รุ่งสางน้ำค้างลงจับขอบขาว เหล่านางกำนัลตื่นแต่ฟ้ามืดวังหลวงเต็มไปด้วยผึ้งงานผู้ขยันขันแข็ง
ด้านทิศใต้มีกูกูยืนอบรมนางกำนัลน้อยหน้าใหม่ ทิศเหนือคือกงกงแถวหนึ่งช่วยกันขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ไปยังเรือนอู๋ซั่ว ด้านข้างระเบียงเหล้าสาวงามผู้ได้รับการแต่งตั้งยศฐาจับกลุ่มสนทนาพาทีบ้างก็ประลองเชิงลับสมองกันอยู่ด้านในศาลา พวกนางแต่ละคนล่วนเฉิดฉันท์มีเอกลักษณ์บางคนโดดเด่นออกมาราวดอกฝูหรงท่ามกลางใบหญ้า
สำหรับสนมชุดแรกที่หวงตี้รับเข้าวังมีครบทุกรูปแบบ ทั้งอ่อนหวานชดช้อย สดใสเริงร่า แม้แต่เหย่อหยิ่งเย็นชา..
เหล่าสาวงามอยู่ในอาภรณ์เครื่องแบบลดหลั่นตามศักด์ฐานะบ้างนั่งบ้างยืนพิงราวระเบียง ต่างประโคมประดับประดากายด้วยเครื่องประทินโฉมปิ่นอัญมณีดอกไม้ผ้า หวังว่าจะมีวาสนาเข้าตานายเหนือหัวบุรุษเพียงผู้เดียวที่สตรีทั่วหล้าใฝ่ฝันถึง บ้างพยายามสร้างจุดดดดเด่นให้เป็นที่จดจำกระทั่งสวมม่านคลุมหน้ารึประดับช้องผมหนักๆ ไว้บนหัวก็มี
ท่วงท่างดงามราวนางสวรรค์ ทว่าวาจาที่พ่นออกมาส่อกิริยาไม่พึงมี
“ รุ่งสางมีข่าวน่าตระหนกใจ.. อุทยานทีงดงามถึงกับพบศพเหม่ยเหรินผู้หนึ่งอยู่กลางน้ำ ”
“ ข้าเองก็ได้ยินพวกขันทีคุยกันฟังว่าร่างไร้วิญญาณนั่นคือเย่เหม่ยเหรินที่พึ่งมีเรื่องวิวาทไปกับสนมแซ่ลู่ เจ้าคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่… ”
“ หึ.. พูดถึงนังคนแซ่ลู่นั่นอีกแล้ว ใครจะเกิดใครจะตายทำไมพักนี้ไปไหนข้าได้ยินแต่ชื่อนังจิ้งจอกนั่นจนรำคาญหูไปหมด ” น้ำเสียงติดจะขุ่นใจมาจากสตรีปักปั่นเหมยแดงผู้โดดเด่นอยุ่กลางวงสนทนา
“ กงซุนเหม่ยเหริน.. พวกข้ามิได้ตั้งใจพูดถึงนางผู้นั้นสักหน่อย เหตุคราวนี้ร้ายแรงถึงขั้นมีคนตายหากยังจับตัวคนร้ายมิได้ ใครจะรู้ล่ะว่ารายต่อไปอาจเป็นหนึ่งในพวกเรา.. ” สองสนมคอยพะเน้าเอาใจธิดาสุกลใหญ่พยายามให้เหตุผลแต่ยิ่งพูดยิ่งสั่นกลัว
“ ไร้สาระ ตำหนักในมีสนมนางกำนัลมากมายจะหายไปสักคนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เย่เหม่ยเหรินนางแส่หาเรื่องเองจะโทษใครได้ ได้ยินว่านางยังไม่เคยได้พบฝ่าบาทเลยสักครั้ง บุญน้อยด้วยวาสนาแท้ น่าเวทนาจริง ”
‘เย่หลิงเอ๋อร์’ เลื่องลือว่างามเป็นรองเพียงลุ่ไป๋หรั่น ศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยูฅ่ดีๆ กลับหมดลมหายใจไปเองทำเอาเจ้าของปิ่นเหมยแดงมีความสุขบนกองทุกข์ผู้อื่น ไม่ว่าผู้ใดช่วยขจัดเส้ยนหามขวางทางตนล้วนพอใจยิ่ง
ทุกคนเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ชวนเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง พลางสนทนาถึงทิวทัศน์ชมนกชมไม้ไม่มีใครยกเอาเรื่องเคราะห์ร้ายของคนผู้หนึ่งมากวนอารมณ์ธิดาสกุลใหญ่ เรื่องราวความเป็นความตายของสตรีหนึ่งคน เบาดุจขนนก ไม่มีค่าให้ใส่ใจถึงเพียงนี้
ท่าทียิ้มหัวเสียงกระซิกต่อคำขานจริตสตรีมารยาร้อยเล่มเกวียนราวกับเป็นของคู่กันกับเหล่านงคราญวังหลัง น้อยคนนักเมื่อจับพลัดจับผลูตกลงสู่วังวนอำนาจฝ่ายในแล้วจะยังคงความบริสุทธ์กระจ่างในแววตาเอาไว้ได้ ใกล้หมึกเปื้อนดำ ใกล้ชาดเปื้อนแดง กลุ่มของเหล่าสนมขั้นสี่ริมระเบียงซวิ่นเยว่ภายใต้การนำของธิดากงซุนเป็นตัวอย่างถึงสำนวนนี้ได้ดียิ่ง
ตายได้ดี.. พวกนางจิ้งจอกรีบๆ ไปตายกันให้หมด ฝ่าบาทจะได้เป็นของข้าเพียงผู้เดียว!!
‘กงซุน เป่าหลิน’ ลูบพัดกลมในมือเพราะลำพองใจเมื่ออยู่ท่ามกลางพวกพ้องจึงไม่ทันสังเกตเห็นสาวงามอีกกลุ่มเดินมาทางนี้ หนึ่งในนั้นคือสตรีสวมหน้ากากทองคำฉลุลวดลาย อาภรณ์ขาวตัวเสื้อชมพูกลีบอิงฮวาแขนเสื้อยาวกร่อมพื้นบ่งบอกยศเหม่ยเหริน รอบกายนางมีทั้งเหล่าไฉเหรินและสนมศักดิ์เดียวกันรายล้อมกำลังสนทนาเรื่องศาสตร์การบำรุงผผิวพรรณ นับได้ว่าสตรีผู้นี้มีความสามารถผูกมิตรได้อย่างรวดเร็ว
‘เหม่ยเหรินสกุลลู่.. เหม่ยเหรินสกุลเย่ ในวังหลวงมีคนตายได้ง่ายเพียงนั้น?’ ดรุณเสียงทองชะงักบทสนทนาไปทั้งหวั่นวิตกและหววั่นใจกับข่าวลือที่ตนได้ยิน
“ นั่นกงซุนเหม่ยเหรินนี่! เจานางแต่หัววันโชชคร้ายจริงๆ พวกเราไปทางอื่นกันเถอะ ”
หมิงไฉเหรินอุทานเสียงเบาแรกได้เห็นสตรีปิ่นเหมยแดงก็รั้งแขนพี่น้องอีกสองคนไว้ พยักหน้าบุ้ยใบ้ว่าจะเดินย้อนกลับทางเก่า ฝั่งของฝูมี่ยังงุนงงอยุ่มากพอสอบถามก็ได้ความว่าอีกฝ่ายเป็นธิดาขุนนางมียศ อุปนิสัยใจคอคับแคบยิ่งเหล่าไฉเหรินตัวเล็กๆ แรกเข้าวังมาก็ถูกหาเรื่องอย่างไม่เป็นธรรมไปหลายคน จนถึงตอนนี้ยังไม่มีสักคนที่กล้าทำอะไรนาง
“ คนที่เสียงดังที่สุด คนที่จงใจแต่งตัวอย่างโดดเด่นที่สุด ก็คือนางผู้นั้น.. กงซุนเหม่ยเหริน”
“ กิติศัพท์ของนางไม่ธรรมดาราวกับสนมหมาบ้ากัดคนไปทั่ว เหม่ยเหม่ยเจ้าเข้ามาใหม่แนะนำให้หลบเลี่ยงนางผู้นั้นไว้จะดีกว่า.. พวกข้าไปก่อนนะ ”
สนมหมาบ้า.. ฝูมี่แทบหลุดหัวเราะพูดจาเสียเห็นภาพ ทั้งยังโบกมือส่งพี่น้องที่พึ่งรู้จักกันหมาดๆ ให้กลับเรือนพัก ด้านของฝูมี่ตนไม่คิดว่ากุลธิดาขุนนางใหญ่ผู้ได้รับการอบรมต่างจากสาวชาวบ้านจะไร้เหตุผลเพียงนั้น เป็นไปได้ว่าชื่อเสียงแย่ๆ ของอีกฝ่ายมาจากความเข้าใจผิดอีกทั้งตนพึ่งเข้าวังไม่เคยทำสิ่งใดเป็นการล่วงเกินใครจึงก้าวไปยังโถงระเบียงนั้นต่อ เสียงหยกพกข้างเอวกระทบเป็นทำนองไพเราะแผ่นหลังตั้งตรงริมฝีปากหยักรอยยิ้มเป็นมิตร
ขึ้นชื่อว่าเภทภัย ต่อให้เจ้าไม่ต้องการ หายนะก็จ้องเล่นเจ้าสักทางจนได้
“ สตรีสวมหน้ากากทองคำ นั่นใช่… ”
“ โอ้ วันก่อนผู้เชิญพระเสาวนีย์จากตำหนักเซวียนเต๋อมาหาเหม่ยเหรินสวมหน้ากากทองคนหนึ่ง ‘ซ่างกวนเหม่ยเหริน’ ก็คือนางผู้นั้นเอง ”
“ นางสวมหน้ากากเข้าวังกลับไม่มีใครคัดค้าน เรื่องนี้ออกจะลึกลับอยู่บ้าง.. ”
“ หึ!! ถือว่าตัวเองไม่มีสิ่งใดโดดเด่นเลยสร้างจุดสังเกตให้ฝ่าบาทสะดุดตาสินะ มารยาชั้นต่ำคิดว่าข้ามองไม่ออกรึยังไง! กำพืดชั้นต่ำ!! ” ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบสตรีปิ่นเหม่ยแดงใจกลางวงสีหน้าดูไม่สบอารมณ์ขึ้นทุกที
“ หากไม่อัปลักษณ์ละก็ นางคงมาจากคณะละครเร่ไร้หัวนอนปลายเท้าถึงได้สวมปกปิดตัวตนด้วยความละอายมิกล้าสู่หน้าผู้คน!! ” เพื่อเอาอกเอาใจบ้านกงซุนจึงช่วยผสมโรงใส่ไฟราดน้ำมัน
“ แต่ข้าได้ยินว่าเหม่ยเหรินที่เข้าวังมาใหม่มีนางเดียวจากตระกูลกงซุน เป็นถึงธิดาคนเล็กเจ้ากรมคลัง อีกทั้งยังเป็นที่รักของชาวเมืองลั่วหยาง.. ฟังว่านางเป็นคนเดียวที่ไม่ต้องคัดเลือกคุณสมบัติก็ได้รับตำแหน่งสนมขั้นสี่คงไม่อัปลักษณ์เพียงนั้น ” อีกสิ่งที่จินเหม่ยเหรินไม่ได้กล่าวออกไป นั่นคือชื่อเสียงธิดาผู้นี้ไร้จุดตำหนิด่างพร้อยแม้แต่พี่ชายน้องชายในบ้านนางยังส่งเทียบสู่ขอไปถึงลั่วหยางอยู่หลายหน
เปาะ!!
ด้ามพัดในมือกงซุนเป่าหลินหักกลางทันที ตล้ายไปจี้ถูกจุดกลางใจ อาศัยศักดิ์ฐานะยังสู้ฝ่าฟันการคัดเลือกเข้มงวดหลายด่านเพื่อเข้าวัง กว่าจะได้รับยศเหม่ยเหรินต้องคุกเข่าสามวันสามคืนขอร้องให้บิดานาง ‘กงซุนโหว’ ออกหน้าไม่รู้กี่มาก ‘ชาติตระกูลสูงส่ง’ คือจุดแข็งเพียงอย่างเดียวที่นางมีหลังใช้ชีวิตมากับการกดหัวลูกเมียรองไม่ให้กล้าหือ พกพาความลำพองใจในฐานะคุณหนูจวนโหวเสมือนเกราะคุ้มกายให้ผู้คนพินอบพิเทาเอาอกเอาใจ
จะลูกพ่อค้า ลูกบัณฑิต ขี้ครอกเมียรอง จะกี่สิบกี่ร้อยกงซุนเป่าหลินคนนี้ไม่เคยหวั่น
เศษธุลีไร้หัวนอนปลายเท้าพวกนั้นนางไม่อาจยอมรับเป็นคู่แข่งตัวฉกาจ เสนียดบารมีขุนนาง!
นางเคยลิ้มรสเกียรติยศเป็นเหม่ยเหรินผู้มีชาติตระกูลสูงส่งที่สุดในวังหลัง มีหรือจะยอมให้ตำแห่งของตนสั่นคลอน ยิ่งมีสายตารอบด้านจับจ้องแผ่นหลังทิ้งความกังขา พวกจิ้งจอกพวกนี้กำลังลอบประเมินในใจ ‘ธิดาจวนโหวกับธิดาเจ้ากรมคลังเผชิญหน้า ใครกันจักเติบโตเป็นไม้ใหญ่ให้พึ่งพิงได้ดีกว่า’ กงซุนเป่าหลินลุกขึ้นยืนขวางด้านหน้าของสตรีหน้ากากทองดวงตาจดจ้องราวกินเลือดกินเนื้อ
ใครยอมข้าอยู่ ใครขวางข้าตาย!
วันนี้นางจะประกาศศักดา หากทำให้ซ่างกวนเหม่ยเหรินมาเป็นคนใต้อานัติไมไ่ด้
ต้องเหยียบให้จมดิน! เชือดไก่ให้ลิงดู!
“พวกเจ้า!! ไปจับตัวนังแพศยามาเบื้องหน้าข้าเดี่ยวนี้!! ”
สิ้นคำตวาดก้องไปทั่วบริเวณเหม่ยเหรินรับใช้ทั้งสองที่เลี่ยงคำสั่งไม่ได้ต่างตัวสั่นอย่างขลาดๆ รีบเข้าไปจับแขนซ้ายขวาของสตรีผู้โชคร้าย เหล่าสนมริมระเบียงบ้างสะดุ้งโหยง บ้างหันไปมองต้นเสียงพบว่าเป็นเจ้าดังเจ้าเดิมในการหาเรื่องคนไร้ทางสู้ก็ลอบส่ายหน้าระอาใจ เห็นอีกทางเป็นน้องให่พึ่งเข้ามาตัวเล้กๆ ราวกับจะปลิวลม
“ พวกเจ้าจับข้าทำไมมีเรื่องอัน.. ” ฝูมี่แตกตื่นยิ่งจะขยับแขนตนออกจากการจับกุมก็มีเงาทะมึนมายืนอยู่เบื้องหน้า
เพี๊ยะ!!
หมั่นใส้!! ขนาดเสียงพูดยังเสนาะหู แววออดอ้อนเจ็ดส่วน บริสุทธิ์เดียงสาสามส่วน! อันตรายยิ่ง!
“ แพศยา! ใส่หน้ากากเดินลอยหน้าลอยตาคิดจะดึงดูดพระทัยฝ่าบาทงั้นหรอ ไม่เจียมกะลาหัว! ”
หนึ่งฉาดปรากฎรอยแดงห้านิ้วขัดตาบนนวลแก้มขาว ฝูมี่เป็นดรุณีผิวอ่อนลำบังผ้าเนื้อหยาบสักหน่อยก็ทำเอานางระคายตัวประสาอะไรกับการประทุษร้ายด้วยกำลัง โดนตบหนึ่งคราร่างบางเซถลาราวนกปีกหักทรุดลงไปทั้งแบบนั้นภายในหัวมึนงงทำสิ่งใดไม่ถูก ถึงจะกระทันหันฉับไว ท่าทีการล้มกลับมีองศาที่เหมาะเจาะพอดีชายอาภรณ์พลิ้วลงเรือนผมสะบัดทิ้งตัวราวมัจฉาแหวกว่าย เหล่านางกำนัลขันทีฝ่านทางล้วนตกตะลึงกับภาพตรงหน้าแม้ใจสงสารเวททา ทว่าก็ลอบชื่นชมว่าบุตรีบ้านใดหนาขนาดโดนตบยังรักษาความสง่างามทุกกิริยาไว้ได้ราวภาพจิตรกรรม
“ โอย.. เจียเจียผู้นี้ตบข้าทำไม เจ็บนะ.. ”
เสียงครวญเต็มประโยคราวกระทบหยกทำคนฟังสั่นสะท้านไปอีกระรอก ช่างไพเราะบริสุทธิ์อย่างตัวจับยากนี่แค่พูดธรรมดายังชวนฟัง หากขับร้องทำนองคงทำผู้คนลืมเลือนสิ้นปัจจุบันกาล ฝูมี่เงยใบหน้าขึ้นสองตาพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำไม่ทราบว่ามีสิ่งใดผิดพลาด
ท่ามกลางความหวาดหวั่น อีกฝ่ายราวยักษ์มารถลึงตามองตนอย่างน่ากลัว
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว หน้ากากนี้เพราะมีเหตุจำเป็นจึงต้องสวมติดกายหากทำให้พวกท่านไม่สบอารมณ์ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ รึหากชื่นชอบหน้ากากชิ้นนี้ ข้าจะให้ช่างฝีมือทำขึ้นมาสักหลายชิ้นแจกจ่ายไว้ใส่เล่นกันดีรึไม่? ”
ข้าหยิบยื่นดอกไม้ มอบความเป็นมิตรให้ท่าน.. น่าเสียดายอีกฝ่ายกลับไม่รับ
“ บังอาจนัก! ไม่ต้องมาแก้ตัวคิดว่าข้าผู้ธิดาเยี่ยนโหวผู้สูงส่งเป็นขอทานรึไง!! ใครอยากได้หน้ากากผีๆ ของเจ้ากัน วันนี้ข้าจะสั่งสอนให้รู้สำนึก จำใส่หัวชั้นต่ำของแกเอาไว้อย่าริอ่านตีตนเสมอข้า!! ”
“ มังกรผลัดถิ่นรึจะสู้งูดินเจ้าที่! ธิดาเจ้ากรมคลังอย่างนั้นหรอ? เจ้ามีชื่อเสียงในลั่วหยางแล้วอย่างไร แน่จริงให้เจ้าพวกไพร่ทาสชาวบ้านต่ำต้อยนั้นมาช่วยเจ้าสิ ” กงซุนเป่าหลินถกแขนเสื้อขึ้นสูงโทสะความริษยากลืนกินสติรับรุ้เพียงว่าต้องกดหัวนังคนช้ำต่ำให้จมดิน ในเหล่าธิดาขุนนางคนจะได้ขึ้นเป็นผู้นำรับเกียรติยศทั้งหมดต้องเป็นนาง
เพี๊ยะ!!
ฮัดเช้-!!
เงื้อมือฟาดลงครานี้กลับเป็นจังหวะที่เป้าหมายคัดจมูกเข้าพอดีหนึ่งฝ่ามือจึงประเคนถึงใบหน้านุ่มๆ ของผู้ที่จับแขนฝูมี่เอาไว้ ‘เฉาเหม่ยเหริน’ เสียงกระทบดั่งสนั่นกว่ารอบก่อนหญิงงามถูกแรงตบคอสะบัดไปอีกทางท่ามกลางความงุนงงของทัง้สาม พอหันหน้ากลับมาอีกครั้งแก้มนั้นเล่าก็บวมเป่งน่ากลัว
“ เจี่ยเจียท่านเจ็บรึไม่.. ” ฝูมี่หน้าซีดเผือดเบิดกวงตากลมโตถามอีกคนอย่างเป็นห่วงลืมสถานการร์ตรงหน้าชั่วคราว
“ กงซุนเหม่ยเหริน ท..ท่านตบข้า!! ” เฉาเหม่ยเหรินยังไม่ทันพูดต่อก็ถูกตบอีกฉาดเลือดไหลซึมมุมปาก
“ นังโง่! จับคนแค่นี้ยังทำไม่ได้สมองเขลาเบาปัญญาจริง!! จับไว้ให้มั่น!! ”
อารามร้อนใจสายตาจับจ้องเพียงสตรีหน้ากากทองสมควรตายตรงกลางไม่ได้ใส่สมาะิกับสิ่งอื่น หลังเงื้อมือแล้วฟาดลงอย่างฉุนเฉียวน่าประหลาดที่ทุกครั้งฝ่ามือของกงซุนเป่าหลินจะผิดทิศผิดทางไปลงกับลูกสมุนตน ยิ่งตบซ้ำก็ยิ่งคลาดเคลื่อนนางไม่ยอมแพ้! ตัวฝ้ามืออย่างคนคลุ้มคลั่งซัดใส่ต้องกระชากให้เห็นใบหนน้าซ่างกวนเหม่ยเหรินให้ได้
คว้าครั้งแรกเหยียบถูกใบไม้ไถลไปลงอู่เหม่ยเหริน
เสยขึ้นอีกครั้งฝูมีหลับตาก้มหลบโดนมวยผมของเฉาเหม่ยเหรินเต็มๆ
ครั้งที่สามธิดากงซุนถกแขนเสื้อจนสุดกางเล็บสุดแรงก็เป็นจังหวะที่วิหคปริศนาพุ่งเข้าใส่
เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ !!
“ โอย… นังคนโหดร้าย!! ” เฉาเหม่ยเหรินลืมตาขึ้นอีกครั้งสองแก้มบวมอย่างน่ากลัวไม่ต่างกับหัวหมู
น้ำเสียงสามสาวระงมอย่างไมไ่ด้รับความเป็นธรรม เดี๋ยวก็คนตาย แล้วก็คนตีกัน ฝูมี่ตัวสั่นปากซีดเผือดแทบจะหมดสติอยุ่ร่อมร่อวังหลวงน่ากลัวนักนางไม่อยากอยู่แล้ว!! เหล่าธารกำนัลลอบมองแล้วเวทนาจับใจแต่มิอาจเข้าไปช่วยเหลือได้ด้วยเป็นการวิวาทของเหล่าสตรีในองค์จักรพรรดิ์ เบื้องหลังแต่ละคนคือผู้มีอำนาจใครเล่าจะกล้าไปขวาง
เห็นสภาพคนขนาบแขนตนทั้งสองยับเยินจนแทบทรงตัวไว้ไม่อยู่ ฝูมี่ข่มความกลัวของตนเอ่ยประณีประนอมด้วยหัวใจเต้นระส่ำ
“ ค..ค่อยพูดค่อยจาดีรึไม่ท่านต้องการให้ข้าทำอย่างไรจึงจะลดควมขุ่นเคืองลง เราท่านต่างเป็นธิดาผู้มีศักดิ์ การใช้กำลังเช่นนี้มิเหมาะสมทำร้ายกันไปมีแต่สร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูล ”
ถึงจะเป็นท่านทำร้ายพวกข้าอยู่ฝ่ายเดียวก็เถอะ..
ถูกคนเขารังแก เจ้ากวางน้อยจวนซ่างกวนยังคงมีใจห่วงใยผู้อื่น เหล่าผู้ลอบสังเกตการณ์ที่ได้ยินได้ฟังลอบให้น้ำหนักไปทางฝ่ายคนถูกกระทำอยู่ในใจ หากวันหน้ากงซุนเป่าหลินขึ้นเป็นใหญ่ชีวิตในวังหลังของพวกตนต้องลำบากเกินจินตนาการ มิสู้สนับสนุนผู้จิตใจงามเช่นซ่างกวนเหม่ยเหริน แม้จะดูบอบบางไร้เรี่ยวแรงสู้คนทว่าไม่มีวันทำร้ายใครก่อนแน่!!
“ พวกเจ้าถอดหน้ากากของนังอัปลักษณ์นี่ออก!! ” หากโฉมฉุดผาดเฉิดฉันท์แล้วอย่างไรนางจะทำลายเสีย ไม่ต้องมีหน้าไปยั่วยวนฝ่าบาท!
ไฉเหรินผู้หนึ่งกลับเห็นสบโอกาสเมื่อผู้ลงงมือเริ่มเหนื่อยอ่อนและได้สติจึงกระซิบกระซาบรดน้ำมันลงกองไฟ ‘มารดานางเป็นแค่หญิงตาเดียวไม่สมประกอบ เที่ยบศักดิ์กับท่านยิ่งเป็นการดูหมิ่น!’ กงซุนเป่าหลินควันร้อนออกหู แต่ไหนแต่ไรมาเรื่องฐานะถือเป็นสิ่งเดียวที่นางไม่ยอมให้ใครมาล้ำหน้าตน หากอีกฝ่ายมิใช่เชื้อพระวงศ์มียศอย่าหวังให้ลดตัวไปเกลือกกลั้ว!
“ หุบปากเดี๋ยวนี้! เป็นแค่ลูกหญิงพิการตาเดียวโสโครกถือดีอย่างไรมาสั่งสอนข้า หงส์กับกาไม่ร่วมวงศ์กันริอาจนับข้าไปอยู่ระดับเดียวกับเจ้า ไม่สำเหนียกกำพืดตน! ข้าจะใช้กำลังกับเจ้าแล้วมันทำไม เจ้ากล้าขัดคำสั่ง? คุกเข่าลงให้ข้าสั่งสอนนังหญิงแพศยา!”
เพี้ยะ!!
เสียงสูดริมฝีปากจากรอบข้างทั้งยังพรั่นพรึงใจคำกล่าวดุเดือด วาจาเหิมเกริมด้วยขาดสติรุนแรงยิ่งหนึ่งฝ่ามือครานี้ฝูมี่มิอาจไม่รับ ‘หญิงพิการ’ คำของกงซุนเป่าหลินดุจกรดพิษสาดใส่นางหัวจรดเท้าทั้งกายไม่ขยับเย็นเฉียบไปทั้งตัว ใบหน้าใต้หน้ากายากจะชัดแจ้งถึงอารมณ์หยาดร้อนผ่าวทะลักล้นแต่ละหยด แฝงไว้ด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม
จะตบตีกล่าวโทษตนนั้นไม่เป็นไรเลย ฝูมี่ทราบดีว่านางยังมีข้อบกพร่องอีกมากสมควรถูกตำหนิ
ทว่ามารดานั้นแตกต่าง มารดาผู้สมบูรณ์แบบของนางทำสิ่งใดผิดร้ายแรงหรือ จึงถูกประนาม?
“ หึ.. ถ้าเจ้าคลานสี่ขามาเรียกข้าวว่านายหญิงจากวันนี้เป็นวัวเป็นม้ารับใช้ข้า เรื่องคราวนี้ถือว่าแล้วกันไปก็ได้ ทำไม? ตอนนี้ถึงกับพูดไม่ออกเลยสิ ข้าช่วยทำให้เจ้าเป็นเหมือนแม่พิการนั่นเอาไหม! ” กล่าวจบปิ่นเหมยแดงก็ถูกปลดลงมา ประกายสีทองคมกริบในมือหญิงอำมหิตคุกคามหมายจะทำลายโฉมและควักเอาดวงตาของอีกฝ่ายออกมาหากอีกฝ่ายไม่ยอมคุกเข่า
‘จงมองดูให้ชัด มันผู้ใดกล้าลบหลู่ข้ากงซุนเป่าหลิน จะมีสภาพไม่ต่างจากนังคนนี้ ข้าจะทำให้พวกเจ้ายำเกรงไม่กล้าดูหมิ่นข้า!!’
เสียงซุบซิบโดยรอบเริ่มหนาหูต่างตำหนิการกระทำธิดาจวนโหวว่าทำเกินไปบีบคั้นผู้ไร้ทางสู้จนถึงที่สุด บ้างที่อยุ่วังหลวงมานานลอบเสียวสันหลังด้วยพวกเขาทราบดีว่า ‘หญิงตาเดียว’ คนนั้นหมายถึงผู้ใด กององค์รักษ์ใครบ้างไม่รู้จักตำนานของสตรีผู้นั้น หากกงซุนเหม่ยเหรินไม่หัวสูงจนละเลยความรู้มีหรือจะไม่ทราบ ‘ไป๋หลี่ เสวียนอี’ เป็นนามที่จาบจ้วงหนึ่งครั้งล่วงเกินถึงสามตระกูลใหญ่ ผู้คนทั่วฉางอันทราบดีว่าเหตุใดนางจึงสูญเสียดวงตาขอเพียงมีข่าวลือแพร่ออกไปต่อให้เป็นจวนโหวก็ยากจะละเว้นไม่ลงโทษบุตรีไม่รู้ความ
ชาวฮั่นมุงลอบมองสังเกตสถานการณ์ ซุบซิบรันทดใจกับโชคชะตา ทว่ากลับไม่มีสักคนก้าวออกมาปกป้องดรุณีผู้ถูกรังแกอย่างไม่เป็นธรรมเลย ฝูมี่ครุ่นคิดสะท้อนใจ หากเปลี่ยนเป็นลั่วหยาง หากเปลี่ยนเป็นจวนซ่างกวน นางไม่หวังให้ครอบครัวออกหน้า คิดเพียงในช่วงเวลาที่น่ากลัวระทึกขวัญจะมีมือสักข้างของใครสักคนเกาะกุมตนไว้ มิใช่ความรู้สึกโดดเดี่ยวลำพังเช่นนี้!!
‘ไม่ว่ายืนอยู่ขอบผาเผชิญหน้ากับภัยอันตราย จงจดจำไว้ว่าเจ้าคือคนตระกูลซ่างกวน’ ฝูมี่กลั้นคำสำอื้นกลืนกลับลงไป นางจะไม่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง ไม่ทำให้พวกเขาต้องเป็นห่วง หัวใจดวงน้อยสั่นสะท้านกลัวแสนกังวลแต่ในเมื่อควาเมป็นตายยังรอดมาได้ หนนี้ นางก็ต้องรอดไปอย่างผ่าเผยเช่นกัน!
“ หึ รู้ผิดแล้วก็รีบคุกเข่าลงสิ ”
“ ไม่.. ” แรงที่กุมแขนทั้งสองอ่อนลงมาก ลึกๆ พวกเขาก็ทราบว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง
“ นังลูกหญิงแพศยาข้าบอกให้เจ้าคุกเข่า!! ”
กงซุนเป่าหลินก้าวพรวดเข้าไปกระชากผมคุ่กรณีแรงตึงนั้นเจ้บแปลบทว่าหญิงสาวผู้ครองหน้ากากกลับไม่มีแม้แต่หยดน้ำตา เนตรสีครามสว่างจดจ้องกลับไปในความกระจ่างดั่งหิมะมีกระแสธารน้ำแข็งเย็ยบเย็น กระต่ายโกรธก็กัดคนเป็นประสาอะไรกับคนตรงหน้าไปแตะถูกของต้องห้ามอย่างมารดา
“ เคารพนบน้อม รู้อาวุโส ทำดีไม่แจ้ง ทำผิดไม่หนี ทนคำหยามหมิ่น ยำเกรงเป็นนิจ นับเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน.. ” น้ำเสียงใสกระจ่างกล่าวออกมาทีละคำ เว้นทำนองน่าพิศวงทำคนฟังเคลิ้บเคลิ้มงุนงง
“ พล่ามบ้าอันใดของเจ้า !! เสียสติไปแล้วรึไง ”
“ ธิดาคือเกียรติของสกุล ความประพฤติธิดาคือหน้าตาแห่งวงศ์ตระกูล.. มารดาสอนข้าเช่นนี้ รักษาเกียรติมิใช่เพื่อตนเองคือคำสอนของสตรีในวงศ์ตระกูลขุนนาง ท่าน.. ไม่รู้หรือ? ความคิด ถ้อยคำ การกระทำ ทุกสิ่งที่ท่านทำคือข้อบ่งชี้ว่าท่านมาจากไหน เรื่องพื้นฐานเช่นนี้.. มิมีผู้ใดบอกต่อท่านเลยหรือ? ข้าให้ห่วงใยท่านจริงๆ ”
กระอักเลือดออกมา…
ทั้งเป็นเพียงคำถาม เป็นวาจานิ่มนวลอ่อนหวาน ไร้การใช้กำลัง ไม่มีดาบกลับเห็นเลือดเชือดไปถึงหัวใจ ผู้ฟังสะท้านไหวเหล่านางในลอบยกนิ้ว ขณะที่กลุ่มธิดาขุนนางเผลอถอยหลังคนละก้าวสองก้าวอดชื่นชมระคนยกย่องมิได้ สิ่งที่กงซินเป่าหลินประกาศปาวๆ เหมือนแม่ไก่ที่ขันดังสุดว่าจะสั่งสอนอีกฝ่าย กลับถูกลุกเจี๊ยบตัวน้อยจิ้บครั้งเดียวส่งคืนกลับไปทั้งหมด นี่หรือคือการอบรมของตระกูลขุนนาง นี่หรือคือการสั่งสอนที่ทำผู้คนโต้แย้งไม่ออก
ใบหน้ากงซุนเหม่ยเหรินเปลี่ยนเป้นเดือดดาลกระชากเสียจนอาภรณ์ของคุ่กรณีขาดวิ่น ผลักเต็มแรงจนร่างแบบบางล้มไปทางเสาต้นใหญ่
“... นี่ เจ้าว่าข้าขาดการอบรม!! เจ้าลบหลู่ข้า นังสารเลว!! ” เสียงซุบซิบรอบตัวทั้งโกรธทั้งอายนางไม่พอยังก้าวต่อหมายจะบีบคอให้ตายตก
จังหวะลื่นไถลทับชายชุดผ้าแพรกงซุนเป่าหลินหน้าคะมำลงพื้น แว่วเสียงคางกระทบดังสนั่นเงบขึ้นมาอีกครั้งเป็นสภาพม่าน่ามอง ถึงแบบนั้นก็ยังผูกแค้นมือนางกุมคางที่แตกชี้หน้าซ่างกวนเหม่ยเหรินผรุสวาทออกมาจนมีคนปิดหูไม่อยากฟัง
ฝูมี่ยกมือทาบแก้มตนทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงโกระแค้นตนนัก ทั้งกระวนกระวายเห็นว่ามีคนเจ็บนางอยากเอาตลับยาออกแจกจ่าย ใบหน้าของสตรีสำคัญยิ่งเกิดเป็นแผลเป็นขึ้นมาทั้งชีวิตก็จบกัน
“ ลบหลู่.. ใช่แล้ว จงลบหลู่ข้าแต่อย่าได้เอ่ยถึงท่านแม่ข้า! มารดาข้ากล้าหาญต่างจากคนขี้ขลาดอย่างข้า ข้าไม่ดีเองทำทุกท่านวุ่นวาย.. ทำให้ทุกคนขุ่นใจ หรือบางที ข้าควรหายไป ไปจากที่นี่? ทำแบบนั้นพวกท่านจะมีความสุขมากขึ้นรึเปล่า”
“ เจ้า ไม่คุกเข่าให้ข้าก็ไปตายซะ!! ” กงซุนเป่าหลินตบพื้นอย่างหัวเสีย ตนลงมือคล้ายชกลงบนนุ่น อีกทางดูไม่กลัวเกรงเหมือนคนสมองนิ่ม
“ เปลี่ยนคำขอได้รึไม่.. ร่างกายชีวิตได้จากบุพการีจะตัดสินตามอำเภอใจนั้นไม่สมควร อีกประการท่านแม่กำชับข้าว่ามีเพียงบรรพชน องค์ไทโฮ่ว และจักรพรรดิ์เท่านั้นที่สั่งให้ข้าคุกเข่าได้ คำนับนี้หากเกิดผลร้ายต่อเจ้า ข้าทำไม่ได้จริงๆ ”
“ กรีี๊ดดดด!!! ข้า… จะฆ่าเจ้า!! ” โทสะพวยพุ่งสุงเทียมฟ้าไม่มีใครกล้าหยุดสนมหมาบ้าเมื่อปราดพุ่งเข้าไปใช้มือบีบคอเล็กๆ ของนังแพศยาทันที เกิดความแตกตื่นเมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นเสียงหวีดร้องดังไปทั่วบริเวณฝูมี่หลับตาแน่นพยายามดิ้นรนจากคมเล็บที่จิกเข้าไปในเนื้อบาง
“ ช... ช่วยด้วย!! กงซุนเหม่ยเหรินจะฆ่าคนตายแล้ว!! ”
ใต้หน้ากากทองคำคือสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทรมาน นางหายใจไม่ออก! สองเท้าดินทุรนทุรายทั้งหวาดกลัวทั้งทุรนทุราย วังหลวงเป็นสถานที่น่ากลัวยิ่งมีแต่คนใจร้าย
นางไม่เอา ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว! ต้าเกอ เหม่ยเหม่ย มารับข้ากลับลั่วหยางที!!


เอฟเฟคพรสวรรค์ลาภลอย : มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
+15 EXP ฟังข่าวลือพบศพลอยในอุทยานหลวง
+ ประลองสู้ (ตบตี) สร้างความหวาดเกรงต่อสนมคนอื่น +20 บารมี
สาธุบุญชักพาวาสนาหนุนนำให้ได้ฟุบอ้อนไทเฮา หนูโดนรังแก เขาด่าแม่หนู มุแง!!
@Admin