|
วันที่ 1 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามซวี เวลา 20.00 - 21.00 น. ╰┈➤ พบเจอโจวจิน
โรงชาเมฆาซ่อนจันทร์ตั้งอยู่ตรงหัวมุมตรอกตะวันตก ถนนสายเล็กทอดยาวคดเคี้ยวไปตามแนวกำแพงเมืองเก่า พลันเมื่อเดินผ่านประตูโค้งเข้ามา กลิ่นหอมอ่อนละมุนของใบชาที่เพิ่งถูกคั่วใหม่ก็โชยมาแตะจมูก เสียงหยดน้ำจากตุ่มหินข้างลานหน้าร้านดังเป็นจังหวะราวกับบทเพลงธรรมชาติ คล้ายจะต้อนรับแขกผู้มาเยือนทุกคน
อาคารโรงชาเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว มุงหลังคากระเบื้องเขียวเข้มที่ส่องแสงเงาเมื่อกระทบแดดยามบ่าย ด้านหน้าประดับม่านไหมลายเมฆเงินระริกตามแรงลม ชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าสู่แดนอีกภพหนึ่ง บรรยากาศเงียบสงบกว่าตลาดรอบข้างนัก จึงไม่แปลกที่ผู้คนทั้งชาวเมืองและพ่อค้าแวะเวียนมาพักผ่อนใจ
โจวจินเป็นผู้เลือกพาเสวี่ยซีมา เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าคนหนุ่มที่เดินทางมาด้วยกันตั้งแต่เช้าดูอ่อนล้าไม่ใช่น้อย “คุณชายเสวี่ยซี ดื่มชาสักหน่อยเถิด ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องชาดอกไม้” เสียงทุ้มของเขาเจือรอยยิ้ม
เสวี่ยซีมองรอบตัวเล็กน้อย ดวงตาที่มักจะระแวดระวังเสมอคลายลง เมื่อสัมผัสได้ถึงความสงบสุขในสถานที่แห่งนี้ เขาพยักหน้าเบา ๆ “ก็ดีเหมือนกัน กลิ่นชาหอมเสียจนท้องไส้ข้าโล่งขึ้น”
ชาดอกไม้ก็ถูกยกมาในกาเคลือบสีงาช้าง ละอองไอน้ำพวยพุ่งขึ้นเหนือถ้วยเล็ก โจวจินเป็นผู้รินน้ำชาให้โดยไม่รอให้เสวี่ยซีเอื้อมมือ เสวี่ยซีเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะยกถ้วยขึ้นจิบ รสหวานละมุนกับกลิ่นหอมที่กรุ่นอยู่ปลายลิ้นทำให้ริมฝีปากคลายออกเล็กน้อย
“คุณชายเสวี่ยซี” โจวจินเริ่มต้นสนทนาหลังจากปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านอาจมองว่าข้าเป็นพ่อค้าธรรมดาผู้หนึ่ง คิดเพียงหากำไร แต่แท้จริงแล้ว…ข้ามีความฝัน”
เสวี่ยซีเลิกคิ้ว เขามองโจวจินด้วยแววตาสงบ “ความฝันหรือ? พ่อค้ามักฝันเรื่องเงินทองมิใช่หรือ”
โจวจินหัวเราะแผ่ว สายตาเขาฉายแววซื่อตรงอย่างหาได้ยาก “ก็คงใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ข้าอยากเดินทางไปทั่วแผ่นดิน อยากเห็นภูเขา ทะเล และดินแดนที่ผู้คนยังไม่รู้จัก อยากเรียนรู้สินค้านานาชนิด ไม่ใช่เพียงเพื่อค้ากำไร หากแต่เพื่อสร้างชื่อเสียงและนำความภูมิใจมาสู่ตระกูล”
เสียงเขาแผ่วลงเล็กน้อย “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าเหน็ดเหนื่อยนัก กว่าร้านค้าจะตั้งมั่นได้ก็ผ่านความล้มเหลวมามากมาย บางครา…เกือบสูญเสียทุกสิ่ง”
เสวี่ยซีเงียบไปไม่ได้พูดแทรก แต่แววตากลับฉายความสนใจจริงจังขึ้น เขารินชาด้วยตัวเอง ยกขึ้นดื่มราวกับจะกลบความรู้สึกบางอย่างที่ไหวอยู่ในใจ
“แล้วท่านเล่า” โจวจินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ท่านมีความฝันหรือไม่ คุณชายเสวี่ยซี?”
เสวี่ยซีชะงัก เขาไม่ตอบทันที มองออกไปยังสวนไผ่ด้านข้างโรงชา เสียงใบไผ่เสียดสีกันดังเบา ๆ “ความฝันของข้า…ยังไม่แน่ชัดนัก แต่คงไม่ต่างจากท่าน ที่อยากออกไปมองโลกให้กว้างขึ้น เพียงแต่—” เขาหยุดคำ ราวกับไม่อยากเอ่ยความลับของตนมากเกินไป
ทั้งสองพูดคุยกันต่ออย่างเพลิดเพลิน เนื้อหาสลับระหว่างเรื่องค้าขายกับเรื่องชีวิต บางคราวมีการหยอกล้ออย่างมิตรสหาย แต่ไม่ใช่เชิงใกล้ชิดเกินเลย
ทว่าความสงบในโรงชากลับถูกทำลายลงโดยเสียงเอะอะโวยวายจากด้านหน้า ประตูไม้ไผ่เปิดกระแทกจนม่านไหมแกว่งแรง กลุ่มชายฉกรรจ์สี่ห้าคนก้าวพรวดเข้ามา พวกเขาตะโกนข่มขู่เรียกค่าเงินจากชายชราคนหนึ่งที่นั่งมุมห้อง แขกในโรงชาพากันลุกหนีอย่างตื่นตระหนก
เสวี่ยซีสะดุ้งเผลอวางถ้วยชาลงแรงจนเกิดเสียงกระทบแผ่ว ๆ แววตาเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความไม่คาดคิด
โจวจินหันมอง เห็นสีหน้าคู่นั่งที่ไม่ค่อยมั่นคงก็ลุกขึ้นยืน ดวงตาเขาคมกริบกว่าที่เคย แววอ่อนโยนพลันแปรเปลี่ยนเป็นความหนักแน่นสงบเยือกเย็น เขาก้าวออกไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
“พวกท่าน” เสียงของโจวจินดังชัดเจน ก้องไปทั่วโรงชา “อย่าได้ทำร้ายผู้ใด ที่นี่คือโรงชา มิใช่สถานที่ก่อเรื่อง หากมีปัญหา…ควรพูดคุยกันด้วยสันติ”
ชายฉกรรจ์เหลือบตามอง สายตาไม่เกรงใจนักแต่ท่าทีของโจวจินที่มั่นคงไม่หวั่นไหว กลับทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย แขกบางคนที่แอบมองอยู่เงียบ ๆ เห็นดังนั้นก็เริ่มมีความหวังว่าความวุ่นวายอาจคลี่คลาย
เสวี่ยซีมองภาพตรงหน้าอย่างเงียบงัน หัวใจที่เคยเต้นระส่ำกลับชะลอลง แววตาเขาเปลี่ยนไป เขาเพิ่งตระหนักว่าโจวจินมิใช่เพียงพ่อค้าที่คุยเก่งหรือเห็นแก่ผลกำไร หากแต่เป็นคนที่ยืนหยัดกล้าหาญยามเหตุการณ์คับขัน
|