แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-22 00:30
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ ยี่สิบเอ็ด เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามไฮ่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ไปทำงานหอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)
ค่ำคืนนี้ในฟ้าของฉางอันก็มืดลงเหมือนเช่นเคย แผ่นดินภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้นั้นย่อมไม่เคยหลับใหล ถึงแม้ชั้นฟ้าจะแผ่ม่านรัตติกาลลงมาปกคลุมทั่วทั้งนครฉางอันแห่งนี้ หอว่านหงเหรินก็ยังคงสว่างไสวไปด้วยเสียงและแสงตะเกียงน้ำมันอบกลิ่นหอมรำไป เสียงหัวเราะเบาบางกับเสียงเครื่องดนตรีนั้นลอยประสานกันมาแต่ไกล ราวกับมันเป็นอีกโลกหนึ่งที่ไม่ได้อิงแอบอยู่กับความทุกข์ร้อนของใครทั้งนั้น
ประตูถูกรูดเปิดออกช้า ๆ ในยามค่ำ ยามไห่เข้าใกล้จวนเปลี่ยนเวนแต่ผู้คนที่นี่กลับเพิ่งเริ่มทำมาหากิน หลินหยานั้นก้าวเข้ามาช้า ๆ ท่ามกลางแสงไฟสีส้มที่ไหววูบวาบจากโคมผ้าไหมที่ห้อยเรียงรายตรงประตูทางเข้ามาช้า ๆ ร่างโปร่งบางของหญิงสาวในชุดผ้าฝ้ายเรียบสะอาดไร้กลิ่นน้ำหอมของหอโคมเขียวหรือสีฉูดฉาดแบบพวกนางโลมชั้นสูง แต่ก็โดดเด่นขึ้นมาจากความนิ่งเงียบของท่าที นางมัดผมขึ้นแบบเรียบง่าย คาดผ้ากันเปื้อนแบบสาวใช้ หอบหิ้่วตะกร้าใบนั้นที่มีของสำหรับสาวใช้
หลินหยากล่าวคำทักทายเบา ๆ กับผู้ดูแล เขาไม่ถามอะไรยางมากนักเหมือนเริ่มจะชินกับใบหน้าของนางแล้ว เธอเดินไปยังห้องด้านในเธอเสิร์ฟอาหารอยู่ตามเคย ไม่ได้คิดเลยว่าวันนี้อาจจะวุ่นวายมากกว่าที่คิด มือบางของหลินหยานั้นเสิร์ฟอาหารไปเรื่อย ๆ หญิงสาวอีกคนที่เดินผ่านพร้อมพัดในมือและกลิ่นน้ำหอมแรง ๆ แบบที่แขกพิเศษชอบ และนางก็พึมพำลอย ๆ ว่า..
“คืนนี้มีแขกขาประจำชั้นสองมาด้วยล่ะ ห้องที่สามน่ะ ฮ่ะ ๆ”
หลินหยานั้นไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา นางแค่ก้มหน้ารับรู้ ยืนนิ่งทำงานของตัวเองไป แต่เธอเหมือนกำลังวัดใจตนเองว่าการเสิร์ฟน้ำชา่กับเสิร์ฟชะตากรรมให้ผู้ควบคุมเกมที่อาจจะมองเห็นนางในมุมมีดที่ไหนสักหน่อย..
ห้องพัิเศษบนชั้นสองห้องที่สามของหอว่านหงเหริญนั้นเงียบสงบผิดปกติ แม้เสียงดีดและเสียงเป่าของดนตรีจะลอยแผ่วมาไม่ขาดสาย บานฉากไม้ลายมังกรถูกปิดไว้ครึ่งหนึ่ง แสงตะเกียงน้ำมันอบกลิ่นกำยานนั้นหอมอ่อน ๆ คล้ายไหลเื่อยไปทั่วห้อง เงามืดบางส่วนทอดทับกับร่างบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งบนโต๊ะไม้สักต่ำแบลบเรียบง่าย แต่ยังคงเต็มไปด้วยบารมีที่ไม่ต้องการตกแต่งเพิ่มเติม..
เขาสวมชุดผ้าไหมสีดำสนิทไม่มีลวดลายใดให้จับจ้องนอกจากความเรียบสง่าที่แทบไม่ต้องใช้คำบรรยาย เส้นผมถูกรวบขึ้นเรียบร้อยอย่างพิถีพิถัน เครื่องประดับศีรษะทำจากไม้หอมแกะสลักดุจตราแห่งอำนาจที่บ่งบอกสถานะ แม้เขาจะปลอมตัวไม่ใช่ในชุดขุนนางเต็มยศดังวันประชุมราชสำนัก แต่ทุกลมหายใจของเขายังแผ่รัศมีของผู้ควบคุมกระดาน
เถียนเฟิงกำลังนั่งพิงเบา ๆ กับเบาะหมอนกำมะหนี่ ท่ามกลางโต๊ะอาหารบางส่วนที่พึ่งถูกจัะดเรื่องใหม่ และเมื่อเสียงประตูเลื่อนเปิดเบา ๆ หลินหยาก็ก้าวเข้ามาด้วยท่าทางอันปกติ แผ่นหลังตรงตามธรรมเนียมของสาวใช้ สายตาก็ไม่ได้หลบหลีบแต่ก็ไม่หาญตรงนัก ธอวางถาดอาหารลงอย่างเงียบ ๆ จัดวางชามน้ำแกง ดอกเก๊กฮวยตุ๋นไก่กับผลเก๋ากี้ให้เรียบร้อย ก่อนจะกล่าวคำทักทายเสียงนุ่มแบบที่เธอถนัด
“ใต้เท้า คืนนี้อากาศเย็น โปรดอย่าลืมจิบซุปร้อนนะเจ้าคะ” น้ำเสียงของเธอเบาเรียบง่ายแล้วส่งรอยยิ้มจาง ๆ ให้กับเขาเหมือนเคย เป็นรอยยิ้มที่ไม่เสแสร้ง แต่ก็ไม่อ่อนแรงแบบผู้ร้องขชอความเมตตา เป็นแบบเธอ นั้นคือหลินหยา คนที่อยู่ตรงหน้าเขาเมื่อคืน คนที่เดินจากไปหลังจากพูดคำที่ไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าเขามาก่อน
เถียนเฟิงนั้นทำเพียงปรายตามองเล็กน้อย ก่อนที่จะขยับนิ้วเรียวยาวแตะริมขอบจอกสุรา ไม่ได้พูดอะไรในทันที แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ปฎิเสธสิ่งที่เธอเอามาให้ เขายกจอกจิบขชึ้นเบา ๆ แล้ววางลงอย่างไร้เสียง ก่อนที่จะทอดตามองนางโดยไม่หลบและไม่เร่งเร้าเหมือนเคย “แม่นางหลินหยา..เจ้าดูไม่เปลี่ยนไปเลยแม้เพียงเล็กน้อย ตั้งแต่ท่าที หรือแม้แต่รอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้นั้น” เขาเอ่ยในที่สุด เสียงต่ำของเขาไม่เข้มเกิดไปแต่กลับหนักแน่นแล้วกระแทกบางอย่างให้หลินหยาชะงัดในใจ..
คำพูดที่เหมือนดูถูกแต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งจนไม่รู้ว่าคนผู้แฝงไว้ด้วยโทษหรืออภัย เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนที่จะเอนหลังพิงเบา ๆ
"ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่มาที่นี่อีก แต่เจ้าก็มา...มาด้วยตัวเอง มิใช่เพราะใครสั่ง ไม่ใช่เพื่อทองห้าตำลึง ไม่ใช่เพื่อข้า ไม่ใช่เพื่ออะไรเลย...หรือเจ้ามาเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้าจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้...แม้ในที่แห่งนี้?" ปลายนิ้วเรียวยกสุราขึ้นอีกครั้ง ครานี้เขาหันไปรินเพิ่มลงในจอกตรงหน้าหลินหยาที่เธอยังไม่ได้แตะ มือของเถียนเฟิงเคลื่อนไหวช้าแต่มั่นคง ไม่มีวี่แววของความโกรธเคืองหรือเย็นชาแบบที่นางเคยหวั่นใจ มีเพียงสายตานิ่งขรึมที่คล้ายจะอ่านเธอออกอยู่แล้วแต่ยังเลือกจะเงียบไม่เอ่ยอะไร
“เจ้าจะไม่เป็นหมากของข้า งั้นก็จงอยู่ในกระดานนี้แบบไม่มีสีของใครเสียเถอะ”
หลินหยานั้นขมวดคิ้ว นางมองอีกฝ่ายแบบแปลก ๆ นิดหน่อยแล้วหัวเราะเล็ก ๆ แบบงง ๆ ตามฉบับคนที่ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ “ท่านนี้ชอบคิดว่าทุกสิ่งเป็นหมากจริง ๆ นะเจ้าคะ ข้าไม่รู้ว่าทำไมท่านคิดเช่นนั้น แต่ท่านอย่ามาอารมณ์เสียเพราะไม่เป็นไปตามแผนของตนเองสิเจ้าคะ” นางเอ่ยบอกกับเขา เพราะวันนี้โดนคนอารมณ์เสียใส่เยอะจังเลย ก่อนที่จะกระพริบตาแล้วมองอีกฝ่ายเล็ก ๆ …
“หรือท่านอยากให้ข้าเล่นดนตรีปลอบใจให้ท่านหรือเจ้าคะ? เอาไหมเจ้าคะ?”
คำพูดของหลินหยาทำให้เถียนเฟิงชะงักไปชั่วขณะ เหมือนมีใครใช้พัดไม้ไผ่ตีเบา ๆ ลงกลางคิ้ว ขณะที่เขายังหมุนจอกในมืออยู่ กลับกลายเป็นว่าจังหวะนั้นหยุดลง มือเรียวยาววางจอกลงอย่างเงียบงัน ราวกับไม่ต้องการให้สุราทำหน้าที่กล่อมใจอีกต่อไป สายตาคมนิ่งของเขาเหลือบมองนางตรง ๆ ดวงตาที่ไม่เคยหลบผู้ใดในใต้หล้า เรียบนิ่ง เย็นชา…แต่ในแววลึกกลับมีอะไรบางอย่างคล้ายจะละลายลงอย่างเชื่องช้า ราวกับน้ำแข็งบางที่แตกร้าวเพราะเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ถูกบังคับไว้ไม่ให้ออกมาดังเกินควร
“แม่นางนี้..ข้าชักสงสัยเสียแล้ว ว่าในหัวเจ้าคิดอะไรอยู่ทั้งวันกันแน่” ชายหนุ่มเอ่ยถาม เขาขยับตัวเล็ก ๆ ร่างสูงที่นั่งอย่างสุขุมเงียบขรึมบนเบาะดูคล้ายจะเอนหลังผ่อนคลายกวย่าเดิมนิดหนึ่ง ไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธคำของนาง นัยน์ตาที่มองนั้นคลายกับจะยอมรับด้วยซ้ำไป “เจ้าคงคิดว่าข้าคิดมากไปเองใช่ไหรือไม่?..แต่เจ้ารู้ไหมว่าโลกนี้ คนที่รอดคือคนที่มองเห็นก่อนว่าใครกำลังจะเดินเข้ามาเป็นหมาก หรือวางเราไว้เป็นหนึ่บงในหมากของพวกเขา” เถียนเฟิงเอ่ยแล้วสายตายังคงอยู่ที่หลินหยา นี้เป็นคัร้งแรกที่เวลาอยู่หอว่านหงเหรินแล้วหลินหยาพูดเยอะขนาดนี้..อาจเพราะนางกับเขาเริ่มรู้จักกันมากแล้ว
“ข้าไม่โกรธหรอก หากสิ่งที่เจ้าทำมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าคาดไว้ แค่ข้าแค่ไม่ชินกับคนที่ปฎิเสธข้าตรง ๆ แบบหน้าตาซื่อใดบริสุทธิ์แล้วเดินเข้ามาเสิร์ฟอาหารให้ข้าพร้อมรอยยิ้มที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” แล้วเขาก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ ราวกับเริ่มเข้าใจเสียเองว่าทำไมเขาถึงไม่ควรวางหมากตัวนี้ไว้ตั้งแต่แรก “เจ้าจะเล่นดนตรีปลอบข้างั้นหรือ? เจ้าจะไม่หวาดกลัวหรือ? หากเสียงเพลงของเข้าทำให้ข้าคิดอะไรเกินกว่านั่งฟังเฉย ๆ ขึ้นมา” แม้คำพูดหยอกเย้าแต่สายตาของเขาไม่ได้เจ้าชู้หรือส่อเล่ห์เพทุบาย แต่กลับนิ่งเสียมากกว่า
“แต่หากเจ้าจะเล่นจริง ข้าจะฟัง” เขาวางพัดไว้ข้างกาย พยักหน้าช้า ๆ อย่างให้เกียรติ “เล่นให้ข้าฟังเถอะ...เสี่ยวหนาน หรือเจ้าอยากให้ข้าเรียกชื่อจริงเจ้าดี?” แววตาเขาเรียบเฉียบอีกครั้งแต่ไม่ได้มีแรงกดดันเช่นคราวก่อน ราวกับตั้งใจจะฟังเธอ ไม่ใช่จับผิดเธออีก
หลินหยานั้นเลิกคิ้วมองอีกคน สำหรับเธอแล้วเขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอเกินเลยขชองคำว่าหมากเบี้ยตัวหนึ่งหรอก เพราะในสายตาเธอ ใต้เท้าเถียนเฟิงคงไม่ได้มองเธอในเชิงเสน่ห์หาแต่อย่างใด แต่มองคนเหมือนกับจะใช้งานเสียมากกว่าเท่านั้นเอง แล้วหลินหยาก็หัวเราะเล็ก ๆ ออกมาเมื่อเขาบอกว่าจะเรียกชื่อจริงของนาง.. “ข้าไม่ใช่เสี่ยวหนานตุ๊กตาชักใยของท่านอีกแล้วนะเจ้าคะ…ข้าคือหลินหยา แต่ข้าไม่โกรธท่านหรอก..” หลินหยาเอ่ยขึ้นแล้วระบายยิ้ม เหมือนกับจะคิดอะไรเล็กน้อยนิดหน่อยแต่แล้วความคิดนั้นก็พลันมลายหายไปสิ้นนัก
เถียนเฟิงชะงักเล็กน้อย ราวกับถูกสะกิดกลางใจโดยไม่ทันตั้งตัวจากถ้อยคำเรียบง่ายของหญิงสาวตรงหน้า เสียงหัวเราะของนางไม่เหมือนการเย้ยหยัน หากแต่เปี่ยมด้วยเสรีภาพบางอย่างที่เขาเคยคิดว่าไม่มีอยู่ในโลกใบนี้โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยน...นางบอกว่าไม่ใช่เสี่ยวหนานตุ๊กตาชักใยของเขาอีกแล้ว แต่นางก็คือ หลินหยา
“ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าเป็นตุ๊กตาชักใยเสียหน่อย” เสียงเขาแผ่วลงต่ำ ขณะที่มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อยราวกับยอมรับคำของนาง “แต่ข้าเองก็คงชินไปแล้ว...กับการที่ทุกคนยอมให้ชักโดยไม่ต้องออกแรงดึง” เขาหยุดแล้วหันมามองเธอแบบตรง ๆ ดวงตาของเถียนเฟิงในยามนี้ไม่ได้เฉียบคมหรือเย็นชาเหมือนเคย หากแต่มีร่องรอยของความรู้สึกบางอย่างใต้หน้ากากแห่งความเฉยเมยมานาน
“แล้วท่านจะให้ข้าเล่นอะไรล่ะ? ข้าเล่นได้หลายอย่างนะเจ้าคะ” หลินหยาเอ่ยถามเรื่องชนิดของเครื่องดนตรีว่าเขาอยากให้เธอเล่นอะไร จะได้รู้รสนิยมของเขาด้วย..พลางชายตามองเขาเล็ก ๆ พลางเลิกคิ้วนิดหน่อยเป็นเชิงรอว่าอีกฝ่ายจะให้เธอเล่นอะไรดี?
“ไม่เอาเสียงขลุ่น มันบางเกินไป..ราวกับจะพัดหายไปกับลม ข้าไม่ชอบกู่ฉินมันนิ่งเกินไป เหมือนบทกวีที่ไม่จบ..เอ้อหูก็ไม่เลว คล้ายเสียงคนบ่นเศร้าโศกในคืนฝนตก แต่ถ้าจะให้ข้าเลือก..จริง ๆ ข้าอยากได้ยินเสียงของ ผีผา จากเจ้า” เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นยังคงลึกซึ้งเสียจนไม่แน่ใจว่าเขาพูดถึงเสียงเครื่องดนตรี หรือพูดถึงนางกันแน่
“เสียงผีผาของเจ้าคงไม่เหมือนใครแน่ ๆ เจ้าจะเล่นให้ข้า...หรือต้องให้ข้าอ้อนวอน?” รอยยิ้มบางแล่นผ่านดวงหน้าเยือกเย็นประหนึ่งหยอกเย้า แต่ดวงตากลับซื่อตรงนัก ราวกับในยามนี้เขาไม่ใช่ใต้เท้าผู้ล้ำลึกของราชสำนัก ไม่ใช่เงาในเงาของฮ่องเต้ หากเป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่ง
เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ดังลอดริมฝีปากนาง ริมฝีปากนั้นที่ไม่เคยรู้จักคำว่ายอมจำนนให้อะไรทั้งสิ้น "ไม่ต้องเจ้าค่ะ หากท่านอ้อนวอน เถ้าแก่ไล่ข้าออกแน่" หลินหยาเอ่ยออกมาพลางกลั้นหัวเราะไว้ในลำคอ นางเดินไปยังมุมห้องที่วางผีผาไม้เก่าขึ้นเงางามของหอว่านหงเหรินอยู่ในซอกหลืบที่ไม่มีใครสนใจ แต่มือนางหยิบมันขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วเหมือนคุ้นเคยกับมันมานาน
เถียนเฟิงเอนกายพิงเบาะเล็กน้อย ดวงตานิ่งขรึมทอดตามเงาของนางทุกฝีก้าว มิใช่ด้วยความเสน่หา...แต่เพราะนางกำลังจะทำบางสิ่งที่เขา คาดไม่ถึงอีกครั้ง เสียงเพลงนั้นไม่บอกเรื่องรัก ไม่กระซิบความฝัน แต่มันกลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวาร้ายกาจบางอย่างที่ทำให้บุรุษผู้หนึ่งตรงหน้าเลิกคิ้ว มันไม่ได้เริ่มจากความเรียบเนิบช้าอย่างที่เคยได้ยิน หากแต่ลื่นไหลลื่นออกมาราวกับลมพายุในทุ่งหญ้าแห้ง พุ่งทะยานขึค้นสูง แล้วแหวกลงสนู่ความเงียบ ก่อนพุ่งขึ้นด้วยทำนองที่เร็ว รัว และก้าวร้าวอย่างมีจังหวะ เถียนเฟิงเงยหน้าขึ้นพลางเลิกคิ้วอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพราะประหลาดใจที่นางกล้าเล่นเช่นนั้นต่อหน้าเขา แต่เพราะนางกล้าสบตาเขาขณะที่เล่นด้วยท่าที..บัดซบชะมัด..ช่างสดใสราวกับไม่เคยมีเรื่องใดเป็นปัญหาสำหรับนาง..
เธอยิ้มมุมปากขณะเล่น สายตาก็จ้องไปยังใต้เท้าเถียนเฟิงตรง ๆ นางไม่กลัว ไม่หวั่น ไม่หลบ นางไม่ได้ใช้เสียงเพลงจีบ ไม่ได้ออดอ้อนด้วยนิ้วมือ แต่นางกำลังใช้เสียงของมันบอก 'ดูสิท่าน ข้ายังอยู่ที่นี่ แม้ไม่ได้เงินแม้แต่ตำลึงเดียว แต่ข้าสบายใจกว่าตอนอยู่ในกระดานของท่านเสียอีก'
เสียงผีผาเหมือนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะของนาง ทั้งเสียดสี ทั้งเล่นสนุก ทั้งตั้งใจปลุกเร้าให้อารมณ์ของคนฟังพลุ่งพล่านขึ้นมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ประหนึ่งจะบอกว่า 'ท่านจะทำไมล่ะ?' ชายผู้เคยนั่งอยู่เหนือขุนนางหมื่นหมื่นกลับต้องนั่งฟังเสียงเย้ยหยันน่ารักนี้อย่างเงียบงัน รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาโดยไม่รู้ตัว
และเมื่อจังหวะเพลงนั้นเปลี่ยนเป็นจังหวะที่นางทำเหมือนจงใจให้เหมือนเสียงถุงเงินจำนวน 50 เหรียญตำลึงกลิ้งไปมาในถุงผ้า..มันทำให้เถียนเฟิงนั้นยกสุราขึ้นจิบเล็กน้อย ทอดสายตามองนางที่จงในจะส่งจำนวนนั้นให้เขาผ่านเสียงของดนตรี เสียงผีผารวดเร็วแทบจะเรียกได้ว่าเป็นดนตรีต่อสู้ ไม่ใช่การปลอบ เย้า แต่มันเหมือนการท้าทายตนเองอย่างเปิดเผย เสียงสุดท้ายจบลง หลินหยาก็เงยหน้ามองอีกฝ่าย ชายตรงหน้าไม่ปรบมือ ไม่ขมวดคิ้ว หากแต่เอียงศีรษะน้อย ๆ พลางวางจอกเหล้าไว้เบื้องหน้า “เจ้านี้มันดื้อรั้นเสียจนข้าเริ่มสงสัยว่าใครเป็นคนล่อลวงใครกันแน่”
“ข้าชอบเพลงเร็วเจ้าค่ะ” นางพูดเรียบ ๆ ก่อนจะเอียงหน้าเล็กน้อย “มันเหมาะกับตอนที่ข้าไม่มีเวลาเสียดายอะไร”
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: -
รางวัล: 30 ตำลึงเงิน - 10 EXP+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป เถียน เฟิงหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้มทักษะนักดนตรี เล่นดนตรี โบนัสความสัมพันธ์ +5
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ ยี่สิบเอ็ด เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามไฮ่ เวลา 23.00 น. เป็นต้นไป ณ หอว่านหงเหรินการพบกันที่ไม่คาดฝันและความคิดอันซับซ้อนของเด็กชาย
ช่วงเวลาห้าทุ่มของกลางฤดูร้อนที่แสนหนาวเย็น ของหอว่านหงเหรินยังคงคุกกรุ่นไปด้วยไอร้อนที่คลุมอยู่บาง ๆ จากแสงแดดยามกลางวัน แต่ความจริงแล้วมันเป็นความร้อนรุ่มจากบางอย่างที่อยู่ภายในหอนางโลมแห่งนี้ที่เปิดเป็นหอนางรำช่วงเวลาค่ำคืน มันร้อนเร้า ร้อนรุ่มทุก ๆ คืน อย่างไม่มีวันลดละ
ประตูด้านนั้นนั้นยังตั้งตระหง่านอย่างไม่รู้เวลา สีชาดของไม้ใหญ่สะท้อนประกายจากคบเพลิงฟินที่ส่องแสงสว่างนิ่งงัน ควันธูปหอมและกำยาน เสียงของอิสตรีและชายหนุ่มดังขึ้นไม่มีรู้จบราวกับมันจะยังคงอยู่จวบจนเวลาเช้าของอีกวันไม่มีผิดเพี้ยนไปจากที่เคยได้ยิน สถานที่อันเคยโดนรื่นรมย์ไม่รู้จบของหลายคนที่ใฝ่ฝั่นกับทั้งชายหญิงนายโลมนางโลมที่พร้อมบริการทุกท่าน..มันช่างเป็นคืนที่รื่นรมย์เสียเหลือเกิน…
@LiuRuxuan
ร่างเล็ก ๆ ของสตรีคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากสถานที่นั้นในความเงียบ นางนั้นบิดตัวซ้ายทีขวาทีพร้อมกับท่าทางของความเหนื่อยอ่อนแบบคนที่ทำงานหนักมาตลอดไม่มีผิด อาการของนางนั้นอ่อนล้าเล็กน้อยจากการทำงานหนักตลอดทั้งวัน งานประจำค่ำคืนที่แสนไม่ค่อยว่างทำให้เธอนั้นแทบอยากจะกรี๊ดออกมาเพราะว่าวันนี้เจอแต่เรื่องวุ่นวายไม่มีผิด
ร่างของหลินหยาในชุดผ้าฝ้ายบางสีอ่อนนั้นขยับไปตามลมเย็นของช่วงกลางคืนในเมืองฉางอันแห่งนี้ กลิ่นเหงื่อของเธอพร้อมกับกลิ่นน้ำอบของพวกนางโลมยังคงชะโลมกลิ่นของเธอ แต่โชคดีที่หลินหยานั้นทำให้ตัวเองไปทำงานกับพวกงานเสิร์ฟ ทำให้เธอไม่มีกลิ่นอะไรติดไปมากกว่าอาหารชั้นเลิศที่ติดตรงขอบเสื้อหรือขอบแขนเสื้อตัวเองเท่านั้น..
@LiuRuxuan
สตรีตัวบางร่างน้อยนั้นเหลือบมองเห็นใครบางคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา นั้นคือคุณชายจากห้องพักพิเศษทางทิศตะวันตกเมื่อตอนเย็นไม่ใช่หรือนั้น? ตอนแรกหลินหยาไม่คิดทัก เพราะเอาความจริงเธอกลัวเขาพอสมควรเพราะเขาดูโหดแปลก ๆ นางทำเพียงแค่จะขยับตัวถอยหลังให้ เพราะเขาพาตัวเองมาพร้อมกับหนุ่มน้อยวัยรุ่นที่น่าจะเพิ่งเติบโตหน้าตามีเสน่ห์แบบงง ๆ ในสายตาของหนาน หลินหยา อายุน่าจะน้อยกว่าเธอเพียง 1 หรือ 2 ปีเท่านั้น ไม่เกินนี้แน่ ๆ
หลินหยานั้นเธอเป็นสตรีวัยประมาณ 14 - 15 ปีไม่เกินนี้ ใบหน้านวลผ่อง ท่าทางใสซื่อเหมือนเด็ก ดวงตาใสสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อน ใบหน้าเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ไม่ได้ถึงขั้นส่วน แต่ไม่ได้หน้าตาแย่สักนิดเดียว ริมฝีปากของนางนั้นขยับเข้าหากันแบบคนที่เหมือนคิดอะไรตลอดเวลาแต่ไม่อาจพูดออกมาได้เลยสักนิด ท่าทางเหมือนคนเหนื่อยล้าจากการทำงานแต่ยังคงร่าเริงสดใสและไม่มีพิษไม่มีภัยกับใครทั้งนั้น
@LiuRuxuan
หลินหยานั้นเอียงคอเล็กน้อยเพราะอยู่ ๆ ก็โดนทัก เธอขมวดคิ้วเพราะอะไรน่ะหรอ? เพราะว่าเมื่อครู่ชายหนุ่มที่เธอเคยบริการเสิร์ฟอาหารให้เขากลับมาพร้อมกับชายหนุ่มที่น่าจะพึ่งแตกเนื้อหนุ่มเมื่อหมาด ๆ ด้วยซ้ำไป แล้วตอนนี้เขากลับสูดลมหายใจแล้วเอ่ยถามนางว่านางคือใครกันหรอ?..หือ? งง?..หลินหยาเอียงคอมองอีกคนดวงตาใสของนางนั้นเหมือนคนสงสัยที่ซื่อบริสุทธิ์เสียจนเหมือนคนน่าโง่ไร้การศึกษา
“เอ่อ..สวัสดีเจ้าค่ะท่านชาย ข้ามีนามว่าหลินหยา ไม่ทราบว่าหากท่านชายต้องการใช้บริการหอว่านหงเหรินแล้วเชิญเข้าไปด้านในได้เลยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้นบอกกับอีกคนเช่นนั้นเพราะคิดว่าเขาคงเป็นเด็กชายบ้านรวยเพราะเสื้อผ้าที่เขาใส่ชิ้นเดียวดูมีราคามากเลยนะเนี้ย…อืม..น่าจะเป็นคุณชายมาเที่ยวเล่นครั้งแรก “หากท่านชายต้องการสิ่งใด เหล่านางโลมและนางรำภายในมีให้ท่านเลือกสรรทั้งชายหญิงตามแต่ท่านชายพึงประสงค์เจ้าค่ะ” เอ่อแนะนำแบบที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้านั้นกำลังอยู่ในอารมณ์ใดกันแน่
@LiuRuxuan
แม่นางน้อยหลินหยานั้นเหมือนจะหายใจผิดจังหวะตอนที่เสียงของเขานั้นเอ่ยถามเธอขึ้นมาในเรื่องชื่อตอนแรก เขาเหมือนกับพลิกตัวจากเด็กชายกลายเป็นชายหนุ่มในชั่วพริบตา ดวงตานั้นมีประกายกร้าวบางอย่างที่นางเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกกลัวขึ้นมา เหมือนคนมีอำนาจของตนเองล้นฟ้าแต่กลับอันตราย..ความกดดันนั้นทำให้หลินหยาขยับคิ้วเรียวเข้าหากันเพียงเล็กน้อย..
“เอ่อ…ท่านชายเมื่อครู่หรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยทวนคำถามของเขาเล็กน้อย พลางเหมือนกับยกมือเกาหัวเหมือนไม่รู้ว่าตนเองได้ทำอะไรผิดหรือไม่อย่างไร เพราะเธอนั้นทำไปด้วยความหวังดีและความเคารพล้วน ๆ ไม่มีอะไรผสมในนั้นเลยสักนิดเดียว “ข้าให้น้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีนไปเมื่อเย็นเจ้าค่ะ ท่านชายมีอะไรหรือไม่เจ้าคะ?” นางเอ่ยถามแบบไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายถามจริง ๆ พลางทำท่าคิดเพราะนางก็คิดว่ามันอร่อยดี และท่านชายทั่วไปก็มักจะชอบไม่ใช่หรือ? ..หลินหยาไม่ได้อธิบายอย่างอื่นให้ฟังอีก แต่สำหรับคนที่ชอบอาหารเลิศรสจะรู้ดีว่าเมนู น้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีนนั้นมีสรรพคุณที่รุนแรงซ่อนอยู่สำหรับท่านชาย..มันคือการทำให้ร่างกายร้อนรุ่มกระตุ้นพลังวังชาของเหล่าชายหนุ่มวัยกลัดมันทั้งหลายได้ลิ้มรสชาติเพื่อเพิ่มความหรรษาให้กับบางค่ำคืนของตนเอง
@LiuRuxuan
หญิงสาวนั้นเหมือนกับมีความไม่เข้าใจซ่อนอยู่ในดวงตาของเธอแต่ทว่าดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวกับจับจ้องคนตรงหน้าเพียงชั่วครู่แล้วปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างในหัวราวกับแกทเชื่อมโยงกันและกันสุดท้ายสิ่งที่นางทำคือดวงตาที่เปิดกว้างเพราะนางรู้ทุกอย่วงแล้ว อย่างไรนางก็ไม่ไร้เดียงสาถึงขนาดที่จะต้องทำให้ตัวเองเป็นทองไม่รู้ร้อน และไม่ใช่สตรีที่พุ่งตัวเข้าไปหาคนที่กำลังมีอาการเช่นนั้นอยู่
“...ท่านชาย..ข้า..ข้ารู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นแบบเดานะ” เธอเอ่ยแล้วเหมือนตั้งสติเล็กน้อย “ข้าขออภัยท่านชายอย่างสูง ข้ารู้แล้วว่าท่านร้อนเพราะสิ่งใด เอ่อ ข้าจะอธิบายให้ฟัง เพราะจากอายุท่านอาจจะยังเดียงสาอยู่พอควร อาหารของท่านเป็นเพราะฤทธิ์ของอาหาร มันทำให้ร่างกายของท่านร้อนรุ่มเพราะมันไปกระตุ้นกำลังวังชาของบุรุษเพศ..แถมมัน..ยังให้ผลดีสุด ๆ เลยด้วยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางแทบถอนหายใจ ในหัวกำลังคิดว่าวิธีช่วยบุรุษน้อยที่น่าจะพึ่งแตกเนื้อหนุ่มนี้ให้ยังไงดีกันนะ
“ข้าขอเดานะ ท่านชายที่อืม?..พาท่านมาน่าจะเอาหารที่ข้าให้เขาไปให้ท่านหรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ เพราะอาการเขาตอนนี้มันก็เริ่มชัดพอสมควร
หลินหยานั้นเหมือนกำลังคิดว่าควรทำเช่นไรดีตอนนี้ “ตอนนี้ท่านหวังสิ่งใด? อยากหาทางแก้ หรือท่านอยากระบายอารมณ์เจ้าคะ?” นางถามขึ้นมา ความใสซื่อของหลินหยานั้นมี แต่นางไม่ได้โง่กับการที่ตัวเองทำงานที่หอว่านหงเหริน หากท่านชายตรงหน้าอยากเปิดประสบการณ์เช่นผู้ใหญ่นางก็จะผ่ายมือไปทางหอว่านหงเหริน หากแต่ถ้าเขาอยากแก้นางก็ไม่ได้คิดว่ามันยากเกินไป
@LiuRuxuan
หลินหยานั้นมองคนที่อยู่ ๆ จากที่ขึงขังมาก็กลายเป็นเด็กชายที่เหมือนจะไม่รู้ประสาที่กำลังขอความช่วยเหลือ ความรู้สึกผิดเข้ามาที่ดวงจิตของหลินหยาอย่างเห็นได้ชัด แต่ดวงตาของนางกลับไม่อาจอ่านออกได้ เพราะหากจะอ่านมันเหมือนมีตัวอักษรมากมายอยู่ภายในนั้นจนแม้กระทั่งเจ้าตัวที่เป็นเจ้าของห้วงความคิดก็ไม่อาจตีความออกมาได้ เพราะความซับซ้อนของความคิดและนางคงไม่มีทางคิดจะอธิบายออกมาได้
“ปกติแล้วข้าไม่แน่ใจ แต่คนที่หอว่านหงเหรินหากต้องการก็คือรำสุรากับสตรีเพื่อคลายความเหงา แต่สำหรับท่านก็ควรหาอะไรกินนะเจ้าคะ” นางเอ่ยขึ้นมาก่อนที่จะยืนเหมือนคิดอะไรอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนกล่าวสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นสาวใสซื่อบริสุทธิ์ออกมาจากปากบ่งบอกว่านางคงอ่านหนังสือหรือศึกษาตำรามามากเกินควรทีเดียว..ก็แน่สิ คิดว่าการที่ต้องนั่งฝึกหัดคัดลายมือจากตำราหลายร้อยเล่มหลายร้อยรอบมันทำให้หลินหยาไม่มีความรู้หรือ? เช่นนั้นก็โง่เกินควรแล้วล่ะ
“ท่านควรไปหาแตงโมทานนะ เป็นธาตุเย็น ดับร้อนภายในหวานชุ่มคอ หรือแบบถั่วเขียวใช้สำหรับขับพิษดับร้อนในหัวใจและตับ อีกอย่างก็มีพวกแตงกวาหรือดอกเก๊กฮวย ดอกเก็กฮวยข้าว่าน่าอร่อยมากกว่า เขาบอกว่าช่วยดับร้อนที่ต้นทางของความกำหนัดแล้วก็มีเรื่องสูตรรวมการถอนพิษราคะก็มี เขาเรียกว่าน้ำซุปดับไฟ เอาน้ำต้มถั่วเขียวใส่ดอกเก๊กฮวยเพิ่มเปลือกส้มแห้ง ใส่แตงโมเย็นอะไรประมาณนั้นน่ะ แต่ข้าไม่เคยกินนะ เคยแค่อ่านมา” นางเอ่ยขึ้นบอกเขาแบบชัดเจนเหมือนออกมาจากตำราที่พึ่งอ่านมาเมื่อวาน แต่เธอไม่ขยับเข้าใกล้เขาแม้แต่ก้าวเดียว ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวของนางจ้องมองเขานิดหน่อยด้วยความรู้สึกผิดที่ยังประดังอยู่..
บัดซบจริง ๆ เธอทำให้ชายที่ตัวเองไม่รู้จักกระทั่งชื่อต้องทรมารถึงเพียงนี้เลยหรือเนี้ย?
“ท่านคิดว่าจะหาทานได้ไหม หากท่านต้องการหา ข้าพาไปหาได้เจ้าค่ะ..ไม่แน่ใจว่าท่านชายมีเงินมาด้วยไหม ข้าออกให้ได้นะ” นางเอ่ยบอกอีก ประโยคนี้เป็นการบอกว่าสิ่งที่อยู่ในตัวเธอคือความรู้สึกผิด แต่เธอก็ยังไม่กล้าขยับเข้าหาเขาหรือพุ่งเข้าไปอยู่ดี หลินหยาไม่เคยให้ใครแตะตัวนางเลยสักนิด ต่อให้สนิทกันเพียงใด น้อยครั้งมากที่จะผิวสัมผัสกายแม้แต่ปลายเล็บ กระทั่งชายที่หายไปเมื่อครู่ที่นางก็ไม่รู้จักชื่อ นางยังไม่เคยแตะตัวเขาแม้แต่ปลายเส้นผม..
@LiuRuxuan
“ข้าไม่รับหรอกท่านชาย…ท่านชื่อเสวียนอิ๋งสินะ ท่านเป็นคนที่สองตั้งแต่ที่ข้ามาฉางอันที่แนะนำตัวกับข้าเลย” เธอบอกเขาแบบนั้นเพราะเอาตรง ๆ …การแนะนำตัวเป็นสิ่งที่หลินหยาทำเสมอ แต่ใครหลายคนกลับไม่คิดจะทำกับเธอเลยเพราะเห็นว่าเธอเป็นเพียงสาวใช้ที่ต่ำต้อยคนหนึ่งเพราะนางไม่เปิดว่าตัวเองเป็นใคร
เสียงของหลินหยาเอ่ยขึ้นปฎิเสธความยื่นไมตรีมิตรของเขาออกไปอย่างชัดเจน ไม่ใช่ว่าเธอจะเห็นแก่เงินถึงเพียงนั้น “ข้าชอบเงินนะ ข้าเห็นแก่เงินด้วย แต่หากจะให้ข้ารับเงินจากคนที่ข้าทำผิดกับเขานักคิดว่าไม่ควร” หลินหยาเอ่ยขึ้นก่อนที่นางจะลอบถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นเหมือนบอกกับเขาว่าเก็บไปเถิด นางไม่รับหรอก
“ร้านค้าปิดหมดแล้วแต่มีสถานที่หนึ่งยังไม่ปิด..แต่ข้าคิดว่ามันไกลไปคือโรงหมอ และท่านหมออาจจะนอนพักอยู่ ท่านสะดวกเข้าครัวของหอว่านหงเหรินหรือไม่? มันเปิดตลอดคืน แอบทำหน่อยก็ดี หรือท่านจะจ่ายเงินสักเล็กน้อยให้ได้พื้นที่สวนตัวในห้องครัวของที่หอก็เอาแต่ที่ท่านสะดวก” นางเอ่ยบอกขึ้นมาก่อนที่จะหันไปทางด้านในหอว่านหงเหรินอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าของเธอหลุบลงเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายคงจะไม่เห็นว่าตอนนี้เธอทำสีหน้าเช่นไรอยู่เหมือนกัน
“แค่ท่านอาจจะต้องทนกลิ่นของลุ่มราคะ เสียงครวนคราญที่อาจทำให้จิตใจท่านกระเจิงไปสักเสียหน่อย ทำได้ไหม?” นางเอ่ยถามขึ้นมา โดยที่ไม่รู้อยู่เลยว่าการพาอีกฝ่ายเข้าไปจะทำให้คนที่แอบมองอยู่คิดไกลเกินเลยหรือไม่ แต่ไม่รู้หรอกว่าสถานะของเขาเป็นเช่นไร เพราะตนเองก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจในสถานะของใครเลยทั้งสิ้น
@LiuRuxuan
สตรีวัยแรกรุ่นจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะถอนหายใจเหมือนกับว่าเธอนั้นก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ช่วยอะไรคนตรงหน้าได้มากนัก ก่อนที่เสียงด้านหลังของเขาที่กำลังหันจากไปจะดังขึ้นแบบง่าย ๆ “ท่านชายเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” เสียงของเธอเอ่ยเรียกเขาก่อนที่ตัวเองจะเหมือนหยิบของอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าด้านข้างกายของตนเอง กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์ที่นางพกไว้ หญิงสาวหยิบของบางอย่างออกมาแล้วเดินตรงไปหาอีกคน
ยื่นกล่องบางอย่างให้เขาแบบเรียบร้อย “เอาไว้กินดับกระหายสักหน่อยแล้วกันเจ้าค่ะ ข้าคาดว่าท่านชายควรได้ทานอะไรสักหน่อย เพียงเล็กน้อยก็ยังดี ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ มันแค่ขนมเท่านั้น” เธอเอ่ยขึ้นบอก มันเป็นกล่องไม้ที่ภายในบรรจุขนมไหมฟ้า หรือขนมหนวดมังกรหลงซูถังอยู่ภายในนั้น หรือก็คือขนมเส้นไหมที่ทำจากน้ำผึ้งหวานล้ำกวนกับแป้งหลายชนิดแล้วขึงเป็นเส้นม้วนใส่กับถั่วหลากชนิดเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ หอมหวานล้ำลึก และอาจจะคลายความร้อนได้บ้างละมั้ง? นางไม่รู้เหมือนกัน
“หากไม่ต้องการท่านปัดมันทิ้งได้ตลอดนะ” เอ่ยบอกแค่นั้นก่อนที่จะก้มหัวลงแล้วหันหลังกลับมุ่งหน้าตรงกลับไปยังภายในหอว่านหงเหรินอีกครั้งราวกับว่าไม่ว่านางจะออกห่างจากมันเพียงใดนางก็จะกลับไปยังสถานที่แห่งนั้นตลอด ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะจากเงินตรา หรือเพราะอะไรที่ไม่อาจทราบได้เหมือนกัน
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: มอบ ขนมไหมฟ้า จำนวน 1 ชิ้น ให้ LiuRuxuan (ส่งให้แล้ว)รางวัล: -
<br><br><style>
#boxcorecenter2 {
border: 0px solid #152cd5;
padding: 15px;
box-shadow: #6F1D3D 0px 0px 1em;
background-image: url("https://i.supaimg.com/b9d3230b-f96c-4499-8674-546debfa23aa.jpg");
}
</style>
<style>
#boxR0LE2 {
width: 670px;
border: 0px solid #cbb989;
padding: 35px;
box-shadow: #504C4E 0px 0px 1em;
background-image: url("https://i.imgur.com/PNPim8Q.png");}
</style>
<div id="boxcorecenter2">
<div align="center">
<br><br>
<div id="boxR0LE2">
<br><img width="450" src="https://i.supaimg.com/85993dbc-9004-4d8b-ab3b-72ff6c7e0d5c.png" border="0" alt="">
<br><img src="https://i.imgur.com/tDqgS6A.png" width="400" border="0">
<br><font face="Chonburi"><font size="6"><font color="#980000"><b><i> แผนการอันล้มเหลวของหัวหน้าขันที (?)</i></b><br></font></font></font>
<br>
<div align="left">
<font face="Sarabun"><font size="5">
<p style="text-align: center; text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><b><br></b></font></p><p style="text-align: center; text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><b>22 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามไห่ < 21.00 น. - 23.00 น. ></b></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">@LinYa</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แผ่นอกน้อย ๆ ขยับขึ้นลงช้า ๆ ในตอนแรก ราวลมหายใจของผู้ใกล้จะหลับใหล ทว่าไม่นานนัก ความสงบในร่างกายก็กลับแปรเปลี่ยนราวคลื่นใต้หุบธารที่กำลังประทุ เส้นโลหิตพลันพลุ่งพล่านคล้ายมีเปลวไฟแผ่ซ่านอยู่ในอก ลามไปตามเส้นชีพจรจนถึงปลายนิ้วมือปลายเท้า</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายน้อยกระพริบพระเนตรช้า ๆ ความร้อนแผ่วบางคล้ายไอแดดยามฤดูร้อนบนพื้นหินก่อ เริ่มก่อตัวเป็นแรงเคลื่อนไหวลึกลับจากภายใน อุณหภูมิในพระวรกายคล้ายเพิ่มขึ้นโดยไม่ปรานี ไหลเวียนในเส้นเลือดเต้นตุบ ๆ จนได้ยินเสียงหัวใจของตนชัดเจน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ขนพระเนตรยาวกระพือวูบ ดวงเนตรสั่นระริก ไม่ใช่ด้วยความหวาดหวั่น แต่เพราะความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างไหลวนเข้ามาไม่หยุดยั้ง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">อากาศรอบกายหาได้เปลี่ยนไป ทว่าเนื้อในกลับร้อนราวก่อไฟใต้กระทะทอง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระหัตถ์เล็กยกขึ้นแตะพระปรางเบา ๆ รู้สึกถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวหนัง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ป…เป็นอะไรไปกันแน่</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">น้ำทิพย์ที่เมื่อครู่ยังชวนให้เคลิบเคลิ้มในรสและกลิ่น บัดนี้กลับเหมือนตัวยาเล่นกล</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กชายหายพระทัยแรงครั้งหนึ่ง… จากนั้นอีกครั้ง… แต่ลมหายใจกลับยิ่งหน่วงหนัก เหงื่อผุดขึ้นเหนือไรผมแนบหน้าผาก</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">สายพระเนตรตวัดผ่านม่านผ้าโปร่ง… แล้วไหลวกไปยังร่างสูงที่ยังคงยืนประจำอยู่ไม่ไกล ใต้แสงตะเกียงสลัวเงาร่างนั้นนิ่งสงบ ไม่ไหวติง ไม่เอ่ยคำใด มีเพียงรอยยิ้มบางที่ระบายอยู่ตรงมุมปากราวกำลังชื่นชมภาพวาดงามเฉียบ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กชายเม้มพระโอษฐ์แน่น เสียงที่ตั้งพระทัยจะเอื้อนออกกลับถูกแรงร้อนข้างในต้านทานไว้แทบทั้งหมด ทรงอยากเอ่ยถาม ทรงอยากให้ใครสักคนไขความอึดอัดคล้ายถูกกลืนด้วยไฟเช่นนี้ให้กระจ่าง ทว่าเสียงกลับตีขึ้นไปติดอยู่ตรงลำคอ พอจะเรียก ก็กลับเป็นเพียงเสียงอ้อแอ้ที่ไม่มีผู้ใดยิน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระเนตรพราวราวจะคลอด้วยไอร้อน ร่างเล็กเอนพระวรกายพิงเบาะพลางหอบหายใจสั้น ๆ อย่างไม่อาจหักห้าม บางสิ่งบางอย่างในกายคล้ายหลุดจากกรอบระเบียบและควบคุมตนเองไม่ได้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ไยถึงเป็นเช่นนี้… หรือว่า…</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ไม่ทันสิ้นพระดำริ เสียงฝีเท้าก็เคลื่อนเข้ามาในตำหนักโดยไม่ต้องรอรับสั่ง นางกำนัลผู้รับใช้ใกล้ชิดปรากฏกายเบื้องหน้าต่างพร้อมเสื้ออาภรณ์ผืนใหม่ในมือ ไม่มีคำถาม ไม่มีเสียงทัก คล้ายรับคำสั่งมาก่อนหน้าแล้วทุกสิ่ง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายน้อยกัดริมพระโอษฐ์เบา ๆ ขณะพระวรกายถูกประคองเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ความเย็นจากผ้าไหมพาดผ่านผิวก็คล้ายช่วยลดทอนความร้อนที่สุมอยู่ในร่างไปได้บ้าง แต่ก็มิได้หยุดยั้งความรู้สึกแปลกปลอมที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในอก</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">กลิ่นหอมของยาสมุนไพรยังอ้อยอิ่งอยู่ในโพรงจมูก องค์ชายขยับพระหัตถ์เพื่อหยัดพระวรกาย แต่เพียงครึ่งทาง แรงในกายกลับแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนแรงชั่วขณะ ทรงรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะหลอมละลาย กลายเป็นน้ำที่ไหลซึมลงสู่ตั่งไม้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระขนตากระพืออีกครั้งก่อนที่พระเนตรจะตวัดมองไปทางประตู</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">...จู่ ๆ ก็รับรู้ถึงแรงยกแผ่วเบาที่รองรับพระวรกาย พระอังสาถูกพาดทับอย่างมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว สัมผัสนั้นราวสายลมกลางฤดูร้อนที่เข้ามาแผ่วเบาแต่แนบแน่น</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แม้สายพระเนตรจะพร่าเบลอไปด้วยไอร้อน แต่อุ่นสัมผัสนั้นกลับแน่นอนยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กชายเม้มพระโอษฐ์ พลางเอียงพระเศียรซบลงโดยไร้ถ้อยคำ ความหนักแน่นของอ้อมแขนที่อุ้มพระวรกายมิได้ให้ความรู้สึกของการแบกหาม หากแต่ประหนึ่งอุ้มของล้ำค่าที่ไม่อาจหล่นแม้เพียงปลายเส้นผม</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">สายลมภายนอกตำหนักพัดผ่านผ้าม่าน บดบังพระพักตร์ของเด็กน้อยไว้ครู่หนึ่ง เมื่อม่านผ้าถูกยกขึ้นอีกครั้ง ร่างขององค์ชายก็มิได้อยู่ในตำหนักตงเฉินนั้นอีกแล้ว…</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">@LinYa</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">คืนฤดูร้อนแผ่ไออุ่นอยู่บนพื้นหินของนครหลวง แต่ในห้วงยามไห่ที่ลมเปลี่ยนทิศและเงาจันทร์ลอยสูงจนแทบแตะขื่อพระตำหนักนั้น องค์ชายน้อยแห่งวังหลวงกลับรู้สึกราวพระวรกายจะแตกสลายจากความร้อนที่มิอาจอธิบาย</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">สัมผัสจากท่อนแขนของผู้แบกประคองนั้นมั่นคงและเยือกเย็นจนเกือบจะหลงคิดว่าเป็นภาพฝัน ท่ามกลางความพร่าเลือนของดวงเนตร ทุกอย่างรอบตัวคล้ายจะละลาย ไอร้อนในกายยังคงกรุ่นพล่านแม้ยามที่สายลมกลางคืนปะทะพระพักตร์</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เสียงอึกทึกเบื้องไกลขับเคลื่อนเข้าสู่พระกรรณทีละน้อย</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">กลิ่นกำยานบางชนิดแทรกซึมมาในอากาศ กลิ่นที่ไม่ใช่ของวังหลวง ไม่ใช่เครื่องหอมจากตำหนักนางกำนัล แต่กลับแฝงด้วยความหวานฉุน กลิ่นที่อุ่นจนแทบจะเร้าให้ใจเต้นแปลกประหลาด</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายน้อยเริ่มรู้ตัว… ว่าถูกพาออกจากเขตพระราชฐานเสียแล้ว</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เสียงหัวเราะของบุรุษ เสียงเพลงกล่อมอารมณ์ และกลิ่นของน้ำอบที่ต่างจากที่คุ้นเคยกำลังหลอมรวมอยู่ในบรรยากาศ เด็กน้อยขมวดพระขนงเพียงเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดพระเนตรฝืนลืมขึ้นอีกครั้งเพื่อจับทิศทาง ทว่าภาพตรงหน้าเป็นเพียงม่านผ้าบางที่โอบล้อมด้านข้าง ราวกำลังซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของเงาในคืนมืด</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เมื่อเสียงฝีเท้าของผู้พาเดินเริ่มช้าลง เด็กชายก็พลันได้ยินเสียงบานประตูไม้เปิดออกเบา ๆ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">กลิ่นอาหารชั้นดีจาง ๆ ลอยมาแตะปลายพระนาสิก พร้อมกับกลิ่นเหงื่อและผ้าฝ้ายสะอาดบริสุทธิ์ ความคุ้นเคยแบบแปลกใหม่พุ่งวาบเข้ามาในหัวใจ เขาไม่เคยรู้จักกลิ่นนี้มาก่อน แต่มันกลับไม่ทำให้ระคายเคือง ตรงกันข้าม… กลับรู้สึกเหมือนอยู่ในผ้าห่มผืนเก่าแก่ที่คนเฒ่าเคยใช้ซุกยามเหมันต์ฤดู</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระวรกายไหววูบเล็กน้อยเมื่อผู้แบกหยุดก้าว และในชั่วเสี้ยวนาทีนั้น พระเนตรเล็ก ๆ ก็พลันได้เห็นภาพเบื้องหน้า</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">หญิงสาวคนหนึ่งในชุดผ้าฝ้ายบางกำลังเดินออกจากประตูไม้สีชาดของสถานที่ที่ไม่คุ้นตา แสงคบเพลิงยามดึกสะท้อนร่างนางให้ขยับไหวคล้ายเงาของจันทร์กระเพื่อมในน้ำ นางมีสีหน้าล้าเล็กน้อย ท่วงท่าไม่ใช่ของอิสตรีชั้นสูง ทว่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายของคนที่ใช้แรงกายมาแล้วทั้งวัน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">กลิ่นเหงื่อจาง ๆ คลอเคล้าไปกับกลิ่นอาหารที่ติดตรงขอบแขนเสื้อ รอยเปื้อนบาง ๆ ที่มุมผ้าบ่าทำให้เขาแน่ใจว่านางมิใช่นางโลม แต่เป็นคนงานครัว หรือพวกเสิร์ฟอาหารในหอรื่นรมย์แห่งนี้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ดวงเนตรที่เคลือบไอร้อนขององค์ชายจับอยู่ที่ร่างนางครู่หนึ่ง ก่อนที่พระหัตถ์จะเผลอขยับเกร็งขึ้นเล็กน้อยในอ้อมแขนของผู้พาเดิน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">…กลิ่นนี้เอง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">กลิ่นที่ติดอยู่ตรงขอบเสื้อของหญิงนางนั้น… คล้ายกับกลิ่นที่ติดอยู่ที่ถ้วยยาน้ำทิพย์เมื่อต้นคืน… มิใช่กลิ่นยาจีน แต่เป็น… กลิ่นของสตรีผู้นี้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายน้อยแม้อยู่ในสภาพที่พร่าเลือนไปครึ่งหนึ่งด้วยฤทธิ์ยา แต่ความรู้สึกอยากรู้ อยากเข้าใจ และความใคร่รู้ในจิตใจก็พลุ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ พระเนตรยังคงมองตามร่างของหญิงสาวที่เดินบิดไหล่คลายความเมื่อยโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาหนึ่งจับจ้องอย่างเงียบงัน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ในหัวพลันมีคำถามแล่นวาบขึ้นมาอีกครั้ง นางใช่หรือไม่… ผู้ที่ทำยาตุ๋นถ้วยนั้น</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ถ้าใช่จริง… แปลว่าเขากำลังอยู่ในที่ที่ไม่ควรจะอยู่… และกำลังจะได้พบคนที่ไม่ควรได้พบ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ร่างน้อย ๆ ขยับเบา ๆ ในอ้อมแขนของผู้แบก ราวกับต้องการยกพระวรกายขึ้นเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ได้มองหญิงผู้นั้นอีกสักครา แต่มิอาจฝืนแรงภายในได้มากไปกว่านั้น</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระเนตรพร่ามัวขององค์ชายยังไม่ละไปจากเงาร่างของหญิงในผ้าฝ้าย</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แม้ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ยออกมา แต่ในพระทัยกลับพล่านไปด้วยถ้อยความหลากหลาย</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ถ้านางเป็นคนทำ… ข้าจะต้องคุยกับนางให้ได้ ข้าจะถามให้ได้ว่าใส่อะไรลงไปในยานั้น… และแล้วม่านผ้าก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง… และร่างขององค์ชายน้อยก็พลันหายลับไปในเงาของคบเพลิงที่ยังคุกรุ่นไม่สิ้นราตรี</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">@LinYa</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของผู้ที่แบกพระวรกายของเด็กน้อยไว้หยุดลงใต้เงาของเสาไม้ต้นหนึ่งริมระเบียงหอว่านหงเหริน แสงจากโคมไฟหินหยกสีแดงอมทองที่แขวนเรียงรายอยู่ตามทางเดินสะท้อนแสงอ่อนนวลลงบนพระพักตร์ขาวนวลขององค์ชาย ร่างที่อบอุ่นร้อนรุ่มเมื่อครู่ บัดนี้แม้ยังมีไอร้อนล้อมกายอยู่ แต่ก็เริ่มมีสติกลับมาเล็กน้อยเมื่อถูกพัดโบกด้วยลมเย็นจากภายนอกหอ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ดวงเนตรเรียวยาวของเด็กชายที่แม้ยังพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยา กลับจับภาพร่างของใครคนหนึ่งไว้ในห้วงสายตา หญิงสาวร่างเล็กในชุดผ้าฝ้ายบาง สวมเสื้อสีอ่อน รอยเปื้อนจางจากซุปหอมบนแขนเสื้อยังไม่ทันจางจึงส่งกลิ่นชวนให้คุ้นเคย</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะเอื้อนพระวาจาออกไป เสียงของผู้แบกกายก็เอ่ยขึ้นชัดถ้อยชัดคำ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#4169e1">“องค์ชาย… กระหม่อมขอตัวลาเพียงครู่”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระขนงขององค์ชายเลิกขึ้นแผ่ว ๆ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“…หา จะทิ้งข้าไว้ที่นี่..”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เสียงของเด็กน้อยเปล่งออกมาเบากว่าที่ตั้งพระทัย เพราะไอร้อนในกายยังทำให้พระสุรเสียงสั่นเครือเหมือนกระดิ่งทองในสายลม ชั่วขณะหนึ่ง องค์ชายน้อยทรงคิดว่าจางกงกงเพียงจะปล่อยเขาไว้เพื่อซ่อนตัวจากใคร ทว่าประโยคต่อมากลับตอกย้ำบางสิ่งที่ยิ่งแปลกกว่าเดิม</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#4169e1">“กระหม่อมอยากให้พระองค์… ลองสนทนากับสตรีผู้นั้นดู”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างของเด็กน้อยในอ้อมแขนถึงกับขืนตัวขึ้นเล็กน้อย ดวงเนตรเบิกกว้าง แล้วก็เลื่อนมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล… คนผู้นั้น?</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">หญิงนางนั้น?</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">หญิงสาวตัวเล็ก ผิวผ่องนวล ท่าทางคล้ายแมวขี้ตกใจที่แอบเข้าไปในห้องขุนนาง นางดูเหนื่อยอ่อน แต่มีประกายสดใสในแววตา ดวงหน้าคล้ายตุ๊กตาเคลือบเงา ยิ่งเมื่อยามแสงไฟสะท้อนจากเสาไม้ กลับยิ่งเหมือนภาพฝันในม่านหิมะ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระวรกายขององค์ชายเกร็งเล็กน้อย มือเล็ก ๆ กำแน่นแนบตัก</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“ทำไมข้าต้องยุ่งกับนาง?” </font><font color="#000000">เด็กชายเอ่ยเสียงเบา สีพระพักตร์ที่เคยเฉยเมยฉายแววระคนทั้งประหลาดใจ ขัดใจ และ… ประหม่าเล็กน้อยอย่างยากจะปฏิเสธ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระเนตรละจากหญิงสาวตรงหน้า แล้วเหลือบไปมองใบหน้าด้านข้างของจางกงกง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ไม่มีคำตอบ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">จางกงกงไม่อธิบาย</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ไม่ยิ้ม ไม่ขยับ ไม่สนว่าเด็กน้อยจะคิดอย่างไร เพียงคลี่มุมปากออกเล็กน้อยก่อนปล่อยพระวรกายเด็กชายลงอย่างระวัง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#4169e1">“ยามนี้… สมควรแล้วที่ควรให้คนรุ่นเยาว์สนทนากันบ้าง”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">นั่นคือคำสุดท้ายของเขาก่อนจะหมุนกายเดินจากไป เงาของร่างสูงผอมสลายหายไปในม่านเงาเหมือนลมค่ำคืนที่พัดเฉียดใบหน้าแล้วไม่ย้อนกลับ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กน้อยยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่เพราะฤทธิ์ยา ไม่ใช่เพราะล้า แต่เพราะสตรีตรงหน้าไม่ควรอยู่ในบทใดในชีวิตของเขาเลยแม้แต่น้อย</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แต่ตอนนี้… นางอยู่ตรงหน้าแล้ว</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แม้จางกงกงจะไม่บอกเหตุผล</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แต่บางที... เขาก็อาจต้องถามหาคำตอบจากนางเอง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายน้อยสูดลมหายใจเบา ๆ ยกพระหัตถ์ลูบชายอาภรณ์ให้เรียบร้อย ยืดพระวรกายขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงเหลือบเนตรไปทางหญิงสาวที่ยังคงยืนอยู่ราวกับไม่แน่ใจว่าจะเดินต่อ หรือถอยกลับดี</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“……ท่านคือผู้ใดหรือ”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เสียงเบานัก… คล้ายจะถามกับลมยามราตรี</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แต่ก็ส่งไปถึงหญิงตรงหน้าได้พอดิบพอดี</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">@LinYa</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">คำพูดของหญิงสาวในผ้าฝ้ายแผ่วเบาแต่อบอวลไปด้วยมารยาท และไร้เดียงสาเสียจนองค์ชายน้อยเผลอชะงักไปชั่วอึดใจ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้านางนั้นใสเสียจนแทบจะสะท้อนแสงจันทร์ได้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เขาเคยเห็นใบหน้าของผู้คนมาแล้วมากมาย ทั้งขันทีที่แสร้งแสดงความจงรักภักดี ทั้งขุนนางที่ปั้นหน้าอ่อนน้อม ทั้งนางกำนัลที่ข่มความเหนื่อยล้าไว้ใต้รอยยิ้มเยือกเย็น แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้า… คือความไม่รู้ซึ่งสิ่งใดเลยจริง ๆ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">นางไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">นางอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่พาเขามาคือใคร</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">และนาง… อาจจะยังไม่รู้แม้กระทั่งว่านางได้มอบสิ่งใดให้ใคร</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระเนตรที่ยังคงหลงเหลือไอร้อนปรือ ๆ จากฤทธิ์ยา จับจ้องไปยังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของนางตรงหน้า สตรีตัวบางผู้ซื่อบริสุทธิ์ในแบบที่น่าหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เขากลืนน้ำลายลงช้า ๆ พลางเบือนพระพักตร์เล็กน้อยอย่างคนที่กำลังกลืนอะไรบางอย่างไม่ลง แล้วเม้มพระโอษฐ์ไว้ครู่หนึ่ง แล้วความเข้าใจบางอย่างก็ก่อตัวขึ้นในใจราวประกายเพลิงที่ถูกจุดให้ชัดขึ้นด้วยน้ำมัน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">...อ้อ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">จางกงกงไม่ได้ต้องการให้นางสอนเขาทำอาหาร ไม่ใช่เพื่อชมฝีมือในครัว ไม่ใช่เพราะยาตุ๋นนั่นอร่อยเสียจนเขาต้องรู้จักคนทำ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ไม่เลย</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">หากแต่เป็น…การดูว่าเขาจะ ‘ทำอย่างไร’ เมื่อต้องอยู่ต่อหน้านางผู้นี้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายน้อยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจลึก ดึงพระสติกลับคืนอย่างแนบเนียนที่สุดพระเนตรที่มองนางครั้งนี้… เปลี่ยนไป</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“ท่านชื่อหลินหยาใช่หรือไม่?” </font><font color="#000000">พระสุรเสียงของเขาเอ่ยขึ้นในที่สุด ทรงตัดท่าทีงุนงงที่ก่อนหน้าออกจากพระอิริยาบถราวพลิกฝ่ามือ </font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“ข้าขอถามเพียงหนึ่งคำถามเท่านั้น”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กชายผายพระกรเล็กน้อย พระอังสาเหยียดตรงราวไม่ยินดียินร้าย แต่ท่าทางนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงกดดันบางอย่างที่แม้เขายังเล็กวัย ทว่ากลับมิอาจมองว่าเป็นแค่เด็กหนุ่มทั่วไปได้อีกต่อไป</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระเนตรของเขาไม่ไหวระริกเหมือนเมื่อครู่ แต่กลับแน่วนิ่งและตรงไปตรงมาราวจะเจาะทะลุใจ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“สิ่งที่ท่านมอบให้ชายที่พาข้ามาเมื่อครู่…”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ปลายนิ้วเล็กแตะลงที่พระอุระเบา ๆ แผ่วเหมือนจะกลบเกลื่อนความร้อนที่ยังคงหมุนวนในอก</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“มันคือสิ่งใดกันแน่?”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายจ้องตานาง รอคอยคำตอบโดยมิเอ่ยแม้ครึ่งคำต่ออีกแล้ว ทรงมั่นใจว่านางไม่รู้ว่าได้ทำสิ่งใดลงไปบ้าง… และนั่นแหละคือสิ่งที่เขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้ด้วยตนเอง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">@LinYa</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ลมราตรีพัดแผ่วพาเอากลิ่นกำยานจากหอว่านหงเหรินแทรกเข้ามาในโพรงจมูก ไออุ่นจากพื้นหินยามกลางวันยังไม่ทันจางหายดี บัดนี้กลับประดังเข้าประสานกับไอร้อนภายในกายของเด็กน้อยผู้นั่งนิ่งอยู่ใต้เสาระเบียง ร่างกายของเขายังอุ่นจัดอยู่ภายใน แม้ข้างนอกจะมีลมเย็นก็ตามที</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ดวงเนตรสีดำสนิททอดมองสตรีตรงหน้า นางพูดออกมาอย่างใสซื่อ พระกรรณได้ยินชัดถ้อย น้ำเสียงนั้น… มิใช่หลอกลวง มิใช่เล่ห์เหลี่ยม หากแต่เต็มไปด้วยความจริงใจอย่างไร้ชั้นเชิง จนบางทีอาจซื่อจนดูน่าเป็นห่วงเสียด้วยซ้ำ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แต่คำตอบนั้น... ไม่ได้คลายข้อสงสัยของเขาเลยแม้แต่น้อย</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“น้ำทิพย์… กวางตุ๋น… ยาจีน?”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กน้อยทวนคำในใจอย่างช้า ๆ ขณะขมวดพระขนงแน่นขึ้นเพียงน้อย ราวกับกำลังพยายามปลดปมด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เสียงหอบแผ่ว ๆ ยังคงหลุดจากริมพระโอษฐ์ ร่างเล็กยังมีอาการวูบวาบประหนึ่งมีไฟวิ่งแล่นอยู่ใต้ผิวหนังตั้งแต่ฝ่าพระบาทไล่ขึ้นไปถึงท้ายทอย ทรงรู้สึกเหมือนเส้นโลหิตเต้นระรัว พลังในร่างประหลาดราวไม่ใช่ของตนเอง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายน้อยยังไม่เข้าใจว่า "ตุ๋นยา" คือสิ่งใด รู้เพียงแค่ว่ามันร้อนเกินควร และทำให้ตนแทบควบคุมพระสติไม่ได้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“เหตุใด… ถึงเป็นเช่นนี้…”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กชายมิได้เปล่งเสียงนั้นออกมา หากแต่ประโยคนั้นผุดขึ้นในพระทัยดังตีกลอง ตลอดพระชนม์ชีพที่ผ่านมา แม้จะยังสั้นนัก ทว่าก็ไม่เคยมีสิ่งใดทำให้พระวรกายตอบสนองได้รุนแรงเพียงนี้ ร้อนรุ่มแปลกประหลาด อึดอัดคล้ายจะหลอมละลาย ทว่าไม่เจ็บ ไม่ปวด…</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระหัตถ์เล็กยกขึ้นแตะเบา ๆ ที่พระอุระ จุดที่ชีพจรเต้นแรงจนแทบสะเทือนกับกระดูกซี่โครง ก่อนที่ดวงเนตรจะหรี่ลงอย่างใช้ความคิด</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">จางกงกง… เหตุใดเขาต้องพาตนมาที่นี่</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เหตุใดเขาต้องพูดให้อยู่กับนางผู้นี้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">และเหตุใดจึงถึงไม่อธิบายสรรพคุณยานั้นให้ชัด</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระเนตรเลื่อนลอบมองหอว่านหงเหรินอีกครั้ง ลมหอมที่พัดออกจากภายในยังคงแตะต้องปลายพระผมกลิ่นละมุนหวานฉุนปนอยู่กับเสียงพิณและเสียงหัวเราะของอิสตรีที่ลอดออกมาจากม่าน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">หอรื่นรมย์แห่งนี้… คือที่ที่ชายหนุ่มมากมายแสวงหาความสุขหลังราตรี </font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">กลิ่นในอากาศ เสียงในหู สภาพร่างกายของเขา…</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กชายเริ่มปะติดปะต่อได้เพียงเลา ๆ แม้ยังไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้ง แต่ก็จับได้ว่า… ยานี้ไม่ได้สร้างมาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยแน่แท้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“หรือว่า…”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระโอษฐ์เม้มแน่นอย่างควบคุมอารมณ์บางอย่าง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">นี่คือกับดัก หรือคือบททดสอบจากจางกงกง? หรือเพียงแค่เรื่องบังเอิญที่สตรีผู้นี้มอบสิ่งอันตรายแก่ตนโดยไม่รู้เลยว่าทำสิ่งใดลงไป</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กชายปรายพระเนตรกลับไปยังหลินหยาอีกครั้ง ร่างนางยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนไม่รู้เลยว่าคำพูดของนางได้จุดไฟใดไว้ในอกขององค์ชาย</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“ข้าไม่เข้าใจว่าท่านใส่อะไรลงไปบ้าง…”</font><font color="#000000"> เสียงนั้นเบานัก แผ่วประหนึ่งสายลมพัดบนบึงในราตรี</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“แต่สิ่งนั้น… ทำให้ข้าร้อน… ไม่หยุดเลย”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระเนตรของเด็กน้อยมองตรงไป คล้ายไม่กล้ากล่าวสิ่งใดที่ไม่แน่ชัด เพราะทรงรู้ดี ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด การกล่าวหาผู้อื่นโดยไร้หลักฐาน ย่อมไม่เป็นเรื่องงดงามสำหรับผู้เป็นเชื้อพระวงศ์</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">@LinYa</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">คำพูดของหลินหยาดังแผ่วเบาอยู่ท่ามกลางความเงียบของยามดึก แต่กลับกระแทกเข้าสู่ห้วงพระหฤทัยขององค์ชายอย่างแม่นยำ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กชายเบิกพระเนตรเล็กน้อย สองหูได้ยินครบถ้วนทุกพยางค์ แม้นางจะพูดอย่างสุภาพและระมัดระวัง น้ำเสียงคล้ายจะปรานีปนลำบากใจอยู่ในที แต่เนื้อหากลับกระจ่างยิ่งกว่าการบรรยายตำราแพทย์ในตำหนักในเสียอีก</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“…กระตุ้นกำลังวังชาของบุรุษเพศ…”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระขนงเล็ก ๆ ขมวดเข้าหากันทันใด หากมิใช่เพราะยังรู้จักควบคุมพระวาจาแล้วไซร้ คำอุทานยาวเหยียดน่าจะหลุดออกมาจากปากของเด็กน้อยแล้วเป็นแน่ ทว่าสิ่งที่หลุดออกมาแทนกลับเป็นเสียงถอนพระทัยแผ่ว ๆ อย่างอ่อนระอา</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“เฮ้ออ…”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ทรงก้มพระพักตร์ลงเล็กน้อย ทรงไม่รู้ว่าควรโกรธ ควรขำ หรือควรหนีหายไปใต้พื้นดินดีเสียด้วยซ้ำ พระอุระยังคงอุ่นร้อนลุกลามเร้าอยู่เหมือนคลื่นใต้น้ำที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง บัดนี้แม้แต่เส้นผมก็เหมือนจะมีไออุ่นแทรกอยู่ข้างใน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ดรุณน้อยเหลือบเนตรไปมองเงามืดด้านข้างอีกครั้ง เงียบ ไม่มีวี่แววของจางกงกง ไม่มีแม้แต่ปลายชายอาภรณ์สีม่วงจาง ๆ ที่มักจะสะบัดล้อเล่นกับลม</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“เขาแกล้งข้าชัด ๆ…”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">คำพูดนั้นแม้จะไม่ได้หลุดออกมาเป็นเสียง แต่ภายในใจของเด็กชายแทบจะพ่นควันออกมาได้ ยิ่งคิดถึงสีหน้าเรียบนิ่งที่มีรอยยิ้มเล็ก ๆ ประดับอยู่นั้นแล้ว เขายิ่งอยากยื่นพระหัตถ์ไปเขย่าคอเสื้อคนผู้นั้นเสียจริง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระโอษฐ์เล็กเม้มแน่นครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดพระลมหายใจเข้าเต็มพระอุระอีกรอบ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ฤทธิ์ยานั่น…ช่างร้ายกาจเหลือเกิน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">กระตุ้นกำลังวังชาอย่างนั้นหรือ ทำไมต้องกระตุ้นกันตั้งแต่เด็กด้วย? หรือว่าจางกงกงเห็นว่าตนเป็นบุรุษคนเดียวในตำหนักจึงคิดอยากให้เริ่มหัดเรื่อง ‘พรรค์นั้น’ ตั้งแต่ยังไม่ทันหมดน้ำนม</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กน้อยกัดฟันกรอดในใจแต่ก็ยังวางพระองค์อย่างสุขุมที่สุดเท่าที่จะทำได้ สายพระเนตรเลื่อนไปยังสาวน้อยตรงหน้าอีกครั้ง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">นางยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทีราวกับกำลังหาวิธี ‘ดับไฟ’ บางอย่างให้เขา</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดก็ทรงเอื้อนสุรเสียงแผ่วเบา แต่ชัดเจน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“ท่าน…” </font><font color="#000000">พระสุรเสียงนั้นไม่แข็งกร้าวนัก กลับคล้ายผู้ที่กำลังข่มความประหม่าไว้เต็มที่ </font><font color="#000080">“มีหนทางใด… ที่จะบรรเทาหรือแก้ไขอาการนี้ โดยไม่ต้อง… เข้าไปในหอนั้น บ้างหรือไม่?”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">คำว่า หอนั้น ถูกเน้นเบา ๆ พลางพระเนตรปรายไปทางหอว่านหงเหรินอย่างระวัง คล้ายเพียงแค่พูดถึงก็รู้สึกว่าตนจะถูกดูดกลืนหายไปกับม่านกำยานและเสียงพิณ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“…ข้าไม่อยากเข้าไปในนั้น” </font><font color="#000000">เด็กน้อยเสริมเบา ๆ พลางเหลือบพระเนตรไปทางนางอย่างระคนทั้งวิงวอนและดื้อเงียบ</font><font color="#000080"> “ข้าเพียง อยากหาย… เฉย ๆ”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เสียงนั้นไม่ต่างจากลูกแมวเปียกฝนที่ยังพยายามวางท่าเป็นราชสีห์ องค์ชายยังคงรักษาเส้นสง่างามของตนไว้ไม่ให้พร่าเลือน ทว่าไอแดงจาง ๆ บนพระพักตร์และเสียงแหบเครือแฝงอยู่ในคำพูดก็บอกชัดว่า พระองค์มิได้สงบเท่าที่อยากให้เป็น</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แม้จะเป็นราตรีอันแสนหนาว… แต่ไฟที่ลุกวาบอยู่ในร่างนี้ กลับมิอาจดับได้เพียงแค่ยืนนิ่งเท่านั้น</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ดวงเนตรที่มองหลินหยาตรง ๆ จึงเปล่งแสงอ้อนวอนบางอย่างซ่อนอยู่ในก้นบึ้ง ไม่ใช่จากฐานันดร หากแต่เป็นเพียง “เด็กชาย” ผู้หนึ่ง… ที่กำลังร้องขอความช่วยเหลืออย่างเงียบงัน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">@LinYa</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ลมกลางฤดูร้อนแม้จะแผ่วเบา ทว่าก็มิอาจดับไอร้อนภายในอกขององค์ชายน้อยลงได้เลยแม้แต่น้อย ขณะทรงยืนนิ่งฟังคำแนะนำอันยืดยาวของหญิงสาวตรงหน้า น้ำเสียงของนางมิได้มีสิ่งใดผิด หากแต่แฝงไปด้วยความรู้จากตำราและกลิ่นไอของความใสซื่อปนความห่วงใยที่ไม่อาจซ่อนเร้น</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แตงโม… ถั่วเขียว… เปลือกส้มแห้ง…</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กชายเคยอ่านตำรารักษาโรคมาก่อนในตำหนักไท่โฮ่วอยู่บ้าง เรื่องธาตุร้อน ธาตุเย็น หรือการใช้เก๊กฮวยช่วยถ่ายพิษน่ะหรือ… แม้ไม่เคยลองเอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยิน ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งจะได้ฟังเช่นนี้จากปากของหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มตัวเล็ก ๆ ที่ดูไม่มีอะไรเหมือนนางแพทย์เลยสักนิด</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">นางพูดจาราวอาจารย์ย่อส่วน แต่กลับไม่ขยับเข้าหาแม้สักก้าวเดียว คงเพราะกลัว หรืออย่างน้อยก็ระแวงอยู่ในที นั่นยิ่งทำให้เด็กชายรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">หรูเสวียนก้มพระพักตร์ลงเล็กน้อย มองที่ปลายพระบาท ยืนเงียบอย่างประเมินทางเลือก ในขณะที่พระอุระยังคงพลุ่งพล่านเหมือนมีเปลวไฟซุกซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง ราวต้องคำสาปที่ยังหาวิธีถอดถอนมิได้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ในค่ำคืนที่นครฉางอันกำลังจะเข้าสู่นิทรา ร้านรวงที่อาจมีของเช่นนั้นคงหายากนัก ทว่า… ดีกว่ายืนอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้ฤทธิ์ยาเล่นงานไปมากกว่านี้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระหัตถ์เล็ก ๆ ล้วงเข้าไปยังถุงเงินที่ผูกแน่นไว้กับสายรัดภายในอาภรณ์ เย็บไว้แนบพระองค์เพื่อมิให้หลุดหายในยามวิ่งเล่นหรือกระโดดโลดเต้นแบบที่เคยทำ ทรงหยิบเหรียญทองออกมาห้าเหรียญ ลำแสงจากโคมไฟกระทบผิวโลหะสะท้อนวาววับแต่ไม่ฉูดฉาด ดวงเนตรคมขององค์ชายน้อยหรี่ลงเพียงน้อยขณะทอดพระเนตรไปยังเด็กสาวตรงหน้าอีกครา</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แม้แสงสลัวจะพร่าเลือน แต่ใบหน้าของหลินหยาก็ยังดูอ่อนโยนแบบไม่จงใจ มีบางอย่างในท่าทีของนาง… ที่ไม่ใช่นางโลม ไม่ใช่นางรำ ไม่ใช่แม่ค้าขายของ แต่ก็ไม่ใช่หญิงผู้สูงศักดิ์ นางเป็นเพียง “ใครบางคน” ที่บังเอิญช่วยเขาไว้ในยามค่ำคืนเช่นนี้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“ข้ามีนามว่า เสวียนอิ๋ง”</font><font color="#000000"> เขาเอ่ยเสียงเรียบแต่สุภาพนัก</font><font color="#000080"> “ขออภัยที่แนะนำตัวช้า… คุณหนู”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">คำว่า ‘คุณหนู’ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพ ไม่ใช่ประชดประชัน พระวรกายยังไม่มั่นคงนัก แต่ก็ทรงยืดพระองค์ให้ตรงที่สุด</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">จากนั้นเด็กชายก็ยื่นเหรียญตำลึงทองห้าเหรียญไปเบื้องหน้า</font><font color="#000080"> “เพื่อขอบคุณที่ท่านช่วยชี้แนะ ข้าขอมอบเหรียญเล็ก ๆ นี้ไว้ตอบแทนน้ำใจ แม้มิได้มากนัก แต่หวังว่าท่านจะไม่ถือสา…”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">น้ำเสียงของเขาอ่อนลงตอนเอื้อนคำสุดท้าย คล้ายกลัวว่านางจะไม่รับ กลัวว่านางจะรู้สึกว่าเป็นการซื้อไมตรี ทว่าความจริงแล้วมันมาจากในทรวงที่รู้สึกผิดมากกว่า… รู้สึกว่าตนเองเป็นภาระให้ผู้อื่น</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายยืนเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อย ดวงเนตรดำสนิทยังคงปรืออยู่ด้วยฤทธิ์ยาแต่ชัดเจนในน้ำเสียง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“คุณหนู… พอทราบหรือไม่ว่ายามไห่นี้ ยังมีร้านรวงใดเปิดอยู่บ้าง?”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">หยุดหายใจเพียงครู่ เด็กชายก็กล่าวต่ออย่างมุ่งมั่น</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“ข้าจะลองไปดู หากยังมีที่ไหนเปิด… บางที ข้าคงได้ดับไฟในอกตนเองเสียที”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">คำว่า ไฟในอก มิใช่เพียงความร้อนทางกาย แต่รวมถึงความขุ่นเคืองและมึนงงทั้งหมดที่มัดพันหัวใจของเขาไว้ตลอดคืน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">@LinYa</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ดรุณน้อยยืนนิ่งอยู่กลางแสงโคมที่ทอดตัวเลือนลางบนพื้นหิน เงาร่างเล็กทอดยาวเหมือนจะกลืนเข้ากับเงาเสาไม้ในค่ำคืนอันเงียบงัน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เมื่อหลินหยาเอ่ยปฏิเสธการหยิบยื่นตำลึงทองอย่างหนักแน่น ดวงเนตรดำขลับขององค์ชายก็เบิกเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ก่อนจะลดลงเป็นรอยคลี่แผ่วของแววตา</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เขาเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักพระเศียรน้อย ๆ อย่างยอมรับ สีพระพักตร์สงบแม้ในอกยังมีกลิ่นอายของไอร้อนรบกวนอยู่ทุกอณู</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แม้ในใจจะยังมิคลายร้อนรุ่มจากฤทธิ์ยา แต่ประโยคเรียบง่ายของนางกลับช่วยก่อความสงบบางเบาในอก ความรู้สึกผิดของนางมิได้ระบายด้วยคำขออภัยอันฟุ่มเฟือย แต่ปรากฏอยู่ในทุกการตัดสินใจ และนั่นคือสิ่งที่องค์ชายมองออก</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">หญิงนางนี้... ใช่จะไม่เห็นแก่เงิน แต่กลับมีขอบเขตของตนชัดเจน มีเส้นแบ่งระหว่างความพอใจ กับศักดิ์ศรีที่ไม่ยอมปล่อยให้ใครหยิบยื่นอย่างสุก ๆ ดิบ ๆ นางดูเหมือนไม่รู้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับใคร แต่กลับยืนหยัดอยู่บนความเชื่อของตนเองโดยไม่หวั่นไหว</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กชายเก็บเหรียญทองกลับใส่ถุงอย่างเงียบเชียบ สัมผัสของโลหะเย็นแนบกับปลายนิ้วนั้น ช่างตัดกับไอร้อนภายในกายจนองค์ชายรู้สึกคล้ายกำลังแบ่งโลกออกเป็นสองขั้ว</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ครั้นได้ฟังคำแนะนำเรื่องการเข้าใช้ห้องครัวของหอว่านหงเหริน เสวียนอิ๋งน้อยพลันชะงัก</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“แอบเข้าไป…”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ภาพที่หญิงสาวเอ่ยถึง การทนกลิ่นหอมฉุนจากราคะ เสียงกระซิบ เสียงหัวเราะ เสียงเสียดแทรกจากม่านและหมอนเบาะที่ล้อมรอบสถานที่นั้นชัดเจนราวปรากฏอยู่ภายในใจ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เมื่อได้ฟังข้อเสนอเรื่องการใช้ครัวในหอว่านหงเหริน ดรุณน้อยนิ่งไปทันที แค่เพียงคำว่า ‘กลิ่นลุ่มราคะ’ และ ‘เสียงครวญคราง’ ก็ทำให้พระพักตร์ขาวนวลขึ้นสีเรื่อแดงแจ่มจนแทบจะระเบิดได้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">กลิ่นอายของโลกีย์ เสียงหัวเราะลับหลังม่าน เสียงพิณแผ่วที่แฝงความวาบหวาม ใต้เงาแสงไฟที่สั่นระริกเหมือนเปลวเทียนใกล้ดับ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ในยามที่กายยังอ่อนแรง และจิตใจยังพร่าไหวเพราะฤทธิ์ยา การเข้าไปในสถานที่เช่นนั้น… เปรียบดังเหยียบขอบเหว หากสติเพลี่ยงพล้ำเพียงน้อย ก็อาจกลิ้งตกลงไปโดยไม่รู้ตัว</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แม้นางตรงหน้าเขาจะไม่มีเจตนาอันใด แต่ผู้ที่ อยู่ในเงา นั้นเล่า? จางกงกงอาจยังเฝ้ามองอยู่ที่ใดสักแห่งก็เป็นได้ หากเขาก้าวตามเข้าไป สายตาคู่นั้นอาจตัดสินอะไรออกไปตามที่เขาไม่ตั้งใจ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เขาจะไม่ยอมให้ จางกงกง ได้หัวเราะขบขันอยู่เงียบ ๆ อย่างคนรู้ทันแน่นอน หรูเสวียนรู้ดี… ว่าถ้าก้าวข้ามธรณีประตูหอนั้นไป คงได้ยินเสียงของจางกงกงหัวเราะอยู่ในใจ ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็ตาม</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายจึงถอนพระทัยเบา ๆ และเงยพระพักตร์ขึ้นอีกครั้ง พระสุรเสียงนุ่มนวลเอื้อนเอ่ยโดยไม่เหลือร่องรอยของความลนลาน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เมื่อคิดได้แน่วแน่แล้ว เด็กชายจึงยืดพระวรกายขึ้นอย่างมั่นคงขึ้นกว่าเดิม ทรงบังคับเสียงให้นิ่งที่สุดแม้พระวรกายยังคงร้อนระอุอยู่ภายใน</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายเม้มพระโอษฐ์เล็กน้อย แล้วทอดพระเนตรต่ำลงในอึดใจ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เงาโคมไหววูบ สะท้อนสีแดงอ่อนลงบนพื้นหิน พระวรกายเล็ก ๆ ขยับอีกครั้งก่อนจะกล่าวเบา ๆ แต่ชัดถ้อย</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“ขอบคุณสำหรับความหวังดี และคำแนะนำทั้งปวง คุณหนูหลินหยา”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ดวงพระเนตรยกขึ้นสบตานางอีกครั้ง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“ยามนี้ข้าไม่สะดวกพอจะเดินเข้าสู่หอเช่นนั้นได้ ด้วยเหตุหลายประการ… และข้าคิดว่า การนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ รอฤทธิ์ยาคลายลงไปเอง อาจปลอดภัยกว่าการอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายของม่านโลกีย์”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระสุรเสียงนั้นแม้นุ่มนวล หากแต่แน่วแน่ประหนึ่งขีดหมึกลงบนกระดาษหยก</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เมื่อเอ่ยจบ องค์ชายน้อยก็ก้มศีรษะน้อย ๆ เป็นเชิงเคารพอย่างที่ควรทำกับผู้มีบุญคุณ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“ข้าคงต้องขอตัวแล้ว อย่ากังวล ข้าไม่หลงทางดอก… ฉางอันในยามวิกาล ข้าเคยเดินลัดเลาะจนรู้ทางมากพอ”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">พระเนตรคลี่ยิ้มบางเฉียบแต่แนบสนิท รอยยิ้มที่มิได้สร้างขึ้นเพื่อประดับใบหน้า หากแต่เป็นรอยยิ้มของความจริงใจอันน้อยนิดในค่ำคืนหนึ่งของชีวิต</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“แม้ชื่อของข้าจะไม่ใช่สิ่งที่น่าจดจำนัก แต่ความช่วยเหลือในคืนนี้… ข้าจะมิอาจลืมเลือน”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">“หากวันหน้ามีโอกาส… ข้าจะตอบแทนน้ำใจในยามที่เหมาะสมกว่านี้”</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กชายหมุนพระวรกายกลับ ชายอาภรณ์ไล้เบาไปตามลมราตรีที่พัดต้องชายผ้า ละอองหอมจากหอว่านหงเหรินยังไหลวนอยู่รอบร่างเขา แต่อีกไม่นานก็จะจางหาย</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ร่างเล็กของเขาค่อย ๆ ละไปจากเสาหินที่ยืนพิง ราวสายลมที่เฉียดผ่านค่ำคืน เหลือเพียงกลิ่นเย็นที่หลงค้างไว้เบื้องหลัง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">@LinYa</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เสียงเรียกเบา ๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของยามวิกาล คล้ายขนนกขาวที่ปลิวหล่นลงบนผิวน้ำ องค์ชายน้อยที่เพิ่งหมุนพระวรกายเดินออกไปยังไม่ทันพ้นเสาไม้ต้นที่สอง ก็ต้องชะงักฝีพระบาท เสียงนั้น… เสียงของนาง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ดวงพระเนตรหันกลับอย่างช้า ๆ ท่ามกลางแสงโคมอ่อนในคืนเดือนมืด ร่างของหญิงสาวผู้นั้นก้าวมาหาเขาด้วยท่าทีมิได้รีบร้อน แต่มั่นคง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ในมือเล็กของนางถือกล่องไม้สี่เหลี่ยมผูกเชือกเรียบง่ายเอาไว้ เมื่อใกล้พอเหมาะ เด็กสาวก็ยื่นของสิ่งนั้นมาตรงหน้าของเขา</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">กล่องไม้กลิ่นหอมอ่อน ๆ แตะจมูกขององค์ชายเพียงแผ่วบาง แต่กลับชวนให้รู้สึกสงบใจได้อย่างประหลาด</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายรับกล่องไม้นั้นมาช้า ๆ นิ้วพระหัตถ์สัมผัสขอบไม้ที่ขัดเรียบ ไม่มีเศษฝุ่น ไม่มีความชื้น บ่งบอกว่าผู้ให้เก็บรักษาสิ่งนี้ไว้ดีเพียงใด</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ในกล่องบรรจุขนมไหมฟ้า ถั่วหลากชนิดบดหยาบห่ออยู่ภายในรังไหมแป้งสีงาช้างที่ดึงเป็นเส้นบางละเอียดราวฝนสาย เส้นไหมนั้นบางเสียจนเกือบละลายไปกับลมหายใจของยามค่ำ หอมอ่อนราวกลิ่นน้ำผึ้งโบราณที่แอบงอกเงยขึ้นจากซอกไม้ไผ่</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เขาจ้องกล่องขนมนั้นในมืออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะยกพระเนตรขึ้นพอดีกับจังหวะที่หลินหยาโน้มศีรษะให้เบา ๆ แล้วหมุนตัวกลับไปทางหอว่านหงเหรินอีกครั้ง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">นางเดินไปช้า ๆ แต่มั่นคง ราวกับไม่ว่าจะเดินไปไกลเพียงใด สุดปลายทางของนางก็ยังคงเป็นประตูไม้ชาดนั้นเสมอ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">องค์ชายยืนมองแผ่นหลังของนางอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง เงาแสงไฟจากโคมระย้าตามทางทอดทาบร่างของนางจนดูเหมือนภาพวาดที่จางหายไปกลางลมหายใจ</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">เด็กน้อยยกกล่องไม้ขึ้นเล็กน้อย ทอดพระเนตรกล่องนั้นราวสิ่งของมีค่ายิ่งนัก พระโอษฐ์โค้งขึ้นเพียงแผ่ว คล้ายดอกเหมยผลิบานแทรกหิมะครั้งแรกในปี</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ขนมที่ใครบางคนตั้งใจเก็บรักษาไว้เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร… เขาย่อมไม่มีวันปัดทิ้ง</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000080">"ขอบคุณ"</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">คำคำนั้นไม่ได้เอื้อนเป็นเสียง หากแต่ออกมาผ่านดวงเนตร และรอยยิ้มเล็กน้อยตรงมุมพระโอษฐ์</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">จากนั้นองค์ชายก็หันหลังกลับไปทางที่ตนเคยมา ฝีพระบาทเบาลงกว่าเมื่อครู่ น้ำหนักของไอร้อนในกายดูจะเบาบางลงจากเมื่อยามแรก</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">แม้จะเป็นเพียงขนมชิ้นเล็กเพียงหยิบมือ แต่ความอบอุ่นในหัวใจกลับมากพอจะหล่อเลี้ยงให้เดินต่อได้อีกหลายลี้</font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000"><br></font></p><p style="text-indent: 2.5em;"><font color="#000000">ราตรีในฉางอันยังคงยาวไกล ทว่า...แสงไฟจากไมตรีอันเรียบง่ายนั้น คงจะส่องนำทางเขาไปได้อีกพักใหญ่</font></p><p style="color: black; text-indent: 2.5em;"><br></p><p style="color: black; text-indent: 2.5em;"><br></p><p style="color: black; text-indent: 2.5em;"><br></p></font></font></div></div></div></div>
<style type="text/css">@import url('https://fonts.googleapis.com/css?family=Chonburi'); Chonburi {font-family: 'Chonburi';}
</style>
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ ยี่สิบสอง เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ฝึกดนตรี ณ หอว่านหงเหริน (ปลดหัวใจ จางกงกง)
ยามเซินแสงแดดบ่ายคล้อยลอดผ่านช่องไม้หน้าต่างของหอว่านหงเหรินที่กรอบประตูเริ่มส่องเงายาวลงบนพื้น เสียงขลุ่ยของหลินหยากำลังเป่าซ้อมอยู่ในห้องเล็กเบื้องหลังห้องแสดง ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ท่วงทำยองนั้นไม่หวานนัก หากแต่พริ้วราวกับม่านผ้าบางต้องลม บ่งบอกว่าถึงจังหวะฝึกที่ยังคงมีชีวิตชีวาแม้จะเป็นบทที่ซ้อมมาเป็นร้อยรอยแล้วก็ตาม หลินหยานั้นนั่งตรงหลังตรงดิ่ง ใบหน้าฉ่ำเหงื่อเล็กน้อยเพราะห้องอับ เธอกำลังทบทวนลมเป่าที่ต้องควบคุมให้สม่ำเสมอ จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเร่งเร้าก็ดังขึ้นจากหน้าห้อง
“หลินหยา!! หยุดก่อน” เสียงของพี่สาวฝึกหัดอีกคนดังขึ้นขัดกับเสียงขลุ่ยของเธอ เสี้ยววินาทีต่อมาก็บานประตูเปิดเข้ามาโดยไม่รอฟังคำตอบ “เถ้าแก่ให้เจ้าไปเสิร์ฟแขกพิเศษอีกแล้ว! ห้องเดิม...ฝั่งตะวันตก" นางเอ่ยเสียงรวบรัด ส่งสายตาให้รู้ว่า ปฏิเสธไม่ได้
หลินหยานั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบไม่เห็น เธอหลุบตามองขลุ่นในมือตัวเองก่อนที่จะเก็บมันเข้าซองผ้าทันทีที่รู้หน้าที่ ใจหนึ่งก็อยากถอนหายใจในใจ อีกใจก็สงสัยว่าทำไมคนผู้นั้นถึงได้กลับมาอีก ราวกับจำเวลานี้ได้แม่นทุกครั้งของวัน เขาไม่มีงานหรอ?.. “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” เธอรับคำเสียงเรียบ ไม่โต้แย้ง
มือเรียวของเธอนั้นหยบิบผ้ามาซับเหงื่อแล้วเปลี่ยนเป็นชุดสาวใช้ ใส่แถบคาดตรงแขนให้เห็นวง่าเป็นนักดนตรีฝึกหัดไม่ใช่นางโลม เธอเดินลงไปยังห้องครัวเล็ก แล้วยื่นมือรับถาดอาหารให้เรียบร้อยแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังห้องปลายทาง เธอเดินมาถึงห้องด้านในสุดของฝั่งตะวันตก ผ้าม่านโปร่งสีเงินจางพลิ้วไหวตามลมจากช่องระบายอากาศ กลิ่นกฤษณาที่จุดไว้อย่างเบาบางพัดผ่านกลิ่นสมุนไพรจากซุปในถาด คลอเคลียในอากาศจนแยกไม่ออกว่าอะไรคือกลิ่นหอมจากคน หรือจากเครื่องปรุง
หลินหยาคุกเข่าเบื้องหน้าประตู “ข้าน้อยหลินหยาเจ้าค่ะ” เอ่ยแล้วขยับมือเปิดประตูแบบไร้เสียง เธอก้มหน้าเข้ามาเงียบ ๆ วางถาดลงบนโต๊ะเตี้ยใกล้พืนผ้าราคาแพง พอเหลือบมองเขาก็ยังคงเหมือนเดิม
จางกงกง นั่งอยู่ในมุมแสงอ่อน ตาเรียวคมใต้คิ้วคมเข้มเหมือนภาพวาดด้วยหมึกจาง เขาสวมชุดคลุมผ้าแพรสีเข้มทับด้วยเสื้อคลุมด้านนอก ปลายนิ้วเรียวยังคงพือพัดในมือ แต่นิ่งสงบราวกับไม้แระดับที่มีชีวิต เขาไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียวขณะที่นางจัดโต๊ะให้ ราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง จนกระทั่งเธอวางถ้วยซุปสุดท้ายแล้วถอยกายไปยังตำแหน่งเฝ้าเงียบ ๆ ข้างประตู เสียงของเขาก็เอ่ยช้า ๆ คล้ายสายลมปลายบ่ายพัดผ่านใบไม้
"ข้าไม่ได้ขออาหารวันนี้...แล้วเจ้ามาทำไม?" คำถามฟังเหมือนจะสุภาพ แต่แฝงน้ำเสียงเฉียบเย็น นัยน์ตาดำเข้มของเขาไม่เปลี่ยน ยังนิ่งมองนางเหมือนผู้ใหญ่จ้องดูเด็กเล่นละคร หลินหยาเหมือนจะพยายามเก็บสีหน้ามั่งคงแล้วตอบกลับตามมารยาม "เถ้าแก่สั่งให้ข้ามาเจ้าค่ะ แขกคนสำคัญเช่นท่าน...มิอาจปล่อยให้ขาดการต้อนรับ"
ชายคนนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยพลางคลี่ยิ้มบาง “เช่นนั้นวันนี้เถ้าแก่ส่ง เจ้า มาอีกครั้งเหตุใดจึงไม่เปลี่ยนคนกันล่ะ” เขาเอ่ยถาม หลินหยาที่ได้ยินเธอก็อยากรู้เหมือนกันนั้นแหละว่าทำไม
“ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ” เธอตอบอีกคนเสียงแบบสงสัยด้วย
“หรือเพราะข้าขอไว้?”
เมื่อได้ยินหลินหยาก็สะดุดนิดหน่อย เหลือบหันมองเขาแวบหนึ่งแต่ไม่ได้ตอบอะไร ส่วนจางกงกงก็ทำเพียงหัวเราะเบา ๆ “ไม่ต้องหวาดกลัวอะไร หากข้าประสงค์สิ่งใด เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ขัดอยู่แล้วมิใช่หรือไง?”
หลินหยาเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องนิดหน่อยแต่ยังวางท่าทีสงบ สายตาเธอหวาดมองอาหารที่เพิ่งเสิร์ฟที่จางกงกงกำลังขยับนิ้วเปิดถ้วยซุปตรงหน้ามาแล้วเปิดฝา กลิ่นหอมหวานละมุนลอยตัดผ่านกลิ่นกฤษณา เสี้ยววินาทีนั้น ดวงตาของจางกงกงดูจะหยีลงนิดหนึ่ง “ข้าจำกลิ่นนี้ได้” เขาพูดช้า ๆ “กลิ่นแบบนี้ ตอนที่คุณชายบอกกับข้า ว่าให้หาผู้ปรุง ข้าเคยคิดอยู่เสี้ยวหนึ่งว่าจะบอกว่าเป็นเจ้าดีไหม”
หลินหยานั้นขมวดคิ้ว..เรื่องเมื่อคืนงั้นหรอ์ พลางเงยหน้าขึ้นมามองอีกคน “ท่านหมายถึง??” เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องเมื่อวานมันเป็นแผนหรือความตั้งใจของใครบางคน จางกงกงยกถ้วยขึ้นจิบโดยไม่ตอบในทันที แล้ววางลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะพูดช้า ๆ “แต่ข้าไม่ได้บอกใคร เพราะข้าอยากรู้ว่าหากปล่อยให้เจ้าอยู่แบบนี้ต่อไป เจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหนในหอแห่งนี้..หรืออาจจะ..ไปได้ไกลกว่าหอแห่งนี้เสียด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของเขาแฝงบางสิ่งที่หลินหยาไม่อาจตีความออกเลย แต่รู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าไม่ได้พูดเรื่องอาหารเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
จางกงกงนั้นมองนางแล้ววางถ้วยซุปลง แล้วเอนตัวพิงหมอนอย่างผ่อนคลาย “เล่นขลุ่ยให้ฟังหน่อยสิ” แล้วเขาก็หลับตา ไม่บอกเหตุผล ไม่พูดอะไรต่อ เพียงแต่เงียบงันและฟังเท่านั้น จางกงกงยังคงหลับตา เอนกายพิงหมอนอิงด้วยท่าทีราวคนที่กำลังลิ้มรสไม่ใช่เพียงรสอาหารในปาก หากแต่รสของสถานการณ์ที่ถูกจัดวางไว้อย่างแยบยล
หญิงสาวลุกขึ้นจากตำแหน่งข้างประตูอย่างสงบ ก่อนจะเดินไปหยิบขลุ่ยไม้ไผ่จากซองผ้าข้างถุงย่ามของตน ใบหน้างามหวานไร้เครื่องแต่งแต้มเงยขึ้นเพียงครู่เมื่อเธอกวาดตามองบรรยากาศในห้องอีกครั้ง ทุกอย่างเงียบงัน มีเพียงเสียงลมที่ลอดช่องหน้าต่างเบา ๆ และกลิ่นหอมอ่อนของสมุนไพรจากซุปที่ยังอุ่นไออยู่ในชามบนโต๊ะ หลินหยานั้นนั่งลงตรงเสี่อข้างฉากผ้าบาง ไม่ตรงกับเขาแต่ก็ห่างพอให้ได้ยินเสียงขลุ่นเดินทางไปถึง และนิ้วเรียวของหลินหยาก็เริ่มไล่ตามช่องลมของขลุ่ย
เธอเริ่มบรรเลงเพลงเดียวกับเมื่อวาน ท่วงทำนองอันละมุนละไมที่ไม่ได้หวานรัญจวนใจถึงขั้นยั่วเย้า หากแต่นุ่มนวลและปราณีต อบอุ่นราวน้ำซุปที่ค่อย ๆ ละลายกลางอก เสียงพริ้วแผ่ว ไม่เร่งเร้า ฟังแล้วเหมือนเธอไม่ได้บรรเลงดนตรีเพื่อเขา หากแต่เพื่อคลายใจตนเอง ท่วงทำนองนั้น…ฟังดูเรียบง่ายอย่างไร้เจตนาอวดอ้าง แต่หากใครได้ฟังก็จะรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองด้วยแววตาใสซื่อจากหญิงสาวคนหนึ่ง
ริมฝีปากของจางกงกงคลี่ยิ้มบางขึ้นนิด ดวงตาของเขายังหลับอยู่ แต่จังหวะปลายนิ้วที่เคาะเข่าข้างหนึ่งกลับปรับตามท่วงโทนเสียงโดยอัตโนมัติ เขาไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่คนที่เคยสังหารบิดาตนเองอย่างเย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างเขา กลับรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่าง "เจ้ารู้หรือไม่..." เสียงของเขาดังขึ้นเบา ๆ ขณะขลุ่ยยังไม่จบ “ที่ของข้า มีเสียงขลุ่ยหลายร้อยเลา แต่ไม่มีเสียงใดที่ทำให้ข้ารู้สึกว่าโลกนี้ยังมีอะไรให้อยากฟังอยู่”
หลินหยาไม่ชะงัก เธอบรรเลงต่อ ราวกับทำเป็นไม่ได้ยินหรือแค่กลัวว่าหากตอบอะไรไปคนตรงหน้าจะลากเธอเข้าไปที่ไหนก็ไม่รู้ จางกงกงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วเอ่ยต่อเสียงเรียบ “แม่นางหลินหยา..หากเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่..” เขาเอ่ยชื่อจริงของเธอในที่สุด ดวงตาเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วมองตรงไปที่เธอไม่หลบสายตา “เจ้าจะอยู่ที่ไหน?” คำถามนั้นไม่ได้เร่งเร้า ไม่มีแรงบีบคั้น แต่กลับเหมือน..อะไรก็ไม่รู้ กับดักหรอ
เสียงขลุ่ยที่ปล่อยลมหายใจสุดท้ายจางลงอย่างพอเหมาะ ก่อนหลินหยาจะค่อย ๆ ลดขลุ่ยลงจากริมฝีปาก สีหน้าของนางสงบ แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยประกายเจ้าเล่ห์ที่แฝงความฝันเล็ก ๆ เอาไว้ นางปรายตามองชายผู้เงียบฟังอยู่ผู้หนึ่ง ก่อนที่จะจอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่เต็มไปด้วยแววตาของความซื่อใส และบ่งบอกถึงความชอบ.. “ที่ที่ได้เงินดี ๆ และไม่ขัข้าเจ้าค่ะ หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็คงเป็นที่ที่มีไหหมักเหล้ากับผลไม้ที่กินเล่นได้ตลอดปี” หลินหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากนุ่มคลี่ยิ้มบางเฉียบราวกับไม่ได้พูดอะไรจริงจังนัก
จางกงกงนั้นนิ่งไปเลย..เขาจ้องมองนางด้วยแววตาที่เยือกเย็นไม่มีความเคารพเหมือนเวลาอยู่ท่ามกลางเชื้อพระวงค์ แต่ในแววตานั้นกลับปรากฎเงาบาง ๆ ที่อ่านยากกว่าเดิม
“เจ้าพูดเหมือนตนไม่มีค่าอะไรนัก…คำตอบของเจ้าเหมือนพวกขอทานที่วันวันคิดแต่เรื่องดื่มกิน”
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: เอาไว้ปลดหัวใจจจจจจรางวัล: -
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ ยี่สิบสอง เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ทำงาน ณ หอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)
ภายในหอว่านหงเหรินยามไห่ตอนนี้ค่ำคืนที่ลมอุ่นแผ่วเบาพัดผ่านม่านผ้าไหมบางเบาตามทางเดินสีแดงเข้มเสียงดนตรีเบา ๆ คลอเคลียเป็นระรอกพร้อมกลิ่นไม่หอมลอยอ่อน ๆ ปะปนกับกลิ่นสุราพิเศษที่หอแห่งนี้มักรินให้เฉพาะแขกชั้นสูงเท่านั้น หลินหยาเดินตัวปลิวลงมาตามทางเดินอย่างสบายใจจนชายกระโปรงปลิวราวกับกลีบดอกไม้ นางถือถาดอาหารเล็ก ๆ ประคองด้วยสองมือมั่นคง ในจานมีไก่ตุ๋นโสมน้ำซุปร้อนจัด หอมกลมกล่อม เสิร์ฟคู่เต้าหู้ย่างราดซอสเห็ดหอมเคี่ยว แน่นอนว่าหลินหยาไม่แตะแม้ปลายเล็ก และยังมีเหล้าสีอำพันน้อย ๆ บนจอกสีงาม
หญิงสาวผิวผ่องวันนี้เหมือนจงใจไม่แต่งหน้ามากใด ๆ ริมฝีปากสีระเรื่องงามเหมือนผลท้อแก่น้อย ๆ ตามธรรมชาติ ดวงตาใสสดซื่อเหมือนกำลังจะฮัมเพลงออกมาทุกเมื่อ นางผลักประตูเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องรับรองพิเศษที่ซึ่งไม่ต้องถามก็รู้ว่าใครอยู่ข้างใน
“สวัสดีเจ้าค่ะใต้เท้า วันนี้มีของโปรดของท่านด้วยนะ” หลินหยาร้องเสียงใสอย่างคนอารมณ์ดี นางเอียงคอมองชายหนุ่มในชุดเข้มงาดที่นั่งรออยู่ด้วยใบหน้าเยือกเย็นเช่นเคย ไม่รู้หรอกว่าเขาอารมณ์ยังไง แต่วันนี้ หลินหยาอารมณ์ดีมาก เธอย่อตัวลงวางถาดตรงหน้าของเขากด้วยความนุ่มนวล จัดทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยรอยยิ้มบางเหมือนกับไม่มีสิ่งใดเคยเกิดขึ้น
“คืนนี้พระจันทร์สวยดีนะเจ้าคะ แต่ก็ยังไม่เท่าคืนเมื่อวานท่านว่าไหม?” เสียงของเธอเต็มไปด้วยเล่ห์นิด ๆ ประชดบ้าง ๆ แต่ก็หวานล้ำเหมือนน้ำเหล้าข้าวหมัก
เถียนเฟิงเหลือบมองนาง ดวงตาของเขายังคงนิ่งเรียบ ดำลึกเหมือนบ่อไร้ก้น แต่ใครที่มองออก จะเหมือนเห็นประกายวูบหนึ่งขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนเขาจะรู้ว่าวันนี้หลินหยา ไม่ปกติ แต่กลับไม่เอ่ยใด ๆ ออกมา เขาเพียงรับจอกเหล้ามาแล้วจิบเล็กน้อย
“แม่นางวันนี้..ดูเหมือนมีเคราะห์ดีบ้างอย่างมากระทบหรืออย่างไร? หรือเพียงแค่เห็นข้าก็อารมณ์ดีขึ้นแล้ว?” น้ำเสียงนั้นเย้ยหยันนิด ๆ เหมือนแกล้งแต่ไม่ใช่ ส่วนหลินหยาก็หัวเราะทันทีแบบไม่อ้อมค้อม นางช้อนตามองเขาแล้วเอ่ยเสียงใส
“ก็เมื่อเช้านี้ข้าได้รับจดหมายเจ้าค่ะ จากบุรุษผู้หนึ่ง ข้ารู้จักกับเขามาสักพักละ เขาน่ารักมากเลยล่ะ หล่อเท่ ท่าทางอบอุ่น เป็นนักรบ สุภาพจนข้าอย่างอึ้ง เขาส่งแตงโมแช่น้ำแข็งที่หั่นเป็นชิ้นงาม แล้วก็ไร้เมล็ดเพราะโดนแคะออกหมดมาให้ข้าด้วย มันทั้งหวาน ทั้งฉ่ำจนข้าอยากเก็บไว้กินชั่วชีวิตเลยเจ้าค่ะ”
บรรยากาศในห้องพักพิเศษที่แม้แสงจะนวลและกลิ่นกำยานจะลอยหอมรื่นแต่กลับมีบางสิ่งบางอย่างตึงเครียดอยู่ลึก ๆ ราวกับสายลมยามไห่ที่พัดอย่างอ่อนโยนแต่ก็มีไอหนาวแผ่ซ่านอย่างคาดไม่ถึง เถียนเฟิงนั่งฟังหญิงสาวตรงหน้าเอ่ยถ้อยคำราวกับกลอนรักอันสดใส เดิมทีใบหน้าของเขานิ่งเรียบ ดวงตานั้นเฉียบคมสงบเสมือนคนที่มองโลกด้วยความเย็นชานั้นไม่ได้เปลี่ยนมากนักจนกระทั่งนางพูดถึง จดหมาย..
คำพูดนั้นตกลงอลางอากาศดั่งหินหนักที่ปล่อยในสระน้ำ เถียนเฟิงขยับเล็กน้อย เสียจนคนธรรมดาไม่อาจมองเห็น นิ้วเรียวยาวที่เคยยกจอกขึ้นหยุดกลางอากาศ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์แต่มุมตาขฃ้างหนึ่งกระตุกเบา ๆ ราวกับมันรับข้าวสารเร็วกว่าหัวใจ เขาเงียบไปนานพอสมควรจนแม้แต่เสียงดนตรีด้านนอกยังฟังเหมือนช้าลงกว่าปกติ ชายหนุ่มเหลือบมองหลินหยาที่ดูจะมีความสุขเหลือเกินกับการเล่าถึงชายลึกลับคนนั้น ใบหน้าของเขายังคงเรียบ แต่จอกสุรากลับถูกวางลงอย่างช้า ๆ
“แตงโม?” เขาเอ่ยสั่น ๆ เสียงทุ้มต่ำเย็นตามปกติ “ข้าคิดว่าแม่นางจะมีรสนิยมชอบรสเผ็ดซ่านชาลิ้นมากกว่าของเย็นที่ไร้รส” น้ำเสียงของเขาดูไม่ต่างกับการคุยธุรกิจในท้องพระโรงอย่างไรอย่างงั้น “แต่ก็น่าแปลกใจ ที่ใครบางคนสามารถตัดเมล็ดแตงโมให้เจ้าได้ละเอียดถึงเพียงนั้นราวกับมีเวลาทั้งชีวิต” เขาหันกลับมามอง ดวงตานั้นไม่แสดงความอิจฉา ไม่ประชด แต่ก็ไม่ได้ยินยินดีเลยแม้แต่น้อยนิด
หลินหยาที่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีราวกับไม่ได้รู้ว่าแรงกระเพื่อมบางอย่างจะเกิดขึ้นจากคำพูดของเขา เธอโน้มตัวลงเล็กน้อยวางข้อศอกเท้าบนโต๊ะอย่างคนไม่ยี่หระอะไร แล้วเอียงหน้าเหมือนจะกระซิบบอกอะไรเขา “ข้าว่าท่านไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าค่ะ เขาก็ดีไปอีกแบบหนึ่ง แต่ก็..ไม่ได้ซับซ้อนเท่าท่าน ท่านน่ะ..ลึกลับเสียจนบางครั้งข้าก็สงสัยว่าใต้หน้ากากยิ้มของท่าน กำลังคิดเรื่องฆ่าคนอยู่หรือเปล่า”
เถียนเฟิงกลืนน้ำลายเล็ก ๆ ไม่ได้ตกใจหรืออายแต่เพราะเขารู้สึกว่าหลินหยาสามารถพูดเรื่องแบบนี้ได้แบบหน้าตายอย่างใสซื่อเกินไป “ไม่..” เขาเอ่ยเสียงเบา “ข้าเพียงคิดว่า แตงโมสักลูก จะไม่มีวันหวานเท่าเวลาที่เจ้าหัวเราะโดยไม่ต้องเสแสร้ง แม้ข้าจะไม่ได้แคะเมล็ดมันให้เจ้าด้วยมือ แต่หากเจ้าชอบมันจริง ๆ ข้าจะส่งแตงโมมาให้ จากทุ่งที่ดีที่สุดของต้าฮั่น”
หญิงสาวที่ได้ยินแบบนั้นก็เหมือนจะขำเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงตอบเธอแบบนั้น “ท่านนี้ก็แปลก ข้าน่ะ ไม่ได้ชอบแค่แตงโมหรอกนะ ข้าชอบกลิ่นและไม้ของกฤษณา ชอบแมว ชอบอาหารอร่อย ชอบดอกไม้ทุกชนิด ชอบผลไม้ที่รสเปรี้ยวหวานฉ่ำน้ำเป็นพิเศษ ชอบข้าวที่มีรสชาติ ชอบเครื่องประดับ ชอบเหล้า ชอบการปลูกพืชกินได้ทุกชนิด ชอบการเสี่ยงทาย ชอบกลิ่นหอมชอบเล่นดนตรีเร็ว ๆ..แล้วก็ที่ท่านรู้ ข้าน่ะ ชอบเงินหอม ๆ” พูดพลางทำหน้าเหมือนคนฟินแล้วยกนิ้วเหมือนกับทำท่าทางแบบว่า มันนี่ ๆ ชอบเงิน ๆ
เถียนเฟิงเอนกายเล็กน้อยบนเบาะอิงหรู ท่าทางยังดูสงบเหมือนเคย แต่ในดวงตานั้นกลับมีบางอย่างเหมือนริ้วคลื่นที่แตะต้องผิวน้ำเรียบ…ไม่บ่อยนักที่เขาจะถูกสตรีคนใดพรั่งพรูคำพูดเช่นนี้ใส่หน้า และยิ่งไม่ใช่กับน้ำเสียงรื่นเริงเจื้อยแจ้วราวกับแม่ค้าผลไม้หน้าวัดที่กำลังโฆษณาอย่างตื่นเต้นต่อหน้าคนแปลกหน้า ทว่า..นางกลับทำให้มันฟังแบบน่าเอ็นดูได้อย่างประหลาด เพราะนางไม่คิดมากหรือเปล่า?..ไม่แน่ใจ ก่อนที่เขาตะกระพริบตาเล็กน้อย ริมฝีปากเรียบเฉย แต่หัวคิ้วเลิกขึ้นบางเฉียบ
“แม่นาง..เจ้าเพิ่งกล่าวว่าเจ้าชอบของครึ่งสิ่งที่มีอยู่บนโลกแล้วกระมัง” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยช้า ๆ อย่างสุภาพอย่างกับกำลังชี้จุดบกพร่องบนแผนการรบของขุนนางเก่าแก่คร่ำครึ ส่วนหลินหยานั้นยักคิ้วทั้งสองขึ้นสองครั้งเหมือนประมาณว่า แล้วไงใครแคร์
“ก็จริงนี่เจ้าคะ ข้าชอบหลายอย่าง แต่ก็มีที่ไม่ชอบนะ ข้าไม่ชอบอาหารขม ๆ ไม่ชอบกลิ่นเหม็นฉุน ไม่ชอบสุนัขที่เห่าเสียงดัง ไม่ชอบกาอากศหนาว ไม่ชอบคนเย็นชา..” พอมาถึงประโยคนี้หลินหยากลับกระตุกปากเบา ๆ แล้วเหลือบมองตาอีกคน “หรือบางทีอาจจะชิบ แต่ข้าจะไม่มีทางบอกเขาหรอก”
เถียนเฟิงหลุบตาลงชั่วครู่ สาบานได้ว่าตอนนี้หัวเขากำลังจัดหมวดหมู่สิ่งที่แม่นางตรงหน้าพูดพรั่งพรูออกมาราวกับบัญชีรายการสินค้ารประจำหอ “เงินหอม ๆ งั้นหรอ..น่าเสียดายที่เจ้าพลาดไป 50 ตำลึงทองเลยนะ แม่นางหลินหยา” ดวงตาของเขาพลันมองเธออย่างตรงไปตรงมา เสียงของเขาไม่ใช่การเยอะเย้ย หากแต่คล้ายตั้งใจจะ หยอกเย้า ด้วยท่าทีเรียบขรึม น่าเจ็บใจเสียยิ่งกว่าเยอะกันตรง ๆ แต่ถามว่าจะทำอะไรหลินหยาได้ไหม…หึ..
ไม่…
หลินหยาหัวเราะเสียงใด ดวงตาระยับเหมือนท้องฟ้าเหนือฉางอันยามไร้เมฆบดบัง “ข้าบอกแล้วไงเจ้าคะ..ข้าไม่ได้อยากได้ทุกสิ่งในโลก ข้าแค่เลือกได้ว่าจะหยิบอะไรใส่มือข้างหนึ่ง..หรือปล่อยอีกสิ่งในมืออีกข้างตกลงไป..ท่านเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?” นางเอ่ยขึ้นแล้วโน้มตัวเข้าหาอีกคนเล็กน้อย ไม่บ่อยนักที่เธอจะเข้าใกล้เขาถึงเพียงนี้..ราวกับจะฝากคำกระซิบในเงาค่ำคืน
“ต่อให้ท่านนั่งในตำแหน่งสูงเพียงใด สูงแค่ไหน แต่ในหมวกทุกตาของท่าน..ข้ารู้ว่าท่านเองก็ต้องเสียบางตัวไปเช่นกัน”
คำพูดนั้นราวกับคมมีดบางเฉียบตัดผ่านไอน้ำชาทว่าแววตาของหญิงสาวนั้นกลับไร้พิษสง มีเพียงรอยยิ้มดื้อรั้นปนซื่อ และแรงแกล้งหยอกล้อที่ทำให้คำพูดนั้นเหมือนหมัดที่ฟาดอย่างแม่นยำแต่ไม่เจ็บปวดนัก
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ:
รางวัล: 30 ตำลึงเงิน - 10 EXP+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป เถียน เฟิงหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ ยี่สิบสอง เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ณ หอว่านหงเหริน
หลังจากที่หลินหยานั้นเดินทางจากไป ภายในห้องพักทิศตะวันตกก็ยังคงมีคนเดิมอยู่ ห้องแห่งนี้หากไม่ใช่ผู้ได้รับอนุญาติให้ผ่านม่านเข้ามาก็ไม่มีทางเข้ามาได้ เพราะมันคือห้องส่วนด้านในราวกับห้องปิดผนึก เสียงเงียบสนิท มีเพียงกลิ่นเทียนจันทร์ลอยประดังประดา และความเย็นจากพื้นเปลือยที่แผ่ซึมขึ้นมาตามปลายเท้าหากไม่สวมอะไร..
จางกงกงยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมของเขาบนเบาะหนังเสือดำงามราคาแพง ดวงตาเรียบเฉยจับจ้องลงบนกระดาษรายชื่อที่วางอยู่เบื้องหน้า รายชื่อนั้นเป็นลายมือของเขาเอง ถูกเขียนด้วยหมึกดำลงบนกระดาษสาเนื้อหนาชั้นดีอย่างตั้งใจ รายชื่อหญิงสาวนักดนตรีฝึกหักสอบกว่าคน หากแต่เขาวงไว้เพียงสี่ชื่อเท่านั้น..และตอนนี้กลับมีใครบางคนเข้ามา..
เสียงฝีเท้าของ ซิวอิ๋น เบาบางแต่หนักแน่นขณะก้าวเข้ามาในห้องแห่งนี้ เขาแต่งกายเรียบง่ายในชุดคลุมสีดำไร้ลวดลาย ผ้าคาดเอวแน่นหนา มือเบื้อนรอยกระบี่จาง ๆ ตามนิสัยของคนที่มักจะมีดาบซ่อนไว้ภายใต้แขนเสื้อแต่ไม่มีใครรู้ ซิวอิ๋นเป็นองครักษ์ลับของฝ่ายใน ไม่ปรากฎตัวในวังอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับคนที่รู้ เขาเป็น เงา ของจางกงกงโดยที่แทบไม่ต้องเอ่ยปากสิ่งใด ก่อนหน้านี้จางกงกงได้ให้ ซิวอิ๋น เรียกหญิงสาวในรายชื่อทั้งสี่ที่เขาวงไว้มาแยกซักถามลับแล้วให้จากไป..แน่นอนว่ารวมถึงหลินหยาด้วย
ทั้งสี่คนไม่มีใครรู้ว่าถูกเรียกมาเพื่อสิ่งใด แต่มันคือการคัดเลือกเบื้องต้น ให้เป็น..หญิงข้างกายขององค์ชายรัชทายาทองค์หนึ่งในสายตาของจางกงกง ที่ถูกวางตัวอย่างลับ ๆ ว่าเขาควรจะเป็นผู้สือบทอดราชบัลลังค์ทองพระองค์ต่อไป
“แม่นางผู้นี้ แม้จะเป็นบุตรีของเจ้าเมืองฝูหนานทางใต้ แต่มิได้เผยชื่อจริงในหอ มีเหตุผลสิ่งใดให้ท่านสนใจนักขอรับ” เสียงทุ้มต่ำของซิวอิ๋นเอ่ยถามพลางปรายตามองรายชื่อ หนาน หลินหยา ที่ถูกวงไว้ด้วยหมึกที่ไม่เหมือนใคร..หมึกสีแดง ไม่ใช่หมึกสีดำเหมือนรายชื่ออื่น
จางกงกงไม่ตอบในทันที เขาเพียงยกพัดเหล็กประจำตัวขึ้กางออกช้า ๆ ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเสียจนไม่ต้องลงโทษใครก็ตามก็สามารถหยุดลมหายใจคนทั้งห้องได้แล้ว “นางเป็นบุตรีในขอบเขตที่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมอยู่” เขายกสายตาขึ้นมองสายลมที่ผ่านช่องอากาศอันเล็กนั้น “พ่อของนางไม่กล้าแสดงตนในเมืองหลวงมานานนัก และแม้แต่ชื่อตระกูลก็แทบไม่มีใครเอ่ยในราชสำนัก” เมื่อเขาพูดเช่นนี้กลับเคาะพัดเบา ๆ ลงกับฝ่ามือ
“และหากเขาไม่ยอม ข้าก็สามารถทำให้ตระกูลหายไปจากแดนใต้อย่างไร้ร่องรอย..เขาหรือนางไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง” จางกงกงเลื่อนสายตากลับสู่รายชื่ออีกครั้ง จ้องไปยังตัวอักษรที่เขียนในชื่อของหลินหยาที่โดนวงสีแดงเอาไว้ เสียงของเขายังคงรายเรียบ ไม่เย็นชาหรืออาฆาต แต่กลับชัดเจนว่าสิ่งนี้คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครกล้าขัดแม้แต่น้อย
ซิวอิ๋นยังคงยืนนิ่ง สายตาของเขาคมจัดมองรายชื่อเงียบ ๆ ก่อนที่จะเอ่ยต่ออย่างรอบคอบตามฉบับของคนที่เป็นสายลับอันมีดวงตากว้างไกล “เช่นนั้น..แต่นางดูไม่เหมือนคนที่ควรอยู่ใต้มือใคร นางพูดตอบได้ทุกครั้ง แม้จะนอบน้อมมากก็ตาม”
จางกงกงเมื่อได้ยินจึงยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่เหมือนน้ำแข็งที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จากก้อนที่นิ่งสนิท พร้อมทิ่มแทงผู้อื่นเสมอ ไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความเมตตา แต่เป็นรอยยิ้มของคนที่ค้นพบว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งท้าทายอันน่าพอใจยิ่งนัก “ก็ยิ่งดีสิ..ข้าต้องการคนที่ฉลาดพอจะรับรู้ แต่ไม่กล้าขัดคำสั่ง” เขาวางพัดลงข้างตัก เอนกายไปด้างหลังช้า ๆ เหมือนพญางูขาวที่ยืดตัวรอบซากกระดูกที่เขากัดกิน
“ข้าจึงให้โอกาศนาง ว่าจะเลือกเป็นเบื้อที่อยู่บนกระดาน หรือจะเดินตามรอยหมากที่ข้าวางไว้ให้” น้ำเสียงราบเฉย ในแววตาของเขาไม่มีความสงสารต่อเด็กสาวตัวเล็กผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่มีแม้แต่ความคาดหวัง หากแต่มีแววของนักวางแผนที่เริ่มสนุก เมื่อหมากชิ้นหนึ่งเริ่มมีชีวิต เพราะเขาขีดเส้นไว้ จางกงกงมองไปที่เทียนข้างกาย ซึ่งวูบไหวสะท้อนนัยน์ตาของเขาอยู่เวลานี้
“หากนางเลือกได้ดี ข้าจะพานางออกจากหอว่านหงเหรินด้วยมือตัวเอง..” เขาเอ่ยช้า ๆ “หากแต่เลือกผิด..นางก็จะ…..” เขาไม่ได้พูดต่อ แต่รอยยิ้มเหยียดเย็นเหมือนเช่นว่าหมากตัวนี้จะเป็นไปดั่งคำและการชักใยของเขาเสมอ ซิวอิ๋นพยักหน้าช้า ๆ แล้วก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนถอยออกจากห้องเงียบ ๆ เพื่อไปจัดการตามคำสั่งต่อไป เหลือเพียงจางกงกงที่นั่งนิ่งท่ามกลางแสงเทียนราง ๆ แม้ในใจจะคิดฝัน แต่บางทีเขาเองก็อยากรู้…อยากรู้เหมือนกัน
ว่าเสียงดนตรีนั้น จะยอมเดินตามทางที่เขาขีดไว้ หรือจะเป่าทำลองใหม่ที่ไม่มีใครเขียนมาก่อน
……
………….
หลินหยาไม่มีทางรู้เลยจริง ๆ ว่าหลังจากนี้ เสียงขลุ่ยและเสียงดนตรีของนางในวันนั้น ไม่ได้เป็นเพียงเสียงที่กล่อมบุรุษผู้หนึ่งให้หลับตาฟัง หากแต่มันได้สั่นสะเทือนโซ่ตรวนของโชคชะตาเบื้องบนอย่างเงียบงัน ขณะที่นางยังเดินลัดเลาะไปตามห้องโถงหอ ซักผ้า พับผ้า ฝึกดนตรี เสิร์ฟอาหารให้แขก หรือวางถาดอาหารให้พวกผู้มีอันจะกินด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกลบความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่หนึ่งก็เฝ้าจับจ้องนางจากเบื้องบน โดยที่นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าเส้นทางของนาง..ได้ถูกเขียนใหม่ไปทีละบรรทัดเสียแล้ว
รายชื่อของหลินหยา ถูกถอนถอดออกจากบัญชีสาวใช้ดนตรีฝึกหัดของหอว่านหงเหรินอย่างเงียบเชียบ ไม่มีลายเซ็น ไม่มีผู้มาลากนางไปที่ใด ไม่มีแม้กระทั่งคำถาม แต่ในทางกลับกัน ชื่อของนางกลับถูกจดลงบัญชีลับอีกฉบับหนึ่ง ที่ไม่เคยมีใครในหอได้เห็น บัญชีลับที่ถูกเรียบเรียงโดยคนหนึ่ง ของสำนักราชเลขานุการ ชื่อของนาง ปรากฎเคียงรายชื่อผู้โดนวางตัวให้เป็นองค์รัชทายาทคนต่อไป..นางที่ได้รับสถานะลับว่าเป็น ผู้ควรจับตามอง ในฐานะ บุคคลที่อยู่ในความสนใจของราชเลขานุการ..
ไม่มีใครมาแจ้งนาง ไม่มีตราประทับใดที่แนบติดใบคำสั่ง ไม่มีประกาศเสียงดังในลานฝึกของหอ ไม่มีผู้นำผ้าคลุมทองหรือเหรียญตราใดมาให้นางแม้สักน้อย แต่นับจากค่ำคืนนั้น..
ทุกอย่าง ทุกย่างก้าวของหลินหยา ทุกคำพูดในมุมห้องครัว ทุกสายตาที่เธอมองออกนอกหน้าต่างอย่างคนที่ไม่คิดอะไร กลับไม่ใช่แค่เถ้าแก่ หรือพี่สาวในหอที่ได้ยิน หากแต่มีสายลับไร้ตัวตนจากเบื้องบนที่เริ่มแทรกซึมเข้ามา บางครั้งอาจมาในคราบของหญิงแม่ครัวเงียบ ๆ ที่เก็บเศษผักตรงมุมเตา หรือบางคราวก็อาจเป็นแขกใหม่ที่พูดจาอ่อนโยนเกินจริง หรือบ่าวตัวน้อยที่ขยันเดินผ่านห้องฝึกดนตรีของนางในยามวิกาล
และหลินหยา ก็ยังคงเดินยิ้มหวานในความไม่รู้ ด้วยสายตาที่ยังมีประกายเล็ก ๆ ว่าสักวันหนึ่งเธออาจจะมีสวนผลไม้ของตนเอง มีไหเหล้ากลิ่นดี ๆ ที่ไม่ต้องไปแอบท่านพ่อหรือท่านแม่ทำ และที่ที่ไม่มีใครบังคับให้เธอทำสิ่งใด แต่นางไม่รู้เลยว่าเสียงดนตรีในวันนั้น …
นางก็แทบไม่มีสิทธิ์เลือกอีกต่อไป
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ ยี่สิบสาม เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ณ หอว่านหงเหริน
ยามเย็นล่วงเข้ามาอย่างเงียบงัน แสงอาทิตย์โรยตัวตามแนวหลังคาโค้งของหอว่านหงเหรินในบรรยากาศที่เริ่มอบอวลไปด้วยกลิ่นของกำยาน สุราหวาน เสียงดนตรีที่ดังเบา ๆ อยู่ไกลลิบ หลินหยาที่เพิ่งกลับจากการซ้อมดนตรีหลายชนิดยังไม่ทันได้ดื่มน้ำสักอึกเลย ก็ถูกเรียกตัวโดยพี่สาวในหอเสียแล้วว่าให้ไปพบกับ เถ้าแก่หลิวไค่ ซึ่งปกติแล้วแทบไม่เหลียวตามองพวกนักดนตรีฝึกหัดเลยแม้แต่สักนิดเดียว
“เจ้าไปพบข้า ข้างบนเดี๋ยวนี้ เถ้าแก่ใหญ่จะพบเจ้า” เถ้าแก่หนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยดวงหน้าเรียบ ส่วนหลินหยาที่ได้ยินก็นิ่งไปในชั่วขณะหนึ่ง เธอกำลังเช็ดเหงื่อบนต้นคอตัวเองที่ซึมเล็กจากการซ่อมดนตรี เธอกระพริบตาช้า ๆ รู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที?.. เถ้าแก่?...ใหญ่??..หรอ?
“อย่าช้า” หลิวไค่พูดพลางเหลอืบตาขึ้นมองเหมือนจะห้ามถามต่อ
หลินหยาพยักหน้า เธอลุกขึ้นอย่างงุนงง หัวใจเต้นแปลบวูบจากความไม่เข้าใจ เถ้าแก่ใหญ่คือใครกันแน่? ตั้งแต่เข้าหอมา เธอก็เห็นมีแต่เถ้าแก่หลิวไค่กับพวกผู้ดูแลที่เป็นคนดูแลเรื่องการฝึกหัดและการบริหาร งานเล็กงานน้อยก็โยนให้พวกพี่สาวประจำหอหรือผู้ดูแล แล้วจู่ ๆ วันนี้จะให้พบกับเถ้าแก่ใหญ่ที่ไม่เคยปรากฎตัวสักครั้งเลยเช่นนั้นหรือ? แปลกดีนะ
บานประตุไม้ด้านในสุดของเรือนฝั่งตะวันตกถูกเปิดออกอีกครั้ง กลิ่นไม้กฤษณาอบอุ่นยังลอยอ้อมอิ่งไม่จาง ร่มผ้าฝ้ายที่กางอยู่ใกล้กับประตูยังคงเดิม แต่บรรยากาศภายในกลับเงียบและหนักแน่นยิ่งกว่าเดิมราวกับอากาศรอบห้องลึกลงหนึ่งชั้นไม่มีผิดเพี้ยน หลินหยาก้าวเข้ามาด้วยกิริยานอบน้อม ก้มตัวลงคำนับตามธรรมเนียมของหอทันที
“ข้าน้อย หลินหยา เข้าพบเถ้าแก่ใหญ่เจ้าค่ะ”
เมื่อเธอเงินหน้าขึ้นมา สายตาก็สบเข้ากับร่างสูงเพียวของบุรุษในชุดคลุมยาวสีเทาเงินอ่อนที่กำลังเอยบนหมอนอิง และเป็นเวลาเดียวกันที่ทุกอย่างในหัวของเธอเหมือนชะงักไปชั่ววินาที..เป็นเขานั้นเอง..คือเขา.. ชายหนุ่มในห้องพักตะวันตก ผู้เงียบขรึม เจ้าสำราญแบบแปลก ๆ ผู้ถือพัดระหว่างจิบซุปกวาง นั่งนิ่งฟังเสียงจลุ่ยของเธอเมื่อในยามเซินของหลายวันที่ผ่านมา เขา..
เขา..คือเถ้าแก่ใหญ่..
หลินหยาเบิกตากว้างเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะรีบก้มศีรษะต่ำลงอีกครั้ง ไม่ให้ความสับสนที่สะท้อนแรงจากการได้รับรู้ความจริง(?) นั้นเผยออกมาแต่อย่างใด ด้านข้างนั้นเถ้าแก่หลิวไค่ที่ยืนเงียบอยู่ก่อนแล้วรีบประสานมือคำนับให้จางกงกงอย่างนอบน้อมสุดตัว “หากไม่มีคำสั่งเพิ่มเติม ข้าขอตัวก่อนขอรับท่าน” จางกงกงนั้นไม่แม้แต่จะมองเขาด้วยซ้ำ เสียงจากริมฝีปากเขาเอ่ยออกมาอย่างเรียบเย็น ไม่ดังแต่เฉียบจนสั่งให้ร่างเถ้าแก่หลิวไค่เย็นวาบ
“ออกไป” คำเดียว ไม่มีคำว่าขอบใจ ไม่มีมารยาทจอมปลอมออกมาตอนนี้
หลิวไค่ค้อมตัวต่ำสุดอีกครั้ง ก่อนที่จะถอยหลังออกจากห้องไปเงียบ ๆ ประตูปิดลงเบา ๆ ตามหลังอย่างสมบูรณ์ ขณะนี้ในห้องจึงเหลือเพียง เถ้าแก่ใหญ่ ผู้สงบนิ่ง และ หลินหยา เด็กสาวนักดนตรีฝึกหัดผู้ที่ไม่รู้เลยว่ายามนี้ตนเองถูกลบชื่อออกจากบัญชีของหอไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
จางกงกงทองเธอผ่านใบพัดในมืออย่างเฉยชา แววตาอ่านยากอย่างเคย แต่คราวนี้เมื่อไร้ผู้คน เขากล่าวเพียงเบา ๆ “เจ้ารู้แล้วหรือยัง..ว่าข้าไม่ใช่แค่แขกที่มายามตามเซินของทุกวัน?” ปลายพัดเคลื่อนไหวช้า ๆ ราวกับกำลังชี้ไปยังหมากตัวหนึ่งบนกระดานมังกรที่ไม่มีใครรู้เลยว่ายังเล่นอยู่
หลินหยานั้นเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย ก่อนรีบหลุบตากลับลงอีกครั้งเมื่อสบตากับดวงตาคู่นั้นที่แม้ไม่แสดงความโกรธขึงขัง แต่กลับเย็นเยือกเกินกว่าผู้ใดในหอจะกล้าจ้องตริง ๆ นางสูดลมหายใจเบา ๆ แล้วคำนับอีกครั้งหนึ่ง เสียงเอ่ยตอบแม้อ่อนหวานแต่หนักแน่น ไม่อ้อมแอ้มแต่อย่างใด “ขออภัยท่านชาย ที่ข้าน้อยมิรู้มาก่อนว่าท่านคือผู้ใด” เสียงของหลินหยาไม่สั่น แต่ก็ไม่แข็งกร้าวแบบคนที่รู้แล้วจะโกรธ เธอรู้จักการวางตัวเมื่อตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงปลายเข็มที่เสียบด้ายเส้นบาง แต่ก็ยังเลือกที่จะพูดออกมาตรง ๆ อย่างไม่มีอะไรปิดบังความจริงแต่อย่างใด
จางกงกงมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพับพัดในมืออย่างเชื่องช้า แล้ววางลงข้างหมอนอิง บรรยากาศในตอนนี้ของห้องพลันแน่นตึงไปหมดโดยไม่มีใครเอ่ยวาจาที่ต้องข่มขู่ใครทั้งนั้น “ข้าคือจาง..ใต้เท้าจางแห่งราชสำนัก” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่เร่งหรือช้าไป แต่ทุกถ้อยคำนั้นเหมือนตราประทับที่ประทบลงบนสมองส่วนในของคนฟัง “ข้าเป็นขุนนางที่ได้รับการเมตตาโดยตรงจากองค์ฮ่องเต้” เขาพูดต่อโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ข้าไม่ได้มาที่นี่วันนี้เพียงเพื่อฟังเสียงดนตรีของเข้า”
“แต่เพราะเจ้ามีบางอย่าง ที่อาจจะมีประโยชน์ต่อราชสำนัก”
หลินหยาที่ยังคงก้มตัวนิ่ง เธอไม่เอ่ยวาจาโต้ตอบแต่อย่างใด เธอรู้ดีว่าหากชายตรงหน้าต้องการสิ่งใด ไม่ว่าใครก็ยากจะขัดได้ และเมื่อกล่าวถึงราชสำนักหลินหยาก็ขมวดคิ้วเรียวของตนเองเล็กน้อย เธอเหมือนรู้จุดหมายปลายทางนี้โดยไม่ต้องสืบสิ่งใดอีกเลยว่าคำตอบของเธอจะเป็นเช่นไร
“ข้ามีข้อเสนอ หากเจ้ายินดีที่จะไปเป็นนางกำนัลข้างกาย..ขององค์ชายรัชทายาท ข้าจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้หมด เจ้าจะได้รับเบี้ยหวัดถึง 5 ตำลึงทองต่อเดือน..มากกว่าที่นางกำนัลคนใดในวังจะได้รับ” เขาหยุดพูดพลางทอดสายตามองเธออีกครู่หนึ่ง ราวกับต้องการวัดใจของหลินหยาว่าจะสั่นไหวหรือไม่กับคำต่อไป ก่อนที่เขาจะหยิบบางอย่างออกจากห่อแพรข้างตัว เสียงช่างคุ้นเคย..
เหรียญทองเปล่งประกายแสงเทียน ยิ่งขับให้บรรยากาศในห้องนี้ร้อนขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องจุดเพลิง “และหากเจ้าทำให้องค์ชายหลงรักเจ้าได้..ข้าจะให้รางวัลเจ้าเป็นการส่วนตัว 100 ตำลึงทองคงจะดี” มือเรียวของเขาขยับเล่นเหรียญนั้น จางกงกงโน้มตัวลงมาด้านหน้าเพียงเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มที่น่าฟังแต่สำหรับหลินหยาเธอกลับรู้สึกเย็นสันหลังยะเยือกจนถึงขั้วกระดูกดำของตนเอง
“เป็นโอกาสที่หญิงธรรมดาจากหอว่านหงเหริน..ไม่มีวันจะได้พบ”
จางกงกงกล่าวจบอย่างมั่นคง ภายในห้องเงียบงันมีเพียงเสียงลมหายใจเบา ๆ ของหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังนิ่งไป เงียบกว่าที่จางกงกงคาดเอาไว้เสียอีก เขาคิด..แน่นอน หลินหยาอาจกำลังสั่นกลัว อาจจะกำลังร้อนรนกับข้อเสนอที่มากเกินจะต้านทานทั้งการปฎิเสธที่ไม่อาจมี เกียรติของสตรีทั่วแดนที่จะได้เคียงคู่กับองค์ชายรัชทายาท หอมหวานยิ่งกว่าสิ่งใด สตรีที่มีเกียรติเท่านั้นยำจะได้บารมีขึ้นครอง
แต่…ใบหน้าของหลินหยาที่เงยขึ้นช้า ๆ พร้อมกับสายตาอันว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม? “หืม??” ริมฝีปากของนางนั้นขยับขึ้นอย่างสับสน “เอ่อ..ข้า?...ขออภัยนะเจ้าคะใต้เท้า ข้าฟังไม่ผิดใช่หรือไม่เจ้าคะ? องค์ชายรัชทายาทหรอ?”เสียงของเธอหลุดออกมาช้า ๆ ตามความงุนงงในใจ นัยน์ตากลมโตนั้นกระพริบปริบ ๆ อย่างมึนงง หน้าตายแทบจะตลกในสายตาคนทั่วไป แต่จังหวะัที่นางยกมือเรียวงามนั้นแตะข้างขมับเหมือนจะพยายามฟื้นความจำที่ไม่ผิดเพี้ยน กลับเผยท่าทีที่ให้เห็นว่าเบื้องหลังความซื่อใสสะอาด สมองของนางกำลังหมุนเร็วไม่แพ้เครื่องจักรกลใด ๆ เลยแม้แต้น้อย
“องค์ชายที่ประสูติจากพระสนมลู่ องค์นั้นหรือเจ้าคะ??” คำถามของหลินหยานั้นหลุดรอดริมฝีปากเบา ๆ ราวกับรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะรอคำตอบ ในห้วงวินาทีนั้น ทั้งหมดในหัวหลินหยากลับไม่ใช่เรื่องเงินทอง หรือฐานะใหม่ที่สั่นคลอนความเป็นจริง แต่เป็นภาพของความทรงจำที่เด่นชัดจากคำล่ำลืออันหนาหู
“ข้าได้ข่าวมาเรื่องประสูติในคือนอัศจรรย์..ราวดวงกาวทุกดวงปรากฎเหนือศีรษะพระมารดาพระองค์ และในครรภ์ของพระสนมลู่ ราวกับมีเพลิงสวรรค์ไหลระริกในยามจันทราแรม หลังจากประสูติได้ไม่ถึงฤดูเต็ม พระองค์ก็เติบโตเป็นเด็กหนุ่มวัย 12 ในพริบตา..พวกนางในหลายคนบอกว่า ปีศาจ ส่วนนักพรตกล่าวว่าคือโอรสแห่งสวรรค์โดยแท้..”
หลินหยาเอ่ยเรื่องข่าวลือที่แสนจะน่ากลัวนั้นออกมาแต่สำหรับหลินหยานั้น..เธอมองเขาเป็นบุญยารมีอันอัศจรรย์มากกว่า..ใจหนึ่งของเธอก็หวั่นไหว ใจหนึ่งก็ตื่นเต้น ใจหนึ่งก็งงงวย..แต่ทั้งหมดนี้หล่อหลอมให้หลินหยาแสดงออกมาหน้าเดียว..
https://img5.pic.in.th/file/secure-sv1/b3c0debe6076de7ee889558e385dfdef.md.jpg
เอ๋อแดก…
จางกงกงที่ยังคงนิ่งงัน เฝ้าดูปฎิกิริยาของเด็กสาวตรงหน้าเหมือนนักปราชณ์นั่งดูหมากรุก ขมวดคิ้วนิดหน่อยจากท่าทีที่ผิดไปจากที่คาดไว้ลิบลับเกินจะเอ่ย เขาเอียงหน้าช้า ๆ กล่าวเสียงเรียบถาม “ใช่ เจ้าฟังไม่ผิด องค์ชายองค์นั้น หรือในสายตาของเจ้า พระองค์เป็นปีศาจหรือไร?”
หลินหยาที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วมองทันที แล้วเอียงคอทำตาใส “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าคิดว่า พระองค์คงมิใช่ปีศาจ แต่เป็นคนที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินต่างหาก บุญบารมีเช่นรนั้น อาจเป็นสิ่งวิเศษที่ไม่มีใครเข้าใจเจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ยบอกมองหน้าเขาตรง ๆ สีหน้าไม่ได้เยาะหยัน ไม่สับสนแต่แฝงไปด้วยความเชื่อที่เปล่งประกายออกมาอย่างบริสุทธิ์ใจ เหมือนหากเป็นข่าวลือเสียหายเท่าใด หลินหยาก็พร้อมแปลงให้มันเป็นเรื่องดีได้ด้วยตัวเอง
เงียบ..
แม้แต่จางกงกงก็ยังหยุดมือ เขาเพียงจ้องมองหญิงสาวที่จู่ ๆ ก็ไม่กลัว ไม่ขลาดเขลาไม่ตื่นเต้น.. เขาหลุบตามองเธออยู่นาน ก่อนที่จะหัวเราะในลำคอเบา ๆ “เจ้าช่างเป็นหญิงที่น่าสนใจนัก” เขากล่าวเรียบ ๆ ราวกับยังไม่ตัดสินใจ แต่ท่าทีของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย
หลินหยาเหมือนกับคิดอะไรได้ เธอเงนหน้าถามอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา “คือ ใต้เท้าเจ้าคะ ข้าขอถามอะไรหน่อยได้หรือไม่?” น้ำเสียงของนางไม่ได้ดึงดันและไม่ลังเลเกินงาม เป็นความสงสัยที่ซื่อตรงใบบริสุทธิ์ที่ไม่คิดเก็บงำสิ่งใดให้รกหัวใจหรือหัวสมองตนเอง จางกงกงเหลือบหน้ามองนางเล็กน้อย ไม่เต็มตัวนัก แต่สายตาของเขาคมและแน่วแน่
“เช่นไร?”
หญิงสาวเลิกคิ้วน้อย ๆ แล้วเหมือนกัเอ่ยแบบไม่มั่นใจเท่าไรแต่ก็เอ่ยออกมาอยู่ดี “ทำไม ทำไมถึงต้องเป็นข้าด้วยเจ้าคะ? ข้าไม่เคยพบองค์ชายเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านเป็นอย่างไร ชอบคนเช่นไร หรือไม่ชอบอะไร ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระองค์จะทรงชอบข้าหรือมีจิตปฏิพัทธ์ต่อข้าหรือไม่ด้วยซ้ำ แล้วอยู่ ๆ ใต้เท้ามาถามเช่นนี้ข้าก็ไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” เธอเงยหน้ามองเขาแบบไม่หลด แต่ถามว่ากลัวที่จะถูกต่อว่าไหมก็กลัวอยู่
“อีกอย่างข้าไม่คิดว่าตัวเองเหมาะสมนักด้วยเจ้าค่ะ ข้าเป็นเพียงสาวใช้ตัวน้อย ข้ากระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกระโหลกอยู่บ่อย ๆ ฉลาดก็ไม่ฉลาด ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย บางทีก็งง คิดมากหรือใครเดาข้าก็ไม่ค่อยได้ ข้าคิดว่าบางทีใต้เท้าอาจควรพิจารณาใหม่อีกครั้งก็ได้นะเจ้าคะ”
จางกงกงมองเธออย่างงั้นราวกับเวลาหยุดนิ่ง ก่อนที่เสียงหัวเราะจะแผ่วเบาจากริมฝีปาก ไม่ใช่เย้ยหยั่นหรือเหยียดความคิด แต่เป็นการหัวเราะที่เหมือนกับกำลังมองเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่รู้ว่ากำลังยืนอยู่บนเส้นแบ่งของอะไร เขามองนางแล้วพัดในมือก็กระทบกับปลายนิ้วแผ่วเบา
“เจ้าคิดว่าองค์ชายต้องการหญิงที่รู้ว่าพระองค์ชอบอะไรหรือ?..หรือเจ้าคิดว่าบุรุษผู้หนึ่ง เมื่อพบหญิงที่เล่นดนตรีได้อย่างลึกซึ้ง และตอบคำถามอย่างไร้พิษภัยไม่ควรค่าแก่การประทับใจ..??”
“พระองค์ไม่ต้องการหญิงที่คิดว่าตนเหมาะสม พระองค์ต้องการหญิงที่ไม่คิดว่าตนคู่ควร เพราะนางจะไม่เปลี่ยนพระองค์ให้เป็นสิ่งที่ตนต้องการ..และเจ้าคือคนแรกที่มององค์ชายด้วยแววตาที่ไม่เปื้อนคำสอน ข่าวลือ หรือความกลัว” ทุกคำของจางกงกงนั้นเหมือนกับคนที่คิดถึงแต่องค์ชายและนายเหนือหัว แต่สำหรับใจจริงนั้นไม่อาจมีใครล้วงลึกถึงสิ่งที่อยู่ด้านในได้เลยสักคน..
“เจ้าคือความใส แต่ไม่ว่างเปล่า..”
“จดจำไว้ แม่นางน้อย พระองค์ไม่ต้องการสตรีที่พร้อมจะอยู่ในวัง แต่ต้องการผู้หญิงที่กล้าจะอยู่กับพระองค์”
หลินหยาที่ได้ยินแบบนั้นเธอเบิกตากว้าง แต่นางกลับจ้องดวงตานั้นด้วยนัยต์ตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของตนเองอย่างไม่หลบเลี่ยงต่อให้โดนกล่อมเพียงใดก็ตาม “ข้าขออภัยเจ้าค่ะ” หลินหยากล่าวพร้อมกับตัวตรง ดวงตากลมจ้องมองดวงหน้าของบุรุณอย่างไม่หลบเลี่ยง
“ข้าไม่อาจรับข้าเสนอของท่านได้ ไม่ว่าจะให้ข้าเคียงกับองค์ชายในฐานะใด..ข้าก็ยังไม่คิดจะเลือกอะไรในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ” นางกล่าวเรียบง่าย แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหนักแน่น ชนิดที่แม้ว่าจะพูดอย่างนุ่มและสุภาพกลับสะดุดใจคนฟังอย่างจัง “ข้ารู้ว่าเงินที่ท่านยื่นมา มันยากมาก มากกว่าที่ใครเคยเสนอให้ข้าทั้งชีวิตด้วยซ้ำ” นางเว้นจังหวะพลางทำนิ้วเล็ก ๆ .. “แต่ความจริงข้าน่ะ..มีมากกว่านั้นเจ้าค่ะ” นางจ้องหน้าของเขาระบายยิ้มนิด ๆ เหมือนกำลังแหย่ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะข่มใคร แต่ก็ไม่ยอมตกเป็นเบี้นของใครง่าย ๆ เช่นเดียวกัน ทำหน้าเอ๋อใส่ด้วยประมาณว่า ข้าเก็บเงินเก่งนะเจ้าคะ อิอิ
“ข้าทำงานเลือดตาแทบกระเด็นในทุกวันทั่วฉางอัน ข้าชอบมันนะเจ้าคะ” หลินหยาก้มคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบนอ้ม แต่จางกงกงที่มองอยู่ในเงามีดกลับไม่หลุดรอยยิ้มเช่นเดิม สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ความโกรธแม้แต่น้อย แต่ทว่าดวงตานั้น เปล่งประกายราวกับเสือที่เห็นเหยื่อขู่ฟ่อใส่..ไม่ใช่เพราะความกลัว เหตุใดกัน นางจึงดื้อดึงได้ถึงเพียงนี้..
“เช่นนั้นหรือ?..” เสียงของเขานิ่ง แต่เย็นกว่าก่อนหน้านี้อย่างน่าประหลาดใจ “เจ้านี้มัน..แมวป่าที่มัดเท่าไร ก็ยังจะกระชากโซ่ออก? เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าเจ้าคือสิ่งนั้นหรือไง” เขามองนางเต็มตา เป็นครั้งแรกที่หลินหยาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันเงียบงัน เหมือนถูกกลืนเข้าไปในสายตาของอสรพิษที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะกลืนนางลงไปทั่งตัว หรือปล่อยให้นางมีชีวิตรอด
“เด็กน้อย..เจ้าคงยังไม่เข้าใจ บางทีสิ่งที่เจ้าคิดว่าเป็นทางเลือก อาจไม่เคยมีอยู่ตรงเลยก็ได้ ข้ามิใช่คนที่ยื่นข้อเสนอ ข้าเป็นคนจัดกระดาน และเจ้าก็อยู่บนกระดานนี้นานแล้วแต่พึ่งรู้ตัว”
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ:
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป จางกงกงหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-24 03:04
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ ยี่สิบสาม เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ณ หอว่านหงเหริน
หลังจากนั้น..มันควรจะจบลงซึ่งทุกอย่าง มันควรจะเป็นเธอที่รอดได้อีกครั้ง มันควรจะเป็นชายตรงหน้าจากไปด้วยความผิดหวัง แต่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือเสียงกระแอมไอเบา ๆ จากจางกงกงแล้วเขากลับหันมา ขยับตัวเข้ามาอย่างไม่เร่งรีบ เขายกพัดสีดำในมือขึ้นกระแทกกับฝ่ามือของตนเองเบา ๆ ราวกับคิดไว้แล้วว่าจะต้องพบกับสิ่งนี้..แล้วจึงทำบางอย่างด้วยการวางหนังสือสองฉบับลงตรงหน้าโต๊ะอย่างเงียบงัน เสียงกระดาษแห้งดังเบา ๆ แต่ทว่า ทุกตัวอักษณที่อยู่ในนั้น..
กลับหนักอึ้ง..ยิ่งกว่าหินพันชั่ง..
“แม่นางน้อยหลินหยา” เสียงของจางกงกงเอ่ยขึ้นช้า ๆ มองอีกฝ่ายผ่านชายพัดที่ยกขึ้นยังฟางไว้คล้ายกำลังอมยิ้ม แต่นัยต์ตาเขากลับเรียบสนิทราวกับกระจกดำที่ไม่สะท้อนเงาใคร “ข้าเป็นคนตรง ๆ ไม่ถนัดอ้อนวอนหรือต่อปากต่อคำหรือต่อรองเช่นพวกพ่อค้า ข้าทำหน้าที่ของข้าเพียงเพื่อรักษาสมดุลของแผ่นดิน และหนังสือทั้งสองเล่มนี้..ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าดูสักหน่อย” เขาผ่ายมือเล็กน้อยให้หลินหยาเห็นเอกสารทั้งสองฉบับบนโต๊ะ
ฉบับแรก กระดาษหยาบเรียบหมึกหนา บ่งบอกถึงการศึกษาลายมือชาวบ้านแบบตัวชัดเจน รายละเอียดแน่นหนา ขึ้นหัวเรื่องว่า ‘คำร้องเรียนเจ้าเมืองผานอวี้’ เนื้อความโหดร้ายยิ่งกว่าหอกแทงข้างอก ขูดรีดภาษีชาวบ้าน เสวยสุขบนทุกข์ของราษฎร แถมพาเมียหลวงเมียน้อยลูกหลานอดอยากเพราะเจ้าตัวเอาเงินไปลงหอโคมเขียว จนต้องส่งบุตรสาวไปทำงานมากมายในเมืองหลวงจนไม่ได้พักผ่อน..
อีกฉบับ.. กระดาษหอมลายพิมพ์อย่างดี ลงตราประทับของพ่อค้ากลุ่มหนึ่งจากผานอวี้ ยกย่องคุณงามความดีของเจ้าเมืองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ใจความแทบจะร้องขอให้แต่งตั้งเป็นขุนนางหลัก
“ข้าไม่จำเป็นต้องรู้..ว่าเรื่องใดเรื่องจริงหรือเรื่องใดเรื่องเท็จ” จางกงกงเอ่ยเบา ๆ สลับตบพัดลงบนเอกสารฉบับแรกเบา ๆ .. “ข้าแค่รู้ว่า หากหนังสือร้องเรียนแผ่นนี้หลุดไปถึงหูประชาชน ข่าวจะลุกลามไวกว่าพายุไฟในตลาดตะวันออก แล้วชื่อเสียงของตระกูลเก่าก็จะเละ..ไปในคราวเดียว ดับดิ้น ไร้ทาง” พัดเคลื่อนไปอีกเล็กน้อย แล้วสะบัดนิ้วสั่น เสียงกระดาษนั้นพัดก้องในหูของหลินหยา..
“ฝ่าบาท ทรงไม่โปรดนัก..กับเรื่องเสี่ยมเสียที่เกิดจากเจ้าเมืองชายแดน..ที่เป็นคนของประชาชน เจ้าเมืองผานอวี้..ก็เช่นกัน” เขาเน้นเสียงลง “หากคำร้องแพร่กระจาย ฝ่าบาทจะมิทรงพิโรธหรือ?” เขากล่าวพลางเอียงหน้ามองหลินหยา รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฎผ่านชายพัด “และ..ในยามที่พระองค์ทรงกริ้ว เช่นนั้น ฮองเต้จะโปรดการสืบสวนนักหรือ?..หรือจะสั่งประหารก่อน ค่อยหาความจริงทีหลังดีล่ะ?”
“ถึงตอนนั้น ข้าเกรงว่าแม้เจ้าจะวิงวอนร้องไห้แทบตายน้ำตาไหลเป็นสายเลือด ก็ไร้ความหมายแล้ว..พยานตายหมด แล้วจะหาความจริงจากที่ใดเล่า?” เขาวางพัดลงอย่างช้า ๆ แล้วหย่อนกายพิงพนัก เก็บสายตาทั้งหมดไว้ในเงามืดรอบตัว
หลินหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง นางมองกระดาษตรงหน้าแล้วเงยขึ้นขึ้นช้า ๆ ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนที่เคยสดใสกลับสั่นระริกเล็กน้อย สองมือข้างกายกำแน่น จางกงกงที่เห็นเช่นนั้น เขายิ้ม..ยิ้มอย่างพึงพอใจในความเงียมของนาง ไม่พูดแม้แต่คำเดียว แต่แววตาคู่นั้นบอกได้ชัดว่าเขาพอใจยิ่งนัก
เงียบ…
เงียบงัน..
เงียบเสียจนได้ยินเสียงปลายเล็บงามของหลินหยาที่ขุดเบา ๆ บนพื้นไม้ขณะก้มลงคุกเข่าต่อหน้าเขาชายตรงหน้าโดยไม่เอื้่อนเอ่ยแม้แต่คำเดียว นางไม่พูดอะไรอีก ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา หากแต่ปล่อยให้ร่างของตนเองร่วงลงเงียบ ๆ เช่นนั้น ราวกับดอกไม้ใบหนึ่งที่โดนย้ำแล้วยังพยายามที่จะบานให้ดูเหมือนไม่เป็นอะไร..
เสียงพัดที่เคยเคาะบนโต๊ะอย่างหยอกล้อเมื่อครู่เงียบลงไปแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ..นอกจากแววตานิ่งเรียบของจางกงกง และหัวใจของเด็กสาวที่เริ่มร้าวจนเสียงร้าวนั้นดังขึ้นในหูของตัวนางเองโดยไม่ปิดบัง หลินหยาค่อย ๆ เหลือบสายตาขึ้น แววตานั้นไม่ใช่แววตาของชายที่นางเคยจ้องมองมาก่อน มันไม่ใช่แววตาของชายลึกลับผู้มีรอยยิ้มข้างพัด ไม่ใช่ผู้ที่ฟังเสียงขลุ่ยของนางด้วยท่าทีสงบนิ่ง หากแต่…เป็นแววตาของใครบางคน ที่สามารถตัดสินชะตาชีวิตของคนคนหนึ่ง..ได้ด้วยการกระพริบตา
แววตาของคนที่สามารถ..ฆ่าทั้งตระกูลของเธอได้..เพียงเพราะ..ไม่พอใจ
เธอมองเขา..มองอย่างคนที่ไม่เข้าใจ มองอย่างคนที่กำลังถามกับตนเองว่าทำไมถึงมาได้ไกลขนาดนี้ ทำไมแค่เป่าขลุ่นหนึ่งเพลง มันถึงกลายเป็นชีวิตทั้งชีวิตที่กำลังโดนจับวางบนตาชั่งของผู้ชายคนหนึ่ง หลินหยาไม่รู้ว่าดวงตาของตนเองเศร้าหรือไม่..เศร้าหรือเปล่า
นางแค่รู้สึก..รู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ข้างในของนาง เหมือนหยดหมึกที่เผลอหกลงกลางแผ่นกระดาษสีขาวสะอาด แพร่ซึมช้า ๆ ไปทุกทิศทางจนไม่มีส่วนใดเหลือ..ไม่มีส่วนใดที่ไม่แปดเปื้อน..
เจ็บไหม..??
เจ็บสิ..แต่ไม่มีที่ไหนให้พูด เจ็บจนเงียบไปทั้งอก เหลือแค่ลมหายใจเบา ๆ ที่ตนยังฝืนพ่นออกมาเพื่อจะไม่ร้องไห้ให้เขาเห็น เพราะในเมื่อ แม้แต้ความกลัว นางยังไม่คิดจะยื่นให้เขา ไม่มีคำไหนออกจากปากของเธอ แต่เธอก็ยังคงเงยหน้าขึ้นอยู่ จ้องมองชายตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา ดวงตาที่เคยสดใส เปล่งประกายในคืนเป่าขลุ่ย ในคืนทำงาน ในทุกคืนที่ผ่านมา วันนั้น..กลับไร้แววเหมือนแม่น้ำที่แห้งเหือด แววตานั้นไม่ได้กล่าวโทษ..
ไม่ได้ด่าทอ…มันแค่ถามเงียบ ๆ ..ว่า…เหตุใด?...
เหตุใดจึงต้องทำให้ความบริสุทธิ์ใจเพียงเล็กน้อยนั้นกลายเป็นโซ่ตรวน
เหตุใดจึงต้องนำความหวังในใจของใครบางคนไปแลกกับชื่อเสียงชีวิตของตระกูล
เหตุใด..จึงต้องฆ่าความรู้สึกที่สวยงามนั้นด้วยมือของคนที่ท่านเคยฟังเสียงขลุ่ยงามตรงหน้าข้า..
เธอไม่รู้ว่าจางกงกงมองเห็นอะไรในแววตานั้นหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ในเสี้ยววินาทีนั้น หลินหยารู้แล้วว่าคนตรงหน้าเธอ ไม่ใช่แขกประจำหอว่านหงเหริน อีกต่อไป..เขาคือปีศาจในคราบของรอยยิ้ม คือหมากขาวที่เดินด้วยมือของใครบางคนที่สูงเกินกว่าท้องฟ้า..
คือมนุษย์..ที่ไม่มีหัวใจให้กับเด็กสาวตัวเล็ก ๆ อย่างเธอเลยแม้แต่นิดเดียว..
แล้วหลินหยาก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง หัวใจแน่นดื้อ ไม่มีน้ำตาไหลออกมา แต่น้ำเสียงในหัวกลับเงียบเกินกว่าที่จะมีอะไรตอบเธอได้อีกต่อไปอีกแล้ว
มือบางที่เคยไล้เล่นดนตรีตามปลายนิ้วด้วยความอ่อนโยน บัดนี้กลับกำแน่นจนเล็บจิกทะลุผ้ารองเข่า เสียงที่ไม่มีใครได้ยินคือเสียงเนื้อบอบบางที่แตกระแหงใต้แรงอารมณ์ของนาง มือคู่นั้นสั่นเบา ไม่ใช่เพราะสิ่งใด มันอาจจะเป็นเพราะความกลัว? ความรู้สึกที่ด้านชา..และความรู้สึกที่พรากจากทุกอย่างไป..จากทุกอย่างที่เคยมีอยู่
นางไม่ร้องไห้..เพราะแม้น้ำตาจะไหล มันก็มิอาจล้างความหม่นมือที่ก่อตัวอยู่ในทรวงอกของนางได้เลยอีกแล้ว..แม้สักนิดก็ไม่ ดวงตาที่เคยเปล่งประกายเหมือนสาวน้อยผู้อยากพบโลกกว้าง ค่อย ๆ มืดหม่นลงราวกับมีม่านหมดปิดตา ภาพเบื้องหน้าเลือนรางเหมือนอยู่ไกลแสนไกล แต่เงาร่างของเขา ของชายที่นั่งอยู่เหนือโต๊ะนั้น ยังชัดเจนยิ่งกว่าภาพใด
เขานั่งอยู่ในเงา เหมือนดั่งความจริงที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน..
หัวใจดวงน้อยของหลินหยาแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ แต่สิ่งที่หล่นลงไปนั้นอาจไม่กลับคืนมาได้อีก ไม่ใช่เพราะมันแหลกละเอียด แต่เพราะไม่มีที่ใดให้วางหัวใจที่แตกสลายนั้นลงได้เลยสักนิด ไม่มีที่ไหน..ปลอดภัยอีกต่อไป เสียงของนางเบากว่าลมหายใจ หากแต่แทรกผ่านม่านความเงียบขึ้นมาดั่งสายลมราตรีที่กระซิบจากหุบเขาอันห่างไกล
“ขอเวลา..ให้ข้าสักหน่อย…ได้หรือไม่เจ้าคะ”..
เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของหญิงสาวที่ต่อรอง หรืออ้อนวอน เพื่อรอดพ้น ไม่ใช่เสียงของผู้คิดสู้หรือแสร้งโง่เขลา หากแต่มันคือเสียงของผู้หญิงที่รู้ตัวดีว่า ตนกำลังถูกพันธนาการโดยบางสิ่งที่ไม่อาจหักหาญได้ ไม่ใช่เชือก ไม่ใช่คำสั่ง ไม่ใช่ตัวอักษรบนกระดาษ แต่คือ สายตาและความตั้งใจของผู้มีอำนาจเหนือชีวิต..ชีวิตของนาง..ไม่รู้ว่าจะได้นานเพียงใด..
หลินหยารู้ดี รู้ดีว่านี้ไม่ใช่การต่อรอง แต่มันคือเศษเสี้ยวสุดท้ายของอิสรภาพในใจ ที่ยื่นออกไปต่อหน้าบุรุษผู้ไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร
จางกงกงเงียบ…
ชายหนุ่มเบื้องหน้าไม่ได้ขยับแม้แต้ปลายนิ้ว เขาเพียงนั่งนิ่ง ๆ พลิกพัดไม้ในมือเล่นอย่างเชื่องช้า ไม่ได้เอ่ยคำใดในทันที และสายตาคู่นั้นก็ละจากเอกสารบนโต๊ะ มองมายังหลินหยา มองนาน นานเสียจนคนที่จ้องกลับเริ่มไม่แน่ใจ ว่าเขาจะโอบเธอขึ้นมาหรือเหยียบซ้ำในจมลงดินใต้พื้นเท้าของเขาเอง พัดสีดำนั้นเลื่อนไปแตะริมฝีปากของเขาอีกครั้งก่อนที่เสียงหนึ่งจะเปล่งออกมาเบา ๆ
“เช่นนั้นหรือ..”
ภายในห้องพักทางทิศตะวันตกยังคงเงียบงัน ไม่มีแม้เสียงของนาฬิกาน้ำ ไม่มีลมหายใจของข้ารับใช้ ไม่มีแม้เสียงก้าวเท้าของใครอื่น นอกจากเสียงพัดไม้กระทบปลายนิ้วอย่างเชื่องช้าและสงบนิ่งเกินจริง หลินหยายังคงคุกเข่าอยู่ตรงหน้น ดวงตายังพร่าเลือน น้ำเสียงเมื่อครู่ที่ขอเวลาให้นางหน่อย..ได้หล่นหายไปกับสายลม และความเงียบระหว่างนางกับเขา ก่อตัวขึ้นเป็นโซ่ตรวนที่ล่ามรั้งจิตใจไม่ต่างจากห่วงเหล็กเย็นเยียบ แต่แล้ว..
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็เคลื่อนเข้ามาใกล้..หนึ่งก้าว..และอีกหนึ่งก้าว
จวบจนเงาของจางกงกงทอดทับบนไหล่ของเด็กสาวตรงหน้าเขาโน้มตัวลงช้า ๆ ราวกับไม่ต้องเร่งเร้าใด ๆ เพราะรู้ดีว่าหญิงเบื้องหน้ากำลังอยู่ในสภาพที่เขาจะทำอะไรก็ได้ แม้จะไม่แตะต้องเลยก็ตาม ฝ่ามือขาวซีดนั้นยื่นมาแตะเบา ๆ ที่คางของนาง เชยคางงามนั้นขึ้น แล้วขยับนิ้วเรียวเย็นเยือก ไปที่แก้มของหลินหยา เย็น..ดุจหยดน้ำค้างบนเหล็กกล้าท่ามกลางยามเหมันต์..
“งามนัก..” เขาเอ่ยช้า ๆ คล้ายกระซิบ
“ในยามที่เจ้าไร้หนทาง..หน้าตาเจ้าเช่นนี้..ช่างงามนัก” นิ้วเรียวยาวขยับเบา ๆ ลูบผ่านข้างแก้มของนางด้วยสัมผัสเบาที่เหมือนกำลังชมดอกไม้ในสวน ไม่ใช่การล่วงเกิน ไม่ใช่การบีบบังคับ หางแต่นั้นคือวิธีที่ชายผู้เชี่ยวชาญการควบคุม ใช้กับดอกไม้ที่กำลังเหี่ยวเฉาโดยไม่รู้ตัว
“ดวงตาคู่นี้..” เขากระซิบพลางขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าของนาง
“หากมีหยดน้ำตาไหลออกมาสักหยด ข้าคิดว่ามันคงจะงดงามเสียยิ่งกว่าผีเสื้อที่ตายในฤดูใบไม้ร่วงเสียอีก” มือของเขายังไม่ละออกไป ยังคงลูบไล้แก้มนางราวกับกำลังจดจำสัมผัสนั้นไว้ทุกระลอก กลิ่นจากผิวของหลินหยาที่อบอวลด้วยกลิ่นพีชอ่อนจางจางหอว่านหงเหริน ผสานกับความสั่นเทาใต้ผิวของหญิงสาว กลับทำให้ชายคนนี้ยิ้มบางออกมา
ไม่ใช่รอยยิ้มของชายผู้ตกหลุมรัก..แต่เป็นรอยยิ้ม ของคนที่รู้ตัวว่าเขาสามารถทำลายเธอได้ทุกเมื่อ และเลือกที่จะยังไม่ทำในตอนนี้
“เจ้าช่างเหมือนดอกไม้ที่ร่วงลงจากชะง่อนผา แต่กลับยังหอมยิ่งขึ้นในยามร่วงหล่น”
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: -
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป จางกงกงหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ ยี่สิบสี่ เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ หอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)
หลินหยานั้นกลับมาที่หอว่านหงเหรินอีกครั้งเหมือนเคย เอาความจริงเธอไม่ต้องทำงานเลยก็ได้เพราะชายคนนั้นเอง..อีกไม่กี่ชั่วโมงอิสระที่เธอมีก็อาจจะยังมีแต่โดนจำกัดแต่ไม่เป็นอะไรหรอก ยังเหลือเวลาอีกหน่อย หลินหยาเดินไปขอกับเถ้าแก่หลิวไค่..เธอขอไปเสิร์ฟอาหารให้แขกสักนิดได้หรือไม่..ห้องเดิม เวลาเดิม..ยามไห่ของทุกวัน..ห้องของเขา ใต้เท้าเถียนเฟิง..
ใต้เท้าเถียนเฟิงนั่งอยู่ในห้องพิเศษเหมือนเช่นเคย ห้องที่กลายเป็นเสมียนกระดานหมากลับหัวซ้อนอยู่ใต้ผ้าม่านไม้ไผ่และกลิ่นอวลจางของกำยานกฤษณา ร่างสูงในชุดเสื้ออาภรย์สีเรียบขลิบแพรดำเอนกายเล็กน้อยอย่างไม่ใช่บุรุษที่ว่างงาน เพียงแต่ตอนนี้เขาต้องพักผ่อนเสียบ้าง.. ตอนนี้เขาเป็นผู้ที่ต้องสังเกตโลกนี้ในทุกยามกระทั่งขณะพัก ริมขอบถ้วยชาชื้น น้ำชายังอุ่น กลิ่นหอมตลบอบอวลสะท้อนความตั้งใจของเจ้าของห้องว่าไม่ได้มาเพียงชั่วครู่ หากแต่รอ..และเขาก็ไม่เคยต้องรอนาน..
เสียงประตูไม้ถูกเลื่อนเปิดด้วยฝ่ามือเล็กบาง เงาร่างหนึ่งปรากฎผ่านแสงโคมพราวก่อนที่นางจะค่อย ๆ เข้ามาในห้อง เสียงฝีเท้าเบา ๆ แต่แน่วแน่นั้น เขาจะได้ดี แม้หลับตาก็ยังรู้ว่านางเป็นใคร..แม่นางน้อยคนนั้น..
เสี่ยวหนานตัวน้อย..และตอนนี้นางไม่ได้ชื่อนั้นอีกต่อไป..
หลินหยาค้อมศีรษะให้กับเขาเล็กน้อย ดวงตาที่เคยสดใสราวลำธารหน้าร้อนบัดนี้หม่นแสงลงคล้ายเมฆครึ้มบังดวงจันทร์สว่าง ทว่าในเงาเมฆนั้น ก็ยังมีประกายบางอย่างอย่างน่าหลงเหลืออยู่ ความดื้อรั้น ความไม่ยอมแพ้ ความเป็นหลินหยา ที่เขาเฝ้าดูมาตลอดหลายวันที่รู้จักกัน..
เถียนเฟิงขยับดวงตาเล็กน้อย ยามหญิงสาวก้มลงรินน้ำชา วางถาดกับข้าวพลางเบื่องหน้าไปทางอื่นเล็กน้อยราวกับไม่อยากให้ใครเห็นรอยอันเหนื่อยล้าบนใบหน้าของนางในตอนนี้ ใบหน้าที่เหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบงามนั้น นางหลุบตาแล้วไม่ได้สบตาของเถียนเฟิงในคราแรก และเขาก็ไม่ได้กล่าวคำใดในทันทีเหมือนกัน
ใต้เท้าเถียนเฟิงเพียงพินิจพิจารณามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเงียบงัน ประหนึ่งนักปราชญ์ที่พิจารณาอักขระแปลกปลอมในตำราที่แม้จะพลิกอ่านหลายรอบก็ยังอ่านไม่ออก จนในที่สุด เขาก็วางพัดที่ถือในมือเบา ๆ ข้างกายก่อนจะเอ่ยเสียงราบนิ่ง แต่กลับกระแทกเข้าสู่จิตใจดั่งหยดหมึกบนกระดาษบาง
“หากวันนี้เจ้าเลือกที่จะไม่มา..ข้าก็จะไม่ส่งคนไปตาม..”
ดวงตาของเขายังคงมองนางโดยไม่หลบเลี่ยง ไม่มีการไต่ถามเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่มีคำว่าเหตุใดเจ้าเหนื่อยล้า ไม่มีแม้แต่คำว่าเจ้าสบายดีหรือไม่ แต่ในแววตาที่เรียบนิ่งเยี่ยงกระจกน้ำนั้น กลับสะท้่อนร่องรอยของใครบางคนที่เฝ้ามองพฤติกรรมากกว่าคำพูดเสมอ “แต่เจ้าก็มา..” เขาเอ่ยต่อ พลางเลื่อนถ้วยชาของตนเองหานางเหมือนเชื้อเชิญโดยไม่เปิดเผย “เจ้าก็ยัง..มาที่นี่เอง”
หลินหยาเงยหน้าสบตาขึ้นกับของเพียงชั่วครู่ ดวงตาคู่งามนั้นแม้คล้ายจะแตกสลายเป็นผุยผง หากแต่ยังฝืนรวมเศษเสี้ยวทั้งหมดกลับเข้าไว้ด้วยกันอย่างแน่วแน่ เธอมองถ้วยนั้น แล้วเหมือนอยากจะเอื้อมไปจับมัน แต่มือของนางสั่นเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับไร้การควบคุม.. “ข้าเพียงอยากทำสิ่งที่ข้ายังทำได้อยู่..ก่อนที่ข้าจะไม่มีวันได้ทำมันอีก” เสียงของนางเอ่ยออกมาเบาราวกับสายลมเล็มยอดหญ้า แต่อันแน่นด้วยแรงกล้าภายในของหญิงสาวที่ได้ฝืนยืดหยัดด้วยเท้าเปล่ากลางเสี้ยนหนามไม้เถากุหลาบและหอกคร่านับไม่ถ้วน..
เถียนเฟิงไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงยื่นมือออกไปเลื่อนขนมจากจานด้านหน้าไปให้นางเงียบ ๆ เป็นการกระทำที่ไม่สมฐานะใต้เท้าผู้มากอำนาจของต้าซือคง แต่กลับดูธรรมดาเกินไปจนน่ากลัว.. “เจ้ายังมีชีวิตอยู่…” เขาพูดขึ้นช้า ๆ แล้วเว่นจังหวะเพียงชั่วหายใจนั้น ก่อนพูดต่ออย่างราบเรียบ “จงอย่าทำเหมือนเจ้าหมดสิทธิ์เลือกแล้วสิ” น้ำเสียงนั้นมิได้อ่อนโยน หากแต่แน่นิ่งเยี่ยงหินผา ไม่ใช่เพื่อปลอบโยนนาง แต่เพื่อทิ่มแทงให้คนตรงหน้าตื่นจากความท้อแท้ที่กัดกินในหัวใจของนาง
และนั้นคือสิ่งที่เถียนเฟิงเป็น ไม่อ่อนโยน ไม่ประคอง หากแต่จับผู้คนไว้ด้วยมือเปล่าจากใต้หลืบหยาง หวังให้พวกเขายังอยู่บนกระดาน แม้จะไม่ใช่หมากที่เขาควบคุมก็ตาม..
เงียบ..มันเงียบอีกครั้ง..
เงียบยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก..มีเพียงเสียงกำยานและลมหายใจอ่อน ๆ ของคนสองคนที่นั่งตรงกันข้ามกัน ราวกับสงครามกลางใจนั้นเพิ่งเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
“ข้าหมดสิทธิ์เลือกแล้วเจ้าค่ะ..แต่ข้าไม่หมดสิทธิ์ที่จะดิ้นรนหรือคาดหวัง” หลินหยาเอ่ยเสียงแผ่ว ดวงตานั้นแม้จะหลุบต่ำอยู่ ทว่าคำพูดกลับมีน้ำหนักยิ่งกว่าการร้องไห้เสียอีก มือบางวางอยู่เหนือถาดไม้เบื้องหน้าอย่างสงบ แม้ภายในอกจะคล้ายถูกฉีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากความคาดหวังที่ยิ่งหวังยิ่งเจ็บ เธอเอ่ยพลางมองเขาด้วยดวงตาที่ผ่านความเหนื่อยล้าและบีบคั้นมานับไม่ถ้วน มันราบเรียบ แต่กลับราวสายลมในช่วงค่ำคืนที่พัดผ่าน ทำให้โลกนี้เหมือนนิ่งเงียบกลับมีแรงสั่นสะเทือนบาง ๆ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ใต้รอยยิ้มและความกล้าหาญที่วาดบนใบหน้าของหญิงสาวนั้น..
ซ่อนความตื่นตระหนก ความปวดร้าวและโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น..แต่มันรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก เธอเงียบไปเพียงอึดใจ ก่อนที่จะกล่าวต่อในเสียงที่เบาลงกว่างเดิม ราวกับยอมแพ้แต่ก็ยังไม่ล้มลงจนสุด
“ใต้เท้า..ข้าจะมาทำงานที่นี่เป็นวันสุดท้าย..ข้ามาบอกท่านไว้..”
คำพูดนั้นเปล่งออกมาอย่างง่ายดาย ทว่าแรงกระแทกกลับหนักหน่วง เธอไม่อธิบายอะไรต่อ ไม่พูดเหตุผล ไม่ขอความเข้าใจเพียงยืนยันความจริงจากปากของนาง ด้วยท่าทีท่าทางที่ปิดบังทุกบาดแผลไว้ภายใต้เสื้อผ้าสีเรียบ
เถียนเฟิงยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตาคู่นั้นค่อย ๆ เหลือบมองเด็กสาวอย่างช้า ๆ ไม่มีคำพูดหรือการขยับ ไม่มีอารมณ์ฉุนเฉียบหรือเคืองขุ่นแม้แต่น้อย นิ่งเสียจนน่ากลัว ราวกับบุรุษที่มีแต่จิตใจเยือกเย็นดั่งเงาน้ำใต้เงาจันทร์ แต่หากใครมองลึกลงไป จะพบประกายบางอย่างที่คล้ายกับมีรอยร้าวเล็ฏ ๆ ที่กระทบกับพื้นผิวน้ำนิ่งนั้นให้เกิดวง.. “หืม?..” เสียงนั้นเอ่ยเบาเพียงพอให้ได้ยินชัดเจน แต่มิใช่คำถาม หากแต่คือเสียงที่หมายจะให้หลินหยารู้ว่าเขายังนั่งอยู่และฟังมัน
เขาหยิบพัดขึ้นมาหมุนปลายนิ้วเล็กน้อย ก่อนวางลงดังเดิมแล้วเหลือบตามองเธออย่างไม่เร่งเร้าหรือคำพูดทัดทานหรือขอให้นางหยุดความคิดนั้นแต่อย่างใด มีเพียงเสียงแผ่นราวกับลมใต้ประตูที่เขาเปรยออกมาในที่สุด
“เจ้าจะไป..ไม่ใช่เพราะข้าใช่หรือไม่?” ประโยคนั้นเรียบเสียจนดูเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ หากแต่ถามเพียงเพื่อให้เสียงของตนแทรงผ่านช่องว่างของความเงียบงันนั้นเพื่อให้หลินหยารู้ว่าเขาไม่ได้เมินเฉยต่อสิ่งที่นางพูด แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะอ้อนวอน ฉุดรั้ง..ไม่เคย..ไม่เคยเลยสักครา..
เขาเพียงวางมือไว้ตรงกลางระหว่างเธอกับเขา ห่างจากนางพอสมควรมิใช่ยื่นมือมาให้นางจับ แต่ยื่นวางไว้เฉย ๆ คล้ายร่องรอยสุดท้ายของบุรุษผู้ที่ไม่เอ่ยว่าห่วงแต่แสดงออกด้วยการเฝ้ารอคำตอบในความเงียบงันนั้น “เจ้ามาบอก นั้นหมายความว่าเจ้ายังให้โอกาสข้าได้ล่วงรู้ใช่ไหม?” แล้วเขาก็เงียบต่อ ปล่อยให้เสียงห้วงคืนระหว่างทั้งสองเป็นคนบอกความรู้สึก
นั้นแหละเขา..คือเถียนเฟิง ไม่พูดคำว่าอยู่ต่อเถิด หรือคำว่าข้าห้ามเจ้า..หรือคำว่าอย่าจากไป
“ไม่ใช่เพราะท่านเจ้าค่ะ..” หลินหยาบอกเขานางระบายยิ้มนิด ๆ แม้จะข่มขื่นอยู่มากก็ตาม..แล้วเงยหน้ามองอีกฝ่าย เถียนเฟิงยังคงเงียบ มือของเขายังคงวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าอย่างเดิม ไม่ได้ขยับ ไม่ได้ดึงกลับไป ไม่ได้แม้แต่เปลี่ยนท่าทาง แต่นัยน์ตาที่ทอดมองหลินหยานั้น...ชัดเจน เขากำลังจดจำทุกถ้อยคำของนาง ทุกอากัปกิริยานั้นอย่างเงียบงัน
เมื่อได้คำตอบจากปากนางที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่มั่นคง กลับทำให้ดวงตาของเขาหรี่ลงช้า ๆ ประหนึ่งชายที่พยายามอ่านระลอกคลื่นใต้เงาน้ำ แต่ไม่อาจเข้าถึงความลึกที่แท้จริง “ดีแล้ว..” เขาเอ่ยเสียงเรียบ คำพูดนั้นไม่ได้มีความโล่งใจ แต่ไม่เย็นชา กลับกัน..มันคือความโล่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกที่แข็งกร้าวมาตลอด
“ท่านอยากฟังข้าเล่นดนตรีไหมเจ้าคะ?..” หลินหยาเอ่ยถามต่ออีก
เถียนเฟิงจ้องตานางอยู่ชั่วครู่ ไม่มีคำสั่งหรือปฎิเสธ เขาไม่ได้คาดหวังเหมือนคนที่กำลังวางหมากขนาดนั้น แต่เสียงของเขาที่ตอบกลับนั้นปฝงไปด้วยสิ่งหนึ่ง ความอ่อนโยนที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นโดยไม่แสร้งทำภายใต้หน้ากากนั้น
“เจ้าจะเล่นให้ข้าฟัง..ในคืนสุดท้ายที่เจ้าอยู่ที่นี่หรือ?” น้ำเสียงนั้นไม่ได้แสร้งประชด แต่กลับถามอย่างตรงไปตรงมาในแบบของเขา คนที่พูดหว่านลอมคนเก่งนัก หรือบางครั้งก็พูดแทงใจคนแบบไม่ตั้งใจเสียจนมันบาดหนัก นิ้วเรียวของเขาขยับเล็กน้อยเป็นเชิงเชื้ือเชิญ ไม่ใช่คำขอหรือคำสั่ง
“ถ้าเช่นนั้น ข้าฟังอยู่”
เถียนเฟิงเอนตัวพิงเบาะเบา ๆ เหลือบสายตาไปยังเครื่องดนตรีที่วางพิงฝา ไม่ต้องสั่งหรือระบุชื่อเพลง ไม่ต้องบอกว่าเร็วหรือช้า แต่หากนางน้อยผู้นี้อยากเล่น เขาก็จะฟังเป็นคนสุดท้ายของหอนางตอนนี้ด้วยตัวเอง
หลินหยาที่เห็นดังนั้นเธอสูดลมหายใจเล็กน้อยอย่างเงียบงัน เธอมองชายตรงหน้า ผู้ที่ไม่พูดคำว่าอยู่ต่อ แต่ก็ทำให้การอยู่ของเธอสำคัญเหมือนกัน เธอขยับเท้าเบา ๆ ไปยังมุมห้อง ก่อนจะหยิบ กู่เจิง ขึ้นมาแทนที่จะเป็นผีผา หรือขลุ่ยอย่างเคย คราวนี้เธอเล่นไม่ประชด ไม่ดื้อ ไม่เร็ว แต่เป็นเสียงลำนำสายเดียวที่ปล่อยช้า ๆ คล้ายกระซิบ นิ้วเรียวของหญิงสาวแตะไล่สายทีละเส้น ปล่อยทำนองที่ไม่มีชื่อ ไม่มีต้นฉบับ ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนเพราะนี้ไม่ใช่เพลง..
แววตาของหลินหยาไม่มีน้ำตา แต่ก็ไม่ยิ้ม ไม่หวาน แต่ก็ไม่เชื้อเชิญ มีเพียงความสงบที่เธอไม่อาจมี..หากต้องเดินทางเข้าไปในวังหลวง มีเพียงเสียงเธอในค่ำคืนสุดท้ายและเงาของผู้ชายที่่คิดว่าเธอเป็นหมากแต่กลับปล่อยไปง่ายดาย และไม่เคยแตะต้องเธอด้วยแรงแห่งความปรารถนา หากเขาจะเกลียดเธอในสักวันหนึ่ง นั้นคงเพราะ..เธอเลือกเส้นทางที่ไม่อาจมีใครหวนกลับมาพบกันอีก
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: ปลดดดดหัววใจจจจจจ คุณพรี๊ก่อนเข้าวังงงงไปต่อยหน้าจางกงกง
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป เถียน เฟิง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
ทักษะนักดนตรี เล่นดนตรี โบนัสความสัมพันธ์ +5(เต็มแล้วใส่ทำไมนั้นสิ งงช่างมัน)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-24 23:20
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
วันที่ ยี่สิบสี่ เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามจื่อ เวลา 23.00 - 01.00 น. ณ หอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)
บทบรรเพลงเพลงจากสายกู่เจิงนั้นจากปลายนิ้วเรียวงามดั่งหยกขาวของนาง หลินหยายังคงบรรเลงเล่นมันอย่างก้องกังวาลในห้องที่เงียบสงัดในราตรีที่เลยเวลาของใต้เท้าตรงหน้าแต่เขาก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเอนกายพิงเบาะฟังนางเงียบ ๆ คล้ายจับแต่ละตัวโน๊ตที่แฝงความรู้สึกและถ้อยคำหนักลิ้นที่นางไม่เอ่ยออกมาแม้แต้น้อย เงาสะท้อนของแสงตะเกียงแกว่งไกวเบา ๆ บนผิวกู่เจิงที่ยังอุ่นของรอยสัมผัสนาง ปลายนิ้วเรียวบางของหลินหยาเล่นค้างอยู่บนสายนั้นราวกับไม่อาจตัดใจปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนเสียงดนตรีที่นางบรรเลง.. เสียงสายดนตรีราวกับตวัดบาดแผลในใจเธอให้เปิดออก และในขณะเดียวกัน...ก็เยียวยาหัวใจอีกดวงหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของเธอทอดมองเครื่องดนตรีอย่างสงบ หากแต่มองลึกลงไปก็จะเห็นว่าแววตานั้นไม่ได้สงบอย่างที่ควรจะเป็น มันคือดวงตาของคนที่ตั้งใจบอกลาโดยไม่พูดคำว่าลาแต่อย่างใด ของคนที่ตั้งใจจำจังหวะสุดท้ายในห้องนี้โดยไม่อ้อนวอนหรือขอให้ใครรั้งไว้..หลินหยาไม่ได้หันขึ้นไปมองเขาในทันที เธอลุกขึ้นอย่างนุ่มนวล
ชุดของนางขยับตามแรงลมภายในห้อง เส้นผมบางส่วนแนบแก้มด้วยเหงื่อบางจางจากความประหม่าแต่ไม่อาจกลบความสง่างามในยามนี้ของนางได้เลย หัวใจของเธอยังคงเต้น แต่เป็นการเต้นอย่างหนักแน่นราวกับจะจดจำให้แม่นว่าครั้งหนึ่ง เธอเคยมีผู้ที่ฟังเธออีกครั้งอย่างแท้จริง..
ขณะเดียวกัน เถียนเฟิงยังคงเอนกายพิงพนักเบาะ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากริมฝีปากของชายหนุ่มผู้ซึ่งพูดเหมือนกระบี่คมกริบในฝักที่รอวันชักออกมาเชือดเฉือนคน เขาเพียงแต่ฟังและเงียบ..กับจริงจัง ในความเงียบนั้น ความคิดของเขาไม่อาจเงียบสงบได้เลย เขาจำทุกตัวโน๊ต ไม่ใช่เพราะมันจับใจ แต่เพราะแต่ละเสียงมันเหมือนกรีดมาลงที่กลางอกของเขาอย่างแผ่วเบาในแบบที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน
หลินหยาไม่ได้กลายเป็นแค่สาวใช้ตัวปลอมของเขา ไม่ได้เป็นแค่เบื้อในกระดานของเขา เธอกลายเป็นความคาดไม่ถึง ที่กลับทำให้เขารู้สึก..รู้สึกถึงสิ่งที่เขาเคยหันหลังตัวเองเพื่อไม่รู้สึก เถียนเฟิงไม่เคยคิดว่าการฟังเพลงของใครสักคน จะทำให้เขารู้สึกเหมือน..กำลังถูกทิ้งได้ขนาดนี้
และเมื่อหลินหยาลุกขึ้นยืน เงาของนางทอดผ่านปลายสายตาของเขา เถียนเฟิงมองเพียงแค่นั้น ไม่มีคำเอ่ย ไม่ยื่นมือรั้งไว้หรือถ้อยคำใดที่ออกมาทำลายความเงียบที่งดงามของค่ำคืนนี้ แต่ในใจนี้ เขารู้ตัวดีว่าเงาของนางได้ประทบลงไปในแผนที่ของเขาเรียบร้อยแล้ว
แต่แล้ว…
เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ก็ดังห้องห้องโถงไม้ของโซนแขกพิเศษ มันกลืนหายไปกับเสียงลมหวิวที่ลอดผ่านชายผ้าม่านไผ่งาม โคมไฟสลัวกระพริบแผ่วคล้ายกับจะดับไหวกับแรงกดดันที่ล่องลอยในอากาศ ณ เวลานี้ เงาร่างของบุรุษสำนักพิธีการในชุดคลุมสะบัดเบาเมื่อหยุดยืนกลางห้อง ป้ายประจำสำนักวังหลวงสะท้อนแสงสีเหลืองนวลตรงชายเสื้อ เสียงของเขาชัดเจน ไม่ดังแต่ซัดพอที่จะทำให้ความเงียบนั้นขาดสะบั้นลง
“ข้ามารับตัว แม่นางหลินหยา”
ข้างกายของเขามีขันทีผู้หนึ่งที่หน้าอ่อนแต่แววตาระวังไว มือประคองห่อผ้าบางอย่างที่น่าจะเป็นชุดเปลี่ยนหรืออุปกรณ์อะไรบางอย่างตามระเบียบวังใน ด้านหลังยังมีชายฉกรรจ์อีกสองคนที่ไม่รู้ว่าเป็นทหารหรือผู้คุ้มกันส่วนตัว ยืนรออยู่ไม่ไกลจากนอกประตู ขณะนั้น หลินหยากำลังโค้งคำนับเพื่อที่จะจากลา เสียงฝีเท้าแรกของผู้มาใหม่ทำให้แผ่นหลังของเธอตึงแน่นด้วยสัญชาตญาณ เธอยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง มือข้างว่างแตะชายกระโปรงไว้ ก่อนที่จะค่อย ๆ ผายมือก้มลงอีกครั้งตามมารยาท
นางสูดลมหายใจแผ่วเบาอย่างสงบ ก่อนที่จะหันหน้าไปมองใต้เท้าเถียนเฟิงที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แต่นิ่งเสียจนน่าใจหาย หลินหยาก้มตัวลงอย่างนุ่มนวล คำนับเขาอีกครั้งด้วยมารยาทอันงดงาม ไม่กล่าวคำอำลา ไม่ถามหรือแม้แต่จะหาข้อแก้ตัวใด ๆ เธอรู้ว่าถ้อยคำในตอนนี้ไร้ความหมาย เพราะเพียงเสียงเดียว คำสั่งเดียวก็สามารถเปลี่ยนปลายทางชีวิตทั้งหมดของเธอ
เธอไม่รู้หรอกว่าเขาจะทำเช่นไร ไม่รู้หรอกว่าเขาแค่ไม่พูดหรือพูดไม่ได้ หรืออาจจะเพียงไม่คิดพูดเลยก็ได้ แต่อย่างน้อยเมื่อสบตา เธออยากให้รู้ในวินาทีนั้น..เธออยากให้เขารู้ว่าเธอจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ หลินหยาเงยหน้ามองเขา ดวงตาของเธอแม้จะยังมีประกายแต่ก็อ่อนแรง ดวงหน้าไม่แสดงความกลัว แต่มีเพียงความหนักแน่นที่เปล่งออกมาจากหญิงสาวผู้กำลังถูกนำตัวออกไปจากค่ำคืนที่ไร้ดาวเช่นนี้
จากนั้นเธอจึงหมุนกายกลับไปทางบุรุษจากสำนักพิธีการแล้วก้มศีรษะลงอีกครั้ง “ข้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” ไม่มีเสียงร้องไห้หรือน้ำตา มีแต่เสียงหัวใจของนางที่ยังคงเดินไปข้างหน้าในความมืด
แต่แล้วกลับมีสิ่งหนึ่งที่ดังชะงักนักเมื่ออยู่ ๆ ใต้เท้าเถียนเฟิงกลับเลือกที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา “คนที่อยู่ในกรง อาจไม่ใช่คนที่ถูกขัง...แต่อาจเป็นคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองบินได้” เขาเอ่ยเช่นนั้นราวกับพูดผ่านกับสายลม หากแต่สำหรับหลินหยา คำนั้นสั่นสะเทือนถึงกลางอก นางไม่ได้หันกลับไปมองเขา แต่นางรู้ว่าเขาคงคิดอะไรบางอย่าง..นางไม่ได้เอ่ยขอบคุณ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพรุ่งนี้ จะพบเจอกันเหตุการณ์อะไรหรือไม่
เงาของหลินหยาทอดยาวขนานไปกับพื้นไม้เคลือบเงายาวต้นงามเพมื่อเธอก้าวเดินออกจากห้องรับรองพิเศษอย่างสงบ นางขยับตัวไปตามจังหวะการเดินที่เชื่องช้าแต่ไม่ลังเล ราวกับหญิงสาวในค่ำคืนนี้ได้ละทิ้งการต่อต้านทุกสิ่งเอาไว้เบื้องหลัง ตั้งแต่ก้าวแรกที่นางยอมรับสิ่งนี้ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบราวกับคืนเดือนดับ แสงเทียนโคมด้านนอกยังค้างวาบวับอยู่เหมือนสายตาของใครบางคน
ชายในชุดสำนักพิธีการที่ยืนรอเบื้องหน้าไม่มีท่าทีเร่งรัด เขาทำเพียงยืนนิ่ง สีหน้าว่างเปล่าราวกับหน้ากากที่ไร้อารมณ์และความรู้สึก ส่วนขันทีนั้นที่อยู่ข้างกายเขากลับมองหลินหยาขึ้นลงเล็กน้อยราวประเมินและเป็นแววตาที่..ประเมิน..และ เหมือนเคยพบนางมาก่อน แต่ไม่..หลินหยาจำไม่ได้
เธอจำคนผู้นี้ไม่ได้เลย นั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่นนัก เพราะเธอจดจำทุกใบหน้าได้เสมอ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครหากแต่ถ้าเคยเฉียดผ่านช่วงเวลาของนางย่อมทิ้งร่อยรอยไว้บ้าง แต่ชายผ้นี้ไม่มีเลยสักนิด นั้นทำให้เธอยิ่งมั่นใจว่าคนผู้นี้ ถูกส่งมาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง..ใต้เท้าจาง..ท่านคิดอะไรอยู่..รับสาวใช้ต่ำต้อยเพียงคนเดียว ต้องส่งทั้งขันที คนคุมและขุนนางผู้มีตราสำนักพิธีการมาด้วยเชียวหรือ?...
ความรู้สึกแปลกเย็นแล่นขึ้นบนสันหลัง แต่นางแค่กระตุกยิ้มมุมปากตนเองเล็กน้อย..นี่หรือสิ่งที่รอนางอยู่..
“ท่านมาตรงเวลาเกินไปเสียหน่อยละมั้งเจ้าคะ..ใต้เท้าจางไม่เคยให้ข้าสายเลยแม้แต่วินาทีเดียวหรืออย่างไร” เธอพูดกับลมหายใจเหมือนกับไม่มีใครได้ยิน..
ขณะนั้นเบื้องหลังของเธอ ชายผู้นั้นที่ไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว เถียนเฟิงยังคงนั่งพิงพนักเบาะ ริมฝีปากนั้นว่างเปล่า ดวงตาของเงาเงียบงัน เหมือนกำลังจดจ่อกับสิ่งที่เขาไม่คิดฝันมาก่อน เขาพูดออกไปแล้ว..ทว่าในมุมที่หลินหยามองไม่เห็น แววตาของเขาขณะทอดมองแผ่นหลังของนางกลับเคลื่อนไหวช้า ๆ ดั่งระลอกคลื่นน้ำในถ้วยชาอุ่น ยามมีหยดหยาดจากฟากฟ้าหยดลงมา..เขาขยับมือแล้วสัมผัสทับถ้วยชาที่นางเคยริน..ราวกับจะทาบลายนิ้วมือที่ไม่เคยแม้แต่จะสัมผัสกัน..
ใช่..เขาคิดทันทีตั้งแต่เห็นตราสำนักนั้น เขาคิดทันทีทีตั้งแต่เห็นเวลาที่พวกนั้นมา เขารู้และเขาก็เอ่ยเพียงเท่านั้น ให้นางได้รับรู้ไว้..ว่าเขาเอง ก็ไม่คิดจะนิ่งเฉยเหมือนกัน
https://img2.pic.in.th/pic/-4_20250603154522.md.png
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่อื่น ๆ: เอ่อออทางเลือกที่สอง เพราะสุ่มได้สุด ๆ เถียนเฟิงงง ฉันจะหาทางมากวนตีนเธอนะ
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป เถียน เฟิงหัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้มโบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้มทักษะนักดนตรี เล่นดนตรี โบนัสความสัมพันธ์ +5ปิดตำนานรับจ้างรายวัน(ถ้าออกมาได้กะทำต่ออิอิ)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย SuYao เมื่อ 2025-6-29 15:42 <br /><br /><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="5" color="#556b2f"><b>วันที่ 28 อู่เยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11</b></font></p><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="5" color="#556b2f"><b>ยามไฮ่ (เวลา 21.00 - 23.00 น.)</b></font></p><p style="text-align: center;"><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p style="text-align: center;"><img src="https://img2.pic.in.th/pic/111953632.gif" border="0"></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ลมยามราตรีพัดเอื่อยเฉื่อย กลิ่นกำยานเจือดอกเหมยโชยอวลออกจากหอว่านหงเหริน ผสมเสียงพิณแผ่วเบาจากด้านใน ร่างระหงของ ซูเหยา ในชุดผ้าฝ้ายเรียบสีอ่อนคลุมทับด้วยเสื้อคลุมบาง เดินเรียบเรื่อยขึ้นบันไดไม้ บ่าแบกถุงผ้าหนาใบหนึ่งซึ่งบรรจุอุปกรณ์ฝังเข็มและตำรับยาที่คัดมาจากหอบันทึกส่วนตัวของนางเอง</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">แม้นางจะเคยเดินทางไปรักษาผู้คนมานับไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ผู้ป่วยเป็นสตรีคณิกาในหอเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นครั้งแรกของนางเช่นกัน…</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit"><font color="#008080">“อาเหยา...”</font> เสียงของหมอเจิ้งเมื่อช่วงเย็นยังแว่วในใจ <font color="#008080">“ขอรบกวนหน่อยเถิด ข้าเองเป็นบุรุษเกรงว่าจะไม่เหมาะ เจ้าจงไปดูอาการทนข้าที”</font></font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">นางมิได้ปฏิเสธ หนึ่งชีวิตแม้จะอยู่ในห้องหอหรือใต้ถุนเรือนก็ยังมีคุณค่าเทียบเท่ากัน เมื่อก้าวเข้าหอว่านหงเหริน จึงรู้สึกราวกับเหยียบย่างเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ด้านในสว่างด้วยแสงโคมกระดาษสีแดงพริ้มพราย เสียงขลุ่ยบรรเลงแผ่ว เหล่าบุรุษนั่งเรียงรายตามโต๊ะไม้ทรงต่ำ ร่ำสุรากับคณิกายิ้มหวานในชุดไหมระยับ บางคนกอดคอสตรีแนบแน่นพลางหัวเราะร่วน บ้างก็ค่อย ๆ ประคองกันขึ้นชั้นบนอย่างไม่ปิดบัง</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยาเดินเรียบเรื่อยตามพื้นไม้ขัดมัน เสียงรองเท้าฟางของนางแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน ทว่าในใจกลับร้อนวูบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400">“สถานที่เยี่ยงนี้...ข้ายังมิชินเลยจริง ๆ”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">นางก้มหน้าลงเล็กน้อย สีหน้านิ่งสงบ แต่ใบหูข้างหนึ่งกลับขึ้นสีชมพูอ่อนจากความกระดากอาย จนกระทั่งมีหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งนุ่งชุดบางเจือผ้าคลุมโปร่งบาง เดินเข้ามาหานางพร้อมรอยยิ้มสุภาพ</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#9932cc">“แม่นาง...มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ? ท่านเป็นลูกค้าหรือ?”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยารีบโค้งคำนับเล็กน้อย ก่อนตอบอย่างสุภาพและชัดเจน</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400">“ข้าเป็นคนของท่านหมอเจิ้งเซียวเฉินมาตรวจรักษาคนไข้เจ้าค่ะ ตามที่ทางหอได้ส่งคนไปแจ้ง เข้าใจว่าเป็นสตรี มีอาการเจ็บเรื้อรัง”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">หญิงสาวคณิกานั้นพยักหน้า ดวงตากลมโตกวาดมองหญิงตรงหน้าอย่างประเมินเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจเบา ๆ</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#9932cc">“อ้อ...ใช่เจ้าค่ะ ท่านหมอหญิงมาได้ถูกเวลาแล้ว นังเซี่ยวยวี่...อาการไม่ดีนักหลายวันแล้ว เป็นโรคที่ชายดูไม่ได้จริง ๆ ขอบพระคุณที่แม่นางกรุณามาด้วยตนเอง”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">นางผายมือเชื้อเชิญให้ซูเหยาเดินตามไปยังบันไดด้านข้างที่ไม่พลุกพล่านนัก ทั้งคู่เดินขึ้นไปยังชั้นบนของหอ ท่ามกลางเสียงพิณเบาราวหมอกบาง</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ห้องพักของเซี่ยวยวี่อยู่ในสุดของระเบียงทางทิศตะวันตก ผ้าม่านสีชมพูอ่อนพริ้วไหวจากลมเย็น โคมไฟน้ำมันสว่างสลัว กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยอยู่ทั่วห้อง</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">เซี่ยวยวี่สตรีวัยไม่เกินยี่สิบปี ร่างบอบบางนอนซบหมอนด้วยสีหน้าซีดเซียว ดวงตาเคยเปล่งประกายยวนยั่ว บัดนี้กลับอ่อนล้าราวบุปผาเฉาลงในกระถาง เมื่อซูเหยาเข้าไปใกล้ นางย่อตัวลงนั่งข้างเตียง ค่อย ๆ วางถุงผ้าลงก่อนเอ่ยด้วยเสียงเบานุ่ม</font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400">“ข้าชื่อซูเหยา มาจากโรงหมอเจิ้งเทียนเจ้าค่ะ ขอข้าดูอาการท่านได้หรือไม่?”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">เซี่ยวยวี่พยักหน้าเบา ๆ แววตาแฝงทั้งความระแวงและความหวัง</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">เมื่อซูเหยอเริ่มจับชีพจร ลูบตรวจหน้าท้อง และซักถามอาการอย่างละเอียด ก็พบว่า...</font><span style="font-family: Kanit; font-size: medium;">นางเป็นโรคโลหิตอั้นหลังคลอดประจำเดือนผิดปกติ อาการปวดท้องรุนแรง บางครามีไข้ต่ำ พื้นฐานร่างกายอ่อนแอจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่อาจให้หมอชายตรวจดูได้ ด้วยตำแหน่งอาการอยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยง</span></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยาจดบันทึกอย่างเงียบ ๆ แล้วจึงหยิบม้วนเข็มออกจากห่อผ้า เริ่มอุ่นเข็มและเตรียมฝังเข็มอย่างใจเย็น พร้อมสั่งน้ำอุ่นเพื่อชงยาตำรับพิเศษที่คิดขึ้นเอง ก่อนเริ่มฝังเข็ม นางยิ้มบาง ๆ ให้คนไข้ผู้ยังคงหลบสายตาอย่างเขินอาย</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400">“ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำให้เจ็บ และข้าจะไม่ยอมให้อาการนี้ทรมานท่านอีก”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">เข็มเงินถูกปักอย่างแผ่วเบา ลงบนจุดที่แม่นยำตามตำราฝังเข็ม เส้นโลหิตที่อุดตันค่อย ๆ คลายตัวด้วยการกระตุ้นที่ประณีต ไม่ช้าใบหน้าซีดเซียวของเซี่ยวยวี่ก็เริ่มมีเลือดฝาดกลับคืน ดวงตาที่เคยหม่นเศร้าเผยแววโล่งใจ</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยาเปลี่ยนเข็มเป็นลำดับ มือละเมียดทุกจุดราวกับจิตรกรบรรจงแต่งแต้มปลายพู่กัน เมื่อตรวจสอบชีพจรอีกครั้งจึงจดบันทึกลงม้วนไม้ไผ่ที่นำติดตัวมา ก่อนเอื้อมหยิบพู่กันเขียนใบสั่งยา</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400">“ตำรับยานี้ใช้ต้มดื่มก่อนนอน จะช่วยบำรุงโลหิต คลายอาการปวด และช่วยให้นอนหลับลึกขึ้น ข้าจะฝากให้คนของที่นี่จัดการ ท่านดูแลตัวเองให้ดี หลีกของเย็น ของเผ็ด ของทอดสักพักหนึ่ง หากมีไข้ขึ้นอีกให้รีบแจ้งทันที”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">นางส่งใบสั่งยาให้หญิงสาวคณิกาที่นั่งรออยู่หน้าห้อง พร้อมบอกชื่อสมุนไพรและปริมาณอย่างชัดถ้อยชัดคำ</font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400">“ท่านไปบอกพ่อครัวที่หอให้ช่วยต้มยาตามตำรับนี้ที ขอใช้น้ำสะอาดหนึ่งกาน้ำ และต้มนานราวหนึ่งเค่อ”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">หญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนรีบเดินออกไปจัดแจงตามคำสั่ง</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">เมื่อการรักษาเสร็จสิ้น ซูเหยาเก็บเข็มและเครื่องมืออย่างเงียบงัน พับผ้ารองแล้ววางลงในถุงผ้าดิบ ดวงตาเรียบนิ่งทอดมองคนไข้ซึ่งขณะนี้หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ใบหน้ากลับผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">นางลุกขึ้น เดินเลียบระเบียงไม้ของชั้นบนที่ทอดตัวไปยังฝั่งตะวันตกของอาคาร ลมค่ำยามฤดูร้อนพัดโชยผ่านม่านบางเบา พลิ้วไหวราวกลีบบุปผา ระหว่างเดินผ่านทางแคบที่คั่นห้องพัก นางสวนเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบของหอว่านหงเหริน ซึ่งกำลังถือถาดไม้ที่มีชามอาหารร้อน ๆ และสุราวางอยู่เต็มมือ หญิงสาวผู้นั้นรีบเอ่ยขึ้นทันที เมื่อเห็นซูเหยาแต่งกายเรียบง่าย หน้าตาไม่คุ้นตา</font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#ff8c00"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#ff8c00">“เฮ้อ ดีล่ะ เจ้านี่เอง รีบเอาอาหารไปส่งที่ห้องพิเศษด้านหน้าให้ข้าหน่อย ข้าต้องไปช่วยคุณหนูอิงเซียนจัดเครื่องหอมด่วน!”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400">“ขะ…ข้ามิใช่…”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยายังไม่ทันได้อธิบาย หญิงคนนั้นก็วางถาดลงในอ้อมแขนของนางอย่างเร็วพลางผละตัวไปอีกทาง ทิ้งให้นางยืนงงอยู่กับถาดอาหารในมือ</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400">“แค่เอาอาหารไปวางแล้วกลับออกมา ก็คงไม่เสียเวลามากกระมัง”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">นางพึมพำกับตนเองเบา ๆ แล้วจึงตัดสินใจหันหลังกลับไปยังห้องที่หญิงสาวผู้นั้นชี้ไว้ก่อนหายตัวไป ห้องพิเศษที่ว่า อยู่สุดระเบียงอีกด้านหนึ่ง ประตูไม้สลักลวดลายดอกเหมยปิดสนิทแต่ไม่ได้ล็อก เสียงพิณแผ่วดังลอดออกมาเช่นเคย แต่บรรยากาศภายในเงียบกว่าห้องอื่น</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยาถือถาดด้วยสองมือ ก่อนยื่นมือข้างหนึ่งไปเคาะประตูเบา ๆ</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400">“ข้ามาส่งอาหารเจ้าค่ะ”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">เสียงจากด้านในดังขึ้นอย่างเรียบนิ่งแต่ชัดเจน</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#4169e1">“เข้ามาได้”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยาเลื่อนประตูเบา ๆ พลางหลุบตาต่ำ เดินเข้าไปอย่างสำรวม ภายในห้องนั้นกว้างขวางนัก แสงจากโคมกระดาษสีอำพันส่องผ่านม่านไหมโปร่งบาง โอบไล้บรรยากาศให้ดูสงบนุ่มนวลราวอยู่ในฝัน ร่างของบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะทรงต่ำ ใต้เงาโคมที่ทำให้มองใบหน้าได้ไม่ชัดนัก แต่ซูเหยาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง นางวางถาดอาหารลงบนโต๊ะด้วยท่วงท่าเงียบงัน</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400">“เรียบร้อยเจ้าค่ะ…ขออภัยที่เข้ามารบกวน ข้าจะขอตัว—”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">แต่ยังไม่ทันได้หันหลังดี เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นอีกครั้งจากชายที่นั่งอยู่</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#4169e1">“ช้าก่อน…เจ้าไม่รินสุราให้แขกหรือ?”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยาชะงักเท้า ใจเต้นวูบด้วยความอึดอัด กลืนน้ำลายเบา ๆ อย่างไม่รู้จะตอบอย่างไร รู้เพียงว่าไม่มีทางปฏิเสธได้โดยไม่เสียมารยาท แม้จะไม่ใช่หน้าที่ก็ตาม</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">นางค่อย ๆ หันกลับ ดวงหน้าสงบแต่ในใจปั่นป่วนยิ่ง ยามที่สายตาสบเข้ากับบุรุษตรงหน้าซึ่งบัดนี้เอนตัวเล็กน้อยใต้แสงโคม...ก็เห็นว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามนัก ดวงตาคมกริบจ้องมองมาอย่างพินิจ ลำคอสูงสง่าคล้ายหยก ท่าทางผ่อนคลายแต่เต็มไปด้วยอำนาจแฝงเร้น เสื้อคลุมยาวปักลายเมฆทะยานด้วยด้ายทองไหมเงิน แค่เนื้อผ้าก็รู้ได้ทันทีว่ามาจากโรงทอชั้นสูง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุรุษผู้นี้มิใช่คนธรรมดา</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยาเม้มริมฝีปากแน่นเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะอย่างไม่เต็มใจนัก มือเรียวหยิบขวดสุราแล้วเทรินลงในจอกเคลือบหยกเงางาม กลิ่นสุราระเหยลอยขึ้นแตะปลายจมูก</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">บุรุษรูปงามนั้นเอียงศีรษะน้อย ๆ ดวงตาคมปรายมองนางเหมือนจะหาความหมายลึกซึ้งจากทุกอิริยาบถ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#4169e1">“ไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด เจ้าเพิ่งเข้ามาใหม่หรือ?”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยารีบโค้งตัวเล็กน้อย พยายามจะอธิบายว่า...</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400">“ข้ามิใช่—”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">แต่ไม่ทันจบคำ เสียงของเขาก็แทรกขึ้นทันทีโดยไม่ให้โอกาสนางปฏิเสธ</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#4169e1">“เจ้าชื่ออะไร?”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยาชะงักเล็กน้อย รู้สึกเหมือนถูกดักทางอย่างจงใจ หากตอบชื่อไป...ก็เหมือนยอมรับสถานะผิด ๆ หากไม่ตอบ...ก็ยิ่งมีพิรุธ นางจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400">“ข้าชื่อซูเหยาเจ้าค่ะ...หาใช่—”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#4169e1">“ซูเหยา?”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">เขาทวนชื่ออย่างช้า ๆ ราวกับลิ้มรสน้ำเสียงของชื่อนั้น แล้วจ้องนางนิ่งไปครู่หนึ่ง</font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#4169e1"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#4169e1">“เป็นชื่อที่เรียบง่าย แต่ไม่เลว...ข้าไม่ชอบชื่อที่ประดิษฐ์เกินไปนัก”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ชายผู้นั้นยกจอกสุราขึ้นเพียงครึ่ง ทว่ากลับมิได้ดื่มในทันที ดวงตาคมกริบจับจ้องหญิงสาวเบื้องหน้าอย่างนิ่งเงียบ ราวกับกำลังใคร่ครวญความจริงบางประการที่คนพูดเองอาจยังไม่ทันรู้ตัว</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit"><font color="#4169e1">“เจ้าดูไม่เหมือนคนของหอนี้ ทั้งท่าทาง สีหน้า...แม้แต่ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ย”</font> เขาเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ คล้ายกับเป็นการพูดคนเดียวมากกว่าตั้งคำถาม</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยาก้มหน้านิ่ง สองมือกุมกันแน่นอยู่หน้าตัก พลันคิดว่าถ้าตอบเสียเดี๋ยวนี้ เขาคงจะปล่อยให้ตนได้ขอตัวกลับ นางสูดหายใจเตรียมจะอธิบาย ทว่า...</font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#4169e1"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#4169e1">“ท่าทีของเจ้า...ดูสุภาพมีระเบียบกว่าคณิกาทั่วไปมากนัก”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยาพยายามจะเอ่ย แต่เขาก็ยังพูดต่อโดยไม่เหลียวมองความลังเลของนางแม้แต่น้อย</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#4169e1">“เจ้าถนัดเขียนอักษรใช่หรือไม่? ปลายนิ้วของเจ้ามีรอยคราบหมึกจางจาง...แม้จะล้างออกไปเกือบหมดแล้วก็ตาม”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">นางเม้มปากแน่น รู้สึกเหมือนกำลังถูกวิเคราะห์ ทีละชิ้น ทีละส่วน อย่างสงบ...แต่ล้ำลึก</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ในที่สุดซูเหยาก็กลั้นไม่ไหว เตรียมจะเอ่ยชี้แจงให้ชัดเจนเสียที ทว่า...</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit"><font color="#4169e1">“ท่านหมอหญิง!” </font>เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก ฝีเท้าเร่งร้อนจวนเจียนกลายเป็นวิ่ง หญิงสาวคณิกาที่ซูเหยาวานให้นำใบสั่งยาไปต้ม รีบยื่นหน้าเข้ามาในห้องทันที สีหน้าตื่นตระหนกเมื่อเห็นภาพตรงหน้า</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#4169e1">“ท่านหมอหญิง...ท่านมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ?!”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยาโล่งใจทันที ทันใดนั้นเองหญิงสาวผู้นั้นก็รีบหันไปยังบุรุษที่นั่งอยู่ แล้วโค้งกายลึก สีหน้าซีดเล็กน้อย</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#9932cc">“ขออภัยใต้เท้าเถียน! เป็นความผิดของทางหอเอง หญิงผู้นี้หาได้เป็นคนของหอไม่เจ้าค่ะ แต่เป็นหมอหญิงจากโรงหมอเจิ้งเทียนที่พวกเราวานให้มารักษานังเซี่ยวยวี่เจ้าค่ะ!”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">บรรยากาศเงียบลงฉับพลัน</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยารู้สึกถึงสายตานิ่งสงบคู่นั้นที่กำลังมองตรงมาหานางอีกครั้ง ดวงตานั้นยังคงสุขุมเยือกเย็น ทว่าแววพินิจได้แปรเปลี่ยนเป็นรับรู้ความจริงเสียที เถียนเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะวางจอกสุราลงอย่างแผ่วเบา แล้วลุกขึ้นช้า ๆ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่สงบ นุ่มนวลและเปี่ยมด้วยสัมมาคารวะที่ควรมีต่อผู้มีคุณธรรม</font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#4169e1"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#4169e1">“เช่นนั้น...ข้าคงเข้าใจผิด ต้องขออภัยที่ล่วงเกินแม่นางโดยไม่รู้สถานะ”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">เขาก้มศีรษะเล็กน้อย แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่กลับเต็มไปด้วยความเคารพอย่างยิ่งยวดที่ไม่คาดว่าจะพบในสถานที่เช่นนี้ ซูเหยาเองก็รีบประสานมือคำนับตอบ แม้จะยังประหลาดใจกับกิริยาสุภาพนอบน้อมเกินคาดของบุรุษตรงหน้า</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#006400">“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ...เป็นข้าที่ไม่ได้ชี้แจงให้ชัดเจนแต่แรก”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">คณิกาสาวรีบยกมือขึ้นอย่างลนลาน แล้วเอ่ยเสียงแผ่วแต่ฉับไว</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#9932cc">“ใต้เท้าเถียน โปรดประทานอภัยเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะรีบให้เด็กอีกคนมาบริการท่านแทนเดี๋ยวนี้!”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">นางหันมาทางซูเหยาอย่างเกรงใจ พร้อมยิ้มแหย</font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#9932cc"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit" color="#9932cc">“แม่นาง…ทางนี้เจ้าค่ะ ข้าจะพาไปส่งที่ประตูหน้า”</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ซูเหยาเพียงพยักหน้าเบา ๆ พลางโค้งตัวอีกครั้งให้บุรุษตรงหน้า ก่อนหมุนกายตามหญิงสาวออกไป ดวงหน้าสงบเยือกเย็น เมื่อเดินลงบันไดมาถึงชั้นล่าง แสงโคมแดงยังวาบไหว ขลุ่ยยังแว่วหวาน และเสียงหัวเราะก็ยังไม่แผ่วลงแม้ยามดึก ซูเหยาก้าวผ่านกลุ่มชายหญิงผู้เริงร่าราวกับไร้สิ่งใดแปดเปื้อนจิตใจ นางขยับมือกระชับถุงผ้าหนาแน่นขึ้นเล็กน้อย ขณะเดินผ่านซุ้มประตูของหอว่านหงเหรินออกมาสู่ลานหน้าตึก</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ลมยามค่ำยิ่งเย็นขึ้นกว่าเดิมอีกนิด กลิ่นดอกเหมยในสวนด้านข้างโชยมาอีกระลอก ผสมกับกลิ่นกำยานที่ยังลอยแผ่ว นางหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งใต้แสงจันทร์ แสงดาวพราวอยู่บนฟ้า สะท้อนดวงใจที่ยังสะท้านเล็กน้อยจากเหตุการณ์เมื่อครู่</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">‘ใต้เท้าเถียน...’</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit">ชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาในห้วงความคิดโดยไม่ตั้งใจ ดวงตาซูเหยาเหลือบมองกลับไปยังตึกไม้สูงซึ่งโอบอุ้มเสียงพิณและแสงโคมไว้เบื้องหลัง ก่อนหันกลับมาอย่างเงียบงัน แล้วสาวเท้ากลับไปยังโรงหมอเจิ้งเทียน</font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p style="text-align: center;"><img src="https://img2.pic.in.th/pic/111953632.gif" width="500" _height="50" border="0"><font size="3" face="Kanit"></font></p><p><font size="3" face="Kanit"><br></font></p><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4" color="#ff0000"><b>พรสวรรค์: หมอฝึกหัด (ไม้)</b></font></p><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4" color="#ff0000"><b>ทุกการโรลเพลย์รักษาชาวบ้านในอาการเล็ก ๆ</b></font></p><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4" color="#ff0000"><b>อย่าง ไข้หวัด , โรคกระเพาะ , หมดสติจมน้ำ และโรคเล็กอื่น ๆ ได้รับ EXP +10</b></font></p><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4" color="#ff0000"><b><br></b></font></p><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4" color="#ff0000"><b><br></b></font></p><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4" color="#ff0000"><b><br></b></font></p><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4" color="#ff0000"><b> มอบ น้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีนและสุราเซียนเมามาย ให้ เถียน เฟิง</b></font></p><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4" color="#ff0000"><b>+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง + ชา/สุราเกรดแดง (+20)</b></font></p><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4" color="#ff0000"><b>โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม</b></font></p><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4" color="#ff0000"><b>อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5</b></font></p><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4" color="#ff0000"><b>หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20</b></font></p><p style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4" color="#ff0000"><b>โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม</b></font></p><div><br></div><p></p>