กลิ่นไอมงคลแห่งวันฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของไท่โฮ่วยังไม่เจือจาง ทว่าในเวลาเช่นนี้ร่างในชุดผ้าต่วนงดงามของหลงเยวี่ยกลับอาศัยความวุ่นวายและเซื่องซึมหลังงานเลี้ยงมุ่งหน้าไปที่ตำหนักเหมันต์
ระหว่างทางหลงเยวี่ยพลันนึกถึงถ้อยความที่เหล่าบัญฑิตพูดคุยกันถึงแผนการล้ำเลิศของฝ่าบาทเมื่อครั้งพิพากษาคดีของเย่เหม่ยเหริน เลื่อนยศแก่นางเป็นเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ ยินดีใกล้ชิดสนิทสนมกับนาง ไม่คู่ควรต่อแววตาเปี่ยมด้วยรักที่หญิงสกุลเฮ่อถูมอบให้แม้แต่น้อย ความภักดีในรักที่โง่เขลาถึงกับฆ่าคนตายช่างลึกซึ้งเหลือคณา น่าเสียดายที่ฝ่าบาทไม่เห็นค่า
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดจึงประทานเหล้าพิษ มีดสั้น และแพรขาวแก่นาง
คนเช่นนางหรือควรตายอย่างครบสามสิบสอง! หลงเยวี่ยไม่พอใจอย่างยิ่งและยิ่งหงุดหงิดใจยิ่งขึ้นเมื่อรู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ หวนนึกไปถึงฉีจินซาน…เป็นชายหนุ่มที่เด็ดเดี่ยวถึงเพียงนั้นกลับต้องตายโดยที่ร่างกายไม่ครบสามสิบสอง สมควรแล้วหรือ?
ช่างเถิด ต่างก็เป็นผู้ที่ฆ่าคนตาย
ขันทีเฝ้าหน้าตำหนักเย็นก้มหน้าทำความเคารพนาง เปิดทางให้เข้าไปด้านในแต่โดยดี พระตำหนักที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองถูกกาลเวลากัดเซาะจนกลายเป็นเพียงเศษซากอันเสื่อมทราม ดุจดั่งช่วงเวลารุ่งโรจน์ไม่อาจหวนกลับมาอีกครั้ง
“ถวายบังคมเหม่ยเหริน” ขันทีในตำหนักโค้งกายเคารพหลงเยวี่ย เนื่องจากมิได้คุกเข่าจึงพอเดาได้ว่าเป็นขันทีระดับสูง ในมือของขันทีรับใช้ผู้หนึ่งมีเกล้าพิษ มีดสั้น และแพรขาว หลงเยวี่ยพลันรู้สึกว่าไร้ความสามารถเสียจริง เพียงแค่ฝ่าบาทไม่ใส่พระทัยก็ไม่อาจทำงานให้สำเร็จ
“ลุกขึ้นเถิด” หลงเยวี่ยเอ่ยพลางปรายตามองมาอีกทาง อดีตเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ผู้เคยมีชีวิตรุ่งเรืองบัดนี้นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งในห้องอับ เนื้อตัวของนางค่อนข้างสะอาด เห็นได้ชัดว่าดูแลตนเองอย่างดี ทว่าร่างกายกลับผ่ายผอมกว่าครั้งแรกที่พบกัน ดวงตาดอกท้อสดสวยไม่เหลือแม้แต่ประกายความหวัง
ครั้นหญิงสกุลเฮ่อถูมองเห็นว่าเป็นนางก็ริมฝีปากกระตุกเล็กน้อย “ข้าถูกกักขังอยู่ที่นี่มาหลายวัน ผู้ที่มากลับเป็นเจ้า” นางมองหลงเยวี่ย อย่างไรก็เป็นถึงองค์หญิงของเผ่าซงหนู แม้จะตกอับรัศมีของอำนาจก็มิได้ลดน้อยถอยลง
หลงเยวี่ยหัวเราะเบาๆ เอ่ยด้วยเสียงเย้าหยอก “อยู่ไกลห่างบ้านเกิด ไร้ญาติมิตรและคนสนิทข้างกาย ถึงอย่างไรสกุลของข้าก็เคยเป็นแม่ทัพเฝ้าชายแดน อาณาเขตทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือใกล้กับดินแดนซงหนู นับว่าข้ากับเจ้าสนิทกันไม่น้อยเลย จึงคิดจะมาส่งเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”
นางมิอาจลืมชนเผ่าไร้อารยะที่สังหารบิดาและพี่ชาย หญิงสกุลเฮ่อถูทำให้นางเกือบมีภัย จึงมิอาจปิดบังความประชดประชันในน้ำเสียง
อดีตเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ยิ้มหยัน “เจ้ามาได้เวลาพอดี” นางผินใบหน้าไปทางทิศที่ตั้งตำหนักเว่ยหยาง ความท้อแท้เหนื่อยล้าฉาบอยู่บนดวงหน้า ไม่ปล่อยให้เนื้อตัวสกปรกมอมแมม นอกจากจะเป็นเพราะนางคือองค์หญิงแล้วคงวาดหวังว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาเยือนนางกระมัง
หลงเยวี่ยรับรู้ถึงวาระสุดท้ายของนางได้อย่างเลือนราง
“คิดจะตายวันไหนไม่ตายกลับมาตายในวันที่ข้ามา เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ช่างให้เกียรติข้าจริงๆ”
หญิงสกุลเฮ่อถูแค่นเสียงหัวเราะ เมื่อคืนวังหลวงจัดงานมงคลครั้งใหญ่ยากนักที่จะไม่ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีและความครึกครื้น เคยมีชีวิตอย่างคนสำคัญ วันนี้กลับเป็นเพียงฝุ่นผงไร้ค่าแค่เพียงปัดทิ้งก็หายไป คนเช่นนางย่อมทำใจไม่ได้ หัวใจใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้วกระมัง
น่าเสียดายที่นางมิต้องโทษหลิงซี เผ่าซงหนูป่าเถื่อนโหดร้าย นางอยากจะรู้นักหากหญิงสกุลเฮ่อถูกส่งกลับแผ่นดินซงหนูไปเพียงเศษเนื้อ บิดาของนางจะรู้สึกอย่างไร!
“เป็นเพราะพวกเจ้าฝ่าบาทถึงประหารข้า”
“เป็นเพราะพวกข้าหรือ? เย่เหม่ยเหรินผู้นั้นก็เป็นเจ้าที่บงการฆ่านาง หากไม่ใช่เจ้า—หรือจะบอกว่าฝ่าบาทใส่ความเจ้า!”
เฮ่อถูซื่ออับจนคำพูด มิใช่นางไม่รู้ แต่ไม่อาจยอมรับ
“เฮอะ! เป็นเพราะข้าประมาทเกินไปถึงได้มีจุดจบเช่นนี้” นางใช้สายตาดูแคลนตวัดมองที่หลงเยวี่ย มองจากหัวจรดลงปลายเท้า “เจ้าก็มิแตกต่างจากข้าเท่าใด นมนานถึงปานนี้ยังไม่ก้าวหน้าเป็นได้แค่ เหม่ยเหริน ดูท่าคงจะไม่ได้รับความโปรดปรานนักล่ะสิ”
ขนงคิ้วบางเลิกขึ้นเล็กน้อย หาได้รู้สึกเจ็บปวดต่อคำดูหมิ่น เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ถึงจุดจบแล้วทว่านางยังมีวันพรุ่งนี้ จะไม่แตกต่างได้อย่างไร “หากได้รับความโปรดปรานแล้วต้องพบจุดจบเช่นเจ้า ข้ายินดีเป็นเหม่ยเหรินไปชั่วชีวิต” เสียงของหลงเยวี่ยพลันอ่อนเบาลง “คิดดูแล้ว…เจ้าช่างมีความสามารถมากนัก ลอกเลียนแบบลายมือของผู้อื่น ฆ่าคนใส่ร้าย ซ้ำยังล่อลวงผู้ที่เคยเป็นทหารในกองทัพที่แตกพ่ายให้ลงมือกระทำผิด ทำให้ข้าสงสัยนักว่าเจ้ารู้จักคนของทัพพยัคฆ์แห่งสกุลตวนมู่ได้อย่างไร”
หรือมีใครบงการเจ้า หลงเยวี่ยกลืนคำสุดท้ายลงไป
หญิงสกุลเฮ่อถูเงียบไปหลายอึดใจ ถึงเชิดหน้าหัวเราะเบาๆ “เจ้าไร้ความสามารถควบคุมคนของตนเองถึงได้ถูกข้าใช้ประโยชน์”
ถ้อยคำนี้กรีดลึกลงในใจ—
เพียงครู่หนึ่งนางก็พึมพำ “ฝ่าบาททรงรักข้า…ห่วงใยข้ายิ่งนัก ในตอนที่ข้าตกม้าก็ทรงทนุถนอมดูแลข้าอย่างดี…”
แวบหนึ่งหลงเยวี่ยพลันรู้สึกสงสารจับใจ แต่ก็ฝืนใจแข็งเหยียดยิ้มกว้างแฝงประกายเย็นชา “คนเช่นเจ้าไหนๆ ก็จะตายอยู่แล้ว…ข้าไม่อยู่ขวางทางก็แล้วกัน…”