียก ไม่ได้ยกมือทัก เพียงแต่มองเธอผ่านแสงเย็นของยามโหย่วแล้วพยักหน้าเล็กน้อย หลินหยาเห็นก็ระบายยิ้มเล็ก ๆ ตอบรับ ดวงตาของเธอที่เป็นสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนนั้นเปล่งประกายประหลาดใจปนยินดี “ข้านึกว่าท่านจะไม่มาเดินตลาดเสียแล้ว”

         “แม่นางมองหาข้าอยู่หรือ?” เว่ยชิงเอ่ยถาม เงาสีหมึกเข้มของเขานั้นหยุดนิ่งตรงหน้าหญิงสาวท่ามกลางแสงยามโหย่วที่ระเรื่ออ่อนงาม ลมหอบเอากลิ่นดอกไม้ปะปนกับกลิ่นผลไม้ที่ขายริมทางพัดผ่านเงียบงันแต่ไม่เย็นชากลับอบอุ่นเหมือนเวลานั้นหยุดหมุนไปชั่วครู่หนึ่ง หลินหยาที่ได้ยินเธอหัวเราะนิด ๆ แล้วยิ้มช้า ๆ ดวงตากลมโตใสซื่อของนางมีแววขี้เล่นที่เจ้าตัวไม่คิดปิดบัง

         เธอก้มลงเล็กน้อยคล้ายคำนับแล้วแววตาก็ไม่หลบด้วย “ข้ามาขอบคุณเจ้าค่ะท่านชาย ที่ส่งจดหมายกับแตงโมมาให้ข้า ท่านใส่ใจมากเลย ทั้งหั่นอย่างดี แถมยังแคะเมล็ดออกให้กับข้าด้วย” เสียงเธอคล้ายคนที่อายแต่ซุกซนไม่เบา ริมฝีปากสีอ่อนคลี่ยิ้มออกมาเต็มดวงหน้า ราวกับดอกม้อผลิบานในยามที่ไม่ทันจะรู้ตัว “ข้าชอบมากเลยนะเจ้าคะ มันหวานเย็นแบบพอดีจริง ๆ เหมือนที่เคยพูดเอาไว้เลย”

         เว่ยชิงยังคงยืนนิ่งในท่วงท่าของผู้ชายที่คุ้นชิืนกับการเฝ้ามองมากกว่าพูดเสียเอง แววตาใต้คิ้วเข้มมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างสงบเรียบนิ่ง หากแต่สังเกตดี ๆ กลับมีรอยยิ้มมุมปากยามที่ได้ยินคำว่า แคะเมล็ดแตงโมให้ และ นางชอบมาก

       “ข้าดีใจที่แม่นางชอบ” เขาตอบเสียงทุ้มเรียบ น้ำเสียงอ่อนนุ่มไว้แผ่ว คล้ายความยินดีของเขานั้นไม่ต้องแสดงออกมากมาย ก็ยังสามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงมันได้ ส่วนหลินหยาก็ยังไม่หยุด เธอเอียงหน้าลงเล็กน้อย แววตาฉายความขำเมื่อพูดต่อ

         “อีกอย่าง ข้าตกใจแทบแย่แหนะ ที่ชื่อของท่านเหมือนต้าซือหม่าเลย ฮ่ะ ๆ บังเอิญจังเลยเจ้าค่ะ” เธอยิ้มแล้วหัวเราะเบา ๆ ราวกับไม่รู้เลยว่านั้นคือชื่อจริงของคนตรงหน้า เธอไม่ได้ถามตริง ๆ ว่าใช่หรือไม่ เธอเพียงแต่พูดราวกับจะบอกว่า ไม่ใช่แหละมั้ง น้ำเสียงไร้ความระแวง หรือจะเป็นเพราะว่าหลินหยารู้สึกว่า ถ้าเขาเป็นแม่ทัพ เขาคงไม่มายืนอยู่กลางตลาดแล้วนั่งคุยเรื่องแตงโมกับเธอแบบนี้หรอก

         เว่ยชิงมองหญิงสาวตรงหน้า ริมฝีปากที่คล้ายจะพูดอะไรกลับไม่กล่าวอะไรในทันที ดวงตาคู่นั้นนิ่งไปชั่วพริบตา ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นแววตาเจือขำบาง ๆ อย่างกลั้นไว้ไม่มิตร เขาไม่ได้กล่าวแก้หรือไม่ยืนยัน “หากชื่อข้าจะเหมือนผู้ที่มีเกียรติยศนัก ก็นับว่าเป็นเกียรติของข้าแล้ว” น้ำเสียงของเขาราบเรียบอย่างคนไม่หวังจะโต้แย้งหรือเฉลย เพียงยิ้มบาง ๆ มุมปากคล้ายจะปล่อยให้เรื่องมันลอยผ่านไปเหมือนกลิ่นน้ำชาเจือความหอวแล้วลอยไปตามลม เขาเลือกที่จะไม่กล่าวความจริง และเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ในชื่อของ เว่ยจ้งชิง สำหรับเธออีกสักหน่อยดีกว่า

         แววตาของเขามองเธออย่างมั่นคงแล้วจึงค่อย ๆ เอ่ยเบา ๆ อีกประโยค “แม่นาง วันนี้เจ้าจะเลือกผลไม้ให้ข้าอีกสักผลได้หรือไม่?” เขาถามเหมือนเดิม...แต่ไม่เหมือนทุกครั้ง เพราะคราวนี้รอยยิ้มของเขาไม่ได้ซ่อนอยู่ใต้เงาผมอีกแล้ว

         หลินหยานั้นเอียงคอ แสงสาดกระทบเส้นผมของเธอจนแลดูเหมือนเส้นไหมสีน้ำตาลเข้มต้องแสงทอง เธอยืนเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตากลมที่สะท้อนรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน ขณะกล่าวประโยคที่เรียบง่ายแต่แฝงความนัยเอาไว้ในทุกถ้อยคำ “แล้วท่านอยากกินอะไรละเจ้าคะ?” เธอถามเสียงหวานใส ท่าทีไม่รีบร้อนริมฝีปากคลี่ยิ้มบางก่อนที่จะกล่าวต่อ “แต่ความจริงวันนี้ข้าไม่ได้จะมาเลือกผลไม้ให้ท่านนะ” คำพูดนั้นเล่นเอาเว่ยชิงนิ่งไปเล็กน้อย ดวงตาเรียบยาวสบกับเธออย่างพินิจพิจารณา แต่ไม่ได้ถามหรือขัด แต่รอ แล้วสิ่งที่เขาได้..ไม่ใช่คำอธิบายอะไรเลย

         หญิงสาวเอื้อมมือไปเปิดประเป๋าเจ็ดสมบัติของตนเองอย่างเบามือแล้วหยิบกล่องเล็ก ๆ ที่ผูกด้วยเชือกบาง ๆ ออกมาส่งคนตรงหน้า กล่องไม้สวยงามเรียบง่าย บ่งบอกว่าไม่ได้สั่งทำจากร้านใด ๆ แต่เป็นกล่องที่ผ่านมือคนหนึ่งอย่างตั้งใจ กลิ่นหอมละมุนของนมหอมอ่อน ๆ กับกลิ่นถั่วผสมนั้นลอยอบออกมาจาง ๆ จากปากกล่อง ขนมบัวหิมะเรียงชิ้นพอดีคำ แป้งใสอย่างสะลัดเอียดจนเหมือนเห็นสีของใสด้านใน..ลวดลายคล้ายขนมดอกบัวกำลังบานเหมือนชื่อของมัน

         “ข้าให้เจ้าค่ะ ตอบแทนแตงโมเย็นฉ่ำหวานอร่อยที่ไร้เมล็ดของท่าน”

         เว่ยชิงรับกล่องไว้ในมือใหญ่ของเขาอย่างเงียบงัน น้ำหนักเบา ๆ ของขนมในกล่องกลับทำให้รู้สึกว่ามันมีความรู้สึกที่หนักแน่นบางอย่าง ไม่ใช่ด้วยตัวขนม แต่เพราะมือเล็กเรียวงามนั้นที่ส่งมันให้พร้อมแววตาที่ไม่หวังอะไรเลยนอกจากการรับไว้อย่างเต็มใจ เขาก้มศีรษะนิดหน่อยแล้วมุมปาก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่ได้เลย “ขอบคุณมาก แม่นางหลินหยา” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม ไม่ได้เสแสร้งว่าเซอร์ไพรส์หรือถ่อมตนเกินควร หากแต่เป็นเสียงของคนที่รับรู้..

         เขาเหลือบมองขนมอีกครั้งก่อนที่จะพูดช้า ๆ “ข้ากินข้าวได้ทุกวัน แต่น้อยครั้งนัก ที่จะมีใครทำขนมมาให้ข้าโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน” เขาหยุดเล็กน้อยแล้วจ้องเธอ “ครั้งนี้แม่นางทำให้ข้ากิน คราวหน้า อาจต้องเป็นข้าที่ทำให้แม่นางบ้างกระมัง?”

         หลินหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย หัวเราะคิกคักด้วยความประหลาดใจ พลางในหัวเผลอคิดภาพของชายร่างสูงใหญ่ท่าทางเครียดอยุ่กลางครัวแล้วเอ่ยถามเสียงใส “ท่านชายจะทำขนมหรือเจ้าคะ?..ข้าขอเตือนไว้เลยนะว่าจับมีดบนเขียงไม่ได้เหมือนจับดาบ”

         เว่ยชิงคลี่ยิ้มเล็ก ๆ ดวงตาของเขาไม่ได้สั่นไหวจากคำแซว “แม่นางทำให้ข้าได้ ข้าก็จะพยายามทำให้แม่นางได้เช่นกัน”

         หลินหยาที่ได้ยินดังนั้นก็ระบายยิ้ม …เธอชอบที่เขาเป็นคนสุภาพเรียบร้อยและตรงไปตรงมาอย่างใสซื่อ..เหมือนได้กลิ่นความสนชื่นความเขียวชะอุ่มทั้งทั่วผืนป่าจากเขาไม่มีผิด


https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: -

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป เว่ย ชิงหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้มมอบ ขนมบัวหิมะ ขนมว่างเกรดทอง ความสัมพันธ์ +20 (ส่งแล้วจ้า)อาหารปรุง ความสัมพันธ์ +5


LiuRumei โพสต์ 2025-6-22 22:39:16

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LiuRumei เมื่อ 2025-6-22 22:43 <br /><br />


<title>ประวัติตัวละคร</title>



<div style="max-width:1000px; margin:50px auto; background:rgba(255, 153, 153); padding:30px; border-radius:16px; box-shadow:0 0 20px rgba(255, 153, 153,0.1);">

    <!-- คอลัมน์ซ้าย-ขวา -->
    <div style="display:flex; flex-wrap:wrap; gap:30px; margin-bottom:40px;">
   
      <!-- คอลัมน์ซ้าย -->
      <div style="flex:2; min-width:280px; padding:20px; border:1px solid #F5DEB3; border-radius:12px; background:#fff;">
      <h2 style="border-bottom: 2px solid rgb(170, 170, 170); padding-bottom: 8px;"><font color="#2f4f4f" face="TH SarabunPSK" size="6"><i>ตลาดตะวันออก (ย้อนเวลา 16.00 น.)</i></font></h2><div><font face="TH SarabunPSK" size="5" color="#2f4f4f"><br></font></div><div><div><font face="TH SarabunPSK" size="5" color="#2f4f4f">สายแดดยามบ่ายใกล้เย็นส่องสว่างพาดกำแพงหินของพระราชวังต้าฮั่น ความเงียบสงัดของสวนด้านในมีเพียงเสียงนกร้องแผ่วเบา หากแต่เบื้องหลังโรงครัวเก่า ท่ามกลางเงาพุ่มไม้รกร้างนั้น มีเสียงขยับเขยื้อนบางเบาดังขึ้นอย่างเงียบงัน</font></div><div><font face="TH SarabunPSK" size="5" color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font face="TH SarabunPSK" size="5" color="#2f4f4f">เด็กหญิงร่างเล็กผู้หนึ่ง กำลังมุดลอดช่องผนังแคบอย่างคล่องแคล่ว ชายเสื้อผ้าฝ้ายสีหม่นที่สวมทับกายช่างดูห่างไกลจากชุดแพรหรูหราของเจ้าหญิงในตำหนัก ชุดนั้นคือของพี่ชายที่นางขโมยมาอย่างแนบเนียน <i>(นางแค่คิดไปคนเดียว)</i> หมวกฟางถูกกดคลุมใบหน้า ผ้าขาวม้าคาดแน่นรอบเอวเล็ก มือเล็กกุมห่อผ้าพร้อมเหรียญทองสองสามเหรียญซ่อนไว้ในชายเสื้อ</font></div></div><div><font face="TH SarabunPSK" size="5" color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font face="TH SarabunPSK"><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f">“</font><font color="#ff00ff"> <b>หวังว่าไม่มีใครรู้ว่าข้าไม่อยู่… หึ!!!</b></font><font color="#2f4f4f"> ” นางพึมพำ ดวงตากลมโตฉายแววตื่นเต้นปนลอบลู่ นางรู้ดีว่าการหนีออกจากวังหลวงเช่นนี้คือความผิดใหญ่หลวง หากถูกจับได้ เกรงว่าจะถูกขังอยู่แต่ในตำหนักจนสิ้นเดือนเป็นแน่</font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f">เป็นเวลาเกือบบ่ายสี่ยามซื่อครึ่ง ที่หรูเหมย หลุดพ้นกำแพงวังหลวงได้สำเร็จ ร่างน้อยก้าวสั้น ๆ วิ่งตัดตรอกลัดเลาะราวกับจำทางจากแผนที่ที่มีแต่ในใจของเด็กหญิงผู้เคยเห็นเพียงจากภาพวาด บนใบหน้ามีรอยยิ้มระคนความโล่งใจ ดั่งนกน้อยที่พ้นกรงทอง</font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f">ขณะเดียวกันนั้นเอง ทั่วตำหนักกลับตกอยู่ในความโกลาหลไปหมด ขันทีผู้ดูแลตำหนักต่างวิ่งวุ่นไปตามตรอกซอกซอย บ้างค้นหาตามเรือนเครื่องหอม บ้างยามถือโคมออกตามหาในสระบัว เสียงสั่งการของแม่บ้านหลวงดังก้องจนไปถึงเรือนเครื่องยา</font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f">“ </font><b style=""><font color="#a0522d">องค์หญิงหายตัวไป?! ไม่อยู่ในตำหนักใดเลยหรือ?!</font></b><font color="#2f4f4f"> ” เสียงของเหล่านางใน ที่เริ่มตื่นตะหนัก</font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f">" </font><b style=""><font color="#556b2f">ทุกห้องค้นหมดแล้วเพคะ…ไม่มีแม้แต่รอยเท้า</font></b><font color="#2f4f4f"> ”</font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f">แต่ในขณะนั้น… หรูเหมยกลับยืนมองงานเทศกาล อย่างตื่นตะลึงอยู่หน้าทางเข้าตลาดกลางของฉางอัน ผู้คนแต่งกายสดใส หัวเราะรื่นเริง เด็กน้อยผูกด้ายห้าสีวิ่งไล่กัน หญิงชราขายถุงหอมแขวนหน้าร้าน กลิ่นบ๊ะจ่างลอยอวลปะปนกลิ่นเหงื่อไคลจากฝูงชน และเสียงกลองเรือมังกรจากลานท่าน้ำ</font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><div><font color="#2f4f4f">แม้เพียงไม่กี่เหรียญทองในมือ แต่สำหรับเด็กหญิงวัยสิบเอ็ดปี ที่ไม่เคยได้ใช้เงินเองแม้แต่ครั้งเดียว มันก็เหมือนสมบัติล้ำค่า นางเดินอย่างไร้ทิศ ไร้จุดหมาย ทุกสิ่งคือของแปลกตาน่าสนใจ สัตว์น้ำในถังไม้ ของเล่นหมุนได้ ลูกข่างแปลกตา</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">ไม่ไกลจากจุดชมการแข่งเรือมังกรนัก มีชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมอาภรณ์หรูหราปักมังกรเงิน กำลังกล่าวเชื้อเชิญด้วยเสียงแจ่มใส</font></div></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><div><font color="#2f4f4f">“ </font><b style=""><font color="#4b0082">ขอเชิญท่านทั้งหลายร่วมเดิมพัน.... ใครแทงถูกข้างรับรางวัลสองเท่า ใครกล้าเชิญมาวัดดวงกัน ณ ที่นี่!</font></b><font color="#2f4f4f"> ”</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">เบื้องหน้าคือวงพนันล้อมรอบกระดานไม้ที่ปักธงเล็ก ๆ แต่ละธงแทนเรือของแต่ละตำบล เสียงเชียร์เสียงตะโกนดังระงมจนกลบเสียงคลื่นน้ำริมฝั่ง</font></div></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style=""><div style="font-size: x-large;"><div><font color="#2f4f4f">เสียงผู้คนรอบข้างดังอื้ออึง สายตาหลายคู่จับจ้องมายังเด็กน้อยในคราบเด็กชายที่กำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กลางฝูงชน นางพยายามจะถอยออกแต่ถูกเบียดดันจากคลื่นมนุษย์ที่มุงดูอะไรบางอย่างอยู่หน้าร้านน้ำชา</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">ทันใดนั้นเอง เด็กชายคนหนึ่งในชุดมอมแมมวิ่งพรวดผ่านเข้ามาชนไหล่นางเบา ๆ ก่อนจะหลบหลีกฝูงชนออกไปทางตรอกด้านหลังราวกับชำนาญเส้นทางนั้นดี</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">ร่างเล็กชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าช่องทางที่เด็กคนนั้นมุ่งหน้าไปดูจะปลอดโปร่ง นางจึงรีบสาวเท้าตามไปด้วยสัญชาตญาณ</font></div></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style=""><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f">“</font><b style=""><font color="#ff00ff"> เดี๋ยวสิ…รอข้าด้วย… เจ้า....</font></b><font color="#2f4f4f"> ” นางพูดพึมพำกับตัวเอง ขณะเร่งฝีเท้าฝ่าผู้คนไปตามหลังอีกฝ่าย</font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f">แต่เพียงไม่กี่อึดใจ เมื่อเลี้ยวพ้นหัวมุมถนน สายตานางก็ปราศจากเงาร่างของเด็กชายผู้นั้นโดยสิ้นเชิง</font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f">“ </font><b style=""><font color="#ff00ff">เอ๋…ไปไหนเสียแล้ว… </font></b><font color="#2f4f4f">”</font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="text-align: right;"><font color="#2f4f4f" style="" size="4"><i style="">(ตลาดตะวันออก)</i></font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f">สิ่งที่อยู่ตรงหน้านางบัดนี้ คือย่านตะวันออกของฉางอันซึ่งเงียบสงัดกว่าที่อื่น ร้านค้าเริ่มทยอยปิดบานประตูหน้าต่าง แสงสุดท้ายของอาทิตย์ทอดเงาเอื่อยบนหลังคาไม้เก่าแก่ ตรอกสายแคบทอดยาวไปจนสุดปลายถนน กลิ่นชาจาง ๆ ลอยมาจากร้านน้ำชาเก่าแก่ที่ปิดป้ายหยุดรับลูกค้า</font></div></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><div><font color="#2f4f4f">หรูเหมยมองไปรอบตัวด้วยความฉงน ดวงตากลมโตไหวระริกด้วยความลังเล นางไม่รู้เลยว่ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร จากความคึกคักในยามบ่าย มาบัดนี้กลับมีเพียงเงาของตนสะท้อนบนพื้นหิน</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">“ </font><b style=""><font color="#ff00ff">นี้…นี้ข้าหลงทางแล้วหรือ? </font></b><font color="#2f4f4f">” เสียงเล็กเอ่ยเบา ๆ ราวยอมรับความจริง นางขยับหมวกฟางที่เกือบจะหลุด แล้วก้มหน้าก้มตาเดินต่อด้วยหวังว่าจะหาทางกลับไปยังทางเดิมได้</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">เสียงฝีเท้าของตนเองดังก้องในความเงียบจนรู้สึกอ้างว้าง ขณะที่นางผ่านหน้าร้านขายกระบี่ซึ่งปิดบานหน้าต่างลงครึ่งหนึ่ง เสียงโลหะกระทบกันเบา ๆ ดังลอดออกมา เป็นเพียงเสียงเดียวที่ยังคงมีชีวิตชีวาในย่านนี้</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">แต่ก่อนนางจะได้หมุนกายกลับ เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เต็มไปด้วยความนิ่งขรึมแต่เด็ดขาด</font></div></div></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><div><font color="#2f4f4f">เสียงฝีเท้าของตนเองดังก้องในความเงียบจนรู้สึกอ้างว้าง ขณะที่นางผ่านหน้าร้านขายกระบี่ซึ่งปิดบานหน้าต่างลงครึ่งหนึ่ง เสียงโลหะกระทบกันเบา ๆ ดังลอดออกมา เป็นเพียงเสียงเดียวที่ยังคงมีชีวิตชีวาในย่านนี้</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">แต่ก่อนนางจะได้หมุนกายกลับ เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นจากด้านหลังอย่างไม่เร่งร้อน ตามด้วยเงาร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามาอย่างสงบ</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">ชายหนุ่มผู้หนึ่งหยุดยืนอยู่ใต้ชายคาร้าน ดวงหน้าเรียบนิ่ง ท่วงท่าทรงอำนาจของผู้ที่ผ่านศึกมาไม่ใช่น้อย เขากวาดตามองร่างเล็กในชุดมอมแมมเบื้องหน้า แล้วเอ่ยเสียงต่ำแต่ไม่ข่มขู่</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">“ </font><b style=""><font color="#4169e1">เด็กน้อยที่ไหน ...มาเดินหลงอยู่ที่นี่ผู้เดียวหรือ </font></b><font color="#2f4f4f">”</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">หรูเหมยสะดุ้งเฮือก หันกลับไปมองด้วยความตระหนกเล็กน้อย ก่อนจะรีบยืดตัวตรง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มประหลาดใจปนตื่น ๆ</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">“ </font><b style=""><font color="#ff00ff">ข้า.... ข้าไม่ได้หลงเสียหน่อย ตอนนี้ข้ากำลังจะกลับบ้านพอดี! </font></b><font color="#2f4f4f">” นางกล่าวพลางเบือนหน้าหนีแล้วหมุนตัวหมายจะเดินกลับทางเดิม</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">แต่ร่างสูงของชายผู้นั้นกลับก้าวเข้ามาอีกครึ่งก้าว ขวางทางนางไว้พอดิบพอดี ไม่ได้แตะต้อง ไม่ได้เอ่ยวาจาห้ามปราม หากแต่เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ก็เพียงพอจะสกัดทางหนีของนางไว้ทั้งหมด</font></div></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><div><font color="#2f4f4f">สายตาคมกริบที่ทอดมองลงมานั้นแน่วแน่ราวกับสามารถมองทะลุคราบฝุ่นบาง ๆ บนใบหน้าน้อย ๆ นั้นได้ทุกชั้นผ้า ทุกชั้นเล่ห์</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">“ </font><b style=""><font color="#4169e1">เช่นนั้นหรือ...</font></b><font color="#2f4f4f"> ” เขาเอ่ยเบา ๆ ดวงหน้าเรียบสนิท “ </font><b style=""><font color="#4169e1">เด็กชายทั่วไปมักมัดผมหางม้าไม่เป็นระเบียบเช่นนี้หรือไม่?</font></b><font color="#2f4f4f"> ”</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">หรูเหมยเบิกตากว้างเงียบกริบ ก่อนรีบก้มหน้าซ่อนรอยแดงบนแก้มขาว นางเม้มปากแน่นอย่างจนคำจะเอื้อนเอ่ย มือเล็กกำชายเสื้อแน่นจนยับย่น แม้จะปกปิดแล้ว แต่ดูจะหนีไม่พ้นจากสายตาอีกฝ่ายจริงๆ&nbsp;</font></div></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f">ในตอนนี้เองอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้มีท่าทีไล่ต้อนอีก เขาเพียงถอนหายใจเบา ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง แม้ยังมั่นคง</font></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><div><font color="#2f4f4f">“&nbsp;</font><b style=""><font color="#4169e1">หากองค์หญิงพร้อม กระหม่อมจะพากลับตำหนักอย่างปลอดภัย </font></b><font color="#2f4f4f">”</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">หรูเหมยยังไม่ตอบ นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองใบหน้าคมสลักนั้นอย่างระแวดระวัง “</font><b style=""> <font color="#ff00ff">ท่านเป็นใครกันแน่... ทำไม... ทำไมท่านรู้!! </font></b><font color="#2f4f4f">”</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><div><font color="#2f4f4f">ชายหนุ่มโน้มกายลงเล็กน้อย เอ่ยช้า ๆ “ </font><b style=""><font color="#4169e1">นามของกระหม่อม เว่ย ชิง อยู่แม่ทัพแห่งราชสำนัก </font></b><font color="#2f4f4f">”</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">เขาหยุดชั่วครู่ก่อนกล่าวต่อ " </font><b style=""><font color="#4169e1">ถ้ายอมกลับไปตอนนี้ กระหม่อมจะไม่ฟ้องเสด็จพ่อขององค์หญิง แน่นอน</font></b><font color="#2f4f4f"> "</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">เขาหยุดชั่วครู่ก่อนกล่าวต่อ เสียงทุ้มเรียบนิ่งยังคงแผ่วเบาแต่แฝงความจริงจัง “ </font><b style=""><font color="#4169e1">แต่ถ้าองค์หญิงหรูเหม่ยยังฝืนดื้ออยู่ตรงนี้นานกว่านี้ เกรงว่าเรื่องจะไม่แนบเนียนอีกต่อไป</font></b><font color="#2f4f4f"> ”</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">หรูเหมยนิ่งไปโดยสิ้นเชิง ดวงตากลมโตไหววูบ นางเม้มปากแน่น ริมฝีปากสีอ่อนสั่นระริกเล็กน้อย จะเถียงก็ไม่ได้ จะโต้กลับก็ไร้เหตุผลจะยกขึ้นมา นางได้แต่กำชายเสื้อแน่นจนเนื้อผ้าบิดเบี้ยวแทบขาด ในใจพลันรู้สึกแน่นอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เพราะหากมองจากเครื่องแต่งกายอีกฝ่ายแล้ว เกราะหนังซ่อนภายใต้อาภรณ์เรียบ คล้องดาบยาวแนบหลังกับสัญลักษณ์บนแถบผ้าโพกแขน ก็น่าจะเป็นจริงอย่างที่เขากล่าว&nbsp;</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">เขาเป็นแม่ทัพ...ไม่ใช่ใครที่นางจะสามารถหลอกได้ง่าย ๆ มือเล็กกำแน่นยิ่งขึ้นราวกับเพิ่งตระหนักว่า…หนนี้นางคงมิอาจกลับเข้าตำหนักได้โดยไร้รอยขีดเขียนในบัญชีความผิด</font></div></div></div><div style="font-size: x-large;"><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div style="font-size: x-large;"><div><font color="#2f4f4f">เขาโน้มตัวลงมาอีกครั้งเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบนุ่มแผ่วเบาใกล้ข้างหูของหรูเหมย เป็นการย้ำอีกคราวหนึ่ง “ </font><font color="#4169e1"><b style="">และข้าจะไม่บอกเสด็จพ่อของเจ้า…ไม่บอกกงกง…ไม่บอกใครทั้งนั้น หากเจ้ายอมให้ข้าพาเจ้ากลับเสียดี ๆ</b> </font><font color="#2f4f4f">”</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">หรูเหมยยืนนิ่ง มือเล็กยังคงกำชายเสื้อไว้แน่น ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ อย่างยอมรับ แต่กระนั้นก็ยังไม่วางใจนัก นางเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย เอ่ยเสียงเบาแต่แน่วแน่ “</font><b style=""><font color="#ff00ff"> ท่าน.... ท่านพูดแล้วนะ...ว่าจะไม่บอกใคร</font></b><font color="#2f4f4f"> ”</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><font color="#2f4f4f">เว่ยชิงสบตานางนิ่ง ๆ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ หนึ่งครั้ง</font></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><div style="color: rgb(47, 79, 79);">ขณะทั้งสองกำลังจะออกเดินทางกลับ เสียงเข็นรถเลื่อนเล็ก ๆ ดังกรุ๊งกริ๊งลอดออกมาจากตรอกด้านข้าง พ่อค้าชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังเข็นรถขายถังหูลู่สีสันสดใสผ่านมาพอดี กลิ่นน้ำตาลหวานหอมลอยมาปะทะปลายจมูกทันที</div><div style="color: rgb(47, 79, 79);"><br></div><div style="color: rgb(47, 79, 79);">ดวงตาของหรูเหมยเป็นประกายทันใด นางหันไปมองไม้ลูกอมหวาน ๆ ที่ปั่นเคลือบจนเย็นเยียบอย่างตื่นตาตื่นใจ ร่างเล็กขยับเท้าเข้าไปใกล้รถเลื่อนเล็กน้อย ก่อนจะควักถุงผ้าใบจิ๋วจากชายเสื้อออกมา หยิบเงินขนาดเล็กสองเหรียญใส่มือพ่อค้าไป</div><div style="color: rgb(47, 79, 79);"><br></div><div style=""><div style=""><font color="#2f4f4f">“</font><b style=""><font color="#ff00ff">&nbsp;ข้า... ข้าเอา...เอา 2 ไม้ และของเขา...2 เช่นกันนะเจ้าคะ</font></b><font color="#2f4f4f"> ” นางพูดดูกระตุกกระตักไปบ้าง เพราะความไม่คุ้นชิน มันเลยจะออกมาผสมโรงมั่วไปหมด</font></div><div style="color: rgb(47, 79, 79);"><br></div><div style="color: rgb(47, 79, 79);">ทางด้านพ่อค้าเองอมยิ้มขณะรับเงินไปอย่างยินดี&nbsp;</div><div style="color: rgb(47, 79, 79);"><br></div><div style=""><font color="#2f4f4f">" </font><b style=""><font color="#a0522d">ขอรับๆ อันนี้ได้แล้วขอรับ </font></b><font color="#2f4f4f">"</font></div><div style="color: rgb(47, 79, 79);"><br></div><div style="color: rgb(47, 79, 79);">ก่อนจะส่งถังหูลู่ ทั้หมดยื่นมาให้ หรูเหมยรับมาอย่างระมัดระวัง แล้วส่งไม้ยาวกว่าให้เว่ยชิงโดยไม่มองหน้าเขาเท่าไรนัก</div></div><div style="color: rgb(47, 79, 79);"><br></div><div style=""><div style=""><font color="#2f4f4f">“ </font><b style=""><font color="#ff00ff">นี่...ของท่าน</font></b><font color="#2f4f4f"> ” นางพึมพำเบา ๆ พลางยื่นไม้เสี่ยบถังหูลู่ให้อีกฝ่านไป ให้ราวกับกำลังชดใช้ความดื้อเมื่อครู่</font></div><div style="color: rgb(47, 79, 79);"><br></div><div style="color: rgb(47, 79, 79);">ทางเว่ยชิงเองก็รับรับไว้เงียบ ๆ สีหน้าของเขาตอนนี้ไม่เปลี่ยน แต่แววตาที่ทอดลงมายังเด็กหญิงตรงหน้านั้น ในมือถือขนมที่เธอให้ไว้ เเต่ยังไม่ได้มีท่าทางจะกินมัน ผิดกับส่วนของนางที่ตอนนี้ลงมือกินมันเสียเเล้ว</div></div></div><div><font color="#2f4f4f"><br></font></div><div><br><hr class="l"><br></div><div style="text-align: center;"><b style=""><font color="#ff00ff">เพิ่มเติม</font></b></div><div style="text-align: center;"><b><font color="#ff00ff">เทพธิดาดอกท้อ - ระงับโทสะ : ยากจะทำให้ผู้คนโกรธ ด้วยความน่ารักสดใสจะทำให้ผู้คนที่กำลังโกรธค่อย ๆ เย็นลง</font></b></div><div><b style=""><font color="#ff00ff"><div style="text-align: center;"><br></div><div style="text-align: center;"> เว่ย ชิง - โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม</div><div style="text-align: center;">มอบ&nbsp;ถังหูลู่ 2 ชุดให้ เว่ย ชิง</div></font></b></div></div><div style="font-size: x-large;"><br></div></font></div>

      </div>

      <!-- คอลัมน์ขวา (ภาพเดียว) -->
      <div style="flex:1; min-width:200px; text-align:center;">
      <font face="TH SarabunPSK" size="4"><img src="https://iili.io/3b2ZErP.png" alt="หลิวหรูเหมย" style="width:160px; height:160px; border-radius:50%; object-fit:cover; border:4px solid #fff;">
      </font><p style="margin-top:12px; font-weight:bold; color:#fff;"><font face="TH SarabunPSK" size="5">หลิวหรูเหมย</font></p>
      </div>
    </div>

</div>

LinYa โพสต์ 2025-6-24 00:02:36

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-24 03:04

https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png

วันที่ ยี่สิบสาม เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามซวี เวลา 19.30 น. เป็นต้นไป ณ ตลาดตะวันออก (พบ หลิว อัน)

          ยามซวีจรดค่ำ แสงอาทิตย์ยามลับขอบฟ้าทอแสงสีมืดมิดเหมือนกับบางอย่างที่กระทบทางเท้าและกระเบื้องหลังคาร้านรวงของตลาดตะวันออก พ่อค้าแม่ค้าเรียนร้องเชิญชวนขายของกันจ้าละหมวั่น กลิ่นน้ำมันจากของทอด กลิ่นของหวานจากขนมงาอันหอมฉุย และกลิ่นผลไม้สุกวานที่วางขายบนไม้กระดานผืนเก่า ๆ ยิ่งแต่งแต้มให้ตลาดแห่งนี้ดูอบอุ่นและครือเครงอย่างยิ่ง..แต่ในหมู่นั้น…ผู้คนที่แสนวุ่นวาย

          กลับมีร่างหนึ่งที่ดูขัดแย้งกับทุกสิ่งที่ล้อมรอยเสียจนผู้คนบางส่วนยังอดเหลียวมองไม่ได้ สตรีในชุดผ้าฝ้ายเนื้อบางสีขางนั้นมีเส้นผมยาวสยายอย่างไม่ตั้งใจจะจัดทรงนัก ดวงตาของนางคล้ายคนที่ลืนเลือนวิธีจ้องมองโลกอย่างสดใสเสียแล้ว ทั้งเฉยเมย ทั้งเลื่อนลอย ราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังไม่ตาย แต่กลับไม่รู้จักคำว่า มีชีวิต อีกต่อไป

          หลินหยาก้าวเดินช้า ๆ ไปบนทางหินที่มีรอยเท้าของคนมากมาย เหมือนไม่ได้ตั้งใจไปที่ไหน ไม่ได้มองร้านค้าใด หรือแม้แต่สนใจว่าจะเดินชนไหล่นางหรือไม่ ราวกับว่าเธอไม่ใช่ส่วนหนึ่งในฉากของชีวิตที่ตลาดแห่งนี้อีกเลย เป็นเพียงเส้นพู่กันจาง ๆ ที่ถูกละเลยบนผืนผ้าไหม ริมฝีปากของเธอเม้มแน่นโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเรียบนิ่งแต่กลับดูโศกเศร้าอย่างไม่ต้องร้องไห้ออกมา ใจของเธอถูกคว้านออกไปตั้งแต่ตอนนั้น หลังจากที่เขาเอ่ย..สิ่งนั้น หยิงจดหมายนั้นยื่นให้เธอ..

          มัน..ทรมาร..

          หลินหยาไม่เคยรู้สึกหมดหนทางเช่นนี้มาก่อน ชีวิตของเธอคล้ายอยู่ในกำมือใครบางคนที่เย็นชาอย่างยิ่ง แม้จะดิ้นรน แม้จะอ้อนวอน สุดท้ายก็ไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรเลย..นอกจาก..ยอมรับมัน..

          เธอหยุดยืนตรงหน้าร้านขายของชำเล็ก ๆ ที่ขายดอกไม้แห้งและใบชาผสมกลิ่น เครื่องหอมที่เคยชอบ กลิ่นกุ้ยฮวาอ่อน ๆ ที่ลอยมาปะทะจมูกกลับไม่อาจเยียวยาใจเธอได้ในตอนนี้ หลินหยาก้มหน้าช้า ๆ กลัวว่าหากเงยขึ้น น้ำตาเธอจะไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เธอไม่ได้เศร้าเพียงเพราะถูกขู่ ไม่ได้โกรธที่ตนไร้พลัง แต่อารมณ์ปะทุในใจมันสับสนเกินจะเรียบเรียง เธอรู้สึกทรยศต่อความหวังของตนเองที่เคยเชื่อว่า "ยังมีทางเลือกอยู่เสมอ" …แต่ความจริงคือไม่มี ไม่มีเลย

          คนบางคนเดินชนเธอ จนหลินหยาเซไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่หันกลับไปมองแต่อย่างใด

          เสียงเล็ก ๆ หัวเราะของเด็ก ๆ มากมายที่กำลังเล่นกันอยู่ในซอกซอยใกล้เคียง เสียงขลุ่ยไม้จากนักดนตรีเร่ร้อนที่เป่าเพลงท่วงทำนองสนุกสนนาน และเสียงตะโกนของพ่อค้าที่เสนอราคาผลไม้ ถูกกลบด้วยเสียงของความเงียบในใจหลินหยา เธอคือหญิงสาวกลางตลอด ที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครเอื้่อมมือมาช่วย…และเธอก็ไม่ได้คิดจะร้องขอ

          หากคืนนี้จะมีใครบางคนผ่านมาพบเธอเข้า บางที…อาจจะมองเห็นเพียงแค่เงาหลังอ่อนแรงของใครคนหนึ่ง ที่แผ่นหลังของเธอกำลังแบกทั้งชีวิตที่แตกสลายโดยไม่รู้จะวางลงที่ใดเลยบนโลกใบนี้

          จนกระทั่ง..เธอเห็น..

          ชายคนหนึ่ง..เขายืนอยู่ใต้แสงไฟน้ำมันที่ริบหรี่ ใต้เงาไม้ที่พลิ้วไหมไปตามสายลมยามค่ำอ่อน ๆ ท่ามกลางจัตุรัสตลาดที่เริ่มเงียบลง ราวกับเมืองทั้งเมืองกำลังเคลื่อนไหวเข้าสู่ช่วงเวลานิทรา แต่ไม่ใช่เขาและไม่ใช่เธอ…

          คุณชายอันเล่อ..หรือหลิวอันที่เธอไม่เคยรู้ความจริง เขายืนอยู่ตรงนั้นในชุดเรียบง่ายแต่ดูดีมีราศีอย่างชายเถ้าแก่ร้านเต้าหู้ เขามีอำนาจที่เธอมองไม่เห็นจากออร่าที่แผ่ออกมา แต่ว่า..เขาไม่ใช่ขุนนางในสายตาเธอ เขาไม่ได้พกองครักษ์ ไม่ได้มีวรยุทธ์สะท้านแผ่นดิน มีเพียงเงาสูงสงบ กับสายตาที่ราวกับมองผ่านทุกชั้นม่านที่หลินหยาพยายามกั้นหัวใจตนเองไว้เพราะมันแตกเป็นเสี่ยง ๆ …

          และเมื่อดวงคาคมคู่นั้นสบเข้ากับเธอ สิ่งที่หญิงสาวพยายามกลั้นไว้ทั้งหมดแทบตลอดเวลาหลังจากพบเจอสิ่งนั้นเหมือนจะแตกซ่านทันที..เขาไม่ได้ขยับ และหลินหยาเองก็ด้วย เธอไม่ขยับ ทั้งสองร่างหยุดนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงสีเหลืองหม่นของโคมที่ไหวสั่น ลมหอบหนึ่งพัดเอากลิ่นหอมจากแฝงขายผลไม้อบแห้งลอยขึ้นมาแตะจมูก แต่เธอกลับไม่ได้กลิ่นเลยแม้แต้น้อย

          หลินหยามองเขา..มองชายที่มีเพียงร้านเต้าหู้ กับใบหน้าที่มักพูดจาด้วยความจริงจนกวนอารมณ์ของเธอ แต่ไม่เคยหยาบคาย สุภาพ ไม่เคยทำร้ายเธอด้วยวิธีใดแม้สักคราวหรือสักครั้ง ชายผู้ที่มอบที่พักและน้ำชาให้ในวันที่เธอล้มป่วยเพราะตนเอง ในวันที่โลกเกือบมืดดับ และตอนนี้สำหรับเธอมันคือวันหนึ่งที่โหดร้ายที่สุด ชายตรงหน้า ไม่เคยเอ่ยว่า เข้าใจเธอ แต่สายตาของเขากลับทำให้เธอไม่ต้องพูดอะไรเลย

          ดวงตาของหลินหยาในยามนี้คล้ายดวงจันทร์ที่ถูกหมอกควันบดบัง ยังคงส่องแสง แต่ไร้แรงจะเปล่งประกายงามดั่งเคย เธอไม่ยิ้มและไม่พูด ไม่แสร้งหยอกล้อเหมือนเคย ไม่เปล่งประกายงามอย่างคนร่าเริง หลินหยาแค่ยืนนิ่ง ราวกับเด็กสาวที่หลงทางอยู่กลางตลาดใหญ่ และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอคนคุ้นเคย กลับไม่มีคำพูดใดที่หลุดออกจากปากได้เลย

          คุณชายอันเล่อมองเธออยู่เพียงชั่วครู่ นิ่งเช่นกัน สายตาของเขาราวกับรับรู้บางสิ่งบางอย่างในใจของหญิงสาวตรงหน้า เหมือนมองทะลุผ่านดวงตาคู่นั้นที่แหลกสลาย มองเห็นโซ่ตรวจที่มองไม่เห็นในมือเธอ..เห็นน้ำหนักของชีวิตที่กดทับบ่าบาง ๆ ของเธอไว้ และเขาก็ไม่ได้ถามอะไร ไม่ได้เร่ง และไม่ได้แสดงความสงสารเช่นกัน เพราะเขารู้ว่าบางสิ่ง หากเอ่ยถามตอนนี้ มันจะเหมือนการกระชากม่านบาง ๆ สุดท้ายของศักดิ์ศรีเธอออก

          ใต้โคมไฟน้ำมันที่ล้อเงาไม้ไหวเอื่อย เสียงฝีเท้าของหลินหยาบางเบาราวกลัวแม้แต้เสียงตัวเองจะทำลายความเงียบของระยะห่างนั้น เธอเดินเข้าไปอย่างคนที่ไม่รู้ว่ากำลังจะเดินเข้าไปสู่ความรอดหรือขุมนรก ริมฝีปากบางของนางเม้มแน่น ใจเต้นระส่ำแต่มันอ่อนแรง..มันอ่อนมาก ขาของเธอไม่ยอมหยุด เขายืนตรงนั้น ไม่เอ่ยสักถ้อยคำเดียว ไม่ขยับถอยหลังแม้แต่นิดเดียว ไม่หลบตา ไม่แสร้งไม่รู้ไม่เห็น..เพียงแต่นิ่ง

          ดวงตาของหลินหยาสบกับดวงตานิ่งลึกคู่นั้นของเขา แล้วคำหนึ่งก็หลุดออกมาจากริมฝีปากที่เคยอมชมพูงามของเธอ แทบจะไม่ใช่เสียงของคนที่เคยเป็นหญิงสาวช่างยิ้มที่เคยหยอกล้อกับเขาว่าเป็นเถ้าแก่เจ้าระเบียบ

          “ข้า..ขอจับมือท่านได้หรือไม่”...

          หลินหยาไม่เคยขอสัมผัส ไม่เคยขยับตัวแตะกับเขา หรือใคร เขาไม่ตอบในทันที ไม่ยิ้ม ไม่ขำ ไม่ตั้งคำถามเหมือนเช่นเคย เพียงแค่เงียบอยู่นั้น ดวงตาของชายผู้มักพูดเสียดแทงด้วยวาจาเงียบเหงาจนน่าเอือม กลับนิ่ง…และอ่อนลงในแบบที่แทบไม่มีใครได้เห็นมาก่อน ราวกับวูบหนึ่งในห้วงใจเขาสะท้อนบางอย่างจากหญิงสาวที่ยืนตรงหน้า

          “อืม..” หลิวอันยื่นมือออกมาช้า ๆ

          มือข้างหนึ่งของคุณชายอันเล่อ มือที่เคยวางพู่กันเขียนบัญชี รินชา ทำเต้าหู้อย่างไม่ผิดท่า มือที่ผ่านโลกมากมาย ผ่านเล่ห์เหลี่ยมมาเกินวัยที่ใครจะคาดคิด กลับยื่นออกไปหานางอย่างสงบ หลินหยาเอื้อมมือออกไปช้า ๆ ก่อนที่จะวางมือตนเองลงบนมือเขา เธอพยายามจะเข้มแข็ง พยายามจะไม่ตัวสั่น แต่พอนิ้วเรียวบางงามสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของฝ่ามือใหญ่ที่ยื่นให้โดยไม่ลังเล..น้ำตาของเธอ…ก็ไหลลงมาราวกับประตูที่พังทลายลง

          หลินหยาก้มหน้าลงทันที ร่างกายบางของเธอสั่นสะท้าน เสียงสะอื้นแรก…หลุดออกมาเหมือนเสียงของเด็กสาวที่เพิ่งรู้ว่าตนเองไม่อาจสู้กับโลกนี้ได้เพียงลำพัง เธอ..เธอตัวคนเดียว เธอร้องไห้ เธอต้องทำเพื่อทุกอย่าง..ทุกอย่างที่เธอรัก

          ไม่ใช่ร้องไห้แบบผู้หญิงเรียบร้อย ไม่ใช่ร้องไห้เงียบ ๆ เธอร้องไห้เหมือนทั้งร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ร้องไห้เหมือนวิญญาณถูกเหวี่ยงออกจากร่าง ร้องไห้จนบ่าเล็ก ๆ นั้นสั่นสะท้านไม่หยุด น้ำตาไหลไม่ขาดสายจนเปียกเต็มแขนเสื้อ เธอบีบมือของเขาไว้แน่นราวกับมันคือสิ่งเดียวที่ยึดเธอไว้ไม่ให้ล้ม

          เขาไม่ได้พูดอะไร หลิวอันไม่ได้ดึงเธอเข้ามากอดเหมือนชายใจอ่อนที่อยากจะปกป้องโลกทั้งใบทั้งที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ เขาแค่ยืนนิ่งให้มือที่ยื่นมาถูกกุมและบีบไว้จนแน่น เพราะเขารู้ว่าคำปลอบนั้นไร้ความหมายในยามที่โลกของคนตรงหน้าพังลงแล้ว

          เขาแค่…ปล่อยให้เธอร้อง

          ให้เธอได้พัง


https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png


@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: -
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป หลิว อันหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


LinYa โพสต์ 2025-6-24 19:06:38

https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png

วันที่ ยี่สิบสี่ เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 18.00 น. ณ ตลาดตะวันออก (พบ เว่ย ชิง)

         แสงแดดยามเย็นยามโหย่วเริ่มคล้อยต่ำลูบไล้กับขอบฟ้าอย่างอ้อยอิ่ง สีทองเจือชมพูไหลเรื่อยลงบนถนนหินเรียบแห่งตลาดตะวันออก กลิ่นหอมของเกี๊ยวร้อน ๆ และผลไม้หน้าร้อนเริ่มฟุ้งกระจายเมื่อลมพัดแผ่ว เสียงผู้คนคุยกันจอแจ ปะปนกับเสียงเหรียญกระทบตะกร้าไม้ ทว่าในหมู่คนมากมายนั้น มีเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่ตรงปากทางเข้าตลาด นางคือหลินหยา..ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่เคลื่อนไหม แต่หัวใจของเธอกลับสงบนิ่งเหมือนสายน้ำก่อนพายุ

         เธอมาตั้งแต่ก่อนยามโหย่วเล็กน้อย เดินวนไปมาอย่างไม่เร่งรีย แต่ทุกก้าวกลับเต็มไปด้วยความตั้งใจของตนเอง ริมฝีปากบางของเธอนั้นเหมือนจะสามารถคลี่ยิ้มนิด ๆ ได้เมื่อมีเด็กเล็กวิ่งผ่านไป แม้ใจจะยังเต็มไปด้วยเรื่องค้างคา แต่เธอก็ยังคงใจดีกับโลกเสมอ ถุงผ้าของเธอไม่มีผลไม้ในวันนี้ ไม่มีผลไม้หวานฉ่ำ มีเพียงใดที่หนักแน่นขึ้นกว่าเดิมและคำพูดจากทุกเหตุการณ์ที่ฝังอยู่ในความคิดของนางไม่เคยจางหาย..

         แต่ทำไม วันนี้ถึงรู้สึกว่างเปล่า?..

         เธอกำลังรอพบใครบางคน ผู้มีดวงตาเหมือนภูเขานิ่งสงบ หั่นแตงโมให้เธอโดยไม่ถามอะไรสักคำ เธอไม่รู้ว่าเขาจะมาไหม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเคยเห็นความเศร้าในดวงตาของเธอหรือเปล่า แต่เธอรู้ว่าตอนนี้เธออยากเห็นเขาสักครั้งหนึ่ง แค่สักครั้ง ให้ได้มองและได้ยิน และบางที ให้เขาช่วยเตือนว่าเธอยังมีทางเลือกอยู่บนโลกใบนี้บ้าง

         เธอยืนนิ่งอยู่อย่างงั้น มองผู้คนเดินผ่านไปมา ราวกับจะจับเงาใครสักคนที่อาจจะปรากฎขึ้นตรงนี้ เวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนสบกับท้องฟ้ายามโพล้เพล้ ใจพึมพำอย่างเงียบงัน.. และในขณะที่เธอกำลังยืนนิ่งกลางฝูงชน เสียงฝีเท้าที่แผ่วแต่มั่นคงดังมาจากทางฝั่งตะวันตกของตลาด ร่างสูงในชุดเรียบลายเข้มปรากฎขชึ้นในหมู่คนเหมือนเงาเงียบ ไม่เอ่ยเรียกหรือทำให้ใครสะดุึดตา นอกจากเธอที่รู้สึกว่าลมหายใจหยุดลงไปชั่วครู่เดียว

         หลินหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่หม่นมัวเริ่มมีแววขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล และในแวบนั้นเขาหยุด หยุดอยู่ตรงนั้นมองเธอจากนะยะพอดี เสียงฝีเท้าคนจำนวนมากยังคงเคลื่อนไหวในตลาดตะวันออกเช่นทุกวัน ทว่าในสายตาของเว่ยชิงโลกกลับเงียบลงในทันทีที่เขาเห็นเธอ ราวกับรู้ดีว่าการก้าวเข้าหาเร็วเกินไป อาจทำให้หญิงสาวตรงหน้าเป็นอันตราย เว่ยชิง..ไม่สิ..เว่ยจ้งชิง..ไม่สำคัญอีกต่ไปในวินาทีนั้น เขาเพียงยืนตรงนั้น สบตาเธอ ไม่ถามพูดหรือเร่งรัด รอเพียงเธอจะเป็นคนเอ่ยเอง หากเธอต้องการกำลังใจ เขายินดีที่จะเป็นเงาไม้ให้เธอพักในวันที่ร้อนระอุ

         หลินหยายืนอยู่ตรงปากทางเข้าตลาด มุมที่แสงแดดยามโหยวตกกระทบใบหน้าของเธอเพียงครึ่งหนึ่ง เธอไม่ได้สวมผ้าหรือชุดที่วิจิตรงดงาม ไม่มีเครื่องประดับที่จับตา มีเพียงรอยเงาบางของความอ่อนล้าในดวงตาคู่เดิมที่เมื่อวานยังเป็นประกายใสเหมือนน้ำสะอาดที่สะท้อนแสงแดดงาม

         แต่วันนี้..ดวงตานั้นหม่นลงอย่างชัดเจน แต่ในความหม่นหมองนั้นกลับมีแสงเรืองรองซ่อนอยู่ แสงของคนที่เจ็บ..เจ็บเจียนตายแต่ยังยืนอยู่ได้ และไม่ยอมก้มหัวให้กับโชคชะตาง่าย ๆ

         เว่ยชิงยืนนิ่งอยู่ที่อีกฟากถนน ไม่เดินเข้าไปหาในทันที เขาไม่ได้แปลกใจในความเปลี่ยนแปลงของเธอ เพราะเขาคาดไว้แล้ว..เว่ยชิงเป็นแม่ทัพ เป็นต้าซือหม่า คุ้นเคยกับการอ่านใจคนจากแววตา เขาเคยใช้แววตาวัดความสัตย์ของผู้คนและนายทหาร วัดความกลัวในแววตาของศัตรูและตอนนี้..เขาใช้มันเพื่ออ่านแม่นางน้อยตรงหน้า

         นางไม่รู้ว่าเมื่อวานเขาคือใคร นางไม่รู้ว่า เว่ยจ้งชิง ที่แต่งชุดผ้าหยาบคือแม่ทัพผู้ยืนอยู่ในท้องพระโรง หรือนางก็ไม่รู้ว่าจอมยุทธ์พเนจรเมื่อวานก็คือเขา..เขาที่เคยเตือนนางไปแล้วอย่างเงียบงัน..แต่เขารู้..

         รู้ว่านางคือคนที่มีค่ามากกว่าที่ใครในหอว่านหงเหรินจะมองเห็น
รู้ว่านางกำลังตกอยู่ใต้สายตาและโซ่ตรวนของคนที่ไม่มีใครควรไว้วางใจ เขารู้ว่าจางกงกงไม่เคยปล่อยมือจากสิ่งที่ตนเองสนใจ และเขาก็รู้ว่าแม้นางจะยังยิ้ม พยายามยืนหยัดในคาบหญิงสาวไร้เดียงสา แต่หัวใจของนางกำลังดิ้นสู้เร้ารน

         เว่ยชิงเดินตรงไปที่ข้างหน้าในจังหวะมั่งคง ฝ่าฝูงชนเหมือนไม่รับรู้ว่ามีใครอยู่รอบตัว เสื้อคลุมเรียบลายเข้มพลิ้วตามแรงลม เมื่อถึงตัวเธอเขาหยุด ไม่ใกล้ไม่ไกล พอดีกับแสงอาทิตย์ที่กำลังตกกระทบครึ่งใบหน้าของเธอ “แม่นางหลินหยา” เสียงทุ่มราบเรียบเอ่ยขึ้น แต่ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความรับรู้ที่ไม่มีใครในตลาดได้ยินเลย

         หลินหยาระบายยิ้มราวกับรอเสียงนั้นอยู่ แล้วดวงตาของนางที่หม่นนั้นก็สั่นระริกวูบเดียว ก่อนที่จะคลี่ออกมาเป็นนัยน์ตาใหม่ที่ไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาอีกต่อไป “ท่านชายเว่ย..สวัสดีเจ้าค่ะ” เธอเรียกเขาอย่างอ้อม ๆ ก่อนที่จะหัวเราะนิดเดียวเพราะไม่แน่ใจว่าเสียงตัวเองสั่นหรือเปล่า หรืออย่างไร “ท่านยังจำข้าได้หรือเจ้าคะ?”

         เว่ยชิงมองเธอนิ่ง ๆ ก่อนที่จะตอบด้วยประโยคที่ไม่คาดฝัน “ผู้ที่เคยเลือกแตงโมให้ข้า..ข้าจะลืมได้อย่างไร?” หลินหยาที่ได้ยินก็หลุดหัวเราะ น้ำตาเกือบไหลออกมา แต่ก่อนที่เธอจะได้ตอบอะไร เว่ยชิงกลับก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว ดวงตาของเขาเคร่งขรึมขึ้นราวกับกำลังถามในใจ..ว่าเหตุใด..เขาทำให้ดวงตาเจ้าหม่นลงขนาดนี้เชียวหรือ?.. เขาไม่ถามหรือแตะ แต่หลินหยากลับรู้สึกได้ทั้งหมด แล้วเว่ยชิงก็พูดช้า ๆ แบบเรียบง่าย

          “หากแม่นางต้องการกำลังใจ..อย่ายืนตรงลม..เดินมาก้าวหนึ่ง เดี๋ยวข้าจะบังลมให้” เว่ยชิงยืนนิ่งข้างหลิยหยา ราวกับต้นไม้ที่หยักรากลึกกลางหิมะในฤดูหนาวผ่านลมพายุฝน ไม่เไหวเอนตามลม ไม่เอ่ยคำปลอบโยนฟุ่มเฟือยเพราะรู้ว่านางไม่ต้องการ ไม่กระทำอะไรเกินกว่าที่เขาจำเป็น ทว่าในจังหวะนั้น หลินหยากลับระบายยิ้มออกมา และรอยยิ้มนั้นราวกับเปลี่ยนทุกสิ่ง..

         รอยยิ้มที่ไม่ได้ฉาบฉวยไว้ด้วยมารยาท หรือหวานเพื่อเอาชนะใจใครหรือตกใครให้กลายเป็นทาสรักมัน แต่เป็นรอยยิ้มของคนที่แบกบางอย่างไว้ในอก แบกหินหนักไว้บนบ่า แล้วกลับยืนยิ้มอย่างไม่ยอมพ่ายแพ้แต่อย่างใด ดวงตาของเธอในตอนนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยคราบน้ำตา แต่มีแสงเล็ก ๆ ที่ร้อนแรงกว่าซ่อนอยู่ในประกายอ่อนนั้น และมัน..ทำให้ชายที่ผ่านสนามรบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนถึงกับต้องหยุดกระพริบตาเพียงครู่เดียว

          “ข้าอยากได้กำลังใจจากท่าน ข้าคิดว่าหากข้าเห็นท่านแล้วจะรู้สึกว่าจะสู้ได้” เธอพุดอย่างคนที่ไม่คาดหวังในคำตอบมากเกินไปแล้วขยับก้าวเข้าไปหาเขาเพียงก้าวเดียวตามที่อีกคนบอก แต่กลับเอ่ยต่อด้วยประกายรอยยิ้มขบขันเตือในน้ำเสียง “ข้าเพียงอยากซัดหน้าใครสักคน..ท่านแนะนำให้ข้าได้หรือไม่?” เธอพูดอย่างงั้น พร้อมกับรอยยิ้มที่คล้ายจะหยอกล้อ คล้ายจะประชดโลก แต่แววตาเธอกลับมองตรง ไม่หลบหรือเอียงอายราวกับจะบอกว่านางพูดจริง

         เว่ยชิงยืนนิ่งอยู่เพียงอึดใจ ก่อนที่มุมปากของเขาจะกระตุกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ไม่ปรากฏบ่อยนักกับบุรุษที่เป็นแม่ทัพ รอยยิ้มความขำเงียบ ๆ ที่ซ่อนอยู่ในท่าทีใจเย็นอย่างจงใจ “ซัด..ซัดหน้า?” เขาทวนคำอย่างนิ่งเงียบ แต่ในน้ำเสียงนั้นมีรอยหยอกเย้าแผ่วบางเจืออยู่ “ข้าไม่แน่ใจว่าแม่นางหมายถึงใคร..หรือหมายถึงอะไร” เว่ยชิงว่าพลางเหลือบมองดวงหน้าเธอ “แต่หากเจ้าอยากจะตอบโต้บางสิ่ง..ข้าแนะนำเจ้าได้อย่างหนึ่ง”

         เขามองหน้านางแล้วเอ่ยบอกต่อพอให้เสียงตัวเองไม่ต้องยกสูงหรือดังเกินไป “อย่าใช้มือตบคนเจ้าเล่ห์ ให้คำตอบด้วยความสำเร็จของเจ้าเอง หรือเงยหน้า ให้เขาเห็นว่าแม่นางไม่ได้กลัวเขาอีกต่อไปแล้ว” สายลมอุ่นพัดกลุ่มผมของหลินหยาให้ไหวเบา ๆ ขณะที่ดวงตาของเว่ยชิงยังจ้องลึก เขาไม่แตะต้องเธอเลย แต่คำพูดนั้นกระทบอกไม่ต่างจากฝ่ามือที่ทาบลงบนไหล่บาง ๆ ราวเพื่อนสนิท “และหากวันไหนที่เจ้าทนไม่ได้จริง ๆ …เจ้ามีข้า..ที่ไม่กลัวศัตรูหน้าไหนทั้งนั้น”

         หลินหยายืนนิ่งอยู่อย่างงั้น ดวงตาเธอไม่ได้หวั่นไหวอย่างง่ายดายแต่รอยยิ้มกลับกว้างขึ้นเล็กน้อยราวกับได้คำตอบที่นางต้องการเหลือเกิน เธอหัวเราะเบา ๆ แล้วบอกขึ้นมา “ข้าคงไม่ขอให้ท่านช่วยตบหน้าใครให้ข้าหรอกเจ้าค่ะ..แต่หากมีใครหน้าไหนคิดว่าข้าจะกลัวเขาเพราะข้าเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง..”

         “เขาคงลืมไปว่าข้าแสบยิ่งกว่าพริกเผ็ดหม่าล่าหรือเลือกแตงโมเก่งแม่นเสียยิ่งกว่าแม่ค้าปากตลาด”

         เว่ยชิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกเสียงแบบห้ามไม่ได้ แต่แววตาเขานุ่มลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาเรียวยาวใต้คิ้วเข้มยังคงจ้องมองเธอด้วยความเงียบแบบคนที่ไม่ได้อยากเอาชนะ แต่เป็นสายตาของคนที่่อยากอยู่ข้าง ๆ คอยช่วยเหลือโดยไม่ถามเหตุผล ลมยามโหย่วยังคงพัดไหว แต่มันไม่ได้แทรกผ่านระหว่างคนสองคนอีกต่อไป วันนี้ไม่มีแตงโมหรือขนม..กลิ่นผลไม้สุกในตลาดยังลอยฟุ้เง แต่ในชั่วขณะนั้นทุกเสียงคล้ายเงียบลงเมื่อหลินหยาเอื้อมมือไปในกระเป๋าเจ็ดสมบัติของตนเอง

         เธอเอื้อมมือไปหยิบของบางอย่างในถุงผ้า ล้วงของบางอย่างที่บรรจงห่อเมาอย่างตั้งใจราวกับเก็บมันไว้มาเนิ่นนาน เว่ยชิงมองโดยไม่พูดอะไร ไม่มีท่าทีคาดเดาหรือเร่งรัดเลยสักนิด ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นอ่านทุกการเคลื่อนไหวของเธอเหมือนอ่านค่ายกลกลางท้องฟ้า แต่เมื่อเธอหยิบขวดเกล้าเล็ก ๆ ที่บรรจุในภาชนะดินเผาปิดหนึกสีแดงเข้มของตราประทับบนป้ายทำมือสะท้อนแสง..

         สุรา..นารีแดง..เหล้าซึ่งเป็นที่ล่ำลือในหมู่คนรักสุราว่ามีครบหกรส หวาน ฝาด เปรี้ยว ขม ร้อนและกลมกล่อม..ดื่มสครั้งเดียวเหมือนได้ลิ้มรสทั้งอารมณ์แห่งสตรีหญิงสาวแรกรุ่นและฤดูกาลทั้งสี่ เว่ยชิงยังไม่พูดอะไร แต่เขามองมันด้วยสายตาที่แปลกไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะความอยากแต่คือความแปลกใจ ส่วนหลินหยาก็ไม่ได้ให้เขาแสดงท่าทีแปลกใจมากนัก นางยกขวดขึ้นระดับอก ยื่นส่งให้คนตรงหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่สูงกว่าตนเอง

          “ข้าไม่ค่อยให้เหล้าใครหรอกนะเจ้าคะ เพราะข้าหวง นาน ๆ ทีจะให้..แต่ข้าให้ท่าน” นางหยุดนิดหนึ่งก่อนที่จะพ฿ดต่อด้วยน้ำเสียงของเด็กสาวผู้ดื้อเงียบ ดื้อด้วยรอยยิ้ม ซุกซนและแววตาใสสว่างที่ไม่ยอมถูกทำลายจากโลกภายนอกง่าย ๆ “ห้ามปฎิเสธ เพราะหากท่านปฎิเสธ ข้าจะเทมันทิ้งตรงนี้แหละ” น้ำเสียงไม่ได้ขู่จริงจัง แต่คำพูดนั้นกลับหนักแน่นกว่าที่คิด เธอไม่ได้ท้าทายด้วยความก้าวร้าว หากแต่เต็มไปด้วยความกล้าและบ้าบิ่น..

         กล้าที่จะมอบของรักให้ใครสักคนและกล้างที่จะยืนยันว่าความรู้สึกของนางไม่ใช่สิงที่ควรถูกเมินเฉยแต่อย่างใด หลินหยาเอียงตัวเล็กน้อยในท่าทีที่ไม่ได้เรียกร้อง แต่กลับเหมือนจะบอกว่านางเหมือน..แต่นางยังอยากแบ่งให้กับเขา ไม่ใช่เพราะนางอยากให้เพียงอย่างเดียว แต่เขาควรได้รับมัน..

         เว่ยชิงเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ใช่ชายที่ยอมรับของขวัญจากใครง่าย ๆ ถึงขนาดั้น เคยปฎิเสธน้ำชาในท้องพระโรงหรือปฎิเสธสุราจากพวกขุนนางหลายตระกูลที่กังฉิน แต่ในวินาทีที่หญิงสาวตรงหน้ายื่นเหล้าให้พร้อมกับคำขู่แบบเด็ก ๆ เขาจึงเอื้อมมือไปรับขวดสุราโดยไม่พูดอะไร เพียงนิ้วที่สัมผัสขวดดินเผา น้ำหนักของมันไม่มาก แต่ความเงียบที่เกิดขึ้นนี้สิ.. เว่ยชิงก้มหน้าลงเล็กน้อยราวกับรับคำโดยไม่พูด

         “ข้าจะรับไว้..เพราะข้าไม่อยากให้แม่นางเสียของดี..และเพราะของที่มาจากมือเจ้า..ข้าไม่คิดจะปฎิเสธอยู่แล้ว”

         หลินหยาระเบายยิ้ม ไม่ใช่เพราะเขิน แต่ก็ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรในจังหวะนั้นเธอแค่ยิ้มแล้วเบือนหน้าออกไปอย่างแกล้งไม่สบตา แต่ในใจขของเธอกลับพูดกับตนเองอย่างชัดเจนว่า..

         โลกทั้งใบของนางก็ไม่หนักเท่าไรแล้วล่ะ..ขอบคุณพวกท่านมาก ๆ เลยนะ…


https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: -
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป เว่ย ชิงหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้มมอบ สุรานารีแดง สุราเกรดแดง ความสัมพันธ์ +20 (ส่งแระ)


LinYa โพสต์ 2025-6-26 19:23:20

https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ 26 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามโหย่ว เวลา 18.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก

         ยามเย็นในตลาดตะวันออกคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลากหลายนับพัน เสียงพ่อค้าแม่ขายปะปนกับเสียงหัวเราะและกลิ่นหอมของผลไม้หน้าร้อนที่กำลังสุกงอมชวนให้น่าชิม หลินหยาในชุดสีอ่อนปลายชายปลิวไปตามสายลมเย็น เธอกำลังเดินทอดน่องอยู่ระหว่างร้านขายของแปลที่เพิ่งกางแผงได้ไม่นาน มือเรียวยกของมาดมเบา ๆ ก่อนวางของ..

         แต่ก่อนที่นางจะได้เดินต่อ เสียงฝีเท้าแผ่วเบากลับหยุดอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดธรรมดา ใบหน้าไร้เอกลักษณ์ เขาโค้งคำนับนางเล็กน้อยก่อนที่จะยื่นบางสิ่งมาให้ “แม่นางขอรับ จดหมายฉบับนี้มาจากบุคคุลผู้หนึ่ง”

         หลินหยาที่ได้ยินก็ขมวดคิ้ว “ใครหรือเจ้าคะ?” นางถามแล้วเลิกคิ้ว ดวงตาไหววูบด้วยความสงสัยที่อยู่ในดวงตา

         “ข้าเพียงถูกจ้างมาเพียงเพื่อส่งเท่านั้นขอรับ” เขาตอบก่อนที่จะเดินผละออกไปอย่างรวดเร็ว ราวไม่อยากอยู่ที่แห่งนี้นานเกินความจำเป็น หลินหยาที่เห็นแบบนั้นก็มองซ้ายขวาเพราะเขาหายไปเร็วจริง ๆ ก่อนที่จะหยิบกระดาษในซองออกมาอย่างระมัดระวัง ลายมือนั้นไม่คุ้นเคยแต่ก็เผยบางอย่างออกมาอย่างชัดเจน มันเป็นลายมือของคนที่เธอรู้จัก แต่ไม่เคยรู้จักกันจริง ๆ

          ‘ยามไห่ คืนนี่ เทือกเขาฉินหลิง มาเงียบ ๆ อย่าให้ใครพบเห็น - จาง ทัง’

         ลายมือหนักแน่น ตรงเป๊ะและห้วนสั้นทุกท้อยความ ชัดเจนจนไม่ต้องมีคำเพิ่มเติมว่าผู้ส่งคือใคร ดวงตาของหลินหยาไหววูบตอนอ่านชื่อนั้น สีหน้าเรียบเฉยในวินาทีแรกกลับเริ่มเปลี่ยนเป็นแววครุ่นคิดเจือความกังวน แต่ทว่าลมหายใจหนึ่งก็พ่นออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนที่นางจะพับกระดาษเก็บเข้าแขนเสื้อแนบแน่น “ท่านชายออกคำสั่งเช่นนี้แล้วสินะ…ท่าทางจะได้ไปกินข้าวแดงในคุก” เธอพึมพำ

         แม้ริมฝีปากนั้นจะพูดเช่นนั้นแต่ร่างของนางกลับหมุนตัวอย่างเงียบเชียบ เดินออกจากตลาดมุ่งหน้าออกนอกเมือง เส้นทางที่จะพานางไปยังตีนเขาฉินหลิงในอีกไม่กี่ชั่วยาม ลมราตรีเริ่มหอบเอาความเยือกเย็นของหุบเขามาด้วยท้องฟ้าเริ่มมืดลงตามเส้นขอบเงาภูผา ยามไห่กำลังมาเยือน และบางอย่างในเงามืดของจดหมายนั้น บอกให้หลินหยารู้สึก

         ว่าคืนนี่..ไม่อาจปล่อยผ่านได้ดั่งคืนใด


https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png


@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: -
รางวัล: -

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9 10 11
ดูในรูปแบบกติ: [ตลาดตะวันออก]