ระเบียงทางเดินซวิ่นเยว่

[คัดลอกลิงก์]







ระเบียงทางเดินซวิ่นเยว่

{ ราชฐานชั้นใน }









【 ระเบียงทางเดินซวิ่นเยว่ 】

เคล้าเสียงนารี ริมระเบียงโอบจันทรา

ระเบียงทางเดินไม้ยาวสุดสายตาลัดเลาะไปรอบเขตพระราชฐานชั้นใน
ที่ถูกสร้างโดยไร้ขื่อคานที่แสดงให้เห็นถึงความชำนาญของผู้รังสรรทางเดิน
หากท่านได้ยืนใต้สิ่งก่อสร้างนี้ ลองเงยหน้าขึ้นมองเพดาน จะพบกับการฉลุไม้
เป็นลวดลายวรรณกรรมโบราณทอดยาวไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ต้นจนสุดสายทางเดิน
ปัจจุบันแม้ระเบียงทางเดินซวิ่นเยว่จะถูกสร้างมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้ใด
ที่กล่าวได้ครบว่าบนเพดานเหนือทางเดินนั้นประกอบไปด้วยยอดวรรณกรรมชิ้นใดบ้าง








แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 5664 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-7-10 16:27

18

กระทู้

224

ตอบกลับ

1954

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
2
ตำลึงทอง
79
ตำลึงเงิน
1510
เหรียญอู่จู
37192
STR
53+7
INT
70+0
LUK
6+2
POW
74+5
CHA
97+27
VIT
25+7
‘ หลี่ผู่เยว่ • 李谱月 ’
เลเวล 1
คุณธรรม
9964
ความชั่ว
724
ความโหด
5121
โพสต์ 2024-7-10 23:08:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-7-10 23:16




ก้าวแรกแห่งความร้าวราน

ตะวันเลือนคล้อยลอยกลางเมฆฉันใด หมู่หญิงงามก็เคลื่อนกายตามฉันนั้น

ในเมื่อได้รับศักดิ์ให้เป็นถึง ‘เหม่ยเหริน’ แม้จะมีอิสระเสรีในการแต่งกายประทินโฉม แต่สิ่งที่เรื่องว่า ‘อาภรณ์ประจำขั้น’ ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเดินทางไปรับด้วยตัวเอง เช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ ที่พากันเดินโยกย้ายส่ายสะโพกภายใต้ร่มเงาของทางเดินที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา ในที่แห่งนั้นยังมีร่างของเทพธิดานางหนึ่งเยื้องย่างอย่างแผ่วเบาตามหลังมวลมนุษย์ที่มีใบหน้างดงาม

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือหมู่คนงามยังมีเทพธิดา ผู้ที่เหล่าสตรีด้วยกันให้การยอมรับว่าเป็นผู้งามยิ่งในวังหลวงยามนี้คือ ‘ลู่ไป๋หรั่น’ ที่กำลังเดินหน้าไปตามทางช้า ๆ พลางกวาดสายตามองดูทิวทัศน์ของสองข้างทาง บางทีอาจเป็นเพราะกิริยาที่ไม่สุงสิงกับใคร ผสานกับรูปลักษณ์ราวเทพธิดา จึงไม่แปลกหากจะมีคนคาดการณ์ว่านาง ‘เย่อหยิ่งถือตัว’ โดยหารู้ไม่เลยว่าสิ่งที่อยู่ในความคิดของเทพธิดาผู้นี้ไม่ใช่การเย้ยหยันในสตรีด้วยกัน แต่เป็นการรำพึงรำพันถึงความงดงามของทิวทัศน์ในวังที่มากจนเกินพอดี

แต่สำหรับ ‘เย่หลิงเอ๋อร์’ นั้น ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไรนางก็ไม่สน

คนที่อยู่ตรงหน้าขัดหูขัดตานางมากเกินไป เดิมทีเพราะแอบชื่นชอบในองค์จักรพรรดิมานานนางถึงกลั้นใจไม่ยอมตบแต่งให้ผู้ใดจนชื่อเสียงเกือบจะด่างพร้อย ดีที่การคัดเลือกว่าที่พระสนมมาถึงในตอนที่ยังไม่สายเกินไป แต่กว่าจะผ่านมาได้จนถึงจุดนี้นางก็เสียทรัพย์สินไปนับไม่ถ้วนเพื่อยัดตัวเองเข้ามาในวังด้วยฐานะผู้ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในทำเนียบเหม่ยเหรินเป็นอันดับต้น ๆ

เดิมทีที่บ้านเกิดนางอย่างเจียงหลิง เย่หลิงเอ๋อร์ก็จัดได้ว่าเป็นสาวงาม ตลอดทั้งการเดินทางมาให้ถึงเมืองหลวงนางยังนึกเพ้อฝันอยู่เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะได้เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในการคัดเลือกหนนี้ ทว่าเมื่อมาถึงสิ่งที่วาดฝันไว้ก็พังทลายลง นอกจากจะไม่ได้เป็นหญิงงามอันดันหนึ่ง แม้แต่ข่าวลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังถูกนางจิ้งจอกตรงหน้าแย่งไปจนหมดสิ้น

ยามเมื่อไฟริษยาครอบงำ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใดก็ล้วนน่าหวั่นเกรง

“ หญิงสาวผู้นั้นงามนัก บุตรีบ้านใดกันหนอ.. ”

“ ข้ารู้ ๆๆ ข้าเผอิญไปได้ยินข่าวลือในหมู่นางกำนัลและขันทีมา เห็นพูดกันว่า คัดเลือกพระสนมเข้าวังหนนี้มีหญิงงามเข้ามามากมาย แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นทีคงจะเป็น คุณหนูลู่ ”

“ คุณหนูลู่? ใช่ตระกูลขุนนางหรือไม่? ”

“ น่าเสียดายที่ไม่ใช่ นางเป็นบุตรสาวคหบดีอันดับหนึ่งในลั่วหยาง แม้มือขาดอำนาจ แต่ทั้งชีวิตก็ไม่มีทางขาดเงินทอง !! ” เสียงสนทนาเจี๊ยวจ๊าวจากเหม่ยเหรินอีกสองสามคนเกี่ยวกับคนงามที่พึ่งเดินผ่านไปลอยมาเข้าหูเย่หลิงเอ๋อร์ได้อย่างพอดิบพอดี

นางเป็นบุตรสาวคหบดี ??!!

กับอีแค่ลูกสาวพ่อค้า กล้าดียังไงมาแย่งชิงสิ่งที่ควรเป็นของนาง !!

“ นังแพศยา !!! ”

เสียงหวีดร้องแหลมหูดังก้องไปทั่วทางเดิน สิ่งมีชีวิตทุกชนิดพร้อมใจกันเงียบราวกับกลั้นหายใจ

เย่หลิงเอ๋อร์ที่เผลอตะโกนความในใจออกมาถึงกับหน้าแดงซ่านด้วยความอับอาย หญิงสาวหน้าตาโฉบเฉี่ยวภายใต้อาภรณ์สีเขียวอ่อนตัดด้วยผ้ารัดเอวสีแดงหมายจะหมุนตัวหนีจากไป ทว่าเสียงฝีเท้าหนึ่งกลับดังขึ้นก่อนนาง

หลิงเอ๋อร์น้อยหันกลับไปมองทางต้นเสียง แล้วก็พลันเบิกตากว้าง

ในขณะที่ผู้อื่นยังไม่กล้าขยับเขยื้อน มีเพียงเงาร่างสีขาวของเทพธิดาผู้นั้นที่หยุดชะงักไปแค่ครู่พร้อมด้วยการเบี่ยงหน้ามามองเล็กน้อย ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินต่อไปราวกับไม่สนใจโลกหล้า ทุกกิริยาเหล่านั้นแม้จะไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องบอกได้ว่าเป็นยอดของการแสดงออกที่งดงามโดยไม่ผ่านการปั้นแต่ง

รับไม่ไดั .. นางยอมไม่ได้…

ความอับอายถูกกลืนลงท้องไปทันควัน สองขาก้าวฉับ ๆ เข้าไปหาผู้ที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาผ่านการหลีกทางให้แต่โดยดีของเหล่าสหายร่วมตำแหน่งเหม่ยเหรินทั้งหลายที่สีหน้าเริ่มซีดเซียวยามที่ได้เห็นโทสะของบุตรสาวขุนนางผู้ที่ถูกวางตัวไว้ให้เป็นไท่จื่อไท่ฝู (พระอาจารย์ของรัชทายาท) ในอนาคต

ไม่มีใครคาดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เย่หลิงเอ๋อร์ปรี่เข้ามาประชิดกายไป๋หรั่นด้วยความรวดเร็ว เดิมทีไป๋หรั่นหมายจะหันไปหาอีกฝ่ายเพื่อสอบถามสาเหตุที่เดินเข้ามาหาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่นางได้กลับเป็นเล็บที่จิกเข้าตรงหลังศีรษะแล้วกระชากให้หันกลับมา ก่อนจะตามมาด้วยสัมผัสรุนแรงตรงข้างแก้มที่ส่งเสียงดัง ‘เพี๊ยะ’ สะนั่นไปทั่วทางเดิน

“ … ”

ไม่ว่าจะเหม่ยเหริน นางกำนัล หรือขันทีที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ปิดปากจนแน่นสนิท

แม้แต่ไป๋หรั่นที่เจอเรื่องเจอราวมามากยังหาเสียงตัวเองไม่เจอไปชั่วขณะ แก้มข้างหนึ่งบนใบหน้างามขึ้นสีแดงเถือกชดจนน่ากลัว หญิงสาวที่ถูกคนแปลกหน้ามุ่งเข้ามาทำร้ายค่อย ๆ หันกลับไปมองเจ้าของฝ่ามือที่กำลังหอบหายใจ

“ ขอถามท่านสักประโยค ”

“ หนึ่งฝ่ามือนี้.. มีเหตุผลหรือไม่? ”

ไป๋หรั่นเป็นหญิงสาวที่มักจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่าฟังอยู่เสมอ แต่ในครั้งนี้แต่ละเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากปากกลับสั่นไหวทั้งยังฟังดูแหบแห้งอย่างบอกไม่ถูก

“ เจ้ามันนังแพศยา ! เป็นแค่ลูกสาวพ่อค้าโง่ ๆ แล้วกล้าดียังไงมาแย่งที่ของข้า ” คำตอบของเย่หลิงเอ๋อร์มาพร้อมมือน้อยคู่นั้นที่มุ่งเข้ามาจิกทึ้งศีรษะนางอีกครั้งท่ามกลางเสียงหวีดร้องของสาวน้อยวัยพึ่งออกเรือนคนอื่น ๆ ที่พึ่งจะได้สติ

การทะเลาะวิวาทของสตรีแม้ไม่รุนแรงถึงชีวิตแต่ก็สร้างความรำคาญใจให้คนรอบตัวได้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเหล่าขันทีหรือนางกำนัลทั้งหลายที่ต่างก็พากันส่ายหน้าพลางคิดไปว่าอนาคตของทั้งสองคงจบลงได้แค่การเป็นเหม่ยเหรินหรือไม่ก็ถูกขับออกจากตำแหน่งเนื่องเพราะสร้างเรื่องเกินความจำเป็น น่าเสียดายก็แค่หน้าตาของทั้งคู่ที่ก็ไม่ได้เรียกว่าแย่ โดยเฉพาะฝั่งสตรีที่ถูกตบตีอยู่ฝ่ายเดียวคนนั้น… เรียกได้ว่าออกจะน่าสงสารไปบ้าง

ไป๋หรั่นไม่ดื้อรั้นจะเอาชนะแม้แต่น้อย อีกฝ่ายง้างมือตบลงมานางก็ยกมือต้าน อีกฝ่ายดึงทึ้งศีรษะ นางก็พยายามเพียงแค่สะบัดตัวให้หลุดจากการฉุดกระชาก หรือแม้แต่บางครั้งที่หมัดน้อย ๆ ทุบลงมาหมายจะระบายความแค้น ลู่ไป๋หรั่นที่หลบไม่ทันก็กัดฟันทนรับไปแต่โดยดีจนคนที่มองการทะเลาะวิวาทครั้งนี้ถึงกับอดเวทนาไม่ได้ ผิดกับเย่หลิงเอ๋อร์ แทนที่นางจะรู้สึกได้ใจจากการได้ลงไม้ลงมือต่อสตรีที่ขัดตา แต่เมื่อเห็นการกระทำที่สู้อย่างขอไปทีแบบนั้น โทสะของนางก็พลันพุ่งทะยานขึ้นไปอีกรอบ

“ นังจิ้งจอกแพศยา ! ถึงขนาดนี้แล้วยังไม่เลิกเสแสร้งอีก พ่อแม่สั่งสอนมาอย่างไรถึงได้กลายมาเป็นตัวขัดหูขัดตาเช่นนี้?? อ๋อ รู้แล้ว แม่เจ้าคงจะเป็นนังโง่ที่วัน ๆ ดีแต่เสแสร้งล่ะสิ ถึงได้คว้าผัวรวยขึ้นมามีหน้ามีตา !! ”

ฝีปากเฉียบคมเช่นนี้ทำเอาเหล่าคนฟังลอบสูดปาก ‘ยัยหนูเอ๊ย คนที่ดูจะไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนเห็นทีคงจะเป็นฝ่ายเจ้ามากกว่ากระมั้ง’ ด้วยเหตุนี้เลยทำให้ต่อมามีเหม่ยเหรินน้อยคนหนึ่งทนไม่ไหวตะโกนออกมา “ โอ๊ย เจ้าสิที่ไม่มีมารยาท ! ”

“ ใช่ ๆ ”

เสียงฝูงชนที่โต้กลับทำให้เย่หลิงเอ๋อร์หน้ามืดตามัว นางคิดว่าในเมื่อตัวเองมีมลทินถึงขนาดนี้ ไม่สู้ชี้เป็นชี้ตายกับนางจิ้งจอกอ่อนแอนี่ไปสักตั้ง? สตรีอาภรณ์เขียวราวกับมีไฟลุกแผดเผาอยู่ในแววตา นางคว้าจับกายบางให้มั่นก่อนจะเหวี่ยงผลักอีกฝ่ายไปทางเสาระเบียงทางเดินหมายจะทำลายโฉมความงามนี้ให้มันหมดสิ้น

เสียงกรี๊ดของผู้ชมดังลั่นในยามที่ร่างของดรุณีหยกเซถลาไปทางเสาระเบียง ไม่มีใครรู้ว่า ‘ลู่ไป๋หรั่น’ คนนั้นหน้ากระแทกเสาไปจริง ๆ หรือไม่ ทว่าครู่ต่อมาเมื่อเห็นร่างอรชรใต้ชุดขาวก้าวเท้าถอยออกมาแต่ละคนก็พากันกลั้นหายใจ

ไป๋หรั่นไม่ใช่คนโง่

สตรีที่เปรียบได้ดั่งหยกหากไม่ใช่ว่างาม ก็ต้องเป็นเพราะเลือดเย็น

“ เจ้าเกลียดข้าถึงเพียงนี้เชียว? ” โฉมงามผินหน้ากลับมาท่ามกลางความโล่งอกโล่งใจของชาวฮั่นมุง แต่ไม่นานนักแต่ละคนต่างก็ต้องลอบเก็บสายตาท่ามกลางสีหน้าแตกตื่นหรือไม่ก็เขินอาย เพราะสภาพยุ่งเหยิงที่ควรจะดูไม่ได้ของหญิงสาวตรงหน้ากลับปลุกเร้ากระแสอารมณ์บางอย่าง.. เรือนกายขาวผ่องเช่นอาภรณ์ขาวที่เคลื่อนจนเผยเนื้อไหล่เล็กน้อยพอให้รู้สึกซาบซ่านอีกทั้งยังส่งเสริมให้ลำคอดูเรียวบางยิ่งขึ้น ด้านใบหน้าแม้จะมีรอยช้ำจาง ๆ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหญิงงามยามบอบช้ำล้วนแต่น่าทะนุถนอม ไหนจะเส้นผมสีดำขลับที่ยุ่งเหยิงแต่ก็คล้ายหยดหมึกกระจายพรมพร่างบนกระดาษขาวอันมีชื่อว่าร่างกาย หากใครที่ได้เห็นภาพนี้แล้วไม่รู้สึกสะท้าน เกรงว่าคงจะเป็นยอดคนแล้ว

ในขณะที่ทุกคนพากันหันหน้าเบี่ยงตาไปทางอื่น เย่หลิงเอ๋อร์ที่ผิดหวังเป็นอย่างมากก็กำลังกัดฟันกรอด “ เมื่อครู่ถ้าข้าใช้มือยันไว้ไม่ทัน แม่นาง.. ท่านรับผิดชอบไหวหรือไม่? ”

“ รับผิดชอบ? เหอะ เจ้าเป็นใครข้าถึงจะต้องไปรับผิดชอบ ลูกพ่อค้า ลูกคนขายของ ลูกของคนที่ยังต้องร่อนไปเอาเงินคนอื่นเพื่อทำมาหากิน ของแค่นี้ไม่จำเป็นต้องถามว่ารับผิดชอบไหวหรือไม่ แม้แต่รับผิดชอบข้ายังไม่จำเป็นต้องทำเลยด้วยซ้ำ !!! ”

‘ตรรกะป่วยเกินไปแล้วโว้ย’ ชาวฮั่นมุงคิดพลางหันไปมองคู่กรณีของอีกฝ่ายว่าจะตอบกลับอย่างไร

“ … ”

“ กล่าวตามตรง เดิมทีข้าก็ไม่ได้คาดหวังกับสตรีที่ผลีผลามเข้ามาตบข้าอยู่แล้ว ”

“ แต่ก็ไม่นึกว่าความเขลาของท่านจะ.. เกินเยียวยาเช่นนี้ ”

‘เฉียบมาก’ ชาวฮั่นยกนิ้วให้

“ เจ้า ! เจ้า !!! ” เย่หลิงเอ๋อร์โกรธจนควันแทบจะออกหู ร่างน้อยใต้อาภรณ์เขียวมุ่งเข้าไปหมายจะตบหน้านังตัวดีนี่อีกสักฉาก

เพี๊ยะ !

สิ่งที่เกิดขึ้นกลับสร้างความประหลาดใจอย่างมากให้กับคนเป็นวงกว้าง

เพียงแค่ครั้งเดียว

ใบหน้าของเย่หลิงเอ๋อร์หันไปตามแรงตบจากมือขาว เสี้ยวหน้าฝั่งที่ถูกตบแดงฉานขึ้นมาทันตาเห็น ความเจ็บที่แล่นขึ้นมามากเกินกว่าที่นางจะพูดอะไรออกมาได้ เช่นเดียวกับลู่ไป๋หรั่นก่อนหน้านี้ที่ถูกความเจ็บเล่นงานจนสมองตื้อไม่อาจนึกการตอบสนองที่เหมาะควรออก

“ สิ่งที่ท่านตอบไม่ได้ ” นางกล่าวพลางยกยิ้มและเอียงใบหน้าอย่างช้า ๆ “ ข้ายินดีตอบให้เอง ”

“ เมื่อครู่เป็นการตบ เพื่อคืนฝ่ามือที่ท่านตบข้า ”

เพี๊ยะ ! ที่สอง ดังขึ้นพร้อมหมู่คนที่เริ่มแข้งขาแข็งด้วยความตื่นตะลึง

“ ครั้งนี้ถือว่าข้าตบแทนบิดาที่ถูกท่านดูถูกเหยียดหยาม ”

เย่หลิงเอ๋อร์ถูกตบไปสองทีก็ตาลาย นางสู้ความอดทนของไป๋หรั่นไม่ได้เลยสักนิดแต่ก็ยังถือดีอย่าท้าทายกับอำนาจของผู้มีปัญญา ดังนั้นแทนที่จะก้มลงไปขอขมา นางกลับง้างมือขึ้นโดยตั้งใจจะตบสวน แต่เมื่อเหวี่ยงแขนลงมา ฝ่ามือที่ควรจะฟาดลงบนหน้าอีกฝ่ายกลับหยุดค้างกลางอากาศ ไป๋หรั่นคว้าข้อมือข้างที่ง้างออกของเย่หลิงเอ๋อร์ไว้ได้อย่างพอดิบพอดี นางดึงตัวของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ก่อนจะใช้มืออีกข้างตบซ้ำลงบนแก้มอิ่มที่แดงระเรื่อ

เพี๊ยะ ! ที่สาม ใจหายกันทั่วทุ่ง

“ นี่สำหรับที่ท่านทำให้ชื่อเสียงของแม่ข้าต้องมาเปื้อนดินเปื้อนโคลน ”

เพี๊ยะ ! ที่สี่ หนนี้เย่หลิงเอ๋อร์ล้มลงกับพื้น

ดวงตามากไปด้วยเสน่ห์ในทางร้ายกาจเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาก่อนจะไหลตกลงมาเป็นการร่ำไห้ที่น่ามองยิ่ง เย่หลิงเอ่อร์ตัวสั่นระริกราวกับเป็นผู้ถูกกระทำที่ไม่ได้รับความเป็นทำ ชวนให้ผู้คนเห็นใจในการทำเกินกว่าเหตุของสตรีอีกนาง

“ ส่วนเมื่อครู่นี้ ถือเสียว่าเป็นเพราะการที่ท่านใช้วาจาไม่รู้ความมากดขี่อาชีพสุจริตของผู้อื่น ”

ไป๋หรั่นตั้งท่าจะก้าวเข้าไปตบอีกครั้ง แต่หนนี้กลับมีเหม่ยเหรินคนหนึ่งขยับเข้ามาคว้าแขนห้ามพร้อมกับกระซิบว่า “ อย่าตบอีกเลย นางเป็นธิดาคนใหญ่คนโต.. ให้เรื่องมันพอเท่านี้เถิด ” ยามนี้ ไม่ว่าใครล้วนก็ชื่นชมหญิงผู้กล้าที่ขยับเข้ามาห้ามปราม พลางคิดในใจว่า สตรีที่ดูหัวอ่อนเช่นคนงามตรงนั้นอย่างไรก็คงยอมฟังอยู่แล้ว

ทว่าครู่ต่อมาสิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นเสียงหัวเราะ

ชั่วพริบตาเดียว หัวใจของทุกคนก็เจ็บราวกับถูกฉีกกระชาก หลังหมอกที่เรียกว่าเสียงหัวเราะเนิบนาบจากเสียงใสเช่นสตรีแรกรุ่นยังมีเนตรนางหงส์ที่ฉ่ำวาวด้วยม่านน้ำตาไม่แพ้คนที่ทรุดกายลงกับพื้น

“ ตอนที่ข้าถูกนางตบตี พวกท่านมีใครบ้างที่เดินออกมาห้ามนาง ” หนึ่งคำถามราวกับศรที่ปักลงกลางอก น่าเสียดายที่ศรนี้หาใช่ศรรักแต่กลับเป็นศรเคลือบพิษชนิดพิเศษที่มีนามว่า ‘ความรู้สึกผิด’ ไป๋หรั่นสูดหายใจเข้า นางกวาดตามองรอบกายช้า ๆ มองผ่านทีละคนที่สีหน้าดูไม่ดีนัก “ เพียงแค่เพราะข้าไม่ทรุดกายลงกับพื้น ก็ใช่ว่าข้าเจ็บน้อยกว่านาง เพียงแค่ข้าไม่หลั่งน้ำตา ก็ใช่ว่าถูกเหยียดหยามน้อยไปกว่านาง ”

“ ที่ข้าพูดไปมีสักคำหรือไม่ที่จาบจ้วงท่านขุนนาง ”

“ ที่ข้าพูดไปมีสักนิดหรือไม่ที่พวกท่านรู้สึกว่าไม่เป็นความจริง ! ”

ลู่ไป๋หรั่นเม้มริมฝีปากเข้าหากันนางดึงแขนตัวเองออกมาจากเหม่ยเหรินแปลกหน้าผู้นั้นที่ก้าวเข้ามาห้ามอย่างช้า ๆ “ ความห่วงใยของท่าน ไป๋หรั่นทราบแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้ไม่สามารถมองข้ามได้เพียงแค่เพราะนางคือบุตรสาวของข้าราชการ ” ราวกับฉาบน้ำแข็งก้อนหนาไว้ในจิตใจ ไป๋หรั่นเก็บงำความชอกช้ำเหล่านี้พลางหันหน้ากลับไปมองเย่หลิงเอ๋อร์

“ เจ้าทราบหรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ”

“ ข้า .. ข้า ….. ”

“ พูดมา ”

“ จ เจ้าเป็นใครแล้วสำคัญอย่างไร ! ข้าไม่รู้ !! ”

แต่ไหนแต่ไรมาขอเพียงนางพูดว่าไม่รู้ ใคร ๆ ก็ต่างให้อภัย เย่หลิงเอ๋อร์ลอบดีใจ อย่างน้อยนางก็ยังมีทางรอดเหลืออยู่บ้าง ต่อให้ที่ตรงนี้พังทลายก็ยังมีบิดาคอยเป็นเสาค้ำยัน แน่นอนว่าความคิดเด็กน้อยที่คิดเพียงด้านเดียวนี้ .. มีหรือที่ไป๋หรั่นจะคาดไม่ได้?

“ หากท่านไม่รู้.. ถ้าเช่นนั้นก็ฟังไว้ให้ดี ”

“ เปิ่นเสี่ยวเจี่ยเป็นเหม่ยเหรินขององค์จักรพรรดิ เป็นสตรีที่ผ่านการคัดเลือกถึงได้เข้ามา กายทั้งตัวแม้จะยังไม่ผ่านมือชายใด แต่เมื่อก้าวข้ามรั้ววังก็นับว่าเป็นสมบัติของหวงตี้ ท่านกระทำเช่นนี้ถือเป็นการทำให้ทรัพย์สินของพระองค์เสียหาย อาศัยทั้งตัวท่าน คิดว่ารับผิดชอบไหวหรือไม่ ! ”

สิ้นประโยคนี้ราวกับมีฟ้าผ่าลงกลางหัวปุถุชนชาวฮั่นมุงไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเย่หลิงเอ๋อร์ที่ถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้านาง “ เจ้า เจ้าเองก็ทำร้ายข้า ! ข้าเป็นเหม่ยเหริน !! เจ้าคิดว่าตัวเองจะรอดหรืออย่างไร !!! ”

“ ข้าแซ่ลู่ นามไป๋หรั่น เกิดมาตลอดชีวิตไม่เคยทำผิดต่อฟ้าหรือบ้านเมือง ข้าไม่ยินดีที่จะทรุดกายคุกเข่าร่ำไห้ให้กับคนเช่นท่าน แต่ยินดีที่จะคุกเข่ารับโทษด้วยตนเองหากมีข้อใดของกฏบ้านกฏเมืองที่เขียนเอาไว้ ”

ผิดกับเย่หลิงเอ๋อร์ที่หวีดร้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง แต่ละคำของลู่ไป๋หรั่นนั้นราบเรียบและน่าฟังแต่แฝงไว้ด้วยการเฉือนคมจนคนแทบสิ้นสติ ดรุณีหยกเบือนหน้าหนีออกจากร่างที่ดิ้นเร่า ๆ อยู่กับพื้น นางเชิดหน้าขึ้นเก็บน้ำตาที่ตั้งท่าจะไหลลงมาพร้อมกับกำมือแน่น โดยไร้ผู้ใดที่เข้ามาปลอบโยน หนนี้ฝูงชนล้วนพร้อมใจกันหลีกทางให้กับนงคราญอาภรณ์ขาวที่ผินกายเดินจากไป




ผลของการตบตีคร้าบ






แสดงความคิดเห็น

เลขคี่ เกิดเป็นข่าวลือแทน ---  โพสต์ 2024-7-10 23:28
โพสต์ 40575 ไบต์และได้รับ 24 EXP!  โพสต์ 2024-7-10 23:08
โพสต์ 40,575 ไบต์และได้รับ +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก กระบี่คู่สลักจันทรา  โพสต์ 2024-7-10 23:08
โพสต์ 40,575 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก น่ารัก  โพสต์ 2024-7-10 23:08
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณจิ้งจอกสวรรค์(ไม้)
เสน่ห์ฟ้าประทาน
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x2
x6
x5
x2
x4
x8
x2
x4
x1
x11
x10
x3
x4
x16
x3
x5
x4
x1
x7
x6
x4
x11
x4
x1
โพสต์ 2024-7-20 19:06:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด




เหม่ยเหรินรักใคร่ปรองดอง
-6-



            รุ่งสางน้ำค้างลงจับขอบขาว เหล่านางกำนัลตื่นแต่ฟ้ามืดวังหลวงเต็มไปด้วยผึ้งงานผู้ขยันขันแข็ง


                        

            ด้านทิศใต้มีกูกูยืนอบรมนางกำนัลน้อยหน้าใหม่ ทิศเหนือคือกงกงแถวหนึ่งช่วยกันขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ไปยังเรือนอู๋ซั่ว ด้านข้างระเบียงเหล้าสาวงามผู้ได้รับการแต่งตั้งยศฐาจับกลุ่มสนทนาพาทีบ้างก็ประลองเชิงลับสมองกันอยู่ด้านในศาลา พวกนางแต่ละคนล่วนเฉิดฉันท์มีเอกลักษณ์บางคนโดดเด่นออกมาราวดอกฝูหรงท่ามกลางใบหญ้า


สำหรับสนมชุดแรกที่หวงตี้รับเข้าวังมีครบทุกรูปแบบ ทั้งอ่อนหวานชดช้อย สดใสเริงร่า แม้แต่เหย่อหยิ่งเย็นชา..


            เหล่าสาวงามอยู่ในอาภรณ์เครื่องแบบลดหลั่นตามศักด์ฐานะบ้างนั่งบ้างยืนพิงราวระเบียง ต่างประโคมประดับประดากายด้วยเครื่องประทินโฉมปิ่นอัญมณีดอกไม้ผ้า หวังว่าจะมีวาสนาเข้าตานายเหนือหัวบุรุษเพียงผู้เดียวที่สตรีทั่วหล้าใฝ่ฝันถึง บ้างพยายามสร้างจุดดดดเด่นให้เป็นที่จดจำกระทั่งสวมม่านคลุมหน้ารึประดับช้องผมหนักๆ ไว้บนหัวก็มี 


            ท่วงท่างดงามราวนางสวรรค์ ทว่าวาจาที่พ่นออกมาส่อกิริยาไม่พึงมี


            “ รุ่งสางมีข่าวน่าตระหนกใจ.. อุทยานทีงดงามถึงกับพบศพเหม่ยเหรินผู้หนึ่งอยู่กลางน้ำ ”


            “ ข้าเองก็ได้ยินพวกขันทีคุยกันฟังว่าร่างไร้วิญญาณนั่นคือเย่เหม่ยเหรินที่พึ่งมีเรื่องวิวาทไปกับสนมแซ่ลู่ เจ้าคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่… ”


            “ หึ.. พูดถึงนังคนแซ่ลู่นั่นอีกแล้ว ใครจะเกิดใครจะตายทำไมพักนี้ไปไหนข้าได้ยินแต่ชื่อนังจิ้งจอกนั่นจนรำคาญหูไปหมด ” น้ำเสียงติดจะขุ่นใจมาจากสตรีปักปั่นเหมยแดงผู้โดดเด่นอยุ่กลางวงสนทนา


            “ กงซุนเหม่ยเหริน.. พวกข้ามิได้ตั้งใจพูดถึงนางผู้นั้นสักหน่อย เหตุคราวนี้ร้ายแรงถึงขั้นมีคนตายหากยังจับตัวคนร้ายมิได้ ใครจะรู้ล่ะว่ารายต่อไปอาจเป็นหนึ่งในพวกเรา.. ” สองสนมคอยพะเน้าเอาใจธิดาสุกลใหญ่พยายามให้เหตุผลแต่ยิ่งพูดยิ่งสั่นกลัว


            “ ไร้สาระ ตำหนักในมีสนมนางกำนัลมากมายจะหายไปสักคนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เย่เหม่ยเหรินนางแส่หาเรื่องเองจะโทษใครได้  ได้ยินว่านางยังไม่เคยได้พบฝ่าบาทเลยสักครั้ง บุญน้อยด้วยวาสนาแท้ น่าเวทนาจริง ”


            ‘เย่หลิงเอ๋อร์’ เลื่องลือว่างามเป็นรองเพียงลุ่ไป๋หรั่น ศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยูฅ่ดีๆ กลับหมดลมหายใจไปเองทำเอาเจ้าของปิ่นเหมยแดงมีความสุขบนกองทุกข์ผู้อื่น ไม่ว่าผู้ใดช่วยขจัดเส้ยนหามขวางทางตนล้วนพอใจยิ่ง


            ทุกคนเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ชวนเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง พลางสนทนาถึงทิวทัศน์ชมนกชมไม้ไม่มีใครยกเอาเรื่องเคราะห์ร้ายของคนผู้หนึ่งมากวนอารมณ์ธิดาสกุลใหญ่ เรื่องราวความเป็นความตายของสตรีหนึ่งคน เบาดุจขนนก ไม่มีค่าให้ใส่ใจถึงเพียงนี้


            ท่าทียิ้มหัวเสียงกระซิกต่อคำขานจริตสตรีมารยาร้อยเล่มเกวียนราวกับเป็นของคู่กันกับเหล่านงคราญวังหลัง น้อยคนนักเมื่อจับพลัดจับผลูตกลงสู่วังวนอำนาจฝ่ายในแล้วจะยังคงความบริสุทธ์กระจ่างในแววตาเอาไว้ได้ ใกล้หมึกเปื้อนดำ ใกล้ชาดเปื้อนแดง กลุ่มของเหล่าสนมขั้นสี่ริมระเบียงซวิ่นเยว่ภายใต้การนำของธิดากงซุนเป็นตัวอย่างถึงสำนวนนี้ได้ดียิ่ง 


            ตายได้ดี.. พวกนางจิ้งจอกรีบๆ ไปตายกันให้หมด ฝ่าบาทจะได้เป็นของข้าเพียงผู้เดียว!!


            ‘กงซุน เป่าหลิน’ ลูบพัดกลมในมือเพราะลำพองใจเมื่ออยู่ท่ามกลางพวกพ้องจึงไม่ทันสังเกตเห็นสาวงามอีกกลุ่มเดินมาทางนี้ หนึ่งในนั้นคือสตรีสวมหน้ากากทองคำฉลุลวดลาย อาภรณ์ขาวตัวเสื้อชมพูกลีบอิงฮวาแขนเสื้อยาวกร่อมพื้นบ่งบอกยศเหม่ยเหริน รอบกายนางมีทั้งเหล่าไฉเหรินและสนมศักดิ์เดียวกันรายล้อมกำลังสนทนาเรื่องศาสตร์การบำรุงผผิวพรรณ นับได้ว่าสตรีผู้นี้มีความสามารถผูกมิตรได้อย่างรวดเร็ว


            ‘เหม่ยเหรินสกุลลู่.. เหม่ยเหรินสกุลเย่ ในวังหลวงมีคนตายได้ง่ายเพียงนั้น?’ ดรุณเสียงทองชะงักบทสนทนาไปทั้งหวั่นวิตกและหววั่นใจกับข่าวลือที่ตนได้ยิน 


            “ นั่นกงซุนเหม่ยเหรินนี่! เจานางแต่หัววันโชชคร้ายจริงๆ พวกเราไปทางอื่นกันเถอะ ”


            หมิงไฉเหรินอุทานเสียงเบาแรกได้เห็นสตรีปิ่นเหมยแดงก็รั้งแขนพี่น้องอีกสองคนไว้ พยักหน้าบุ้ยใบ้ว่าจะเดินย้อนกลับทางเก่า ฝั่งของฝูมี่ยังงุนงงอยุ่มากพอสอบถามก็ได้ความว่าอีกฝ่ายเป็นธิดาขุนนางมียศ อุปนิสัยใจคอคับแคบยิ่งเหล่าไฉเหรินตัวเล็กๆ แรกเข้าวังมาก็ถูกหาเรื่องอย่างไม่เป็นธรรมไปหลายคน จนถึงตอนนี้ยังไม่มีสักคนที่กล้าทำอะไรนาง


            “ คนที่เสียงดังที่สุด คนที่จงใจแต่งตัวอย่างโดดเด่นที่สุด ก็คือนางผู้นั้น.. กงซุนเหม่ยเหริน”


            “ กิติศัพท์ของนางไม่ธรรมดาราวกับสนมหมาบ้ากัดคนไปทั่ว  เหม่ยเหม่ยเจ้าเข้ามาใหม่แนะนำให้หลบเลี่ยงนางผู้นั้นไว้จะดีกว่า.. พวกข้าไปก่อนนะ ” 


            สนมหมาบ้า.. ฝูมี่แทบหลุดหัวเราะพูดจาเสียเห็นภาพ ทั้งยังโบกมือส่งพี่น้องที่พึ่งรู้จักกันหมาดๆ ให้กลับเรือนพัก ด้านของฝูมี่ตนไม่คิดว่ากุลธิดาขุนนางใหญ่ผู้ได้รับการอบรมต่างจากสาวชาวบ้านจะไร้เหตุผลเพียงนั้น เป็นไปได้ว่าชื่อเสียงแย่ๆ ของอีกฝ่ายมาจากความเข้าใจผิดอีกทั้งตนพึ่งเข้าวังไม่เคยทำสิ่งใดเป็นการล่วงเกินใครจึงก้าวไปยังโถงระเบียงนั้นต่อ เสียงหยกพกข้างเอวกระทบเป็นทำนองไพเราะแผ่นหลังตั้งตรงริมฝีปากหยักรอยยิ้มเป็นมิตร


            ขึ้นชื่อว่าเภทภัย ต่อให้เจ้าไม่ต้องการ หายนะก็จ้องเล่นเจ้าสักทางจนได้


            “ สตรีสวมหน้ากากทองคำ นั่นใช่… ” 


            “ โอ้ วันก่อนผู้เชิญพระเสาวนีย์จากตำหนักเซวียนเต๋อมาหาเหม่ยเหรินสวมหน้ากากทองคนหนึ่ง ‘ซ่างกวนเหม่ยเหริน’ ก็คือนางผู้นั้นเอง ” 


            “ นางสวมหน้ากากเข้าวังกลับไม่มีใครคัดค้าน เรื่องนี้ออกจะลึกลับอยู่บ้าง.. ”


            “ หึ!! ถือว่าตัวเองไม่มีสิ่งใดโดดเด่นเลยสร้างจุดสังเกตให้ฝ่าบาทสะดุดตาสินะ มารยาชั้นต่ำคิดว่าข้ามองไม่ออกรึยังไง! กำพืดชั้นต่ำ!! ” ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบสตรีปิ่นเหม่ยแดงใจกลางวงสีหน้าดูไม่สบอารมณ์ขึ้นทุกที


            “ หากไม่อัปลักษณ์ละก็ นางคงมาจากคณะละครเร่ไร้หัวนอนปลายเท้าถึงได้สวมปกปิดตัวตนด้วยความละอายมิกล้าสู่หน้าผู้คน!! ” เพื่อเอาอกเอาใจบ้านกงซุนจึงช่วยผสมโรงใส่ไฟราดน้ำมัน


            “ แต่ข้าได้ยินว่าเหม่ยเหรินที่เข้าวังมาใหม่มีนางเดียวจากตระกูลกงซุน เป็นถึงธิดาคนเล็กเจ้ากรมคลัง อีกทั้งยังเป็นที่รักของชาวเมืองลั่วหยาง.. ฟังว่านางเป็นคนเดียวที่ไม่ต้องคัดเลือกคุณสมบัติก็ได้รับตำแหน่งสนมขั้นสี่คงไม่อัปลักษณ์เพียงนั้น ” อีกสิ่งที่จินเหม่ยเหรินไม่ได้กล่าวออกไป นั่นคือชื่อเสียงธิดาผู้นี้ไร้จุดตำหนิด่างพร้อยแม้แต่พี่ชายน้องชายในบ้านนางยังส่งเทียบสู่ขอไปถึงลั่วหยางอยู่หลายหน


            เปาะ!! 


            ด้ามพัดในมือกงซุนเป่าหลินหักกลางทันที ตล้ายไปจี้ถูกจุดกลางใจ อาศัยศักดิ์ฐานะยังสู้ฝ่าฟันการคัดเลือกเข้มงวดหลายด่านเพื่อเข้าวัง กว่าจะได้รับยศเหม่ยเหรินต้องคุกเข่าสามวันสามคืนขอร้องให้บิดานาง ‘กงซุนโหว’ ออกหน้าไม่รู้กี่มาก ‘ชาติตระกูลสูงส่ง’ คือจุดแข็งเพียงอย่างเดียวที่นางมีหลังใช้ชีวิตมากับการกดหัวลูกเมียรองไม่ให้กล้าหือ พกพาความลำพองใจในฐานะคุณหนูจวนโหวเสมือนเกราะคุ้มกายให้ผู้คนพินอบพิเทาเอาอกเอาใจ


            จะลูกพ่อค้า ลูกบัณฑิต ขี้ครอกเมียรอง จะกี่สิบกี่ร้อยกงซุนเป่าหลินคนนี้ไม่เคยหวั่น

            เศษธุลีไร้หัวนอนปลายเท้าพวกนั้นนางไม่อาจยอมรับเป็นคู่แข่งตัวฉกาจ เสนียดบารมีขุนนาง!


            นางเคยลิ้มรสเกียรติยศเป็นเหม่ยเหรินผู้มีชาติตระกูลสูงส่งที่สุดในวังหลัง มีหรือจะยอมให้ตำแห่งของตนสั่นคลอน ยิ่งมีสายตารอบด้านจับจ้องแผ่นหลังทิ้งความกังขา พวกจิ้งจอกพวกนี้กำลังลอบประเมินในใจ ‘ธิดาจวนโหวกับธิดาเจ้ากรมคลังเผชิญหน้า ใครกันจักเติบโตเป็นไม้ใหญ่ให้พึ่งพิงได้ดีกว่า’ กงซุนเป่าหลินลุกขึ้นยืนขวางด้านหน้าของสตรีหน้ากากทองดวงตาจดจ้องราวกินเลือดกินเนื้อ


            ใครยอมข้าอยู่ ใครขวางข้าตาย!


            วันนี้นางจะประกาศศักดา หากทำให้ซ่างกวนเหม่ยเหรินมาเป็นคนใต้อานัติไมไ่ด้ 

            ต้องเหยียบให้จมดิน! เชือดไก่ให้ลิงดู! 


            “พวกเจ้า!! ไปจับตัวนังแพศยามาเบื้องหน้าข้าเดี่ยวนี้!! ” 


           สิ้นคำตวาดก้องไปทั่วบริเวณเหม่ยเหรินรับใช้ทั้งสองที่เลี่ยงคำสั่งไม่ได้ต่างตัวสั่นอย่างขลาดๆ รีบเข้าไปจับแขนซ้ายขวาของสตรีผู้โชคร้าย เหล่าสนมริมระเบียงบ้างสะดุ้งโหยง บ้างหันไปมองต้นเสียงพบว่าเป็นเจ้าดังเจ้าเดิมในการหาเรื่องคนไร้ทางสู้ก็ลอบส่ายหน้าระอาใจ เห็นอีกทางเป็นน้องให่พึ่งเข้ามาตัวเล้กๆ ราวกับจะปลิวลม 


            “ พวกเจ้าจับข้าทำไมมีเรื่องอัน.. ” ฝูมี่แตกตื่นยิ่งจะขยับแขนตนออกจากการจับกุมก็มีเงาทะมึนมายืนอยู่เบื้องหน้า


            เพี๊ยะ!!


            หมั่นใส้!! ขนาดเสียงพูดยังเสนาะหู แววออดอ้อนเจ็ดส่วน บริสุทธิ์เดียงสาสามส่วน! อันตรายยิ่ง!


            “ แพศยา! ใส่หน้ากากเดินลอยหน้าลอยตาคิดจะดึงดูดพระทัยฝ่าบาทงั้นหรอ ไม่เจียมกะลาหัว! ”


            หนึ่งฉาดปรากฎรอยแดงห้านิ้วขัดตาบนนวลแก้มขาว ฝูมี่เป็นดรุณีผิวอ่อนลำบังผ้าเนื้อหยาบสักหน่อยก็ทำเอานางระคายตัวประสาอะไรกับการประทุษร้ายด้วยกำลัง โดนตบหนึ่งคราร่างบางเซถลาราวนกปีกหักทรุดลงไปทั้งแบบนั้นภายในหัวมึนงงทำสิ่งใดไม่ถูก ถึงจะกระทันหันฉับไว ท่าทีการล้มกลับมีองศาที่เหมาะเจาะพอดีชายอาภรณ์พลิ้วลงเรือนผมสะบัดทิ้งตัวราวมัจฉาแหวกว่าย เหล่านางกำนัลขันทีฝ่านทางล้วนตกตะลึงกับภาพตรงหน้าแม้ใจสงสารเวททา ทว่าก็ลอบชื่นชมว่าบุตรีบ้านใดหนาขนาดโดนตบยังรักษาความสง่างามทุกกิริยาไว้ได้ราวภาพจิตรกรรม


            “ โอย.. เจียเจียผู้นี้ตบข้าทำไม เจ็บนะ.. ” 


            เสียงครวญเต็มประโยคราวกระทบหยกทำคนฟังสั่นสะท้านไปอีกระรอก ช่างไพเราะบริสุทธิ์อย่างตัวจับยากนี่แค่พูดธรรมดายังชวนฟัง หากขับร้องทำนองคงทำผู้คนลืมเลือนสิ้นปัจจุบันกาล ฝูมี่เงยใบหน้าขึ้นสองตาพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำไม่ทราบว่ามีสิ่งใดผิดพลาด  


            ท่ามกลางความหวาดหวั่น อีกฝ่ายราวยักษ์มารถลึงตามองตนอย่างน่ากลัว


            “ท่านเข้าใจผิดแล้ว หน้ากากนี้เพราะมีเหตุจำเป็นจึงต้องสวมติดกายหากทำให้พวกท่านไม่สบอารมณ์ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ รึหากชื่นชอบหน้ากากชิ้นนี้ ข้าจะให้ช่างฝีมือทำขึ้นมาสักหลายชิ้นแจกจ่ายไว้ใส่เล่นกันดีรึไม่? ”


            ข้าหยิบยื่นดอกไม้ มอบความเป็นมิตรให้ท่าน.. น่าเสียดายอีกฝ่ายกลับไม่รับ


            “ บังอาจนัก! ไม่ต้องมาแก้ตัวคิดว่าข้าผู้ธิดาเยี่ยนโหวผู้สูงส่งเป็นขอทานรึไง!! ใครอยากได้หน้ากากผีๆ ของเจ้ากัน วันนี้ข้าจะสั่งสอนให้รู้สำนึก จำใส่หัวชั้นต่ำของแกเอาไว้อย่าริอ่านตีตนเสมอข้า!! ”


            “ มังกรผลัดถิ่นรึจะสู้งูดินเจ้าที่! ธิดาเจ้ากรมคลังอย่างนั้นหรอ? เจ้ามีชื่อเสียงในลั่วหยางแล้วอย่างไร แน่จริงให้เจ้าพวกไพร่ทาสชาวบ้านต่ำต้อยนั้นมาช่วยเจ้าสิ ” กงซุนเป่าหลินถกแขนเสื้อขึ้นสูงโทสะความริษยากลืนกินสติรับรุ้เพียงว่าต้องกดหัวนังคนช้ำต่ำให้จมดิน ในเหล่าธิดาขุนนางคนจะได้ขึ้นเป็นผู้นำรับเกียรติยศทั้งหมดต้องเป็นนาง


            เพี๊ยะ!! 


            ฮัดเช้-!!


            เงื้อมือฟาดลงครานี้กลับเป็นจังหวะที่เป้าหมายคัดจมูกเข้าพอดีหนึ่งฝ่ามือจึงประเคนถึงใบหน้านุ่มๆ ของผู้ที่จับแขนฝูมี่เอาไว้ ‘เฉาเหม่ยเหริน’ เสียงกระทบดั่งสนั่นกว่ารอบก่อนหญิงงามถูกแรงตบคอสะบัดไปอีกทางท่ามกลางความงุนงงของทัง้สาม พอหันหน้ากลับมาอีกครั้งแก้มนั้นเล่าก็บวมเป่งน่ากลัว


            “ เจี่ยเจียท่านเจ็บรึไม่.. ” ฝูมี่หน้าซีดเผือดเบิดกวงตากลมโตถามอีกคนอย่างเป็นห่วงลืมสถานการร์ตรงหน้าชั่วคราว


            “ กงซุนเหม่ยเหริน ท..ท่านตบข้า!! ” เฉาเหม่ยเหรินยังไม่ทันพูดต่อก็ถูกตบอีกฉาดเลือดไหลซึมมุมปาก


            “ นังโง่! จับคนแค่นี้ยังทำไม่ได้สมองเขลาเบาปัญญาจริง!! จับไว้ให้มั่น!! ”


            อารามร้อนใจสายตาจับจ้องเพียงสตรีหน้ากากทองสมควรตายตรงกลางไม่ได้ใส่สมาะิกับสิ่งอื่น หลังเงื้อมือแล้วฟาดลงอย่างฉุนเฉียวน่าประหลาดที่ทุกครั้งฝ่ามือของกงซุนเป่าหลินจะผิดทิศผิดทางไปลงกับลูกสมุนตน ยิ่งตบซ้ำก็ยิ่งคลาดเคลื่อนนางไม่ยอมแพ้! ตัวฝ้ามืออย่างคนคลุ้มคลั่งซัดใส่ต้องกระชากให้เห็นใบหนน้าซ่างกวนเหม่ยเหรินให้ได้


            คว้าครั้งแรกเหยียบถูกใบไม้ไถลไปลงอู่เหม่ยเหริน

            เสยขึ้นอีกครั้งฝูมีหลับตาก้มหลบโดนมวยผมของเฉาเหม่ยเหรินเต็มๆ

            ครั้งที่สามธิดากงซุนถกแขนเสื้อจนสุดกางเล็บสุดแรงก็เป็นจังหวะที่วิหคปริศนาพุ่งเข้าใส่


            เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ !!


            “ โอย… นังคนโหดร้าย!! ” เฉาเหม่ยเหรินลืมตาขึ้นอีกครั้งสองแก้มบวมอย่างน่ากลัวไม่ต่างกับหัวหมู


            น้ำเสียงสามสาวระงมอย่างไมไ่ด้รับความเป็นธรรม เดี๋ยวก็คนตาย แล้วก็คนตีกัน ฝูมี่ตัวสั่นปากซีดเผือดแทบจะหมดสติอยุ่ร่อมร่อวังหลวงน่ากลัวนักนางไม่อยากอยู่แล้ว!! เหล่าธารกำนัลลอบมองแล้วเวทนาจับใจแต่มิอาจเข้าไปช่วยเหลือได้ด้วยเป็นการวิวาทของเหล่าสตรีในองค์จักรพรรดิ์ เบื้องหลังแต่ละคนคือผู้มีอำนาจใครเล่าจะกล้าไปขวาง


            เห็นสภาพคนขนาบแขนตนทั้งสองยับเยินจนแทบทรงตัวไว้ไม่อยู่ ฝูมี่ข่มความกลัวของตนเอ่ยประณีประนอมด้วยหัวใจเต้นระส่ำ


            “ ค..ค่อยพูดค่อยจาดีรึไม่ท่านต้องการให้ข้าทำอย่างไรจึงจะลดควมขุ่นเคืองลง เราท่านต่างเป็นธิดาผู้มีศักดิ์ การใช้กำลังเช่นนี้มิเหมาะสมทำร้ายกันไปมีแต่สร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูล ”


            ถึงจะเป็นท่านทำร้ายพวกข้าอยู่ฝ่ายเดียวก็เถอะ..


            ถูกคนเขารังแก เจ้ากวางน้อยจวนซ่างกวนยังคงมีใจห่วงใยผู้อื่น เหล่าผู้ลอบสังเกตการณ์ที่ได้ยินได้ฟังลอบให้น้ำหนักไปทางฝ่ายคนถูกกระทำอยู่ในใจ หากวันหน้ากงซุนเป่าหลินขึ้นเป็นใหญ่ชีวิตในวังหลังของพวกตนต้องลำบากเกินจินตนาการ มิสู้สนับสนุนผู้จิตใจงามเช่นซ่างกวนเหม่ยเหริน แม้จะดูบอบบางไร้เรี่ยวแรงสู้คนทว่าไม่มีวันทำร้ายใครก่อนแน่!! 


            “ พวกเจ้าถอดหน้ากากของนังอัปลักษณ์นี่ออก!! ” หากโฉมฉุดผาดเฉิดฉันท์แล้วอย่างไรนางจะทำลายเสีย ไม่ต้องมีหน้าไปยั่วยวนฝ่าบาท!

           

            ไฉเหรินผู้หนึ่งกลับเห็นสบโอกาสเมื่อผู้ลงงมือเริ่มเหนื่อยอ่อนและได้สติจึงกระซิบกระซาบรดน้ำมันลงกองไฟ ‘มารดานางเป็นแค่หญิงตาเดียวไม่สมประกอบ เที่ยบศักดิ์กับท่านยิ่งเป็นการดูหมิ่น!’ กงซุนเป่าหลินควันร้อนออกหู แต่ไหนแต่ไรมาเรื่องฐานะถือเป็นสิ่งเดียวที่นางไม่ยอมให้ใครมาล้ำหน้าตน หากอีกฝ่ายมิใช่เชื้อพระวงศ์มียศอย่าหวังให้ลดตัวไปเกลือกกลั้ว!


            “ หุบปากเดี๋ยวนี้! เป็นแค่ลูกหญิงพิการตาเดียวโสโครกถือดีอย่างไรมาสั่งสอนข้า หงส์กับกาไม่ร่วมวงศ์กันริอาจนับข้าไปอยู่ระดับเดียวกับเจ้า ไม่สำเหนียกกำพืดตน! ข้าจะใช้กำลังกับเจ้าแล้วมันทำไม เจ้ากล้าขัดคำสั่ง? คุกเข่าลงให้ข้าสั่งสอนนังหญิงแพศยา!”


            เพี้ยะ!!


            เสียงสูดริมฝีปากจากรอบข้างทั้งยังพรั่นพรึงใจคำกล่าวดุเดือด วาจาเหิมเกริมด้วยขาดสติรุนแรงยิ่งหนึ่งฝ่ามือครานี้ฝูมี่มิอาจไม่รับ ‘หญิงพิการ’ คำของกงซุนเป่าหลินดุจกรดพิษสาดใส่นางหัวจรดเท้าทั้งกายไม่ขยับเย็นเฉียบไปทั้งตัว ใบหน้าใต้หน้ากายากจะชัดแจ้งถึงอารมณ์หยาดร้อนผ่าวทะลักล้นแต่ละหยด แฝงไว้ด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม


            จะตบตีกล่าวโทษตนนั้นไม่เป็นไรเลย ฝูมี่ทราบดีว่านางยังมีข้อบกพร่องอีกมากสมควรถูกตำหนิ

            ทว่ามารดานั้นแตกต่าง มารดาผู้สมบูรณ์แบบของนางทำสิ่งใดผิดร้ายแรงหรือ จึงถูกประนาม?


            “ หึ.. ถ้าเจ้าคลานสี่ขามาเรียกข้าวว่านายหญิงจากวันนี้เป็นวัวเป็นม้ารับใช้ข้า เรื่องคราวนี้ถือว่าแล้วกันไปก็ได้ ทำไม? ตอนนี้ถึงกับพูดไม่ออกเลยสิ ข้าช่วยทำให้เจ้าเป็นเหมือนแม่พิการนั่นเอาไหม! ” กล่าวจบปิ่นเหมยแดงก็ถูกปลดลงมา ประกายสีทองคมกริบในมือหญิงอำมหิตคุกคามหมายจะทำลายโฉมและควักเอาดวงตาของอีกฝ่ายออกมาหากอีกฝ่ายไม่ยอมคุกเข่า


            ‘จงมองดูให้ชัด มันผู้ใดกล้าลบหลู่ข้ากงซุนเป่าหลิน จะมีสภาพไม่ต่างจากนังคนนี้ ข้าจะทำให้พวกเจ้ายำเกรงไม่กล้าดูหมิ่นข้า!!’


            เสียงซุบซิบโดยรอบเริ่มหนาหูต่างตำหนิการกระทำธิดาจวนโหวว่าทำเกินไปบีบคั้นผู้ไร้ทางสู้จนถึงที่สุด บ้างที่อยุ่วังหลวงมานานลอบเสียวสันหลังด้วยพวกเขาทราบดีว่า ‘หญิงตาเดียว’ คนนั้นหมายถึงผู้ใด กององค์รักษ์ใครบ้างไม่รู้จักตำนานของสตรีผู้นั้น หากกงซุนเหม่ยเหรินไม่หัวสูงจนละเลยความรู้มีหรือจะไม่ทราบ ‘ไป๋หลี่ เสวียนอี’ เป็นนามที่จาบจ้วงหนึ่งครั้งล่วงเกินถึงสามตระกูลใหญ่ ผู้คนทั่วฉางอันทราบดีว่าเหตุใดนางจึงสูญเสียดวงตาขอเพียงมีข่าวลือแพร่ออกไปต่อให้เป็นจวนโหวก็ยากจะละเว้นไม่ลงโทษบุตรีไม่รู้ความ


            ชาวฮั่นมุงลอบมองสังเกตสถานการณ์ ซุบซิบรันทดใจกับโชคชะตา ทว่ากลับไม่มีสักคนก้าวออกมาปกป้องดรุณีผู้ถูกรังแกอย่างไม่เป็นธรรมเลย ฝูมี่ครุ่นคิดสะท้อนใจ หากเปลี่ยนเป็นลั่วหยาง หากเปลี่ยนเป็นจวนซ่างกวน นางไม่หวังให้ครอบครัวออกหน้า คิดเพียงในช่วงเวลาที่น่ากลัวระทึกขวัญจะมีมือสักข้างของใครสักคนเกาะกุมตนไว้ มิใช่ความรู้สึกโดดเดี่ยวลำพังเช่นนี้!!  


            ‘ไม่ว่ายืนอยู่ขอบผาเผชิญหน้ากับภัยอันตราย จงจดจำไว้ว่าเจ้าคือคนตระกูลซ่างกวน’ ฝูมี่กลั้นคำสำอื้นกลืนกลับลงไป นางจะไม่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง ไม่ทำให้พวกเขาต้องเป็นห่วง หัวใจดวงน้อยสั่นสะท้านกลัวแสนกังวลแต่ในเมื่อควาเมป็นตายยังรอดมาได้ หนนี้ นางก็ต้องรอดไปอย่างผ่าเผยเช่นกัน!


            “ หึ รู้ผิดแล้วก็รีบคุกเข่าลงสิ ” 


            “ ไม่.. ” แรงที่กุมแขนทั้งสองอ่อนลงมาก ลึกๆ พวกเขาก็ทราบว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง


            “ นังลูกหญิงแพศยาข้าบอกให้เจ้าคุกเข่า!! ” 


            กงซุนเป่าหลินก้าวพรวดเข้าไปกระชากผมคุ่กรณีแรงตึงนั้นเจ้บแปลบทว่าหญิงสาวผู้ครองหน้ากากกลับไม่มีแม้แต่หยดน้ำตา เนตรสีครามสว่างจดจ้องกลับไปในความกระจ่างดั่งหิมะมีกระแสธารน้ำแข็งเย็ยบเย็น กระต่ายโกรธก็กัดคนเป็นประสาอะไรกับคนตรงหน้าไปแตะถูกของต้องห้ามอย่างมารดา


            “  เคารพนบน้อม รู้อาวุโส ทำดีไม่แจ้ง ทำผิดไม่หนี ทนคำหยามหมิ่น ยำเกรงเป็นนิจ นับเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน.. ” น้ำเสียงใสกระจ่างกล่าวออกมาทีละคำ เว้นทำนองน่าพิศวงทำคนฟังเคลิ้บเคลิ้มงุนงง


            “ พล่ามบ้าอันใดของเจ้า !! เสียสติไปแล้วรึไง ”


            “ ธิดาคือเกียรติของสกุล ความประพฤติธิดาคือหน้าตาแห่งวงศ์ตระกูล.. มารดาสอนข้าเช่นนี้ รักษาเกียรติมิใช่เพื่อตนเองคือคำสอนของสตรีในวงศ์ตระกูลขุนนาง ท่าน.. ไม่รู้หรือ? ความคิด ถ้อยคำ การกระทำ ทุกสิ่งที่ท่านทำคือข้อบ่งชี้ว่าท่านมาจากไหน เรื่องพื้นฐานเช่นนี้.. มิมีผู้ใดบอกต่อท่านเลยหรือ?  ข้าให้ห่วงใยท่านจริงๆ ” 


            กระอักเลือดออกมา…


            ทั้งเป็นเพียงคำถาม เป็นวาจานิ่มนวลอ่อนหวาน ไร้การใช้กำลัง ไม่มีดาบกลับเห็นเลือดเชือดไปถึงหัวใจ ผู้ฟังสะท้านไหวเหล่านางในลอบยกนิ้ว ขณะที่กลุ่มธิดาขุนนางเผลอถอยหลังคนละก้าวสองก้าวอดชื่นชมระคนยกย่องมิได้ สิ่งที่กงซินเป่าหลินประกาศปาวๆ เหมือนแม่ไก่ที่ขันดังสุดว่าจะสั่งสอนอีกฝ่าย กลับถูกลุกเจี๊ยบตัวน้อยจิ้บครั้งเดียวส่งคืนกลับไปทั้งหมด นี่หรือคือการอบรมของตระกูลขุนนาง นี่หรือคือการสั่งสอนที่ทำผู้คนโต้แย้งไม่ออก


            ใบหน้ากงซุนเหม่ยเหรินเปลี่ยนเป้นเดือดดาลกระชากเสียจนอาภรณ์ของคุ่กรณีขาดวิ่น ผลักเต็มแรงจนร่างแบบบางล้มไปทางเสาต้นใหญ่


            “... นี่ เจ้าว่าข้าขาดการอบรม!! เจ้าลบหลู่ข้า นังสารเลว!! ” เสียงซุบซิบรอบตัวทั้งโกรธทั้งอายนางไม่พอยังก้าวต่อหมายจะบีบคอให้ตายตก


            จังหวะลื่นไถลทับชายชุดผ้าแพรกงซุนเป่าหลินหน้าคะมำลงพื้น แว่วเสียงคางกระทบดังสนั่นเงบขึ้นมาอีกครั้งเป็นสภาพม่าน่ามอง ถึงแบบนั้นก็ยังผูกแค้นมือนางกุมคางที่แตกชี้หน้าซ่างกวนเหม่ยเหรินผรุสวาทออกมาจนมีคนปิดหูไม่อยากฟัง


            ฝูมี่ยกมือทาบแก้มตนทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงโกระแค้นตนนัก ทั้งกระวนกระวายเห็นว่ามีคนเจ็บนางอยากเอาตลับยาออกแจกจ่าย ใบหน้าของสตรีสำคัญยิ่งเกิดเป็นแผลเป็นขึ้นมาทั้งชีวิตก็จบกัน


            “ ลบหลู่.. ใช่แล้ว จงลบหลู่ข้าแต่อย่าได้เอ่ยถึงท่านแม่ข้า! มารดาข้ากล้าหาญต่างจากคนขี้ขลาดอย่างข้า ข้าไม่ดีเองทำทุกท่านวุ่นวาย.. ทำให้ทุกคนขุ่นใจ หรือบางที ข้าควรหายไป ไปจากที่นี่? ทำแบบนั้นพวกท่านจะมีความสุขมากขึ้นรึเปล่า”


            “ เจ้า ไม่คุกเข่าให้ข้าก็ไปตายซะ!! ” กงซุนเป่าหลินตบพื้นอย่างหัวเสีย ตนลงมือคล้ายชกลงบนนุ่น อีกทางดูไม่กลัวเกรงเหมือนคนสมองนิ่ม


            “ เปลี่ยนคำขอได้รึไม่.. ร่างกายชีวิตได้จากบุพการีจะตัดสินตามอำเภอใจนั้นไม่สมควร อีกประการท่านแม่กำชับข้าว่ามีเพียงบรรพชน องค์ไทโฮ่ว และจักรพรรดิ์เท่านั้นที่สั่งให้ข้าคุกเข่าได้ คำนับนี้หากเกิดผลร้ายต่อเจ้า ข้าทำไม่ได้จริงๆ ” 


            “ กรีี๊ดดดด!!! ข้า… จะฆ่าเจ้า!! ” โทสะพวยพุ่งสุงเทียมฟ้าไม่มีใครกล้าหยุดสนมหมาบ้าเมื่อปราดพุ่งเข้าไปใช้มือบีบคอเล็กๆ ของนังแพศยาทันที เกิดความแตกตื่นเมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นเสียงหวีดร้องดังไปทั่วบริเวณฝูมี่หลับตาแน่นพยายามดิ้นรนจากคมเล็บที่จิกเข้าไปในเนื้อบาง


            “ ช... ช่วยด้วย!! กงซุนเหม่ยเหรินจะฆ่าคนตายแล้ว!! ”  


            ใต้หน้ากากทองคำคือสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทรมาน นางหายใจไม่ออก! สองเท้าดินทุรนทุรายทั้งหวาดกลัวทั้งทุรนทุราย วังหลวงเป็นสถานที่น่ากลัวยิ่งมีแต่คนใจร้าย


นางไม่เอา ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว! ต้าเกอ เหม่ยเหม่ย มารับข้ากลับลั่วหยางที!!  






เอฟเฟคพรสวรรค์ลาภลอย : มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

+15 EXP ฟังข่าวลือพบศพลอยในอุทยานหลวง

+ ประลองสู้ (ตบตี) สร้างความหวาดเกรงต่อสนมคนอื่น +20 บารมี


สาธุบุญชักพาวาสนาหนุนนำให้ได้ฟุบอ้อนไทเฮา หนูโดนรังแก เขาด่าแม่หนู มุแง!!  

@Admin 








แสดงความคิดเห็น

++ เลข 8 : ยินดีด้วย ท่านพบเจอจางกงกงและฝ่าบาทผ่านทางมายุติเหตุวุ่นวาย สามารถโรลเพลย์สร้างสตอรี่ได้เลย ฝ่าบาทลากทั้งคู่ไปตำหนักเว่ยหยาง เพื่อเค้นถามด้วยตัวเอง  โพสต์ 2024-7-20 21:47
คุณได้รับ +30 คุณธรรม +5 ความชั่ว +50 ความโหด โพสต์ 2024-7-20 20:30
คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2024-7-20 20:28
โพสต์ 110708 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2024-7-20 19:06
โพสต์ 110,708 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ชุดเหวินเฉิน  โพสต์ 2024-7-20 19:06

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังปราณ +20 ย่อ เหตุผล
Watcher + 20

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก
พู่กันคัดอักษร
แหวนดาราจรัส(D)
ชุดฉิงโหรว(เจียยวี่)
กระบี่คู่สลักจันทรา
ลาภลอย
หน้ากากอำพรางภูต
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x10
x20
x20
x3
x90
x110
x2
x2
x120
x10
x1
x1
x1
x1
x30
x4
x20
x5
x5
x2
x13
x1
x4
x2
x2
x4
x29
x7
x1
x30
x5
x22
x8
x3
x2
x5
x6
x1
x1

18

กระทู้

224

ตอบกลับ

1954

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
2
ตำลึงทอง
79
ตำลึงเงิน
1510
เหรียญอู่จู
37192
STR
53+7
INT
70+0
LUK
6+2
POW
74+5
CHA
97+27
VIT
25+7
‘ หลี่ผู่เยว่ • 李谱月 ’
เลเวล 1
คุณธรรม
9964
ความชั่ว
724
ความโหด
5121
โพสต์ 2024-8-2 23:15:00 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-8-2 23:20




บังเอิญพบ
วันที่ 28 เดือน 07 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลาสิบสี่นาฬิกาเป็นต้นไป


“ พระสนมท่านทำได้ดีนักเจ้าค่ะ ! ”

กระรอกน้อยปรบมือด้วยความปลื้มใจ นางเดินล้อมหน้าล้อมหลังลู่เจี๋ยยวี่อย่างตื่นเต้นทันทีที่มาถึงระเบียงทางเดินซวิ่นเยว่พร้อมพูดไม่ขาดปากว่าผู้เป็นนายเก่งกาจอย่างไรทว่าความสดใสนี้ดูเหมือนจะไปเข้าตาคนใหญ่คนโต ไม่นานหลังจากเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว หนึ่งในคนที่นางคุ้นหน้าในวังหลังก็ย่ำเท้าเข้ามาทักทายด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม

“ ลู่เจี๋ยยวี่ ”

“ ถงกูกู่ ”

หัวหน้านางกำนัลตำหนักเซวียนเต๋อเดินออกมาจากทางแยกอีกฟาก “ ยินดีกับลู่เจี๋ยยวี่ที่ได้รับราชโองการเลื่อนขั้นพร้อมประทานตำหนัก ” ไป๋หรั่นที่เดิมมีสัมพันธ์อันดีทั้งกับอีกฝ่ายนายเหนือหัวของอีกฝ่ายต่อให้ได้ยินคำแสดงความยินดีประเภทนี้มาตลอดทั้งเช้า ก็ใช่ว่าจะมองข้ามหรือทำเป็นไม่ตอบรับ

“ นับว่าเป็นเกียรติของข้าที่ได้ฟังคำนี้จากท่าน ”

“ ลู่เจี๋ยวยวี่อย่าได้เกรงใจไป ยังมีอีกท่านที่อยากเอ่ยแสดงความยินดีด้วยตัวเอง ” ถงรั่วหลันระบายยิ้มอย่างใจเย็น หญิงวัยกลางคนถอยหลังหนึ่งก้าวก่อนจะผายมือเป็นการเชื้อเชิญแขกให้ก้าวไปตามทางที่มีคนรออยู่

ที่รอนางอยู่ไม่ใช่เรือนร่างคุ้นตาแต่เป็นเกี้ยวหลังหนึ่ง

เกี้ยวไม้หลังนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าต่อให้ไม่เคยเห็นก็ยังรู้ได้ว่าผู้ใดกันที่เป็นเจ้าของ ไป๋หรั่นหันหน้ากลับไปมองถงกูกู่ที่ปลีกตัวออกไปยืนอีกทางหลังจากเปิดประตูเกี้ยวด้วยสายตาครุ่นคิด

“ ยามเมื่อรอดพ้นจากเภทภัย นับจากนี้ไปอุปสรรคใดก็คงขวางเจ้าไว้ไม่ได้ ”

สิ่งนี้คือประโยคแรกที่ลอยเข้าสู่โสตประสาทเมื่อนางก้าวพาร่างขึ้นไปบนเกี้ยว และแน่นอนว่าผู้ที่กล่าวสิ่งนี้ออกมาย่อมเป็นคนที่นางคาดไว้แต่แรกแล้ว

“ เด็กน้อยยินดีด้วยกับการเลื่อนขั้น ” เซียวจื่อไท่โฮ่วยิ้มจนแก้มแทบแตก นางตื่นมาแต่เช้าพร้อมได้ยินบุตรชายบอกว่าวันนี้จะมีเรื่องให้เสด็จแม่ได้ตื่นตา นึกไม่ถึงเวลาว่าต่อมาจะได้ยินเป็นข่าวการประกาศราชโองการเลื่อนตำแหน่งให้กับเหม่ยเหรินที่เคยอยู่ในสายตานางมาตลอดทั้งอาทิตย์ “ เขามอบตำหนักใดให้กับเจ้านะ? ชุนฉวี่? ชิวเป่า?

“ เป็นตำหนักตงเฉินเพคะไท่โฮ่ว ”

คำตอบของนางทำให้นางหงส์วัยกลางคนเงียบไปเล็กน้อย สายตาของพระนางอ่อนลงด้วยความเมตตา “ เด็กคนนั้นเข้าใจเลือกจริง ๆ ตงเฉินในอดีตนั้นเป็นตำหนักของเต๋อเฟยในหลายรัชกาลที่ผ่านมา ทุกนางล้วนเป็นที่โปรดปราน ” หลิวเช่อมอบตำหนักนี้ให้นางส่วนหนึ่งคงเพราะอยากย้ำเตือนถึงศีลธรรมและจริยาที่แฝงอยู่ในกายนางเพื่อที่จะได้ไม่มีใครกล้าต่อกรทั้งยังแบ่งเอาพื้นที่ซึ่งเรียกได้ว่าสงบที่สุดของวังแบ่งไว้ให้นางดูแล

ท่าทางลูกชายของนางจะประเมินความสามารถของลู่เจี๋ยยวี่ผู้นี้ไว้สูงไม่น้อย ทว่าใจของสตรีวัยแรกรุ่นหาได้มองเกราะป้องกันเหล่านี้ออก เรื่องสัมพันธ์หนุ่มสาวอย่างไรก็ต้องใช้เวลา นางส่ายศีรษะไปมาราวกับว่านอกเหนือจากนี้คงไม่สามารถพูดได้แล้ว “ จะอย่างไรก็ช่างเถิด เมื่อครู่นี้อ้ายเจียเห็นว่าเจ้าถูกคนว่าร้ายยังกล่าวกับรั่วหลันอยู่เลยว่าสมควรไปช่วยเจ้าสักหน่อย นึกไม่ถึงผ่านมาแค่วันก็รู้จักรับมือคนแล้ว ”

“ ทั้งหมดต้องกราบขอบพระทัยพระองค์ที่ช่วยอบรมสั่งสอนเพคะ ” ไป๋หรั่นคงไม่สามารถประกาศออกมาด้วยตัวเองว่าหม่อมฉันสุดทนแล้วเพคะถึงได้เลือกสวนกลับ ทว่านางกลับใช้ความจริงหนึ่งส่วนบาง ๆ มาเป็นตัวรับคำชมในครั้งนี้

ตลอดระยะเวลาในเซวียนเต๋อนางคอยสังเกตและซึมซับทั้งคำพูด วิธีการ รวมไปถึงการตัดสินใจของผู้เป็นไท่โฮ่วอยู่เงียบ ๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าไร้ซึ่งจุดบกพร่องด้านมารยาทในวัง เหลือก็แต่ต้องลับเขี้ยวเล็บให้คมกว่านี้สักหน่อยเพื่อเอาชีวิตรอดในเขตแดนแสนอันตรายอันกว้างใหญ่เช่นวังหลวง

“ อบรมน่ะ อบรมไปแค่นิดเดียว ดูเจ้าสิ นำไปใช้เสียคล่องมือนัก ” คนอย่างหวังจื่อใช้ชีวิตมานานเห็นสตรีมาหลายรูปแบบ กับแค่เด็กสาวรุ่นลูกคนเดียวนางย่อมดูออกมานานแล้ว ลู่ไป๋หรั่นเป็นเด็กฉลาด รู้จักอดทน หน่วยก้านดีทั้งยังความคิดความอ่านไม่เลว อีกทั้งลูกชายนางก็ดูจะเอ็นดูอยู่มาก จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในรายชื่อที่นางคิดอยากสนับสนุนให้เติบโตเพื่อกลายไปเป็นหนึ่งในลมใต้ปีกคนสำคัญ

ยามนี้ราชสำนักขาดทุนรอนเพราะสงคราม.. นางที่เป็นบุตรสาวคหบดีเรื่องนี้นับว่าช่วยส่งเสริมได้เป็นอย่างมาก

“ อ้ายเจียกำลังจะกลับตำหนักเซวียนเต๋อ เจ้า.. ”

เพื่อเป็นการทดสอบหนสุดท้าย เซียวจื่อไท่โฮ่วเอ่ยเบา ๆ อย่างไร้คำบอกใบ้ แต่ตามประสาเด็กดีรู้จักเอาอกเอาใจผู้ใหญ่ ลู่เจี๋ยยวี่ระบายยิ้มเบาบางพลางตอบว่า “ ถ้าเช่นนั้นให้ไป๋หรั่นร่วมทางไปส่งพระนางที่ตำหนักแล้วให้หม่อมฉันอยู่สนทนาคลายเหงาดีหรือไม่เพคะ? ”

เห็นไหม.. เด็กคนนี้ไม่เคยทำให้นางผิดหวังเลยแม้แต่ครั้งเดียว



[NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว
+20 ความสัมพันธ์โบนัสหัวดี
+5 ความสัมพันธ์สนทนาประจำวัน






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 14599 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-8-2 23:15
โพสต์ 14,599 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก พิมพ์นิยม  โพสต์ 2024-8-2 23:15
โพสต์ 14,599 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก ชุดฉิงโหรว(เจียยวี่)  โพสต์ 2024-8-2 23:15
โพสต์ 14,599 ไบต์และได้รับ +4 ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-8-2 23:15
โพสต์ 14,599 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม +3 ความชั่ว +5 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2024-8-2 23:15

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังปราณ +25 ย่อ เหตุผล
Watcher + 25

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณจิ้งจอกสวรรค์(ไม้)
เสน่ห์ฟ้าประทาน
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x2
x6
x5
x2
x4
x8
x2
x4
x1
x11
x10
x3
x4
x16
x3
x5
x4
x1
x7
x6
x4
x11
x4
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้