ตลอดชีวิตหลายสิบปีของเรวรินณ์ ทรัพย์ปรีดาล้วนติดอยู่กับสุภาษิตสองคำ .. ถ้าไม่ใช่กระโถนท้องพระโรงก็ต้องเป็นกล้านักมักบิ่นที่ดูจะเข้าท่าสำหรับสาวแว่นแต่งตัวเก่งดีกรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากคณะจิตวิทยาของมหาลัยชื่อดังที่ผันตัวมาทำงานในมฐานะผู้ดูแลภาพลักษณ์ศิลปินในค่ายบันเทิงแห่งหนึ่ง
สำหรับวันนี้แผนการของเธอไม่มีอะไรมาก ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามแผนการแบบเดิม ตรวจสอบศิลปินว่าสามารถทำงานได้หรือไม่ และดูความเรียบร้อยของทีมงาน รวมไปถึงเป็นสารพัดรับจ้างจำเป็นอีกเล็กน้อย ให้พวกเขาอุ่นใจที่มีเธออยู่
“ พี่รสา .. ”
เสียงเล็ก ๆ ของไอดอลหญิงอายุไม่กี่ปีดังขึ้นกระทบโสตประสาทเรียกให้สาวแกร่งอย่างเรวรินณ์หรือที่เรียกกันอย่างแพร่หลายว่ารสาต้องหันไปมอง
“ ว่าไงคะ ”
เด็กสาวตรงหน้าดูประหม่าและตื่นกลัวผิดกับรสาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ผู้ดูแลภาพลักษณ์ศิลปินรายนี้ถึงจะไม่ใช่คนที่หน้าตาตะโกนก้องออกมาว่าสวยนักสวยหนาแต่ก็มีความคับคล้ายคับคลาว่าหากดูแลอย่างถูกวิธี การจะเป็นคนสวยราวนางฟ้าก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
“ หนูรู้สึกว่ามีสตอล์กเกอร์ตาม—-มา เขามองหนูแปลก ๆ ” ใบหน้าหวานของผู้เป็นศิลปินสาวกดลงจนคางแทบชิดไปกับคอ อีกฝ่ายไม่แสดงท่าทางหรือชี้ไม้ชี้มือให้เห็นว่าสตอล์กเกอร์นั้นคือใคร แต่เมื่อรสากวาดสายตาและลองใช้ดุลพินิจสังเกตเอาจากรอบ ๆ ก็พอจะเห็นได้ว่ามีคนที่ดูแปลกตาออกไปอยู่จริง ๆ
ดวงตาเรียวภายใต้เลนส์แว่นใสหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มออกมาเพื่อให้สาวต้นเรื่องได้สบายใจ “ เดี๋ยวพี่ตรวจสอบให้ค่ะ ไม่เป็นไรนะ หนูทำงานให้เต็มที่ เรื่องพวกนี้พี่จัดการให้เอง ” ถึงแม้ว่าความปลอดภัยของศิลปินจะไม่ได้อยู่ในขอบเขตการดูแลของเธอ แต่ความสบายใจของศิลปินก็เป็นเรื่องสำคัญ
รสาวางสองมือลงบนบ่าเล็กพร้อมบีบเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายมีกำลังใจและรับรู้ได้ว่ายังมีเธออยู่ข้าง ๆ ก่อนจะผลักลำตัวเล็ก ๆ ของศิลปินสาวในการดูแลให้หันกลับไปทางฉากที่ตั้งท่าจะเริ่มถ่ายแล้ว คล้อยหลังร่างบางที่เดินจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ดูแลภาพลักษณ์ศิลปินก็ค่อย ๆ เลือนหาย
“ พวกคุณตรวจคนกันยังไง ศิลปินระแวงไปหมดแล้ว มีคนนอกเข้ามาค่ะ ช่วยรีเช็คคนเข้าคนออกหน่อย ” หลังจากที่มือขาวแตะลงกับหูฟังที่เสียบค้างไว้บนหู เสียงอื้ออึงของห้องส่งก็ดังขึ้นทั้งที่ตัวเธอไม่ได้อยู่ในนั้น “ อีกสักพักช่วยให้พนักงานรักษาความปลอดภัยเข้ามาข้างในด้วยนะคะ ”
รสากำชับเพียงเท่านั้นแล้วก็ทำการตัดสายเพื่อไม่ให้มีเสียงใดมารบกวนสมาธิในระหว่างที่เธอก้าวเท้าไปหาศิลปินหนุ่มต่างสังกัดที่อาจจะเป็นเป้าหมายในใจของสตอล์กเกอร์ “ พี่—คะ เราเห็นว่ามีพี่ปัญหากับสายไมค์มาสักพักแล้ว ให้เราช่วยติดดีกว่าค่ะ ”
ความจำเป็นที่อาบไว้ด้วยความหวังดีถูกหยิบยื่นให้กับนักแสดงหนุ่มอย่างรวดเร็ว รสาเอาตัวเองมาเข้าใกล้คนอื่นก็เพียงตั้งใจที่จะหาจังหวะจับสังเกตว่าใครกันแน่ที่ทำให้คนของเธอต้องกังวล ฉับพลันไม่ทันที่มือจะได้แตะถูกตัวนักแสดงดัง ที่แผ่นหลังของรสาก็สัมผัสได้ถึงสายตาร้อนวาบที่จ้องมาจนชวนให้ขนลุก
ตาย ๆ แบบนี้ไม่ต้องทำงานกันพอดี
ไม่ว่าจะเป็นคนนอกจริงหรือคนใน ทางที่ดีสุดท้ายก็ต้องกันออกไปเพื่อไม่ให้คนทำงานเสียสมาธิ รสาคิดอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ในระหว่างที่ช่วยจัดสายไมค์บนแผ่นหลังของดาราหนุ่มจนเรียบร้อย ก่อนจะส่งอีกฝ่ายเข้าไปในฉากทั้งที่ยังสัมผัสได้ถึงสายตาไม่ประสงค์ดีที่มองมา
“ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นนางร้ายให้คนอิจฉาเล่นเลย ”
“ อะไรนะคะ? ” ที่ตอบกลับอยู่ข้าง ๆ คือผู้จัดการของดาราฝ่ายชายที่ต้องมาเก็บภาพเบื้องหลังสำหรับลงในแอคเคาท์โซเชี่ยล แน่นอนว่ารสาไม่มีทางปริปากออกมาว่าผลงานของคนในการดูแลคุณคงจะดีมากถึงได้มีแฟนคลับใจกล้าบ้าบิ่นไล่ตามมาเป็นสตอล์กเกอร์ถึงขนาดนี้
“ ไม่มีอะไรค่ะ ”
สาวแว่นคนสวยตอบกลับเสียงเบา พร้อมปล่อยสายตาให้มองตรงไปยังการทำงานของสองศิลปินด้วยความเคยชิน กระทั่งมีเสียงตะโกนคำว่าคัต และประกาศเปลี่ยนฉากที่จะถ่ายทำ เธอถึงเริ่มเห็นทีมงานหลายคนเดินเข้าไปซับหน้าและค่อย ๆ ทยอยกันออกจากฉากเมื่อเห็นว่านักแสดงกำลังตั้งท่าจะออกมาเพื่อไม่ให้เป็นการเกะกะ
วินาทีนี้เองที่รสารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป
เจ้าคนที่สวมรอยมาเป็นทีมงานเดินอ้อมไปหลังชั้นหนังสือในฉากที่ถูกจัดวางไว้พร้อมด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะหวีดร้องออกมาและผลักชั้นหนังสือให้ล้มไปทางศิลปินสาวในสังกัดที่เธอทำงานอยู่
ไวกว่าทุกความคิดที่มี สองขาวิ่งเข้าไปคว้าร่างของเด็กสาวอายุน้อยกว่าให้มาอยู่ในอ้อมแขน น่าเสียดายที่รสาไม่ได้เร็วพอจะผลักเธอออก หรือพาอีกหนึ่งชีวิตวิ่งหลบออกมา ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะใช้มือหนึ่งทาบศีรษะกลม ๆ ของนักแสดงสาว ส่วนแขนอีกข้างก็ยกขึ้นบังชั้นหนังสือที่ล้มลงมา
โครม !!!!!
หลังเสียงข้าวของตกกระจาย ก็ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องของทั้งทีมงานที่ตกใจ และเสียงกรี๊ดอย่างเหลืออดของสตอล์กเกอร์สาวที่กำลังถูกพนักงานรักษาความปลอดภัยรวบตัวออกไป
“ พี่รสา พี่รสา!? ”
มีคนเรียกชื่อเธอ รสาจำได้ .. ความรู้สึกหนักอึ้งที่ทาบทับไปทั่วร่างกายทำให้ทั้งตัวชาวาบ รสาได้กลิ่นสนิมเก่า ๆ คิดว่ามันคงเป็นเลือดที่ไหลซึมออกมาจากแผลถูกเศษแจกันบนชั้นที่ตกลงมาแตกบาด โดยเฉพาะส่วนแขนข้างที่ยกขึ้นยันชั้นหนังสือ มันช้ำม่วงและกำลังบวมขึ้นจนคล้ายกับอาการที่เห็นได้เวลากระดูกหักไปแทงพวกเส้นเลือดหลัก ๆ ในร่างกาย ไม่ทันให้รสาได้ตั้งตัวตั้งสติจากความมึนงงและเจ็บแปล๊บที่ขมับ คนตัวเล็กในแขนเธอก็ถูกดึงออกไปผ่านการช่วยเหลือของทีมงานคนอื่น ๆ
นั่นก็เป็นเรื่องดีที่ศิลปินปลอดภัย แต่สิ่งที่น่าขำที่สุดคงเป็นเสียงแว่ว ๆ ที่ถามกันเองว่า ควรทำยังไง ซ้ำไปซ้ำมา
ที่ขมับของรสามีเลือดออก ถึงจะไม่แรงมาก แต่สิ่งที่ปะทะกับหัวเธอก็ยังเป็นขอบชั้นหนังสือหนัก ๆ ที่แขนยันไว้ไม่อยู่ นับว่าเป็นอาการบาดเจ็บรุนแรงที่ควรได้รับรักษาไม่ว่าจะเร่งด่วนหรือยังไงก็ควรอยู่ดี.. ทว่ารอบตัวของเธอกลับไม่มีใครสักคนที่ใช้การได้
รสาหัวเราะเบา ๆ อย่างขมขื่น เธอไม่เคยคาดหวังกับคนรอบตัวอยู่แล้ว
แม้จะไม่ได้ง่วงแต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามความต้องการของร่างกาย เปลือกตาบางเริ่มหย่อนลงพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่เลือนหาย ท้ายที่สุดความว่างเปล่าก็เข้ามาแทนที่ในสายตา พร้อมด้วยความรู้สึกเวทนาที่ผุดขึ้นมาและจางลงอย่างรวดเร็ว
รางวัลปลดเสี้ยวความทรงจำ+35 EXP และ +20 ตบะฝึกฝน