[บันทึกการเดินทาง] : เงามังกร รอยจิ้งจอก (หลงอิ๋งหูจง)

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2025-7-22 02:59





ภาพตัวอย่าง


ภาพตัวอย่าง
สวรรค์ไร้เสียง แต่ไม่ไร้เจตนา เมื่อโชคชะตาไม่อาจสื่อคำ มันย่อมเลือกผู้ที่ใจผูกไว้มั่น จากนิมิตแห่งกงจู่ สู่วิถียาวไกลข้ามแคว้น สู่เจียงหนานที่ปีศาจชั่วกำลังคุกคาม นี่คือบททดสอบที่ต้องฝ่าฟัน เพื่อรวมใจสองดวงให้กลายเป็นหนึ่งเดียว




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 7101 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2025-6-22 16:39

18

กระทู้

224

ตอบกลับ

1954

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
2
ตำลึงทอง
79
ตำลึงเงิน
1510
เหรียญอู่จู
37192
STR
53+7
INT
70+0
LUK
6+2
POW
74+5
CHA
97+27
VIT
25+7
‘ หลี่ผู่เยว่ • 李谱月 ’
เลเวล 1
คุณธรรม
9964
ความชั่ว
724
ความโหด
5121
โพสต์ 2025-6-23 04:51:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2025-6-23 06:20

第一页的记录

วันที่หนึ่ง · แรกเริ่ม
สามสิบเอ็ด อู่เยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 | กลางดึก

การเดินทางครั้งนี้ ไม่ง่าย

แม้จะไม่มีผู้ติดตามหรือขบวนใหญ่โตให้ต้องรำคาญใจ แต่การไปกับฮั่นอู่ตี้แค่สองคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ใครคิด ถึงจะรู้ชัดแล้วว่าควรเร่งเดินทางไปสมทบกับพระพี่นางที่มณฑลซูโจวแต่กำหนดการเดินทางกลับถูกดึงจนล่าช้าอย่างไร้เหตุผล อันที่จริงจะกล่าวว่าไร้เหตุผลทั้งหมดก็คงไม่ได้ ฮั่นอู่ตี้สามีนางมีอำนาจคับฟ้า การจะออกเดินทางแต่ละคราย่อมต้องเตรียมการให้พร้อม ต่อให้คิดลักลอบออกไปอย่างเงียบ ๆ ก็ยังไม่สามารถทำได้ในทันที

ใครใช้ให้ฐานันดรของฝ่ายชายสูงส่งถึงเพียงนั้น แผ่นดินไม่อาจขาดการดูแลจากโอรสสวรรค์ ทุกเรื่องสำคัญควรต้องได้ผ่านตาฝ่าบาท แต่บัดนี้ หวงตี้ดีเด่นที่ไม่ไหวหวั่นมาตลอดรัชสมัยกลับต้องการตามชายาสุดที่รักไปยังซูโจว ต่อให้เป็นคนไร้สมองก็ยังรู้ว่าเรื่องนี้ทำได้ไม่ง่าย โชคดียังดี (หรืออาจจะไม่) ที่ฝ่าบาทยังมีน้องชายอยู่อีกหนึ่งรายที่ไม่ใช่ฉางซานเซียนหวาง

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมชิงหมิงผู้นั้นที่.. คล้ายคลึงกับฝ่าบาทอยู่หลายส่วน

“ผู่เยว่ เดินทางครั้งนี้แค่เดินทางก็ไม่ต่ำกว่าสิบวัน หากเว่ยเจียเสียนอี๋กลับมาถึงฉางอันในตอนที่เปิ่นกงไม่อยู่ เจ้าจงมอบจดหมายฉบับนี้ให้กับนาง” แม้ไป๋หรั่นจะไม่ทราบรายละเอียดข้อตกลงของพี่น้องแซ่หลิวและไม่กระจ่างในความสามารถของเถ้าแก่ผู้นั้น แต่ความร้ายกาจของเว่ยเจียเสียนอี๋ ไป๋หรั่นรู้ดียิ่งกว่าใคร —- ‘เด็กคนนั้นฉลาดเกินใครมาตลอด หากผิดสังเกตขึ้นมา เสี่ยวเหลียนฮวาคงกลายเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ กลับกัน.. หากมีนางคอยเป็นเสียงสนับสนุน การมีอยู่ของเขา คงง่ายขึ้นไม่ใช่น้อย’

ถึง—เสี่ยวเหลียนฮวา

เด็กดีของเจี่ยเจีย,

ยามลมเปลี่ยนทิศ ย่อมมีผู้เคลื่อนไหว

แม้ใจจะปรารถนาต้อนรับการกลับมาของเจ้าด้วยตนเอง แต่ฤดูกาลในซูโจวมิอาจนิ่งนอนใจ — ฝั่งฟ้ายังพร่ามัว เจี่ยเจียจำต้องตามเงาผู้แทนโองการฟ้า บัดนี้หากพบคนผู้หนึ่งในคราบมังกร จงจำไว้ว่าเขาเป็นผู้ครองบทบาทที่ถูกกลั่นจากความจำเป็น เส้นด้ายถูกขึงไว้แล้ว เจี่ยเจียได้แต่ฝากฝังเจ้าร่วมแสดงละครฉากนี้ร่วมกันกับเขา อย่าให้ผู้ใดแลเห็นเงื่อมสายก่อนเวลา และเมื่อม่านปิดลง เจี่ยเจียจะรีบกลับไปยืนเคียงเจ้า

—ลู่เจี่ยเจีย

“แล้วก็”

ยังมีอีกฉบับที่นางต้องส่ง

ซ่างกวนฝูมี่ ดวงตาคู่งามของอัครเทวีหม่นลงเมื่อนึกถึงกวางน้อยที่ยังไม่ได้สติ เด็กคนนั้นเข้าวังมาได้ไม่ทันไรก็ล้มป่วยด้วยโรคประหลาดจนกลายเป็นที่ครหาของคนไปทั่วว่าอาจเป็นคำสาปหรือไม่ก็มนต์ปีศาจ ‘เด็กคนนั้นหากตื่นมาคงเสียขวัญไม่น้อย.. ไปซูโจวครั้งนี้คงต้องหาของบำรุงร่างกายติดมือกลับมาให้นางสักหน่อย’

อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณบางอย่าง ไป๋หรั่นเชื่อว่าอีกไม่นาน นางก็คงตื่น

“ฉบับนี้เป็นของซ่างกวนเหม่ยเหริน”

“แต่ว่า—”

“มอบให้เมื่อนางตื่น ส่งถึงมือให้เร็วที่สุด”

ถึง—มี่เอ๋อร์

ยังไม่ทันได้เห็นหน้าน้อย ๆ นั้นสักครา เจ้าหนีหน้าเข้าสู่นิทราเสียก่อนแล้ว มี่เอ๋อร์ วังหลวงนั้นเต็มไปด้วยผืนม่านที่อำพรางซ่อนเร้นพิษ แม้นยามนี้เจี่ยเจียจะมิได้อยู่คอยคุ้มภัยให้เจ้า แต่ก็ยังมีคนผู้หนึ่งที่เจี่ยเจียวางใจ ขอเพียงเจ้ามองให้ดี ย่่อมต้องพบคนคุ้นเคย หากวันใดที่จวนตัวจนไร้ทางเลือก จงจำไว้ว่านางคือด้ายเส้นหนึ่งที่อาจพาเจ้าผ่านพ้นภัยไปได้

ทว่าอีกสิ่งที่เจ้าควรรู้คือ — ฟ้าครามที่เห็น อาจมิใช่ท้องฟ้าที่แท้จริง ผู้ซึ่งแต่งองค์ดั่งหวงตี้อาจมิใช่ผู้ถือครองบัลลังก์ ยามใดที่มิอาจแน่ใจ จงอย่ารีบร้อนเคียงข้างใคร จนกว่าประกาศิตผู้จริงแท้จะมาถึง หรืออย่างน้อยจนกว่าเจี่ยเจีย.. จะกลับไปที่นั่น

มี่เอ๋อร์ — เด็กน้อย เจ้าอยู่ในห้วงคะนึงของเจี่ยเจียเสมอ

แต่การพบเจ้า ณ สถานที่ที่มีแต่เสาหยกกำแพงทอง… กลับเป็นสิ่งที่เจี่ยเจียไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นเลย

เสี่ยวฝูมี่ ผู้มีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง

หากยังหายใจอยู่ ก็จงรักษาตนให้คงอยู่เช่นนั้นเถิด

—ลู่เจี่ยเจีย

“สองฉบับนี้จำเป็นต้องถึงมือทั้งสอง เปิ่นกงวางใจให้เจ้าเป็นผู้ส่งด้วยตนเองเท่านั้น ต่อให้มีคำครหาว่าลอบติดต่อก็อย่าได้สนใจ ขอแค่จดหมายถึงมือพวกนางก็พอ” โฉมงามแซ่ลู่กำชับเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเสียงเบาหวิวพลางลดมือลงลูบอาภรณ์เซวียนอวี้ที่ได้มาตั้งแต่ขึ้นเป็นกุ้ยเฟย —- ลำพังเดินทางไกลก็มีเรื่องให้ห่วงมากพอแล้ว ตอนนี้มีทั้งลูก มีทั้งน้อง ใช่ว่าจะมีแค่น้องสาวของตัวเอง น้องชายของสามีก็อยู่ในรายชื่อคนที่นางห่วงด้วยซ้ำ

ไป๋หรั่นหนอ ไป๋หรั่น เกิดเป็นเจ้านี่ไม่ง่ายเลย

“ผู่เยว่ อย่าลืมเรื่องที่กำชับไว้ล่ะ”

ดวงหน้างามของโฉมสะคราญแห่งยุคหันมองนางกำนัลข้างกายแค่เพียงน้อยก่อนจะหยักยิ้มบาง “สุดท้ายแล้วเขาต้องรู้แน่ว่าฝ่าบาทมิได้อยู่ในวัง ระหว่างนี้คงเป็นโอกาสให้สร้างเรื่องได้มากมาย เปิ่นกงไม่สนว่าเขาจะทำสิ่งใด แต่อย่าให้เขายุ่งกับเด็ก ๆ มากเกินไป” รอยยิ้มอ่อนหวานตรงข้ามกับความเด็ดขาดในน้ำเสียง ไป๋หรั่นเอื้อมมือไปหยิบธนูไม้จันทร์บนโต๊ะขึ้นง้างสายช้า ๆ

“เก็บงูพิษไว้ใกล้ตัว” มือบางปล่อยออก เสียงสายธนูแหวกอากาศดังกังวานไปทั่วเรือน “ก็ต้องรู้วิธีตีให้ตาย”

“ทราบแล้วเพคะ” หลี่ผู่เยว่ยอบกายรับคำสั่งโดยไม่คัดค้าน นางกำนัลผู้มากประสบการณ์หันมองไปนอกหน้าต่างตามนายหญิง ก่อนจะพบร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีทมิฬเดินฝ่าความมืดมิดยามราตรีเข้ามาใกล้ตัวเรือนมากขึ้นเรื่อย ๆ ‘กระทั่งฝ่าบาทก็ยังมาถึงแล้ว..’

“พระชายายังต้องการให้หม่อมฉันแจ้งแก่พระโอรส และพระธิดาอย่างที่ทรงฝากฝังไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่เพคะ”

“อืม บอกไปว่าเปิ่นกงมีธุระที่ลั่วหยาง อีกอย่างช่วงนี้เสด็จพ่อของพวกเขาป่วย อย่าอยู่ใกล้ให้มากหากไม่อยากนอนซม” ไป๋หรั่นขยับคันธนูขึ้นสะพายไหล่พร้อมใช้มืออีกข้างหยิบหมวกไผ่ผ้าคลุมและห่อสัมภาระ ก่อนจะหันไปทางชายที่ปรากฏกายพร้อมแสงจันทร์ “คุณชายท่านนี้มาเยือนเรือนสตรีเสียดึกดื่น ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือไม่?”

แค่ก

ไม่ใช่เสียงนางหรือเขา แต่เป็นหลี่ผู่เยว่ที่สำลักอยู่ด้านหลังจนหน้าแดงก่ำ ด้านคุณชายปริศนาที่ก้าวมาอย่างสุขุมเองก็ถึงกับชะงัก คิ้วเรียวบนใบหน้างามดั่งรูปสลักของผู้มาใหม่ยกขึ้นช้า ๆ “เหตุใดจึงมาไม่ได้” เสียงที่คุ้นเคยดังตอบพร้อมระยะห่างที่ลดลงอย่างรวดเร็ว —- ฮั่นอู่ตี้ · หลิวเช่อ กวาดสายตามองตลอดทั้งร่างของชายาก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

“มาเถอะ” พระหัตถ์ของโอรสสวรรค์ยื่นออกมารอรับมือของภรรยา “ไปกับข้า”

และหากถามว่าลู่ไป๋หรั่นตอบรับอย่างไร?

นางปีนหน้าต่างออกไปจากเรือนท่ามกลางสายตาตกตะลึงของนางกำนัลคนสนิทและเสียงหัวเราะในลำคอของสามีที่ยื่นสองแขนออกมารับกายนางได้อย่างทันท่วงที “เด็กโง่” เสียงของเขาพึมพัมอยู่เหนือศีรษะนาง ดวงตาคมเหลือบมองพยานเพียงหนึ่งเดียวในการลักพาตัวชายาเพียงครู่ก่อนจะหลุบลงมองคนในอ้อมแขน “เอะอะก็หาเรื่องเสียแรงเปล่าประโยชน์ คงต้องผูกเจ้าไว้กับม้า”

เดินทางร่วมกับเผด็จการตัวฉกาจแห่งแผ่นดิน

แหม น่าสนุกจริง ๆ (เสียงเรียบ)

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 20159 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2025-6-23 04:51
โพสต์ 20,159 ไบต์และได้รับ +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ธนูไม้จันทน์  โพสต์ 2025-6-23 04:51
โพสต์ 20,159 ไบต์และได้รับ +2 ความโหด จาก กระบอกธนู  โพสต์ 2025-6-23 04:51
โพสต์ 20,159 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +15 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2025-6-23 04:51
โพสต์ 20,159 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-6-23 04:51
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณจิ้งจอกสวรรค์(ไม้)
เสน่ห์ฟ้าประทาน
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x2
x6
x5
x2
x4
x8
x2
x4
x1
x11
x10
x3
x4
x16
x3
x5
x4
x1
x7
x6
x4
x11
x4
x1

18

กระทู้

224

ตอบกลับ

1954

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
2
ตำลึงทอง
79
ตำลึงเงิน
1510
เหรียญอู่จู
37192
STR
53+7
INT
70+0
LUK
6+2
POW
74+5
CHA
97+27
VIT
25+7
‘ หลี่ผู่เยว่ • 李谱月 ’
เลเวล 1
คุณธรรม
9964
ความชั่ว
724
ความโหด
5121
โพสต์ 2025-10-11 05:22:45 | ดูโพสต์ทั้งหมด

第二页的记录

วันที่สาม · มือ(สั่ง)สังหาร
สาม อู่เยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 | ไม่ทราบเวลาแน่ชัด

ป่าไม้ ทุ่งหญ้า ท้องนภา และสายลม —- นางเสียสิ่งเหล่านี้เพียงเพราะต้องฝากกายไว้ใต้เงาเขามังกร กุ้ยเฟยแล้วอย่างไร เป็นที่โปรดปรานแล้วอย่างไร เป็นใหญ่เหนือสามวังหกตำหนักแล้วอย่างไร มือขาวดั่งหยกยกขึ้นรับใบหลิวที่ร่วงมาจากฟ้า ตาคู่งามหรี่ลงมองใบไม้ที่หยุดพักบนมือนางพลางถอนหายใจ ราวกับรู้ว่าหากรั้งอยู่นานกว่านี้คงไม่พ้นถูกพับคลึงเล่น หลิวใบน้อยที่แต่เดิมนอนนิ่งจึงเริ่มขยับพลิกไปมาก่อนจะปลิวหายไปกับสายลม

ตกดึกกลางป่าเขา กลายเป็นเราที่ใจหาย

จิ้งหรีดกู่ร้องฉลองคิมหันต์ แสงจันทร์ส่องผ่านหมู่เมฆหนา สองตาเหลือบไปทางชายป่า กลับกลายเป็นว่าพบแค่เพียงความว่างเปล่า สามวันแล้ว ทั้งที่ออกเดินทางมาได้สามวันแต่กลับยังไม่ถึงแม้แต่ชายขอบของเมืองลั่วหยาง ใช่ว่าพวกนางเดินทางช้า —- ถึงจะอาศัยม้าหนึ่งตัวรองรับน้ำหนักของคนสองคน แต่ม้าที่ใช้ก็เป็นถึงม้าเหงื่อโลหิต ดังนั้นจะบอกว่าเชื่องช้าเพราะน้ำหนักก็คงเป็นไปไม่ได้

ฝ่าบาทแม้จะไม่ได้รีบร้อนแต่ก็ไม่ได้อืดอาด ที่แวะพักริมทางก็มีไม่มาก แต่ทำไม.. ‘หรือเขาคิดเลี่ยงการเข้าเมือง?’

กิ่งไม้ในมือยื่นเข้าเขี่ยไฟกองเล็ก ๆ ตรงหน้าจนเปลวไฟสั่นไหว คิดแล้วก็เจ็บใจ หากเป็นแต่ก่อนกับอีแค่ค้างแรมกลางป่ามีหรือที่นางจะวิตกกังวลจนเผลอคิดฟุ้งซ่าน? ระยะทางฉางอันถึงลั่วหยาง หากควบม้าด้วยความเร็วเต็มกำลังใช้เวลาแค่สามวันก็เกินพอแต่ฮั่นอู่ตี้กลับยืดเวลาเดินทางออกไปอย่างไร้สาเหตุ ลำพังใช้ม้าตัวเดียวก็พิลึกพอแล้ว มือบางยกขึ้นคลึงขมับเมื่อนึกถึงตอนที่สามีจูงม้าเหงื่อโลหิตตัวโตออกมารับนางด้วยสีหน้ามาดมั่น ‘พาไปแค่มัน’ สั้น ๆ หนึ่งประโยค แต่แลกมากับการที่นางต้องนั่งหลังคดหลังแข็งตลอดสามวันเพราะไม่กล้าปล่อยตัวเอนพิงกับอกเขา

ไม่รู้ว่าฝ่าบาทคิดอะไรอยู่ถึงได้ตัดสินใจทรมาณม้า (และนาง) ด้วยวิธีนี้ ‘ช่างเถอะ ออกมาแล้วจะคิดมากไปอีกทำไม…’ ผู้งามดั่งเทพธิดาเอนหลังลงกับต้นไม้ใหญ่ แขนข้างนึงวางพาดไว้บนหน้าท้อง ส่วนอีกข้างก็กำกิ่งไม้สำหรับเขี่ยกองไฟแน่น เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านซ้าย เปลือกตาของนางขยับเล็กน้อยด้วยความสนใจ

‘ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทไปทางขวา..’ ยังไม่ทันคิดให้จบ สี่ทิศรอบกายก็รายล้อมไปด้วยคนชุดดำ

กิ่งไม้ในมือนางหักดังเป๊าะ

ไป๋หรั่นหลุบตามองเศษซากไม้ในมือก่อนจะสะบัดมันทิ้ง สีหน้าของคนงามไม่สั่นคลอนสักเสี้ยว แม้ใจจะกรีดร้องออกมาเป็นทำนองของความสิ้นหวังแล้วก็ตาม “พี่ชายทั้งหลาย ต้นไม้ต้นนี้เป็นเปิ่นเสี่ยวเจี่ยจองไว้แล้ว” หญิงงามกลางเงาดำเอ่ยเสียงเรียบพลางขยับศีรษะพิงลำต้นไม้ใหญ่ “หรือแม้แต่ต้นไม้ก็ยังต้องข่มขู่เอาจากสตรีที่ไร้กำลัง?”

ไม่มีคำตอบ มีเพียงอาวุธที่ถูกนำออกจากที่ซ่อน

“...”

ชีวิตหนอชีวิต ออกจากวังทองคำได้ไม่ทันไรก็กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของสังคมที่โหดร้ายนี้เสียแล้ว สตรีงามในอาภรณ์ขาวสลับครามไม่ขยับ ไม่กรีดร้อง แต่ถึงอย่างนั้นสองไหล่ก็ขดเกร็งราวกับพร้อมที่จะคว้าสิ่งใดก็ได้รอบกายมาป้องกันตัวหากว่าอีกฝ่ายฟันดาบลงมาจริง ๆ

“ชายชู้ของเจ้าล่ะ?”

ชายชู้?

กระทั่งความหวาดกลัวก็ยังหายไป ไป๋หรั่นกะพริบตาช้า ๆ ก่อนจะทวนคำ “ชายชู้?”

“ใช่ เจ้าอัปลักษณ์ที่มากับเจ้า”

นั่นเขารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดถึงใคร?

จะว่าเวทนาก็ใช่ สมเพชก็ถูก

ตลอดชีวิตไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ไป๋หรั่นเผลอแสดงกิริยาที่ไม่งาม แต่ในครั้งนี้จะใช้คำว่าเผลอก็คงไม่ได้ ในเมื่อนางอ้าปากค้างด้วยความตั้งใจ คนเหล่านี้เชื่อว่านางเดินทางมากับชายชู้ ‘เจ้าพวกสมควรตายเหล่านี้คิดว่าเปิ่นกงโง่ขนาดไหนกันแน่?’ ในสามวังหกตำหนักไม่มีใครที่ใหญ่ไปกว่านาง ทุกลมหายใจไม่ว่าจะเข้าหรือออกล้วนแต่ต้องแบกน้ำหนักของการเป็นกุ้ยเฟยไว้บนบ่า แต่พวกเขากลับกล้ากล่าวว่านางมีชายชู้?

ไป๋หรั่นถอนหายใจเมื่อเห็นคมดาบเล่มโตสะท้อนเล่นกับแสงจันทร์ราวกับเครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่ไร้พิษภัย ดาบที่แขวนไว้ถูกดึงออกจากฝัก ชี้ตรงไปยังร่างที่พิงกับต้นไม้ “หึ อมพะนำเช่นนั้นต่อไปเถิด อย่างไรเสียวันนี้ก็เป็นตายของพวกเจ้าทั้งคู่” เหล่านกบนรังพากันโผบินขึ้นฟ้าทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาออกล่าอาหารราวกับไม่ปรารถนาจะเป็นพยานให้การตายอนาถของนางผู้งามพอจะล่อลวงมังกร

“.. จะให้เปิ่นเสี่ยวเจี่ยสิ้นใจเสียตรงนี้ก็ย่อมได้”

แทนที่จะใช้มารยาล่อลวงบ่ายเบี่ยง หญิงงามใต้อาภรณ์ขาวยกมือขึ้นปัดไปมาราวกับกำลังสนทนาเรื่องลมฟ้า ก่อนจะกลั้นใจสานต่ออวาจาในครู่ต่อมาที่หนึ่งในร่างของชายฉกรรจ์เริ่มขยับ “พวกท่านอย่าเสียงดังไป ป่านี้มีสัตว์ทั้งเล็กและใหญ่ คงไม่ดีหากเรียกมันออกจากที่ซ่อน จริงสิ ตลอดชีวิต เปิ่นเสี่ยวเจี่ยมิเคยถูกลอบสังหารอุกอาจเช่นนี้มาก่อน มิทราบต้องกรีดร้องด้วยหรือไม่?” ทั้งที่พญามัจจุราชแทบจะโผล่มาอยู่ตรงหน้า แต่ความกล้าของโฉมยงเช่นนางกลับไม่ได้ลดน้อยลงเลย

“ปากดีนัก! พวกเรา ลุย!”

ดูท่าความอดทนของกลุ่มชายตรงหน้ายังจะมีน้อยเสียยิ่งกว่านางที่ใกล้จะถึงฆาต คนงามที่ถูกรั้งให้นั่งอยู่กลางวงล้อมได้แต่ยกสองมือขึ้นพนมเหนืออก “หากไม่ใช่ชายชู้อัปลักษณ์ที่มาช่วยก็ขอให้เป็นสามีรูปงามโผล่มาฟาดหัวตีก้นคนพาล” ราวกับชายที่หายหน้าไปนานรอฟังคำอ้อนวอนจากคนงาม ชายอัปลักษณ์ที่ร่วมหนีตามกันมาสะกิดปลายเท้าทะยานเข้ากลางวงล้อมของมือสังหารก่อนจะขยับมือข้างหนึ่งตามท่ามุทราและสะบัดแขนเพียงหนึ่งครา ละอองแสงสีทองอร่ามก็ซัดเข้าปะทะกับร่างทมิฬทั้งหลายจนกระเด็นออกไปไกล

“สมควรตาย” สุ้มเสียงอันเย่อหยิ่งดังขึ้นพร้อมเงาที่ทอดลงบังร่างบางของคนงาม ฮั่นอู่ตี้ในคราบจอมยุทธ์ปรากฏขึ้นคั่นกลางระหว่างนางและมือสังหารก่อนจะเอี้ยวหน้ามองมาทางนางด้วยหางตา “นอกจากข้า เจ้ายังกล้ามีชายใดอีก”

คำถามนี้.. มิใช่ว่าหลุดประเด็นเกินไปหน่อยหรอกหรือ? กระทั่งสถานการณ์ตัดสินเป็นตายเขายังเลือกถามนางด้วยคำถามไร้แก่นสารถ้าไม่ใช่ถูกอะไรกระทบศีรษะมาก็คงต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ แต่ในเมื่อคนถามยังถามออกมาได้โดยไม่ดูสถานการณ์ งั้นคนตอบเช่นนางก็กล้าที่จะให้คำตอบ

“ทั่วหล้านี้ บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นของข้า มีเพียงท่านเท่านั้น”

กร็อบ

ไม่รู้ว่าด้วยแรงรักหรืออาฆาต ลำคอของมือสังหารที่น่าสงสารถูกบีบจนผิดรูปอยู่ในมือของคนที่ค่อย ๆ ผินหน้าหันมามองนางพร้อมขยับปากตอบด้วยคำว่า “ออ” ก่อนจะโยนสังขารที่ไร้วิญญาณนั้นออกจากมือราวกับหุ่นที่พังเกินกว่าจะรักษาไว้ใช้งาน ไป๋หรั่นแม้จะไม่ใช่สตรีไร้เดียงสาแต่ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบแขนปลอบตัวเองช้า ๆ

แน่นอนว่าทุกการกระทำของภรรยาย่อมไม่มีทางเล็ดลอดไปจากสายตาของเขา ทว่าหลิวเช่อไม่คุ้นเคยกับความอ่อนโยน ยามคิดจะปลอบภรรยาจึงได้ผลออกมาเป็นการเปรยคำว่า “อย่ากลัว” ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไปพร้อม ๆ กับการสะบัดมือปัดดาบที่ฟาดลงมา แล้วอาศัยโอกาสที่ศัตรูพลาดท่าพลิกมาใช้ดาบของอีกฝ่ายสังหารอีกฝ่ายเสียเอง

ภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว สองมือขาวปานต้นหอมยกขึ้นปิดดวงตา หลิวเช่อที่ถนอมภรรยาปานมุกล้ำค่าเห็นเช่นนี้ย่อมต้องเร่งมือจัดการศัตรูตรงหน้า ทว่าต่อให้มือข้างหนึ่งจะกำลังยกขึ้นปัดทั้งอาวุธและฝ่ามือจากมือสังหารตรงหน้า มืออีกข้างของเขาก็ไม่พ้นบรรจงปลดผ้าคลุมไหล่ออกแล้วโยนผ้าคลุมสีนิลเนื้อดีลงคลุมร่างของภรรยาอย่างเงียบงัน

‘แม้แต่เลือดสักหยดก็ไม่ควรต้องถึงตัวนาง’

ภายใต้วิสัยทัศน์ที่มืดสนิท ไป๋หรั่นไม่มีความคิดที่จะขยับเขยื้อนหรือเคลื่อนไหวใด ๆ นางนั่งพับเข่าอยู่กับพื้นโดยมีสองมือปิดตาพร้อมกับสูดดมกลิ่นกายของชายผู้เป็นสามีที่ติดมากับผ้าคลุมประหนึ่งของปลอบใจ รอจนเสียงฝีเท้าและลมหายใจอื่น ๆ หมดไปถึงได้กลั้นใจค่อย ๆ ลดมือลงจับชายผ้าคลุมหมายจะปลดผ้า

พรึ่บ— แทนที่จะได้ปลดผ้ากลายเป็นว่านางกลับติดแหงกอยู่ใต้ผ้าคลุมไหมนิลตัวหนา เมื่อผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งจากการรบราตัดสินใจรวบกายบางมาไว้ในอ้อมแขนพลางกดหน้าซบลงบนบ่าเล็ก “เหตุใดจึงไม่ร้องให้ดังหน่อย” ไป๋หรั่นแม้ไม่ได้เห็นหน้าแต่ก็รู้ว่าชายที่กอดนางอยู่นอกผ้านั้นเป็นใครทำให้ความหวาดระแวงในใจเลือนหายไปจนแทบไม่เหลือ

“...หม่อมฉันแต่เล็กถูกสอนมาให้ระมัดระวังการพูดจา หากให้ร้องออกมาเกรงว่าจะไม่ถนัดจริง ๆ”

คำตอบของคนงามทั้งอ้อยอิ่งและใช้การไม่ได้ ถึงกระนั้นหลิวเช่อก็ไม่ได้ถือสา โอรสสวรรค์เพียงเค้นเสียงหึในลำคอออกมาเบา ๆ ก่อนจะช่วยปลดผ้าคลุมสีทมึนออกจากร่างบางพลางออกความเห็นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แล้วเหตุใดเจิ้นถึงจำว่าเจ้าเสียงดังนัก” คนตัวเล็กกว่าไม่ทันได้คิดให้รอบคอบก็อ้าปากตั้งท่าจะเถียง แต่พอได้สบสายตาเจ้าเล่ห์มากแผนการของชายตรงหน้าก็กลายเป็นหน้าร้อนขึ้นมาทันตา

“ฝ่าบาทคงไม่ได้หมายถึง..”

“นับว่าเสียงดังอยู่มากจริง ๆ”

หน้าไม่อาย! สองแก้มของคนงามแดงช้ำเสียยิ่งกว่าลูกอิงเถา แทนที่จะอยู่เฉยให้สามีได้โอบเข้าแนบอกนางกลับดิ้นไปมาเหมือนปลาที่กระโดดขึ้นจากบ่อจนคนตัวหนาได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอา โดยไม่คิดจะเสียเวลาหลิวเช่อรวบร่างเล็กขึ้นมานั่งบนแขนก่อนจะแบกนางเดินไปหาม้าคู่ใจที่ถูกไว้กับต้นไม้ริมลำธารทั้งที่คนงามยังดิ้นไปมาเป็นลูกปลาในกำมือ

แสดงความคิดเห็น

ในวันแวะพักเมือง ฝ่าบาทพากุ้ยเฟยที่รักเปิดห้องเพื่อจะให้นางได้พักผ่อนเต็มอิ่มสักครั้งก่อนจะเดินทางไกล   โพสต์ 2025-10-11 10:47
ถึงเมืองข้างหน้าทั้งสองแวะซื้อรถม้าเพื่อเปลี่ยนฐานะในฐานะพ่อค้า ก่อนฝ่าบาทจะตบก้นพูดกระซิบม้าเหงื่อ   โพสต์ 2025-10-11 10:47
โพสต์ 25379 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-10-11 05:22
โพสต์ 25,379 ไบต์และได้รับ +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ธนูไม้จันทน์  โพสต์ 2025-10-11 05:22
โพสต์ 25,379 ไบต์และได้รับ +2 ความโหด จาก กระบอกธนู  โพสต์ 2025-10-11 05:22
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณจิ้งจอกสวรรค์(ไม้)
เสน่ห์ฟ้าประทาน
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x2
x6
x5
x2
x4
x8
x2
x4
x1
x11
x10
x3
x4
x16
x3
x5
x4
x1
x7
x6
x4
x11
x4
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้