Watcher โพสต์ 2024-7-18 15:58:05

ตำหนักผิงหยาง | ที่พำนักผิงหยางกงจู่




<style type="text/css">BODY{background:url("https://i.imgur.com/iYwar03.png"); background-attachment:fixed; }</style>
<style type="text/css">.head1 {background-color:none ;}.head2 {background-color:none ;}</style>

<style>

#boxba {
    border: 0px outset #d47d3a;
    border-radius: 30px;
    padding: 10px;
    box-shadow: #817772 0px 0px 3em;
    background-image: url("https://i.imgur.com/1PH61j9.png");
}

</style>
   
<style>
#boxOO {
    width: 850px;
    border: 0px outset #cbb989;
    border-radius: 30px;
    padding: 35px;
    box-shadow: #504C4E 0px 0px 1em;
    background-image: url("https://i.imgur.com/r1THZf5.png");}
</style>

<div id="boxba">
<div align="center" style="margin: 0px; padding: 0px; word-wrap: break-word; color: #444444; font-size: 14px; list-style-type: none; font-family: Verdana, Helvetica, sans-serif;"><br>
<br><br>

<div id="boxOO">
<br>

<div style="text-align: center;">
<font face="Browallia New" style="font-family: " browallia="" new";="" color:="" rgb(127,="" 57,="" 1);="" font-size:="" 12px;="" text-align:="" start;="" margin:="" 0px;="" padding:="" overflow-wrap:="" break-word;"=""><font size="5" style="margin: 0px; padding: 0px; word-wrap: break-word;"><div style="text-align: center;">
<br>
<img src=" " border="0" alt=""> <br><br></div></font></font>



<span style="text-shadow: rgb(39, 53, 140) 0px 0px 1px, rgb(39, 53, 140) 0px 0px 5px, rgb(39, 53, 140) 0px 0px 10px, rgb(39, 53, 140) 0px 0px 30px;">
<font face="Browallia New" style="" size="7"><pat style="">
<font color="#ffffff"><pat>ตำหนักผิงหยาง</font></pat></font></span></div>

<br>

<div style="font-family: " browallia="" new";="" text-align:="" center;"="">
<font face="Browallia New" ;="" margin:="" 0px;="" padding:="" 0px;"
<span="" style="text-shadow: #27358C 0px 0px 0.5em;" color="#ffffff" size="4">
<i style=""><cls style="">{ ถนนสิบลี้ }</cls></i></font></div>


<br><div style="text-align: center;"><br><img src="https://i.imgur.com/DoTnEBn.png" width="500" border="0"> <br><br></div>
<br>



<img src="https://i.imgur.com/78udy8L.png" width="600" border="0">


</center>

<br><br><br>




<center>
   
<center>
<style>
#boxEw {
    width: 450px;
    border: 0px solid;
    border-radius: 20px;
    padding: 50px;
    box-shadow: #817772 0px 0px 1em;
    background-image: url("https://i.imgur.com/OPvQ3yp.png");}
</style>
</center>

<center>
<div id="boxEw">


<div align="center" style="list-style-type: none;">
<font size="6" color="#ffffff">
<img src="https://i.imgur.com/qpRYsBL.png" width="160" border="0">

<span style="text-shadow: rgb(39, 53, 140) 1px 4px 3px;"><br><br><pat>【 ตำหนักผิงหยาง 】</pat></span></font>

<br><font color=" #879290" face="Kanit" size="4"><b>『<i>ถิ่นฐานแดนกิเลนเหนือหมู่เมฆ</i> 』</font></b></div><br>

<div><div>

<font color="#879290" face="Kanit" size="4">
ในวังหลวงเปี่ยมไปด้วยนางหงส์กรีดกราย ทว่าที่ละออกมาจากวังวนมรสุมแย่งชิงนั้นกลับเป็นกิเลนสาวผู้ยืนหยัดในความยุติธรรม 'ผิงหยางกงจู่' พระเชษฐภคินีในองค์จักรพรรดิที่ไร้ซึ่งเงาราชบุตรเขยอยู่เคียงข้าง วีรสตรีผู้มากความสามารถ ทั้งยังเป็นที่รักใคร่ของประชาชนคือฐานะและตำแหน่งของผู้ปกครองตำหนักแสนงามใกล้กับประตูเสวียนอู่ที่น้อยครั้งจะเปิดรับแขก

</font>
<br>
</div></div></div>
<br><br><br>

<p><img src="https://i.imgur.com/rVgx6hd.png" width="450" border="0" alt=""></p>

<br><br>

<div id="boxEw">


<div align="center" style="list-style-type: none;">
<font size="6" color="#ffffff">

<span style="text-shadow: rgb(39, 53, 140) 1px 4px 3px;"><br><pat>【 ผู้ครองตำหนักผิงหยาง 】</pat></span></font>

<br><font color=" #879290" face="Kanit" size="4"><b>『<i> ผิงหยางกงจู่ (28)</i> 』</font></b></div><br>

<div><div><img src="https://i.imgur.com/gLxYPtc.png" width="250" border="0"><br><br>

<font color="#879290" face="Kanit" size="4"><p>
<span style="text-align: initial; white-space: initial;"><span style="text-shadow: #996600 0px 0px 0.5em;">
{ ประวัติเพิ่มเติม }</font></span></span></p>


</font>
<br>
</div></div>


</p></div>

<br><br><br></div></center>


<br><br><br>

</div></div>
</center>

   
<style name="captain" type="text/css">
img {border-radius: 8px;}</style><style name="captain" type="text/css">
img {border-radius: 8px;}

img { filter: alpha
(opacity=100); opacity:1.0;}img:hover { filter: alpha(opacity=70);
opacity:.7 } img {-webkit-transition:0.7s; -moz-transition:0.7s;
-o-transition:0.7s;}

img:hover{
-webkit-transform:scale(0.9);
transform:scale(0.9);
}
img:hover{
overflow:hidden;
}
img{
-webkit-transform:scale(1.0);
transform:scale(1.0);
-webkit-transition: all 1.0s ease;
transition: all 1.0s ease;
}</style><p></p>


<style id="Gather Codes." type="text/css"> img{ -webkit-transition: all 0.4s linear; -moz-transition: all 0.4s linear; transition: all 0.4s linear;} img:hover { -webkit-transition:1s; -webkit-filter: invert(1); -moz-filter: invert(1);}</style>

<style type="text/css">@import url('https://fonts.googleapis.com/css?family=Kanit'); cls {font-family : 'Kanit';}</style>
<style type="text/css">@import url('https://fonts.googleapis.com/css?family=Pattaya'); Pat {font-family : 'Pattaya';}</style>
<style type="text/css">@import url('https://fonts.googleapis.com/css?family=Zhi Mang Xing'); Zhi Mang Xing {font-family: 'Zhi Mang Xing';}</style>


</font></font></font>

LuBairan โพสต์ 2024-7-18 18:25:37

<style>

#boxcorecenter {
    border: 0px solid #152cd5;
    padding: 15px;
    box-shadow: #504C4E 0px 0px 1em;
    background-image: url("https://i.imgur.com/J5ZfEJ2.png");
}
</style>

<style>
#boxR0LE {
    width: 600px;
    border: 0px solid #cbb989;
    padding: 35px;
    box-shadow: #504C4E 0px 0px 1em;
    background-image: url("https://i.imgur.com/PNPim8Q.png");}
</style>

<div id="boxcorecenter">
<div align="center">

<br><br>

<div id="boxR0LE">

<img width="450" src="https://i.imgur.com/aDtIaPZ.png" border="0" alt="">
<br><font face="Chonburi"><font size="5"><font color="#994D7B"><span style="text-shadow: #ffffff 0px 0px 0.7px, #ffffff 0px 0px 25px, #ffffff 0px 0px 10px;">
<i><b>บทสนทนาเหล่านารี</span></b></i><br></font></font></font>
<br>
<div align="left">
<font face="Sarabun"><font size="3">

<p style="text-indent: 2.5em;">เบื้องหน้าตำหนักงามสง่าปรากฏรถม้าหรูหราเรียกความสนใจจากชาวบ้านชาวช่องรอบทิศให้หันมองเป็นตาเดียว นานทีปีหนตำหนักผิงหยางถึงจะเปิดรับแขกกันซึ่ง ๆ หน้า ส่วนมากพระสหายขององค์หญิงล้วนมากความสามารถถึงขนาดไปมาไร้ร่องรอย ไหนเลยจะต้องอาศัยรถม้าที่เชื่องช้า.. ต่อมาเมื่อความสงสัยก่อกำเนิด สายตาที่จับจ้องเพื่อหาคำตอบก็ยิ่งร้อนระอุ ท่าทางเช่นนี้ของผู้คนนับว่าเป็นสิ่งที่นางเคยชิน แต่ไม่ใช่กับผู้ที่มาด้วยกัน
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสาวใช้ของผิงหยางกงจู่ แต่ตลอดการทำงานที่ผ่านมาพวกนางก็หาได้มีบทบาทสำคัญ การถูกจดจ้องจากทั่วสารทิศครั้งนี้จึงถือว่าชวนให้ใจเตลิดอยู่ไม่น้อย <font color="#69C469">“ พระสนม.. ”</font> อีกฝ่ายกล่าวเสียงเบาเนื่องด้วยความเป็นห่วงเพราะเกรงว่าฝ่ายที่เป็นแขกจะตื่นกลัว
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
ทว่าสิ่งที่หันไปพบกลับเป็นรอยยิ้มตามความชินของโฉมงาม <font color="#994D7B">“ พวกเขาเพียงแค่ใคร่รู้เท่านั้น ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
ไป๋หรั่นคือคนงาม อาศัยแค่เพียงการขยับตัวไม่กี่ครั้งก็สามารถเรียกสายตานับสิบคู่ให้หันมาจ้องมอง แล้วมีหรือที่นางจะตื่นกลัวกับสายตาของผู้คน? ใช้ชีวิตวนไปวนนับสิบปี สายตาที่ควรเจอก็นับว่านางเจอมาหมดแล้ว เรียกว่าครั้งนี้เป็นนางที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิดอีกตามเคย นงคราญหยกหัวเราะน้อย ๆ พลางหยิบหมวกไผ่ผ้าคลุมขึ้นมาสวม <font color="#994D7B">“ จัดการตามสมควรเถิด ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">

<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
จากหน้าตำหนักสู่ภายในใช้เวลาไปไม่น้อยกว่าจะเดินมาถึง
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
การมาเยือนครั้งนี้ไป๋หรั่นหาได้ใส่อาภรณ์ขั้นแสนรุ่มร่ามมาให้เกะกะการสนทนา กลับกันนางหยิบชุดไปรเวทตัวโปรดขึ้นมาสวม เตรียมหมวกไผ่ไว้ล่วงหน้า ทั้งยังหอบไหสุราอ้วนกลมมาหนึ่งไห สร้างความประหลาดใจให้กับคนที่เดินสวนผ่านนางไปยิ่งนัก
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#69C469">
“ องค์หญิง ลู่เหม่ยเหรินมาถึงแล้วเจ้าค่ะ ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
บริเวณที่นางยืนอยู่ยามนี้คือหน้าศาลาริมบ่อน้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งหนึ่ง
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
ด้านในมีโต๊ะที่นั่งพร้อมสำรับอาหารจัดไว้รอรองรับผู้มาเยือน พร้อมกันนั้นที่สุดปลายศาลาก็ยังมีแผ่นหลังของหญิงสาวภายใต้อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มที่ครู่แรกดูแล้วน่าชื่นชม ทว่าครู่ต่อมากลับแฝงไว้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ ไม่จำเป็นต้องรอให้อีกฝ่ายหันมานางถึงค่อยขยับตัว หนนี้ลู่ไป๋หรั่นกิริยาฉับไวพริบตาเดียวก็ย่อลงถวายพระพรแล้ว
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ ถวายบังคมเพคะองค์หญิง ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#560166">
“ เปิ่นกงเชิญเจ้ามาแล้วยังต้องมากพิธีอะไรอีก นั่งก่อนสิ ” </font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
ย่อมเป็นผิงหยางกงจู่ที่ละสายตาออกจากบัวเก้ากลีบในบ่อแล้วหันกลับมาดูหน้าแขกผู้มาเยือน แรกพบสบตาต่างฝ่ายต่างชะงักกันไปคนละน้อย เบื้องหน้าผิงหยางกงจู่นั้นคือโฉมสะคราญที่อ้อนแอ้นอรชรอ่อนโยนดังกิ่งหลิวต้องลมชวนให้มอง ยังมิรวมดวงหน้าเลอลักษณ์ลำเพาดั่งรูปสลักที่สามารถสลักลึกตรึงใจคนได้ตั้งแต่แรกเห็น ยามนี้อีกฝ่ายรวบเกศาขึ้นทุกเส้นขดเป็นมวยแบ่งสองฝั่งคล้ายหูของสรรพสัตว์ตัวน้อยทั้งยังประดับด้วยดอกไม้เงินนานาชนิดเข้ากับอาภรณ์ปลิวพริ้วสีเขียวอ่อนยิ่งทำให้คนมองนึกถึงบทงิ้วที่มักพรรณนาโอ้อวดว่าสง่างามดั่งห่านป่า โสภาดุจเทวา
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
ฝั่งลู่เหม่ยเหรินที่ลอบพิจารณาท่าทางของคนเป็นองค์หญิงก็หยุดนิ่ง ราวกับสายเลือดมังกรสืบทอดการเป็นผู้มีรูปโฉมโดดเด่น แม้จะเป็นสตรีที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงหนึ่งครั้งแต่ก็ยังสวยสดงดงามเช่นสาวแรกรุ่นต่างก็เพียงแค่ความสดใสที่จางหายไป คงเหลือไว้ซึ่งความสูงสง่าที่เข้ามาแทนที่ ภายใต้เสื้อผ้าสีเข้มที่ใครใส่ก็ยากจะเฉิดฉาย ผิงหยางกงจู่กลับสามารถสวมใส่ได้ ทั้งยังดูเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
ชั่วอึดใจที่ต่างก็ไม่มีใครพูดสิ่งใด ความกระอึดกระอ่วนเหล่านี้จางหายลงได้หลังจากฝ่ายที่เป็นพระสนมทิ้งกายลงนั่งบนเก้าอี้พร้อมผายมือรับฝ่ายเชื้อพระวงศ์หญิงอย่างใส่ใจ ผิงหยางกงจู่ที่ได้สติกลับมาพยักหน้าเล็กน้อย นางสะบัดมือหนึ่งครั้งกระโปรงก็โบกสะบัดดูอาจหาญราววีรสตรีมาเยือน <font color="#560166">“ ฉางอันกล่าวใหญ่ฉันใด คำพูดจากปากคนก็ยิ่งเหลวไหลฉันนั้น.. ก่อนพบหน้าครั้งนี้เดิมทีเปิ่นกงได้ยินเรื่องของเจ้าอยู่บ้าง ”</font> ไม่มีผู้ใดทราบว่าเหตุใดองค์หญิงสูงศักดิ์ถึงได้ใช้วาจาเลื่อนลอยคล้ายพูดกับคู่สนทนาแต่ก็หาได้วางสายตาไว้บนร่างของผู้ที่นางกำลังเอ่ยถึง
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#560166">
“ ลู่เหม่ยเหรินทราบหรือไม่ว่าภายนอกกล่าวถึงเจ้าอย่างไร? ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ ทูลองค์หญิง หม่อมฉันเคยได้ยินอยู่บ้าง.. ”</font> แต่ไปได้ยินอย่างไร นั่นก็ใช่เรื่องที่สมควรต้องยกขึ้นมานำเสนอ ลู่ไป๋หรั่นผงกศีรษะขอบคุณสาวใช้ข้างโต๊ะที่เข้ามารินชาให้ทั้งสองภายใต้สายตาพิจารณาของผิงหยางกงจู่ และไม่นานนักก็หยักยิ้มเบาบาง <font color="#994D7B">“ เช่นที่องค์หญิงกล่าว ฉางอันกว้างใหญ่ฉันใด คำพูดจากปากคนก็เหลวไหลฉันนั้น เดิมทีข่าวลือเกิดขึ้นจากความเป็นจริง ทว่าความเป็นจริงหาใช่สิ่งที่ส่งต่อได้โดยง่าย นานวันเข้า คนยิ่งพูด สิ่งที่ต้องการสื่อ.. ก็ยิ่งเปลี่ยน ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
นงคราญหยกยกชาขึ้นจิบช้า ๆ ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนเช่นนั้นทำให้คนมองล้วนประหลาดใจ <font color="#994D7B">“ องค์หญิงไม่ยินดีที่จะเชื่อว่าหม่อมฉันเป็นคนเช่นไรผ่านข่าวลือ ถ้าเช่นนั้นก็อย่าได้กล่าวถึงเลยเพคะ ” </font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#560166">
“ เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเปิ่นกงไม่ยินดี ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
ไป๋หรั่นคาดการณ์เอาไว้หลายส่วน.. ผิงหยางกงจู่ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นสตรีที่มั่นคงซื่อตรง แต่ก็เป็นสตรี พระนางเผชิญหน้ากับข่าวลือมาแล้วนับร้อยนับพันตลอดชีวิตยี่สิบแปดปีของพระองค์ ดังนั้นเบื้องลึกของจิตใจหากจะต้องทำความรู้จักใครนางย่อมไม่หลวมตัวไปเชื่อข่าวลือสิ่งไร้มูล ดังนั้นการ <b>‘เชิญ’</b> ให้มาพบจึงจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในวิธีการทำความรู้จัก ยิ่งยามนี้เห็นท่าทีระมัดระวังอ่อนลง กลายมาเป็นความใคร่รู้ก็นับว่านางมาถูกทางแล้ว
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ หากองค์หญิงทรงยินดีที่จะเชื่อข่าวลือก่อนพบหน้าหม่อมฉัน มื้ออาหารนี้.. ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น ” </font>เนตรหงส์กวาดมองสำรับหลากหลายที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาอธิบายยาก หลังจากเห็นความใส่ใจที่เผยออกมาผ่านการจัดรูปแบบอาหาร นางก็เชื่อว่าผิงหยางกงจู่คงทราบตื้นลึกหนาบางของเรื่องราวมาบ้างแล้ว ส่วนทั้งหมดถือได้ว่าเป็นการพบหน้าตามประสาสตรีก็เท่านั้น
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#560166">
“ ไม่เลวเลย เหมือนอย่างที่เด็กนั่นพูดไว้จริง ๆ ” </font>คราวนี้ผู้ที่เผยรอยยิ้มไม่ใช่นางแต่เป็นคู่สนทนาที่รับฟังมานาน
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#560166">
“ เอาเถอะ ข้าจะถามเจ้าอีกสักข้อ ข่าวลือกระจัดกระจายไปมั่วซั่วเช่นนั้น ไม่ร้อนใจเลยหรือ? ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ หากหม่อมฉันร้อนใจจะมีสิ่งใดเปลี่ยนหรือเพคะ? ”</font> หนนี้ไป๋หรั่นตอบกลับด้วยคำถามที่ไม่นับว่าเกินไปจากการคาดเดาของผู้คน ทว่าสิ่งที่ทำให้เกินคาดจริง ๆ นับว่าเป็นประโยคหลังจากนี้ <font color="#994D7B">“ ข่าวลือคือสิ่งที่สร้างขึ้นผ่านคำพูดและความเชื่อของผู้คน บัดนี้พวกเขาเชื่อไปแล้วว่าลู่เหม่ยเหรินเป็นที่โปรดปราน เชื่อกันไปแล้วว่าลู่เหม่ยเหรินนั้นขัดต่อจารีตลัทธิ ทั้งยังเชื่อกันไปแล้วว่าหม่อมฉันนิยมใช้ความรุนแรง ยามนี้ต่อให้ลุกขึ้นป่าวประกาศว่าสิ่งที่ลือกันนั้นเกินความเป็นจริง มิใช่ว่าในสายตาผู้คนย่อมมองว่าหม่อมฉันเพียงแค่เคลื่อนไหวเพื่อปกป้องตัวเองหรอกหรือ ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ ชื่อเสียงมีได้เสียได้ ทั้งหมดล้วนเปราะบาง หม่อมฉันเป็นคนเช่นไร ยามนั้นเกิดสิ่งใด ผู้ที่ร่วมเหตุการณ์ล้วนทราบดีอยู่แก่ใจ ขอเพียงคนเหล่านั้นไม่โกหกตนเอง หม่อมฉันก็ไม่มีความจำเป็นต้องทุกข์ร้อนในคำคน ”</font> ยากนักจะมีหญิงในห้องหอที่สามารถกล่าวได้ว่าการถูกภายนอกด่ากราดนั้นไม่ใช่เรื่องร้อนรนที่ตนต้องหันไปใส่ใจ กึ่งหนึ่งคล้ายไม่แยแส อีกครึ่งคล้ายเข้าใจในวัฏจักรของมนุษย์ชวนให้รู้สึก.. ชื่นชมอยู่บ้าง
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#560166">
“ อายุไม่เท่าไหร่แต่คิดอ่านได้ถึงเพียงนี้ นับว่าพ่อแม่สั่งสอนเจ้ามาได้ดีนัก ”</font> บัดนี้นางเชื่อแล้วว่าอีกฝ่ายหาได้มีใจกระหายในอำนาจ เพราะสตรีที่คิดใช้มารยาหญิงปีนป่ายขึ้นเอาอำนาจล้วนต้องใส่ใจชื่อเสียง ทว่าลู่เหม่ยเหรินไม่คล้ายคนจำพวกนั้น เผิน ๆ ดูยอมคน แต่ลึก ๆ แล้วกลับมีความบ้าบิ่นในแบบสายเลือดคหบดี .. เด็ดขาดพอจะใช้ชีวิตอย่างไม่ทุกข์ร้อนท่ามกลางรั้วแดงที่เต็มไปด้วยคลื่นลมของการแข่งขัน
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ หม่อมฉันเกิดและโตท่ามกลางประชาชนแต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นคนทั่วไป ยังมีหลายอย่างที่บกพร่อง ถึงอย่างนั้นก็มีความจริงใจ ”</font> ไหสุราที่นางโอบไว้ถูกวางลงบนโต๊ะพลางเลื่อนส่งให้กับองค์หญิง <font color="#994D7B">“ หม่อมฉันไม่มีของมีค่าอื่นใด มีก็แต่สุรานารีแดงไหนี้ที่สามารถใช้เพื่อเป็นของขวัญพบหน้า หวังว่าองค์หญิงจะไม่ถือสา ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
นารีแดง? นางควักสุราที่ติดสอยห้อยตามเจ้าสาวมาเพื่อมอบให้กับพี่สามีเช่นนี้เชียว? ผิงหยางกงจู่หัวเราะด้วยความอ่อนใจ <font color="#560166">“ เข้าใจแล้ว ในเมื่อเจ้าหยิบออกมาเช่นนี้งั้นพวกเราก็ใช้สุราช่วยเพิ่มมิตรภาพ ลู่เหม่ยเหริน เจ้าดื่มกับเปิ่นกงสักจอก ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
….
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
ทั้งทีขามาฟ้าไม่ทันมืด ขากลับกับพบจันทร์ลอยเคว้งอยู่กลางนภา
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
โฉมงามเพริศพริ้งก้าวย่างออกจากตำหนักด้วยสองแก้มที่ซับสีเลือดไว้มากเกินพอดีอีกทั้งตลอดสองฝั่งกายยังมีสาวใช้คอยช่วยประคองราวกับกลัวว่าหยกบุปผาดอกนี้จะเผลอแข้งขาอ่อนฟุบลงกลางคันโดยหารู้ไม่เลยว่าผู้ที่พวกนางประคองอยู่จัดได้ว่าเป็นยอดนักดื่มตัวฉกาจ
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#B7CC6D">
“ พระสนมจะไม่ค้างที่ตำหนักผิงหยางจริงหรือเจ้าคะ ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ อื้ม.. ไม่ขออยู่รบกวนองค์หญิง ” </font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
แม้กระทั่งเสียงยังไม่คล้ายคนเมา สองสาวใช้ลอบขมวดคิ้วกันเล็กน้อยพลางลอบสังเกตใบหน้าที่ดูเป็นประกายเปล่งปลั่งอีกครั้ง สาวงามยามเมื่อสมบูรณ์พร้อมก็นับว่าหยาดเยิ้มน่ามองพอแล้ว แต่เมื่อตกอยู่ใต้ภวังค์ของสิ่งมึนเมาจนสองตาฉ่ำวาวก็คล้ายจะ.. เย้ายวนเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#CC9D6D">
“ เดินทางกลับดึกดื่นเช่นนี้อันตรายนัก พระสนมท่านลองคิดดูอีกครั้งดีหรือไม่เจ้าคะ? ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
ด้วยความเป็นห่วงแม้จะส่งขึ้นรถม้าแลัวแต่ก็ไม่วายถามย้ำให้คนงามได้คิดดูใหม่อีกครั้ง แค่การส่งคนไปแจ้งวังในว่ามีพระสนมไม่กลับหนึ่งคืนไม่นับว่ายากลำบาก แต่หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง..
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ ไม่ดีหรอก ”
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
“ ข้าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว หากไม่กลับเรือนรั้วที่มีสามีแล้วจะนับว่าสมควรได้อย่างไร ”</font>
</font>

<br><br><div align="center">
<img width="450" src="https://i.imgur.com/F56Ani1.png" border="0" alt=""><br><br>
<font face="Sarabun"><font size="3">
<u><b>รวมค่าความสัมพันธ์</u></b><br>
ผิงหยางกงจู่ + 5 ความสัมพันธ์สนทนาประจำวัน<br>
ผิงหยางกงจู่ + 30 ความสัมพันธ์มอบสุราเกรดแดง<br>
ผิงหยางกงจู่ + 20 ความสัมพันธ์จากหัวดี<br>
ผิงหยางกงจู่ + 10 ถึง 35 ความสัมพันธ์จากอีเว้นท์ <br><br>

+10 EXP จบอีเว้นท์


</div>



</div>

<br><br>

</font></font></div></div><br><br></div><br><br>

<style type="text/css">@import url('https://fonts.googleapis.com/css?family=Chonburi'); Chonburi {font-family: 'Chonburi';}
</style>

LuBairan โพสต์ 2024-7-18 22:27:11


<style>

#boxcorecenter {
    border: 0px solid #152cd5;
    padding: 15px;
    box-shadow: #504C4E 0px 0px 1em;
    background-image: url("https://i.imgur.com/J5ZfEJ2.png");
}
</style>

<style>
#boxR0LE {
    width: 600px;
    border: 0px solid #cbb989;
    padding: 35px;
    box-shadow: #504C4E 0px 0px 1em;
    background-image: url("https://i.imgur.com/PNPim8Q.png");}
</style>

<div id="boxcorecenter">
<div align="center">

<br><br>

<div id="boxR0LE">

<img width="450" src="https://i.imgur.com/aDtIaPZ.png" border="0" alt="">
<br><font face="Chonburi"><font size="5"><font color="#994D7B"><span style="text-shadow: #ffffff 0px 0px 0.7px, #ffffff 0px 0px 25px, #ffffff 0px 0px 10px;">
<i><b>รั้งตัวนงคราญ</span></b></i><br></font></font></font>
<br>
<div align="left">
<font face="Sarabun"><font size="3">

<p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">“ หากเขารู้ว่าเจ้าเป็นจำพวกภรรยารักใคร่สามีถึงเพียงนี้คงมีสีหน้าพิลึกน่าดู ”</font> เคล้ากลิ่นสุรายังมีนารีงามน่าพิสมัยภายใต้อาภรณ์สีรัตติกาล ดวงหน้าเฉิดฉันเป็นเอกของสตรีผู้นั้นแม้สงบนิ่งแต่กลับแฝงริ้วแดงอ่อน ๆ มองผ่านครั้งแรกคล้ายชาวยุทธ์หญิงที่ออกมาร่ำลาสหาย ทว่ายามที่หันมองอีกทีกลับมีไหสุรานารีแดงยกขึ้นกรอกปากตัวเองอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดิน
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ มิใช่ว่าคนแรกที่ทำหน้าพิลึกนั้นคือท่านหรอกหรือ..องค์หญิง ” </font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
โฉมงามผินกายกลับหลังไปมองผิงหยางกงจู่ที่คล้ายจะเสด็จออกมาส่งด้วยตัวพระองค์เอง หยาดสุราสีใสไหลลงเปรอะขอบปาก หากที่อยู่รอบด้านเป็นชายคงไม่พ้นจับจ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาเร่าร้อนจนคล้ายคนโง่งมไปอีกแน่ ๆ<font color="#381C66">“ ข้า? เหตุใดจึงเป็นข้า ” </font>ผู้ที่เปลี่ยนสรรพนามจาก <b>‘เปิ่นกง’</b> มาเป็นเพียง<b> ‘ข้า’</b> ถามกลับพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ จากที่สนทนากันมา เฉี้ยเซินคล้ายสตรีที่ผูกรักสมัครใจต่อฝ่าบาทถึงเพียงนั้นเชียว? ”</font> คราวนี้เป็นไป๋หรั่นถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังและไม่เบา สร้างความตะลึงให้กับสองสาวใช้น้อยที่ขนาบข้างกาย ทว่ากับคนที่นางตั้งใจส่งคำถามนี้ให้ แทนที่จะนึกขุ่นเคือง ผิงหยางกงจู่ที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้นกลับหัวเราะออกมาเสียงดัง
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ รู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องตอบเช่นนี้ ”</font> ดื่มสุราพึงเมามาย วาจาหลังเมามาย นับเป็นวาจาจากใจจริง แม้พวกนางจะหาได้เมามายด้วยฤทธิ์สุรา แต่ก็ถือว่าใช้ใจสนทนาจนต่างฝ่ายต่างรู้จักลักษณะนิสัยของกันและกัน ผิงหยางกงจู่ทราบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนงมงายในรัก ทั้งยังไม่มีห้วงรักให้หลงใหล ทั้งหมดที่เห็นจึงถือว่ากระทำไปโดยบริสุทธิ์ใจเพื่อรักษาชื่อเสียงของสตรีที่ออกเรือน และรักษาชื่อเสียงของผู้เป็นพระสวามีด้วยเช่นกัน <font color="#381C66">“ ลู่ไป๋หรั่นเจ้านี่มันจริง ๆ เลย น้องชายข้าโชคดีนัก คัดเลือกสนมหนแรกก็มีคนที่พอใช้ได้ขึ้นมาแล้ว ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ เปิ่นกงไม่ยินยอมให้เจ้ากลับ ด้านในมีกานเหม่ยจืออยู่หลายไห เจ้ามาดื่มต่ออีกสักหน่อย หลังจากนี้เปิ่นกงยังต้องไปเยือนแถบเจียงหนานเพื่อตรวจสอบความรุนแรงของอุทกภัยไม่มีเวลามาดูเจ้าอีกหลายวัน ” </font>นารีแดงในมือยังไม่ทันหมด ปากก็กล่าวถึงสุราชั้นเลิศตัวอื่นเข้าเสียแล้ว ลู่ไป๋หรั่นที่ถูกรั้งกายไว้ได้แต่หัวเราะพร้อมส่ายหัวเบา ๆ <font color="#994D7B">“ ผิงหยางกงจู่ เช่นนี้ไม่เหมาะ ไม่เหมาะ ” </font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ เด็ก ๆ หามนางเข้ามา ” </font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
คนเป็นองค์หญิงไหนเลยจะฟังคำปฏิเสธเอาตัวรอดโดยง่าย อีกฝ่ายยังไม่ทันเมาก็คิดจะหนีกลับก่อนใคร ยังไงเสียคืนนี้นางก็ต้องเค้นเอาตัวตนจริงของอีกฝ่ายออกมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าผิดต่อสัญญาที่ให้ไว้กับเสด็จแม่ว่าจะช่วยตรวจสอบสนมแซ่ลู่ผู้นี้ให้ดี <font color="#381C66">“ เจ้าไปแจ้งในวังหลวง คืนนี้เปิ่นกงมีความประสงค์รั้งกายลู่เหม่ยเหรินไว้ที่ตำหนักผิงหยาง ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66"><b>
“ อ้อ.. บอกเจ้าน้องชายด้วยว่าหากห่วงใยสนมรักของตนก็ให้มารับด้วยตนเอง ”</b></font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ องค์หญิง ท่านกล่าวเกินจริงไปหน่อยแล้ว ”</font> ลู่เหม่ยเหรินที่ถูก <b>‘หาม’</b> จนตัวลอยตามหลังเจ้าของตำหนักที่ก้าวเท้าฉับ ๆ ได้แต่บ่นอย่างละเหี่ยใจ สองตาหงส์ที่ฉ่ำเยิ้มดูพราวระยับนั้นแฝงไว้ด้วยความอ่อนล้า นางไม่รู้ว่าผิงหยางกงจู่ต้องการสิ่งใด ทั้งยังไม่ทราบด้วยว่าค่ำคืนนี้จะจบลงในยามไหน แต่สิ่งหนึ่งที่นางทราบคือ.. คนแซ่หลิวล้วนเป็นพวกเขี้ยวลากดินกันทั้งสิ้น
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ จะนับว่าเกินจริงได้อย่างไร ทั้งเจ้าและข้าล้วนทราบดี คนเช่นเขากล่าวอย่างไรก็ย่อมไม่มาด้วยตนเองอยู่แล้ว ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
ผิงหยางกงจู่ระบายยิ้มอ่อนโยนยามที่นึกถึงสีหน้าของน้องชายยามได้ยินถ้อยคำที่นางฝากไป <font color="#381C66">“ ตั้งแต่โตมา เขาก็ไม่เคยมีส่วนใดให้คนในครอบครัวได้หยอกล้อ มีเพียงความสมบูรณ์แบบน่าเกรงขามเฉกเช่นโอรสมังกร ตอนนี้เขามีสนมแล้ว ทั้งยังลือกันว่ารักใคร่โปรดปราน ” </font>คนเป็นพีที่เห็นการเจริญเติบโตของน้องมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ โอกาสเย้าแหย่เช่นนี้ ห่างหายไปนานแต่ก็ยังมีโอกาสได้วนกลับมาอยู่ในมือข้า.. ถ้าเช่นนั้นจะให้ข้าทิ้งมันได้อย่างไร? ”</font> ผิงหยางกงจู่ยิ่งพูดยิ่งนึกคึก ตามดังที่คาด หลังจากจิบนารีแดงกันจนหมดไห ผิงหยางกงจู่ก็เบิกกานเหม่ยจือมาต้อนรับเพิ่มจนนางลอบยิ้มแห้ง ค่ำคืนเคล้ารสสุราดำเนินผ่านไปเนิ่นนาน สุดท้ายก็จบลงด้วยการฟุบหลับของกิเลนสาว ตรงข้ามกับหยกบุปผาที่ยิ่งดื่มด่ำรสเมรัย ก็ยิ่งท่องไปในแดนเพ้อฝันยามราตรี
</font>

<br><br><div align="center">
<img width="450" src="https://i.imgur.com/F56Ani1.png" border="0" alt=""><br><br><font face="Sarabun"><font size="3">
รอโรลส่งองค์หญิงและขบวนพรุ่งนี้

</div>



</div>

<br><br>

</font></font></div></div><br><br></div><br><br>

<style type="text/css">@import url('https://fonts.googleapis.com/css?family=Chonburi'); Chonburi {font-family: 'Chonburi';}
</style>


LuBairan โพสต์ 2024-7-19 00:00:00

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-7-19 00:01 <br /><br /><style>

#boxcorecenter {
    border: 0px solid #152cd5;
    padding: 15px;
    box-shadow: #504C4E 0px 0px 1em;
    background-image: url("https://i.imgur.com/J5ZfEJ2.png");
}
</style>

<style>
#boxR0LE {
    width: 600px;
    border: 0px solid #cbb989;
    padding: 35px;
    box-shadow: #504C4E 0px 0px 1em;
    background-image: url("https://i.imgur.com/PNPim8Q.png");}
</style>

<div id="boxcorecenter">
<div align="center">

<br><br>

<div id="boxR0LE">

<img width="450" src="https://i.imgur.com/aDtIaPZ.png" border="0" alt="">
<br><font face="Chonburi"><font size="5"><font color="#994D7B"><span style="text-shadow: #ffffff 0px 0px 0.7px, #ffffff 0px 0px 25px, #ffffff 0px 0px 10px;">
<i><b>ส่งองค์หญิง</span></b></i><br></font></font></font>
<br>
<div align="left">
<font face="Sarabun"><font size="3">

<p style="text-indent: 2.5em;">ไป๋หรั่นหลับลงได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ต้องตื่นขึ้นท่ามกลางเสียงตระเตรียมขบวนที่ดังก้องไปทั่ว ถึงคราวรุ่งสางมาเยือนเช่นนี้ ความทรงจำเกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างนางและองค์หญิงผิงหยางก็ผุดขึ้นราวกับกลัวว่านางจะจำไม่ได้ถึงสาเหตุที่ต้องกระวีกระว้าดตื่นแต่เช้า ช่วงนี้เกิดอุทกภัยขึ้นแถวเขตแดนเจียงหนาน แม้ฝ่าบาทจะมีราชโองการแต่งตั้งผู้รับผิดชอบดูแลปัญหาในส่วนนี้ไปแล้วแต่ผิงหยางกงจู่ก็ยังไม่วางใจ อีกฝ่ายรู้สึกว่าเพื่อประชาชนแล้วสมควรมีราชนิกูลเดินทางไปรับมือพร้อมกับพวกเขา จึงอาสาเป็นฝ่ายไปตรวจสอบในฐานะเชื้อพระวงศ์เพื่อปลุกขวัญกำลังใจ
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
ฉะนั้นในเวลานี้สาเหตุที่ทั้งจวนกำลังวุ่นวายย่อมต้องเป็นเพราะใกล้ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#8FBA7F">
“ ลู่เหม่ยเหริน ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#BAAE7F">
“ ลู่เหม่ยเหริน ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#BA8A7F">
“ ลู่— ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธีถึงเพียงนี้ รีบตามองค์หญิงไปเถิด ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
พระสนมเพียงหนึ่งเดียวที่ออกมานั่งให้คนมองเป็นกำลังใจแต่เช้าย่อมต้องเป็น <b>‘ลู่เหม่ยเหริน’</b> คนดังที่ดวลสุรากับเจ้าของจวนเกือบค่อนคืนแต่กลับมีสีหน้าปลอดโปร่งราวกับได้พักผ่อนเต็มอิ่ม ผิดกับองค์หญิงผิงหยางที่ตื่นมาด้วยอาการปวดหัวจนต้องเรียกหาน้ำแกงสร่างเมาเกือบทั้งเช้า
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ น่ากลัวเกินไปแล้ว.. เจ้าใช่คนที่กล่าวว่านอนไม่ถึงชั่วยามจริงหรือ ”</font> องค์หญิงผิงหยางวันนี้ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์คล่องแคล่วสีแดงราวกับเลือดบนหลังยังมีกระบี่คู่แขวนไขว่ไว้คล้ายนักรบ บนใบหน้ายังเจือแววความอ่อนล้าจากการพักผ่อนที่ไม่เต็มอิ่มนัก แต่ก็ถือว่ามีบรรยากาศเปล่งปลั่งเช่นผู้อารมณ์ดีอยู่มากถ้าเทียบกับคนเมาคนอื่น ๆ ที่นางเคยพบ ไป๋หรั่นเดาว่าการเดินทางครั้งนี้คงเป็นสิ่งที่องค์หญิงผิงหยางตั้งตาคอยมานาน อีกฝ่ายถึงได้ดูสดใสในยามที่จะเดินทางขนาดนี้
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ พระวรกายทรงเป็นเยี่ยงไรเพคะองค์หญิง เจียงหนานนับว่าอยู่ไกลไม่น้อยหากต้องเดินทางจากเมืองหลวง ตลอดทางท่านอยู่บนหลังม้า อย่าได้ประมาท ”</font> บุปผาหยกเช่นนางกล่าวเสียงหวานด้วยความใส่ใจ ไป๋หรั่นปรายตามองเครื่องแต่งกายของผู้เป็นองค์หญิงด้วยความชื่นชมเล็กน้อย ผิดกับอีกฝ่ายที่ส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวราวกับว่าเป็นนางที่คิดเล็กคิดน้อยเกินไป
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ ข้าเดินทางมานับไม่ถ้วนแล้ว เจ้าวางใจ ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ หม่อมฉันทราบในความปรีชาของพระองค์ องค์หญิงผิงหยางเก่งกล้าเพียงใด ใต้หล้าล้วนรู้ ทว่านี้กลับเป็นหนแรกที่ข้าส่งท่านด้วยตัวเอง เช่นนั้นรับฟังคำห่วงใยของสตรีในห้องหออย่างข้าสักคนคงไม่นับว่าทำให้ท่านหนักใจ ” </font>องค์หญิงผิงหยางตอบกลับนางอย่างรวดเร็วฉันใด ลู่เหม่ยเหรินก็ตอบกลับอย่างคล่องปากฉันนั้น ประโยคนี้ทำให้แม้แต่ผู้ติดตามขบวนยังต้องหันมอง นับประสาอะไรกับองค์หญิงที่อยู่ใกล้ อีกฝ่ายหันมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน พร้อมกันนั้นริมฝีปากก็เหยียดออกเป็นรอยยิ้มพึงใจที่จัดว่าหาได้ยากนัก
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ คำพูดน่าฟังอย่างนี้เจ้าเก็บไว้พูดกับน้องชายข้าหน่อยก็ดี ” </font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ แต่ช่วงนี้เหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยได้เดินทางไกล.. ” </font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
ท่านพึ่งนึกได้หรือองค์หญิง? ไป๋หรั่นหัวเราะเบา ๆ ยามนี้ฝ่าบาทพลิกป้ายเหลียนฮวานางย่อมไม่มีความจำเป็นให้ไปเสนอหน้าพบเจอเขา อุทยานหลวงแห่งนั้นให้วนกลับไปอีกครั้งก็ไม่เอาแล้ว จางกงกงอีกไม่นานก็คงเจอสตรีใหม่ที่เข้าตา ยามนี้หน้าที่ของนางมีแค่รักษาชื่อเสียงตัวเองให้ดี รอวันที่จะได้ออกจากวัง.. คิดมาถึงส่วนนี้เนตรหงส์ของนางกลับหรี่ลง <font color="#994D7B"><i>‘ออกวังไปที่ใดเล่า.. มีบ้านให้กลับแต่ใจว่างเปล่า ชีวิตนี้กลายมาเป็นคนของฝ่าบาท หากหมดสิ้นฐานะนี้ไปต่อให้ไม่มีข้อกำหนดห้ามกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิมแต่จากชื่อเสียงในยามเริ่มต้น เกรงว่าคงมีเรื่องวุ่นวายตามมาอีกมาก’</i></font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ หรือข้าควรใช้ชีวิตแบบเงา.. ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ ไม่สมควร ลำพังแค่รูปโฉมของเจ้าก็ยากแล้วที่จะเป็นเงา ”</font> ผิงหยางกงจู่ที่ไม่ทราบต้นสายปลายเหตุแต่ได้ยินเพียงว่าอีกฝ่ายพึมพัมว่าควรไม่ควรเช่นนั้นก็ช่วยไขข้อข้องใจให้ในทันที <font color="#381C66">“ กังวลใจอยู่หรือ? ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ เพียงเล็กน้อย ”</font> นางยิ้มตอบ <font color="#994D7B">“ ได้ออกมาค้างนอกวัง สนทนากับท่าน ชวนให้นึกถึงก่อนเข้าวังที่เพียงแค่ออกมาสนทนากับสหาย สุดท้ายก็ต้องกลับบ้าน ทว่ายามนี้สถานที่ที่ต้องกลับไปดันไม่อาจเรียกว่าเป็นบ้านได้อีกแล้ว ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ … ”
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
“ วังหลวงไม่อาจเป็นบ้านที่สุขสงบได้ ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;">
กระทั่งองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวยังพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มขมขื่น <font color="#381C66">“ สำหรับข้านั้น.. วังหลวงคล้ายกับคณะละคร ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ ผู้ยากไร้ขายบุตรหลานเข้าสู่คณะ หวังมีหน้ามีตา หวังได้ทรัพย์สินเงินทอง ด้านบุตรหลานที่ถูกขายเข้ามาก็ได้รับการชุบเลี้ยงฟูมฟัก ทว่าชีวิต อย่างไรก็คือชีวิต เบื้องลึกของการแสดงยังมีการร่ำไห้ของผู้พ่ายแพ้ ยังมีเสียงก่นด่าจากความคาดหวัง ทว่าทุกชีวิตกลับไม่สามารถละทิ้งมันได้ เนื่องจากคณะละครนั้นได้กลายเป็นที่พึ่งพาเดียวในชีวิตไปเสียแล้ว ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ ข้าที่ก้าวออกมาได้ ถือเป็นเรื่องดี ”</font> วีรชนตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมหรือขายฝัน ผิงหยางกงจู่เวทนาในโชคชะตาของเหล่าสาวงามอยู่บ้างที่ต้องลงไปลำบากลำบนอยู่กับการแข่งขันที่เดิมพันด้วยชื่อเสียงและชีวิตเล่านี้ <font color="#381C66">“ แต่สำหรับเจ้าที่ก้าวเข้าไป นับว่าอันตรายยิ่ง ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ กล่าวกันว่ายามสตรีรวมตัวล้วนอันตรายยิ่ง เช่นเดียวกับความพยายามที่จะมั่นคงของขุนนาง และอำนาจ ของเชื้อพระวงศ์”</font> ใจฟุ้งซ่าน จิตไม่สงบ นงคราญหยกเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าไร้หมู่เมฆด้วยสายตาว่างเปล่า <font color="#994D7B">“ พบเจอทีละอย่างยังว่าอันตราย ยามนี้พบเจอทั้งหมดพร้อมกัน ไม่แน่ว่าชีวิตน้อย ๆ ของคนผู้นี้ บางทีอาจจะไม่สามารถรักษาไว้ได้ ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ ขอเพียงไม่หมดลมหายใจ คนอย่างเจ้าย่อมมีทางรอด ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ ผิงหยางกงจู่กล่าวได้ถูกใจหม่อมฉันยิ่งนัก กว่าท่านจะกลับมาเกรงว่าคงใช้เวลานาน เช้านี้ข้าตื่นมาชงชาส่งท่าน โปรดดื่มสักจอก ”</font> อย่างไรก็เป็นคนที่ผ่านมาพบนับว่าเป็นมิตรได้อยู่บ้าง ลู่เหม่ยเหรินส่งสัญญาณให้สาวใช้ถือถาดที่มีชาสองจอกและป้านชาหนึ่งป้านเข้ามาด้านในศาลา ก่อนจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นรินชาให้กับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ ข้ากลับมาหนหน้าไม่ใช่ว่าเจ้าได้กลายเป็นเจี๋ยยวี๋แล้วหรอกนะ? ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#994D7B">
“ ไหนเลยจะสามารถเป็นได้ว่องไวถึงเพียงนั้น องค์หญิงล้อหม่อมฉันเล่นแล้ว ”</font>
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ ใครจะไปรู้.. หากเป็นเจ้าอาจจะทำได้ก็ได้ ” </font>ผู้เป็นองค์หญิงยกจอกชาขึ้นจรดริมฝีปากและจิบไปทีละนิด เช่นเดียวกับการเตรียมตัวที่ดำเนินมาถึงคราวสิ้นสุดแล้ว ผิงหยางกงจู่หลังจากจิบชาจนครบจอกก็สะบัดเสื้อคลุมเดินอาด ๆ ไปขึ้นหลังม้า โดยมีสาวงามอ่อนหวานเดินตามไปส่งถึงหน้าจวน
<br><br><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#381C66">
“ ระวังตัวด้วยล่ะ เจ้ายังขาดเส้นสาย รอข้ากลับมาถึงคราวนั้นหากยังอยู่ดี ข้าจะช่วยชี้แนะเอง ”</font>
</font>

<br><br><div align="center">
<img width="450" src="https://i.imgur.com/F56Ani1.png" border="0" alt=""><br><br><font face="Sarabun"><font size="3">

ผิงหยางกงจู่ + 5 ความสัมพันธ์สนทนาประจำวัน<br>
ผิงหยางกงจู่ + 20 ความสัมพันธ์จากหัวดี<br>
ผิงหยางกงจู่ + 15 ความสัมพันธ์มอบชาชงเองเกรดน้ำเงิน

</div>



</div>

<br><br>

</font></font></div></div><br><br></div><br><br>

<style type="text/css">@import url('https://fonts.googleapis.com/css?family=Chonburi'); Chonburi {font-family: 'Chonburi';}
</style>



SuYao โพสต์ 2025-9-26 23:45:11

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย SuYao เมื่อ 2025-9-26 23:46

วันที่ 26 ปาเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเว่ย (เวลา 13.00 - 15.00 น.)

https://img2.pic.in.th/pic/111953632.gif

วันเวลาผันผ่านไปอย่างเชื่องช้าหลังการจากไปของท่านหมอเจิ้ง โรงหมอเจิ้งเทียนที่เคยอบอวลไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพรและเสียงพูดคุยของผู้คน บัดนี้กลับเงียบสงัดและวังเวงราวกับสุสาน ซูเหยาใช้เวลาหลายวันในการจัดการงานศพของท่านหมอเจิ้งจนเสร็จสิ้น ภายในใจของนางยังคงเจ็บปวดและสับสน แต่ปณิธานสุดท้ายของท่านหมอที่อยากให้นางสืบสานการรักษาผู้คนด้วยหัวใจของหมอนั้นยังคงก้องกังวานอยู่ในหูของนางตลอดเวลา นางตัดสินใจที่จะก้าวเดินต่อไป แม้เส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยหนามและอสรพิษร้ายที่จ้องจะฉกกัด
ภายในห้องทำงานที่ยังคงมีกลิ่นคาวเลือดจาง ๆ คละคลุ้ง ซูเหยากำลังจัดเรียงตำราทางการแพทย์ที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะทำงานด้วยมือที่สั่นเทา ดวงตาของนางกวาดมองไปทั่วห้องอย่างเหม่อลอย ภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นยังคงฉายชัดอยู่ในห้วงความคิดของนางทุกขณะจิต นางพยายามที่จะลืม แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ ภาพของท่านหมอเจิ้งที่นอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจก็ยิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดในใจของนางมากขึ้นเท่านั้น
ขณะที่นางกำลังจะหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาจัดให้เข้าที่ ประตูโรงหมอก็ถูกเปิดออกอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น ก่อนที่ร่างของชายชุดดำสองคนเดิมจะก้าวเข้ามา ดวงตาที่แข็งกร้าวของพวกเขาจ้องมองมาที่นางราวกับจะจับผิด ในวินาทีนั้นความหวาดกลัวก็เข้าครอบงำหัวใจของนางอีกครั้ง นางรู้ดีว่าการมาของพวกเขาในครั้งนี้หมายถึงอะไร
หนึ่งในชายชุดดำก้าวเข้ามาหาซูเหยาด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ห้วนสั้นไร้อารมณ์
"คุณชายห่าวหมิงต้องการพบเจ้า...ไปเดี๋ยวนี้!"
คำพูดสั้น ๆ แต่กลับสร้างความหวาดหวั่นให้กับซูเหยาจนร่างของนางสั่นสะท้านไปทั้งตัว นางพยายามที่จะควบคุมอารมณ์และสงบสติอารมณ์เอาไว้ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้า ๆ
ชายชุดดำคนนั้นไม่รอให้นางตอบตกลง เขาจับแขนของนางไว้แล้วฉุดกระชากลากออกไปนอกโรงหมออย่างไม่ปรานี ราวกับนางเป็นเพียงแค่สิ่งของที่ไร้ค่าชิ้นหนึ่ง พวกเขาพานางขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่แล้ว ก่อนจะออกเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ภายในรถม้าซูเหยามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยดวงตาที่พร่ามัว ท้องฟ้ายามบ่ายดูหม่นหมองราวกับจะสะท้อนความรู้สึกของนางในตอนนี้ นางไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของนางจะเป็นเช่นไรต่อไป แต่สิ่งที่นางรู้แน่ ๆ คือนับจากนี้เป็นต้นไป ชีวิตของนางจะไม่มีอิสระอีกต่อไปแล้ว นางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่อยู่ในกระดานของเขา เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ต้องทำตามคำสั่งของผู้เล่นแต่เพียงผู้เดียว
ในที่สุดรถมาก็หยุดลงที่หน้าประตูบานใหญ่ ซูเหยาถูกพาตัวลงจากรถม้าอย่างไม่ใยดี นางก้าวเดินตามชายชุดดำทั้งสองเข้าไปในตำหนักอย่างเชื่องช้า ความรู้สึกมากมายตีรวนอยู่ในอกจนยากจะบรรยาย ความหวาดกลัวเป็นอย่างแรกที่เข้าครอบงำหัวใจ ความสิ้นหวังเป็นอย่างต่อมาที่เข้ามารัดรึงราวกับบ่วงรัดคอ และความเจ็บปวดจากการสูญเสียที่ยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจก็ยังคงตามมาหลอกหลอนจนนางแทบจะไม่มีแรงก้าวเดินต่อไปได้ นางรู้สึกราวกับวิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างไปเสียแล้ว เหลือไว้เพียงร่างกายที่เดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
การเดินเข้ามาในตำหนักนี้เหมือนกับการเดินเข้าไปในกรงขังอันหรูหรา ซูเหยารู้สึกได้ถึงความอึดอัดที่โอบล้อมรอบกาย ราวกับอากาศที่อยู่รอบกายของนางนั้นกำลังจะถูกสูบออกไปจนหมดสิ้น นางรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น มันไม่ได้รัดแขนขาของนาง แต่กลับรัดรึงหัวใจของนางให้เจ็บปวดจนไม่อาจขยับไปไหนได้ นางอยากจะหนี...อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลแสนไกลจากที่นี่...แต่ก็ทำไม่ได้ นางรู้ดีว่าไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน คุณชายห่าวหมิงก็จะตามหานางจนเจออยู่ดี ซูเหยาเดินไปเรื่อย ๆ ในความรู้สึกที่ทั้งสิ้นหวัง ทั้งเจ็บปวด นางไม่รู้เลยว่าการเดินในครั้งนี้จะไปจบลงที่ใด แต่สิ่งที่นางรู้ก็คือ...ชีวิตของนางนับจากนี้เป็นต้นไปจะไม่มีความสุขอีกเลย
เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องทำงานของเขา(?) ซูเหยารู้สึกราวกับถูกสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าเขาอยู่ทุกที่ที่นางก้าวเดินไป สายตานั้นเย็นชาเสียจนนางรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัวแม้แสงแดดจากด้านนอกจะสาดส่องเข้ามาภายในห้องทำงานอย่างอบอุ่นเพียงใดก็ตาม ซูเหยาเงยหน้าขึ้นมองตามเจ้าของสายตานั้นอย่างช้า ๆ นางเห็นเพียงแค่ร่างของบุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาของเขามองมาที่นางอย่างพิจารณา และเมื่อเขาหันมาสบตากับนางอย่างเต็มตา ในวินาทีนั้นเอง...ซูเหยารู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลก ความรู้สึกที่เจ็บปวดจนจุกแน่นอยู่ในอกก่อนหน้านี้ บัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยความกลัวอันสุดขั้ว ความหวาดหวั่นที่แม้แต่นางเองก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ ซูเหยาเห็นเพียงแค่ดวงตาที่เยือกเย็นคู่นั้น ที่ในตอนนี้กำลังมองมาที่นางราวกับกำลังมองดูสิ่งของไร้ค่าชิ้นหนึ่ง
ซูเหยามองไปรอบ ๆ ห้องทำงานนี้อีกครั้ง นางเห็นเครื่องเรือนและของตกแต่งที่ทำจากไม้เนื้อดีหายาก ดูหรูหราเกินกว่าจะเป็นจวนของขุนนางทั่วไป แต่มันกลับเงียบสงบราวกับไม่มีคนอาศัยอยู่เลยแม้แต่น้อย นางอดคิดไม่ได้ว่า ที่นี่คือจวนของคุณชายห่าวหมิงจริงหรือ? หรือแท้จริงแล้วมันคือจวนของบุคคลระดับราชวงศ์กันแน่...ความคิดนี้ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า นางรู้สึกว่าตนเองได้เข้ามาพัวพันกับเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่และอันตรายเกินกว่าจะจินตนาการ
คุณชายห่าวหมิงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
"หมอหญิงซู...เจ้าคงเสียใจกับการจากไปของหมอเจิ้งสินะ?"
เสียงของเขาราบเรียบจนซูเหยาไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของเขาได้เลยแม้แต่น้อย แต่คำพูดของเขานั้นเหมือนคมมีดที่กรีดลงบนบาดแผลในใจของนาง คำว่าเสียใจนั้นมันเบาไปเมื่อเทียบกับความรู้สึกที่นางกำลังแบกรับอยู่ตอนนี้ นางรู้สึกผิดราวกับว่านางเป็นต้นเหตุที่ทำให้ท่านหมอต้องตาย แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันแน่น กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนรู้สึกเจ็บ นางไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยโต้แย้งใด ๆ
"แต่ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ มีเกิดก็ต้องมีดับ เจ้าอย่ามัวแต่จมอยู่กับความเศร้า...จงใช้ความสามารถของเจ้าให้เป็นประโยชน์"
น้ำเสียงของเขาฟังดูไร้อารมณ์ ราวกับว่าการตายของท่านหมอเจิ้งเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สมควรค่าแก่การใส่ใจแม้แต่น้อย คำพูดของเขาไม่ได้ปลอบโยน แต่กลับเป็นการตอกย้ำความรู้สึกผิดที่นางมีให้มากขึ้นหลายเท่า ซูเหยาอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะน้ำตาของนางตอนนี้ได้ถูกเขาทำให้แห้งไปหมดแล้ว
"ท่าน...จะให้ข้าทำอะไรเจ้าคะ?"
ซูเหยาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือจนแทบจะไม่ได้ยิน ความกลัวในใจมีมากพอ ๆ กับความรู้สึกผิดที่รุมเร้านางอยู่ในตอนนี้
คุณชายห่าวหมิงได้ยินดังนั้นจึงคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นไม่ได้สร้างความสบายใจให้นางเลยแม้แต่น้อยแต่กลับทำให้รู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเดิมหลายเท่า
"เจ้าไม่ต้องกลัวไป...ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปทำอะไรที่มันเกินความสามารถของเจ้าหรอก...เพียงแต่...พรุ่งนี้ข้าจะให้เจ้าไปพบข้าที่หอจิวหลิ่งอิน...แล้วข้าจะบอกรายละเอียดงานให้เจ้าฟังอีกครั้ง"
เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ซูเหยาเพียงสองก้าว ความรู้สึกที่หนาวเหน็บเข้าเกาะกุมรอบกายของนางทันที ซูเหยารู้สึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับพญามารที่กำลังจะกลืนกินวิญญาณของนางให้หมดสิ้น
"วันนี้ข้าแค่จะมาดูว่าหมากตัวนี้ยังอยู่ดีไม่หนีไปไหน...และพร้อมที่จะใช้งานหรือไม่...เท่านั้น"
สิ้นเสียงของเขา...ซูเหยารู้สึกว่าตนเองถูกผลักออกไปอย่างแรงโดยชายชุดดำทั้งสอง พวกเขาลากนางออกไปจากห้องทำงานอย่างไม่ใยดี ปล่อยให้นางยืนอยู่เพียงลำพังกับความรู้สึกที่สับสนและหวาดกลัวในใจ
พรุ่งนี้ที่หอจิวหลิ่งอิน...ซูเหยาไม่รู้เลยว่าชะตากรรมของนางจะเป็นเช่นไรต่อไป...
https://img2.pic.in.th/pic/111953632.gif
เควสปลดใจ: เงาอำมหิตในวังวน (1)
เป้าหมาย: ฟังคำสั่งของจางกงกงอย่างอดทนและไม่แสดงอาการต่อต้าน

@Watcher   




SuYao โพสต์ 2025-10-2 23:12:34

วันที่ 1 จิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามโหย่ว (เวลา 17.00 - 19.00 น.)

https://img2.pic.in.th/pic/111953632.gif
ในยามพลบค่ำที่ดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า ซูเหยาเร่งฝีเท้าออกจากโรงหมอเจิ้งเทียนด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นและกังวลใจในเวลาเดียวกัน ชุดผ้าฝ้ายสีอ่อนของนางพลิ้วไหวไปตามแรงลมที่พัดผ่าน ราวกับกำลังบอกใบ้ถึงภารกิจสำคัญที่นางกำลังจะทำในค่ำคืนนี้ หลังจากปิดประตูโรงหมอเรียบร้อยแล้ว นางก็เร่งเดินทางไปยังตำหนักผิงหยาง ซึ่งเป็นสถานที่ที่คุณชายห่าวหมิงนัดพบนางเพื่อฟังรายงานที่ได้จากการสืบความลับในหอจิวหลิ่งอิน

เมื่อมาถึงหน้าประตูตำหนัก ซูเหยาก็พบกับชายชุดดำผู้หนึ่งที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้นหิน ท่าทีของเขาเคร่งขรึมและสง่างามดุจดั่งเงาที่ซ่อนเร้นอยู่ในความมืดมิด เขาหันมามองนางด้วยสายตาอันคมกริบ ก่อนจะผายมือเชิญให้นางก้าวเข้าไปในตำหนัก ซูเหยาพยักหน้ารับอย่างนอบน้อมพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักอย่างระมัดระวัง แม้ว่านางจะเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่บรรยากาศที่แผ่ซ่านออกมาจากตำหนักแห่งนี้ก็ยังคงทำให้จิตใจของนางหวั่นไหว

ชายชุดดำนำทางนางไปยังห้องโถงใหญ่ของตำหนัก ที่ซึ่งคุณชายห่าวหมิงกำลังนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องทำให้ซูเหยาเห็นเงาของเขาอย่างชัดเจน ท่าทีที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจนั้นทำให้ซูเหยาต้องก้มหน้าลงต่ำทันที นางไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขาแม้แต่น้อย

คุณชายห่าวหมิงยังคงปรากฏตัวด้วยหน้ากากครึ่งหน้าที่ปกปิดใบหน้าเอาไว้ เผยให้เห็นเพียงแค่ดวงตาที่ลึกล้ำราวกับห้วงมหาสมุทรที่ยากจะหยั่งถึง เขาค่อย ๆ ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและเปี่ยมไปด้วยอำนาจดุจดั่งกระแสลมในหุบเขา

“เจ้ามาแล้วหรือ ความคืบหน้าของเรื่องที่ข้าให้ไปทำเป็นอย่างไรบ้าง”

ซูเหยาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามรวบรวมสติที่กระจัดกระจายให้กลับมาอยู่กับตัว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย

“เรียนคุณชาย ข้าน้อยได้สังเกตการณ์ตลอดสามวันที่ผ่านมา และได้พบกับความผิดปกติบางอย่างเจ้าค่ะ” ซูเหยาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงความคิด ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด “คนที่ชื่อหลี่ซื่อหมิง มักจะแอบเข้าไปในห้องลับในช่วงกลางดึก และใช้รหัสลับบางอย่างในการเปิดประตูเจ้าค่ะ ส่วนหวังเจา มักจะรับส่งจดหมายที่ถูกปิดผนึกอย่างแน่นหนา และ จางหลินมีอาการกระวนกระวายผิดปกติอยู่ตลอดเวลาที่ข้าน้อยตรวจรักษาเจ้าค่ะ”

คุณชายห่าวหมิงพยักหน้ารับช้า ๆ มุมปากที่อยู่ใต้หน้ากากยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่น่ากลัวและเย็นชาดุจดั่งน้ำแข็งที่ถูกแกะสลักจากหิน เขายกมือขึ้นแล้วผายมือไปทางเบื้องหน้าของซูเหยา

“ดีมาก เจ้าทำได้ดีกว่าที่ข้าคาดไว้ ข้อมูลของเจ้ามีประโยชน์มาก ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”

ซูเหยารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่าความรู้สึกนั้นก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อคุณชายห่าวหมิงหันไปสั่งชายชุดดำด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยแต่แฝงไว้ด้วยคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้

“เอาของมาให้หมอซู”

ชายชุดดำเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องไม้แกะสลักอย่างสวยงามที่อยู่ในมือ เขาค่อย ๆ วางมันลงบนโต๊ะตรงหน้าซูเหยาอย่างแผ่วเบา คุณชายห่าวหมิงหันกลับมามองซูเหยาอีกครั้ง ดวงตาภายใต้หน้ากากนั้นยังคงจับจ้องไปที่นาง

“ช่วงนี้เห็นเจ้าเครียด ๆ เอามันไปใช้ช่วยบรรเทาความเครียดได้”

ซูเหยารับกล่องไม้นั้นมาอย่างเกรง ๆ ด้วยความรู้สึกที่สับสนและประหลาดใจ นางไม่กล้าที่จะปฏิเสธคำสั่งของเขาได้แม้แต่น้อย

“ข้าน้อย ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” ซูเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดขัดเล็กน้อย

คุณชายห่าวหมิงพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจ

“หมดธุระของเจ้าแล้ว ไปได้แล้ว”

ซูเหยาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ก้มตัวคำนับเขาอย่างนอบน้อมก่อนจะรีบเดินออกจากตำหนักผิงหยางไปอย่างรวดเร็วราวกับกำลังหนีจากอะไรบางอย่าง เมื่อออกมาถึงประตูตำหนักแล้ว นางก็รีบเร่งฝีเท้ากลับไปยังโรงหมอเจิ้งเทียนทันที

https://img2.pic.in.th/pic/111953632.gif
-จบเควสปลดหัวใจ-
เควสปลดใจ: เงาอำมหิตในวังวน (6)เป้าหมาย: รายงานข้อมูลให้จางกงกง
รางวัลหลัก : ยาเม็ดปลดปล่อย (ขั้นต้น) - ยาที่ช่วยบรรเทาความเครียดและความหวาดกลัวได้ชั่วขณะหนึ่ง (ใช้ได้ 1 ครั้ง)
@Watcher   

SuYao โพสต์ 2025-10-3 19:11:54

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย SuYao เมื่อ 2025-10-3 19:25

วันที่ 1 จิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามซวี (เวลา 19.00 น.)

https://img2.pic.in.th/pic/111953632.gif
ขณะที่เท้าของซูเหยากำลังจะก้าวพ้นธรณีประตูตำหนักผิงหยาง เสียงทุ้มต่ำที่เปี่ยมด้วยอำนาจและแฝงไว้ด้วยความไม่เร่งรีบของคุณชายห่าวหมิงก็ดังตามมาด้านหลังอย่างเฉียบพลันราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาจากฟากฟ้าในคืนที่ไร้เมฆ

“เดี๋ยว...จะรีบกลับไปไหน”

น้ำเสียงนั้นไม่ได้ดังลั่น แต่กลับมีพลังกดดันที่ทำให้ซูเหยาต้องชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน หัวใจของนางเต้นระรัวราวกับกลองศึกที่ถูกตีอย่างต่อเนื่อง นางหันกลับไปเผชิญหน้ากับเงาร่างสูงใหญ่ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาในห้องโถง แม้จะรู้ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แต่สัญชาตญาณก็สั่งให้นางถามออกไปเพื่อซื้อเวลาและรวบรวมความกล้าที่แตกสลาย

“คุณชายมีอะไรอีกหรือเจ้าคะ?” เสียงของนางสั่นพร่าเบาหวิว ราวกับเสียงกระซิบของใบไผ่ที่เสียดสีกันยามต้องลมยามวิกาล

คุณชายห่าวหมิงยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้อย่างสงบนิ่ง มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นเพื่อทำท่าทางบอกให้นางกลับมาใกล้ และอีกข้างยังคงถือถ้วยชาเคลือบสีเขียวหยกที่อาจบรรจุชาจากมณฑลเสฉวนชั้นดีไว้ มุมปากที่อยู่ใต้หน้ากากครึ่งหน้ากระตุกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่ได้สื่อถึงความเมตตา แต่กลับเป็นความเจ้าเล่ห์และเย้ยหยันดุจดังนักล่าที่กำลังเฝ้ามองเหยื่อที่ติดบ่วง

“กินซะสิ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เนิบนาบ แต่หนักแน่นกว่าคำสั่งใด ๆ

ซูเหยารับรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร หากแต่ความหวาดระแวงและความกลัวที่ฝังลึกจากเหตุการณ์ในครั้งก่อนที่นางเกือบจะสิ้นชีพเพราะซุปดอกหอมหมื่นลี้ปริศนา ทำให้จิตใจของนางไม่สามารถยอมรับคำสั่งนี้ได้โดยง่าย นางกัดริมฝีปากอย่างแรงจนรู้สึกถึงรสฝาดเค็มของเลือด ก่อนจะรวบรวมความกล้าอีกครั้ง แม้จะรู้ดีว่าการถามซ้ำนั้นอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติ

“กะ...กินอะไรหรือเจ้าคะ?” น้ำเสียงของซูเหยาสั่นจนแทบจะกลายเป็นเสียงครางเบา ๆ

คุณชายห่าวหมิงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ซึ่งเป็นเสียงที่เยือกเย็นจนซูเหยาขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขายกมือขึ้นแล้วผายไปทางกล่องไม้แกะสลักในมือของนาง

“ของขวัญที่ข้าให้ไปไง มันช่วยเจ้าได้จริง ๆ ข้ารับรอง”

คำรับรองของเขานั้นหาได้ทำให้ซูเหยาคลายความกังวลไม่ ตรงกันข้ามมันกลับเพิ่มพูนความรู้สึกหวาดกลัวอย่างท่วมท้น ราวกับสายลมเหนือที่พัดพาความหนาวเหน็บเข้าสู่ร่างกาย นางเริ่มหายใจติดขัดเมื่อคุณชายห่าวหมิงเปลี่ยนน้ำเสียงที่เนิบนาบให้เป็นคำสั่งที่แข็งกร้าวและไม่เปิดโอกาสให้ต่อรองใด ๆ อีก

“เจ้าจะกลับไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น หากไม่กินเข้าไป...กิน!”

คำว่า ‘กิน!’ นั้นดังก้องอยู่ในห้องโถงกว้าง ราวกับเสียงก้องสะท้อนจากความว่างเปล่า ซูเหยารู้สึกราวกับร่างกายของนางถูกมัดด้วยเชือกที่มองไม่เห็น นางก้มลงมองกล่องไม้นั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง มือเรียวของนางสั่นเทาจนแทบควบคุมไม่ได้ ก่อนที่นางจะค่อย ๆ ยื่นมือออกไปเปิดฝากล่องไม้ที่ถูกขัดเงาอย่างดี

สิ่งที่อยู่ภายในกล่องนั้นคือเม็ดยาขนาดเล็กสีขาวนวล เม็ดยาถูกวางอยู่บนผ้าไหมสีแดงเข้มที่รองอยู่ภายในกล่อง มันดูสะอาดและบริสุทธิ์อย่างน่าประหลาด ไม่ได้มีกลิ่นสมุนไพรฉุนเฉียวเหมือนยาจีนทั่วไปที่นางเคยปรุงแต่เป็นกลิ่นหอมเย็นอ่อน ๆ ซูเหยาหยิบมันขึ้นมาด้วยมือที่สั่นระริก

หรือว่านี่จะเป็นจุดจบของนางแล้วจริง ๆ? ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงอย่างไม่อาจห้ามได้ คราวที่แล้วก็ดื่มซุปดอกหอมหมื่นลี้จากเขาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ครั้งนี้นางคงหมดประโยชน์แล้วจริง ๆ

ความรู้สึกยอมจำนนเข้าครอบงำจิตใจของนางอย่างสมบูรณ์ นางนึกถึงภาพท่านตาและท่านหมอเจิ้งที่โรงหมอด้วยความรักและความอาลัย คิดในแง่ดีที่สุดนางก็จะได้กลับไปอยู่กับพวกเขาในอีกภพภูมิหนึ่ง หากว่ายานี้จะปลิดชีวิตนางได้จริง

ซูเหยาหลับตาลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะนำเม็ดยาสีขาวนวลนั้นใส่เข้าปากอย่างลังเล รสชาติของมันไม่ได้ขมอย่างที่คาดหวังไว้ ตรงกันข้ามมันกลับมีรสหวานปะแล่ม นางเคี้ยวกลืนมันลงไปอย่างช้า ๆ ราวกับเป็นการยืดเวลาให้กับวาระสุดท้ายของชีวิต

ทว่า...ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอาการปวดท้อง ไม่มีอาการวิงเวียนศีรษะ ไม่มีลมหายใจที่ติดขัดอย่างที่นางคาดการณ์ไว้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือความรู้สึกที่ประหลาดและน่าอัศจรรย์ ความเครียดที่สะสมมาจากการสืบความลับในหอจิวหลิ่งอินตลอดหลายวัน ความหวาดกลัวที่ถูกกดดันจากสายตาของคุณชายห่าวหมิง และความวิตกกังวลต่าง ๆ นานา มลายหายไปอย่างรวดเร็วราวกับน้ำค้างต้องแสงตะวัน สมองของนางรู้สึกโล่งสบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับได้ปลดเปลื้องภาระหนักอึ้งออกไปจากบ่า

ซูเหยาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความงุนงงและความฉงน นางมองไปยังคุณชายห่าวหมิงด้วยสายตาที่คลางแคลงใจ ซึ่งเขากำลังมองนางด้วยรอยยิ้มที่มุมปากที่ขยับขึ้นอย่างชัดเจน

“รู้สึกดีใช่ไหมล่ะ?” คุณชายห่าวหมิงกระตุกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มนั้นคล้ายกับรอยยิ้มของสุนัขจิ้งจอกพันปีที่กำลังวางแผนการอันแยบยล “แต่ฤทธิ์ยามันไม่ได้อยู่ตลอดไปหรอก”

ประโยคต่อมาของเขาทำให้หัวใจที่เพิ่งจะผ่อนคลายของซูเหยาต้องกลับมาเต้นระรัวอีกครั้ง เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ ดวงตาที่ลึกล้ำภายใต้หน้ากากจับจ้องซูเหยาอย่างแน่วแน่

“ทุกวันที่หนึ่งของเดือน...จงมาพบข้าที่หุบเขาลี้ลับใจกลางเขาหัวซานในยามจื่อ เพื่อรับยาเพิ่ม…จากนี้ไป เจ้าคงขาดมันไม่ได้หรอก” เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อีกครั้งเป็นการปิดท้ายคำพูด ราวกับประกาศชัยชนะที่ได้บ่วงคล้องคอของนางไว้เรียบร้อยแล้ว “กลับไปได้แล้ว”

ซูเหยาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ก้มตัวคำนับเขาอย่างนอบน้อมด้วยความสับสนและหวาดกลัวที่ปะปนกัน นางรีบเดินออกจากตำหนักผิงหยางไปอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เท้าของนางจะก้าวได้ โดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองเงาของชายผู้นั้นอีกครั้ง แสงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนในสมัยฮั่นนั้นสว่างไสว แต่ดวงใจของซูเหยากลับมืดมิด

นางเร่งฝีเท้ากลับไปยังโรงหมอเจิ้งเทียนอย่างสิ้นหวัง โดยไม่รู้เลยว่าการได้รับเม็ดยาบรรเทาความเครียดจากเขาในครั้งนี้ แท้จริงแล้วคือบ่วงโซ่ที่มองไม่เห็นซึ่งผูกมัดนางไว้กับอำนาจมืดและแผนการอันซับซ้อนของคุณชายห่าวหมิงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป…


https://img2.pic.in.th/pic/111953632.gif
กินยาเม็ดปลดปล่อย (ขั้นต้น)+50 ความโหด+10 ความโปรดปรานจากจางกงกง (กินยาต่อหน้า) จางกงกงโรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้มหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


@Watcher   


หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: ตำหนักผิงหยาง | ที่พำนักผิงหยางกงจู่