|
วันที่ 28 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ╰┈➤ กำลังหาถ้ำ
รุ่งสางสาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกกระดาษบางในจวนต้าซือคง เถียนเฟิงลุกจากเตียงแต่เช้าเช่นทุกวัน สวมชุดขุนนางเต็มยศอย่างเรียบง่ายแต่สง่างาม เสวี่ยซีที่เพิ่งตื่นยังนอนกอดหมอน ผมยาวสลวยยุ่งเล็กน้อย แก้มขาวอมชมพูเพราะความอุ่นจากผ้าห่ม เถียนเฟิงยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงจุมพิตหน้าผากเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ซีเอ๋อร์ พักผ่อนให้มาก ข้าจะกลับมาเมื่อเสร็จราชการ”
เสวี่ยซีพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบาง แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของเถียนเฟิงและข้ารับใช้หายลับออกจากเรือน ความสงบก็ถูกแทนที่ด้วยความว้าวุ่นในใจ ร่างบางพลิกตัวนอนมองเพดานด้วยแววตาเหม่อลอย ความคิดนับพันพรั่งพรูเข้ามา ภาพอดีตสิบปีที่เคยอยู่กับหลี่หยาง, คำหวานที่อีกฝ่ายเคยพร่ำบอก ความอบอุ่นและความคุ้นเคยที่เคยมี มันไม่ง่ายที่จะลืมเลือนแม้เถียนเฟิงจะดูแลเขาอย่างดีและเอาใจใส่ แต่บางส่วนของหัวใจยังคงผูกติดกับอดีตที่ยากจะตัดขาด
เสวี่ยซีลุกจากเตียงช้า ๆ ดวงตาหวานทอดมองนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าที่ค่อย ๆ สว่างขึ้นพร้อมเสียงนกร้อง เขาสูดหายใจลึก ตัดสินใจบางอย่างที่แม้แต่ตัวเองก็รู้ว่าอันตราย เขาจะออกไปข้างนอกเพื่อพบกับคนที่เฝ้ารอจะได้พูดคุยด้วยอีกครั้ง
เสวี่ยซีแต่งกายเรียบง่ายในชุดผ้าไหมบางสีอ่อนคลุมด้วยเสื้อคลุมยาวสีเทาอ่อน เพื่อกลมกลืนกับผู้คนยามเช้า ผมถูกรวบหลวม ๆ ปล่อยปอยเส้นข้างแก้มลงมาบดบังใบหน้าขาวเนียน เขากระซิบกับตนเองเบา ๆ “เพียงแค่ออกไปพูดคุยเท่านั้น ข้าจะไม่หายไปไหนนาน”
ก้าวแรกที่ออกจากเรือนคือก้าวที่หัวใจเต้นแรงที่สุด เขาเดินอย่างระมัดระวัง แสร้งยิ้มพยักหน้าให้บ่าวไพร่ที่พบเจอด้วยท่าทีปกติ แต่เมื่อถึงมุมลับตาเสวี่ยซีก็ใช้เส้นทางเล็ก ๆ ที่เชื่อมออกไปยังประตูด้านข้างซึ่งไม่ค่อยมีใครใช้
เสียงหัวใจเต้นดังก้องในอก ขณะที่มือบางผลักประตูไม้แคบ ๆ ที่เริ่มผุพังออกไป สายลมเย็นยามเช้าปะทะใบหน้าให้รู้สึกถึงอิสระชั่วขณะ ร่างบางก้าวออกไปโดยไม่หันหลังกลับไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่า หากเถียนเฟิงรู้เรื่องนี้ เขาจะโกรธเกรี้ยวเพียงใด
เสวี่ยซีเดินผ่านตรอกเล็ก ๆ ที่เชื่อมไปยังย่านการค้าของเมือง ผู้คนเริ่มคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านขายของ เสียงตะโกนเชื้อเชิญดังระงม กลิ่นหอมของเกี๊ยวทอดและซาลาเปาร้อน ๆ ลอยมาแตะจมูก ทำให้เขาหวนนึกถึงอดีตอีกครั้ง สมัยยังอยู่กับหลี่หยางทั้งคู่เคยเดินเล่นซื้ออาหารง่าย ๆ ร่วมกันอย่างไม่มีพิธีรีตอง
“ทำไม ใจข้ายังโง่เง่าเช่นนี้นะ” เสวี่ยซีพึมพำเบา ๆ แก้มขาวแดงระเรื่อเพราะความสับสน เขาเดินฝ่าผู้คนต่อไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
สายลมแรงบนเขาหัวซานพัดกระหน่ำจนกิ่งไม้ไหวสะท้าน ใบไม้ปลิวกระจัดกระจายราวกับกำลังทดสอบหัวใจผู้เดินทาง เสวี่ยซีผู้ร่างบางในชุดคลุมยาวสีอ่อนก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปตามทางเขาที่ลาดชัน ฝีเท้าแม้จะอ่อนแรง แต่แววตาคู่หวานยังคงมีประกายมุ่งมั่น เขาออกจากเมืองตั้งแต่เช้ามืด ไม่มีเกี้ยว ไม่มีผู้ติดตาม ใช้เพียงกำลังขาของตนเองเดินฝ่าเส้นทางอันคดเคี้ยว บางคราวหินแหลมคมบาดฝ่าเท้าให้แสบชา แต่เขากลับไม่หยุดเดิน
ร่างบางหอบหายใจแรง ลมหายใจสีขาวฟุ้งออกมาในอากาศเย็นจัด เสวี่ยซีมองยอดเขาที่ดูไกลเกินเอื้อม แล้วแค่นยิ้มบาง ๆ “สิบปีที่ข้าฝ่าความยากลำบากมา... เพียงเพื่อจะมาถึงตรงนี้ ก็คงไม่ใช่อุปสรรคอะไรอีกแล้ว”
ขณะกำลังจะก้าวต่อ เสียงทุ้มอ่อนโยนกลับดังขึ้นจากด้านหลัง “พ่อหนุ่มน้อย...” เสวี่ยซีหันกลับไปช้า ๆ เห็นบุรุษหนุ่มในชุดขาวสะอาดสะอ้าน ยืนอยู่ท่ามกลางหมอกบาง มือหนึ่งถือพัดขาวที่วาดภาพเมฆาด้วยพู่กันละเอียด รูปโฉมของเขาสง่างามราวเทพเซียนที่หลุดออกมาจากภาพวาด
ชายหนุ่มยกพัดขึ้นพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย “เวลานี้ใจกลางหุบเขาหัวซานมีพลังงานลึกลับปรากฏขึ้น หากเจ้ามีเวลาว่าง บางทีลองไปสำรวจดูเถิด ข้าได้ยินเล่ากันว่าอาจเป็นศาสตราในตำนานที่โผล่ขึ้นมา”
เสวี่ยซีขมวดคิ้วเล็กน้อย หัวใจเต้นแรงเพราะทั้งสงสัยและตื่นเต้น “ศาสตราในตำนาน” เขาพึมพำเสียงแผ่ว ความเหน็ดเหนื่อยก่อนหน้ากลับถูกแทนด้วยความอยากรู้อยากเห็น
บุรุษชุดขาวเพียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนก้าวถอยหลังสองก้าว ร่างกายของเขาคล้ายเลือนหายไปกับสายหมอก พริบตาเดียวก็ไม่เหลือแม้เงา ทิ้งไว้เพียงเสียงสะท้อนในใจเสวี่ยซี
“...เขาเป็นใครกันแน่” เสวี่ยซีเอ่ยเบา ๆ แต่ดวงตากลับมุ่งตรงสู่หุบเขาด้านใน ความลึกลับนี้ดึงดูดเขาให้เดินต่อ แม้เท้าจะล้า ร่างจะอ่อนแรง แต่ใจกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังบางอย่างที่ไม่อาจอธิบาย
เส้นทางลึกเข้าไปใจกลางหุบเขาหัวซานไม่เหมือนเส้นทางสำหรับผู้คนทั่วไป มันเต็มไปด้วยซอกเขา ซ่อนตัวอยู่หลังผาหินสูงชัน ต้องอาศัยทั้งความอดทนและสายตาเฉียบคมจึงจะหาพบ เสวี่ยซีเดินฝ่าหมอกหนาและป่าทึบมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งพบทางแคบ ๆ ที่มีหินเรียงรายประหลาด ราวกับใครสักคนจงใจจัดวางเป็นสัญลักษณ์นำทาง
เมื่อก้าวผ่านทางนั้น กลับพบภาพที่เขาแทบไม่เชื่อสายตาตนเองใจกลางหุบเขามีหมู่บ้านเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ บ้านเรือนสร้างด้วยไม้และหินเรียบง่ายแต่แข็งแรง ควันไฟบางเบาลอยขึ้นจากปล่องบ้าน บ่งบอกว่ามีผู้คนอาศัยอยู่จริง ๆ
“ชุมชนในหุบเขาเช่นนี้” เสวี่ยซีพึมพำดวงตาหวานเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง เขาไม่เคยได้ยินใครเล่าถึงสถานที่เช่นนี้มาก่อน
ผู้คนในหมู่บ้านต่างแต่งกายเรียบง่าย ใบหน้ามีร่องรอยจากแดดลม แต่ดวงตากลับเปล่งประกายสงบสุข เด็กเล็กวิ่งเล่นไปตามลานกว้าง หญิงสาวกำลังตากสมุนไพรแห้ง ส่วนชายหนุ่มช่วยกันแบกฟืน ทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติราวกับโลกอีกใบที่ถูกตัดขาดจากความวุ่นวายภายนอก
เสวี่ยซีก้าวเข้ามาด้วยความเกรงใจผู้คนบางส่วนเหลือบมองเขาอย่างแปลกใจ แต่ไม่มีใครทำท่าจะปฏิเสธหรือขับไล่ออกไป เพียงแค่ยิ้มบางและพยักหน้าเป็นการต้อนรับเงียบ ๆ
ไม่นานนักชายชราผมขาวผู้มีหนวดเครายาวก็เดินออกมาจากศาลาไม้กลางหมู่บ้าน เขาสวมชุดคลุมผ้าฝ้ายสีหม่น ดวงตาคมวาวแต่เปี่ยมด้วยเมตตา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ “ไม่บ่อยนักที่ใครจะหาทางมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นนักเดินทางเหรอ”
เสวี่ยซีรีบก้มศีรษะ ค้อมกายแสดงความเคารพ “ขออภัยที่รบกวนท่าน ข้าเพียงเดินทางตามเสียงเล่าลือว่ามีสิ่งลึกลับปรากฏขึ้นในหุบเขา มิได้มีเจตนาล่วงเกิน”
แสงอาทิตย์สาดลงมาเพียงบางส่วน ราวกับแสงสว่างถูกฉาบทับด้วยม่านลึกลับที่ยากจะฝ่าไปได้ ทางเดินที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ยอดเขามีแต่หินผาแหลมคม ขรุขระจนยากจะเหยียบให้มั่นคง ทุกย่างก้าวของเสวี่ยซีจึงเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย
แผ่นหลังแผ่วบางแนบไปด้วยเหงื่อ ลมหายใจที่หลุดออกมารวดเร็วและหนักหน่วงดังสะท้อนในอกขาวผ่อง ปลายเส้นผมดำยาวสลวยเปียกชื้น พันติดแก้มขาวซีดราวหยาดน้ำค้างร่วงหล่น
“ยังไปต่อได้” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เสียงแทบกลืนไปกับสายลมแรงที่หวีดหวิวราวเสียงผีสาง ภายในใจแม้จะอ่อนล้า แต่กลับไม่ยอมแพ้ ราวกับแรงบางอย่างผลักดันให้เขาเดินต่อไปเรื่อย ๆ
เส้นทางสู่ใจกลางหุบเขาเต็มไปด้วยก้อนหินสลับกับรากไม้หนาทึบที่ชอนไชออกมาเหนือพื้นดิน ราวกับจะเป็นอุปสรรคไม่ให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้ามาได้ง่าย ๆ หลายครั้งเสวี่ยซีเกือบเสียหลัก แต่ยังคว้าเถาวัลย์ไว้ได้ทัน ฝ่ามือขาวบางแตกถลอก มีเลือดซึมแดงออกมา แต่เขาเพียงกำมือแน่นแล้วเดินต่อ
เมื่อก้าวลึกเข้ามาในหุบเขามากขึ้น หมอกกลับยิ่งหนาทึบจนแทบมองไม่เห็นทาง เสียงนกป่าหายไปสิ้น เหลือเพียงเสียงฝีเท้าและเสียงลมหายใจของตนเองที่สะท้อนก้องอยู่ในความเงียบงัน ราวกับเขากำลังถูกกลืนหายไปในโลกอีกใบหนึ่ง
เวลาผ่านไปนานเพียงใดเสวี่ยซีก็ไม่อาจรู้ได้ เขาเพียงรู้ว่าร่างกายกำลังอ่อนแรงอย่างหนัก แต่จู่ ๆ เมื่อหมอกเบื้องหน้าเริ่มบางลง ภาพของผนังหินสูงตระหง่านก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผนังนั้นมีเถาวัลย์พันเกี่ยวหนาทึบ บดบังบางสิ่งที่ซ่อนอยู่
เสวี่ยซีค่อย ๆ ยื่นมือบางสั่นระริกออกไป แหวกเถาวัลย์ทีละเส้นเสียงใบไม้แห้งเสียดสีกันดังกรอบแกรบพอแหวกพ้นสิ่งกีดขวาง
เจอถ้ำหรือยัง
|