123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Watcher

[ถนนนอกเมือง] ศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวย

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-9-18 20:47:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย SuYao เมื่อ 2025-9-18 20:49

วันที่ 18 ปาเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามไฮ่ (เวลา 21.15 - 23.00 น.)

แสงดาวในยามไฮ่ที่ควรจะสุกสกาวในคืนที่ไร้จันทร์นั้นกลับถูกเมฆหมอกหนาทึบบดบังจนสิ้น แสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันในศาลเจ้าเถียนฉิงเวยที่สั่นไหวราวกับจะดับลงในทุกขณะได้สาดส่องกระทบใบหน้าของซูเหยา และเผยให้เห็นเงาสะท้อนในดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ร่างของนางแทบจะแข็งค้างเมื่อมองไปยังบุรุษผู้สวมหน้ากากครึ่งหน้าในชุดคลุมยาวสีดำสนิทราวกับความมืดมิดของราตรีกาล พร้อมกับชายชุดดำอีกสองคนที่ยืนขนาบข้างอยู่ด้านหลังอย่างเงียบกริบ แววตาของพวกเขาเปล่งประกายคมกริบราวกับคมดาบที่พร้อมจะปลิดชีวิตได้ทุกเมื่อ แสงตะเกียงที่สาดกระทบใบหน้าของบุรุษผู้สวมหน้ากากทำให้นางรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลัง เส้นทางหนีถูกปิดกั้นโดยสิ้นเชิง

“ข้าไม่มีเวลามาสนทนากับเจ้าให้มาความ เลือกเอา…” เสียงของคุณชายห่าวหมิงที่ลอดออกมาจากหน้ากากนั้นแหบพร่าและเย็นเยียบจนน่าขนลุก กระดาษสองแผ่นนี้คืออนาคตของเจ้า หากเลือกถูกชีวิตก็จะยืนยาว หากเลือกผิด…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตนี้ของเจ้าจะจบลงที่ไหน”

ซูเหยามองไปยังกระดาษทั้งสองแผ่นในมือของห่าวหมิง มันคือตัวเลือกที่ไร้ซึ่งทางออก กระดาษแผ่นแรกเขียนไว้ด้วยหมึกสีดำเข้มว่า ‘ข้าหมอหญิงซูเหยาขอให้คำสัญญาว่าจะไม่ขอรับเบี้ยใด ๆ จากการรักษาแม่นางหนานและจะปิดเรื่องการพบกันที่ศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวยเป็นความลับ’ ซึ่งหมายความว่านางจะไม่ได้อะไรเลยจากการที่นางรักษาแม่นางหนาน หญิงสาวอันเป็นที่รักของบุรุษตรงหน้าจนหายดี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกตกใจในใจนางลดน้อยลงไปเลย เพราะสัญญาอีกฉบับทีระบุว่า ‘ข้าหมอหญิงซูเหยาขอให้คำสัญญาว่าจะรับเงินเงินยี่สิบตำลึงทองและจะเดินทางออกจากฉางอัน ไม่กลับมาอีกจนกว่าคุณชายห่าวหมิงจะเรียกใช้” นั่นต่างหากที่น่าหวาดหวั่นจนถึงขีดสุด

คุณชายห่าวหถือกระดาษทั้งสองแผ่นยืนรออย่างใจเย็นราวกับอสรพิษเจ้าเล่ห์ที่เฝ้ารอเหยื่ออันโอชะ ซูเหยาเงยหน้าขึ้นมองคุณชายห่าวหมิงและเงยหน้าขึ้นมองชายชุดดำที่ขนาบข้าง บุรุษทั้งสองสวมหมวกคลุมศีรษะที่ปิดบังใบหน้าไว้จนมิดชิดจนมองไม่เห็นใบหน้า ท่าทางของพวกเขาแข็งแกร่งราวกับขุนเขาที่ไม่มีวันสั่นคลอน อาวุธที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้าที่ดูธรรมดาบ่งบอกถึงความสามารถในการต่อสู้ที่สูงส่ง ซูเหยารู้สึกราวกับว่าลมหายใจของนางถูกหยุดลงในทันที 

คุณชายห่าวหมิงยื่นกระดาษแผ่นแรกให้กับนาง เสียงแหบพร่าเย็นยะเยือกของเขาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันที่น่าอึดอัด 

“ข้าว่าเจ้าคงรู้นะว่าข้อเสนอไหนดีที่สุดสำหรับตัวเจ้า”

ซูเหยาค่อย ๆ ยื่นมือที่สั่นเทาออกไปรับกระดาษแผ่นแรกที่เขียนด้วยหมึกสีดำสนิทเอาไว้ คุณชายห่าวหมิงเพียงยื่นให้เท่านั้น ไม่ได้มีการแตะต้องสัมผัสใด ๆ ระหว่างกัน นางรับมาด้วยความเกรงกลัวราวกับรับเอาคำพิพากษาที่จะตัดสินชะตาชีวิตของตัวเอง แผ่นกระดาษในมือดูหนักอึ้งราวกับภูเขาลูกใหญ่ที่กำลังทับถมลมหายใจของนางจนแผ่วเบา ร่องรอยของหมึกสีดำที่เคยดูเป็นเพียงแค่ตัวอักษรกลับดูราวกับเส้นทางเดินชีวิตที่ถูกขีดเขียนขึ้นใหม่โดยที่นางไม่มีสิทธิ์เลือก ทางเดียวที่ยังคงพอจะหายใจต่อไปได้คือการยอมจำนน

“แผ่นนี้ก็ได้เจ้าค่ะ…” เสียงของนางแผ่วเบาราวกับกระซิบ มันขาดห้วงและสั่นเครือจนแทบจะไม่ได้ยิน คุณชายห่าวหมิงไม่กล่าวอะไร เพียงแค่ใช้สายตาอันคมกริบที่ลอดออกมาจากหน้ากากครึ่งหน้ากวาดมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความเย็นชา ชั่วขณะนั้นเองซูเหยารู้สึกราวกับร่างกายของนางถูกแช่แข็งในน้ำแข็งที่เย็นจัดจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

คุณชายห่าวหมิงพยักหน้าเล็กน้อยให้ชายชุดดำที่ยืนอยู่ด้านหลังทางซ้ายมือ ชายผู้นั้นก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างเชื่องช้า การเคลื่อนไหวของเขาเงียบเชียบราวกับพยัคฆ์ร้ายที่ย่องเข้าหาเหยื่อ มือที่ดูกำยำแต่กลับพลิ้วไหวราวกับสายน้ำที่ไร้เสียงสะท้อนจากคลื่นลมค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปใต้เสื้อคลุมสีดำสนิท ก่อนจะดึงเอาพู่กันและจานฝนหมึกขนาดเล็กที่ถูกเตรียมไว้ก่อนแล้วออกมา ชายผู้นั้นถือพู่กันอย่างมั่นคงยื่นมาตรงหน้าซูเหยา ปลายพู่กันยังคงเปียกชุ่มด้วยหมึกสีดำสนิทที่บ่งบอกว่าเพิ่งถูกฝนจนพร้อมใช้งานไม่นานนี้เอง ซูเหยาเพียงมองหน้าคุณชายห่าวหมิงด้วยแววตาที่สั่นคลอนและสับสน นางรู้ว่าการลงนามนี้คือการยอมรับข้อเสนออย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่เพื่อความอยู่รอด นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องยอมรับมันไว้

ซูเหยาจับพู่กันในมือแล้วตั้งใจจะลงนามอย่างมั่นคง หากแต่ความหวาดกลัวที่เกาะกินหัวใจกลับทำให้นางไม่สามารถควบคุมมือของตนเองได้ ลายมือของนางจึงออกมาบิดเบี้ยวและสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนางบรรจงเขียนนามของตัวเองลงไปบนแผ่นกระดาษขาวสะอาดนั้น แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันสั่นระริกกระทบกับเงาของเส้นหมึกสีดำที่กำลังแห้งลงช้า ๆ พู่กันในมือของซูเหยาสั่นจนเกือบจะหลุดจากมือเมื่อนางเขียนนามของตนเองเสร็จสิ้น นางตั้งใจจะยื่นกระดาษคืนให้กับคุณชายห่าวหมิง แต่เขากลับผายมือออกห้ามปราม 

“เดี๋ยว!” เสียงของเขาดังขึ้นอย่างเฉียบขาด

คุณชายห่าวหมิงเพยิดหน้าไปทางชายชุดดำอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังทางขวามืออย่างเงียบเชียบ ร่างของชายผู้นั้นขยับเพียงเล็กน้อยจนดูราวกับไม่ได้ขยับเลยด้วยซ้ำ ก่อนที่แสงจันทร์ที่ลอดผ่านกลุ่มเมฆที่เริ่มจางลงจะกระทบเข้ากับประกายแวววาวของคมกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝักอย่างไร้เสียงดุจมัจจุราชที่กำลังจะพรากวิญญาณของผู้คน แสงคมกระบี่ที่สะท้อนแสงตะเกียงทำเอาซูเหยาสะดุ้งจนถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความตกใจ ใบหน้าของนางซีดเผือดราวกับกระดาษที่ถูกทิ้งไว้กลางแดดเป็นเวลานานจนไร้สีเลือด ความหวาดหวั่นที่นางพยายามเก็บซ่อนไว้ตลอดการพูดคุยปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง จนลมหายใจของนางแทบจะหยุดลง

ชายชุดดำผู้ถือกระบี่ก้าวเข้ามาหานางอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียงราวกับสายลม มือที่สวมถุงมือหนังสีดำของเขาจับที่ข้อมือของซูเหยาเอาไว้แน่นแล้วยกขึ้น สายตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรจากนางกันแน่ คุณชายห่าวหมิงเหลือบตามองใบหน้าของซูเหยาที่เต็มไปด้วยความสับสนและความหวาดกลัวนั้น ก่อนที่เขาจะใช้เสียงที่เย็นเยียบและเต็มไปด้วยอำนาจดังขึ้นอีกครั้ง 

“เจ้าลงนามแล้ว ถ้าเจ้าหลุดปาก คงจะรู้ผลนะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ซูเหยาไม่สามารถกล่าวอะไรได้ นางเพียงพยักหน้ารัว ๆ ด้วยความหวาดกลัวราวกับพยายามยืนยันว่านางจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไปตลอดชีวิต แววตาของนางอ้อนวอนอย่างน่าสมเพชขอให้คุณชายห่าวหมิงไว้ชีวิตนาง คุณชายห่าวหมิงมองความหวาดกลัวในแววตาของนางอย่างเฉยชา ก่อนที่จะออกคำสั่งเสียงนิ่ง 

“ลงมือ!”

ในวินาทีนั้นเอง ซูเหยาหลับตาลงแน่นพร้อมกับร่างกายที่แข็งทื่อราวกับท่อนไม้ที่ไร้ชีวิตชีวา นางคิดว่าชีวิตของนางคงจบสิ้นลงแล้วในคืนนี้ ทว่าความเจ็บปวดที่นางคิดว่าจะได้รับกลับไม่เกิดขึ้น มีเพียงความรู้สึกเย็นเยียบและคมกริบที่ผ่านปลายปลายนิ้วมือนางไปเพียงเล็กน้อย เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางก็พบว่าปลายกระบี่ของชายชุดดำได้เฉือนนิ้วชี้ของนางจนเกิดแผลเล็ก ๆ และมีเลือดสีแดงสดหยดลงมาเพียงเล็กน้อย ก่อนที่ชายชุดดำจะจับปลายนิ้วของนางกดลงไปบนรอยเขียนชื่อบนแผ่นกระดาษอย่างหนักหน่วงจนเกิดรอยเลือดที่ซึมเข้าไปในเนื้อกระดาษผสมกับรอยหมึกสีดำสนิทที่ยังไม่แห้งสนิทดี สัญญาลับที่ไม่อาจเปิดเผยได้นี้ได้ถูกประทับตรึงเอาไว้ด้วยเลือดของนางเอง

เมื่อรอยเลือดแห้งลงบนแผ่นกระดาษ ชายชุดดำก็ปล่อยมือจากข้อมือของนางทันที ซูเหยายืนตัวแข็งทื่อ ปลายแขนเสื้อของนางเปื้อนคราบเลือดสีแดงฉานที่หยดลงจากปลายนิ้ว ใบหน้าของนางยังคงซีดเผือด แววตาว่างเปล่าราวกับจิตวิญญาณได้หลุดลอยออกไปจากร่างแล้ว นางยังคงสับสนและหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่เข้าใจว่าสิ่งใดกันแน่ที่อันตรายกว่ากันระหว่างคมดาบกับความเยือกเย็นของบุรุษตรงหน้า

คุณชายห่าวหมิงหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาถือไว้ในมือ ก่อนจะพับเก็บอย่างบรรจงราวกับกำลังเก็บสมบัติล้ำค่า เขายื่นกระดาษแผ่นที่สองให้กับนางซึ่งเป็นแผ่นที่เสนอเงินยี่สิบตำลึงทองและการเดินทางออกไปจากเมืองฉางอันของนาง ซึ่งในตอนนี้มันกลายเป็นเพียงกระดาษไร้ค่าที่ไม่ได้ถูกใช้งานไปแล้ว 

“จดจำเอาไว้ว่าเจ้าทำสัญญากับใคร” เสียงของเขาแหบพร่าและดังขึ้นมาอีกครั้งราวกับเสียงกระซิบของปีศาจร้าย “เรื่องในคืนนี้ให้ถือเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้น หากความลับรั่วไหลออกไปจากปากของเจ้าแม้แต่น้อย…ข้าจะไม่ถามไถ่เหตุผลว่าความลับนั้นถูกเปิดเผยได้อย่างไร แต่จะจัดการกับเจ้าทันที!”

วาจาของเขาราวกับอาวุธที่คมกริบและเย็นเยียบกว่าคมกระบี่ของชายชุดดำเสียอีก ซูเหยามองไปยังใบหน้าอันเย็นชาที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากครึ่งหน้าในแสงสลัวของตะเกียงน้ำมันในศาลเจ้าเถียนฉิงเวยที่สั่นระริกราวกับจะขาดใจตายในทุกขณะ นางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกไปอย่างแรง ๆ ด้วยซ้ำ คุณชายห่าวหมิงยิ้มเพียงเล็กน้อยที่มุมปากแต่แววตาของเขากลับไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ 

“เอาล่ะ…เจ้าไปได้แล้ว”

เขาหันหลังให้ซูเหยาทันทีราวกับว่าทุกอย่างได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ชายชุดดำทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหลังเขามาโดยตลอดก็ทำตามเขาอย่างพร้อมเพรียง ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาดูราวกับเงาของคุณชายห่าวหมิงที่พร้อมจะทำตามคำสั่งของนายเหนือหัวได้ในทันที ซูเหยามองตามร่างของบุรุษทั้งสามที่เคลื่อนตัวออกไปท่ามกลางความมืดมิดของราตรีอย่างเงียบเชียบ พวกเขากลืนหายไปในความมืดอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ในสถานที่แห่งนี้มาก่อน

ศาลเจ้าเถียนฉิงเวยที่เคยถูกเติมเต็มด้วยความหวาดกลัวและความตึงเครียดกลับเข้าสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง เหลือทิ้งไว้เพียงแสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันที่ยังคงส่องสว่างอย่างน่าเวทนา และความเงียบงันที่น่าอึดอัดที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว ซูเหยามองปลายนิ้วของตัวเองที่ยังคงมีรอยเลือดแห้งกรังติดอยู่ สัญญาลับที่ไม่อาจเปิดเผยได้นี้ได้ถูกประทับเอาไว้ด้วยเลือดของนางเอง นางยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานจนกระทั่งรอยแผลที่ปลายนิ้วเริ่มส่งสัญญาณความเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง

นางค่อย ๆ เดินออกมาจากศาลเจ้าเถียนฉิงเวย ก้าวเดินของนางหนักอึ้งราวกับมีโซ่ตรวนเหล็กพันธนาการขาเอาไว้ ซูเหยาเพียงเดินไปตามถนนอย่างเหม่อลอย นางไม่รู้ว่าจากนี้ไปชีวิตของนางจะเป็นเช่นไร และการที่ได้รักษานางหนานผู้เป็นที่รักของบุรุษผู้มั่งคั่งนี้จะนำพาภัยอันใดมาสู่นางในภายภาคหน้า แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ชีวิตน้อย ๆ ของนางได้ถูกจับตาโดยคนผู้หนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวมากกว่าสิ่งใดบนโลกใบนี้แล้ว



เลือกแผ่นที่ 1
ใบสัญญารักษาฟรี และจะปิดปากเงียบเรื่องในศาลเจ้าร้างจะไม่หลุดจากปากข้าพเจ้า  และจางกงกงย้ำถ้าเจ้าหลุดปากคงจะรู้ผลนะ



@Watcher   

แสดงความคิดเห็น

จางกงกงที่มักจะมองคนได้ขาด อีกฝ่ายดูมีแววพัฒนาความสามารถ เขายิ้มอย่างพอใจที่ได้หมากดีมาไว้ในมือ  โพสต์ 2025-9-18 22:32
โพสต์ 29065 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-18 20:47
โพสต์ 29,065 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว จาก หมอผู้มากฝีมือ  โพสต์ 2025-9-18 20:47
โพสต์ 29,065 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม +10 ความโหด จาก ตำราสมุนไพรหายาก  โพสต์ 2025-9-18 20:47
โพสต์ 29,065 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ปิ่นปักผมดอกท้อ  โพสต์ 2025-9-18 20:47
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x6
x8
x2
x6
x8
x2
x11
x28
x50
x90
x90
x1
x2
x2
x10
x12
x42
x18
x20
x1
x14
x2
x100
x2
x2
x442
x1
x32
x2
x2
x1
x20
x30
x30
x20
x10
x10
x6
x23
x34
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4

1

กระทู้

91

ตอบกลับ

1161

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
888
ตำลึงทอง
39
ตำลึงเงิน
114
เหรียญอู่จู
9349
STR
0+6
INT
0+1
LUK
0+5
POW
0+0
CHA
20+5
VIT
5+7
คุณธรรม
130
ความชั่ว
694
ความโหด
1563
โพสต์ 2025-9-21 17:53:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 21 เดือน 8  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

เวลา 16.00 - 18.00 น.


เสียงลมยามเย็นพัดผ่านหมู่ไม้แห้งกรอบรอบแนวรั้วของศาลเจ้าเถียนฉิงเวย กลิ่นดินที่ชื้นปนกลิ่นไม้เก่าแก่ลอยเข้าจมูก เหล่าดวงตะวันที่อ่อนกำลังเริ่มเอียงตัวลงหลังแนวทิวเขา ทิ้งเงาเสี้ยวหนึ่งทอดลงบน รูปปั้นปีศาจหลัวซาที่ผุพัง เหลือเพียงครึ่งเศษหินที่เหมือนยืนหยัด แต่ก็ใกล้สิ้นเรี่ยวแรงจะทนต่อกาลเวลา




จี เทียนเต้า ชายแก่หัวล้านเครารุงรัง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง รูปร่างผอมแห้งจนเห็นกระดูก ยืนอยู่หน้าศาล ไม่รู้ว่ามาด้วยเหตุผลใด บางทีเท้าก็จำเส้นทางนี้ได้เอง โดยที่ใจยังไม่ทันนึกถึง เขาก้าวข้ามธรณีประตูช้า ๆ ไม่มีเสียงยินดีต้อนรับ ไม่มีกลิ่นธูป ไม่มีมนุษย์ แต่ก็มีบางสิ่งที่แตกต่างไปจากทุกครั้ง



เสียงบทสวดแผ่วเบาดังมาจากด้านใน “ตี้จังผ่อซา ปู่ซะปู่ซะ” เสียงนั้นนุ่มลึก ไม่ใช่เสียงร้อง หากเป็นเสียงของลมหายใจที่กลายเป็นถ้อยคำ



จี เทียนเต้าเงี่ยหูฟัง ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้




ในเรือนหลักที่ผุพัง แสงยามเย็นสาดผ่านช่องระหว่างไม้ หลวงจีนจื่อหลิง กำลังพนมมือหลับตา ทำวัตรเย็นต่อหน้ารูปปั้นพระโพธิสัตว์ตี้จัง จีวรของท่านเก่าคร่ำ ราวกับผ่านร้อยฤดูกาล แต่สีหน้า กลับสงบเย็นดุจบ่อไร้คลื่น



จี เทียนเต้าเดินเข้าไปนั่งที่มุมศาลห่างจากจื่อหลิงพอสมควร ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่พิงเสาไม้เก่า สายตาจับจ้องไปที่พระโพธิสัตว์ตรงหน้า แล้วเหลือบมองหลวงจีน


“หลวงจีน” เขาเอ่ยเบา ๆ เมื่อลมหายใจของบทสวดจบลง “ข้าถามอะไรเจ้าหน่อยได้ไหม”




หลวงจีนจื่อหลิงค่อย ๆ ลืมตา มองชายแก่ผู้เหมือนเศษฝุ่นในสายลม ก่อนพยักหน้าเบา ๆ


“เชิญถามเถิดโยม หากข้าพอตอบได้ ก็จะตอบ หากไม่รู้ ก็จะตอบว่าไม่รู้”



จี เทียนเต้าหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงหัวเราะที่ทั้งฝืดและขม


“โลกใบนี้คืออะไรกันแน่” เขาพูดช้า ๆ มองออกไปยังฟ้ายามเย็นที่เริ่มเปลี่ยนสี “ข้าใช้ชีวิตมาเกือบห้าสิบปี เดินลุกร้อน ผ่านหิมะ กินฝุ่น กินขี้ กินคำโกหกของคน สุดท้าย ก็ยังไม่เข้าใจเลย ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่ ข้าไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีพลังฝึกปราณ ไม่มีโชค ไม่มีชื่อเสียง ทุกวันที่ยังไม่ตาย ก็แค่เพราะยังไม่กล้าฆ่าตัวเอง หลวงจีน บอกข้าที โลกนี้คืออะไร ทำไมเราถึงต้องอยู่ในมัน”



เงียบงัน มีเพียงเสียงน้ำจากคูรอบศาลเจ้าที่ไหลเบา ๆ คล้ายเสียงกระซิบจากอดีตกาล หลวงจีนจื่อหลิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ ช้า ๆ


“โลกนี้  อุปมาเหมือนแม่น้ำสายหนึ่ง เราต่างลืมไปว่าตนเองลอยอยู่ในแม่น้ำนั้นมาตั้งแต่เกิด พอเติบโตขึ้นก็พยายามจะว่ายทวนมัน บางคนไหลตามกระแส บางคนพยายามด่าทอแม่น้ำ บางคนโทษว่ามันเย็นไป มืดไป สุดท้าย ก็จม”



จี เทียนเต้าหันมามองเขานิ่ง ดวงตาแดงเรื่อของเขาสั่นไหวเล็กน้อย


“แล้วหลวงจีนเล่า ท่านว่ายทวนหรือปล่อยให้มันพาไป”



จื่อหลิงยิ้มบาง “ข้านั่งบนใบไม้ ปล่อยให้แม่น้ำพาไป แต่ก็ไม่ลืมมองท้องฟ้า”



จี เทียนเต้าขมวดคิ้ว หัวเราะออกมาแบบไม่แน่ใจว่าเขาโกรธหรือเปล่า “หึ  คำพูดของนักบวช สวยทุกคำ แต่ข้าไม่เคยเห็นคำพวกนั้นช่วยชีวิตใครได้จริง ไม่มีปราณ ไม่มีฝีมือ ไม่มีข้าว แล้วจะเอาอะไรไปต่อลมหายใจ”



หลวงจีนจื่อหลิงพนมมือ ยิ้มเย็น “ความหวัง ศรัทธา เมตตา สามสิ่งนี้ อาจไม่อิ่มท้อง แต่ข้าเคยเห็นมันดึงคนจากขอบเหวกลับขึ้นมา และข้าเอง ก็เคยเป็นคนที่เกือบตกเหวนั้นเช่นกัน”



จี เทียนเต้านิ่ง สายตาของเขาเริ่มร้อนริมฝีปากขยับ แต่ไม่เอ่ย เขาเหลือบมองพระโพธิสัตว์ ซึ่งยังคง สะอาด เหมือนไม่เคยถูกละเลย แม้ศาลจะร้าง แม้คนจะลืม



“ท่านเชื่อเหรอ ว่าชีวิตยังมีอะไรที่คุ้มให้รอ”



หลวงจีนจื่อหลิงลุกขึ้นช้า ๆ เดินเข้าไปหยิบ บาตรเก่า จากมุมหนึ่ง แล้วเดินออกมา วางเบื้องหน้าจี เทียนเต้า ในบาตรนั้น ไม่มีข้าว ไม่มีทอง ไม่มีอะไรเลย มีเพียง ดอกไม้แห้งหนึ่งดอก และเมล็ดถั่วเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนจะถูกวางไว้นานแล้ว



“สิ่งนี้ ข้าเคยได้จากเด็กคนหนึ่งที่ขอให้ข้าสวดให้พ่อแม่เขาหายป่วย ข้าสวดให้ แม้จะไม่มีปราณ ไม่มีพลัง พ่อแม่เขาก็ยังตาย แต่เด็กคนนั้นยังยิ้มให้ข้า และบอกว่า ไม่เป็นไรครับ อย่างน้อยมีคนยอมสวดให้พวกท่าน ก็ดีแล้ว จากวันนั้น ข้าก็พกสิ่งนี้ไว้เตือนตัวเอง”



จี เทียนเต้ามองเมล็ดถั่วเล็ก ๆ อย่างเงียบงัน หลวงจีนจื่อหลิงนั่งลงข้าง ๆ


“โยม บางทีการมีชีวิตอยู่ ไม่ได้แปลว่าเราต้องชนะ แต่อาจหมายถึงว่า เรายังมีโอกาสจะ ให้อะไรบางอย่าง กับโลกนี้ แม้เพียงคำพูดเดียว แม้เพียงรอยยิ้มเดียว แม้เพียงหมั่นโถวครึ่งชิ้น ที่ทำให้ใครบางคนรู้ว่า เขายังมีค่า”



จี เทียนเต้าเม้มปากแน่น เขาอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่คำพูดกลับติดค้างตรงอกเหมือนก้อนหินเปียกฝน เงาของเสาศาลเจ้าเริ่มยืดยาว เสียงบทสวดของหลวงจีนจื่อหลิงจางลงช้า ๆ เหลือเพียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ อากาศเริ่มเย็นลงอย่างชัดเจน ลมโชยเอื่อยพัดเส้นขนสีขาวบนแขนของจี เทียนเต้าให้สั่นไหว เขายังคงนั่งนิ่ง ไม่มีท่าทีจะลุกออกไปไหน


ช่วงหนึ่ง เขาก้มมองมือที่เหี่ยวย่นของตัวเอง มือที่เคยตบลูกชายชาวบ้านตอนถูกกล่าวหา มือที่เคยหยิบหมั่นโถวแข็ง ๆ จากพื้นถนน และมือที่วันหนึ่งเคยลังเลว่าจะคว้ามีดปลายเตียงเพื่อกรีดตัวเองดีหรือไม่ นิ้วเท้าที่ขาดไป ทำให้เขายืนไม่มั่นคงมาตลอดชีวิต แต่ใครจะรู้ว่า ใจ ของเขาต่างหาก ที่โยกคลอนมากกว่านั้น เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เห็นดวงอาทิตย์เสี้ยวสุดท้ายกำลังลับเหลี่ยมเขา สีทองของแสงสุดท้ายสะท้อนใบหน้าของพระโพธิสัตว์ ทำให้ดูเหมือนรูปปั้นนั้น ยิ้ม อย่างแผ่วเบา



“ข้าจำไม่ได้แล้วว่าเคยหัวเราะเต็มปากครั้งสุดท้ายเมื่อไร” เขาพึมพำ คล้ายพูดกับตนเอง คล้ายพูดกับฟ้า คล้ายถามกับใครที่ไม่มีตัวตน



หลวงจีนจื่อหลิงยกบาตรขึ้นเล็กน้อย คล้ายจะยื่นให้ แต่ไม่ถึงกับส่งตรง “โลกนี้บางทีก็เหมือนศาลเจ้าแห่งนี้” เขาเอ่ยเสียงเบา “ทั้งผุพัง ทั้งถูกลืม ทั้งมีปีศาจเฝ้าอยู่หน้าประตู แต่ลึกเข้าไปยังมีพระโพธิสัตว์นั่งอยู่เงียบ ๆ ไม่เคยจากไปไหน”



จี เทียนเต้าเบือนหน้าหนีชั่วขณะ น้ำเสียงของจื่อหลิงเหมือนตะกอนฝุ่นที่ตกกระทบผิวน้ำในใจของเขา


“แล้วพระองค์จะอยู่ไปทำไม หากไม่มีใครมาไหว้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครสำนึก”





“ก็เพราะไม่มีใครเห็นไง โยม จึงต้องมีใครสักคนเฝ้าอยู่” หลวงจีนจื่อหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากก่อนหน้า ไม่ยกสูง ไม่เน้นย้ำ แต่เปี่ยมด้วย สัจจะ



จี เทียนเต้าเอื้อมมือออกไปแตะขอบบาตรอย่างแผ่วเบา เขาไม่พูดอะไรอีก ไม่ต้องพูดแล้ว ลมหายใจของเขานิ่งขึ้นเล็กน้อย แม้ยังไม่อุ่นเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เหมือนเดิม



หลวงจีนจื่อหลิงลุกขึ้นอย่างเงียบงัน ก้มศีรษะให้จี เทียนเต้าเล็กน้อย ราวกับขอบคุณเขาที่มาเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งนี้ในยามสนธยา ก่อนจะหันกลับไปยังหน้ารูปปั้นอีกครั้ง ดั่งเช่นที่เขาทำทุกวันแต่ขณะที่ท่านกำลังจะนั่งลง จี เทียนเต้ากลับเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงต่ำ แหบพร่า







“หลวงจีน ข้าถามอะไรอีกอย่างได้ไหม”



จื่อหลิงชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ ไม่หันกลับมา


จี เทียนเต้าเหม่อมองไปยังฟ้ายามเย็นที่เหลือเพียงสีเงินหม่น


“ท่านคิดว่า โลกใบนี้มีพระเจ้าไหม หรือมีใคร  สักคน ที่กำลังนั่งหัวเราะอยู่กับชะตาชีวิตพวกเรา”



เงียบงันไปพักใหญ่ ราวกับแม้แต่สายลมก็หยุดฟัง จื่อหลิงนิ่งงัน เขาพนมมือไว้หน้าตัก หลับตา


“ข้าไม่รู้ว่าโลกนี้มีพระเจ้าหรือไม่” เสียงของเขาเรียบ นิ่ง และซื่อสัตย์ต่อใจตนเอง



“แต่ข้ารู้ว่า เมื่อคนหนึ่งเจ็บ อีกคนก็สามารถยื่นมือไปแตะไหล่เขาได้”



“เมื่อคนหนึ่งร้องไห้ อีกคนก็สามารถแบ่งผ้าเช็ดหน้าได้”



เขาหันหน้ากลับมามองจี เทียนเต้า ดวงตาของเขาไม่ลึก ไม่ซับซ้อน ไม่มีปราณ ไม่มีพลัง ไม่มีอำนาจ แต่สงบ และซื่อตรง


“บางที พระเจ้าอาจไม่ได้อยู่บนฟ้า แต่ซ่อนอยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เรากล้ายื่นมือไปหากัน”




จี เทียนเต้าก้มหน้าลง ดวงตาของเขาร้อนผ่าว มือที่เคยแตะบาตรขยับเข้าหาตักตัวเอง เขาไม่พูดอะไรอีก และคราวนี้ ไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรจะพูดแต่เพราะในใจของเขา เริ่มมีเสียงบางอย่างที่ไม่ใช่เสียงของตนเอง เสียงที่บอกว่า เขายัง ไม่ เดียวดายอย่างแท้จริง



ลมเย็นในยามเย็นกลายเป็นลมหนาว บางเบาแต่กัดกระดูก เงาของพระโพธิสัตว์ยืดยาวจนทับกับเงาร่างของทั้งสองคนในศาลเจ้า จี เทียนเต้าก้มหน้าลงเงียบ มือของเขายังแตะขอบบาตรอยู่ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอีกครั้งเสียงที่เอ่ยครั้งนี้แผ่วเบากว่าเดิม แต่เหมือนซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างใน



“หลวงจีน ” หลวงจีนจื่อหลิงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนเคย “ข้า ขอถามอีกข้อ” จื่อหลิงพยักหน้าเล็กน้อย






จี เทียนเต้าหันมองเขาตรง ๆ ดวงตาของชายแก่ที่ผ่านความหิว ความหนาว และการทรยศนับไม่ถ้วน ดวงตาที่มีบางสิ่งไม่ปกติ สั่นไหว คล้ายจะเศร้า แต่ก็คล้ายจะเย้ยหยัน



“ถ้าข้า มีพลังที่ยิ่งใหญ่ ข้าหมายถึง พลังจริง ๆ นะ แบบที่คนทั้งโลกต้องสั่นกลัว แบบที่เทพต้องหลบตา  แล้วข้าจะมอบพลังนั้นให้ท่าน ถ้าท่านยอมทำสิ่งหนึ่งให้ข้า ท่านจะทำไหม หลวงจีนจื่อหลิง”



เสียงของเขาไม่ได้ดังขึ้น แต่แผ่วลง ราวกับมันไม่ใช่คำถามที่พูดด้วยปากแต่เป็นคำขอที่หลุดมาจาก บาดแผลในจิตใจ


หลวงจีนจื่อหลิงนิ่งไปพักหนึ่ง แววตาไม่หวั่นไหว ไม่ตกใจ ไม่ตื่นกลัว เพียงแต่มองอย่างเงียบ ๆ เหมือนกำลังรอฟังสิ่งที่ไม่ได้เอ่ยออกมา


จี เทียนเต้าหัวเราะแผ่ว “ข้ารู้ เจ้าคงคิดว่าข้าเสียสติ แต่นี่ไม่ใช่คำพูดของคนบ้าธรรมดา มันคือคำพูดของคนที่เคย เฝ้ารอปาฏิหาริย์ มาทั้งชีวิต แล้วพบว่าปาฏิหาริย์ไม่เคยมีจริง” เขาเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่แทบกลืนหายไปกับลม





“สิ่งที่ข้าอยากให้ท่านทำ ก็แค่” เขากัดฟันแน่น หยุดตัวเองไว้ในวินาทีสุดท้าย ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย



“อย่าทำให้ข้าหวังอีกเลย อย่าทำให้ข้ารู้สึกว่าโลกใบนี้ยังมีที่สำหรับคนอย่างข้า” เขายิ้ม ยิ้มแบบที่น่าเศร้ากว่าการร้องไห้เสียอีก



“ข้าใช้เวลาทั้งชีวิตสร้างกำแพงขึ้นมาให้ตัวเองอยู่ข้างนอกโลกนี้ แล้วท่านกลับมาเคาะเบา ๆ บอกว่าข้างในยังมีแสง มันโหดร้ายกว่าการปล่อยข้าไว้ในความมืดอีกนะ”



เงียบ ไม่มีคำพูดตอบกลับ มีเพียงเสียงสายลมไหลลอดผ่านช่องไม้ผุ ๆ และเสียงน้ำที่ยังคงไหลรอบศาลเจ้าอย่างเนิบช้า



แต่แล้ว หลวงจีนจื่อหลิงก็กล่าวขึ้น เสียงของเขานั้นเบา อ่อนโยน เหมือนเสียงแม่กล่อมลูก หรือเสียงที่พระโพธิสัตว์ใช้ปลอบสัตว์โลก


“โยม ข้าปฏิเสธพลังของเจ้า เพราะข้าไม่ต้องการพลังที่มาจาก ความเจ็บปวดของใคร”



จี เทียนเต้าชะงัก


“และข้าก็ปฏิเสธที่จะพูดว่าเจ้าไม่มีค่า เพราะการทำลายนั้นง่ายกว่า แต่ข้าเลือกจะไม่ทำ”




จี เทียนเต้าเงยหน้าขึ้น น้ำตาหนึ่งหยดไหลลงตามร่องแก้มที่เต็มไปด้วยฝุ่นและรอยเหี่ยวย่น เขาหัวเราะ แต่ไม่มีเสียงอีกแล้ว มีเพียงดวงตา ที่เหมือนกำลังจะขอให้ใครสักคน ช่วยเขาออกไป จากหลุมที่เขาขุดไว้เองมาตลอดชีวิต



“เจ้ามันคนโง่ หลวงจีน แต่ข้าก็ไม่เกลียดเจ้าหรอกนะ”



เสียงสุดท้ายของเขาเบาเหมือนลมหายใจที่หลุดรอดจากอก เขานั่งเงียบ อยู่อย่างนั้น ท่ามกลางค่ำคืนที่ค่อย ๆ คลี่คลุมลงบนศาลเจ้าร้าง ณ สถานที่ที่แม้แต่พระโพธิสัตว์ยังไม่เคยได้รับคำขอบคุณ

______________________________________________________________________________________________________________

[NPC - 21] ไต้ซือจื่อหลิง

โรลเพลย์คุยประจำวัน : +5 ความสัมพันธ์

หัวดี : โบนัสเพื่มความโปรดปราน +20



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-21] ไต้ซือจื่อหลิง เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-9-23 21:46
โพสต์ 32178 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2025-9-21 17:53
โพสต์ 32,178 ไบต์และได้รับ +3 EXP +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก เอ้อหู  โพสต์ 2025-9-21 17:53
โพสต์ 32,178 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม จาก พู่กันคัดอักษร  โพสต์ 2025-9-21 17:53
โพสต์ 32,178 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก น่ารัก  โพสต์ 2025-9-21 17:53
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่คู่สลักจันทรา
เกราะทองแดง
เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ
พู่กันคัดอักษร
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1

1

กระทู้

91

ตอบกลับ

1161

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
888
ตำลึงทอง
39
ตำลึงเงิน
114
เหรียญอู่จู
9349
STR
0+6
INT
0+1
LUK
0+5
POW
0+0
CHA
20+5
VIT
5+7
คุณธรรม
130
ความชั่ว
694
ความโหด
1563
โพสต์ 2025-9-23 19:39:08 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย JiTiandao เมื่อ 2025-9-23 19:40

วันที่ 23 เดือน 8  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

เวลา 16.00 - 18.00 น.

ยามเย็นในศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวย เวลาแห่ง แสงทองอ่อน ๆ ของดวงอาทิตย์ลอดผ่านใบไม้ ร่วงหล่นลงมาบนพื้นหินเงียบงันราวกับหยดน้ำหมึกบนกระดาษพู่กัน



จี เทียนเต้าก้มหน้า ห่อผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งในมืออย่างลวก ๆ เดินย่ำฝุ่นจากชายป่ารอบศาลเจ้ากลับมา ในนั้นมีสิ่งละอันพันละน้อย ผลไม้ป่ารูปทรงบิดเบี้ยวที่เขาไม่รู้ชื่อ เห็ดเล็ก ๆ หนึ่งดอกที่เขาเคยเห็นแม่ค้าจับโยนลงหม้อที่ตลาด แผ่นไม้บางที่มีรอยสลักเหมือนจะเป็นยันต์เก่า และดอกหญ้าสีม่วงซีดที่เขาเจอมันขึ้นอยู่ข้างซากเกวียนพัง



สิ่งเหล่านี้ไม่มีค่าใดในสายตาโลก แต่ในมือของจี เทียนเต้า มันกลายเป็น ของขวัญ ที่เขาตั้งใจจะนำมาวางไว้ข้างคน ๆ หนึ่ง คนที่กำลังนั่งสงบนิ่งอยู่ในเรือนหลักของศาลเจ้า ชายในจีวรเก่า ซีดจาง แต่สง่างาม ผู้เอ่ยธรรมะโดยไม่ยัดเยียดความดี ผู้ที่ เทียนเต้าไม่เคยได้ยินใคร เงียบอย่างเข้าใจ เท่าเขามาก่อน



ไต้ซือจื่อหลิงกำลังนั่งทำวัตรเย็น เสียงสวดเบา ๆ ลอยกระทบกำแพงไม้เก่า บางคำดังเพียงพอให้ได้ยิน บางคำเงียบไปในลมหายใจ


ในแสงเย็นราวภาพวาดนี้ จี เทียนเต้ารู้สึกว่าโลกทั้งใบกลายเป็นฉากหลังให้ชายรูปนั้น เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะเกรง เกรงว่าเสียงฝีเท้าของตนจะรบกวนจังหวะใจของใครอีกคนที่สงบนิ่งเกินไป เกรงว่า กลิ่นตัวของคนบ้า จะไปรบกวน กลิ่นของผู้ไม่รังเกียจ



จี เทียนเต้าเดินอ้อม วนไปทางซ้าย ทะลุผ่านหลังคาผุกร่อน เดินเฉียดศาลย่อย แล้วค่อยวนกลับมาทางขวา เขาวนรอบจื่อหลิงราวกับโคจรรอบแสงเทียน สายตาไม่เคยจ้องตรง แต่ก็ไม่เคยละไปไหน เขาวางผ้าห่อของข้างหน้าตัวเอง คลี่มันช้า ๆ เงียบ ๆ บนหินแบนริมเรือนหลัก คล้ายจัดของไหว้แต่ทุกสิ่งในนั้น ล้วนวางอย่างจงใจ ผลไม้ป่าถูกหันด้านสีดีที่สุดไว้ตรงหน้าเห็ดดอกเดียววางไว้บนใบไม้แห้งอย่างระวัง ยันต์ไม้หันรอยสลักขึ้น และดอกหญ้าสีม่วงถูกวางตรงกลาง เสร็จแล้ว เขาก็ขยับตัวเล็กน้อย ยืนเท้าสะเอวเหมือนคนยากจนที่พยายามทำตัวให้ดู สำคัญ กว่าที่เป็น เขาหรี่ตา สะบัดหัวนิด ๆ แล้วพูดกับตัวเองเสียงดังพอให้จื่อหลิงได้ยิน



“เฮอะ คนเรานี่มันก็แปลกนะ เจอหลวงจีนแปลก ๆ คนเดียว ถึงกับต้องไปล่าหาของป่ามาให้ ไม่ได้หวังให้ใครซาบซึ้งหรอกนะ แค่กลัวว่า ถ้าไม่มีใครมาทำให้ท่านหงุดหงิดบ้าง ท่านจะกลายเป็นพระพุทธรูปไปเสียก่อน”



“ข้าก็ต้องรักษาความเป็นมนุษย์ของท่านเอาไว้บ้าง ใช่ไหมเล่า เจ้าเกราะเงิน” เขาหัวเราะใส่เศษเชือกที่มัดเป็นหุ่นไม้ พูดกับมันเหมือนเป็นผู้ฟังคนเดียวที่เข้าใจ



จื่อหลิงไม่หันมา ยังคงสวดทำวัตรอย่างสงบ แต่ แววตานั้น ขยับไปทางห่อผ้าบนหิน ไม่ใช่เพราะของข้างใน แต่เพราะ ความตั้งใจ ที่มากเกินเหตุของคนคนหนึ่ง ความพยายามที่ไม่ได้เรียบร้อย ไม่ได้สูงส่ง แต่ ซื่อสัตย์อย่างประหลาด





จี เทียนเต้าเดินมาหยุดข้างไหล่ของจื่อหลิง ก้มตัวลงนิด ๆ แล้วพูดใกล้หู “หลวงจีน หากของในห่อนั่นมันแปลกไปหน่อย ก็อย่าถือสา ข้าหามาด้วยหัวใจนะ ถึงจะไม่มีอะไรให้ท่านกินได้จริง ๆ แต่ ข้าก็หวังให้ท่าน รู้สึกอิ่มเหมือนที่ข้ารู้สึกตอนมีท่านอยู่ด้วย”



จื่อหลิงยังคงไม่ตอบ แต่มือข้างที่ประนม ค่อย ๆ คลายออกเล็กน้อย มือขวาหยิบลูกผลป่าดวงกลมขึ้นมาอย่างเบามือ เขาไม่พูดอะไร เพียงแค่เอาผลนั้นวางไว้บนบาตรของตน แล้วกลับไปทำวัตรต่อ



จี เทียนเต้ายิ้มเล็ก ๆ อย่างพอใจ ก่อนจะถอยหลังออกไปยืนกอดอกริมเสาไม้


“ข้าจะทำให้ท่านสนใจข้าให้ได้” เขาพูดเบา ๆ ไม่รู้ว่ากับใคร กับลม กับพระโพธิสัตว์ หรือกับคนในใจ แต่ไม่มีคำตอบ มีเพียงแสงอาทิตย์ที่กำลังตกลงเบื้องหลังศาลเงียบ และชายชราผู้หนึ่ง ที่ยืนยิ้มด้วยหัวใจป่นปี้ แต่ยังเต้นอยู่



จี เทียนเต้ายืนพิงเสาไม้เก่า แสงเย็นยามอัสดงทอดยาวจากปลายฟ้าผ่านผืนป่าลงมาสู่ศาลเจ้าร้าง ร่างชายชราเหมือนเงาวูบหนึ่งในภาพวาดเก่าบนผนังวิหาร รอยยิ้มบนหน้าผู้พ่ายแพ้ ดูบิดเบี้ยวแต่เปี่ยมด้วยศรัทธา เขามองไปยังบาตรของจื่อหลิงที่วางลูกผลป่าไว้บนนั้น ใจเต้นเล็กน้อยเหมือนเด็กยากจนเห็นเหรียญเดียวในถุงเงินพระราชา



แต่ไต้ซือจื่อหลิงยังไม่พูด ยังสวดมนต์ด้วยเสียงแผ่วเบา เพียงไม่นานนัก ก่อนบทวัตรสุดท้ายจะสิ้นสุดลง ท่านจึงหยุดสายตาไว้ที่ดอกหญ้าสีม่วงซีดที่วางอยู่กลางห่อผ้า มือที่สงบนิ่งค่อย ๆ เอื้อมออกไป หยิบดอกหญ้านั้นขึ้นมาอย่างเบามือ เหมือนถือเมล็ดพันธุ์พุทธะอันเปราะบาง



จากนั้น จื่อหลิงหันหน้ามาทางจี เทียนเต้าเพียงเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์สุดท้ายของวัน แล้วพูดเพียงหนึ่งประโยค ด้วยเสียงแผ่วเบา แต่มั่นคง



“บางสิ่ง เจริญเติบโตได้ดี แม้จะวางอยู่บนมือที่สกปรก”



เขาวางดอกหญ้านั้นไว้ข้างพระโพธิสัตว์ แล้วกลับไปนั่งสงบ ไม่กล่าวอะไรอีก แต่จี เทียนเต้ายืนนิ่งไปนาน ดวงตาคู่นั้น ค่อย ๆ แดงขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วกระซิบกับตัวเอง



“เช่นนั้น มือของข้าก็ไม่เสียเปล่า”

_________________________________________________________________________________________________________

[NPC - 21] ไต้ซือจื่อหลิง

โรลเพลย์คุยประจำวัน : +5 ความสัมพันธ์

หัวดี : โบนัสเพื่มความโปรดปราน +20



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-21] ไต้ซือจื่อหลิง เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-9-23 21:46
โพสต์ 14212 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-9-23 19:39
โพสต์ 14,212 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม +4 ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-9-23 19:39
โพสต์ 14,212 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 ความชั่ว +6 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ  โพสต์ 2025-9-23 19:39
โพสต์ 14,212 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม +5 ความโหด จาก เอ้อหู  โพสต์ 2025-9-23 19:39
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่คู่สลักจันทรา
เกราะทองแดง
เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ
พู่กันคัดอักษร
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1

1

กระทู้

91

ตอบกลับ

1161

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
888
ตำลึงทอง
39
ตำลึงเงิน
114
เหรียญอู่จู
9349
STR
0+6
INT
0+1
LUK
0+5
POW
0+0
CHA
20+5
VIT
5+7
คุณธรรม
130
ความชั่ว
694
ความโหด
1563
โพสต์ 2025-9-25 22:28:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 25 เดือน 8  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เวลา 16.00 - 18.00 น.

ยามโพล้เพล้ ท้องฟ้าด้านตะวันตกยังเรื่อด้วยสีส้มอมทอง แต่แสงอาทิตย์กำลังลาลับไปอย่างช้า ๆ เหมือนใครบางคนที่ไม่อยากกล่าวคำลา เสียงใบไม้ที่ปลิวไหวในลมเย็นพัดเบา ๆ คล้ายเสียงกระซิบของผู้เฒ่ากำลังเล่าเรื่องในอดีต ริมคูน้ำรอบศาลเถียนฉิงเวย ดอกหญ้าพลิ้วตัวเหมือนเด็กน้อยไหว้ลาตะวัน ลำธารเล็กสะท้อนภาพเงาไม้ใหญ่บนกำแพงเก่าเป็นคลื่นริ้วราวผ้าม่านผืนบางโบกพลิ้วอยู่ในอากาศ



ด้านในศาลเรือนหลัก ธูปสามดอกค่อย ๆ คายควันเป็นสาย ลอยวนอ้อยอิ่งรอบรูปพระโพธิสัตว์ตี้จังผ่อซา เสียงสวดมนต์ของไต้ซือจื่อหลิงดังแผ่วเบา สม่ำเสมอ เป็นท่วงทำนองที่ไม่มีดนตรีใดในโลกเทียบได้ กลมกลืนกับลมหายใจของโลก กลั่นจากหัวใจที่สงบและซื่อตรงต่อพุทธธรรมอย่างไม่แปรเปลี่ยน



เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากหลังศาล แต่ไม่ใช่เสียงฝีเท้าของโจร ไม่ใช่เสียงของคนมารบกวน เป็นเพียงเสียงของผู้ที่พยายาม ไม่ให้เสียงของตนรบกวนผู้ที่กำลังสงบนิ่ง



จี เทียนเต้า สวมเสื้อผ้าเก่าที่ซักจนบางแต่สะอาด กลิ่นของไอแดดจาง ๆ ติดอยู่ตามขอบแขนเสื้อ เขามีถุงผ้าใบหนึ่งในมือ ข้างในมีกลิ่นน้ำเต้าหู้หอมอ่อน ๆ ปนกลิ่นขนมไหมฟ้าทอดใหม่ ขนมที่กรอบนอก นุ่มใน และหอมกลิ่นงาขาวเก่าผสมน้ำผึ้งจากภูเขาไกล



เขาเดินอย่างระมัดระวัง ไม่ให้พื้นไม้ส่งเสียง ไม่ให้ฝุ่นปลิวมากวนควันธูป หรือใจของผู้ที่กำลังทำวัตรเย็น เขาไปหยุดยืนอยู่ข้างหลังจื่อหลิง เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา



แต่วันนี้ เขาทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาก้มตัวลงเล็กน้อย ขยับหน้าเข้าไปใกล้ด้านข้างของหลวงจีนหนุ่ม กลิ่นธูปและกลิ่นผ้าเก่าเจือรวมกับกลิ่นเหงื่อจาง ๆ ของผู้ที่เดินเขาขึ้นมาจากในเมือง ริมฝีปากของเขาอยู่ห่างจากใบหูของจื่อหลิงเพียงไม่กี่นิ้ว แล้วเขาก็พูดเบา ๆ



“ข้านำน้ำเต้าหู้มาฝาก ยังอุ่นอยู่ และขนมไหมฟ้า ข้ารู้ว่าท่านชอบหวานน้อย” เสียงเขาแผ่ว ราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นจนไม่อาจซ่อน สีหน้าของจื่อหลิงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ยังคงทำวัตรต่อไปเช่นเดิม แต่จี เทียนเต้ารู้ดี รู้ว่าไหล่ข้างหนึ่งของไต้ซือขยับเล็กน้อย รู้ว่ามือที่พนมไว้กลางอก กระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย รู้ว่าลมหายใจของจื่อหลิงช้าลง เพียงครึ่งจังหวะ



เขายิ้มมุมปากเบา ๆ วางถุงผ้าลงข้างบาตรที่วางอยู่มุมเสาอย่างนุ่มนวลที่สุด จากนั้นจึงค่อย ๆ ถอยออกไปนั่งพิงเสาอีกต้น ใกล้กันแต่ไม่ใกล้เกิน


ระหว่างที่สวด เสียงลมพัดกลิ่นน้ำเต้าหู้ขึ้นมากระทบจมูกบางของไต้ซือหนุ่ม จื่อหลิงลืมตาขึ้นช้า ๆ เมื่อวัตรสิ้นบทสุดท้าย ดวงตาของเขาสะท้อนแสงเทียนสีส้มจาง ในมุมที่จี เทียนเต้านั่งพิงเสา แสงเทียนทอดผ่านใบหน้าเขาครึ่งหนึ่ง  เผยให้เห็นตีนกาลึก ๆ รอบดวงตา แต่ก็เผยให้เห็นแววตาแบบเด็กชายที่ยังรอการยอมรับจากใครสักคน



จื่อหลิงไม่พูดอะไร ไม่ตำหนิ ไม่ขอบคุณ เขาเพียงค้อมศีรษะเบา ๆ ไปทางถุงผ้านั้น


จี เทียนเต้าเอียงคอเล็กน้อย ถอนหายใจ


“ข้ารู้ว่าท่านไม่เคยพูดอะไรมาก แต่แค่พยักหน้า ข้าก็รู้สึกเหมือนได้ยินวรรคทองแห่งสวรรค์”



ไม่มีคำตอบกลับมา แต่เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ หลุดจากลำคอของไต้ซือ




นั่นคือสิ่งที่จี เทียนเต้ารออยู่ เขายิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม เอียงหัวพิงเสา แหงนหน้ามองปล่องไม้บนเพดานที่แสงจันทร์ตกลงมา เหมือนทุกคืนที่ผ่านมายกเว้นแต่ว่า คืนนี้ เขาได้อยู่ข้าง ๆ ในศาลเจ้าร้างแห่งนี้ ที่ผู้คนลืมเลือน มีเพียงเสียงลมหายใจสองคน เสียงแมลงยามค่ำ และกลิ่นน้ำเต้าหู้ ที่ยังอุ่นไม่จาง และหัวใจที่เต้นอยู่ในจังหวะเดียวกัน



ศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวยเงียบงัน เหมือนห้วงฝันของคนแก่ที่ไม่มีใครอยากปลุก เสียงจิ้งหรีดดังตามรากไม้ คูน้ำรอบศาลสะท้อนเงาแสงจันทร์ระริกเป็นทางเงินระยับ ลมอ่อนพลิ้วลอดผ่านระเบียงไม้ เป่ากระพือเปลวเทียนในกระถางหินจนสั่นเล็กน้อย แต่ไม่ดับ



จื่อหลิงยื่นมือไปรองบาตร ดึงถุงผ้าของจี เทียนเต้ามาช้า ๆ เขาไม่พูดอะไร เพียงแค่นั่งลงเงียบ ๆ ดึงขนมไหมฟ้าก้อนหนึ่งขึ้นมา แล้วค่อย ๆ ฉีกมันครึ่งหนึ่ง จากนั้น




“เจ้ากินด้วยสิ” เสียงของเขาเบานัก แต่ชัดเจน



จี เทียนเต้าเบิกตาเล็กน้อย มองอีกฝ่ายราวกับไม่เชื่อหู


“ข้าหรือ” เขาชี้ที่ตัวเอง น้ำเสียงแปร่ง ๆ อย่างคนที่ไม่แน่ใจ “ท่านจะให้ข้ากิน ขนมของข้าเองเนี่ยนะ”




จื่อหลิงพยักหน้าเล็กน้อย มือยื่นครึ่งชิ้นขนมให้ตรงหน้าโดยไม่มองจี เทียนเต้าโดยตรง ราวกับเป็นเพียงท่าทางธรรมดา แต่จี เทียนเต้ารู้ นั่นไม่ธรรมดาเลย เขารับไว้เบา ๆ อย่างกลัวว่าชิ้นขนมจะละลายหายไปในมือ เสียงหัวใจในอกเต้นเบา ๆ แต่แรงพอให้เขาได้ยิน







“หื้มม กลิ่นยังอุ่น เหมือนเสียงของท่านเมื่อคืนก่อนนั่นแหละ” เขาพึมพำกับตัวเองแล้วกัดขนมคำเล็ก ๆ เคี้ยวเบา ๆ เหมือนกลัวทำลายความสงบ



ครู่หนึ่ง เสียงจื่อหลิงดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีบทสวด ไม่มีคัมภีร์ ไม่มีถ้อยคำสูงส่ง


“ข้าไม่ชอบกินขนม แต่กลิ่นมัน ทำให้ข้านึกถึงบางสิ่ง”



จี เทียนเต้าหันขวับมาทันที แต่กลั้นถามไว้ เขาแค่พยักหน้า แล้วพูดเบา ๆ


“หืม  กลิ่นมัน หอมแบบที่ข้าอยากให้ท่านจำได้บ้าง ว่ามีข้าอยู่บนโลกนี้”



จื่อหลิงไม่ได้ตอบ เขาเพียงวางชิ้นขนมอีกครึ่งไว้ในบาตร คล้ายเก็บไว้เงียบ ๆ แล้วพูดต่อด้วยเสียงที่ไม่ดัง แต่มีน้ำหนัก


“เจ้ามาทีไร ศาลนี้ไม่เงียบเกินไป บางครั้ง ข้าก็รอเสียงรองเท้าเก่าของเจ้า กึก ๆ บนไม้เก่านี่”



จี เทียนเต้าไม่ตอบ คราวนี้เป็นเขาที่นิ่งไป ลมหายใจของเขาเหมือนสะดุด


จื่อหลิงหันไปมองเทียนที่ใกล้จะดับ หยิบไม้ขีดไฟจากถุงเล็ก ๆ จุดขึ้นใหม่อย่างช้า ๆ เปลวไฟใหม่ลุกพรึบเล็กน้อย เงาสะท้อนดวงหน้าเขาในบาตรน้ำทำให้ภาพพร่าเลือน



“คนที่เดินมาศาลร้างทุกวัน ไม่ได้รอพระพุทธองค์หรอก แต่บางที พระพุทธองค์ก็ให้เหตุผลแก่คนเช่นนั้น ว่าเขายังพอมีที่ทางจะยืนอยู่ในโลกนี้”



จี เทียนเต้าก้มหน้าลง เขายกมือขึ้นลูบหัวล้านของตนเบา ๆ แล้วพึมพำออกมา


“แค่ ข้ามีที่นั่งข้างท่านอีกวัน ข้าก็ไม่อยากไปไหนแล้ว” เสียงลมหายใจของทั้งสองแผ่วเบา เทียบเท่ากับเสียงคูน้ำที่ยังไหลเบา ๆ ริมกำแพงด้านหลัง



จื่อหลิงวางบาตรลง ห่มจีวรคลุมไหล่เช่นเคย แล้วลุกขึ้นยืนอย่างสงบนิ่ง แต่ก่อนเดินจากไป เขาหันมาหาเทียนเต้าหนึ่งครั้ง และกล่าวว่า


“พรุ่งนี้ ข้าอาจทำวัตรสายกว่าปกติ เจ้า ไม่ต้องรีบนัก”




จี เทียนเต้ารู้ทันที คำพูดนั้น ไม่ใช่แค่ แจ้งเวลา แต่มันคือ คำขอให้อยู่ต่ออีกหน่อย เพื่อใครบางคนที่ไม่พูดตรงๆ เขาพยักหน้าเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร


จื่อหลิงก้าวออกไปเงียบ ๆ เงาจีวรปลิวตามลม ชั่วครู่ก็เลือนหายไปในแนวพุ่มไม้ด้านนอก





จี เทียนเต้านั่งนิ่งอยู่คนเดียว ดวงหน้าเงยขึ้นรับแสงจันทร์ที่ลอดลงจากปล่องไม้ เขาหยิบไหมฟ้าที่เหลือขึ้นมา มองมันคล้ายกับกำลังดูสิ่งมีค่าอะไรบางอย่าง จากนั้นพูดเบา ๆ กับตัวเอง





“เจ้าบ้า เจ้าอย่ายิ้มตอนกลับหลังข้าสิ ข้าเห็นเงานะ” เสียงหัวเราะแผ่วเบาหลุดออกจากลำคอเขา จากนั้นเขาก็เอียงหัวนิด ๆ พิงเสา ปิดเปลือกตา และปล่อยให้ศาลเจ้าร้างกลายเป็นที่พักหัวใจ อย่างสมบูรณ์แบบ


_______________________________________________________________________________________________________________

[NPC-21] ไต้ซือจื่อหลิง

โรลคุยประจำวัน : ความสัมพันธ์ +5

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

+20 ความสัมพันธ์ ขนมไหมฟ้า

+15 ความสัมพันธ์ น้ำเต้าหู้

อาหารปรุง ได้โบนัส +5 เพิ่ม

ชงชา ได้โบนัส +5 เพิ่ม





แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-21] ไต้ซือจื่อหลิง เพิ่มขึ้น 70 โพสต์ 2025-9-25 23:23
โพสต์ 21012 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-9-25 22:28
โพสต์ 21,012 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-9-25 22:28
โพสต์ 21,012 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 ความชั่ว +12 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ  โพสต์ 2025-9-25 22:28
โพสต์ 21,012 ไบต์และได้รับ +3 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม +10 ความโหด จาก เอ้อหู  โพสต์ 2025-9-25 22:28
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่คู่สลักจันทรา
เกราะทองแดง
เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ
พู่กันคัดอักษร
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1

1

กระทู้

91

ตอบกลับ

1161

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
888
ตำลึงทอง
39
ตำลึงเงิน
114
เหรียญอู่จู
9349
STR
0+6
INT
0+1
LUK
0+5
POW
0+0
CHA
20+5
VIT
5+7
คุณธรรม
130
ความชั่ว
694
ความโหด
1563
โพสต์ 2025-9-28 18:09:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 28 เดือน 8  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เวลา 16.00 - 18.00 น.


เงาไม้ทอดตัวเอียงยาวบนพื้นดินชื้น เมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ จี เทียนเต้าคลานตัวเองข้ามคูน้ำเล็กที่ล้อมรอบศาลเจ้าร้างด้วยความระมัดระวัง เสื้อเก่าขาดรุ่ยของเขาชื้นเปียกตรงชายเสื้อ แต่เขาไม่สนใจ มือหนึ่งหิ้วถุงผ้า อีกมือหนึ่งเก็บดอกไม้ป่าขาวซีดที่ขึ้นตามข้างทางไว้สามดอก ต้นมันเปราะบางจนแทบหักตั้งแต่ถอน


“เอาไปวางหน้าโพธิสัตว์ดีไหมนะ หรือจะให้เจ้าหัวเหม่งที่ชอบนั่งหลับตา” เขาพึมพำกับตัวเอง ขณะเดินเข้าศาลเจ้า



ภายในเรือนหลักยังคงเงียบสงัด กลิ่นไม้เก่าและควันธูปจาง ๆ ปะทะจมูกเสียงบทสวดแผ่วเบาดังมาจากเบื้องหน้า เป็นสำเนียงถ้อยคำสันสกฤตที่เขาไม่เข้าใจ แต่กลับอบอุ่นประหลาด


ไต้ซือจื่อหลิง นั่งพับเพียบอยู่หน้ารูปปั้นพระโพธิสัตว์ตี้จังผ่อซาจีวรสีฝุ่นทรายสะท้อนแสงอ่อนจากแสงเย็นที่ลอดเข้าทางช่องผนัง มือสองข้างพนมแนบอก เสียงบทสวดของเขาไม่ได้ก้อง ไม่ได้กังวาน แต่ลึก และสม่ำเสมอ เหมือนสายน้ำใต้ดิน


จี เทียนเต้าหยุดยืนอยู่นิ่ง ๆ ตรงธรณีไม้ ไม่กล้าเดินเข้าไปรบกวน ทั้งที่เขามาที่นี่ ทุกเย็น ราวกับเป็นกิจวัตร เขานั่งลงพิงเสากลางศาล มือยังถือดอกไม้ป่า สายตาจับจ้องแผ่นหลังของหลวงจีนผู้เงียบขรึม


“ไหล่แค่นั้น จะถือโลกไว้ทั้งใบได้ยังไงกันนะ แต่ก็ยังถือ ทุกวัน”



เสียงสวดหยุดลงในเวลาใกล้ห้าโมงเย็นพอดี แสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องไม้แตกเป็นริ้ว ๆ ตกลงบนฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศราวหมอกบาง ไต้ซือจื่อหลิงก้มกราบรูปปั้นสามครั้งอย่างสงบ ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ




“เจ้ามาช้า”




จี เทียนเต้าหัวเราะในลำคอ “ข้ามาช้ากว่าแดดก็จริง แต่ก็เร็วกว่าความมืดไม่ใช่หรือ”



จื่อหลิงหันมา สายตาเขาแน่นิ่ง แต่ริมฝีปากมีรอยยิ้มจาง ๆ คล้ายจะปรากฏและหายไปในเวลาเดียวกัน


จี เทียนเต้าลุกขึ้นเดินช้า ๆ มาหยุดตรงหน้า แล้วยื่นดอกไม้ป่าทั้งสามให้


“วันนี้ข้าไม่ขอธรรมะ แต่ขอให้เจ้ารับเจ้าพวกนี้ไปแทน”



จื่อหลิงรับมาโดยไม่พูดอะไร เขามองดอกไม้เพียงครู่เดียว แล้ววางมันเบื้องหน้ารูปปั้นตี้จังผ่อซา จากนั้นหันกลับมาพูดอย่างนุ่มนวล


“เจ้ารู้ไหม ดอกไม้นี้ชื่อ ฮุ่ยจิ่ง แปลว่า ความสงบที่คืนกลับ”



จี เทียนเต้าชะงักเล็กน้อย “สงบเหรอ ข้าวางมันให้เจ้า ไม่ได้วางให้รูปปั้นเสียหน่อย”



ทั้งสองนั่งลงตรงหน้าแท่นศิลาข้าง ๆ กัน แสงอาทิตย์ต่ำจนแทบไม่ลอดเข้ามาได้อีก เหลือเพียงแสงอุ่น ๆ สีทองฝุ่นจางตกบนไหล่ของหลวงจีน


จี เทียนเต้าเหล่มองอยู่เงียบ ๆ รู้สึกถึงความแปลกประหลาดในอก ไม่ใช่ความรักในเชิงหลงใหล ไม่ใช่ความต้องการ แต่เป็นความอุ่นแผ่ว ๆ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิตที่เปื้อนโคลนของเขา


“เจ้าเคย รู้สึกอยากให้ใครสักคนไม่ต้องเหนื่อยอีกไหม แม้เจ้าจะไม่มีอะไรให้เขาเลยนอกจากเสียงบ่นน่ารำคาญของเจ้าเอง”



จื่อหลิงหลับตา ไม่ได้ตอบทันที แต่เสียงของเขาเมื่อเปล่งออกมา ก็เหมือนสายน้ำเย็นที่ไหลผ่านใจเทียนเต้า


“ทุกครั้งที่ข้าเปิดคัมภีร์ ข้าภาวนาไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อให้คนแบบเจ้า ได้พบที่พึ่งในใจ”



จี เทียนเต้าเบนหน้าหนีเล็กน้อยมือกุมเข่าแน่นเหมือนเด็กไม่กล้ายอมรับว่ากำลังจะร้องไห้


“แล้วถ้าข้าอยากเป็นที่พึ่งของเจ้าเล่า เจ้าจะอนุญาตไหม”



ไม่มีคำตอบ มีเพียงเสียงลมพัดลอดคูน้ำ และเงาสะท้อนพระโพธิสัตว์ในแอ่งน้ำเล็ก ๆ ที่ไม่ไหวติง ราวกับเวลาหยุดนิ่ง


ในยามเย็นนั้น เมื่อโลกภายนอกเงียบงัน ในศาลร้างที่ไม่มีใครแวะเวียน ชายผู้เสียสิ้นความเชื่อ กับภิกษุผู้ยึดมั่นในธรรมะ ได้แต่นั่งเคียงกันในความเงียบงันที่อ่อนโยน และในความเงียบนั้น มีบางสิ่งแผ่วเบา ก่อตัวอยู่ในใจทั้งสอง


จี เทียนเต้าลุกขึ้นจับไปยังหน้าของจื่อหลิง เขาเอ่ยคำเบาๆ “วันนี้ข้าไปก่อนนี้ขนมข้าลืมให้เจ้า”


_______________________________________________________________________________________________________________

[NPC-21]  ไต้ซือจื่อหลิง

พูดคุยประจำวัน : ความสัมพันธ์ +5


หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

+20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง (ขนมไหมฟ้า)

อาหารปรุง ได้โบนัส +5 เพิ่ม





แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-21] ไต้ซือจื่อหลิง เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2025-9-28 21:12
โพสต์ 12031 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-9-28 18:09
โพสต์ 12,031 ไบต์และได้รับ +4 EXP +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ  โพสต์ 2025-9-28 18:09
โพสต์ 12,031 ไบต์และได้รับ +4 ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-9-28 18:09
โพสต์ 12,031 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก เอ้อหู  โพสต์ 2025-9-28 18:09
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่คู่สลักจันทรา
เกราะทองแดง
เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ
พู่กันคัดอักษร
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1

1

กระทู้

91

ตอบกลับ

1161

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
888
ตำลึงทอง
39
ตำลึงเงิน
114
เหรียญอู่จู
9349
STR
0+6
INT
0+1
LUK
0+5
POW
0+0
CHA
20+5
VIT
5+7
คุณธรรม
130
ความชั่ว
694
ความโหด
1563
โพสต์ 2025-10-7 18:51:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 7 เดือน 9  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

เวลา 16.00 - 18.00 น.



แสงแดดยามบ่ายปลายวันทอดเงาทองเฉียงเฉียดหลังคาศาลไม้เก่าที่แอ่นเอียงอย่างสง่างาม ศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวยในยามนี้ เงียบสงบยิ่งกว่าทุกวัน ไร้แม้แต่เสียงนก ราวกับโลกภายนอกถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง



ที่ลานหน้ารูปปั้นตี้จังผ่อซา ไต้ซือจื่อหลิงนั่งพับเพียบอยู่บนเบาะเก่าใบหนึ่ง ปากสวดทำนองวัตรเย็นเบา ๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ แผ่วเบาแต่มั่นคง ก้องกังวานในอกผู้ฟัง



“นะโม ตี้จังผ่อซา”



เสียงท่องมนต์แทรกตัวไปในลมหายใจของเวลา กลายเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศ ทันใดนั้น มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบา ชายแก่ในเสื้อขาดเก่ากรุ่นกลิ่นตะเกียง นำห่อผ้าผืนเล็กมาด้วย เดินข้ามลานโดยไม่พูดแม้คำเดียว



จี เทียนเต้า เขาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังพระหนุ่มนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งลงเงียบ ๆ ด้านข้าง เว้นระยะพอสมควร แต่ไม่ไกลเกินจะได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน



เงียบ จื่อหลิงยังคงว่ามนต์ต่อ



จี เทียนเต้านั่งฟัง ดวงตาเคยคุกรุ่นตอนนี้สงบลงราวกับตะเกียงไร้น้ำมัน มือของเขาวางห่อผ้าเบา ๆ บนตัก ก่อนจะคลี่มันออกด้วยท่าทางระมัดระวัง ภายในคือ ขนมไหมฟ้า ขนมท้องถิ่นหายาก เนื้อละเอียดนุ่มประหนึ่งเส้นไหม นํ้าตาลแตะเค็มน้อย ๆเคลือบบนผิวนอก เมื่อละลายในปากมักทำให้คนเผลอหลับตา เขาไม่พูด เขาแค่เอื้อมเบา ๆ วางห่อไหมฟ้าด้านข้างของจื่อหลิง โดยให้เส้นผ้าห่อแตะจีวรพระนิดหนึ่งเท่านั้น



จื่อหลิงค่อย ๆ ลืมตา เสียงบทสวดหยุดลงอย่างไม่มีพิธี เขาหันมาช้า ๆ ดวงตายังเต็มไปด้วยความเมตตาแต่แฝงด้วยความแปลกใจเล็กน้อย



“โยม นำมาทำไมหรือ”



จี เทียนเต้าไม่ตอบทันที เขาเพียงหลุบตาลง มองเงารูปปั้นตี้จังที่ทอดยาวบนพื้นศาล



“ท่าน สวดมนต์ทั้งวัน จะไม่มีวันไหน อยากได้รสหวานบ้างเลยหรือ” น้ำเสียงของเขาแหบพร่า มีรอยยิ้มบางเจืออยู่ แม้จะดูเหมือนไม่จริงจัง แต่แฝงบางสิ่งที่จริงเกินจะปฏิเสธ



จื่อหลิงมองขนมครู่หนึ่ง ก่อนจะค้อมศีรษะนิดหนึ่ง



“ขอบใจโยม อาตมา”



“อย่าเรียกข้า โยม’ ตอนนี้” เทียนเต้ากระซิบ เสียงนั้นเบากว่าลม แต่กลับฟังชัดเจนในอก



พระหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง แดดยามเย็นสีอำพันส่องผ่านช่องไม้บนหลังคา สาดลงใบหน้าทั้งสอง เงาตะวันไล้ผ่านแก้มจี เทียนเต้าอย่างแผ่วเบา ราวกับมือใครลูบ



ความเงียบระหว่างพวกเขาชัดกว่าบทสวดใด ๆ



จี เทียนเต้าไม่หันไปมองตรง ๆ เขาเพียงใช้ปลายนิ้วลูบผิวไม้ของศาล และพูดต่อ เหมือนกับกำลังบอกใครบางคนในอดีต



“วันหนึ่ง ถ้าข้าไม่ได้มานั่งตรงนี้อีก ท่านจะสวดเรียกข้ากลับมาหรือไม่”



จื่อหลิงหายใจเข้าอย่างยาว และตอบในที่สุด



“อาตมา จะไม่เรียกใครกลับมา แต่จะเปิดประตูไว้เสมอ สำหรับคนที่อยากกลับมาเอง”



จี เทียนเต้าหัวเราะแผ่ว ๆ เหมือนคนฝันหวาน เขาหยิบไหมฟ้าขึ้นมาเส้นหนึ่ง แล้วขยับเข้าใกล้ วางมันลงบนฝ่ามือของจื่อหลิงอย่างเบา ๆ



“ถ้าเป็นไปได้ ข้าขอให้ท่านลองลิ้มดูในยามพระอาทิตย์ลับฟ้า เพราะข้าเชื่อว่า มันจะอร่อยที่สุดในแสงสุดท้ายของวัน”



พระหนุ่มรับไหมฟ้าโดยไม่กล่าวคำใด แต่อยู่ดี ๆ ก็เงยหน้าขึ้นสบตา



เป็นครั้งแรกที่จี เทียนเต้ารู้สึกว่า สายตาคู่นั้น ไม่ใช่สายตาแห่งธรรมะ แต่มันเต็มไปด้วยบางสิ่งที่เขาไม่กล้าตั้งชื่อ



ตะวันคล้อยต่ำลงเรื่อย ๆ เงาของสองร่างทอดเคียงกันบนพื้นไม้เก่า เสียงลมหยอกต้นไผ่ข้างศาลดังแผ่ว เสียงน้ำในคูเบาเบา เหมือนทุกสิ่งในโลกกลายเป็นฉากหลังให้กับสิ่งเล็ก ๆ ตรงนี้



จี เทียนเต้านั่งนิ่ง ไม่พูด ไม่ยิ้ม และไม่เคลื่อนไหว มีเพียงลมหายใจที่อุ่นของใครบางคน ข้างกายเขา และไหมฟ้า ที่รสชาติอาจจะหวานกว่าที่เขาจำได้



______________________________________________________________________________________________________________________


[NPC-21]  ไต้ซือจื่อหลิง


พูดคุยประจำวัน : ความสัมพันธ์ +5


หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+15


+20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง (ขนมบัวหิมะ)


อาหารปรุง ได้โบนัส +5 เพิ่ม

แสดงความคิดเห็น

หัวใจกับไต้ซือตันสี่ดวแล้ว  โพสต์ 2025-10-7 20:26
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-21] ไต้ซือจื่อหลิง เพิ่มขึ้น 40 โพสต์ 2025-10-7 20:26
โพสต์ 15890 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-10-7 18:51
โพสต์ 15,890 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม +5 ความโหด จาก กระบี่คู่สลักจันทรา  โพสต์ 2025-10-7 18:51
โพสต์ 15,890 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม +4 ความชั่ว +5 ความโหด จาก เกราะทองแดง  โพสต์ 2025-10-7 18:51
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่คู่สลักจันทรา
เกราะทองแดง
เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ
พู่กันคัดอักษร
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-10-8 13:51:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 5 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซานเกิงปั้นเย่ เวลา 23.00 - 00.00 น.

╰┈➤ สืบข้อมูลชุดที่ 3 


ลมค่ำพัดผ่านเข้ามาในลานศาลเจ้าที่เงียบงัน กลิ่นฝุ่นและใบไม้แห้งลอยคลุ้งในอากาศ เสียง “กรอบแกรบ” ของกิ่งไม้กระทบกันเหนือศีรษะราวกับเสียงกระซิบจากอดีต เสวี่ยซียืนอยู่ใต้เงาเสาหินเก่า 


เขาเงยหน้ามองแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหลังคาแตกของศาลเจ้าเข้ามาเป็นลำ ๆ ร่วงลงบนพื้นหินแตกร้าว รูปปั้นหลัวซาที่เหลืออยู่เพียงครึ่งตัวดูราวกับกำลังจับจ้องมาที่เขาด้วยนัยน์ตาที่ไร้แววแต่กลับแฝงความขมขื่นของกาลเวลา


“ที่นี่… เคยเป็นที่รวมใจของชาวฉางอันจริงหรือ…” เสียงกระซิบของเขาเบาราวลมหายใจ ดวงตาอำพันทอดมองรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เขาไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเสียงดัง เพราะเพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็อาจสะท้อนก้องในความเงียบของที่แห่งนี้


ในมุมหนึ่งของลาน มีแท่นบูชาหินแตกครึ่งหนึ่ง ฝุ่นจับหนา แต่ยังเห็นร่องรอยของเครื่องสักการะเก่าที่ถูกวางทิ้งไว้นานจนกลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน เสวี่ยซีเดินเข้าไปช้า ๆ ใช้ปลายนิ้วแตะลงบนพื้นเย็นเฉียบ


“ศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวย” เขาพึมพำชื่อสถานที่ด้วยน้ำเสียงแผ่ว เหมือนเรียกสิ่งที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง


มีเพียงเสียงลมพัดลอดช่องกำแพงที่พังเป็นรูตอบกลับมา ลมพัดทำให้ประตูไม้เก่าที่เอียงอยู่ข้างศาลส่งเสียง “อี๊ด…อ๊าด…” เบา ๆ คล้ายเสียงคร่ำครวญของวิญญาณที่ยังคงวนเวียนอยู่


เสวี่ยซีขยับกายไปแอบหลังเสาหินใหญ่ที่แตกครึ่ง เขาเลือกตำแหน่งที่มองเห็นลานได้ชัดแต่ซ่อนตัวจากสายตาผู้มาเยือนได้ดี ร่างบอบบางค่อย ๆ ย่อตัวลงจนแนบชิดพื้น มือหนึ่งจับชายผ้าคลุมอีกมือกำพัดเล็กไว้แน่นอาวุธเพียงชิ้นเดียวที่เขาพกติดตัว


หัวใจของเขาเต้นช้าลงอย่างเป็นจังหวะ สายตาคมหรี่มองไปรอบ ๆ อย่างอดทน ลมหายใจแผ่วเบา รอเวลา รอจังหวะ รอเสียงฝีเท้าของผู้ที่เขาตามหา


เขาคิดในใจ “พวกมันต้องมีที่ซ่อน หรือที่พบปะกันใกล้แหล่งน้ำ… และศาลเจ้าแห่งนี้ อยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำเว่ย”


เสวี่ยซีเงี่ยหูฟัง เสียงแมลงกลางคืนร้องระงม แต่อีกแว่วหนึ่งคล้ายเสียงฝีเท้าลากเบา ๆ จากด้านหลังศาล เขาชะงัก หัวใจเต้นแรงขึ้น แต่ยังไม่ขยับ รีบก้มหลบต่ำลง


เสียงนั้นค่อย ๆ ดังขึ้น


เหมือนใครบางคนเดินลากเท้าอย่างช้า ๆ เข้ามาในลานศาลเจ้า เสวี่ยซีจับลมหายใจแน่น ไม่กล้าแม้แต่จะกลืนน้ำลาย



โรลจนกว่าจะเลขไบต์สุดท้าย 0/4/7

ได้เลข 4

เปิดดันเจี้ยนประลองปัญญาครับ

แสดงความคิดเห็น

เปิด [ภารกิจ] หลบนักฆ่า  โพสต์ 2025-10-9 12:48
โพสต์ 13714 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-8 13:51
โพสต์ 13,714 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-10-8 13:51
โพสต์ 13,714 ไบต์และได้รับ +2 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก ชุดวสันต์ลีลา  โพสต์ 2025-10-8 13:51
โพสต์ 13,714 ไบต์และได้รับ +5 EXP +4 คุณธรรม +4 ความโหด จาก คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง  โพสต์ 2025-10-8 13:51
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3
โพสต์ 2025-10-12 11:22:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 6 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโฉ่ว เวลา 01.00 - 03.00 น.

╰┈➤ สืบข้อมูลชุดที่ 3 (สำเร็จ)


เสวี่ยซีหน้าแข็งทื่อ ใจแทบระเบิด เสียงฝีเท้าของกลุ่มคนชุดดำเดินเข้าไปในลานศาลเจ้าเป็นจังหวะ เสียงผ้าซับที่ถูกลากบนพื้นหินดังเป็นจังหวะคล้ายกับการเคาะกลองเรียกสงคราม เขากลั้นหายใจแน่น ยืดร่างแนบกับแผ่นหลังของรูปปั้นหลัวซา หินเย็นกัดเข้าที่หลังจนความรู้สึกชา แต่ความกลัวกลับทำให้ทุกความรู้สึกเฉียบแหลมขึ้น


แสงจันทร์ส่องผ่านซากหลังคา ตัดเงาของพวกชุดดำให้ยาว ชายชุดดำคนแรกก้าวยาว ๆ หยุดตรงแท่นบูชา หย่อนมือหนึ่งลงบนแผ่นหิน กลุ่มที่เหลือกระจายตัวเป็นวงเล็ก ๆ เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้น เหมือนเสียงแมลงกลางคืนผสานกับลมหายใจ


“ค่ำคืนนี้เป็นค่ำสุดท้ายของต้าซือถู” เสียงหนึ่งทุ้มต่ำ เหมือนก้อนหินกลิ้งในลำคอ พูดชัดถ้อยชัดคำ ดังก้องในลานศาลเจ้าอย่างน่ากลัว “คราก่อนเรารื้อครอบครัวของมันจนสิ้น แต่ดันดวงดีมันหนีจากซากนั้นกลับมาได้ยังไงก็ไม่รู้ กลับมาซ่อนตัวในฉางอัน”


เสียงหนึ่งตอบกลับ มีความเกรี้ยวกราด “ครั้งนั้นพวกเราทำตามคำสั่งนายท่านด้วยความเด็ดขาด คราวนี้จะไม่มีพลาด ไม่มีข้อแก้ตัว”


เสวี่ยซีแนบแก้มแนบกับรอยเกรอะกรังของรูปปั้น พยายามไม่ให้ลมหายใจปะทุจนพวกเขาได้ยิน หัวใจเต้นรัวเหมือนกลอง เสียงพูดคุยนั่นช่างเย็นเยียบและแน่วแน่จนหนาวไปทั้งตัว เขาจดจำคำพูด พยายามเรียบเรียงในหัวว่าอะไรคือข้อมูลชิ้นสำคัญบ้าง


“นายท่านไม่พอใจนัก” คนชุดดำอีกคนพูด น้ำเสียงทั้งข่มขู่และภาคภูมิใจ “ส่งคนไปถึงจวนรองผู้ว่าฉางอันแล้ว ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับตระกูลตงฟางจะถูกสับทิ้ง หรือถูกขจัดร่องรอยให้สิ้นเชิง”


คำว่าขจัดร่องรอย ดังขึ้นในความคิดของเสวี่ยซีเหมือนเสียงฆ้อง เขารู้สึกคลื่นประหลาดไหลขึ้นสู่อก ความโหดเหี้ยมของคำพูดทำให้ลมหายใจเย็นเยียบกว่าเดิม แต่สิ่งที่ทำให้เขาแทบนิ่งคือประโยคต่อมา


“อย่าให้ใครพบเบาะแส เราจะทำให้เหมือนอุบัติเหตุ เหมือนโชคร้ายของคนธรรมดา” เสียงสั่งของใครคนหนึ่งเยือกเย็นและราบเรียบ มีความมั่นใจในแผนการอย่างน่ากลัว


เสวี่ยซีกัดริมฝีปาก เขาไม่มีความรู้เรื่องการก่อการร้ายหรือกลวิธีซับซ้อน แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้แน่คือ พวกนี้ไม่ใช่กลุ่มธรรมดา พวกเขาคือมืออาชีพและมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังที่ให้คำสั่ง บทสนทนานี้ไม่ใช่ขู่ลม แต่เป็นการจัดเตรียมสังหารที่จงใจจะลบทุกเส้นทาง


“คราแล้วคราเล่า พวกมันคิดว่าการล้างบางคือการถอนราก แต่ลืมไปว่าบางรากฝังลึกในดิน” คนชุดดำคนหนึ่งหัวเราะแหบ เป็นเสียงที่ทำให้เสวี่ยซีรู้สึกเหมือนได้กลิ่นสนิมของอาวุธ “คราวนี้… เราจะทำให้แน่ใจว่าไม่มีใครลุกขึ้นมาอีก”


กลุ่มหัวเราะแผ่ว ๆ เป็นเสียงที่เย็นยะเยือก เสวี่ยซีรู้สึกเหมือนใบไม้แห้งในอกตัวเองค่อย ๆ แตกสลาย ความหวังที่เขาจะปกป้องผู้เป็นอาจารย์และผู้ที่รักทวีคูณจนกลายเป็นความร้อนลุกเป็นไฟในอก แต่ไฟนั้นเผาเป็นความกลัวและความกระวนกระวาย เขายังเด็ก และอันตรายใหญ่โตเกินกว่าที่เขาจะจัดการคนเดียว


หยาดหยดน้ำเย็นไหลจากปลายผมโดนไหล่ เขาเอนพิงรูปปั้นมากขึ้น พยายามปรับตำแหน่งตัวให้มองเห็นใบหน้าของชายชุดดำที่ยืนกลางลาน คนคนนั้นกำลังชี้นิ้วชี้ไปยังรูปแบบบางอย่างบนพื้นหิน เห็นได้ว่าพวกเขากำลังวางแผนกำหนดตำแหน่ง และแบ่งบทบาท


“คนของเราจะปลอมเป็นคนงานในงานเลี้ยง” เสียงคนเดิมว่า แต่คำพูดที่ตามมาทำให้เสวี่ยซีขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าข้อความนั้นสำคัญ แต่คำต่อไปถูกพูดอย่างห้วนกระทบกับลม 


ลมพัดแรงขึ้น ใบไม้แห้งถูกร่อนลงจากต้น เงารูปกิ่งไม้โยกไหวบนผิวที่เปื้อนฝุ่น พวกชุดดำจึงยุติการประชุม มองหน้ากันเล็กน้อย แล้วเริ่มเคลื่อนตัวออกเป็นกลุ่ม หลายคนหายเข้าไปในซอกมุม ลับหายไปสู่เงามืด เสวี่ยซียังคงแนบกายกับรูปปั้น รอจนกลุ่มคนหายไปเสียจนลมหนาวกลับสงบลงอีกครั้ง


เขาเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ขยับปีกผ้าคลุมให้แนบตัว ยกมือจับชายผ้าที่เปรอะฝุ่น ถือสติให้มั่น เสียงในอกยังดังไม่หยุด เขาต้องทำอะไรสักอย่าง ต้องรีบนำข่าวไปให้ใครสักคนที่สามารถจัดการได้ แต่ใครจะเชื่อชายหนุ่มตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง? ใครจะกล้ารับความเสี่ยงหนักหนาที่จะขวางทางพวกนี้?


ความคิดวิ่งวุ่นในหัว เสวี่ยซีจำได้ถึงคำพูดของเมี่ยวหลิงหอจิวหลิ่งอินแหล่งข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดในฉางอัน เมี่ยวหลิงคงช่วยได้ แต่การจะกลับไปในตอนนี้ย่อมไม่ปลอดภัย 


เขาค่อย ๆ ลุกขึ้น ย่อตัวแนบพื้น ก้าวไปยังมุมที่ห่างจากบันไดคนลงใต้ดิน เขาต้องแน่ใจว่าร่องรอยการมีตัวตนของเขาจะไม่ถูกพบ จึงหยิบเศษผ้าก้อนหนึ่งจากพื้น มาเช็ดฝุ่นที่มือและข้อมือ พยายามลบกลิ่น และปรับท่าทีให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


เมื่อทุกอย่างสงบ เสวี่ยซีค่อย ๆ เลื้อยออกจากที่หลบ เขาต้องการเวลาไม่กี่ชั่วหายใจเพื่อคุมอารมณ์ ก่อนจะหันหลังและเดินกลับไปยังทางที่จะนำเขาออกจากศาลเจ้าโดยไม่ให้ผู้ใดสงสัย แต่ก่อนจะก้าวพ้นแนวรูปปั้น เสี้ยวหนึ่งในหางตาเห็นเครื่องหมายบางอย่างบนพื้นหิน ขนาดเล็กจนแทบมองข้ามไปได้ หากไม่ใช่ความตั้งใจของตาเขาอาจจะมองไม่เห็น


มันเป็นรอยขีดบาง ๆ ที่ดูเหมือนถูกขูดไว้ด้วยของแหลม รอยนั้นเล็กจนอาจเป็นร่องรอยจากการวางแผน หรือสัญลักษณ์ที่พวกเขาทิ้งไว้เพื่อใช้เป็นจุดสื่อสาร เสวี่ยซีโน้มตัวลง คลานไปใกล้ ๆ มากขึ้นเพื่อมองให้ชัด


หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อความรู้สึกกำลังบอกว่าร่องรอยนั้นสำคัญ เขาจดจำภาพไว้ในใจตำแหน่ง ลักษณะ รูปร่างทุกอย่างจะถูกเขียนเป็นบันทึกในหัว หากเขายังมีเวลาจะกลับไปเก็บหลักฐานนี้เป็นพยาน





กลั้นหายใจใส่มือสังหาร

(ชนะ)



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 25173 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-12 11:22
โพสต์ 25,173 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-10-12 11:22
โพสต์ 25,173 ไบต์และได้รับ +4 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +4 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ชุดวสันต์ลีลา  โพสต์ 2025-10-12 11:22
โพสต์ 25,173 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +9 คุณธรรม +9 ความโหด จาก คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง  โพสต์ 2025-10-12 11:22
โพสต์ 25,173 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +15 คุณธรรม +15 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2025-10-12 11:22
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3
123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้