1234
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: LinYa

[บันทึกการเดินทาง] : ความจริงแท้

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-8-15 05:02:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 15 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า เมืองหานตาน มณฑลจี้โจว - ยามซวี เมืองจี้ มณฑลเหลียงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น


เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดินหินแห้งๆ หน้าทางเข้าโรงเตี๊ยมดังก้องเป็นจังหวะมั่นคง ม้าหนุ่มพันธุ์ดีสีดำขลับแววตาเฉียบคมยืนนิ่งรออยู่ตรงนั้นราวกับมันไม่ใช่แค่ม้า หากเป็นเงาของผู้เป็นนาย ที่แสนหยิ่งยโส สุขุม และไม่ไว้หน้าใคร หลินหยาชะเง้อคอมองความสูงของมัน ก่อนจะก้มมองขาของตัวเองอย่างยอมรับความจริง หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด “...นี่ท่านแน่ใจใช่ไหมว่ามันไม่ใช่มังกรกลายร่างมา?” เธอมองจางกงกงอย่างเครียด ๆ ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนกรอกตาใส่เขานิดหน่อยแล้วสะบัดแขนเสื้อ พึมพำเบา ๆ ว่า “ข้าเป็นผู้หญิง ไม่ใช่เหยี่ยวจะบินขึ้นมาสูงขนาดนี้….แม่ง…”


จางกงกงกลับไม่ขยับไปช่วยแต่อย่างใด เขาเพียงยืนไขว้แขน มองนางด้วยสีหน้าที่ราวกับกำลังชมดอกไม้แปลกสายพันธุ์หนึ่งที่กำลังพยายามหาวิธีโหนไม้ไผ่เพื่อข้ามแม่น้ำ “เจ้าปีนขึ้นไปเองไม่ได้หรือ?” น้ำเสียงเขาราบเรียบแต่ดวงตาวาววามประหลาด “แมวอย่างเจ้าไม่ใช่สัตว์คล่องแคล่วหรืออย่างไร?”


หลินหยาเบิกตากว้าง หันขวับมามองเขาอย่างเหลืออดที่โดนว่าเป็นแมวอีกแล้ว “แล้วท่านจะให้ข้าโดดไปโดดมาหน้าชาวบ้านรึไงเล่า!” นางตวาดเบา ๆ ก่อนจะชะงัก เมื่อเห็นจางกงกงสาวเท้าเข้ามาใกล้อย่างนิ่งๆ เขาย่อตัวลง ก้มเล็กน้อย ยื่นแขนออก “ขึ้นมา ข้าจะช่วย”


“ท่านจะอุ้มข้าขึ้นม้าเหรอ?”


“หรือจะให้ข้าทำเสียงไก่ขันเรียกคนมาแบกเจ้าแทน?” เขาตอบด้วยน้ำเสียงแห้งสนิทแต่ก็ไม่มีทางให้คนอื่นมาอุ้มหรือแตะต้องนางต่อหน้าเขาหรอก หลินหยากัดฟันแน่น หน้าร้อนวาบอีกแล้ว แล้วก็เดินเข้าไปหาเขา “ข้าขึ้นเองก็ได้!” นางพยายามเหวี่ยงขาขึ้นจากบ่วงบันไดเท้า แต่สุดท้ายก็... “อ๊ะ!”


...ขึ้นไม่พ้น ขาสั้นเกินไป...


มือข้างหนึ่งของจางกงกงคว้าเอวของนางไว้แน่น ขณะที่อีกมือพยุงแผ่นหลังเล็กนั้นขึ้นอย่างมั่นคง ร่างหลินหยาถูกยกขึ้นอย่างเบาหวิวราวกับตุ๊กตา แล้วถูกวางลงบนหลังม้าโดยที่ยังไม่ทันได้เตรียมใจ “เจ้าก็ตัวแค่นี้ มีเนื้อตัวนิดเดียว ข้าก็ไม่ได้ใช้แรงมากนักหรอก” เขากล่าวเบา ๆ พลางขึ้นตามมานั่งด้านหลังนาง ก่อนที่วงแขนจะแตะเอวบางราวกับล้อมไว้กันตก หลินหยาชะงัก ใบหน้าแดงเถือก ท่านั่งของเธอตอนนี้...ใกล้ชิดมาก ใกล้ชนิดที่หากเขากระซิบคำว่า “กลัวตกหรือเปล่า” ข้างหูนางอีกที มีหวังเธอคงได้กลิ้งตกจากหลังม้าด้วยความอายเสียเอง


“ก็ข้าบอกให้แยกนั่งไม่ใช่หรือไง?” นางพึมพำอุบอิบ


“เจ้าขี่ม้าคงไม่มั่นคงนัก ม้าเช่าตามม้าของข้าไม่ทันหรอก อีกอย่างเส้นทางวันนี้ขรุขระ หากเจ้าตก ข้าขี้เกียจเก็บ” เขาตอบ พร้อมกระตุกบังเหียนเบา ๆ ให้ม้าเริ่มออกเดินช้า ๆ จังหวะมั่นคง แต่ดันมีบางครั้งที่จงใจเร่งขึ้นเล็กน้อยให้ร่างหลินหยาเซนิด ๆ แล้วต้องเอนเข้ามาหาเขา “ตาคนโรคจิตเอ้ย...” หลินหยากัดฟันพึมพำเสียงเบา ทว่าแก้มแดงปลั่งเหมือนลูกพีชโดนแดด มองวิวข้างทางโดยไม่กล้าหันมามองเขาอีก แต่ข้างหลัง...เงาคล้ายรอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนมุมปากของจงฉางชื่ออีกครั้งหนึ่ง เงียบงัน...และเป็นรอยยิ้มที่มีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดจากอะไร


ระหว่างการเดินทางเลาะไหล่เขา ท้องฟ้าโปร่งกระจ่าง แสงแดดคลี่ไล้อย่างอ่อนโยนลูบเลียทิวไม้เบื้องข้าง เสียงฝีเท้าม้าดังแผ่วสม่ำเสมออย่างสง่างามบนทางดินกรวด ทว่า...เสียงหัวใจของใครบางคนกลับเต้นรัวไม่สม่ำเสมอเอาเสียเลย หลินหยานั่งตัวเกร็งอยู่หน้าจางกงกงทั้ง ๆ ที่ปากทำท่านิ่งเฉย ใบหน้าอึน ๆ ราวกับแมวที่ถูกจับแต่งตัวแล้วต้องนั่งเป็นแบบวาดภาพเป็นชั่วโมง ร่างเล็กนั่นแสร้งจับบังเหียนทั้งที่ไม่ได้คุมอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะความจริงแล้วมือเรียวยังไม่นิ่งพอจะบังคับเจ้าอาชาตัวนี้ได้ จางกงกงที่นั่งอยู่ด้านหลังเป็นผู้บังคับอยู่เงียบ ๆ มาตลอด แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจแค่ทิศทางของม้า...สายตาของเขานั้นกลับจดจ้องอยู่กับแผ่นหลังของนางคนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด


หญิงสาวตัวเล็กนิดเดียว...ประมาณ 6 ฉื่อ 7 ชุ่น เล็กจนน่าประหลาดใจว่าเวลากินข้าวขนาดนั้นนางกินเข้าไปได้อย่างไรนักหนา เวลาอยู่ด้วยกันที่ศาลาจื่อเถิงฮวาเสี่ยวหยาแอบหยิบของหวานเข้าปากจนหมดเกลี้ยง แถมยังมองขนมงาข้างโต๊ะคนอื่นตาแป๋วอีกต่างหาก เขาเผลอยกมือแตะที่หน้าผากตัวเองเบา ๆ ก่อนจะละเลียดรอยยิ้มคล้ายจะขำไม่ขำออกมา ...อา...ตัวเท่านี้เอง ไหล่บางนิดเดียว เสี่ยวหยา กินแล้วเอาไปไว้ตรงไหนกัน แผ่นหลังนี่ก็แทบเท่าฝ่ามือเขาเกือบเต็ม ทว่ายามมีเรื่อง จะเถียงยิ่งกว่าทหารฝ่ายใต้เสียอีก


“เสี่ยวหยา” เสียงเรียบนั้นดังขึ้นหลังจากที่ผ่านมากว่าหนึ่งเค่อโดยไม่มีบทสนทนาใด ๆ


“...อื้อ?” หลินหยาตอบในลำคอโดยไม่หันกลับ รู้ดีว่าอีกฝ่ายเรียก


“เจ้ากินอะไรเข้าไปบ้างกันแน่หรือ ถึงได้เติบโตแค่ที่แก้ม?” เสียงเขาเนิบ...ทว่าเจตนาเย้าแหย่นั้นชัดแจ้ง หลินหยาถลึงตาทันที ก่อนจะหันคอมาแทบเคล็ด “ห๊ะ!? ท่าน...พูดอะไรของท่านนะ!”


“ข้าพูดตามจริง”


“แสดงว่าท่านจ้องข้าสินะ! นี้ท่านบ้ามาคิดอะไรแบบนี้ตอนนี้เล่า!” นางหรี่ตาอยากจะมองเขาราวกับจับได้ว่ากำลังลวนลามทางสายตา


“แน่นอน ข้าเฝ้าดูเจ้ามาตลอดอยู่แล้ว” คำตอบนั้นทำเอาหลินหยาตาค้าง หน้าแดงฉ่า ไหล่เล็กสั่นน้อย ๆ อย่างประหลาดใจกับความหน้าด้านของคนด้านหลัง ก่อนจะพึมพำในลำคอเบา ๆ “ตาคนโรคจิต...” แล้วรีบหันกลับมานั่งตรง พยายามกดเสื้อคลุมให้ปิดไหล่ตนเองมากที่สุด


จางกงกงเห็นอาการนั่นเต็มตา แต่ไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม เพียงแต่เลื่อนมือลงเบา ๆ มาจับบังเหียนซ้อนมือเล็กนั้นไว้เพื่อควบม้าให้มั่นคงขึ้น มือของเขาเย็นแต่แน่น หนักแน่นในแบบที่ต่างจากความหวังดีของใครทั้งหลาย นั่นคือสัมผัสของคนที่มีพลังในการพรากชีวิตแต่กลับยื่นออกมาเพื่อประคองเธอไว้ให้ไม่ตกจากหลังม้า เขาจงใจโน้มหน้าลงกระซิบใกล้หูอีกครั้ง เสียงพร่าต่ำจนไหลเข้าหัวใจเหมือนลมหนาวปลายฤดู “ข้าไม่อยากให้เจ้าเจ็บ...จึงไม่อยากให้เจ้าตก” หลินหยาเม้มปากแน่น ดวงหน้าร้อนจัด ไม่รู้ว่าควรจะโวยวายหรือทำเป็นไม่ได้ยินดี เพราะหากพูดออกไป เขาก็คงจะกลั่นแกล้งเธอต่อแน่นอน


แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางปฏิเสธไม่ได้...คือหัวใจดวงน้อยของนางที่เผลอสั่นไหวกับความอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดที่เหมือนหยอกล้อ ระหว่างที่ทิวทัศน์ข้างทางเปลี่ยนผัน ม้าค่อย ๆ เดินนำไปสู่เมืองถัดไป ทว่าระยะห่างระหว่างคนสองคน...กลับดูเหมือนจะน้อยลงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา


……


กว่าท้องฟ้าจะกลายเป็นม่วงหม่น พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงเกือบจะพาดยอดเขาด้านหลัง เมืองจี้ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ด่านประตูเมืองเริ่มปิดลงช้า ๆ แต่อย่างน้อยขบวนเล็กที่มีเพียงบุรุษหนึ่ง หญิงสาวหนึ่ง กับม้าพันธุ์ดีหนึ่งตัวยังทันยามสุดท้ายของการเข้าเมือง...แม้จะเข้าสภาพไม่ค่อยสง่างามเท่าไร "โอ๊ย...ก้นข้า...ก้นข้าช้ำหมดแล้ว" เสียงพึมพำอย่างหมดแรงของหญิงสาวตัวน้อยดังขึ้นทันทีที่ม้าหยุดลงตรงหน้าโรงเตี๊ยมใหญ่ใจกลางเมือง สตรีนามหลินหยาถอนหายใจเฮือกแล้วเอนตัวโอดครวญพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ทั้งปวด ทั้งเหนื่อย แถมยังขี้หงุดหงิดกับความเงียบของคนด้านหลังที่เอาแต่พยุงนางโดยไม่พูดอะไรหรือชอบแตะนิดแตะหน่อยจนรู้สึกว่าโดนลวนลามตลอดเวลา


"เดินทางด่วนเสียจนข้ารู้สึกว่าข้าจะกลายเป็นแผ่นแป้งบนหลังม้าอยู่แล้ว..." นางก้มหน้าก้มตาลูบสะโพกตัวเองเบา ๆ สีหน้าเหมือนแมวโดนจับบิดหาง ผมยาวสยายจากการขี่ม้าไม่หยุดนั่นกระเซิงเล็กน้อยแต่ก็ยังคงความงามละมุนอย่างเป็นธรรมชาติ 


ตอนแรกคิดว่าจะบ่นเรื่องม้าแต่ทว่าดวงตานี่สิ...แสดงความหมั่นไส้ออกมาเต็มที่ตอนเห้นบางอย่าง เพราะโรงเตี๊ยมเบื้องหน้าที่จางกงกงเลือก...เป็นโรงเตี๊ยมระดับดีเยี่ยมเกินไปจนนางอยากกรอกตา หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ หัวเสาแกะสลักทองคำ หน้าประตูมีเด็กหนุ่มชุดงิ้วเล่นซอจีนคลอเบา ๆ มีสาวงามเดินเรียงรอรับแขก หน้าประตูยังมีรถม้าเทียบจอดอยู่ถึงสามคัน ที่สำคัญ ป้ายไม้ทองคำระบุว่าเป็นที่พักประจำขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่เดินทางผ่าน


หลินหยาถึงกับเบ้หน้า "ท่านเลือกแต่ที่พักแบบนี้สินะ...อืมม เจริญดีแท้ ๆ" นางพึมพำในลำคอ


จางกงกงปรายตามองนางจากด้านข้างพลางโคลงศีรษะเล็กน้อย มือประคองร่างบางนั้นอย่างสุภาพตีเนียนจับนางอย่างถือวิสาสะ “หากข้าเลือกโรงเตี๊ยมชั้นล่าง เจ้าก็คงจะโวยวายว่าข้าให้เจ้านอนบนพื้นไม้หนาว ๆ ไม่ใช่หรือ?”


“โธ่…ท่าน…อย่างน้อยนะ...อย่างน้อยก็น่าจะเลือกระดับปานกลางบ้างก็ได้!” หลินหยาเถียงขึ้นเสียงสูง แม้จะรู้ดีว่าเสียงตนเองกำลังงี่เง่า “ข้ามีเงิน เหตุใดต้องทนลำบาก?” จางกงกงกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ...แต่ในดวงตามีน้ำเสียงเย้าลึกซ่อนอยู่


หลินหยาถลึงตาใส่เขาตอนได้ยิน “โอ้ ข้ามีเงิน~ ข้ามีเงิน~” นางล้อเลียนคำพูดของเขาพลางเดินกระเผลกเข้าประตูโรงเตี๊ยมอย่างหงุดหงิด ดวงหน้าแดงจากความเหนื่อยรวมกับความประหม่าเพราะนางกำลังจะเดินเข้าหอพักระดับสูงร่วมกับบุรุษผู้เป็นถึงจงฉางชื่อ...ที่เพิ่งนั่งแนบชิดนางบนหลังม้ามาตลอดทั้งวัน 


แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าถึงบันไดขั้นแรกขึ้นประตูโรงเตี๊ยม เสียงของจางกงกงก็ดังขึ้นตามหลัง พร้อมสายตาที่กดต่ำมองสะโพกเธอราวกับตั้งใจกลั่นแกล้ง "อย่าเดินตัวแข็งอย่างนั้นสิ...เดี๋ยวคนเขาจะคิดว่าเราทำอะไรกันมาก่อนจะถึงโรงเตี๊ยมนะ"


"ท่าน—!!!" หลินหยาชะงักฝีเท้า แทบหันไปโยนปิ่นใส่หน้าเขา ใบหน้างามแดงระเรื่อทันที นางรีบหันกลับควบคุมสติ เดินตัวตรงตึงเข้าไปอย่างเคือง ๆ แม้ปากจะบ่นไม่หยุดในลำคอว่า "ตาคนจิตวิปลาส...ชอบพูดจาให้คนหน้าไหม้..."


เมื่อมาถึงหน้าโต๊ะรับแขก หลินหยาพยายามจะเข้าไปจองห้องแยก แต่กลับโดนเจ้าหน้าที่โค้งคำนับพร้อมกล่าวทันทีแบบกลัว ๆ ว่า “ห้องพักชั้นบนสุดที่ถูกจองล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วขอรับ ‘ใต้เท้าห่าวหมิง’ ขอเรียนเชิญขึ้นข้างบนได้เลยขอรับ”


"ท่านจองล่วงหน้าเลยเรอะ!" หลินหยาหันขวับมองเขาอย่างเหลืออด


จางกงกงยักไหล่เบา ๆ ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากเดินนำขึ้นไปทางบันไดไม้หอม ปล่อยให้นางเดินกระฟัดกระเฟียดตามหลังอย่างหมดหนทาง ขณะนั้นเองที่แสงไฟในโถงโรงเตี๊ยมเริ่มส่องวาบทาบแผ่นหลังเขา ทำให้เงาของเขาทาบทอดลงกับผนัง และหลินหยามองมันอยู่นาน ราวกับรู้ดีว่าเบื้องหลังคนที่ดูสูงศักดิ์ผู้นี้ มีอะไรอีกมากมายซุกซ่อนไว้ในความเงียบงันของแสงตะเกียง


จางกงกงก้าวขึ้นบันไดไม้อย่างมั่นคง เสียงรองเท้าหนังขลับกระทบไม้หอมดังเป็นจังหวะดั่งเคาะประตูหัวใจนาง ทว่ายังไม่ทันจะก้าวพ้นขั้นที่สาม หลินหยาผู้เดินตามมาติด ๆ ก็เบรกตัวเอี๊ยดพร้อมกับยกสองมือขึ้นระดับอก กระพุ่มนิ้วเข้าหากันพลางเอียงศีรษะเล็กน้อย ทำท่า พระปางห้ามญาติ อย่างน่าหมั่นไส้เต็มที่ “ช้าก่อนเจ้าค่ะ! ท่านชายห่าวหมิงผู้องอาจและมั่งคั่ง ข้าขอถวายคารวะในน้ำใจของท่าน...ที่จองห้องชั้นบนสุดล่วงหน้าราวกับมีญาณทิพย์รู้ว่าจะมีสาวงามร่วมทางมาด้วย ทว่านับแต่ข้านั่งม้าร่วมหลังกับท่านทั้งวัน กระดูกข้าแทบหลุด ข้าจึงขออนุญาตจ่ายเงินเอง เช่าห้องเอง และหลีกเลี่ยงการต้องนอนห้องเดียวกับท่านอีกในคืนนี้เจ้าค่ะ!”


พูดจบยังไม่ทันหายใจเข้า นางก็ก้าวฉับหมายจะเช่าห้องตัวเองแทน แต่น้ำเสียงราบเรียบเย็นเยียบที่แสนจะคุ้นเคยของคนด้านหลังกลับดังขึ้นเสียก่อน...เย็นเสียยิ่งกว่าน้ำในอ่างหยินหยาง “เช่นนั้น หากข้าจะบอกว่าห้องที่นี่เต็มหมดแล้วล่ะ? หากมันไม่เต็มข้าก็จองเหมาห้องพักทั้งหมดแล้ว”


“หือ?” หลินหยาหันขวับเหมือนกับไม่เชื่อคำพูดของอีกคน เขาพูดเล่นหรือเปล่า


จางกงกงยืนยิ้มละไมอย่างเยือกเย็นเหมือนประตูกรมโยธาและกรมการคลังช่วงยามฤดูหนาวที่สูบเงินคน มือไขว้หลัง สายตากดต่ำลงมองนางแล้วโน้มหน้าลงเล็กน้อย เอียงคอเล็กน้อยในมุมที่แสนน่าหมั่นไส้ที่ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือเล่น “ห้องทุกห้องที่ว่างนั้นเป็นของข้า ห้องเดียว ห้องคู่ ห้องใหญ่ ห้องรอง ห้องแม่บ้าน ข้าจองหมด...เว้นแต่ว่าเจ้าจะอยากนอนกับเหล่าสาวรับใช้ชั้นล่าง หรือไม่ก็แอบปีนไปนอนบนดาดฟ้าโรงเตี๊ยม…”


“...”


“หรือหากอยากนอนในห้องครัว ก็อาจลองไปขอความเมตตาจากพ่อครัวดูเผื่อเขาจะใจดีปล่อยให้เจ้าซุกในถังแป้ง...”


“ท่าน…!!” หลินหยาแทบจะลุกไปเอาขลุ่ยข้างตัวฟาดกบาลคนตรงหน้า แต่กลับกัดฟันแน่นแทน หน้าแดงจัดเพราะรู้ว่าต่อให้แหกปากแค่ไหน นางก็สู้เส้นสายและเงินของเขาไม่ได้สักทาง “ข้ารู้นะ...ว่าท่านมันคนเอาแต่ใจชอบเอาชนะ แต่ก็ไม่นึกว่าจะชอบเอาชนะขนาดนี้” นางบ่นพึมพำ


“และเจ้าคิดว่าข้าจะให้้เจ้าไปนอนห้องว่างเหล่านั้นหรือ? ไม่ เสี่ยวหยา เจ้าก็เลือกจะร่วมเดินทางกับข้าด้วยตัวเอง...แม่นางเสี่ยวหยา เจ้าบอกข้าเองนะ เมื่อคืนนี้?” เขาตอกกลับมาอย่างไม่ให้เสียฟอร์ม แถมกระซิบคำสุดท้ายใกล้หูอย่างจงใจลากเสียงจนขนอ่อนชูชันราวกับจะตอกย้ำว่า เจ้าพูดเองนะ? หลินหยาหลับตาแน่นแทบกัดลิ้นตัวเอง ไม่รู้จะสวดมนต์บทใดดีระหว่าง ‘โอมเพี้ยงให้นางตบปากไอ้นี่ได้’ กับ ‘ข้าจะไม่หวั่นไหวเพราะเขาหล่อ...ข้าจะไม่หวั่นไหวเพราะเขาหล่อ!’ แต่ถึงจะทำเป็นโวยวาย ตวัดหางตา จิกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า สุดท้ายก็ยังต้องเดินตัวลีบตามเขาขึ้นไปบนห้องอยู่ดี


พอเข้าห้องได้เท่านั้นนางก็แทบจะกระโจนใส่เตียงที่ปูด้วยผ้าแพรหอมจากแคว้นอื่น ฟูกนุ่มดั่งหมอนเมฆ ไฟในห้องอบอุ่นนวลละมุนแสง และเสียงหัวเราะแผ่วเบาของจางกงกงก็ดังขึ้นพลางปลดผ้าคลุมไหล่เดินไปยังโต๊ะชา “หลับให้สบายนะ แม่นางผู้ไม่อยากนอนกับข้า” เขาวางถ้วยชาลงดัง “กึก” อย่างจงใจ แล้วหันมาหรี่ตาอย่างรู้ทัน


“แต่ข้ารับรอง...คืนนี้เจ้าจะได้นอน...แน่ ๆ ละมั้ง?” แล้วเจ้าคนเจ้าเล่ห์ก็หมุนตัวเดินหายเข้าไปหลังฉากกั้นห้องเพื่อล้างตัวอาบน้ำ ทิ้งไว้เพียงหญิงสาวตัวน้อยที่นอนแผ่หราอยู่บนเตียงอย่างสิ้นสภาพ มือสองข้างยกขึ้นฟาดหมอนอย่างไม่อาจเก็บอารมณ์


ไอ้คนเจ้าเล่ห์ ไอ้คนร้ายกาจ ไอ้คนลามก ไอ้ทุนนิยมครองโรงเตี๊ยม ไอ้คนหลอกลวง! บอกมีภารกิจแต่เอาเวลามาทำอะไรแบบนี้ได้ยังไงวะ มันเอาเวลาไปจองตอนไหน! ไอ้….บ้า! แต่นางก็ตะโกนเพียงในใจ เพราะรู้ดีว่าหากพูดออกไปอีกฝ่าย...ได้ยินหมดทุกคำอยู่ดีแน่ ๆ



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เห่อ ต้องหั่นอีกละ 555 พยายามทำให้มันสั้นแล้วนะ แต่มันแบบ สั้นได้แค่นี้ มันเพลิน
ฮรุก จะเกิดอะไรขึ้นระหว่างกลับไหมน่อ เขินจุง 
(อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ลูกน้องโผล่มารายงานว่าหลินหยาซน เดี๋ยวได้ล็อคโพสอีก 555+)

รางวัล:  -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

ไม่ดี: 3.0
และสอนให้รู้ว่าหลินหยาคือผู้หญิงของเขา  โพสต์ 2025-8-15 11:07
จางกงกงต่อโรงเตี๊ยมอีกคืน เพื่อทำโทษหลินหยา  โพสต์ 2025-8-15 11:06
ไม่ดี: 3
เหตุการณ์เสริม: หลังจางกงกงไปข้างนอกมาเขากลับมาถามคุณ เรื่องในฉางอัน เขาได้ยินชาวบ้านซุบซิบกันเรื่องเจ้ากับบางคนในฉางอัน  โพสต์ 2025-8-15 11:06
โพสต์ 79794 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-15 05:02
โพสต์ 79,794 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-15 05:02
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-16 06:13:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-16 06:26

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 15-16 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามไห่ - ยาม ??? เมืองจี้ มณฑลเหลียงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น

Part.1 สั่งสอน


เมื่อถึงครางยามไห่โรงเตี๊ยมอันหรูหราที่สว่างไสวด้วยโคมแดงจากเปลวไส้ตะเกียงสีนวลค่อย ๆ เงียบลงตามกาล หญิงสาวที่เพิ่งพ้นการเดินทางยาวเหยียดพาร่างปวดร้าวกลับห้องพักบนชั้นบนสุดซึ่งแน่นอนว่าถูกจองเหมาทั้งชั้นโดยชายผู้มีอำนาจที่น่าหมั่นไส้ที่สุดในสายตาของหลินหยา หลังจากที่จางกงกงหายจากการอาบน้ำไปสิ่งที่หลินหยาพบคือเขาลงไปชั้นล่างของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ “…เขาลงไปข้างล่าง?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นทันที ตากลมเบิกกว้างอย่างคนที่รู้สึกว่าได้โอกาสจากสวรรค์ส่งให้โอกาสแห่งการได้แช่น้ำอย่างสงบสุขโดยไม่ต้องกลัวสายตาเฉียบลึกหรือคำพูดยั่วเย้าจากคนจิตเบี้ยวที่แอบทำตัวเหมือนจะอบอุ่นแต่จริง ๆ แล้วมันโคตร ล่อลวง!!


ไม่รอช้านางรีบถอดเสื้อคลุมและเสื้อผ้าที่สวมใส่ทั้งวันออก โยนทิ้งตามทางราวกับกำลังจะไปรบ! ข้าวของไม่จำเป็นถูกถอดวางไว้ตามทางเดินจนถึงห้องอาบน้ำในห้องพัก เสียงน้ำร้อนเทราดลงอ่างหินไม้ดังก้องในห้องไม้หอมกลิ่นกฤษณา


"ฟู่..." เสียงถอนหายใจยาวถูกปลดปล่อยพร้อมกับเรือนกายเปลือยเปล่าที่ค่อย ๆ แทรกตัวลงไปในอ่างน้ำอุ่นกลิ่นสมุนไพรตะวันตกเฉียงใต้ที่โรงเตี๊ยมใช้ปรุงอย่างดี หลินหยาหลับตาพิงขอบอ่าง ปล่อยผมยาวให้แผ่ลงไปในผิวน้ำราวเส้นไหมดำต้องแสงจันทร์ นางถอนใจยาว กอดเข่าขึ้นมาช้า ๆ แล้วพึมพำกับตัวเอง “ข้าไม่เคยเกลียดการเดินทางแบบรวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยให้ตายเถอะ…หรือข้าชอบมากกว่ากันนะ…?” หลังแช่จนผิวน้ำเริ่มเย็น นางก็ลุกขึ้น สะบัดน้ำเบา ๆ ก่อนหยิบผ้าซับตัวนุ่มไปซับทีละส่วนของร่าง แล้วเดินกลับมาที่เตียงเลือกชุดนอนของตนเองจากถุงผ้าในแหวนดาราจรัส ล้วงหาชุดนอนด้วยสีหน้าเครียดจริงจังอย่างกับกำลังเลือกชุดไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้


"ไม่ได้ ๆ ตัวนี้คอกว้างไป...ตัวนี้ผ่าสูงเกิน...ตัวนี้บางไป! อันนี้ก็มีลูกไม้ตรงอกอีก..."


หลินหยาค้นหาเสื้อผ้าที่ ปลอดภัย เพียงพอสำหรับการนอนร่วมชายคาเดียวกับบุรุษผู้สามารถแกล้งนางได้แม้กระทั่งระหว่างนอนหลับ ฝีมือมันจิตลึกชนิดที่ต่อให้ห่มผ้าก็ไม่มั่นใจว่าจะรอดจากคำพูดเยาะเย้ยหรือการแตะต้องแบบไม่เรียกว่าล่วงเกินได้ สุดท้ายนางเลือกชุดนอนคอสูง แขนยาว ยาวถึงข้อเท้า ลายธรรมดาที่สุดในจักรวาล เป็นผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อนเรียบ ๆ ดูเหมือนลูกคุณหนูที่กำลังจะเข้าห้องสอบมากกว่าจะเข้านอนกับใคร


เมื่อแต่งตัวเสร็จ นางก็นั่งลงหน้ากระจก ไม้หวีไม้หอมในมือขยับช้า ๆ หวีผมยาวทีละปอย ดวงตาในกระจกฉายแววครุ่นคิดอย่างสับสนปนหงุดหงิด...แปลกใจว่าเหตุใดเขาถึงไม่ขึ้นมา...หรือมีแผนอะไรอีก? หรือเขารู้ว่านางจะใช้โอกาสนี้อาบน้ำ...เลยไม่อยากทำให้รู้สึกอึดอัด? ไม่มีทาง…คนอย่างงั้นไม่มีทางคิดเช่นนั้นหรอก หรือเขาจะ…! ... ไม่ ไม่สิ ไม่มีทาง คนอย่างจางกงกงจะใจดีขนาดนั้นได้ยังไง?


นางสะบัดหน้าแล้วลุกขึ้นไปเหยียบเตียง กระโดดขึ้นไปซุกผ้าห่มทันทีอย่างระแวดระวัง ก่อนจะหลับตาพึมพำในใจเงียบ ๆ ว่า “หากท่านกลับขึ้นมา...ข้าจะถีบท่านออกไปนอนระเบียงเสียเลย…” ทว่ายังไม่ทันหลับดี เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ประตูหน้าก็เริ่มใกล้เข้ามาแล้ว...


ประตูไม้หนักที่ปิดลงด้วยเสียง กึก! คล้ายเสียงตรึงแน่นสุดท้ายของประโยคที่ไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำใดก็สามารถกดบรรยากาศในห้องให้หนักอึ้งลงได้ในพริบตาจนหลินหยารู้สึกแปลกใจ จากนั้นไม่นานกลอนเหล็กถูกหมุนเข้าที่ทีละชั้น ทีละชั้น ราวกับบทพิพากษาที่ไม่อาจถอยกลับ หลินหยาห่มผ้าคลุมตัวยุ่งเหยิงอย่างรีบเร่ง ค่อย ๆ ลอบมองชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามาจากประตูด้านหลังของห้องเงียบ ๆ เงียบเสียจนเหมือนสัตว์นักล่ากำลังแฝงกายในเงาห้อง จางกงกงในคราบท่านชายห่าวหมิงหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ใกล้แสงตะเกียงที่พลิ้วไหว เส้นผมยาวสีดำถูกมัดหลวมไว้ด้วยสายไหมสีหมึก ดวงตาทั้งสองดวงที่จ้องตรงมานั้น วาววับ เยียบเย็น และลึกเร้นเสียจนนางสัมผัสได้ถึงลมหายใจของตนที่ค่อย ๆ สะดุด


เขาไม่พูด ไม่เอื้อนเอ่ยสักคำ ทว่าเพียงสายตาที่แน่วแน่ สื่อความรู้สึกตึงเครียดชัดเจนราวกับเสียงสายพิณตึงที่รอแค่จังหวะสะบัดปลายนิ้ว


"เอ่อ…ท่าน…ท่านกลับมาแล้วหรือ..." หลินหยาพูดเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลงกว่าปกติเล็กน้อย


เขาเดินเข้าใกล้แต่ละก้าวที่มั่นคงกลับรู้สึกราวกับคลื่นคุกคามม้วนเข้ามาหา...เพราะสิ่งที่เขานำติดตัวกลับมานั้นไม่ใช่เพียงแค่กลิ่นหอมจากเสื้อคลุมผ้าไหมสีนิล แต่คือบรรยากาศที่แปรปรวน โกรธ หึงหวงและ...อยากรู้ความจริงบางอย่างที่เหมือนจะคาอยู่บนปลายลิ้น "เจ้าไปไหนมากันแน่ในช่วงก่อนออกเดินทางออกฉางอัน..." น้ำเสียงเย็นเยียบเปล่งออกมาในที่สุดช้า ๆ ชัดเจน "และเจ้าเจอใครมาบ้างในช่วงนั้น" เขายืนมองร่างที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มนิ่ง ๆ สายตาเหมือนคนที่กำลังมองจุดอ่อนในกำแพงที่พยายามสร้างขึ้นมาป้องกันคำตอบที่ไม่ต้องการให้หลุดรอด


"ชาวบ้านที่ตลาดในเมืองจี้เล่าว่ามีสาวงามจากฉางอัน...ที่เคยไปนั่งดื่มน้ำชากับบุรุษไม่ต่ำกว่าสามคนในเวลาห่างกันไม่ถึงสัปดาห์"


"..."


"หนึ่งในนั้นมีหวางเย่ผู้สูงศักดิ์...และอีกคนที่พวกเขาเรียกว่าต้าซือคง...มหาเสนาบดีตรวจการพลเรือนของแผ่นดิน" เขาย้ำคนด้านหลังนั้นเป็นพิเศษ จางกงกง โน้มตัวช้า ๆ ยกมือประคองคางของหลินหยาให้นางเงยหน้าขึ้นสบตา ไม่ให้หลบเลี่ยงไปทางใด รอยยิ้มที่แตะแววปากนั้นไม่ใช่รอยยิ้มที่คนปกติจะสบายใจเมื่อได้เห็นมันแฝงความสั่นไหวบางอย่าง "เจ้าชอบพวกเขาหรือ?"


"หรือว่าเจ้าแค่ล้อเล่นกับพวกเขา...เหมือนที่เจ้าชอบแกล้งข้า?"


"ขะ...ข้าไม่เคยแกล้งท่าน" หลินหยากระซิบเสียงเบาแล้วพยายามรีบตอบแล้วรีบพูด นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ดวงตากลับยังนิ่งสงบแต่ภายในสั่นไหว "...ข้าเพียงแต่อยู่กับสหาย ท่านก็รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นเพื่อนข้า" 


เขานิ่งมองราวกับกำลังไตร่ตรองสิ่งที่ได้ยินก่อนที่รอยยิ้มจาง ๆ จะแตะมุมปากอย่างไม่บอกว่าพอใจหรือไม่ "เจ้ารู้หรือไม่..." เขาเอ่ยช้า ๆ สัมผัสนิ้วเรียวไล้ไปตามขอบแก้ม "...ว่าความลับที่ไม่ได้เล่า มันมีค่าเท่ากับคำโกหก" หลินหยาสบตาเขาตรง ๆ นางไม่ตอบ แต่สีหน้าเริ่มแข็งขึ้นคล้ายคนที่เริ่มรู้ว่ากำลังถูกทดสอบอยู่ "...เจ้าจะบอกข้าหรือไม่...ว่าคนที่เจ้าเผลอใจให้จริง ๆ ตอนนี้...คือใครกันแน่?" มือเขาลูบผ่านไรผมของนางแผ่วเบา...แต่ในแววตานั้น คล้ายกับเขาพร้อมจะ ดึงทุกคำพูดจากลมหายใจสุดท้ายของนางออกมา


ตอนนี้จางกงกงหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าหลินหยา ใบหน้าที่แผ่วเยือกเย็นไร้อารมณ์เฉกเช่นเงาในยามราตรี ไม่ได้มีรอยโกรธเกรี้ยว ไม่ได้แสดงความคั่งแค้น หรือแม้แต่แววตาเศร้าใด ๆ …แต่มันกลับเป็นความว่างเปล่าที่น่าสะพรึงกลัวกว่าสิ่งใด ดวงตาของจางกงกงขณะนี้ ไม่ใช่ดวงตาของขันทีผู้สุภาพ ที่หลินหยารู้จักอีกต่อไป แต่เป็นดวงตาของ ผู้คุมวิญญาณ …ที่พร้อมจะลากนางกลับเข้าไปในกรงที่ไม่มีใครช่วยได้


"…ท่าน" เสียงหลินหยาเบาราวกับกลัวว่าถ้าส่งเสียงดังไป มันจะปลุกบางสิ่งในตัวเขาให้ตื่นขึ้นมาเต็มที่ “อย่าพึ่งเข้าใจผิด...อย่าพึ่งโกรธนะ ข้าจะเล่าให้ฟังทั้งหมด…” มือเรียวของนางเอื้อมขึ้นอย่างช้า ๆ วางลงบนมือของเขาที่กุมอยู่ข้างแก้ม ความเย็นเฉียบที่แผ่ซ่านออกจากผิวมือเขาแปลกเสียจนหลินหยาต้องเม้มปาก นางไม่แน่ใจเลยว่า…ผู้ชายตรงหน้านางยังเป็นคน หรือเป็นอสูรในคราบมนุษย์ที่หล่อเลี้ยงพลังด้วย ความลับและคำโกหกของผู้อื่น “ท่านช่วย...ใจเย็น ๆ ก่อนได้หรือไม่?” ดวงตาของหลินหยาสั่นไหว นางพยายามตั้งหลักพยายามจะเจรจาให้เขากลับมาเป็นคนก่อนหน้านี้


“ใจเย็นงั้นหรือ…” เสียงของเขาเบาหวิว เย็นเฉียบแต่ลึกซึ้ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่า คำพูดประเภทนั้น...มักจะเปล่งออกมาจากคนที่มีความลับมิดไว้จนหายใจติดขัด” เขาช้อนมือของหลินหยา ขยับนิ้วเรียวลูบหลังมือเธอแผ่วเบาเหมือนการปลอบโยน...แต่แววตาไม่ได้ปลอบเลยสักนิด นัยน์ตาของเขาที่จ้องมองนางไม่กะพริบ มีแววระริกบางอย่างคล้ายจะยิ้ม แต่กลับไม่ใช่รอยยิ้มของคนเมตตา นั่นเป็นแววตาของ นักล่า ที่พบนกตัวโปรดหลงทางไปอยู่ในกรงคนอื่น...และบัดนี้มันบินกลับมาแล้ว แต่เจ้าของเก่าไม่ได้ต้องการให้มัน กลับมาแบบเดิม


เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย เส้นผมที่ถูกรัดด้วยเชือกดำไหลผ่านลาดไหล่ เมื่อริมฝีปากบางเคลื่อนเข้าใกล้ใบหูของนางจนหลินหยาต้องเผลอกำผ้าห่มแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่เงาความเมตตา "เจ้ากลัวข้าหรือเสี่ยวหยา?" เขาถามเสียงเรียบ


"เจ้ารู้ใช่ไหม ว่าใครบางคนในวัง...เคยโกหกข้าด้วยเรื่องมากมาย..." เขายิ้มช้า ๆ ไม่ใช่ยิ้มจริงใจ แต่ยิ้มเหมือนคนกำลังชำแหละซากสัตว์ “แล้วตอนนี้...เจ้าก็กำลังจะโกหกข้าเรื่องบุรุษที่มาเกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างงั้นหรือ”


"ข้า..." หลินหยาเม้มปากแน่น นางหลบตาเพียงชั่ววูบ ก่อนจะหันกลับมาสบสายตาเขาอีกครั้ง “ข้าไม่ได้โกหกอะไรเลยนะ…ข้าแค่ไม่อยากให้เรา…ต้องพูดกันด้วยความเจ็บปวดและการไม่เข้าใจกันนะ” จางกงกงหัวเราะในลำคอแผ่วเบา เสียงนั้นเหมือนขนนกปัดกระจกแต่กลับทำให้ใจของนางสั่นไหวอย่างรุนแรง “เจ้าคิดหรือว่า ความสัมพันธ์ของเรามีทางอื่น?” เขาก้มลงชิดไหล่นางมากขึ้นอีกจนลมหายใจร้อนของเขาสะท้อนอยู่ข้างใบหู กลิ่นหอมจาง ๆ จากเรือนกายของหลินหยาลอยขึ้นราวกับยั่วล้อ


หลินหยาใจเต้นระส่ำจนหน้าอกขยับขึ้นลงเร็วผิดปกติ จางกงกงมองทุกอากัปกริยาราวกับอ่านหนังสือเปิดหน้ากลางแดด ดวงตาของเขาเฉียบคมเสียจนแม้แต่รอยตะเข็บบนเส้นด้ายในชุดของนางก็คงไม่อาจรอดพ้น “มันก็ต้องมีทางอื่นสิ ข้าไม่ได้หนีท่านข้าไม่ได้โกหก...ข้าแค่—” เสียงของนางขาดห้วง เพราะเขาก้มลงมามองใกล้เกินไปอีกครั้ง


“แค่ไม่ได้พูด?” เขาเอ่ยพลางขยับฝ่ามือลูบเรือนผมด้านข้างของนางอีกครั้ง แต่คราวนี้แรงกว่าครั้งก่อนนิดหนึ่ง คล้ายจะ ย้ำ ว่าใครกันแน่ที่กำลัง ควบคุม “หากใครสักคนวางมือบนเจ้า...” เขากระซิบชิดหู “ข้าจะหักมือมัน”


“หากใครมองเจ้าด้วยตาไม่บริสุทธิ์...ข้าจะควักลูกตามันออกมาและหากเจ้าหัวเราะ...ยิ้ม...หรือแม้แต่ส่งกลิ่นหอมไปปะทะจมูกของใคร...” เขาหยุดอยู่ตรงหน้าดวงตาของหลินหยาแล้วกระซิบถ้อยคำสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่ขับให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ “...ข้าจะ สั่งสอนเจ้า ให้จำไปทั้งชีวิตว่า เจ้าเป็นของใคร…” มือของเขาลูบไปที่ไหล่ของนาง เสียงลมหายใจของเขาแนบต้นคอราวกับจะจุดไฟที่เส้นประสาทในกายของหลินหยาให้ร้อนระอุอย่างรวดเร็วจนร่างกายของนางสั่นเทาเหมือนกับมีความกลัวในนั้น


“ถ้าเจ้ากลัว...แสดงว่าข้ายัง มีอำนาจเหนือเจ้าอยู่ นั่นน่ะดีแล้ว” ปลายนิ้วของเขาเคลื่อนจากข้างไหล่ผ่านแก้มนาง ไล้ผ่านแนวกรามบางเฉียบของหลินหยาอย่างจงใจ แต่ไม่เร่งเร้า เขาคล้ายกำลังวัด ขอบเขตที่นางจะยอมให้ล้ำเข้าไปได้


หลินหยาพยายามตั้งสติ สีหน้าเปลี่ยนจากตกใจเป็นสงบนิ่ง แต่มือใต้ผ้าห่มนั้นสั่นน้อย ๆ จากแรงสู้กับความกลัว นางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะพ่นออกเบา ๆ “…ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ข้าสาบานได้ว่าไม่มีผู้ใดแตะต้องตัวข้า ไม่มีใครเข้ามาในพื้นที่ของข้าเลยแม้แต่น้อย”


“แต่ใจของเจ้าเล่า?” เขาตัดคำพูดของนาง “มันเคยสั่นไหวให้ใครหรือไม่…ในช่วงที่ห่างจากข้า?”


“ไม่ว่าใครจะสั่นไหวใจข้า...แต่ข้ากลับมาอยู่ตรงนี้ ท่านคิดว่าเพราะอะไรเล่า?” คำพูดนั้นทำให้จางกงกงหยุดชั่วครู่ แววตาเขาเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง คล้ายเงาอันดุดันจะจางลงเพียงเสี้ยวอึดใจ แต่ความเงียบนั้นอันตรายพอ ๆ กับความโกรธ


ในห้องพักอันเงียบสงัดมีเพียงเสียงเปลวเทียนที่แตกปลายไส้ดังเปาะเบา ๆ คล้ายจังหวะหัวใจที่เต้นผิดจังหวะของหญิงสาวบนเตียง หลินหยายังคงอยู่ที่เดิม แต่มือเธอกอดผ้าห่มไว้แน่น ดวงตาแดงระเรื่อของหญิงสาวมองสบกับดวงตาเย็นชาของชายตรงหน้า เธอสูดลมหายใจแล้วเริ่มเอ่ยเสียงแผ่วต่ำแต่มั่นคง น้ำเสียงของนางไม่ใช่การอ้อนวอน แต่เป็นการเอ่ยสารภาพอย่างแนบเนียนราวกับวางหมากกระดานตรงหน้าอสรพิษร้าย โดยหวังว่ามันจะไม่เขมือบเธอเสียก่อน


"หากท่านถาม หากท่านต้องการรู้ข้าก็จะมีเรื่องจะสารภาพ..." เงาร่างของจางกงกงหยุดนิ่งความสูงโปร่งของเขาในชุดเดินทางที่คลี่คลายออกบางส่วนเพราะอากาศยามค่ำ ยิ่งทำให้รัศมีรอบตัวดูราวกับนักล่ากำลังฟังเหยื่อที่ยอมก้มหัวโดยไม่รู้ว่าเขาจะละเว้นหรือขบเขี้ยวลงไป "ข้า...บอกกับท่านเถียนเฟิงไปแล้ว ว่าข้ามีความรู้สึกดี ๆ กับท่าน" น้ำเสียงของหลินหยาสั่นเพียงแผ่วราวจะหลบสายลม แต่ทุกคำกลับดังก้องในหูของชายผู้เงียบงัน “เขาเป็นสหายของข้า...และเขาห่วงใยข้า เขารู้ว่าท่านเคยทำร้ายข้าไว้หนักหนาเจียนตายร่างกายและจิตใจแตกสลาย...เขาเลยบอกข้าให้ไตร่ตรองดี ๆ ก่อนจะตกลงใจอะไร” หญิงสาวยังไม่ละสายตา นางไม่อยากพูดคำว่า อภัย หรือ รัก พล่อย ๆ แต่ในดวงตากลับมีประกายหนึ่งที่สะท้อนว่า นางกำลัง กล้าพูดสิ่งที่ไม่เคยพูดกับใคร มาก่อนเลย


"เขาไม่ได้ห้ามข้าแม้แต่น้อย...แต่เขาอยากแน่ใจว่า ความรู้สึกของข้าไม่ได้เกิดจาก...มายาเสน่ห์ หรือมนต์สะกดอันใดที่ท่านแฝงใส่ข้า" เสียงของหลินหยากระซิบเบาเมื่อถึงประโยคสุดท้าย สีหน้าหวาดระแวงของนางผสมกับความสับสนอย่างน่าสงสาร แต่ที่ทำให้เธอต้องหยุดคำพูดลงคือสีหน้า ของจางกงกง


เขายืนนิ่งไม่ขยับไม่หลบตา แต่แววตานั้นแปรเปลี่ยนจากความครอบครองเป็นบางอย่างที่...ไม่อาจเดาได้เลยว่าเป็น โกรธ หรือ ดีใจ  ริมฝีปากของเขาขยับเพียงนิด ก่อนจะกระตุกเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ อย่างเยือกเย็น ริมฝีปากนั้นเอ่ยเสียงแผ่ว...แต่ฟังชัดเจนเหมือนฟ้าผ่าลงกลางอก "แปลว่า...เจ้านั่งคุยเรื่องข้ากับเขาอย่างเปิดใจถึงเพียงนั้นหรือ?" เสียงของเขาไม่มีโทนโกรธจัดแบบฟาดฟัน ไม่มีเสียงตวาดหรือสบถแสดงความเดือดดาล แต่ความนิ่งนั้นต่างหาก...ที่น่ากลัวกว่าไฟเผาร่างเสียอีก "เถียนเฟิงผู้สุขุม...แนะนำให้เจ้าตรวจสอบข้า? เขาห่วงเจ้า...ห่วงพอจะท้าทายข้าทางอ้อมเช่นนั้น?"


เขาขยับกายเข้ามาใกล้ มาช้า ๆ แต่มั่นคง ราวกับงูเห่าที่ไม่มีทางปล่อยเหยื่อให้หลุดมือ จางกงกงนั่งลงที่ปลายเตียงอย่างไม่ขออนุญาต ดวงตาเขาไม่คลาดจากใบหน้าของนางแม้แต่เสี้ยวเดียว "เจ้าเห็นหรือไม่ว่า...ข้ากำลังยิ้ม?" เขาถามทั้งที่มุมปากของเขานั้นกระตุกอย่างน่าขนลุก รอยยิ้มนั้นไม่อบอุ่นเลยซักนิดเดียว "แต่นั่นไม่ใช่ความสุข มันคือความ…อารมณ์ดีจากความริษยาอันลึกล้ำ ที่กำลังไหลเวียนอยู่ในกระดูกข้าตอนนี้" เขาเอื้อมมือมาจับข้อเท้าของหลินหยาใต้ผ้าห่มอย่างช้า ๆ ไม่แรงแต่แน่นพอให้รู้ว่าเขา ไม่ต้องการคำปฏิเสธ จากใครอีก


"เล่าต่อสิ...หลินหยา" เสียงของเขาเยือกเย็นเจือรอยเย้ยหยันปนเว้าวอน "เพราะหากเจ้าไม่เล่าให้ข้าฟังให้จบทั้งหมด...ข้าอาจจะต้อง 'ถาม' มันจากร่างกายของเจ้าทีละส่วนแทนและข้าไม่ปรานี"


หลินหยาต้องกลั้นหายใจ...ร่างของเธอสั่นวูบเพราะคำขู่ที่ห่มไว้ด้วยเสียงนุ่ม ใบหน้านางซีดลงแต่ริมฝีปากกลับกัดแน่นเป็นเส้นตรง ในห้องเงียบสงัดนั้น เทียนเล่มเล็กบนโต๊ะยังคงไหวไกวเพียงแผ่วราวสะท้อนอารมณ์ของคนบนเตียง หลินหยานั่งกอดผ้าห่มไว้แน่น ขาของเธอห่อตัวอยู่ใต้ผ้าห่มราวกับจะหลบภัยแต่กลับโดนจับไว้ไม่มีผ้าผืนใดจะหนาไปกว่าตราประทับแห่งสายตาของจางกงกงที่จ้องอยู่ไม่ลดละ


ริมฝีปากของนางขยับอีกครั้ง หญิงสาวเล่าต่อ ทั้งที่ลำคอยังแห้งผาก "วันถัดมา...ท่านเถียนเฟิงพาข้าไปโรงชา...โรงชาเมฆาซ่อนจันทร์..." ดวงตาของจางกงกงหรี่ลงทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น เขาเอนตัวเล็กน้อยไปด้านหน้า ชั่วอึดใจหนึ่ง...แววตาของเขาเปลี่ยนไปราวกับแสงเทียนถูกลมกระโชกเงียบ ๆ แต่เธอไม่รู้...เธอไม่รู้เลยว่าโรงชานั้นเป็นของเขา นางเล่าต่อโดยไม่รู้ว่านั่นกำลัง หยิบหอกเล่มเล็ก ๆ ทิ่มแทง อยู่ตรงใจกลางอกของคนตรงหน้าอย่างแยบคาย


"เขาชวนข้าไปดื่มชา...บอกให้ข้าหาอะไรทำให้จิตใจปลอดโปร่งก่อนคิดอะไรอีก ข้าเลย..." เสียงนั้นสั่นไปเล็กน้อย "เลยเล่นดนตรี...ให้แขกฟัง...ที่โรงน้ำชา" เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ น้ำเสียงของหลินหยาก็แผ่วลงราวกับกลัวว่าลมจะพัดไปเข้าหูมารปีศาจชั้นฟ้า "คนมากมาย...ชอบฟังทั้งสตรี...และ...บุรุษ.." คำว่า บุรุษ หลุดออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบของความผิด ดวงตานางเริ่มหลบสายตาเขา

 

จางกงกงเงียบ...เงียบสนิทจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจขาดช่วงของหลินหยา 


แล้ว…เสียงหัวเราะเบา ๆ ก็ดังขึ้นในห้อง เสียงหัวเราะของจางกงกง มันไม่ดัง ไม่บ้าคลั่ง ไม่ใช่เสียงหัวเราะของคนเสียสติ...หากแต่เป็นเสียงหัวเราะที่ราวกับมี กรงเล็บ ซุกซ่อนอยู่ในเสียงทุกคำ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย คล้ายจะถอนหายใจ แต่กลับกลายเป็นเสียงแค่นหัวเราะในลำคอ เขาคลายปลายนิ้วจากข้อเท้านาง แล้วเอื้อมไปหยิบชามน้ำชาบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาดื่มเพียงครึ่ง จากนั้น...เขาวางมันลงเสียง กึก


"โรงชานั่นน่ะเหรอ...โรงชาที่เจ้าไป ‘สร้างความปลอดโปร่งให้จิตใจ’.....มันคือของข้า" เขาเอ่ยเสียงแผ่ว แต่ชัดเจน ดวงตาของเขายังแนบแน่นกับใบหน้านาง


หลินหยาเบิกตากว้างทันที ขยับกายเล็กน้อยโดยสัญชาตญาณราวจะลุกหนี แต่มือของเขาก็วางลงบนผ้าห่มตรงต้นขานางราวจะ ตรึงไว้ "อ้อ…ให้นึกสงสัยตอนออกจากฉางอัน ข้าฟังข่าวเรื่องนี้...มาหลายวันแล้วนะ" เสียงของเขานุ่มเย็นราวน้ำจากธารน้ำแข็ง "คนบอกกันให้ลือหนาหูว่าสตรีคนหนึ่งใบหน้าอ่อนเยาว์ รูปงาม และเสียงไพเราะ...มาเล่นขลุ่ยที่โรงชาเมฆาซ่อนจันทร์"


"ขลุ่ยของเจ้าน่ะ...น่าหลงใหลเสียจนทำให้พวกบุรุษ ‘สนใจ’...ใช่ไหมล่ะ?" คำว่า สนใจ จากปากเขานั้นลากเสียงราวกับมันไม่ใช่คำชม แต่มันคือ ข้อกล่าวหา  "เจ้ายืนอยู่กลางแสงตะเกียง...ท่ามกลางสายตาของพวกมันที่คิดว่าเจ้า...เป็นของว่างที่กินได้" มือของเขาบีบเบา ๆ ที่ต้นขานางใต้ผ้าห่มแล้วลูบไล้ราวกับสำรวจว่า ยังเป็นของเขาอยู่หรือไม่ "แต่เจ้าไม่รู้เลยว่า ทุกคำพูด ทุกเสียงหัวเราะของเจ้าในที่นั้นข้าจะรับรู้”


เสียงของเขาชัดเจนขึ้น ลมหายใจของเขาใกล้เข้ามา นั่งโน้มมาหาเธอ "เจ้าไม่รู้...ว่าโรงชานั้น คือของข้า เจ้าไม่รู้...ว่าเก้าอี้ทุกตัวในโรงชา ถูกจัดวางอย่างไรเพื่อให้ข้าเห็นมุมที่ดีที่สุด และเจ้า...ก็ไม่รู้เลยว่าต่อให้ข้าออกห่างจากเจ้าเพียงใด ข้าก็เห็นทุกชายตามองของพวกมัน ทุกมือที่หมายลูบขลุ่ยของเจ้า ทุกท่าทางที่เจ้าเงยหน้าขึ้น ยิ้มบาง ๆ ให้น้ำชาร้อน" มือของเขายกขึ้นแตะคางหลินหยาแล้วกระตุกให้สบตาเขาโดยตรง


"เล่าต่อเถอะ หลินหยา..." เสียงเขาราบเรียบแต่จิตวิปริตเกินคำบรรยาย "เจ้าจะเล่าต่อไม่ใช่หรือ? ก่อนข้าจะหมดความอดทนและให้เจ้าพิสูจน์ ‘ความจริงใจ’ ด้วยภาษาที่ไม่ใช่คำพูด"


แสงเทียนไหววูบเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะลมหรือแรงสะท้านจากจิตใจของหญิงสาวที่นั่งขดกายอยู่บนเตียงตัวนั้นพร้อมกับโดนบีบคางตนเองจนเกือบเจ็บ หลินหยา…เธอสั่นน้อย ๆ ไม่ใช่เพราะหนาว หากแต่เพราะ ‘ความรู้สึกบางอย่าง’ จากอีกคนที่อยู่ตรงหน้า ราวกับเธอกำลังนั่งอยู่ในกรงของเสือที่เลียเล็บตัวเองช้า ๆ เพื่อรอขย้ำเหยื่อให้เจ็บกว่าเดิมในตอนสุดท้าย น้ำเสียงนางสั่นพร่าแต่ยังพยายามเรียบเรียงออกมาทีละคำ


"หลังจากนั้น…ท่านเถียนเฟิง…พาข้าไปที่ศาลเจ้าเฒ่าจันทรา…" เสียงนางแผ่วจนแทบหายไปกับอากาศ แต่เงาหลังของบุรุษตรงหน้ากลับยืดขึ้นเล็กน้อย คล้ายสัตว์นักล่าที่ตื่นตัว หลินหยากลืนลมหายใจเหนียวขมในลำคอลงช้า ๆ ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยต่อ "ก็แค่…ไปดูดวง แล้ว…ก็ขอพร…เผื่อองค์เทพจะนำพาโชคชะตาให้กระจ่าง ข้า…ข้าแค่…อยากแน่ใจว่าความรู้สึกที่มีต่อท่าน…มัน…เป็นของจริ—" ยังไม่ทันจบประโยค หลินหยาก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กดทับบรรยากาศในห้องให้หนักลงในพริบตาจนนางต้องหยุดเงียบ มันไม่ใช่เพียงแค่เงา…แต่คือแรงกดดันของสายตาที่มองมาราวกับ จะใช้เพียงแววตาเผาเธอให้มอดไหม้ทั้งเป็น


เธอกลืนน้ำลายฝืดคอลงอีกคำ "ท่าน…ข้ากับท่านเถียนเฟิง…ไม่มีอะไร…ไม่มีเลยจริง ๆ" เสียงเธอแผ่วลง แต่ในขณะเดียวกัน จางกงกงกลับยังคงเงียบ…นิ่ง…และแน่นิ่งราวกับรูปสลักสีดำกลางห้อง เขาไม่กระชากเสียง ไม่พูดแม้เพียงคำเดียวกลับปล่อยมือของตนเองแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็เพราะว่าเขา เงียบ...และกำลังคิด


หลินหยาเหลือบตาขึ้นอย่างช้า ๆ ไปสบเข้ากับดวงตาคมดุดันคู่นั้นที่ไม่เคยละไปไหนเลยและสิ่งที่เธอเห็นในแววตานั้น คือ ทะเลเพลิงสีดำที่กำลังลุกไหม้แบบไร้เปลว มันเต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่เธอเรียกไม่ได้ด้วยคำพูด แต่หัวใจของนางรู้…ว่าเขากำลัง ข่มอารมณ์หึงหวง ระดับรุนแรงสุดขีดอยู่ในใจและมันจะต้องระเบิดออกมาแน่ มือของเขายกขึ้นอีกครั้งอย่างเงียบงัน…ไม่แรง ไม่เร็ว…แต่แม่นยำราวกับจับจังหวะหัวใจของเธอ เขาเอื้อมมาจับข้อมือเล็กของเธอแน่นจนหลินหยาแทบสะดุ้ง


"ศาลเจ้าเฒ่าจันทรา…" เขาเอ่ยช้า ๆ น้ำเสียงเรียบเยือกเย็นจนแทบไร้ความรู้สึกใดเจืออยู่ "เจ้ารู้ไหมว่า สถานที่นั้น...คือศาลเจ้าของเทพอะไร เจ้าก็ไม่ได้โง่นี่?" เสียงเขาไม่ดังแต่กรีดลงตรงจิตใจของหลินหยาเหมือนมีดคมเฉือนเนื้อ "ผู้ใดก็ตามที่ไป ‘ขอพรเรื่องความรัก’ ต่อหน้าเทพองค์นั้น จะกลายเป็นคู่บุญร่วมภพของคนที่ไปด้วยกัน หากเทพพอใจ..." เขาโน้มหน้าเข้าใกล้มากขึ้น จนปลายจมูกแทบจะชนหน้าผากนาง


"และเจ้าไปกับเขา…ไปกับมัน!"


หลินหยาพยายามขยับปฏิเสธ มือของนางสั่น เธอส่ายหน้ารัว "ไม่ใช่แบบนั้น…ไม่ใช่เลย…ข้าไม่รู้ ข้าแค่…แค่อยากรู้ว่า—"


"เจ้า ‘อยากรู้’ ว่าเจ้ารักข้าหรือไม่..." เขาพูดแทนเธอ "แต่กลับไปเสี่ยงโชคกับเทพเจ้าพร้อมบุรุษอื่น? และให้โลกเห็นเจ้าอยู่กับเขา? ไม่แปลกหรอก...ที่พวกชาวบ้านจะเข้าใจว่าเจ้าเป็นของเขา" เขาหัวเราะในลำคอกระซิบชิดข้างใบหูเธอ น้ำเสียงดั่งปีศาจที่หลุดจากนิทานหลอกเด็ก


"แต่เจ้ารู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้ข้า ‘โกรธ’...ไม่ใช่เรื่องนั้น ข้าโกรธ...เพราะแม้แต่ตอนนี้ เจ้าก็ยังคิด...ว่าจะใช้ ‘คำอธิบาย’ เลี่ยง ‘การชดใช้’ ได้อย่างนั้นหรือ?" เขาใช้ปลายนิ้วไล้จากหลังมือของนางช้า ๆ ไล่ขึ้นไปถึงต้นแขนชี้นิ้วขึ้นให้นางเงยขึ้นสบตา "เล่าต่อเถอะ...หลินหยา ข้าจะฟังจนจบ" ดวงตาเขาเรืองประกายเหมือนสัตว์นักล่ากำลังเพลิดเพลินกับการล่า "และหวังไว้ในใจเงียบ ๆ...ว่าเจ้าจะจบเรื่องนี้ให้ดีพอ ก่อนข้าจะเริ่ม...บทลงโทษกับคนอย่างเจ้า"


สายตาที่ ‘ฟังอยู่’ นั้น…คือสายตาของคนที่กำลังตัดสินว่า ‘นางยังเป็นของเขาหรือไม่’ และถ้าไม่…นรกคงต้องเตรียมห้องพิเศษไว้ให้คนที่คิดจะขโมยของรักของข้าแล้วล่ะ


แสงเทียนในห้องสลัวเล็กน้อย แต่ทุกอณูของบรรยากาศกลับเหมือนบีบคั้นเข้าใส่จนหลินหยาแทบหายใจไม่ออก แม้จะนั่งอยู่บนเตียงอันเดียวกัน แต่น้ำหนักของบรรยากาศกลับราวกับนางนั่งอยู่บนตาชั่งแห่งความเป็นความตายที่อีกฝ่ายเป็นผู้ถือปลายมีดวางไว้ตรงจุดศูนย์กลาง หลินหยาเอื้อมมือดันปลายนิ้วที่เชยคางของตนออกอย่างเบามือ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่นางรู้ว่าหากไม่พูดให้จบตอนนี้ นางอาจไม่ได้พูดอีกเลย


“ต่อมา...ท่านเถียนเฟิงบอกว่า หากข้าอยากตัดสินใจเรื่องของท่านให้ดี...” เสียงเธอเงียบพักหนึ่ง ดวงตาสั่นระริกที่สบตาคมนิ่งของจางกงกง "ข้าก็ต้อง...รู้จักตัวตนของท่าน ที่ท่านไม่เคยให้ข้าเห็นก่อน" จางกงกงยังคงเงียบ เขาไม่หันไปทางอื่น ไม่เลื่อนสายตาไปไหน เขาฟังแต่เป็นการฟังในแบบที่ทำให้คนพูดเหมือนโดนจับฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ตั้งแต่คำแรก


“ท่านเถียนเฟิง...แนะนำให้ข้าไปหอจิวหลิ่งอิน” ทันใดนั้น ดวงตาเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เป็นเพียงความกระพริบตาเบา ๆ หนึ่งครั้ง ราวกับเพียงฟังชื่อสถานที่นั้นก็ทำให้บางกลไกในสมองของจางกงกงเคลื่อนที่ขึ้นมาอย่างเป็นระบบดั่งหอคอยวางกลอุบาย “ตอนแรกข้านึกว่าจะให้ไปถามเรื่องความรัก...” เธอยิ้มบาง ๆ อย่างเจื่อนจัด “เพราะที่นั่นลือกันว่าขึ้นชื่อเรื่องคำปรึกษาชีวิตคู่…” เธอกลืนน้ำลาย ก่อนพูดต่อเสียงเบาลง “…แต่เปล่าเลย ข้าพึ่งรู้...ว่าที่นั่นเป็นหอข่าวสารของราชสำนัก...หอจิวหลิ่งอิน...เป็นที่รวบรวมข้อมูลราชการลับ”


ดวงตาเขาคล้ายวาวขึ้นเล็กน้อย เป็นประกายเยียบเย็นที่ไม่บอกอารมณ์ แต่สำหรับคนที่เผชิญหน้ากับมันตรง ๆ อย่างหลินหยามันเหมือนแสงคมมีดที่กำลังจะจ่อเข้ามาใต้ผิว


“ข้าขอให้เขาหาข้อมูลเกี่ยวกับท่าน…แต่เขาบอกว่า...ข้อมูลคลุมเครือมาก เหมือนเป็นหมอกพิษ” หลินหยาก้มตา “เขาบอกว่า...ท่านเป็นภัยคุกคามระดับสูง เปรียบเสมือนปีศาจในคราบมนุษย์…” คำว่า ‘ปีศาจ’ ที่หลุดออกจากปากนาง สะท้อนในความเงียบรอบข้างจนบาดลึก “…เขาบอกอีกว่า...ข้อมูลของท่านไม่มีปรากฏในระบบปกติ เพราะเป็น ‘พิษ’ ที่จะย้อนกลับมาฆ่าคนที่รู้…” เธอเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง ดวงตาหวั่นไหว ไม่ใช่เพราะกลัวตายแต่กลัวใจเขาจะปิดลงอย่างไม่มีวันเปิดรับเธออีก


“…เขาเตือนข้าว่า สำหรับข้าที่เป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งและท่าน...คือภัยอันตรายที่สุด…” คำสุดท้ายของหลินหยาเลือนหายไปกับลมหายใจ เธอจ้องหน้าเขาอย่างเปิดเผย ไม่หลบ ไม่หนี แม้ใจจะสั่นก็ตาม หลินหยาหายใจเข้าเต็มปอดพลางบังคับไม่ให้มือสั่น มือข้างหนึ่งกำผ้ารองเตียงแน่นเพื่อข่มความกลัวที่กำลังไหลวนใต้ผิวหนัง นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง ดวงตาเธอยังไม่ยอมถอย แม้รู้ว่าทุกคำที่พูดคือการเสี่ยงวัดใจบุรุษตรงหน้า หากเธอพูดผิดเพียงครึ่งวรรค ชีวิตทั้งหมดที่เหลืออาจไม่ใช่ของตนอีกเลย “หลังจากนั้น...คนที่หอคนนั้นเลยบอกข้าว่า ถ้าอย่างนั้นลองไปดูดวงไหม เผื่อจะตัดสินใจเรื่องท่านได้ชัดเจน”


น้ำเสียงของหลินหยาเรียบแต่แผ่ว เบาไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะกำลังระลึกถึงช่วงเวลานั้น ราวกับภาพมันยังชัดอยู่ในหัวใจ “ข้าไปดูดวง...ซินแสบอกว่า ข้าต้องออกจากฉางอัน ไปตามหาสนมลั่วซาน” เธอพูดช้าลงเมื่อเอ่ยนามนั้น “บันทึกของนาง...จะนำพาข้าไปยังเป้าหมายจะบอกข้าเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวข้าเอง ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นของข้าหรือไม่ หรือ...เป็นเพียงเงามายาที่ถูกวางไว้ และให้ข้าเลือกในตอนสุดท้าย” เสียงของหลินหยาสะท้อนเบาในห้องพักที่เงียบงัน ราวกับแม้แต่กำแพงยังไม่กล้าสะท้อนกลับคำพูดของเธอ


“ข้าตั้งใจจะลาท่านก่อนออกเดินทาง…แต่ตอนนั้น...ท่านก็ไม่อยู่ที่ฉางอันแล้ว” ดวงตานางสั่นเล็กน้อย “ข้ารอแล้ว ข้ารออีก จนไปถึงศาลาจื่อเถิงฮวา ข้าพบเพียงแหวนของท่าน…” นิ้วเรียวของหลินหยาเลื่อนลงจับที่อกเสื้อของตนเบา ๆ ราวกับกำลังรู้สึกถึงน้ำหนักของสิ่งนั้นแหวนดาราจรัส


“ไม่มีจดหมาย ไม่มีคำใด ไม่แม้แต่ข้อความหรือคำสั่ง ข้าไม่รู้เลยว่าท่านไปที่ใด...หรือจะกลับมาเมื่อไร” นางหยุดพักหายใจ คล้ายฝืนไม่ให้ความปวดร้าวออกมาจากลำคอ “ข้าเลย...ออกเดินทางแล้วเรื่องที่เหลือ...ท่านก็รู้แล้วนี่…ข้าเดินทางไปตามหา...และพบท่านที่ศาลเจ้าเมื่อคืนก่อน” ดวงตานางมืดครึ้มลงนิด 


“นั่นคือเรื่องทั้งหมดที่ข้าทำไม่มีการปิดบัง ไม่มีการโกหก”


จางกงกงเงียบเมื่อทุกอย่างจบลง 



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ยังงงง ยังก่อนนนนน 555555+
รหัสสองโพสด้านล่าง คำใบ้อยู่ใน Facebook ของหลินหยานะคะ

รางวัล:  -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 151751 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-16 06:13
โพสต์ 151,751 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-16 06:13
โพสต์ 151,751 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-16 06:13
โพสต์ 151,751 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-16 06:13
โพสต์ 151,751 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-16 06:13
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-16 06:18:22 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์นี้มีการป้องกันรหัสผ่านไว้ กรุณากรอกรหัสผ่าน 
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-16 06:24:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์นี้มีการป้องกันรหัสผ่านไว้ กรุณากรอกรหัสผ่าน 
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-16 17:22:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 16 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเซิน - ยามไห่ เมืองจี้ มณฑลเหลียงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น


รอยแดงจ้ำทั่วลำคอและลำตัวเป็นพยานของยามราตรีที่มิอาจลืมเลือน หลินหยาเงยหน้าช้า ๆ ขณะเปลือกตาค่อย ๆ เปิดออกรับแสงแดดบ่ายที่สาดลอดม่านเข้ามาอาบไล้ เสียงระฆังยามเซินจากหอระฆังดังแว่วอยู่ไกล ๆ ทว่าในความสงบกลับเต็มไปด้วยความสั่นสะเทือนในหัวใจของนาง ผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ร่นหลุดไปทางด้านข้างเผยให้เห็นเนื้อกายเปลือยเปล่าที่ยังเจ็บตึง แม้จะไม่ได้มีร่องรอยเลือดแต่ความเจ็บแปลบแสบร้อนในช่องทางและกล้ามเนื้อส่วนล่างล้วนบอกชัดว่า ร่างนี้ได้ถูกใครบางคนรุกรานอย่างสุดทาง


นางนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ ไม่รู้จะทำใจเช่นไรให้รับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิดขึ้น ไม่ใช่ด้วยวิธีนี้ ไม่ใช่เวลานี้... และไม่ใช่กับคนที่ทำร้ายหัวใจนางมาก่อน


ความอับชื้นที่ติดผิวกายยังไม่เหือดแห้งเต็มที่ บ่งบอกว่าเจ้าของร่างนี้เพิ่งหมดสติไปไม่นาน…ไม่สิความชื้่นมันเยอะจนซึมลงไม่หมดมากกว่า ลมหายใจของหลินหยาหนักอึ้ง ริมฝีปากแห้งผากค่อย ๆ ขบแน่น มือบางกำผ้าห่มจนแน่น พยายามจะลุกขึ้นแต่ร่างกายกลับอ่อนแรงราวกับกลีบบุปผาที่ถูกย่ำยีจนไม่อาจชูช่อได้อีก "ท่านนี้มัน...สารเลวจริง ๆ ..." นางพรูลมหายใจออกมาในลำคอ เสียงเบายิ่งกว่าเสียงลมหายใจของตนเอง แต่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ปะปน ไม่อาจแยกได้ว่าโกรธ รังเกียจ หรือ…เจ็บปวดใจ


ความทรงจำเมื่อคืนไหลย้อนกลับมาเหมือนม่านน้ำตก ริมฝีปากที่ร้อนผ่าว สัมผัสที่รุนแรงแฝงความหวงแหน หยดเหงื่อ กลิ่นกาย เสียงกระซิบที่ฝังลึกลงในห้วงสำนึกของนาง...ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ใช่เพียงการครอบครอง หากแต่เป็นการตีตราด้วยจิตใจที่หวั่นไหวราวกับสัตว์ร้ายผู้แอบรักเหยื่อของตนจนขาดสติ นางน่าจะโกรธสิ น่าจะปฏิเสธ น่าจะร้องไห้ให้กับความสูญเสียของความบริสุทธิ์ซึ่งมิได้มาจากความสมัครใจ…


แต่เหตุใดกัน ใจส่วนหนึ่งของนางกลับยังร้อนวูบทุกคราเมื่อภาพร่างสูงนั้นแวบเข้ามาในห้วงคำนึง


“ข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่านเลยคอยดู…แต่ข้าก็หนีท่านไม่ได้แล้วใช่ไหมเนี้ย…บ้าบอสุด ๆ” เสียงนั้นแผ่วเบาเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่าจะสื่อถึงใคร ริมฝีปากที่แตกแห้งขบเม้มสั่นเครือ ขณะนางพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อนั่งพิงหัวเตียง แผ่นหลังเปลือยแนบกับหมอนนุ่ม ๆ ขณะปลายนิ้วยกขึ้นแตะลำคอตนเบา ๆ


รอยฟัน รอยช้ำ รอยแดงบางจุดยังเจ็บ…แต่นั่นไม่เจ็บเท่าความจริงในใจที่ตระหนักได้ชัดเจน นางถูกเขาครอบครองแล้ว ไม่ใช่เพียงร่างกาย หากแต่หัวใจ…ถูกตีตราด้วยความรู้สึกที่ไม่มีวันลบเลือน


ดวงตาของหลินหยาค่อย ๆ หลุบต่ำลงซ่อนแววสั่นไหวภายในไว้ ความโกรธและความอายยังคงอยู่ แต่อยู่เคียงข้างกับความสั่นคลอน ความรู้สึกผิดหวังในตนเอง และ…ประกายความวาบหวามที่มิอาจหลอกตนเองได้อีกต่อไป ตอนนี้นางรู้ดีแล้วว่า นางไม่ใช่หญิงสาวผู้เป็นอิสระอีกต่อไป และชื่อของผู้ที่ครอบครองนาง…ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากชายผู้เยือกเย็น ร้ายลึก และเต็มไปด้วยความหลงใหลที่แทบจะทำลายล้างทุกอย่าง จางกงกง


ดอกไม้ดอกนี้…ถูกเด็ดไปแล้ว


และไม่มีวันที่จะผลิบานได้อีกในสวนของผู้ใด นอกจากสวนที่เขาสร้างขึ้นไว้ล้อมรอบเพียงเพื่อตัวเขาเอง


หลินหยาขยับตัวช้า ๆ อย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ปลุกคนที่นอนแนบอยู่ข้างกาย แม้จะรู้ดีว่าเขาตื่นตัวตลอดเวลาในฐานะบุรุษผู้มีชีวิตอยู่กับการควบคุมและเฝ้าระวังทุกการเคลื่อนไหว แต่ยามนี้…จางกงกงกลับนอนนิ่งสนิท ดวงหน้าขาวซีดไร้สีเลือดแต่กลับแฝงความสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอประหนึ่งคนที่หมดแรงสิ้นฤทธิ์หลังจากการลงทัณฑ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กระนั้น…วงแขนแข็งแรงที่โอบกอดนางไว้แน่นกลับไม่ยอมคลายลงแม้แต่น้อย


นางมองคนที่กอดร่างเปลือยของตนไว้ด้วยสายตาที่ปะปนระหว่างความขัดเคืองกับความเวทนา...ไม่ใช่เวทนาเขา แต่เวทนาตัวเองที่หัวใจดื้อด้านไม่ยอมลืมสิ่งที่เขาทำ


เขาโหดร้าย ไม่เคยรู้จักคำว่าอ่อนโยน ไม่เคยพูดคำว่ารัก ไม่เคยแสดงความห่วงหาอาทรอย่างใครอื่นจะทำ ยามแตะต้องนางก็ดั่งสัตว์ร้ายผู้ต้องการสยบเหยื่อให้หมดทางหนี ทว่าท่ามกลางความกระด้างเหล่านั้น นางกลับรู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มในดวงตาเขา ความหวงแหนที่ไม่อาจเอ่ยออกเป็นคำ ความกลัวที่แฝงอยู่ลึกในหัวใจของชายผู้ไม่เคยได้รับความรักมาก่อนในชีวิต


ใช่...เขาหึงหวง แทบบ้า เขากลัวว่านางจะหันหลังให้เขา กลัวว่าจะมีใครพรากนางไป เขาจึงเลือกใช้วิธีอันวิปริตนี้ ตีตรานางสั่งสอนนาง ให้รู้ว่าไม่มีวันหนีไปได้ ให้รู้ว่านางเป็น ของเขา โดยสมบูรณ์


“ท่านนี้มันบ้า...เจ้าขันทีหื่นกาม...” เสียงสบถเบา ๆ ดังออกจากเรียวปากแดงเรื่อที่ยังแสบร้อนจากรสจูบเมื่อคืน ราวกับจะระบายอารมณ์ปั่นป่วนที่ยังวนเวียนไม่สิ้นสุด หลินหยาพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอื้อมมือแตะผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างตนให้มิดขึ้นอีกหน่อย มองแขนที่เขาพาดไว้บนเอวอย่างเรียบตึง


"เห่อ…เอาเถอะ…ข้าเลือกเองแล้ว...ข้าเดินเข้ามาเองไม่ใช่หรือไง..." นางกระซิบกับตัวเองเสียงเบา น้ำเสียงสั่นนิด ๆ อย่างผู้ที่กำลังบอกให้ใจตนยอมรับความจริง หากนี่คือเส้นทางที่เลือก นางก็ต้องรับให้ได้สินะ ไม่ว่าจะเป็นตราบาป ไม่ว่าจะเป็นน้ำตา หรือแม้แต่...ความลุ่มหลงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาเงียบ ๆ ใต้ผิวหนัง “ครั้งหน้า...ข้าจะหนีให้ได้ คอยดูเถอะ…” นางกัดฟันแน่น ขยับเบี่ยงตัวเล็กน้อยให้หลุดจากอ้อมกอด แต่วงแขนก็รั้งไว้แน่นขึ้นราวกับรับรู้ได้ในความพยายามนั้น


“อย่าแม้แต่จะคิด...แมวน้อยตัวดี” เสียงทุ้มแผ่วเบาดังจากข้างหู ราวกับปีศาจกระซิบ เพราะเขาได้ยินหลินหยาทุกคำ “เจ้าเป็นของข้าแล้ว…จะไม่มีใครหน้าไหนมาพรากเจ้าไปได้ แม้แต่ความคิดในหัวเจ้าก็ห้ามข้าไม่ได้หรอก…”


หลินหยาชะงัก ดวงตาเบิกเล็กน้อย "ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่...?"


“ยามเจ้าด่าข้าในใจนั่นแหละ เสี่ยวหยา” น้ำเสียงราบเรียบของจางกงกงแฝงรอยยิ้มบางที่ไม่ได้เผยให้ใครเห็น มือเขากระชับนางแน่นขึ้นเหมือนจะฝังร่างเธอให้หลอมรวมไปกับเขา “ถ้าเจ้าคิดจะหนี ก็ต้องกล้ารับผลของมันด้วย...”


หลินหยาหลุบตาลง ก่อนจะหลุดถอนใจอีกครั้งอย่างปลงตกและอดขนลุกไม่ได้กับน้ำเสียงเยียบเย็นนั้น นางพลิกหน้าหนี พึมพำเสียงเบาราวกับสาบาน “ข้าจะหนี...ให้ได้…สักวันเลยคอยดู” หากทว่า…ใจหนึ่งของนางก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าเมื่อวันนั้นมาถึงจริง ๆ นางจะมีแรงกล้าพอจะหันหลังให้เขาอย่างแท้จริงได้หรือไม่


“หนีเวลาที่ท่านคิดจะทำอะไรข้าแปลก ๆ น่ะนะ…” หลินหยาเบะปาก พึมพำใส่ลมหายใจสม่ำเสมอของคนข้างกาย ดวงตาคมที่ยังหลับอยู่นั้นน่าหมั่นไส้อย่างที่สุด เพราะนางรู้…เขาตื่นอยู่เพราะเมื่อกี้ก็ตอบนางอยู่ แถมยังแกล้งทำเป็นหลับละเมอเหมือนจะหลีกเลี่ยงการตอบโต้กับนางอีกต่างหาก มือที่กอดแน่นก็ไม่ได้คลายออกแม้แต่น้อย ยังคงรัดแน่นประหนึ่งโซ่ตรวนที่ไม่มีวันปล่อยให้หลุดรอดไปไหน


หลินหยาเหลือบมองอย่างขัดใจ สะบัดกายเล็กน้อยก็โดนรั้งกลับไปกอดแน่นเหมือนเดิม เธอจึงสูดลมหายใจเข้าแล้วพ่นออกเสียงดังอย่างตั้งใจให้ได้ยิน ทว่าคนตัวโตที่ทำเป็นหลับก็ยังนิ่งเฉยไม่ไหวติง “ท่าน…ข้าปวดตัวไปหมดเลย…” นางเริ่มบ่นงึมงำเสียงออดอ้อน ดวงตาเหลือบขึ้นบนอย่างระอาในโชคชะตา “ท่านต้องรับผิดชอบนะไปเลย ข้าหิวน้ำ หิวข้าวด้วย ข้าจะตายแล้วมั้ง…” คำพูดนั้นเหมือนจะงอแงอย่างที่สุด บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนจากความเงียบอึมครึมหลังจากศึกเมื่อคืนเป็นน้ำเสียงเหมือนเด็กสาวบ่นเจ้านายขี้งกที่ปล่อยให้ลูกจ้างอดข้าวมาเกือบสิบชั่วยาม


ในสมองของหลินหยานั้นไม่อาจไม่คิดย้อนกลับไปถึงตอนแรกที่ตกหลุมรักผู้ชายคนนี้...จางกงกงที่เย็นชา อำมหิต ซับซ้อนดั่งงูพิษ แต่ก็อบอุ่นแปลกประหลาดในแบบที่เธอไม่เคยรู้จัก ใจหนึ่งเธอรู้มาตลอดว่าเขาไม่ใช่คนที่สามารถสร้างบ้านเล็กจวนน้อย ไม่มีงานวิวาห์ ไม่มีงานเลี้ยงน้ำชา ไม่มีแม้กระทั่งคำสัญญา ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีทรัพย์สินหรือเงินตรา แต่เขาเป็นเพียงคนที่ทำตามใจตนเองโดยไร้ขอบเขตทั้งสังคมที่ซับซ้อนของคนที่มีตำแหน่งแต่เหมือนโดนตัดตอนตายทั้งเป็น และเธอเองก็ไม่ได้ใช่หญิงสาวแสนดีผู้ถวิลหาความสมบูรณ์แบบในนิยามของสังคมโบราณ


แต่เอาเข้าจริงขันทีที่รับใช้จักรพรรดิในวังนั้นไม่จำเป็นต้องตายไปอย่างโดดเดี่ยว หากแต่หลายคนมีชีวิตครอบครัวและสายสัมพันธ์ทางสังคมที่ซับซ้อนคล้ายกับบุคคลทั่วไป พวกเขาสามารถมีภรรยาและรับบุตรบุญธรรมเพื่อสืบทอดตระกูล ซึ่งกลายเป็นวิธีให้ขันทีสร้างตระกูลของตนเองขึ้นมาในสังคม ยิ่งจงฉางชื่ออย่างจางกงกง การแต่งงานกับสตรีตระกูลสูงเพื่อสร้างพันธมิตรกับครอบครัวขุนนาง และรับบุตรบุญธรรมเพื่อถ่ายทอดตำแหน่งหรือสืบสานพิธีกรรมบรรพบุรุษ ทำให้เกิดเครือข่ายอำนาจของขันทีที่ส่งอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองได้ข้ามรุ่นไม่ใช่เรื่องลำบากก็ตาม


แต่หลินหยาก็ไม่รู้ว่าในใจของเขาคิดเช่นไร นางไม่ได้หมายมั่นอยากจะแต่งงานถึงขนาดนั้น…ดูเป็นสตรีแปลก ๆ ละมั้ง 


จริงอยู่ที่ในโลกนี้ หลินหยาเติบโตในฐานะบุตรีของขุนนางแต่ก็เป็นเพียงเจ้าเมืองที่อยู่ห่างไกลที่ไร้ซึ่งอำนาจในส่วนกลาง แม้จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี แต่ภายในลึก ๆ เธอยังจำได้ว่าตนเคยเป็นหญิงสาวชาวไทยในโลกสมัยใหม่ที่ไม่ยึดติดกับค่านิยมอนุรักษ์นิยมเทียม ๆ ที่ว่าความบริสุทธิ์คือเกียรติของสตรี ถึงจะเป็นครั้งแรก แต่นางก็ไม่ได้เศร้าหมองหรือเสียใจที่มันเกิดขึ้นไปแล้ว แม้มันจะไม่ได้เกิดในบรรยากาศแสนโรแมนติกเหมือนในนิยาย ไม่ได้มีเสียงขลุ่ยอ่อนหวาน หรือแสงจันทร์ส่องรำไร แต่มีเพียงแสงตะเกียงสลัว ๆ กับเสียงหอบหายใจ และความดิบเถื่อนในอ้อมกอดของคนที่ไม่เคยรู้จักคำว่ารัก


‘แต่ก็ใช่สิ…ก็ข้าเลือกแล้วนี่นา’ นางถอนหายใจอีกครั้ง มองคนที่ยังคงโอบรัดไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วบ่นออกมาเสียงอ่อย ๆ อย่างประชดว่า “อย่างน้อยท่านก็ช่วยลืมตาขึ้นมามองหน้าคนที่ท่านเพิ่งพรากพรหมจรรย์ไปหน่อยเถอะน่า…”


เสียงหัวเราะแผ่วต่ำดังขึ้นในอกของคนตัวโต ขณะริมฝีปากที่แสนจะเจ้าเล่ห์นั้นค่อย ๆ ขยับเอ่ยตอบโดยยังไม่เปิดเปลือกตา “เจ้าบ่นเหมือนแมวขี้อ้อนเลย รู้ตัวไหม”


“ท่าน—!!” นางหมายจะหันมาแว้ดใส่ แต่ไม่ทันได้สะบัดหนี ร่างของนางก็โดนรวบแน่นเข้าไปอีกครั้งในอ้อมกอด ดวงตาคู่นั้นเปิดขึ้นแล้ว สายตาเย็นชาแฝงรอยยิ้มเร้นลับข้างใน “เสี่ยวหยา…เจ้าหิวน้ำ? หิวข้าว?” เขาทวนคำอย่างเชื่องช้า เอียงคอมองเหมือนนักล่ามองเหยื่อที่เพิ่งตื่นจากฝัน “แต่ข้ายังหิวเจ้าอยู่เลยนี่สิ…”


“เฮ้ย! อย่านะเจ้าคนบ้า! ข้ายังเดินไม่ไหวเลยนะ!!” หลินหยาตาโต อ้าปากร้องเมื่อคนตัวโตเริ่มขยับอย่างไม่สนใจคำร้องเรียน


“ก็ไม่ต้องเดินสิเสี่ยวหยา เจ้าอยู่เฉย ๆ ก็พอ…”


“จางกงกง!!” 


นางร้องอย่างอับจนหนทาง แต่ในใจลึก ๆ กลับเริ่มก่อตัวคล้ายคลื่นบางเบาที่ไหลซัดเข้ามา...ในเมื่อเธอเลือกเดินเข้ามาแล้ว ก็ต้องเผชิญกับคลื่นของเขาให้ได้…แม้จะเป็นคลื่นที่พัดพาร่างนางไปไกลถึงดินแดนแห่งความหายนะก็ตามที หลินหยายกมือลูบขมับด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนที่ฝ่ามือเล็กจะยกขึ้นหมายจะตีเขาให้หายแค้น และนางก็ตีจริงด้วยฟาดเข้าที่บ่าของเขาเต็มแรงตามขนาดของแมวสาวที่กำลังหงุดหงิดสุดขีด เสียงฟึ่บดังขึ้นเบา ๆ ตามมาด้วยแรงสะบัดของนางที่แค่อยากให้เขาขยับบ้าง ไม่ใช่นอนอ้อยอิ่งกอดนางอย่างเดียว


"ท่าน!...ตื่นเดี๋ยวนี้นะ ลุก!" เสียงหวานแต่แฝงโทนขุ่นข้นกระแทกกลางอกคนฟัง 


"ข้าขยับไม่ไหวแล้ว ขาข้าอ่อนเป็นลูกกวางพึ่งเกิดแล้วเนี้่ย ข้าหิวน้ำจะตายอยู่แล้วเนี่ย!" น้ำเสียงนั้นไม่ใช่แค่บ่นเฉย ๆ แต่มาพร้อมตาค้อนแถมด้วยการเบ้ปากงอ ๆ ริมฝีปากแดงเจือบวมจากรสจูบนับครั้งไม่ถ้วนเมื่อคืนของนางน่าตีด้วยริมฝีปากเสียเหลือเกิน แต่ก็ต้องยั้งใจไว้ก่อน เพราะเจ้าแมวตัวนี้ดูเหมือนกำลังจะงอแงเอาเรื่องหากเขาไม่ทำอะไรเสียที


จางกงกงยังไม่เอ่ยอะไร เพียงแต่ยิ้มมุมปากขณะถูกตีอย่างแรงที่สุดเท่าที่ร่างกายเล็ก ๆ นั้นจะสรรค์สร้างมาได้ มือใหญ่ที่โอบรัดเธอไว้ขยับคลายออกเล็กน้อยเพื่อให้เธอหายใจได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยไปหมดนัก “งั้นข้าตื่นมองเจ้าได้หรือไม่เสี่ยวหยา เจ้าเหมือนลูกแมวเปียกฝนที่ทั้งโกรธทั้งง่วงนัก” เขาว่าพลางกระตุกยิ้ม สายตาคมใต้ขนตาหนาหลุบต่ำลงจ้องคนในอ้อมแขนตรงหน้า ดวงตานั้นมีแววบางอย่างที่ไม่อาจตีความได้ง่ายนัก เหมือนหลอมรวมระหว่างความหลงใหล ความเจ้าเล่ห์ และความอาลัยลึกซึ้งที่แอบซ่อนไว้


หลินหยายังเบ้ปากอยู่ ดวงตากลมโตเป็นประกายของนางจ้องกลับด้วยความโกรธน้อย ๆ ผสมความหิวล้วน ๆ นางยังคงหอบเล็กน้อย แก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะอารมณ์และร่างกายที่อ่อนแรงหลังศึกหนักยังคงเต้นตุบ ๆ จางกงกงมองอย่างไม่วางตา ไม่ว่าจะมุมไหนของหลินหยาตอนนี้ก็เหมือนจะยิ่งกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวเขาให้ลุกโชนขึ้นอีกหน


“อย่ามองนะ...” หลินหยาหลบตา รู้ตัวว่าสภาพตัวเองตอนนี้ไม่ได้ดูสง่างามนัก ผมเผ้ายุ่งเหยิง รอยจ้ำหลายจุดยังขึ้นเป็นทาง มือที่พยายามผลักไหล่ของเขาก็ยังสั่นระริกอย่างช่วยไม่ได้ แต่คนตรงหน้าไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเฉียดแก้มนวลอย่างเจ้าเล่ห์ “เจ้าเรียกร้องความรับผิดชอบหรือเสี่ยวหยา? …เช่นนั้นข้าก็จะรับผิดชอบให้ดีเลยล่ะ”

 

“ไม่ใช่แบบนั้นนน!” หลินหยาย่นจมูกแล้วตีเขาอีกรอบ “ข้าพูดถึงน้ำ! ข้าว! ของกิน!”


“แล้วเจ้าไม่ใช่ของกินหรือเสี่ยวหยา?”


“จางกงกง!!”


เสียงร้องประท้วงของหลินหยาแทบจะกรีดขึ้นกลางห้อง หากไม่ติดว่าลำคอยังแหบจากเสียงร้องเมื่อคืนมากกว่านี้ สุดท้ายคนตัวเล็กก็ทำได้แค่ทิ้งตัวซบอกเขาอย่างหมดแรง พลางบ่นเบา ๆ “ท่านมันโรคจิต ขันทีหื่นบ้ากาม...อย่าหวังเลยว่าครั้งหน้าท่านจะได้จับข้าอีก ข้าจะหนีไปให้ไกลสุดโลกเลยคอยดูเถอะ!” เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นในลำคอเขาอีกครั้ง เขารู้...นางพูดไปอย่างนั้นแหละ เพราะตอนนี้คนที่หายใจรวยรินอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างหมดแรง ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเด็กดื้อที่ชื่อหนาน หลินหยา คนที่แม้จะพ่นคำก่นด่าออกมานับพันครั้ง แต่กลับไม่เคยผลักไสเขาไปจริง ๆ เลยสักหน


หลินหยาขมวดคิ้ว พยายามจะเอื่อมไปหยิบกาน้ำชาข้างเตียงแต่ก็ไม่ถึงเพราะโดนอีกคนขวางไว้เพราะเขาตัวใหญ่กว่านอนขวางเพราะเขาติดหัวเตียงที่มีกาน้ำชา ดวงตาของนางจ้องเขาแบบวาววอนจริง ๆ ว่านางหิวแล้วนะ กระหายด้วย สุดท้ายเลยหน้างอแล้วพึมพำ “คงไม่มีใครสนใจข้าหรอก เห่อ กะว่าจะให้รางวัลแท้ ๆ เชียวหากดูแลข้าดี”


จางกงกงที่แม้นอนตะแคงหลับตาอยู่ ดูเหมือนไม่ไหวติงจากแรงตีแรงผลักของหลินหยาเลยสักนิด ทว่าแท้จริงแล้วกลับรับรู้ทุกถ้อยคำเสียงบ่นของนางทุกถ้อยอย่างชัดเจนโดยเฉพาะคำว่า ะว่าจะให้รางวัลแท้ ๆ เชียวหากดูแลข้าดี ที่หลุดพรวดจากริมฝีปากน้อย ๆ นั้น ราวกับเข็มเล่มคมที่กระตุกกล้ามเนื้อเส้นบางในสมองของเขาให้ตื่นเต็มตาในฉับพลัน ดวงตาคมคายคู่เดิมที่ปิดไว้แง้มขึ้นนิดหนึ่งเฉกดั่งเสือขี้เซาที่เริ่มตื่นจากจำศีล แววตานั้นยังคงทึบลึกดุจบ่อน้ำดำที่ไม่มีใครหยั่งถึงได้ แต่อารมณ์บางอย่างที่คล้ายจะฉายแววขำก็ปรากฏให้เห็นเป็นวูบเล็ก ๆ


“หืม...รางวัลหรือ?” เสียงทุ้มต่ำเปล่งออกมาช้า ๆ คล้ายกับกำลังชั่งใจมากกว่าจะถาม


หลินหยาเบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนจะเม้มริมฝีปาก “ก็ใช่น่ะสิ...ข้าหิวน้ำหิวข้าว ไม่เห็นท่านจะขยับเลย” บ่นอย่างหงุดหงิด ใบหน้าที่แดงเพราะความเขินกลบด้วยท่าทีงอนง้อแบบไม่ยอมง่าย ๆ นางขยับตัวอีกนิดแต่ก็ไร้ผล เพราะร่างสูงใหญ่ตรงหน้านั้นนอนขวางกาน้ำชาแอยู่พอดิบพอดี เส้นผมยุ่งเหยิงของเขาและไหล่เปลือยขาวซีดนั้นขัดสายตานางนัก...ช่างหน้าหมั่นไส้ยิ่งกว่าน้ำชาเย็น ๆ เสียอีก แต่ก่อนที่นางจะได้ผลักเขาออก จางกงกงกลับขยับตัวในทันใดเขาไม่เพียงขยับเท่านั้น แต่กลับใช้วิธีพลิกตัวทั้งตัวทับนางไว้เบา ๆ ชั่วขณะหนึ่ง เส้นผมดำขลับไหลลงมาทาบแก้มนาง ดวงตาที่วาววับใกล้กันจนลมหายใจแทบสอดประสาน


“หากข้าบริการดี...จะให้รางวัลอะไรหรือเสี่ยวหยา?” เสียงของเขาแหบพร่าติดยิ้ม แต่น้ำเสียงเจือกระเส่าเย้าแหย่เสียจนหลินหยาแทบจะเตะเขาได้หากมีแรงพอ


“ขะ…!! ข้า…ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นนะ!” นางหน้าแดงทันควัน มือรีบดันไหล่เขาออก “แค่หมายถึง...ของหวานอะไรสักอย่างก็ได้! หรือรอยยิ้มก็ยังดี! ไม่ใช่ว่า…ว่า—”


“ว่าอะไร?” เขาถามซ้ำแกล้งดึงเสียงยาวแล้วกระซิบตรงใบหูของนาง หายใจแผ่วร้อนเป่าลงผิวอ่อนบาง “ว่าให้ข้ากินเจ้าแทนข้าวเย็นหรือ?”


“ไอ้คนบ้า!! ขันทีเฮงซวย!!” หลินหยาร้องลั่นจนเสียงแหบ นางดิ้นพล่านจนผ้าห่มปลิวว่อน แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้นางพ้นอ้อมแขนของเขาได้เลยแม้แต่นิด 


ในที่สุดจางกงกงก็หัวเราะออกมาเบา ๆ...เสียงหัวเราะนั้นไม่ได้ดังนักแต่กลับเต็มไปด้วยความพึงใจ นาน ๆ เขาจะหลุดเสียงหัวเราะจริงใจออกมาเช่นนี้ มือหนาจึงยอมละออกจากการกอดและยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างเกียจคร้าน แผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขาปรากฏชัดในแสงอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านผ้าม่าน เส้นเอ็นบนไหล่ไล่ไปถึงบั้นเอวเผยให้เห็นร่องรอยกล้ามเนื้อของชายหนุ่มที่ถภึงแม้จะเป็นขันทีแต่ก็ฝึกร่างกายของตนเองมาอย่างดีเพื่อทำภารกิจให้กับองค์เหนือหัวสูงสุดของเขา…มิน่าแรงเยอะถึงขนาดอุ้มนางเหมือนหิ้วคอแมวขนาดนั้น 


เขาหยิบกาน้ำชา รินลงจอกที่ข้างเตียงก่อนยื่นให้หลินหยาอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับแววตาที่มองนางเหมือนแมวเฝ้าจานปลาย่าง “เสี่ยวหยาหากเจ้าหิว...งั้นข้าจะไปหาอะไรมาให้เจ้าอิ่ม” เขาว่าพลางหยัดกายลุกขึ้นอย่างช้า ๆ ดึงผ้าเสื้อคลุมมาสวมอย่างลวก ๆ พร้อมกับมุมปากที่ยังมีรอยยิ้มขบขันอ่อน ๆ แต่ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปเขาหันกลับมามองอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นฉายแววบางอย่างที่ยากจะคาดเดา


“รางวัลน่ะ...อย่าทวงตอนที่ข้ายังอดนอนก็แล้วกัน ไม่งั้นเจ้าจะโดนมากกว่านี้แน่” แล้วเขาก็จากไป ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวใจของหลินหยาในอกที่เต้นไม่เป็นส่ำ…พร้อมน้ำชาอุ่น ๆ ที่ไม่รู้ว่าหอมจากใบชาหรือเพราะมือของเขาเป็นคนรินกันแน่


หลินหยาวางจอกน้ำชาเบา ๆ ลงกับโต๊ะข้างเตียงหลังจากดื่มหมดรวดเดียว ดวงตาคู่หวานปรือฉ่ำยังแดงเรื่อเล็กน้อยจากฤทธิ์ที่สะสมทั้งคืน นางถอนหายใจอีกครั้งอย่างสุดกลั้นเหมือนจะพ่นเอาความกระอักกระอ่วนและความทรงจำอันน่าอับอายทิ้งไปกับลมหายใจเสียให้ได้ ก่อนจะพึมพำเบา ๆ ทั้งที่รู้ว่าคนที่ก่อเรื่องยังเดินอยู่ในชั้นนี้ไม่ไกลกันเลย


“โรงเตี๊ยมหรู...แต่อารมณ์เหมือนอยู่โรงแรมม่านรูดชะมัด...” นางก่นด่าพึมพำ สายตามองเพดานไม้ฉลุลายเหนือหัวอย่างหงุดหงิดจนแทบจะหลุดคำสบถ นางเหลือบมองประตูไม้หนาหนักที่ปิดลงนั้นอย่างเคือง ๆ “จองทั้งชั้นเลยนะ ขันทีเฮงซวยเอ๊ย...จะอวดรวยหรืออวดบ้ากันวะ?” ภาพคืนวานที่เพิ่งผ่านไปยังไม่ทันจะจางออกจากความทรงจำ ใบหน้าคมลึกของจางกงกงที่ฉาบไปด้วยรอยยิ้มลวงตาในยามปิดประตูเงียบงันลงตั้งแต่หัวค่ำยังตามหลอกหลอนอยู่ในหัวใจ...โดยเฉพาะเมื่อเสียง 'กิจกรรม' ในคืนนั้นที่ตนเองเป็นผู้ร่วมเล่นอยู่นั้น...ดังไม่ต่างจากโรงงิ้วย่อม ๆ


นางเม้มปากแน่นเมื่อจู่ ๆ ก็หวนคิดถึงช่วงเวลาเมื่อตอนเดินทางกลางดึกกับเซียนเฉ่า ในโรงเตี๊ยมข้างทางเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่นางต้องแบ่งห้องกับเจ้าหมาน้อย พอตกค่ำก็ดันไปเจอคู่ผัวเมียบ้ากามเสียงดังสนั่นจนกำแพงบาง ๆ แทบแตก เสียงครางกระแทกกระทั้นแบบไม่ปรานีคนข้างห้องเล่นเอาหลินหยาที่เป็นหญิงโสดต้องนอนหูอื้อหน้าแดงเถือกทั้งคืน ใจเต้นแรงกว่าตอนฝึกดนตรีเสียอีก นางถึงขั้นลุกไปเทน้ำร้อนซ้ำ ๆ เพื่อกลบเสียง แล้วต้องเอาผ้าม้วนปิดหูนอน…แต่สุดท้ายก็ไม่หลับ


“ข้าคงสร้างเวรกรรมไว้มาก…คืนนี้ถึงได้กลายเป็นเวรกรรมของคนข้างห้องเสียเอง...” นางบ่นแผ่วแล้วเอาผ้าห่มคลุมหน้าอย่างอับอาย มือบางกำหมอนแน่นแทบยัดเข้าปากหนีความจริงที่เพิ่งผ่านไป ดวงตาคู่นั้นกลอกไปมา


ความรู้สึกเหมือนทั้งโรงเตี๊ยมสั่นสะเทือนเมื่อคืนยังตราตรึงอยู่ในร่างกาย นางถึงกับแอบสงสารคนรับใช้ของโรงเตี๊ยมตอนเช้าที่ต้องขึ้นมาทำความสะอาด แต่ก็ขอบคุณความบ้าแบบจัดเต็มของจางกงกงที่จองห้องยกชั้นไว้ มิฉะนั้นหลินหยาคงต้องโดนตราหน้าว่าเป็น แม่นางผู้เร้าเร่าร้อนดั่งไฟโลกันต์ ไปทั้งเมือง


เสียงฝีเท้าแผ่วเบาของใครบางคนเดินกลับเข้ามาในห้อง หลินหยาหดตัวแทบมุดลงใต้เตียงเพราะขี้เกียจเจอหน้าคนทะเล้นที่เอาแต่จ้องหน้าของนาง กลิ่นหอมของชาร้อนและกลิ่นข้าวอบที่มีน้ำซุปซึมเข้าเม็ดข้าวราวกับผ่านการเคี่ยวนานหลายชั่วยามลอยมาแต่ไกล หลินหยาที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มถึงกับขมวดคิ้วอย่างระแวงในตอนแรก แต่พอได้กลิ่นเครื่องเทศจาง ๆ ผสมกลิ่นหอมของข้าวอุ่น ๆ ที่มีทั้งพุทราแดงอบเชย ใบหลิวหั่นฝอย และเก๋ากี้เคล้าซุปใสที่ปรุงอย่างพิถีพิถัน นางก็เริ่มเงี่ยหูฟังด้วยหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ


จางกงกงก้าวเท้ากลับเข้าห้องในจังหวะนั้นพอดี ถาดไม้เนื้อดีในมือวางอย่างนิ่งเรียบบนโต๊ะข้างเตียง เขาไม่กล่าวอะไรสักคำ ไม่เอ่ยโอ้อวด ไม่แสดงสีหน้าทะเล้นหื่นกระหายแบบเมื่อคืนแม้แต่น้อย มีเพียงความนิ่งเฉยแบบคนเยือกเย็น และการกระทำที่...ราวกับคนดูแลใส่ใจเสียจนเธอรู้สึกเหมือนโดนกระชากใจ


ในถาดนั้นมีชาหอมกลิ่นอู่หลงผสมใบพีช ช่วยบำรุงกระเพาะหลังผ่านศึกดุเดือดกลางดึกหนึ่งจอก กับอาหารข้าวอบในหม้อดินขนาดเล็กที่ยังคงอุ่นร้อน มีรสอ่อนนุ่มกำลังดีไม่มีถั่วเหลืองแม้แต่นิด ไม่มีรสขมของสมุนไพรที่นางเกลียด ที่พิเศษคือมีผลไม้เรียงอยู่ในตะกร้าอย่างสวยงาม ทั้งองุ่นม่วง แอปเปิ้ลเปรี้ยว ส้มเขียวหวาน และลูกท้อเนื้อฉ่ำหวานเจือเปรี้ยวเล็กน้อย ราวกับคัดสรรมาแล้วว่าแต่ละอย่างนั้นถูกลิ้นนางทุกประการ


หลินหยาค่อย ๆ ชะโงกศีรษะขึ้นมาจากใต้ผ้าห่มเหมือนแมวขี้สงสัย ดวงตาสีน้ำตามะพร้าวอ่อนกลมโตจ้องเขาอย่างไม่ไว้ใจ แต่พอเห็นของในถาด…นางก็กลืนน้ำลายเงียบ ๆ


เขาหันมามอง สายตาเรียบเย็นดุจน้ำในลำธารภูผาหิมะ แต่กลับส่งความรู้สึกอบอุ่นปะหลาดจนหลินหยาต้องรีบหลบตา นางกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนเอ่ยเบา ๆ เสียงพร่าเพราะยังไม่ได้ล้างหน้า


"ไม่มีถั่วเหลืองสินะ..." พอถามก็ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำแซว ไม่มีแม้แต่การบอกว่าเขา ‘รู้’ ว่านางแพ้อะไรหรือชอบอะไรแต่การที่อาหารทุกจานหลีกเลี่ยงสิ่งที่นางเกลียด และเลือกเฉพาะสิ่งที่ชอบอย่างแม่นยำ กลับทำให้นางรู้สึกมากกว่าคำพูดใด ๆ แก้มขาวของหลินหยาขึ้นสีอย่างช่วยไม่ได้ ในใจปั่นป่วนวุ่นวาย นางรีบเบือนหน้าหนี กัดริมฝีปากเบา ๆ พลางบ่นงึมงำเสียงเบา


“ดูแลคนก็เป็นนี่หว่า...อะโด้ววว...” เสียงสุดท้ายนั้นเล็ดลอดออกมาทั้งที่นางพยายามกลั้นไว้สุดชีวิต นางคว้าผ้าห่มมากอดแน่น ซุกหน้าลงไปราวกับจะมุดพื้นหนีความเขิน และไม่กล้ามองหน้าเขาอีกเลย


จางกงกงเพียงยกชาขึ้นจิบ แววตาใต้แพขนตานั้นนิ่งงันราวกับทะเลที่ไร้คลื่น...แต่หากใครสังเกตให้ดี จะเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ตรงมุมปากที่ประหนึ่งยั่วแหย่โดยไม่ต้องพูดคำใด เงียบ…แต่ใจเธอดังตึง ๆ ไม่หยุดเลยแม่เจ้า


หลินหยาไม่รอช้า หลังจากสูดกลิ่นข้าวอบที่ชวนให้ท้องร้องจ๊อก ๆ ดังลั่นไปถึงบันไดชั้นล่าง นางก็ค่อย ๆ โน้มตัวมานั่งขัดสมาธิบนฟูกนุ่มบนเตียง มือเล็กค่อย ๆ เอื้อมไปหยิบตะเกียบที่จัดวางไว้อย่างเรียบร้อยแล้วเริ่มตักข้าวคำแรกเข้าปากทันที รสกลมกล่อมของน้ำซุปที่เคลือบเม็ดข้าวพร้อมเนื้อเป็ดตุ๋นนุ่ม ๆ ที่เหมือนจะละลายตั้งแต่ยังไม่เคี้ยวเข้าปาก ทำเอาหลินหยารู้สึกเหมือนกำลังได้ขึ้นสวรรค์ นางหลับตาพริ้มก่อนเปล่งเสียง “อื้ม~” อย่างลืมตัว มือเรียวรีบตักคำที่สองตามมาด้วยความเร็วแทบทะลุความเร็วปราณ


แม้จะเหนื่อยจนแทบทรุดตอนตื่น แต่พอได้อาหารใส่ปาก ความกระปรี้กระเปร่าก็เริ่มไหลกลับมาในเส้นเลือด


นางเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างหิวจัดแต่ก็ยังเหลือบมองเขาจากหางตา ท่ามกลางความเพลิดเพลินของรสชาติที่กำลังเคลือบลิ้นนั้น หลินหยาก็ขยับตัวนิดหนึ่ง พอให้นั่งตรงได้ถนัด แล้วหันไปมองบุรุษที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะไม้เตี้ยเพราะหลินหยานั่งอยู่บนเตียง พลางเอ่ยขึ้นเสียงไม่ดังนักแต่ก็ชัดเจน “ท่าน...กินข้าวหรือยัง?” น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความกังวล แม้จะไม่อยากใส่ใจคนที่เพิ่งทำให้นางขาอ่อนเมื่อครู่ แต่นางก็รู้ดีว่าเขาก็คงไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน เพราะหลังจากปล่อยนางหมดแรงหมดตัว เขาก็น่าจะนอนด้วย แถมพอตื่นเพราะนางปลุกก็๋เดินออกไปหาอาหารทันที แถมยังกลับมาด้วยของโปรดของนางทุกอย่างอีก


“หืม?...” จางกงกงเหลือบตาขึ้นช้า ๆ จากจอกชาในมือ เสี้ยวใบหน้าหล่อเหลานั้นเปื้อนรอยยิ้มบางที่มุมปาก ดูเหมือนไม่ได้สนใจอาหารในถาดนั้นสักนิด เขาวางถ้วยชาลงอย่างนิ่งเรียบ ก่อนเอียงคอเล็กน้อย เหมือนกำลังพินิจสีหน้าหลินหยาอย่างจงใจ “เจ้าห่วงข้ารึ...เสี่ยวหยา?” น้ำเสียงของเขาทุ้มนุ่ม แต่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้หลังคอหลินหยาร้อนวาบ นางเบือนหน้าเร็วมาก จนผมหยักลอนสีน้ำตาลอ่อนสะบัดตามไปด้วย


“ไม่ได้ห่วงสักหน่อย ข้าแค่...ถามไปงั้น ๆ” นางตักข้าวเข้าปากอีกคำ กลบเกลื่อนความเขิน แต่หัวใจก็เต้นถี่ราวกับจะระเบิดออกจากทรวง


"เจ้าควรห่วงตัวเองก่อนดีกว่าเสี่ยวหยา..." จางกงกงพูดเสียงเรียบ "กินให้หมดล่ะ จะได้มีแรงกลับฉางอัน" ดวงตาของเขาเป็นประกายล้อแสงโคม ทั้งน่าค้นหาและน่าเอาเรื่องในเวลาเดียวกัน เขาเอนหลังพิง ราวกับไม่รู้ไม่ชี้ แต่ขาของเขานั่นสิเหยียดมาขวางไว้ใต้โต๊ะ ราวกับตั้งใจไม่ให้นางหนีง่าย ๆ ไปได้ หากกินข้าวเสร็จ และคำว่าแรงกลับฉางอันนี้คือยังไงวะเนี้ย


หลินหยาตาเหลือกทันที หันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าระแวงสุดชีวิต “ขะ...ข้ากินแล้ว ข้ามีแรงพอแล้ว! ไม่ต้องมาทำอะไรทั้งนั้น! รอบเดียวพอ! ข้ายังอยากกลับฉางอันแบบครบ 32 อยู่นะ!” นางรีบตะโกนลั่นทั้งที่ยังมีข้าวตุ้ยอยู่เต็มปาก หน้าก็ขึ้นสีแทบกลายเป็นมะเขือเทศสุกทันที


จางกงกงหัวเราะในลำคอเบา ๆ แบบที่ทำให้หลินหยาขนลุกซู่ เขาลุกขึ้นช้า ๆ เดินอ้อมมาด้านหลังนาง ก่อนโน้มตัวลงกระซิบเบา ๆ ข้างใบหูนุ่มที่แดงเรื่อ “ไม่ต้องรีบกินก็ได้เสี่ยวหยา…เจ้ากลับไปแน่...แต่ไม่ใช่วันนี้” แค่ประโยคนั้นก็ทำเอาช้อนและตะเกียบในมือของหลินหยาหล่นกระทบถ้วยข้าวดัง ‘เพล้ง’ เจ้าค่ะ จบเห่แล้วแม่นางหลินหยา...ข้ารู้สึกถึงพลังแห่งความหื่นกระหายรอบสองมันจะพุ่งเข้าใส่กลางแผ่นหลังตัวเองแล้วตอนนี้


จางกงกงยืนนิ่งอยู่ข้างหลังครู่หนึ่ง ก่อนค่อย ๆ ทรุดกายลงนั่งบนเบาะที่ขยับเข้ามาใกล้เธอในระยะอันตราย ใกล้เสียจนเงาของเขาแผ่ทับลงบนหลังบอบบางของหลินหยาที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าว ตะเกียบในมือนางขยับตักข้าวพุย ๆ อย่างมุ่งมั่น ขณะเดียวกันปากก็ไม่หยุดบ่น ตาก็ไม่หยุดมองเขาอย่างระแวดระวัง


"ก็ต้องไม่ใช่วันนี้ไหมล่ะ? ท่านคิดว่าข้าเดินไหวรึตอนนี้? แค่นั่งกินข้าวได้ก็เก่งแค่ไหนล่ะ...ตัวข้าก็แค่นี้ ท่านยังจะมารังแกข้าอีก..." เสียงบ่นนั้นติดจะงอแงขึ้นทุกขณะ ราวกับแมวเปียกน้ำที่พยายามจะทำท่าขู่ แต่กลับดูน่าสงสารเสียมากกว่า แถมตอนนี้ยังเป็นแมวที่เอวเคล็ด ก้นระบม ขาอ่อน ขวัญกระเจิงและกำลังตักข้าวเข้าปากรัว ๆ ด้วยอารมณ์หิวขั้นสุด น่าหยิกนักเชียว "บอกว่าไม่ บอกว่าให้พอก็ไม่หยุด..." คำบ่นนั้นฟังดูน้อยอกน้อยใจยิ่งนัก ตะเกียบที่พุ่งเข้าใส่ถ้วยข้าวอย่างรวดเร็วทำให้จางกงกงมองอยู่เงียบ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มแผ่ว ดวงตาคมใต้คิ้วเข้มยังคงจับจ้องใบหน้าของนางที่แดงระเรื่อเล็กน้อยเพราะฤทธิ์ร้อนจากอาหารและอารมณ์โกรธปนเขิน


“แล้วท่านคิดว่าเวลาท่านขี่ม้า ข้าต้องปวดเอวขนาดไหน...”


“หืม?” จางกงกงทำเสียงขึ้นจมูกเบา ๆ พร้อมโน้มตัวเข้าไปใกล้ หรี่ตามองเธออย่างจงใจจะให้คำพูดนั้นย้อนกลับมาสะท้อนในหูหลินหยาชัด ๆ “เจ้ากำลังพูดถึง ‘ขี่ม้า’ ประเภทไหนอยู่หรือ?”


หลินหยาหยุดมือแทบจะทันที ปลายตะเกียบค้างอยู่กลางอากาศ ข้าวปั้นที่กำลังจะเข้าปากกลายเป็นข้าวลอยฟ้าที่ยังไม่ถึงจุดหมาย ใบหน้านางขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด หันขวับไปถลึงตาใส่อีกคนทันควัน “ขะ...ขี่ม้าธรรมดาสิ!!! ข้าหมายถึงการเดินทาง!!!”


“อ้อ...ข้าก็นึกว่าเจ้าพูดถึงเมื่อคืนเสียอีก” เขากระซิบเสียงนุ่มกระซิบเบาหวิวข้างใบหูนาง ดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นเต็มไปด้วยความพอใจเมื่อเห็นนางหน้าแดงราวกับลูกท้อ


“ขะ...ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว!”


หลินหยาเงยหน้าฟึดฟัด ปากงับข้าวแรงขึ้นกว่าเดิมอย่างประชด มือที่ตักข้าวแทบกลายเป็นการรุกโจมตีแบบใช้พลังปราณเข้าใส่ข้าวในถ้วย นางพยายามไม่หันกลับไปมองเขาอีก แต่ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ข้างหลังไม่ไปไหน


จางกงกงยิ้มพรายอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเอนตัวนั่งพิงผนัง สอดมือสองข้างไว้ด้านหลังศีรษะของตัวเองราวกับคนที่ไม่มีอะไรต้องกังวล ไม่ได้แตะอาหารแม้แต่น้อย “ข้าจะไม่กวนเจ้าหรอก หากเจ้าต้องการนอน” เขาว่าด้วยเสียงที่แฝงความอ่อนโยนอย่างแปลกประหลาด “แต่ถ้าฝันร้าย...อย่าได้โทษข้าล่ะ หากข้าต้องเข้าไป ‘ปลอบ’ ถึงใต้ผ้าห่ม”


“บ้า!!!” หลินหยากัดข้าวแน่น หน้าร้อนจี๋ มือที่ถือถ้วยข้าวแทบจะโยนมันขึ้นเพดาน ข้าจะตายเพราะเขาก่อนที่จะได้กลับฉางอันแน่ ๆ!! นางสบถในใจ ปากก็กินต่อแบบหงุดหงิดสุดขีด ส่วนจางกงกง...ก็ยังคงจ้องมองนางอย่างเพลิดเพลิน ราวกับแมวเฝ้าดูเจ้าหนูที่โกรธจนหางฟู เสี่ยวหยานี่ช่างเป็นข้าวอบโรยพริกที่ร้อนถึงใจเขานัก



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ซึ้งใจโคตร มันออกลายโบ้แล้ว ซึ้งโคตร ในที่สุด ;-; ฮือออออ จาร้อง
(รอบก่อนลืมให้ลบ EXP เสียดายยย)

รางวัล:  -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 140960 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-16 17:22
โพสต์ 140,960 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-16 17:22
โพสต์ 140,960 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-16 17:22
โพสต์ 140,960 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-16 17:22
โพสต์ 140,960 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-16 17:22
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-17 14:33:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 17 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า เมืองจี้ มณฑลเหลียงโจว - ยามไห่ เมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน จักรวรรดิต้าฮั่น


เสียงกระดิ่งลมไม้ไผ่ด้านนอกหน้าต่างที่เปิดไว้เพียงครึ่งดังกรุ๋งกริ๋งเบา ๆ ต้องลมยามเหม่า กลิ่นอายของเช้าวันใหม่ลอยเข้ามาพร้อมกลิ่นไม้แห้งจากห้องด้านข้าง และกลิ่นหอมจางของชาจีนที่ยังอวลอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อคืน ท่ามกลางความเงียบสงบของโรงเตี๊ยมชั้นบนที่ถูกเหมาไว้ทั้งชั้นไม่มีเสียงใดนอกจากเสียงหายใจแผ่วเบาคล้ายกล่อมให้นอนต่อ หลินหยาขยับตัวเล็กน้อย ใบหน้างามที่ซบหมอนเนื้อเนียนขยับไปมาตามอาการเคืองตาเมื่อแสงอ่อนแรกยามเหม่าเล็ดลอดผ่านช่องไม้เข้ามา นางขยับมือขึ้นขยี้เปลือกตา หาววอดออกมาเสียงดังพอควร กายบางเริ่มตื่นเต็มตา ริมฝีปากอ้าเล็กน้อยระหว่างยืดแขนยืดขาเต็มที่ ราวกับลูกแมวตัวนุ่มที่เพิ่งฟื้นคืนชีพจากอ้อมผ้าห่มหนา


“อือ...ฮึ่ม...” เสียงครางน้อย ๆ ด้วยความขี้เกียจถูกปล่อยออกมาพร้อมกับการบิดเอว กางแขนกางขาจนผ้าห่มกระดกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่นางจะหยุดนิ่งกลางอากาศ สำนึกบางอย่างไหลย้อนกลับมาในหัวทันที 


‘...เดี๋ยวนะ’ สายตาของหลินหยาหยีมองไปข้างตัวอย่างเชื่องช้า ริมฝีปากที่เคยอ้าหาวเมื่อครู่เม้มแน่นลงทันใด


เตียงไม้เนื้อดีที่นางนอนอยู่ ไม่ได้มีแค่หมอนของนางเพียงใบเดียว หากแต่มีอีกหนึ่งหมอนที่ยุบยวบลงจากน้ำหนักตัวคน ความอุ่นยังหลงเหลืออยู่บนผ้าห่มในฝั่งตรงข้าม และแน่นอนเงาร่างสูงใหญ่ที่หลับนิ่งราวกับรูปสลักก็ยังนอนอยู่ข้างกันจริง ๆ จางกงกงนอนตะแคงหันหลังให้ มือข้างหนึ่งวางพาดอยู่บนหมอนอีกใบ ส่วนผ้าห่มก็ถูกดึงไปครึ่งหนึ่งจากการแย่งกันเมื่อกลางดึก ความเย็นของยามเช้าทำให้เส้นผมยาวของเขาหลุดจากมัดเล็กน้อย จนปอยผมบางเส้นตกอยู่บนลำคอและแนวกรามคมที่ยังคงความน่ากลัวแม้ในยามหลับ


หลินหยาเม้มปาก พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ “...แม่งเอ๊ย ข้าก็ว่าแล้วเชียว...” นางบ่นเสียงแผ่วกับตัวเอง เอื้อมมือดึงผ้าห่มฝั่งที่เขาแย่งคืนมาเล็กน้อยอย่างขัดใจ ก่อนจะนั่งกอดอกบนเตียงนิ่ง ๆ คล้ายกำลังพิจารณาชีวิต

 

จางกงกงยังไม่ตื่นแต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ตัว...ชายผู้นั้นแม้เปลือกตาจะปิดแน่น แต่ปลายนิ้วมือที่วางอยู่บนหมอนกลับขยับเล็กน้อย และลมหายใจก็ยังคงสม่ำเสมออย่างน่าระแวง คนที่ถูกฝึกมาอย่างเขาไม่มีทาง “หลับ” โดยไม่รู้ว่ามีแมวขี้หงุดหงิดกำลังนั่งงอนอยู่ข้างตัวหรอก หลินหยายังไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายรู้แล้วว่านางตื่น แถมยังแอบจ้องอยู่ในความเงียบแบบนั้น นางยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบา ๆ ถอนหายใจอีกครั้ง พึมพำ


“เมื่อคืนก็แค่เข้านอน...นอนธรรมดา...ใช่ไหมนะ...? ข้าไม่ได้โดนแอบลักหลับใช่ไหมนะ?” ก่อนจะเผลอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดภายในห้องนี้เมื่อคืนเองก็หน้าแดงแจ๋ขึ้นมาอีกระลอก แล้วเสียงหัวเราะแผ่วต่ำก็แว่วมาจากใต้ผ้าห่มด้านหลัง พร้อมเสียงทุ้มขี้แกล้งที่เอ่ยตามมาอย่างเฉยเมยแต่จงใจเต็มที่ “ถ้าแค่นั้นเจ้าก็หน้าแดงได้ ข้าจะลองให้มากกว่านั้นในคืนนี้ดีไหม?”


"จางกงกงงงงง!!!" หลินหยาแทบจะพุ่งไปฟาดหมอนใส่หลังเขา! คนขี้หวงตื่นแล้ว และตอนนี้เขาพร้อมจะล้อเจ้าแมวตัวขี้อายให้หางฟูไปทั้งเช้าเลยทีเดียว


เสียงหมอนผืนหนา ฟุ่บ กระแทกลงบนร่างคนที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างแรงพอสมควร นุ่มแต่เจ็บใจ… หลินหยากระแทกมือใส่เต็มแรงจนหมอนแทบจะยุบติดแผ่นหลังเขา นางไม่รอให้คนข้าง ๆ ได้หันมาแกล้งยิ้มหรือพูดอะไรยียวนอีกแม้แต่คำเดียว “ตื่นได้แล้ว!! วันนี้ต้องออกเดินทาง!! เดี๋ยวก็กลับถึงฉางอันช้าหรอก!!” เสียงตวาดที่ปนแววอายอย่างโกรธ ๆ ดังลั่นห้อง สะท้อนออกไปถึงหน้าต่างไม้บานสวย ราวกับแมวตัวน้อยที่ขู่ฟ่อสุดเสียงก่อนจะหนีเข้ากะลาหัวตัวเอง หลินหยาลุกพรวดพราด ร่างบางในชุดนอนที่ยังหลุดลุ่ยเล็กน้อยเพราะหมอนฝั่งข้างเธอโดนแย่งเมื่อคืนรีบวิ่งปุเลง ๆ ไปยังฉากกั้นที่ตั้งอยู่มุมห้อง ก่อนจะคว้าเสื้อผ้ากับผ้าขนหนูผืนเล็กเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว


เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ที่กระแทกพื้นไม้ดังปึง ๆ และเสียงปัดม่านไม้ไผ่หลังฉากดัง กรุ๊ง ตามหลัง ก่อนจะจบลงด้วยเสียง “ปึง!” เบา ๆ เมื่อเจ้าตัวปิดประตูไม้ด้านในไว้ไม่ให้ใครยื่นหน้ามาสอดแนม “ฮึ่ยยยย เจ้าคนบ้า!!” เสียงสบถเบา ๆ ดังลอดออกมาอย่างอัดอั้น พร้อมเสียงรดน้ำลงบนร่างกายเย็น ๆ ของยามเช้า


ทางฝั่งเตียงร่างของจางกงกงที่เคยนอนเงียบอยู่ใต้ผ้าห่มขยับตัวช้า ๆ เขายกแขนขึ้นหนุนศีรษะ หัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างพอใจ ความขี้แกล้งผสมกับความเอ็นดูเจ้าแมวตัวนั้นยังล้นในแววตา “แค่นี้ก็เขินจนต้องพรวดพราดหนี...” เขาพึมพำ รอยยิ้มยากจะเข้าใจแต่งแต้มอยู่บนมุมปากอย่างร้ายลึก ทั้งชั่วร้าย ทั้งอ่อนโยน ทั้งเย้ายวน และเต็มไปด้วยความลับ มือข้างหนึ่งยกหมอนขึ้นมาดูพลิกไปมาแล้ววางไว้ที่เดิม คล้ายยังรู้สึกได้ถึงแรงโบกอย่างแรงของนาง


“...แรงไม่เบาเลยนะเจ้าแมวดื้อ” ชายหนุ่มผุดลุกจากเตียง เส้นผมยาวของเขาสยายลงมาบางส่วนอย่างไม่เรียบร้อยเมื่อเขาเดินผ่านฉากกั้นด้วยจังหวะเนิบ ๆ หยิบชุดและเสื้อคลุมของตนขึ้นพาดบ่า มองฉากกั้นด้วยสายตาเรียบเฉยราวกับไม่คิดจะเข้าไปขัดจังหวะ “เจ้าจะรีบเดินทางเพราะกลัวอย่างอื่น หรือกลัวข้าจะอดใจไม่ไหวกันแน่...?”


เขาแค่นหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังอีกฝั่งของห้อง เพื่อเตรียมตัวเช่นกันแต่ไม่ใช่เพราะต้องรีบ...แต่เพราะเขาไม่อยากให้นางต้องหงุดหงิดเรื่องเสื้อผ้าเปียก ๆ หรือเอวระบม ๆ ตลอดการเดินทางแต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า...บนเส้นทางที่ใกล้จะถึงฉางอัน...เขาจะทำให้นางอารมณ์เสียได้ถึงเพียงใดกันนะ?


……


เสียงกึกกักของกีบม้าดังก้องตามทางลูกรังในยามเช้าตรู่ แสงอ่อนของอรุณแรกส่องลอดกลีบเมฆบาง ทอแสงสีทองอ่อน ๆ ละไล้ผิวดินเย็นชื้นด้วยหมอกน้ำค้าง กลิ่นดินกลิ่นไม้จาง ๆ ของเมืองจี้ยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่เบื้องหลัง ขณะที่สองร่างบนหลังม้ากำลังเคลื่อนห่างออกจากเขตชานเมืองทีละน้อยราวกับไม่มีใครอยากหันกลับไปมองสิ่งใดอีก หลินหยาในชุดผ้าฝ้ายหนานุ่มสีหม่นคลุมยาวเกือบถึงปลายเท้า ดึงผ้าคลุมคอขึ้นมาคลุมครึ่งลำคออย่างแน่นหนา แม้จะไม่หนาวมากนัก แต่ใบหน้าแดงซ่านของนางไม่อาจทานแรงลมอ่อนในยามเช้านี้ได้อยู่ดี…


โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่ารอยตรงซอกคอ รอยตรงข้อไหล่ หรือแม้แต่ใต้มวลกล้ามขาอ่อนล่างสุดต่างก็ยังอุ่นวาบอยู่ในความทรงจำของร่างกาย ทุกก้าวของม้า กล้ามเนื้อช่วงสะโพกที่บอบช้ำก็เตือนให้นางระลึกถึง “ความร้ายกาจ” ของบุรุษเบื้องหลังมากขึ้นเรื่อย ๆ


หลินหยากัดฟันแน่นในใจแต่ใบหน้ากลับแสร้งตีเฉยอย่างเย็นชา นางนั่งพิงอยู่ด้านหน้าของชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของม้า เส้นผมของเขาปลิวกระทบลำคอของนางเบา ๆ เป็นระยะเมื่อลมโชยผ่าน “กลัวใครจะมองเห็นรอยหรืออย่างไร เจ้าแต่งตัวมิดยิ่งกว่าทหารยามในฤดูเหมันต์เสียอีก” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยแผ่วเบาแนบหูอย่างจงใจ แม้จะพูดเรียบ ๆ แต่หางเสียงกลับเหมือนคนแอบขำอยู่ในใจ ขำจนแทบกลั้นไม่อยู่


หลินหยาแทบจะหันกลับไปข่วนหน้าเขาให้ได้ แต่ยังดีที่นางรู้ว่า ถ้าขยับแรงไปตอนนี้ มีหวังสะโพกน้อย ๆ คงหักสองท่อน “ท่านนั่นแหละตัวดี...ที่ข้าเป็นแบบนี้เพราะใครกันล่ะ อีกอย่างข้าไม่อยากตายกลางทางหรอกนะ ถ้ายังเดินไม่ถึงฉางอันแล้วโดนท่าน...”


“โดนอะไรหรือ?” เขาชะโงกหน้าลงถามเสียงเรียบ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่น้ำเสียงเย้ายวนนั้นกลับทำให้ใบหน้าของหลินหยาแดงจัดราวกับลูกท้อสุกปลั่ง


“ข้าจะเงียบ! อย่ามาพูดด้วยนะ!”


“หืม...แล้วเจ้าจะเงียบไปตลอดทางหรือ?” จางกงกงในคราบท่านชายห่าวหมิงแสร้งถอนหายใจ เขาโอบเอวบางที่สั่นน้อย ๆ จากแรงสะเทือนของม้าไว้แน่นขึ้นเล็กน้อย ส่งความอุ่นจากฝ่ามือเข้าหาแผ่นหลังของนาง พร้อมกระซิบเบา ๆ ตรงท้ายใบหู “จะไม่พูด จะไม่หันกลับมาแม้แต่คำเดียวเลยหรือ...ยอดรัก?”


เสียงหัวใจของหลินหยาดัง ตึ้ก! ขึ้นมาแรงจนเหมือนจะทะลุออกมานอกอก นางกัดริมฝีปากพยายามกลั้นสีหน้า แต่แก้มแดงจัดนั่นมันฟ้องชัดเจนยิ่งกว่าคำใด “หยุดเรียกแบบนั้นนะ!! ขนลุก!!” นางหันมาแหวเสียงเบา ตวัดตามองคนด้านหลังที่ยังคงมีสีหน้าสุขุมราวกับไม่รู้สึกอะไรเลย


“แล้วจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไรดี...เจ้าแมวขี้อาย?” เขาโน้มหน้าลงใกล้ยิ่งขึ้นอีกจนริมฝีปากเฉียดหลังใบหูนาง หลินหยาแทบจะกระโดดลงจากหลังม้าหากไม่ติดว่า...แค่ขยับตัวเล็กน้อยก็แทบทรุดคาที่ เธอจึงได้แต่ฟาดหลังมือเข้าที่ต้นขาของเขาอย่างแรงแทน “โอ๊ย...แรงไม่เบาเลยนะ”


“ยังเบากว่าที่ท่านทำเมื่อคืนก่อนอยู่ดีล่ะ!” หลินหยาเผลอหลุดพูดออกไปเสียงดัง แล้วถึงกับรีบปิดปากตัวเองทันที...ตายแล้ว หลุดปากแล้วจริง ๆ!!


จางกงกงหัวเราะอย่างสะใจ หัวเราะจนเสียงลมกลบไม่มิดในขณะที่บังคับม้าให้ควบไปอย่างเนิบนาบ ไม่เร่งรีบ ราวกับจะให้เส้นทางกลับฉางอันนั้น...ยาวนานขึ้นอีกนิด ยิ่งได้แกล้ง ยิ่งน่ารักและยิ่งน่ารัก...ก็ยิ่งอยาก “รังแก” ซ้ำอีกเรื่อย ๆ จะกลับถึงฉางอันวันไหน...เขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว


เสียงสายลมเย็นของยามสายพัดไล้ใบไม้บนยอดไม้ริมทางเบา ๆ ขณะม้าสีน้ำตาลเข้มของจางกงกงเคลื่อนตัวผ่านผืนป่าเตี้ยโปร่ง ที่ซึ่งเสียงนกร้องและกลิ่นหญ้าชื้นหลังไอหมอกจางเริ่มจางหายไปทีละน้อย กระแสเสียงหนึ่งที่เบาแต่แผ่วชัดเริ่มปรากฏขึ้นท่ามกลางบรรยากาศสงบสุขนั้นเสียงไหลของลำธาร หลินหยาบนหลังม้าสะดุ้งน้อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว ดวงตากลมหวานใต้ร่มเงาผ้าคลุมคิ้วกระตุกเบา ๆ ขณะมองเห็นประกายแสงแดดสะท้อนวาบจากสายน้ำเบื้องข้าง ลำธารสายหนึ่งทอดเลียบขนานไปกับทางดินที่พวกเขากำลังเดินทางอยู่ น้ำใสไหลเอื่อย ทว่าเต็มไปด้วยแสงสะท้อนวับวาบจนเหมือนมีสิ่งมีชีวิตแฝงตัวอยู่ใต้ผิวน้ำมากมาย


เธอเม้มปากแน่นอย่างไม่รู้ตัว พยายามสะกดความรู้สึกบางอย่างที่ตีตื้นขึ้นมาในอก มิใช่ความกลัว...แต่เป็นความระแวงปนรำคาญที่ขับเน้นจากประสบการณ์อันเลวร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเดินทางไม่ว่าจะภูเขาหรือทุ่งร้างตราบใดที่มี “น้ำไหล” เป็นองค์ประกอบ มันก็ดูเหมือนจะมีพวกปีศาจปลานรกที่ไหนไม่รู้ผุดหัวออกมาทุกที...


บางตนมีปากกว้างเหมือนตะโกรง บางตนมีลำตัวลื่นแผลบเหมือนปลาไหล บ้างก็ส่งกลิ่นหอมลวงใจที่ปลายคลื่นน้ำ แต่เป้าหมายเหมือนกันหมดลากร่างสตรีลงน้ำ ข่มเหงภายใต้น้ำเย็นยะเยือก แล้วกลืนกินทั้งกายาและจิตวิญญาณ...แต่ก็นั่นแหละส่วนใหญ่ตายเรียบตั้งแต่ยังไม่ทันจับขาเธอ เพราะหนาน หลินหยาน่ะ เป็นพวกไม่ยอมให้ “อะไร” มาลากไปข่มขืนง่าย ๆ หรอกนะ!! (ยกเว้นไอ้คนด้านหลัง) มือเรียวกระชับชายผ้าคลุมให้แน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าแอบเหลือบมองไปยังด้านหลังคนที่กำลังควบม้าอยู่เบื้องหลังตนเล็กน้อย น้ำเสียงแข็งแต่เบาเอ่ยออกมาอย่างพยายามรักษาความเยือกเย็น “ขออย่าให้มีเรื่องอีกเลยรำคาญ”


จางกงกงปรายตาลงมองเพียงนิดเดียว แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความน่าสงสัยเจือขำ “เหตุใดเจ้าถึงดูประหลาดนักเมื่อเห็นลำธาร?” น้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบ แต่กลับแฝงความรู้สึกเหมือนจะเอาเรื่องในหัวนางมาแทะเล่น


“ไม่มีอะไร...ข้าแค่ไม่ชอบน้ำเย็น” หลินหยาแสร้งเมินไปทางอื่น พยายามกลบเกลื่อนโดยไม่ให้สีหน้าหวาดระแวงเผยออกมากไปกว่านี้ แต่ไม่รู้ทำไมอาจเป็นเพราะโชคชะตา หรือคำสาปจากทวยเทพด้านใดไม่รู้ทันทีที่ม้าเพิ่งผ่านลำธารไปไม่กี่อึดใจ...สิ่งบางอย่างก็พุ่งจากผิวน้ำขึ้นสาดละอองแฉะ!


ฉ่าาาาาาา!!!


เสียงน้ำแตกกระเซ็นตามด้วยเงาวูบหนึ่งแล่นผ่านใต้พื้นลำธารอย่างรวดเร็ว ราวกับมีบางสิ่งกำลังว่ายทวนน้ำขึ้นมาด้วยความเร็วสูง มันพุ่งแหวกผิวน้ำเป็นรูปตัววี ชัดเจน...ว่ามีบางอย่างกำลังมุ่งเป้าขึ้นฝั่ง! หลินหยาแทบจะสบถเป็นคำหยาบในทันที แต่ยังไม่ทันนางจะได้อ้าปากอะไร คนที่อยู่ด้านหลัง จางกงกงก็ควบม้าเร่งสปีดพรวดเดียวพุ่งข้ามลำธารแบบไม่ให้โอกาสปีศาจปลาสักตัวได้ตั้งหลัก เงาวูบใต้น้ำที่พุ่งตามแทบไม่ทัน ก็ถูกทิ้งไว้ด้านหลังพร้อมเสียง “ตูม!!” ที่ซัดน้ำกระจายไปทั่วบริเวณ


แต่ไม่มีท่าทีจะหยุดท่ามกลางเสียงน้ำที่ไหลเอื่อยลอดลำธารคดเคี้ยวซึ่งทอดผ่านโขดหินและพืชน้ำอย่างสงบ ฉับพลันก็มีเสียงแตกกระจายของผิวน้ำเมื่อเหล่าปีศาจปลาสี่ตนโผล่ขึ้นมาพร้อมฟันแหลมเรียงรายที่งับอากาศดังกรอด เส้นผมสีดำชื้นโชกของมันปลิวสะบัดดุจสาหร่ายในทะเลสาบต้องคำสาป พวกมันมีรูปร่างครึ่งคนครึ่งสัตว์น้ำ ร่างกายเปลือยเปล่ามันเยิ้ม ผิวเทาอมฟ้า ผุดลอยขึ้นจากน้ำด้วยท่วงท่าคลุ้มคลั่ง คล้ายดักรอเหยื่อมานานแรมปี


หลินหยาที่นั่งม้าร่วมกับจางกงกงถึงกับกรอกตาหนัก ๆ แล้วกอดอกเอนตัวพิงอกอีกฝ่ายอย่างหมดแรง เธอบ่นงึมงำด้วยเสียงขุ่นเคืองว่า "ขี้ตื้่อชิบหาย…นี่ข้ายังเดินไม่ถนัดเลยนะ ยังจะมาให้สู้ปีศาจอีกหรือ? ข้ายังปวดตัวอยู่เลย ท่านไปจัดการเองเถอะ ข้าไม่ลง ขี้เกียจ...เหนื่อย...ปวด...หิว...และเซ็งมาก" ว่าแล้วก็หันหน้าหนีไปอีกทาง บ่งบอกชัดว่าตอนนี้แม้ไฟจะลุกตรงหน้า หากไม่มีข้าวผัดจานมาแลกเธอก็ไม่คิดจะลงม้าด้วยตัวเองเด็ดขาด


แต่คนที่นั่งอยู่ด้านหลังอย่างจางกงกงในคราบของท่านชายห่าวหมิงกลับเผยรอยยิ้มขบขันบาง ๆ ดวงตาเรียวเฉียบสบมองลำธารเบื้องหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะก้มมองคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าแผ่นหลังนุ่มนิ่มของตนกำลังกระทบเข้ากับอกของเขาทุกจังหวะการหายใจ นัยน์ตาของเขาทอแววซับซ้อนนิด ๆ ขณะกระซิบเสียงเรียบใกล้ข้างหู


"เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่าที่เจ้าไม่ยอมลงจากม้าไม่ใช่เพราะเจ้าปวดตัว...แต่เพราะเจ้าขึ้นม้าเองไม่ได้ต่างหาก" หลินหยาแทบหันขวับทันที ใบหน้าที่กำลังสะบัดหนีด้วยความขี้เกียจก่อนหน้านี้ถึงกับแดงซ่านทันควัน นางตวัดคอขึ้นอย่างฮึดฮัดพลางด่าเสียงเบา "หุบปากไปเลย! ข้าไม่อยากโดนท่านอุ้มให้ใครเห็นอีก ขายหน้าจะตาย! ม้าอะไรก็ไม่รู้ตัวโคตรสูงเลย"


"ข้าว่าเจ้าแค่กลัวว่าจะมีคนเห็นรอยรักที่คอเจ้ากระมัง...ถึงต้องห่มผ้าหนาเตอะทั้งที่แดดออกหรือระวังตัวเองเวลาขึ้นม้า" เขาว่าพลางหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ทว่าเสียงนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความน่ากลัวคล้ายปีศาจที่เพิ่งหม่ำกระต่ายตัวน้อยเข้าไปทั้งตัว และยังไม่ทันที่หลินหยาจะได้สบถตอบเสียงน้ำแตกอีกครั้งก็ดังขึ้นพร้อมกับปีศาจปลาตัวหนึ่งพุ่งเข้าใกล้ เงาวูบใต้ผิวน้ำเคลื่อนเข้าใกล้ราวกับคืบคลานอยู่ใต้ผิวของหายนะ จางกงกงไม่ได้พูดอะไรต่อ เขากระโดดลงจากหลังม้าด้วยความว่องไวราวสายลม เสื้อคลุมสะบัดปลิวลู่ไล้ตามแรงเคลื่อนไหว และเพียงชั่ววินาทีเดียว กระบี่ประจำกายก็โดนชักออกจากฝักแสงสีเงินเย็นเยือกฉาบไล้คมอาวุธเฉือนแสงอาทิตย์บาง ๆ ที่ลอดเมฆหมอกฤดูใบไม้ร่วง


เสียง “ฉัวะ!” ดังขึ้นเมื่อปีศาจตัวแรกถูกฟันผ่ากลางลำตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า เนื้อสีน้ำเงินเข้มกระจายกลิ่นคาวจนแมลงบินหนีว่อน คมดาบของเขากลับไม่มีแม้แต่หยดโลหิตเปื้อน ความแม่นยำและเฉียบขาดนั้นเกินกว่าที่บุรุษธรรมดาจะทำได้ ชายหนุ่มร่างสูงผู้ครองอาวุธเยี่ยงเทพมรณะเหวี่ยงกระบี่ในมืออย่างไร้เสียง ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างประหลาดราวกับเต้นรำบนผิวน้ำ ใบหน้าที่เคยเปื้อนยิ้มยียวนบัดนี้กลับเย็นชาจนน่ากลัว


"เอ้อ...เอาอีกแล้วภาพสยองยามเช้า...นี่ข้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยนะ" หลินหยาบ่นพึมพำบนหลังม้า เธอขยับมือหยิบองุ่นเปรี้ยวลูกเล็ก ๆ ขึ้นมาเคี้ยวกรอบ ๆ พลางมองฉากตัดปีศาจเหมือนชมโชว์หน้าห้องรับประทานอาหาร เธอพูดลอย ๆ เหมือนจะให้ได้ยินว่า "ท่านจัดการให้เสร็จนะ ห้ามเลอะ ห้ามเปื้อน แล้วอย่ามาแตะตัวข้าก่อนล้างมือด้วย!" แล้วนางก็เอี้ยวตัวพึมพำกับองุ่นลูกใหม่ในมือว่า "ข้าว่าข้ากินให้หมดก่อนที่เขาจะกลับมา...ไม่งั้นเดี๋ยวต้องแบ่งแน่เลย" ใบหน้าของหลินหยาดูระแวดระวังเหมือนเจ้าหญิงที่ปกป้องขุมทรัพย์สุดท้ายของตนจากเจ้าปีศาจอสรพิษผู้ที่สามารถกลืนได้แม้กระทั่งหัวใจนุ่มนิ่มของนางในยามไม่รู้ตัว...


แล้วจางกงกง...ก็หันมาสบตานางทันทีที่เขาตวัดกระบี่จนศพปีศาจปลาตัวสุดท้ายขาดครึ่งกลางอากาศ ใบหน้าเปื้อนเหงื่อบาง ๆ ของเขายังคลี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า "เจ้ากินไม่แบ่งข้าอีกแล้วใช่ไหม?" จางกงกงที่ยังถือคมขวานอาบเลือดของปีศาจปลาสะบัดเบา ๆ ให้หยดเลือดที่เกาะอยู่ปลายด้ามปลิวหลุดลงไปในลำธาร ดวงตาเรียวคมกวาดมองปลาที่ดิ้นแด่ว ๆ อยู่ข้างฝั่งด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะหมุนกระบี่กลับเสียบเข้าฝักอย่างแม่นยำราวกับพลิ้วมือของจิตรกร หลินหยาที่เห็นเขาจัดการปีศาจปลาแล้วเอ่ยขึ้น “ท่าน อย่าลืมเอาปลาหรือพวกกะเพาะปลาของปีศาจปลามาด้วยข้าจะเอาไปขายที่ร้าน”


เขาเงยหน้ามองหลินหยาเล็กน้อยก่อนหัวเราะพรืดในลำคออย่างอดกลั้นความขำไว้ไม่ไหว "...แค่นี้เจ้าก็ยังไม่วายคิดเรื่องค้าขายอีกหรือ?" น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบแต่กลับแฝงรอยยั่วแหย่เอาไว้อย่างชัดเจน ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นนางกระเถิบตัวอย่างแผ่วเบาบนหลังม้า ร่างนั้นยังคงนั่งเอียงเล็กน้อยเหมือนคนที่ปวดสะโพกอย่างจริงจัง เขาไม่พูดอะไรนอกจากเดินตรงเข้าไปยังศพปีศาจปลาตัวใหญ่ที่สุด ใช้เท้าถีบให้พลิกตะแคง จากนั้นก็ใช้ปลายมีดสั้นเฉือนลงไปที่พุงมันอย่างเชี่ยวชาญ


"เอาแต่กะเพาะก็เสียของสิ" เขาพึมพำกับตัวเอง แต่ก็ทำตามที่นางสั่งอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ใบหน้าคมคายยังไม่ลืมหันกลับไปมองคนที่นั่งบนหลังม้า ใบหน้าใสนั้นกำลังบ่นอุบอิบพึมพำเรื่องราคากลางของกะเพาะปลาปีศาจในตลาดฉางอันอย่างเอาจริงเอาจัง ดวงตากลมโตที่ตอนนี้จ้องพื้นน้ำเหมือนคำนวณกำไรน่ะมันน่าเอ็นดูหรือว่าน่าตีกันแน่วะเนี่ย… เขาค่อย ๆ หั่นส่วนที่มีค่าออกจากปลาทั้งสี่เก็บใส่ถุงผ้าใบหนึ่งที่ดึงออกจากกระเป๋าข้างอานม้า แล้วเดินกลับมาโยนใส่มือหลินหยาที่กำลังยื่นมาอย่างไว ราวกับรู้ตัวดีว่าจะได้สมบัติ


“เจ้าเป็นแม่ค้าแสนโลภหรือไม่กันแน่นะข้าชักเริ่มไม่แน่ใจแล้ว” จางกงกงเอ่ยพลางขึ้นขี่ม้าแล้วเอื้อมมือจับบังเหียนแล้วควบม้าก้าวต่อ “คราวหน้าหากข้าเจอปีศาจเปลือกหอย เจ้าก็คงจะสั่งให้ข้าแกะหอยส่งให้ถึงปากกระมัง”


“จะดีมากถ้าท่านทำให้ถึงขนาดนั้น” หลินหยาหัวเราะเสียงใส ดวงหน้าแดงระเรื่อทั้งเพราะแดดและเพราะถูกแซวอย่างตรงเป้า นางซ่อนยิ้มไม่ทันก่อนแสร้งทำเป็นหันหน้าไปอีกทางอย่างไม่สนใจ "ข้าก็แค่ไม่อยากให้ของดีเสียเปล่าเท่านั้นเอง คนมันรู้คุณค่าของทรัพยากรก็แค่นั้น"


"อืม..." จางกงกงรับคำในลำคออย่างคนที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามแถออก เขาโน้มตัวเล็กน้อยกระซิบข้างใบหูของนางด้วยเสียงต่ำพร่าอย่างเจตนาจะทำให้นางขนลุก "เจ้ามันโลภนิด ๆ ...แต่นั่นแหละที่ข้าชอบ" เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง หลินหยาได้แต่กำหมัดแน่นบนถุงผ้าในมือ อยากจะทุบเขาให้สาสมกับคำพูดกะล่อนนั้น แต่ขาก็ยังระบมเกินกว่าจะดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขน


“ข้าไม่ได้โลภ...แค่ฉลาดหาเงิน” นางพึมพำเถียงทั้งที่หน้าแดงแจ๋ก่อนจะรีบเบือนหน้าไปทางลำธารอย่างหงุดหงิดพลางกอดถุงผ้าห่อของไว้แน่นราวกับสมบัติแล้วเก็บถุงวัตถุดิบเข้าแหวนดาราจรัสไว้อย่างเรียบง่าย เสียงฝีเท้าม้ากระทบผิวดินชื้นเป็นจังหวะมั่นคงขณะร่างของทั้งสองขี่แนบกันอยู่บนหลังอาชา พ้นจากเขตลำธารมาร่วมกึ่งชั่วยามแล้ว แสงแดดยามสายเริ่มลอดผ่านพงไม้สองข้างทางอย่างอ่อนโยน สายลมพัดกลีบดอกไม้ป่าบางชนิดปลิวล้อผิวแก้ม หลินหยาที่เพิ่งเก็บของมีค่าลงแหวนดาราจรัสก็หันศีรษะเล็ก ๆ ไปมองใบหน้าด้านข้างของคนที่โอบรอบเอวนางอยู่ ขณะกำลังยกสายบังเหียนควบม้าด้วยท่วงท่าสง่างาม


"ท่าน…" นางเกริ่นเบา ๆ เสียงเจือความลังเลเล็กน้อย "ระหว่างเดินทางมาที่นี่...มีปีศาจปลาตัวหนึ่งมันติดตามมาด้วยเจ้าค่ะ พอดีข้าช่วยมันจากอวนชาวบ้านเมื่อหลายวันก่อน มันเลยตามมาเอง มิใช่ว่าเพราะมันหมายตาหญิงสาวนะเจ้าคะ" เอ่ยจบก็รีบกลอกตาเร็ว ๆ มองปฏิกิริยาของจางกงกงโดยไว เผื่อว่าคนผีในร่างบุรุษเบื้องหลังจะตีความผิดแล้วอารมณ์บูดเสียก่อน


จางกงกงไม่ได้ตอบในทันที ใบหน้าเรียวที่เงียบขรึมในยามปกติยังคงเฉยชา แต่ดวงตาที่คมกริบดั่งมีดดาบกลับตวัดมองทางข้างหน้าเพียงครู่ ก่อนจะลดสายตาลงคล้ายกำลังชั่งน้ำหนักคำพูดของนาง กระทั่งอีกชั่วลมหายใจ เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ…แต่เยือกเย็นประหนึ่งน้ำแข็งใต้ธาร "มิน่า…ถึงมีบางกลิ่นติดข้าวของของเจ้า กลิ่นของปีศาจปลานั้นไม่เหมือนกลิ่นของสัตว์น้ำทั่วไป" เขาเอ่ยคล้ายพูดกับตัวเองมากกว่ากล่าวกับนาง "แม้จะเป็นปีศาจที่พรางตัวในน้ำหรือลมก็ยังเหลือกลิ่นปราณจาง ๆ เจืออยู่ในละอองอากาศ หากมันไม่คิดร้าย ข้าก็ปล่อยมันไปก่อน" คำพูดเรียบเฉยนั้นทำเอาหลินหยานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่ใบหน้าใสจะปรากฏรอยยิ้มเอียงเล็กน้อยเหมือนจะโล่งใจ แต่ก็ยังไม่วางใจนัก


"แล้ว…ท่านไม่หึงใช่ไหม" นางลองถามพลางกระแอมแผ่ว พูดคล้ายขำกลบเกลื่อน "เพราะว่าข้าก็แค่ช่วยชีวิตมันนิดเดียวจริง ๆ ไม่ได้มีอะไร…เจ้าปีศาจนั่นยังไม่ทันได้แตะข้าเลยนะ"


"หึง?" จางกงกงทวนคำนั้นเบา ๆ เสียงของเขาเย็นจนหลังขนลุกแผ่วพราย "ข้าควรจะหึงเพราะเจ้าสนิทกับปลางั้นหรือ?" หลินหยายิ้มค้าง...อ้าว เอ๊ะ? "อืม...หากเจ้าเริ่มมีรสนิยมพิสดารชอบสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งปลาจริง ๆ ข้าก็คงต้องสั่งให้คนในกรมหลวงทำน้ำพุไว้กลางตำหนักแล้วโยนปลาใส่ไว้ให้เจ้าเลือกเองทุกเช้า" เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ประโยคที่ออกมาทำเอาคนฟังแทบสำลัก


"บะ บ้าไปแล้ว!" หลินหยาตะโกนลั่น "ไม่มีทางหรอกนะ ข้าก็แค่สงสารมันเท่านั้นเอง!"


“อ้อ ข้าลืมไป...เจ้าชอบแจกเมตตาอยู่แล้วนี่นา ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์…ปีศาจก็ไม่เว้น” เสียงต่ำของเขายังคงยั่วแหย่ดั่งมีดคมลับ ลมหายใจของเขาเป่ารดข้างแก้มนางอย่างเจตนาเมื่อน้อมตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิม “จางกงกง…” นางขู่เสียงต่ำแต่หน้าแดงแจ๋เพราะเขาเริ่มเข้ามาใกล้อีกแล้ว กำลังจะหันไปว่ากลับแต่ก็โดนอีกคนรั้งเอวแน่นกว่าเดิมเสียก่อน "อย่าขยับมากนัก...สะโพกเจ้าจะระบมอีกถ้าเกิดสะดุดลื่นลงจากหลังม้า" เสียงเตือนนั้นเย็นเหมือนเดิม แต่ความรัดรึงที่เอวกลับเจือแรงอบอุ่นอย่างน่าหมั่นไส้


“ข้าตั้งชื่อให้เขาแล้วนะเจ้าคะ…ชื่อว่า สวี่หลิว หลินหยาเอ่ยขึ้นเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มนิดหนึ่ง มองลมพัดยอดไม้เบื้องหน้าไปเรื่อยก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมามองใบหน้าด้านข้างของบุรุษที่แนบหลังอยู่…กลิ่นกฤษณาอ่อน ๆ จากเสื้อคลุมของเขายังอบอวลชิดจมูก รู้ตัวอีกทีนางก็เอ่ยประโยคนั้นไปเรียบร้อยแล้ว “แต่ว่า…เพราะว่าข้ามาหาท่านน่ะสิ ข้าเลยให้มันเดินทางกลับไปก่อน ให้ไปกับเซียนเฉ่าเผื่อจะได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์เพิ่มขึ้น” หลินหยาบอกเสียงใส นางเว้นจังหวะนิดหนึ่งแล้วเอ่ยต่อคล้ายอวด “ข้าให้ตบะเขาไปหน่อยด้วย…เหมือนมันจะเริ่มเปลี่ยนแล้วล่ะ รูปร่างเขาก็ดูจะมีบางส่วนเป็นมนุษย์แล้วนิดหน่อย…ไม่รู้สิ สวี่หลิวดูตั้งใจจะใช้ชีวิตใหม่จริง ๆ”


คราวนี้ จางกงกงเงียบกริบ ไม่พูดไม่จาไปเกือบสามลมหายใจ ร่างสูงที่แนบอยู่ด้านหลังยังควบม้าไปตามปกติอย่างมั่นคงไม่ไหวเอน แต่นางรู้ว่าเขาฟังทุกคำของนางชัดเจน…เพราะในความเงียบงันนั้น ดวงตาคมใต้เปลือกตาครึ่งปิดกลับไหววูบเล็กน้อย “เจ้า…ให้ตบะของตนกับปีศาจปลา?” น้ำเสียงที่ถามออกมานั้นยังคงเย็น ไม่ต่างจากก่อนหน้า แต่มีบางอย่างที่ ‘แน่นขึง’ ขึ้นเล็กน้อย…ไม่มากพอจะเรียกว่าคลั่ง…แต่มากพอให้อากาศโดยรอบเริ่มอึมครึมคล้ายเงาไม้บดบังแสงแดด


หลินหยารีบหันมาหัวเราะกลบเกลื่อน "เอ่อ…ไม่ใช่ให้หมดนะเจ้าคะ! ให้แค่นิดเดียว! พอให้มันประคองตนเองได้เฉย ๆ ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้นพอที่จะให้ไปหมดหรอกน่า! …แถมก็ส่งมันไปกับเซียนเฉ่าแล้วด้วย ถ้ามันทำตัวไม่ดี เจ้าหมานั่นก็คงหุบเขี้ยวไม่ลง" พูดจบก็ยิ้มภูมิใจเหมือนแม่ผู้ฝากลูกให้กับสุนัขเฝ้าบ้าน


จางกงกงปรายตามองนางช้า ๆ ก่อนจะแค่นเสียงเบาในลำคอคล้ายหัวเราะแต่ไม่หัวเราะ “เซียนเฉ่า…” เขาทวนชื่อเบา ๆ พร้อมโน้มหน้าลงกระซิบชิดข้างแก้ม “ปีศาจหมาตัวเท่ากำปั้นตัวนั้นรึ?”


"ใช่สิ! เจ้าหมาน้อยนั่นแหละ!" หลินหยากอดอกพองแก้มพึมพำ “มันเป็นหมานะ ไม่ใช่สุนัขธรรมดาด้วย เป็นปีศาจสุนักสามหัวเลยนะ!”


“อืม…” บุรุษเบื้องหลังตอบรับแผ่ว ๆ ก่อนที่เสียงทุ้มเย็นจะเอ่ยต่ออย่างไร้อารมณ์ “งั้นข้าจะถือว่ามันรู้หน้าที่แล้วกัน” จางกงกงกล่าวอย่างเรียบ ๆ ก่อนจะกดมือที่เอวบางของนางแน่นขึ้นกระทันหัน “ถ้าปีศาจปลานั่นคิดทำสิ่งใดที่ไม่สมควร…ไม่ว่าจะต้านหรือตาม…มันจะไม่มีวันได้ลมหายใจสุดท้ายเป็นมนุษย์แน่”


……


เสียงเกือกม้ากระทบพื้นถนนหินขัดอย่างเป็นจังหวะ กลิ่นกำยานจาง ๆ จากศาลเจ้าใกล้ทางแยกลอยมาปะปนกับกลิ่นควันหอมของอาหารทอดจากร้านแผงลอย…เมืองลั่วหยางยามเย็นเต็มไปด้วยผู้คน ผู้เดินทางพเนจร พ่อค้า นักบวช และแม่ค้าเร่ เสียงล้อเกวียน เสียงหัวเราะ เสียงเจรจาเจื้อยแจ้วโต้แย้งกันเบา ๆ ดังมาจากทุกทิศทุกทางจนราวกับเสียงของเมืองเองกำลังกล่าวต้อนรับผู้มาเยือน หลินหยายังคงนั่งอยู่บนหลังม้าตัวสูง หน้าก้มลงมองบันไดหินนำสู่โรงเตี๊ยมที่ตั้งตระหง่านอยู่หัวมุมถนน ถนนที่ปูด้วยอิฐหินสลักลวดลาย กลิ่นดอกเหมยอบแห้งลอยอ่อน ๆ จากกระถางหอมหน้าประตู และป้ายทองคำที่ประดับชื่อโรงเตี๊ยมสะท้อนแสงอาทิตย์ตกจ้าจนต้องหยีตา นางกระพริบตาปริบ ๆ แล้วหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ "นี่มันโรงเตี๊ยมหรือจวนเสนาบดีกันแน่เนี่ย..."


ตัวอาคารเป็นไม้หอมฉลุลาย หน้าต่างกระดาษแก้วประดับด้วยผ้าระบายสีฟ้าอ่อนลายเมฆ และมีบ่าวไพร่แต่งกายงามสง่าเดินเข้าออกรับแขกอย่างคล่องแคล่ว รถม้าหน้าประตูยังเป็นรถประจำตำแหน่งของพวกชนชั้นสูง แถมมีเด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูยืนตีกลองใบเล็กประกาศอะไรอยู่ก็ไม่รู้ นางเหลือบมองจางกงกงที่นั่งอยู่ข้างหลังอย่างเหลือเชื่อ “…นี่ท่านตั้งใจจองโรงเตี๊ยมแบบนี้ตลอดทางเลยเรอะ?” 


บุรุษชุดคลุมดำสะบัดชายเสื้อพลิ้วลงจากหลังม้าอย่างง่ายดาย มือหนึ่งประคองนางลงมาโดยไม่เอ่ยคำใด เขาปรายตามองโรงเตี๊ยมตรงหน้าแล้วเพียงกล่าวเรียบ ๆ “กลางป่ามีเห็บ ข้าไม่ใช่หมาเร่ร่อน เจ้ายินดีนอนในรังสัตว์ก็เรื่องของเจ้าแต่หากยังคิดจะนอนร่วมหลังคาเดียวกับข้า…จงเดินเข้าไปเสียโดยดี”


หลินหยาตาโต “อะ…แปลว่าท่านจะให้นอนห้องเดียวกันอีกแล้วสิ!?”


“แน่นอน” เขาตอบสั้น ๆ พลางหมุนตัวเดินเข้าไปก่อน คนรับใช้โรงเตี๊ยมรีบก้มหน้าก้มตาต้อนรับแทบจะคุกเข่า ขณะบ่าวสาวอีกสองคนรีบเข้ามารับสายบังเหียนม้าไปดูแล 


หลินหยายังยืนอยู่นิ่ง ๆ แล้วพึมพำอย่างตะลึงกับตัวเอง “ลั่วหยางนี่มันไม่ได้ต่างจากฉางอันเลยสักนิด…หรูโคตร…” ดวงตากวาดมองไปรอบ ๆ สตรีที่เดินผ่านก็ล้วนแต่งกายงามระยับ กลิ่นน้ำหอมบนตัวแต่ละคนแทบชนกันกลางอากาศ แถมมีบุรุษรูปงามพอ ๆ กับศิลากระเบื้องวังจักรพรรดิยืนเรียงเป็นแถบริมถนนราวกับเป็นเมืองที่ตกหล่นจากสรวงสวรรค์ และจู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าที่ใส่อยู่...ดูจะธรรมดาเกินไปหน่อยเสียแล้ว… "เฮ้อ ข้าจะเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมระดับจวนขุนนางโดยใส่ชุดผ้าลินินไม่กี่ตำลึงแบบนี้จริง ๆ เหรอ..."


"หากเจ้ารู้ตัวก็เงียบเสีย แล้วรีบเดินเข้ามา" เสียงของจางกงกงดังมาจากด้านหน้าโรงเตี๊ยม ร่างของเขายืนเด่นอยู่ใต้ชายคาประดับโคมทอง โดยที่เจ้าตัวหมุนหน้าเล็กน้อยมามอง...ไม่ใช่แบบเรียกด้วยอารมณ์...แต่เป็นการมองอย่าง จับตาไว้ทุกจุดบนร่างกาย  ตั้งแต่เศษฝุ่นที่ปลายแขนเสื้อยันเส้นผมที่หลุดลงมาปรกแก้มของหลินหยาเพราะสายตานั้นมัน..ดูแปลก ๆ จนหลินหยาหน้าเห่อร้อนทันที ก่อนจะรีบยกมือปัดผม ปัดชายเสื้อ แล้วรีบวิ่งดุ๊ก ๆ ตามเข้าไปในโรงเตี๊ยม


เสียงฝีเท้าดังแผ่ว ๆ บนบันไดไม้หอม และบ่าวไพร่โรงเตี๊ยมทั้งหมด…เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยแววตาประหลาดเล็กน้อยไม่ใช่เพราะความงามแต่เพราะนั่นคือสาวงามเพียงคนเดียวในค่ำคืนนี้…ที่วิ่งจ้ำพรวดเข้าห้องกับแขกอย่างใต้เท้าห่าวหมิง


แม้ภายนอกห้องจะยังคงคลอเคล้าเสียงดนตรีจากห้องโถงชั้นล่างของโรงเตี๊ยม…แต่ภายในห้องพักชั้นบนสุดกลับเงียบสงัด ราวกับแยกตัวออกจากความอึกทึกของโลกเบื้องล่างโดยสิ้นเชิง แสงตะเกียงน้ำมันที่ติดไว้ริมผนังสะท้อนผ้าม่านโปร่งสีขาวบริสุทธิ์ไหวเบา ๆ ตามแรงลมเย็นของฤดู ใบไม้แห้งปลิวหล่นนอกหน้าต่างเป็นระยะ ดั่งฤดูใบไม้ร่วงกำลังโปรยบทเพลงของมันอย่างใจเย็น หลินหยาทิ้งตัวลงบนเตียงใหญ่สไตล์สวรรค์ที่ถูกคลุมด้วยผ้าไหมลายเมฆม้วน เธออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดนอนผ้าเนื้อดีสีอ่อนแล้วกลิ้งตัวเปลี่ยนท่าไปมาอยู่สองสามรอบ ก่อนจะหยุดนอนแผ่เต็มแผ่นหลังอย่างหมดแรง ดวงตากลมโตเหม่อมองเพดานไม้ที่ทาด้วยน้ำยาอบกลิ่นหอมอ่อน ริมฝีปากได้รูปขยับฮัมเพลงไร้เนื้อความช้า ๆ ชวนเคลิ้ม


แต่แล้วสายตานั้นก็หันไปมองคนที่นั่งพิงหมอนอยู่ด้านข้าง จางกงกงในชุดคลุมดำแบบบางสำหรับสวมในห้องส่วนตัว นั่งไขว่ห้างบนเตียงมือข้างหนึ่งถือจดหมาย อีกข้างหนึ่งลูบบริเวณขมับเบา ๆ อย่างคงเส้นคงวา แววตาคมดั่งพญาเหยี่ยวนั้นทอดลงมาที่กระดาษในมือ ราวกับกำลังชำแหละทุกถ้อยคำด้วยปลายสายตา "ดูแล้วจะเป็นจดหมายลับของราชสำนักหรือไงกันนั้น..." หลินหยาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ นางเพ่งมองจางกงกงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลอกตาแล้วหมุนตัวกลิ้งเข้าหาเขาโดยไม่สนมารยาท


เสียงผ้าปูที่นอนขยับย่นเป็นรอยยับตามแรงเคลื่อน เธอขยับตัวแทรกศีรษะเข้าไปหนุนตักเขาอย่างถือวิสาสะ เอนหน้าซุกกับต้นขาแน่นหนาของชายหนุ่มอย่างหน้าตาเฉย กลิ่นหอมของเนื้อผ้าและกลิ่นประจำกายอุ่นสะอาดของเขาทำให้เธอหลับตาลงอย่างสบายใจ มือเล็กหยิบชายเสื้อคลุมเขามาขยำเบา ๆ เล่นเป็นการฆ่าเวลา "...ตอนกลับถึงฉางอัน...ท่านต้องกลับไปทำงานค้างอีกเยอะเลยรึเปล่า?" เสียงของนางดังอู้อี้อยู่ตรงหน้าตัก ไม่ได้เงยหน้ามอง แต่พูดออกไปอย่างชัดเจนพอจะให้เขาได้ยินชัด ดวงตากลมโตที่เคยขี้เล่นบัดนี้กลับหม่นนิด ๆ อย่างไม่รู้ตัวราวกับรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าเมื่อพ้นพรมแดนเมืองหลวง...ความสุขระหว่างการเดินทางครั้งนี้ก็อาจกำลังจะจบลง


จางกงกงละสายตาจากจดหมายลงช้า ๆ มองศีรษะของเด็กหญิงที่กลายเป็นหญิงสาวที่นอนซุกตักเขาอย่างไม่แยแสสิ่งใด แผ่นหลังของนางโค้งเข้ารูปบนที่นอน เส้นผมสีดำขลับแผ่ลงบนชายผ้า เขากะพริบตานิดหนึ่งอย่างยากจะเข้าใจในความกล้าหน้าด้านของอีกฝ่าย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร "ใช่" เขาตอบเรียบ ๆ แล้วพับจดหมายลงวางบนโต๊ะเล็กข้างเตียงอย่างไม่ใส่ใจ "ฝ่าบาทไม่ใช่เด็กสามขวบที่จะปล่อยให้คนมีความสามารถคนหนึ่งหายตัวไปนานกว่านี้โดยไม่ตามถาม งานที่กองไว้จะเท่าภูเขาไท่ซานก็ไม่แปลกนัก" เขาพูดไปพลางก้มลงใช้นิ้วเรียวยาวเขี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าเธอไปด้านข้างอย่างไม่ตั้งใจ การเคลื่อนไหวนั้นแผ่วเบาจนน่าหวาดหวั่น...ราวกับกำลังสัมผัสของสิ่งเปราะบางที่เขาเองก็ไม่อาจเข้าใจว่าทำไมถึงยังไม่ยอมปล่อยมือ


หลินหยากะพริบตาเบา ๆ ในอ้อมแสงนิ่งนั้น แล้วก็เอ่ยอย่างเบาใจ “อื้ม...ถ้าท่านเหนื่อยมากก็อย่าฝืนล่ะ พักบ้างนะ” แล้วก็แกล้งขยับกายเล็กน้อย คล้ายจะงับชายเสื้อเขาเล่นด้วยฟันเบา ๆ แบบขี้เล่น “อย่างน้อย...อย่าลืมว่าข้ายังอยู่ทั้งคน” และนางก็หุบตาหลับลง...ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาช้า ๆ ทั้งที่ไม่ได้มองเขาเลยสักนิด เพราะนางรู้ดีว่าแม้เขาจะไม่ตอบกลับด้วยคำพูด แต่จากการที่อีกฝ่ายยังคงปล่อยให้นางนอนตักเขาโดยไม่ผลักไสไปไหน...นั่นก็เป็นคำตอบที่มากเกินพอแล้ว







@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาจัดการเก็บเป็ดดดดกับปลาาา ผมอยากได้ของไปขายยย

รางวัล: 
ปีศาจนักรบเป็ด : ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ) : ได้รับแล้ว
(หากมีสถานะวาสนาเซียน และ LUK 100 จะมีโอกาสดรอป x2)
ได้รับ เนื้อเป็ดอูยา 2 ชิ้น = 2x2 = 4 ชิ้น

สรุปรางวัลที่ได้: เนื้อเป็ดอูยา 2 ชิ้น

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 150931 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-17 14:33
โพสต์ 150,931 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-17 14:33
โพสต์ 150,931 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-17 14:33
โพสต์ 150,931 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-17 14:33
โพสต์ 150,931 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-17 14:33
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-18 06:49:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-18 08:31

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 18 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า เมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน - ยามไห่ เมืองหงหนง มณฑลซือลี่ จักรวรรดิต้าฮั่น


วันถัดมาม้าอาชาชั้นดีที่ได้รับการดูแลอย่างประณีตเหยาะย่างไปบนทางหลวงใหญ่เบื้องล่างภูผาที่ทอดยาวไปจนสุดสายตา สองข้างทางมีเพียงทุ่งหญ้าแห้งเหือดเพราะฤดูใบไม้ร่วง และต้นหลิวที่ปลิดใบลงราวสายฝนร่วงกราวพรมพื้นดินดุจกลีบหิมะทอง ลมหอบกลิ่นเย็นของโลกผ่านปลายจมูกหอบความคิดถึงไปไกลถึงเมืองหลวงที่อยู่สุดขอบฟ้าฉางอัน 


หลินหยาเอนกายเบา ๆ ซุกตัวอยู่ด้านหน้า เส้นผมดำยาวปลิวเล็กน้อยตามแรงลมที่ผ่าน ใบหน้าขาวผ่องดูผ่อนคลายกว่าหลายวันก่อน นางเอนหลังให้แผ่นอกที่คุ้นเคยรองรับอย่างไม่รีบร้อน มือหนึ่งจับบังเหียน อีกมือก็ทิ้งตัวตามสบายบนหน้าขาของจางกงกงผู้ซึ่งตอนนี้ยังสวมคราบเป็น 'ท่านชายห่าวหมิง' หนึ่งในมารยาทลวงตาที่เขาใช้ตบตาโลก และตบตานางในยามแรกพบ


เสียงฝีเท้าม้าเป็นจังหวะมั่นคง สะท้อนบนพื้นดินเรียบที่โรยด้วยเศษใบไม้แห้ง ๆ เป็นจังหวะชวนให้ใจล่องลอย หลินหยาหลุบตามองไกลออกไป ยังเห็นแนวสันเขาที่เคยผ่านมาก่อนเบื้องหน้า ยิ่งรู้แน่ชัดว่าอีกไม่เกินสองวันก็จะเข้าสู่เขตปริมณฑลของฉางอัน เมืองหลวงแสนอลเวงที่ทุกอย่างเกิดขึ้นได้หมด ไม่ว่าจะความสุข ความตาย หรือแม้แต่ความรัก นางยิ้มเล็กน้อยกับตัวเอง รอยยิ้มนั้นไม่ใช่การเสแสร้งหรือกวนประสาทแบบที่มักใช้หลอกคนทั่วไปในแต่ละวัน แต่มันคือรอยยิ้มของหญิงสาวที่เพิ่งรู้ตัวว่า...เวลาแค่ไม่กี่วันในการเดินทางนี้กลับพิเศษเกินคาด พิเศษจนทำให้ใจหวั่น ไม่อยากให้ถึงจุดหมาย


“ช่วงเวลานี้มัน...สั้นดีนะ” หลินหยาพึมพำเสียงแผ่ว ดวงตากลมโตทอดมองทิวทัศน์เบื้องหน้า สีหน้าไม่เศร้า ไม่สุข แต่ลึกซึ้งนัก “คงเพราะข้าชอบอยู่กับท่านล่ะมั้ง...เลยรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็วเหลือเกิน”


ลมแรงพัดผ่าน ทำให้ชายเสื้อของเขาที่พาดหลังนางสะบัดเล็กน้อย กลิ่นกฤษณาที่แสนคุ้นเคยยังอยู่ไม่ห่างจากโพรงจมูก ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังมิได้ตอบในทันที...ทว่าแขนข้างหนึ่งกลับกระชับเข้ามารอบเอวนางโดยไม่พูดอะไร เงียบงันแต่มั่นคง ราวกับเป็นคำยืนยันที่ไม่ต้องเปล่งเสียง หลินหยาไม่หันกลับไปมองเขา เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องใช้สีหน้าไร้อารมณ์ตามแบบฉบับอยู่แน่ ๆ ทว่า...แค่แรงกดเบา ๆ ที่รอบเอวเมื่อครู่ก็บอกมากพอแล้วว่าเขารับฟัง


และรับรู้...และอาจรู้สึกไม่ต่างกัน


เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะแขนเขาที่โอบรัดอย่างเงียบงัน แล้วหลับตาพริ้มพิงแผ่นอกอบอุ่นนั้นอีกหน เหมือนเด็กสาวผู้เห็นโลกมากพอจะรู้ว่า...บางครั้ง ความสุขก็มาในรูปของช่วงเวลาสั้น ๆ ที่แค่ได้แบ่งปันกับใครบางคน บนหลังม้ากลางทุ่งโล่งที่ไม่มีใครเห็น นางไม่รู้ว่าหลังกลับถึงฉางอัน ทุกอย่างจะเป็นเช่นไร แต่ตอนนี้...ขอแค่ตอนนี้ยังมีเขาอยู่ข้างหลัง...เพียงเท่านี้ก็พอแล้


ทิวทัศน์สองข้างทางที่เคยดูใหม่ตาเริ่มเปลี่ยนเป็นภาพคุ้นชิน ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดกลีบใบปลิวไหวพรู ราวกับเตือนให้นึกถึงว่าเวลาเคลื่อนผ่านไปทุกขณะโดยไม่มีวันหวนกลับ… หลินหยาเองก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในกายตน ร่างกายที่เคยปวดเมื่อยเพราะโดน…เอ่อ… กระทำการอย่างแนบชิดเกินธรรมดาในช่วงคืนก่อน ๆ ตอนนี้ก็เริ่มหายดีขึ้นแล้ว แม้ยังคงต้องสวมเสื้อมิดชิดกลบร่องรอยทุกอย่างอยู่ดี แต่มันก็ไม่ทำให้นางอึดอัดเท่าไร ทว่าสิ่งที่อึดอัดในตอนนี้กลับเป็นอย่างอื่น…เช่นการโดนอุ้มขึ้นลงม้า!


ม้าชะลอฝีเท้าใกล้ลำธารเล็ก ๆ ท่ามกลางดงไม้โปร่ง หลินหยาชะเง้อมองสายน้ำใสไหลเอื่อยผ่านโขดหิน พลันหัวใจเจ้ากรรมก็กระตุกเล็กน้อย ภาพปีศาจปลาที่เคยโผล่ขึ้นมาจากใต้ผืนน้ำยังคงติดตาอยู่ แม้จะผ่านมาหลายวันแล้วก็ตาม สัมผัสของเกล็ดลื่น ๆ และกลิ่นคาวทะแม่ง ๆ ยังจดจำได้ดีแบบไม่ต้องมีใครมาทวนให้ฟังซ้ำ "อย่าบอกนะ...ว่าเราจะต้องลงพักตรงนี้?" หลินหยาพึมพำพลางเบะปาก แสร้งทำหน้าตาย แต่นัยน์ตาด้านข้างกลับลอบมองผิวน้ำราวกับจะเตรียมกระโดดหลบได้ทุกเมื่อถ้ามีอะไรแปลก ๆ ผุดขึ้นมา


แน่นอนว่าไม่มีปีศาจปลาหรอก สถานที่นี้สงบเงียบจนน่าฉงน มีเพียงเสียงแมลงใบไม้และกลิ่นดินเปียกชื้นอ่อน ๆ เท่านั้น


“ลงมา” เสียงทุ้มจากด้านหลังเอ่ยขึ้นแผ่วเบาแต่หนักแน่นเช่นเคย แขนแกร่งเริ่มขยับมาคล้องเอวราวกับเป็นสัญญาณว่าหลินหยาต้องโดนอุ้มลงจากม้าอีกตามเคย นางเบิกตากว้างนิด ๆ รีบร้องออกมาทั้งที่ยังไม่ทันจะตั้งตัว “เดี๋ยวสิ! ข้าลงเองก็ได้!”


“หึ” อีกฝ่ายเพียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ จากนั้นร่างบางก็ถูกยกขึ้นอย่างง่ายดายเหมือนตุ๊กตาผ้า


“ท่าน!!” หลินหยาร้องอย่างหัวเสีย มือคว้าบ่าอีกคนแน่น “ไม่ต้องอุ้มข้าก็ได้ ขาข้าก็ไม่ได้เจ็บอะไรนะ!”


“แล้วข้าบอกหรือว่าเจ้าเจ็บขา?” เขาเอ่ยเสียงราบเรียบคล้ายจะล้อเล็กน้อย แต่ไม่ยอมวางนางลงสักที หลินหยาถลึงตาใส่แต่หน้าแดงนิด ๆ แบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้ดีว่าการลงจากม้าสูงด้วยตัวเองมันยากแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อม้านี่เป็นพันธุ์สูงที่ไม่เคยเห็นใครตัวเล็กอย่างนางปีนลงได้เองโดยไม่งุ่มง่ามเหมือนลิงหลุดป่า สุดท้ายนางก็ยอมให้อีกคนวางลงอย่างสงบเสงี่ยม (แต่ปากยังไม่ยอมหุบ)


"ก็ไม่ได้อยากให้ท่านอุ้มทุกครั้งหรอกน่า...แค่...ขาของข้าไม่ถึงที่เหยียบเอง" เขามองแล้วหลุบตามองเท้านางที่แทบจะไม่ถึงดินตอนอยู่บนหลังม้า แล้วพูดอย่างเฉยชา “ข้ารู้”


หลินหยาหน้าแดงตอนที่ได้ยิน “รู้อะไรของท่าน!?”


“รู้ว่าเจ้าชอบโดนข้าอุ้ม”


“หลงตัวเอง! ข้าจะกัดหัวท่านตายเดี๋ยวนี้แหละ!” นางแยกเขี้ยวใส่ แต่ก็ได้เพียงคำขู่ไร้พิษสง ในเมื่อยืนอยู่ข้างลำธาร ลมเย็นกำลังพัดเอื่อย และอีกคนก็ยังยืนใกล้เสียจนกลิ่นกฤษณาของเขาทำเอาหัวใจเต้นแรงกว่าปกติ เสียงน้ำไหลเอื่อยรินไปตามลำธารตื้น ๆ ท่ามกลางแสงแดดยามสายของฤดูใบไม้ร่วงที่โปรยผ่านยอดไม้ลงมาเป็นลำ ๆ ขับให้ละอองน้ำเป็นประกายระยับ หลินหยาย่อตัวลงริมฝั่ง หัวเข่าทั้งสองแนบชิดกับผืนดินที่ชื้นเย็น ลมเย็นเฉียดผ่านผิวแก้มระเรื่อของนาง ร่างบางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าปอดเงียบ ๆ เพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นจากอาการอึนเพราะขี่ม้าติดต่อกันเป็นวัน ๆ นางจุ่มมือเรียวลงในน้ำเย็นจัด รอยยิ้มบางแผ่วผ่านริมฝีปากแดงธรรมชาติ คล้ายจะลืมไปชั่วขณะว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว แม้รอบตัวจะเงียบสงบ ไร้เงาผู้คนหรือปีศาจใด ๆ แต่ความจริง...ความเงียบนั้นไม่ได้หมายถึง ‘ไร้สายตา’


มือขาวนวลขยับขึ้นแตะสายน้ำ ลูบไล้ลำคอและแนวไหล่เบา ๆ เพื่อคลายความเมื่อยล้า...แต่หารู้ไม่ว่ารอยแดงจาง ๆ ที่นางพยายามปิดบังมาตลอดในชุดมิดชิดนั้น กลับเผยออกมาทีละน้อยเมื่อผ้าปรกไหล่เปียกชื้นและแนบเนื้อ ริ้วรอยที่ดูคล้ายรอยจูบ...แต่ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้เลย มันคือร่องรอยจากคนคนหนึ่ง จางกงกงหรือในนามตอนนี้ ‘ท่านชายห่าวหมิง’ ณ เบื้องหลังตรงเงาไม้ดวงตาคมเข้มภายใต้เรียวคิ้วที่ดูสุภาพตลอดเวลา กำลังจ้องมองมาด้วยแววตาแน่นิ่งเหมือนไม่บ่งบอกความรู้สึก...หากแต่ในใจของเขา กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่คนทั่วไปไม่มีวันเข้าใจได้


นิ้วมือข้างหนึ่งที่กำลังถือม้วนจดหมายอยู่ชะงักกลางอากาศ แทนที่จะเปิดอ่านต่อ กลับกลายเป็นว่าตำแหน่งจดหมายกลายมาเป็นฉากกั้นสายตาจากคนอื่นเสียมากกว่า ในขณะที่สายตาของเขายังจับจ้องหลินหยาไม่วาง ราวกับจะบันทึกทุกกิริยา ทุกสีหน้า ทุกเส้นผมที่สะบัดไหวของนางไว้ในใจทั้งหมด อันที่จริง...เขาไม่ได้อยากปล่อยให้นางล้างหน้าเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้นด้วยซ้ำ อยากจะก้าวไปหา หยิบผ้าแห้งมาซับให้ เอ่ยถ้อยคำเรียบ ๆ ที่ห่อหุ้มความอ่อนโยนในรูปแบบของเขาเอง


แต่ก็ยังไม่ขยับ...ยังไม่เอ่ยอะไร...เพียงแต่นั่งมองนางอย่างนั้นด้วยสายตาของคนที่คอยควบคุมทุกอย่างอยู่เงียบ ๆ ไม่ใช่เพราะไม่รัก หากแต่เพราะ…ความบ้าอำนาจในตัวเขามันทำให้ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองกำลังพ่ายแพ้ให้กับหญิงสาวที่ในตอนแรก...แค่ถูกส่งมาเพื่อใช้เป็นหมากตัวหนึ่งเท่านั้น


แต่ตอนนี้…ไม่ว่าอีกฝ่ายจะล้างหน้าในลำธารหรือเหม่อมองไปทางไหน เขาก็กลายเป็นคนที่ขาดการมองนางไม่ได้ไปเสียแล้ว


...และหลินหยาก็คงไม่รู้หรอก ว่าสายตาของจงฉางชื่อที่เฝ้ามองอยู่จากหลังเงาไม้นั้น ไม่ใช่แค่กำลังจ้องนางอยู่เฉย ๆ แต่กำลังแอบกดความต้องการครอบครองรุนแรงเอาไว้ใต้ใบหน้าสงบเยือกเย็นนั้น...ด้วยความพยายามอย่างเหลือเกินไม่ให้ตัวเองก้าวไปหาเธอมากเกินไปในตอนนี้ เพราะหากปล่อยให้ความปรารถนาไหลทะลักออกมา…ลำธารนี้ อาจไม่ใช่ที่ที่นางได้ล้างหน้า…แต่อาจกลายเป็นที่ที่เธอได้ถูกเขากดลงไปจูบจนรอยแดงจาง ๆ นั่นเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเสียก็เป็นได้


เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ของหลินหยาที่เดินสะบัดน้ำจากมือยังคงดังชัดในหูของเขา ทั้งที่รอบบริเวณมีเพียงเสียงน้ำไหล ลมโชย และใบไม้พลิ้วไหวอย่างแผ่วเบา หญิงสาวเดินกลับมาใกล้ คล้ายจะแค่เดินผ่านลำธารกลับมายังบริเวณพักเท่านั้น หากแต่คำถามของนางกลับฉุดเขาให้หลุดจากห้วงความคิดอันดำมืดของตัวเองได้อย่างง่ายดาย


"ท่านจะมองข้าอะไรนักหนา" น้ำเสียงติดหงุดหงิดนิด ๆ แต่ไม่จริงจังนัก ทว่ากลับกระทบลงกลางใจเขาได้อย่างจัง


ชายหนุ่มผู้เป็นถึงจงฉางชื่อผู้อยู่เหนือผู้คนมานับไม่ถ้วน สวมหน้ากากความสุขุม วางตัวเหนืออารมณ์ใด ๆ มาตลอดชีวิต นั่งอยู่ในชุดเดินทางที่เรียบง่ายผิดวิสัยขุนนางใหญ่ แต่แววตาคู่นั้นกลับราวกับสัตว์ร้ายที่เพิ่งถูกห้ามปรามจากการล่าเหยื่อ ร่างบางตรงหน้าเดินมาหยุดยืนใกล้เขาอีกไม่กี่ก้าว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเป็นห่วงเป็นใย "ท่านหิวอะไรไหม?" คำถามเรียบง่ายที่ควรจะชวนให้อารมณ์อ่อนลง แต่ในใจของเขากลับร้อนผ่าวขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้


ไม่รู้จริงหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้? ไม่รู้จริง ๆ หรือแค่ยั่วให้เขาอยากลากไปเขย่าไหล่แรง ๆ แล้วจูบซ้ำให้รู้กันไปเลยว่า ที่มองนั้นมันไม่ใช่ความรักแสนดีทั่วไปอย่างที่นางเข้าใจ


จางกงกงกระตุกยิ้มน้อย ๆ มุมปากราวกับกำลังเย้ยหยันทั้งตัวเองและนาง ดวงตาเรียวยาวใต้เงาผมที่ปล่อยหลุดกรอบเล็กน้อยเอียงมองร่างบางตรงหน้า พลางวางจดหมายในมือไว้บนตักแล้วประสานปลายนิ้วเข้าหากันช้า ๆ "หิว..." เขาพูดช้า ๆ เสียงทุ้มนิ่งแฝงความเหนื่อยอ่อนที่หลินหยาฟังไม่ออกว่าจริงหรือแกล้งทำ "แต่ข้าหิวอย่างอื่น" แววตาที่สบกับนางไม่ได้ไหววูบหรือกระพริบหลบ มันแน่วแน่ เย็นเยียบ ราวกับจะกดข่มสัญชาตญาณที่เกือบหลุดรั่วออกมาตะกี้ให้กลับไปอยู่ใต้เปลือกความสงบสุขุมอีกครั้ง


"หิวข้าวน่ะ...คงใช่" เขาแสร้งแก้ตัวแต่เนิ่น ๆ พลางเอนหลังเล็กน้อยลงพิงกับต้นไม้ใหญ่เหมือนไม่สนใจสิ่งใด มือหนึ่งขยับแตะข้างกายตัวเองเป็นนัย "ถ้าเสี่ยวหยาตัวน้อยจะมีน้ำใจทำอะไรให้สักอย่าง...ข้าก็จะไม่ถือ" เขาไม่บอกให้ทำ อะไร โดยเฉพาะ เพราะรู้ดีว่าการปล่อยให้นางตีความเอง มักจะให้ผลลัพธ์ที่น่ารักกว่าคำสั่งชัด ๆ เสมอ


เพียงแต่ในใจเขาตอนนี้...ไม่ได้หวังจะได้ข้าว ได้น้ำ หรือแม้แต่รอยยิ้ม แต่หวังให้นาง...ยังอยู่ตรงนี้ อยู่ในวงแขนของเขาต่อไปอีกสักหน่อยก็ยังดี บางทีอาจเพราะนางโง่จนไม่ระวังหรือเพราะนางซื่อจนไม่กลัว หรือบางที...นางอาจรู้ทั้งหมดนั่นแหละ แต่ยังคงเดินมาหาเขาอยู่ดี ด้วยแววตาเป็นห่วงอย่างที่ไม่เคยมีใครมองเขาแบบนี้มาก่อนเลยทั้งชีวิต นั่นต่างหาก...ที่ทำให้เขากลัวจะเสียนางจนอยากจะ "กัก" นางไว้ทั้งที่ไม่ควร


หลินหยาที่ได้ยินเช่นนั้นนางขมวดคิ้วเล็ก ๆ ของตนเองขยับเข้าหากันจนเป็นปม “ท่านหิวอะไรล่ะ?...หืม?” น้ำเสียงของนางเหมือนเริ่มฉลาดนิดหน่อยจากการที่เขาพูดเช่นนั้น ท่าทางเริ่มไม่ไว้ใจจางกงกงอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางของเขาน่าจะหิวอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่อาหารหรือว่าจะ?... เธอเริ่มคิดลึกแล้วหันไปมองอีกฝ่าย จางกงกงในคราบขุนผู้สงบนิ่งค่อย ๆ ยกสายตาขึ้นจากตำแหน่งเดิมอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังกลืนกลิ่นอากาศรอบตัวก่อนจะหยุดอยู่ที่ใบหน้าขมวดคิ้วเล็ก ๆ ของหญิงสาวตรงหน้า


หลินหยากอดอกยืนมองเขาด้วยสีหน้าแบบที่เขาไม่เห็นมานาน สีหน้าระแวงปนขำ เหมือนนางกำลังตีความคำพูดเขาไปไกลเกินกว่าจะกลับมาได้แล้ว แววตาคู่นั้นถามเขาโดยไม่ต้องใช้คำพูดว่าท่าน...หิวแบบนั้นหรือ?


มุมปากของจางกงกงยกขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับยินดีจะเล่นตามเกมเล็ก ๆ ที่นางไม่ทันระวังตัวเองนักว่าได้เปิดฉากไปแล้ว "ก็แล้วแต่เจ้าจะเข้าใจ…เสี่ยวหยา" น้ำเสียงเขานุ่มเรียบ คล้ายจะทอดถอนแต่กลับเย้ยนิด ๆ จางกงกงเอนตัวเล็กน้อย เรียวแขนแข็งแรงข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าศอกกับเข่า แล้วใช้ปลายนิ้วรองคางมองหลินหยาราวกับเจ้าแมวตัวผู้ที่กำลังมองนกน้อยหลงทางมาเกาะใกล้กรงเล็บของตน


"ข้าว่า...เจ้ารู้นี่ ว่าข้าหิวอะไร" แววตาที่ทอดมานั้นชัดเจนอย่างไม่ต้องอธิบาย แม้จะยังมีเสื้อคลุมคั่นกลาง แต่แค่แววตาของเขาก็ราวกับกำลังลูบไล้ต้นคอที่นางพึ่งล้างมาเมื่อครู่ ย้อนรอยสายหยดน้ำเย็นที่กลิ้งผ่านรอยจาง ๆ บริเวณผิวเนื้อ และกำลังค่อย ๆ คลี่ความคิดนางให้หลงไปไกล "แต่ว่า...ตอนนี้ข้าอิ่มทางสายตาแล้ว" เขายื่นมือมาคว้าชายเสื้อของนางเบา ๆ "เลยจะรอให้เจ้า...ยั่วข้าอีกนิดค่อยกินก็ยังไม่สาย" พูดด้วยสีหน้าไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย ไม่เกรงใจสวรรค์ ไม่เกรงใจโลกและไม่เกรงใจนางเลยด้วยซ้ำ


หลินหยาเผลอเบิกตาน้อย ๆ ราวกับโดนประโยคจู่โจมแบบไร้เกราะ แก้มเธอเริ่มซับสีอุ่นทีละน้อย ทว่าเขายังไม่ปล่อยโอกาส


"หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าหิวจนทนไม่ไหว?" เขาถามย้ำเสียงกระซิบแผ่วเบา แต่เจือกลิ่นคุกคามที่เริ่มแทรกในทุกวรรคคำ ฝ่ามือของเขายกขึ้นเชื่องช้า ชะงักอยู่แถว ๆ ต้นแขนของนางแต่ไม่สัมผัสจริงจัง เหมือนข่มนางด้วยระยะห่างมากกว่าการจับต้องเสียอีก “ข้าจะไม่ทำอะไร...หากเจ้าบอกว่าไม่..ละมั้ง” เขาว่าเสียงเบา แต่แววตาเต็มไปด้วยคำพูดที่ไม่ได้เปล่งออกมาอีกพันคำว่าจะทำอย่างที่ปากตนเองพูดหรือไม่


“ท่านกวนข้าหรอ?” หลินหยาเอ่ยถามต่อเช่นนั้น นางคิดว่าอีกฝ่ายชอบจะแหย่และกวนนางยิ่งนักเลยคิดหมายจะกลับไปที่ม้าเตรียมตัวออกเดินทางต่อ กลิ่นไอของลมใบไม้ร่วงยังคงลอยอ้อยอิ่งเหนือผิวน้ำในลำธาร แต่ในวินาทีที่หลินหยาเบือนหน้าหนีแล้วตั้งใจจะเดินกลับไปที่ม้า ร่างบางกลับถูกแรงกระชากจากเบื้องหลังดึงไว้ก่อนที่ฝ่าเท้าจะก้าวพ้นเพียงไม่กี่ก้าว จางกงกงผู้ที่ไม่เคยเอ่ยอนุญาตให้เธอหนีออกไปจากรัศมีของตนเองแม้แต่ก้าวเดียว คว้าข้อมือนางไว้แล้วดึงแรงให้ร่างนุ่มนวลนั้นเซเข้ามาในอ้อมแขนเขาอย่างไม่มีแม้แต่คำเตือน


“ท่าน...!?” หลินหยาอุทานด้วยความตกใจแต่ก็ไม่ทันได้หลบเลี่ยงอีกแล้ว


เรียวปากร้อนจัดบดทาบลงมาอย่างไม่ให้ได้ตั้งตัว รสจูบหนักหน่วงรุนแรงราวกับเขาโหยหาสิ่งนี้มานานเกินไป แม้ตลอดเส้นทางจะมีเธออยู่ในอ้อมแขนบนหลังม้า แม้จะได้กลิ่นหอมจางจากต้นคอทุกคราวที่ลมโบกปลายผม แต่มันไม่เคยพอ ไม่เคยพอเลยแม้แต่น้อย ปลายลิ้นแตะขบเสียดสีรุนแรงไร้ซึ่งความอ่อนโยนในวินาทีแรก เขาจูบนางเหมือนเป็นคำลงโทษ ทั้งในฐานะคนที่บังอาจปัดความหิวของเขาเป็นแค่เรื่องล้อเล่น และในฐานะคนที่กำลังจะเดินจากไป


มือข้างหนึ่งยันแผ่นหลังของเธอแนบแน่นเข้ากับแผงอก มืออีกข้างควบคุมท้ายทอยเล็กไม่ให้นางขยับหนี ราวกับจะสื่อให้รู้ว่า...เจ้าจะไปไหนไม่ได้ หลินหยาที่ถูกปิดปากอย่างสิ้นเชิงดิ้นเล็กน้อยเพียงประท้วง แต่กลับถูกเสียงลมหายใจที่ร้อนผ่าวจากชายตรงหน้ากลืนหาย ร่างของนางสั่นไหวเพราะจังหวะหัวใจของเขาที่สะท้อนมาใกล้เกินจริง


จางกงกงผละออกเพียงเสี้ยววินาทีเมื่อสัมผัสได้ว่านางใกล้จะหายใจไม่ทัน ก่อนที่ใบหน้าคมจะก้มลงซ้ำอีกครา คราวนี้ไม่ใช่แค่ริมฝีปาก แต่ขากรรไกร คาง ใต้ติ่งหู และท้ายทอยก็น่าสนใจไม่แพ้กัน "อย่าเดินหนีข้าอีกเสี่ยวหยา" เขากระซิบชิดผิวเนื้อที่เปียกชื้นเล็กน้อยจากการล้างน้ำเมื่อตะกี้ เสียงเขาทุ้มต่ำ ลมหายใจไล้เคลือบความร้อนวาบ “เช่นนั้นเจ้าจะได้จ่ายค่าทาง…ด้วยรสจูบทุกคราวที่คิดจะเดินหนีข้าไป” น้ำเสียงนั้นไม่ได้พูดเล่นเลยแม้แต่น้อย ราวกับสัญญาที่จะตามล่าหากนางกล้าก้าวจากวงแขนเขา และหลินหยาที่ตอนนี้ยืนหายใจหอบ หน้าแดงจัด ดวงตาฉ่ำวาวอย่างไม่ทันตั้งรับ คงเริ่มสงสัยจริง ๆ แล้วว่าตนเผลอเล่นกับไฟเข้าแล้วหรือเปล่า เพราะไฟดวงนี้...ไม่ใช่แค่ร้อนธรรมดา แต่มันพร้อมจะเผาเธอจนเหลือแต่กลิ่นหอมไหม้ติดริมฝีปากเขาทุกค่ำวัน


จนกระทั่งเสียงฝ่ามือเล็กทุบอกดังกึกเบา ๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงที่กำลังแนบแน่นใกล้ชิดถึงกับชะงักเล็กน้อย สายตาคมที่เคยเต็มไปด้วยแรงปรารถนาร้อนเร่าในเมื่อครู่ พลันกระตุกวูบเหมือนถูกฝนปรอยรดเปลวไฟให้เย็นลงชั่วขณะ หลินหยาผู้ที่แม้ใบหน้ายังแดงจัดจากแรงจูบเมื่อครู่ แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความจริงจังเงยหน้ามองเขา ก่อนจะยกมือขึ้นดันแผงอกแน่น ๆ ของชายตรงหน้าออกไปเล็กน้อย


"ท่านช่วยขอข้าดี ๆ ได้ไหม" เสียงของนางไม่ใช่การตัดรอนห่างเหิน หากแต่เป็นถ้อยคำที่เอ่ยด้วยเหตุผล พร้อมกับความอ่อนหวานในน้ำเสียงที่ไม่อยากให้เขาทำเหมือนไม่รู้ว่ากำลังเล่นกับอะไรอยู่ "อีกอย่าง…ห้ามทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นนะเจ้าคะ" คำเตือนนั้นอาจไม่แรง หากแต่ชัดเจนมากพอจะตอกย้ำให้บุรุษผู้มากด้วยเล่ห์กลอย่างเขาต้องหยุดคิดให้ลึกลงไป


ใช่…ต่อให้ระหว่างพวกเขาจะมีคืนแสนหวานร่วมกันกี่ค่ำคืน ต่อให้ริมฝีปากจะจำรสจูบของกันและกันจนแม่นยำทุกองศา แต่มันไม่ใช่สิ่งที่จะเอาไปอวดต่อหน้าฟ้าดินได้ง่าย ๆ ในโลกเช่นนี้ ไม่ใช่ในต้าฮั่น หลินหยาไม่ใช่เพียงหญิงสาวอ่อนแอที่เฝ้าเงยหน้ารอความเมตตาจากชายใด นางคือหญิงที่รู้จักค่าของตนเองและรู้ดีว่าตำแหน่งและวัฒนธรรมที่ปกคลุมหัวพวกเขานั้นหมายถึงอะไรบ้าง ไม่ต้องพูดถึงจางกงกงบุรุษผู้ไม่อาจเปิดเผยชื่อจริงในยามนี้ และยังต้องซ่อนตนในคราบของ ‘ท่านชายห่าวหมิง’ แถมยังต้องประคองความลับอีกนับร้อยพันที่โยงใยอยู่ในวังหลวง


เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จ้องมองใบหน้าเธอราวกับต้องการอ่านความรู้สึกที่ซ่อนอยู่หลังสีแดงระเรื่อบนพวงแก้ม แล้วจึงกระตุกยิ้มเล็ก ๆ มุมปาก ลมหายใจอุ่นพ่นลอดริมฝีปากคมเหมือนคนแกล้งไม่คิดมาก "ข้าจำเป็นที่จะต้องขอเจ้าแบบสุภาพด้วยหรือ? ไม่จำเป็นละมั้งเสี่ยวหยา" เขากล่าวเสียงเบา น้ำเสียงราบเรียบแต่ทุ้มต่ำอย่างจงใจ แล้วค่อย ๆ โน้มหน้าลงมาใกล้อีกนิด กระซิบใกล้หูเธอจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นไล้ผิว


"เพราะเจ้ารู้ดี…ว่าเวลาข้า ‘ขอ’ ดี ๆ เจ้าจะยิ่งหน้าร้อนกว่าเดิม"


เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วปล่อยมือจากร่างของนางในที่สุด แผ่วเบา ราวกับให้เกียรติตามคำขอ แต่แววตายังเปล่งประกายระยิบของคนที่รู้ว่ายังไงสุดท้ายก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่ใช่ด้วยการบังคับ แต่ด้วยความสมัครใจจากนางต่างหาก เขาขยับถอยหลังหนึ่งก้าว พลางหันหน้าไปทางต้นไม้ เหมือนจะละสายตาให้ แต่น้ำเสียงยังคงไล่ตามราวเงา "เจ้าพูดถูก…ต่อหน้าคนอื่นไม่ควร แม้แต่เงาของเราก็ไม่ควรให้ทาบทับกันในที่แจ้ง" เขาเว้นจังหวะ ก่อนจงใจหันกลับมาช้า ๆ แล้วกระตุกคิ้วอย่างเย้ายวน


"แต่ตอนนี้ ไม่มีใครนี่?"


คำพูดนั้นทำเอาหลินหยาเผลอเม้มปากแน่น หน้าแดงยิ่งกว่าเดิมไม่รู้จะโมโหหรืออายก่อนดี ก่อนจะหันหลังกลับแล้วรีบเดินกลับไปที่ม้าราวหนีไฟ และใช่...เงานั้นยังทาบทับกันอยู่ดี แม้จะไม่มีใครเห็นก็ตาม


หลินหยายกมือขึ้นปาดผมที่ปรกหน้าผากก่อนพ่นลมหายใจแรงฟึด ดวงตาเรียวยาวมองอีกคนด้วยแววเหนื่อยหน่ายปนระอาอย่างเห็นได้ชัด "เราเดินทางกันต่อได้แล้ว เมืองถัดไปอีกไม่ไกลแล้วเจ้าค่ะ" นางบอกเสียงเรียบ ก่อนจะหมุนกายสะบัดชายแขนเสื้อแล้วสาวเท้าไปทางม้าทันที แต่ยังไม่ทันได้เหวี่ยงขาขึ้น ม้าของจางกงกงกลับยืนสง่าผ่าเผยไม่ต่างกับเจ้าของ มันตัวสูงผิดธรรมดา หุ่นกำยำ สีขนมันวาว และดูจะไม่แยแสกับการช่วยเหลือนางแม้แต่น้อย หลินหยายืนมองอย่างเคืองใจแล้วลองยกเท้าเหยียบหินเล็ก ๆ ข้างทางเพื่อเหวี่ยงตัวขึ้น ทว่า… "อื้อ…!" เท้ายันไปแค่ครึ่งเดียว ขาแกว่งอากาศอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้องกระโดดกลับลงมาพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอับอายและหัวเสีย


"น่าหงุดหงิดชะมัด..." หลินหยาพึมพำกัดฟันแน่นก่อนจะบ่นกับตัวเองเบา ๆ "...ทำไมถึงเกิดมาเตี้ยกันนะเรา..." ดวงตากลอกขึ้นมองบนราวกับฟ้าจะให้คำตอบ แต่ก็ยังคงไม่มีขั้นบันไดหรือพรมวิเศษตกลงมาจากไหน แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เสียงฝีเท้าหนักแน่นของจางกงกงค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ด้านหลัง "เฮ้อ...ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องพูดก็รู้ว่าท่านจะทำอะไร" ก่อนที่นางจะได้หันไปบ่นอะไรอีก เสี้ยววินาทีนั้น...เอวบางก็ถูกรวบจากด้านหลังอย่างแม่นยำ มือใหญ่ข้างหนึ่งโอบแน่นที่เอว อีกข้างรองใต้ขาอ่อน แล้วก็ ยกพรึ่บ! ราวกับหิ้วแมวตัวโตตัวหนึ่งขึ้นแนบอก


"อ๊ะ! ท่าน...!" หลินหยาร้องเบา ๆ ด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหันกลับไปตีบ่าอีกคนแบบไร้แรงนัก "ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าอุ้มแบบนี้! ดูสิ มันเหมือนแมวโดนหิ้วคอเลย!"


"อืม" เสียงเขาตอบกลับมาสั้น ๆ เท่านั้น ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้าตามมาติด ๆ แผงอกกว้างแนบแน่นติดกับแผ่นหลังนางอีกครั้งเหมือนเดิม แขนแข็งแรงสองข้างโอบรัดไว้แน่นพอดีระหว่างที่มือควบบังเหียน แต่ครั้งนี้เขาก้มลงมากระซิบข้างหูนางอย่างไม่อ้อมค้อม


"เจ้าเหมือนแมวก็จริง…แต่เป็นแมวที่น่าหิ้วที่สุดในใต้หล้านะ เสี่ยวหยาของข้า"


หลินหยาตาโต รู้สึกเหมือนเลือดจะวิ่งขึ้นหน้าด้วยความรวดเร็วพอ ๆ กับม้าคู่ใจของเขาที่เริ่มออกวิ่งไปข้างหน้า นางได้แต่หันไปตีอกเขาอีกหนพลางพูดเสียงอู้อี้ "หยุดพูดคำแบบนั้นได้แล้ว! เดี๋ยวข้ากัดท่านจริงนะ!" แต่มือของนางยังเกาะอยู่กับข้อมือเขาแน่น และไม่ว่าจะตีแรงแค่ไหน…เขาก็ยังยิ้มร้ายอยู่ด้านหลังเหมือนเดิม


หลังจากนั้นการเดินทางก็พบเจอปีศาจปลาและปีศาจเป็ดบ้างประปราย แน่นอนว่าหลินหยาไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรนอกจากการนั่งรอแล้วรอวัตถุดิบที่ได้มาจากเหล่าปีศาจเหล่านั้นจากการจัดการโดยจางกงกง นางก็เลยได้วัตถุดิบก่อนที่จะได้เอาไปขายที่ร้านแล้วล่ะ ช่วงกลางคืนทั้งคู่ได้มาอยู่ในห้องโรงเตี๊ยมของเมืองหงหนงซึ่งอยู่ใกล้เมืองหลวงฉางอันเข้าไปทุกที


แสงจันทร์ลอยเด่นเหนือเมืองหงหนง สาดประกายสีเงินอ่อนผ่านหน้าต่างไม้ของห้องพักโรงเตี๊ยมชั้นบน บรรยากาศยามค่ำคืนเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมอ่อน ๆ ที่ไล้ผ่านผ้าม่านบางเบาและเสียงม้ากระทืบพื้นเบา ๆ จากคอกข้างล่างเป็นระยะ หลินหยาพึ่งจัดของเรียบร้อย พับชุดที่สวมระหว่างเดินทางเก็บไว้ในกระเป๋าห่อผ้าอย่างเรียบร้อยเก็บใส่แหวนดาราจรัส แล้วเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนผ้าขาวสะอาด ขยับชายเสื้อคลุมบางให้เข้าที่ สายคาดเอวหลวมเล็กน้อยเปิดให้เห็นต้นคอขาวเนียนกับรอยแดงจาง ๆ ที่ไม่อาจปกปิดได้ทั้งหมด ดวงตาหวานละมุนที่เต็มไปด้วยความคิดถึงบ้านเบือนมองไปยังบุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้โต๊ะน้ำชา


"พรุ่งนี้...คงถึงฉางอันแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?" เสียงของนางดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกับลมหายใจลึก


จางกงกงหันกลับมามองนางช้า ๆ เขากำลังถอดเสื้อคลุมออกเพื่อเตรียมพักผ่อนเช่นกัน กล้ามเนื้อไหล่แน่นแนบชิดแนวผ้าสีเข้มเผยความแข็งแรงสงบเย็นของบุรุษผู้เคยเติบโตมาในวังหลวง ดวงตาดำขลับที่จับจ้องกลับมามีทั้งความนิ่งงันและอารมณ์ลึกล้ำที่อ่านไม่ออก "ใช่ พรุ่งนี้...คงได้ยินเสียงประตูเมืองฉางอันเปิดต้อนรับแต่เช้าตรู่ แต่เราอาจเดินทางถึงในช่วงยามเว่ยหรือยามโหยว่" เขาตอบเรียบ ๆ แต่เสียงกลับลึกต่ำจนลมหายใจแทบสะดุด


คำตอบนั้นทำให้หลินหยานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง นางลดสายตามองมือตนเองที่วางบนตัก หัวใจดวงน้อยเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายทั้งดีใจและกังวล "อีกไม่นาน...ทุกอย่างคงต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิมสินะเจ้าคะ" นางพูดเบา ๆ สายตาเหม่อมองลงกับพื้นตอนนี้เธอเริ่มกลับไปพูดสุภาพหน่อยหนึ่งแล้วกับเขา


จางกงกงมองเห็นแววตานั้น เขาก้าวเข้ามาช้า ๆ แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าหลินหยา ใช้มือข้างหนึ่งยกปลายคางนางขึ้นอย่างเบามือให้นางเงยหน้าขึ้นมองเขาโดยตรง ดวงตาทั้งสองประสานกันนิ่งงันเนิ่นนาน "เจ้าหมายถึงแบบไหนกันแน่ เสี่ยวหยา" เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากเงาของดวงจันทร์ นุ่มนวลแต่ซ่อนความคมกริบ


"ข้าแค่หมายถึง...ฉางอันเป็นที่ที่มีคนมากมาย...และข้าก็ไม่แน่ใจว่า...ความสัมพันธ์ของเราควรเป็นอย่างไรต่อหน้าสายตาพวกเขา" หลินหยาพูดเสียงแผ่ว แต่ไม่ลดสายตา


"เจ้าคิดว่าในฉางอัน ข้าเป็นแค่ 'จงฉางชื่อ' งั้นหรือ?" น้ำเสียงเขายังนิ่ง แต่มีแววบางอย่างที่เปลี่ยนไป


"ไม่ใช่แบบนั้นเจ้าค่ะ..." หลินหยาพึมพำ ก่อนจะเบือนสายตาหนีเล็กน้อย "ข้าแค่...กลัวว่าอะไรบางอย่าง...มันจะกลายเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น" จางกงกงไม่พูดต่อ เขาเพียงโน้มตัวลงมาใกล้ ดวงหน้าเย็นชาของเขาแตะระยะเพียงไม่กี่นิ้วจากหลินหยา ก่อนที่ริมฝีปากจะเอ่ยเบา ๆ ชิดใบหูนาง "ถ้ามันจะกลายเป็นความทรงจำ…เจ้าก็ต้องจำให้แม่น ว่าในค่ำคืนนี้…ข้าทำให้เจ้าลืมไม่ลงแค่ไหน" แล้วจู่ ๆ แผ่นหลังของหลินหยาก็ถูกดึงเข้าหาอกกว้างของเขาอย่างรวดเร็ว นางเบิกตาเล็กน้อย ก่อนจะเผลอหลุดเสียงออกมา


"ท่าน…อีกแล้วนะ!"


"เสี่ยวหยา…คืนนี้ไม่มีทหาร ไม่มีขันที ไม่มีใครจะมาแย่งเจ้าไปจากข้า" จางกงกงกล่าวขณะฝังใบหน้ากับซอกคอหอมอ่อนของนาง "มีแค่เจ้า…กับข้า…กับเตียงนี้…และเวลาทั้งคืนที่เหลืออยู่" หลินหยาพยายามขืนตัว แต่กลับถูกโอบแน่นขึ้นกว่าเดิม "ถ้าพรุ่งนี้ต้องแยกแยะบทบาทกันให้ชัด..." เขาเอ่ยเสียงพร่า "...งั้นคืนนี้เราก็ปล่อยให้ทุกอย่างมันพร่าเลือนที่สุดจะดีไหม?" หลินหยาหน้าแดงซ่าน นางได้แต่ยกมือทุบอกอีกคนเบา ๆ ทั้งที่เสียงหัวใจของนางดังยิ่งกว่าลมวูบไหวหน้าต่างหลายเท่า...แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้แน่คือ คืนนี้จะยาวนานและพรุ่งนี้…คงไม่มีวันลืมมันได้เลย


ร่างเล็กซบลงบนบ่ากว้างในแสงจันทร์เลือนลาง ดวงตากลมใสของหลินหยาเบิกกว้างจากคำพูดและการกระทำของอีกฝ่ายในคราแรก แต่สิ่งที่นางเลือกจะทำกลับไม่ใช่การผลักไส ไม่ใช่การขัดขืน ไม่ใช่คำปฏิเสธแข็งกระด้างอย่างเคย หากเป็นการขยับตัวช้า ๆ ซุกใบหน้าเข้าไปแนบแน่นกับแผ่นไหล่อุ่นของเขา คล้ายต้องการให้กลิ่นกายของเขาแทรกซึมลึกเข้ามาในความทรงจำ ก่อนที่เสียงสะท้อนของหัวใจจะกลบคำใด ๆ ที่ยังไม่กล้าพูดออกมา ปลายนิ้วเรียวเล็กสอดประสานโอบรอบลำตัวของเขาไว้อย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงของการขัดเขิน ไม่มีแววตาต่อรองหรือกลัวเกรง มีเพียงการยอมรับการพิง การพึ่งพาเพียงชั่วขณะสั้น ๆ ที่ทั้งคู่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีอีกกี่ครั้งในชีวิต


"ทำไมเวลาอยู่ใกล้ชิดกับท่านมันถึงดูสั้นนักเจ้าคะ..." เสียงกระซิบของหลินหยาแผ่วเบาคล้ายละอองหิมะที่หล่นลงบนผิวน้ำ "...มันผ่านไปไวเหมือนพริบตาเดียวเอง" ประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาของนางมองไม่เห็นรอยยิ้มของเขา แต่กลับรู้สึกได้ถึงแรงกอดที่แน่นขึ้น และเสียงลมหายใจร้อนที่พ่นลงข้างขมับเบา ๆ


"ก็เพราะว่าตอนนี้เจ้าไม่เบื่อข้า" จางกงกงเอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม พาดวงหน้าเลื่อนไปแนบกับผมของนาง ลมหายใจของเขารินรดกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเรือนผมอย่างไม่ปิดบัง "...เวลาเลยผ่านไปรวดเร็วเหมือนฝันแต่ถ้าเจ้าเกลียดข้าเช่นเดิม...อาจรู้สึกว่านานกว่านี้ก็ได้" เขากระซิบข้างใบหูพร้อมกับหัวเราะในลำคอเบา ๆ แต่แววตาที่ทอดมองนางกลับไม่มีแม้สักเสี้ยวที่เย้าแหย่ มันมีเพียงความจริงใจจาง ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องลึกพอจะทำให้หลินหยารู้สึกได้โดยไม่ต้องกล่าวคำใด


นางซบหน้าลงลึกกว่าเดิม ใช้ปลายจมูกซุกแน่นกับเนื้อผ้าตรงไหล่ของเขา สองแขนกอดแน่นราวกับกลัวว่าหากปล่อยมือออกเมื่อใด ทุกอย่างจะสลายหายไปในพริบตา คืนนี้อาจเป็นคืนสุดท้ายของความเป็น "เขากับนาง" ที่ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีหน้าที่ ไม่มีกำแพงแห่งยศศักดิ์หรือวังหลวงขวางกั้น ไม่มีจงฉางชื่อและสาวใช้หรือแม่ค้า มีแค่เสียงลมหายใจของสองคนบนเตียงไม้กับแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างราวกับจะบอกว่า...แม้คืนจะสั้นเพียงใด หากความผูกพันแน่นแฟ้นพอมันก็จะส่องประกายแม้ในความมืดที่ลึกที่สุด


"ถ้าข้าหายไป...ท่านจะจำข้าได้ไหม?" หลินหยาถามต่อ คล้ายเป็นคำถามที่ไม่อยากได้คำตอบ แต่กลับต้องถามออกมา


"เสี่ยวหยา…เจ้าจะหายไปได้ยังไร ในเมื่อข้ายังอยู่ตรงนี้..." เสียงเขาตอบต่ำชิดใบหู "...อยู่กับเจ้าไม่ใช่เพราะหน้าที่หรือสถานะ แต่อยู่เพราะเจ้าเป็น 'หลินหยา’ คนที่ข้าไม่อาจหมายตัดใจฟันคอเจ้าได้เลยสักครั้งแม้เจ้าจะอ้อนวอนขอความตายจากข้าเพียงใด" มือของเขาเลื่อนขึ้นลูบแผ่นหลังเล็กของนางเบา ๆ ราวกับจะย้ำว่าแม้วันพรุ่งนี้จะเปลี่ยนไป...แต่ในค่ำคืนนี้ เขายังอยู่ตรงนี้ เพื่อกอดนางไว้ในอ้อมแขนที่ไม่มีใครแย่งชิงได้ และในความเงียบสงบของเมืองหงหนง ท่ามกลางแสงจันทร์อ่อนจาง คืนสุดท้ายก่อนถึงฉางอัน…ก็ค่อย ๆ ดำเนินไปอย่างอ่อนโยนและน่าเจ็บปวดในคราเดียวกัน


จางกงกงนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางในโรงเตี๊ยมไม้เก่า เสียงลมหายใจของเขายังคงสม่ำเสมอ อบอุ่นชิดอยู่กับข้างแก้มนวลของนาง เมื่อหลินหยาโอบกอดเขาแน่นขึ้น คล้ายกลัวว่าแค่ละสายตาอีกคนจะหายไป กลิ่นหอมละมุนจากผิวกายของนางลอยแผ่วในยามค่ำ เขายอมให้นางกอด ไม่แม้แต่จะขยับถอยหรือเอ่ยหยอกล้อเช่นทุกที มีเพียงมือที่เลื่อนขึ้นแตะแผ่นหลังของนางเบา ๆ แล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น “ข้าอยากยืดเวลา... อยากให้ฉางอันไกลกว่านี้ แต่ทำไม่ได้” เสียงกระซิบของหลินหยาแผ่วเบาราวกับเสียงลมพัดยอดไม้ในฤดูใบไม้ร่วง แผ่วบางแต่แทงทะลุถึงหัวใจ จางกงกงฟังเงียบ ๆ นิ่งงัน ดวงตาคู่นั้นมองเพดานไม้เหนือศีรษะราวกับกำลังนับเสี้ยนไม้ทีละเส้น เพียงเพื่อไม่ให้ตนเองหลุดแสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา


“ข้ารู้ว่าถึงแม้ท่านจะกลับฉางอัน...ก็คงยากที่จะใกล้ชิดกันแบบนี้ ใช่ไหมเจ้าคะ?” น้ำเสียงนั้นสั่นน้อย ๆ คล้ายจะเหนื่อย คล้ายจะยอมรับ แต่ลึกลงไป... มันคือความเจ็บปวดที่เบียดแน่นอยู่ใต้ความเข้าใจอันแสนอ่อนโยนของนาง


เขายังคงไม่ตอบทันที เพราะไม่ใช่คำถามที่มีคำตอบง่าย ๆ สำหรับเขาเช่นกัน ร่างที่เคยนั่งอยู่เหนือใครทั้งแผ่นดิน กลับต้องมากักขังตนเองไว้ในมุ้งผืนเดียวกับหญิงสาวที่ไม่อาจเป็นของตนโดยสมบูรณ์ ความเงียบระหว่างพวกเขาไม่ใช่ความอึดอัด หากเป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยเสียงของหัวใจสองดวงที่เต้นช้า ๆ ตรงกัน จางกงกงค่อย ๆ พลิกตัวมาหานาง แขนข้างหนึ่งโอบเอวเล็กให้แนบชิดขึ้น ใบหน้าคมดิ่งลงแนบหน้าผากนาง เขาใช้หน้าผากของตนกดแนบอย่างมั่นคงราวกับจะประทับความรู้สึกนี้ลงไปชั่วนิรันดร์


“ใช่...มันยาก” เสียงตอบรับของเขามาช้า... แต่มันจริง “แต่ข้าไม่กลัวความยาก” เขาว่าเบา ๆ คล้ายจะให้คำมั่นกับตัวเองมากกว่านาง “สิ่งเดียวที่ข้ากลัวคือเจ้าเลิกมีความรู้สึกต่อข้าเพราะความยากลำบากนั้นต่างหาก”


เขายื่นมือขึ้นแตะแก้มนาง ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเส้นผมที่ร่วงหล่นออกจากกรอบหน้า ดวงตาของเขามืดครึ้มแต่ชัดเจน “เสี่ยวหยา…เจ้าเป็นคนเดียว... ที่กล้ามองข้าในแบบที่คนอื่นไม่กล้ามอง…เจ้ารู้ในวังหลวง...ไม่มีใครกล้าหัวเราะอย่างใสซื่อตรงใส่หน้าข้าเหมือนเจ้าทำ ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ไม่มีใครกล้าบ่น ไม่มีใครกล้าทุบอกข้า หรือแม้แต่กล้าบอกให้ข้า ‘ขอให้ดี ๆ’ เหมือนเจ้าเลยสักคน...” เขาหัวเราะเบา ๆ พลางเลื่อนมือแตะปลายคางของนาง เชยคางขึ้นเล็กน้อยจนมองเห็นตากลมใสที่สะท้อนแสงจันทร์


“เพราะงั้น...ข้าถึงอยากเก็บเจ้าตรงนี้ไว้นานกว่านี้เช่นกัน แต่…” เขาหยุดหายใจแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยช้า ๆ  “…ข้าไม่ใช่คนที่มีทุกอย่างได้ตามต้องการ วันที่ข้าเสียทุกอย่างไป ข้าถึงรู้ว่าแท้จริง...ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของข้าเลยแม้แต่น้อย” เสียงของเขาราบเรียบ ราวกับสายลมกลางฤดูหนาวที่พัดผ่านสะพานหินบนแม่น้ำเว่ยกลบความร้อนในอกด้วยความเย็นเยียบของสัจธรรม เขากดจูบเบา ๆ ที่หน้าผากของนางอย่างแผ่วเบาแล้วกระซิบชิดหน้าผากอีกครั้ง


“...หากสวรรค์ยังใจดี ข้าจะขอเจ้าให้เป็น ‘ของข้า’ ทั้งชีวิต” อ้อมแขนของเขากระชับแน่นขึ้นรอบตัวนาง และคืนสุดท้ายในเมืองหงหนงก็ค่อย ๆ ยืดขยายออกในหัวใจของทั้งสองคน…แม้เวลาเดินหน้า แต่ค่ำคืนนี้จะกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ไม่มีวันถูกฉางอันพรากไปจากพวกเขาได้เลย


หลินหยาที่ได้ยินแบบนั้นก็ระบายยิ้ม นางเขินแต่เก็บอาการไว้เมื่อได้ยินอีกคนพูดแบบนั้น ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นขยับตัวออกเล็กน้อย แม้จะยังอยู่ในอ้อมแขนของจางกงกงอยู่แล้วบอก “ท่านพูดอะไรไม่อายปากหรืออย่างไร? ปกติท่านต้องเป็นพวกเอาแต่ใจ ขี้หวง ขี้หึงแล้วก็โรคจิตมากมิใช่หรือเจ้าคะ?” 


จางกงกงที่ได้ยินเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะพรืดออกมาทันที เสียงหัวเราะของเขาแผ่วต่ำแต่เจือรอยหยันในแบบที่เป็นตัวเขา…เป็นเสียงหัวเราะของคนที่ถูกรู้ทันจนเถียงไม่ออกอย่างสมบูรณ์ ดวงตาคมแวววาวด้วยประกายขำขันขณะถูกบีบแก้มทั้งสองข้างเหมือนแมวที่โดนเด็กหญิงแกล้ง แต่ก็ไม่หลบ ไม่ผลัก เขาแค่ปล่อยให้นางเล่นกับแก้มเขาอยู่เช่นนั้นราวกับยินยอมโดยดี "ข้าจะทำยังไงกับเจ้าดีเสี่ยวหยา..." เขาพึมพำเบา ๆ พลางจ้องดวงหน้าใสที่ฉายรอยยิ้มขบขันยามเขินแบบเจ้าเล่ห์ ใบหน้าของเขายังติดรอยยิ้มบางที่หาได้ยากเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใดนอกจากนาง “ขนาดเจ้าอ้อนอยู่ในอ้อมแขนข้าเจ้ายังกล้าด่าข้าเป็นชุด…”


เขายกมือขึ้นกุมข้อมือนางที่บีบแก้มเขาไว้ ก่อนจะเอียงหน้าหอมข้อนิ้วน้อย ๆ ของนางอย่างจงใจ กลิ่นหอมจาง ๆ จากปลายนิ้วนั้นเหมือนกลิ่นมวลบุปผาในยามค่ำ มีกลิ่นกฤษณาเจือจางปะปนกับกลิ่นเนื้อนวลอุ่น ๆ ที่เขาจำได้แม่นยิ่งกว่ากลิ่นของตำหนักทั้งราชสำนัก "เอาแต่ใจ ขี้หวง ขี้หึง... ข้ารับได้" เขาเอ่ยเรียบ ๆ ราวกับอ่านรายชื่อสมบัติที่เป็นของเขาเอง “แต่โรคจิต…เจ้าพูดออกมาได้ยังไงกัน” เขาทำเสียงจงใจตกใจ ราวกับผู้บริสุทธิ์ผู้ถูกใส่ความโดยมิชอบธรรม ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ๆ ชนิดที่ปลายจมูกแทบจะเฉียดปลายจมูกนาง ดวงตาคมคู่นั้นมองลึกเข้ามาในตาเธอโดยตรง ขณะเอ่ยอย่างเย้าแหย่แต่เสียงพร่าลงในลำคอ


“หากข้าโรคจิตถึงเพียงนั้น…เจ้ายังจะกล้าบีบแก้มข้าหรือ?” เขาว่าแล้วเลื่อนมือที่กุมข้อมือนางลงต่ำ จับไว้แผ่วเบาแนบอกตนเองอย่างไม่ล่วงเกิน แต่กลับเต็มไปด้วยเจตนากวนประสาทเงียบ ๆ จากคนที่ถนัดยั่วคนจนหัวใจเต้นผิดจังหวะ "หรือเจ้ากล้าก็เพราะรู้ว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าแกล้ง...เพราะใจข้าใจอ่อนกับเจ้ากว่าคนอื่น"


เขาพูดอย่างไม่หลบตา ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของห้องพักที่ไร้เสียงอื่นใดนอกจากเสียงหัวใจของสองคนที่เริ่มดังชัดเจนขึ้นในห้วงเวลาแห่งการพรากจากซึ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ


“หลินหยา…” เขาเรียกชื่อจริงของนางเบา ๆ ก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากให้อีกครั้ง “…ข้าคงไม่ใช่คนดีพอที่จะปกป้องเจ้าได้จากทุกสิ่งกระทั่งตัวข้าเอง แต่ข้าจะไม่ยอมให้ใครพรากเจ้าไปจากข้าอีกแม้แต่ตัวเจ้า ไม่ว่าต้องใช้วิธีใด เจ้าเป็นของข้าตลอดมา” เขาพูดด้วยแววตาแน่วแน่ ผิดกับทีเล่นทีจริงก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง น้ำเสียงต่ำขรึมเจือสัจจะร้ายแรงบางอย่างที่เขาอาจกำลังปิดบังเอาไว้ในใจลึกสุดกระนั้นก็ยังคงแสดงความเป็นเจ้าของในแบบของตนเอง 


ราวกับต่อให้ฉางอันมีความเย็นชาของวังหลวงมากเพียงใด หรือมีสิ่งใดยังอยู่ตรงกลางระหว่างกัน เขาก็จะหาทางบิดวิถีของโลกทั้งใบเพื่อสร้างพื้นที่เล็ก ๆ ให้นางยืนอยู่ในอ้อมแขนและกรงขังของเขาตลอดไป







@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เขินจุง...เห่อ เดทใกล้จบแล้วหรอ T_T ฮือ ๆ แต่ผมก็จะไปหาคุณทุกวันนะครับ
เขินง่า เหมือนมาฮันนีมูนนน 555 พรุ่งนี้ถึงฉางอันล่ะ จะเจอเรื่องไหมหว่า...

รางวัล: 
ปีศาจนักรบเป็ด : ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ) : ได้รับแล้ว
(หากมีสถานะวาสนาเซียน และ LUK 100 จะมีโอกาสดรอป x2)
ได้รับ ซี่โครงเป็ด 3 ชิ้น = 3x2 = 6 ชิ้น
ได้รับ เนื้อเป็ดอูยา 3 ชิ้น = 3x2 = 6 ชิ้น

สรุปรางวัลที่ได้: ซี่โครงเป็ด 3 ชิ้น, เนื้อเป็ดอูยา 3 ชิ้น

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ 2025-8-18 10:00
โพสต์ 165332 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-18 06:49
โพสต์ 165,332 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-18 06:49
โพสต์ 165,332 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-18 06:49
โพสต์ 165,332 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-18 06:49
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-19 05:20:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-19 05:50

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 19 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า เมืองหงหนง มณฑลซือลี่ - ยามโหย่ว เมืองฉางอัน มณฑลซือลี่ จักรวรรดิต้าฮั่น

วันสุดท้ายของการเดินทางในยามเหม่าที่สีท้องฟ้าไล่ราวปลายรุ่ง แสงสีส้มอ่อนละมุนแทรกผ่านม่านเมฆเบาบางกลางขอบฟ้าเมืองหงหนง ส่องลงมายังทุ่งโล่งเบื้องหน้าโรงเตี๊ยมยามเช้า เงาของม้าสีดำตัวใหญ่ทอดทาบยาวบนพื้นกรวดเรียบ มีสองร่างขี่อยู่บนนั้นสตรีหนึ่งในชุดคลุมบางสีอ่อนที่โบกสะบัดตามสายลม และบุรุษหนึ่งในชุดคลุมเข้มที่นั่งอยู่เบื้องหลัง ร่างสูงใหญ่ของเขาโอบคุ้มสตรีด้านหน้าเอาไว้ราวกับเงามืดที่ไม่ยอมปล่อยให้สิ่งใดแตะต้องได้แม้แต่ลมหนาว หลินหยาผงกศีรษะให้คนในโรงเตี๊ยมที่มายืนส่งพวกนางตามมารยาทอย่างไม่คิดอะไรมาก ก่อนจะหันหน้ากลับมาทางตรงและกระตุกบังเหียนเบา ๆ แต่กลับไม่ทันจังหวะกับมือของจางกงกงที่เอื้อมมาสัมผัสหลังมือนางไว้ก่อน ท่ามกลางลมเย็นยามเช้า แก้มของนางแดงระเรื่อเพียงเล็กน้อยไม่แน่ว่าจากอากาศหรือความอายจากสัมผัสนั้นกันแน่


“ข้าบังคับเองได้ไหมล่ะ” นางบ่นเสียงเบา สีหน้าไม่ได้จริงจังนัก ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นโค้ง


“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าควบขี่อะไรทั้งนั้นตอนนี้” เสียงทุ้มของจางกงกงกระซิบอยู่ใกล้ใบหู นุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยอำนาจเงียบที่ไม่เปิดทางต่อรอง เขาขยับกายแนบแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย ราวกับตั้งใจจะกลืนเจ้าสตรีตรงหน้าทั้งตัวไว้ในอ้อมแขน


หลินหยาขมวดคิ้วน้อย ๆ มองเขาแวบหนึ่งด้วยหางตาแต่ก็ไม่ได้ผลักไสอะไรออกไปอย่างที่ควรจะเป็น มือบางเพียงจับสายบังเหียนเบา ๆ พลางปล่อยให้คนด้านหลังควบม้าแทนอย่างเคย นางถอนหายใจเงียบ ๆ ในลำคอ คิ้วโค้งเรียวขมวดเบา ๆ ด้วยความขัดใจไร้เหตุผล รู้ตัวอีกทีก็เผลอพิงหลังพิงอกเขาเต็มแรงในจังหวะที่ม้ากระตุกเดิน “ม้าท่านนี่เดินไม่เรียบเลยสักนิด” นางบ่นพึมพำอย่างจงใจ


“หรือเจ้านั่งไม่นิ่งเองเสี่ยวหยา” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเจือยิ้ม มือใหญ่เลื่อนมาประคองรอบเอวนางแน่นขึ้นอีกนิด ราวกับจะสื่อว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็หนีลงจากหลังม้าตัวนี้ไม่ได้แน่ อย่างน้อยก็ในวันนี้


ทิวทัศน์สองข้างทางเปลี่ยนจากเมืองหงหนงสู่ผืนป่าบางตาและทุ่งราบโล่ง ลมยามเช้าพัดเส้นผมของหลินหยาพลิ้วไปตามจังหวะขยับของม้า กลิ่นหอมจากผมของนางลอยเข้าจมูกของคนด้านหลังทุกระยะ จางกงกงนิ่งเงียบ ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแต่มองทิวทัศน์เบื้องหน้า…และทอดสายตาไปยังยอดเขาอันไกลโพ้นที่ล้อมรอบนครฉางอัน เป้าหมายสุดท้ายที่พวกเขาจะไปถึงในวันนี้ แต่แม้จะใกล้ถึงแค่เอื้อม แปลกที่หัวใจกลับไม่รู้สึกว่าสิ้นสุด…ราวกับว่า…ยิ่งใกล้ ฉางอัน มากเท่าใด ก็ยิ่งไกล ความสงบแบบนี้ ออกไปมากเท่านั้น


“วันนี้ข้าไม่อยากถึงเร็วเลย” หลินหยาเอ่ยขึ้นเบา ๆ พลางมองเส้นทางเบื้องหน้า จางกงกงยกยิ้มมุมปากไม่ตอบอะไร เพียงกระชับอ้อมแขนและเอ่ยเสียงทุ้มชิดใบหู “ข้าก็เช่นกัน…”


ร่างของหลินหยาแนบพิงอ้อมอกของจางกงกงอย่างเงียบงัน สองมือประคองบังเหียนไว้หลวม ๆ โดยไม่คิดควบคุมปลายทาง นางเพียงปล่อยให้ม้าสีดำเดินไปตามเส้นทางราบรื่นของมัน ดวงตากลมโตทอดสายตาเหม่อมองต้นหลิวริมทางที่ไหวพลิ้วตามแรงลม แสงแดดยามสายเจือสีทองสาดแสงลงบนกลุ่มหมอกบาง ๆ บนทิวเขาที่ไกลลิบ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วลอยมาเป็นระยะ สลับกับเสียงฝีเท้าม้าบนพื้นดินที่เงียบสงบอย่างน่าประหลาด ราวกับโลกทั้งใบตั้งใจผ่อนจังหวะเพื่อช่วงสุดท้ายของการเดินทางนี้ หลินหยารู้สึกถึงลมหายใจสม่ำเสมอของเขาด้านหลังที่แนบชิดเกินกว่าจะไม่รับรู้ มือข้างหนึ่งของจางกงกงยังวางอยู่ตรงเอวของนางแน่นหนา ไม่รัดแต่ก็ไม่คลาย ราวกับกำลังควบคุมทั้งความมั่นคง…และอิสรภาพของนางไปในเวลาเดียวกัน


เงียบงัน…


จางกงกงก็ยังไม่เอ่ยอะไร หลินหยาไม่แปลกใจ นางรู้ดีว่าเขาเป็นเช่นนี้ ไม่ชอบพูดในเวลาที่ไม่จำเป็น ไม่ชอบเริ่มต้นบทสนทนาแบบคนทั่วไป ที่มักชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศหรือเรื่องไม่มีสาระใด ๆ ยามที่เขาเงียบบางทีก็คือเขาคิด บางทีก็แค่เพราะไม่จำเป็นต้องพูด หากแต่ในความเงียบนี้...หลินหยากลับรู้สึกแปลกนัก เพราะใจนางไม่ได้สงบตามสายลมและแสงแดดเลย ทั้งที่ควรชินกับความเงียบของเขา แต่ยิ่งเข้าใกล้ฉางอันมากเท่าใด ความเงียบนั้นยิ่งแฝงไปด้วยบางสิ่ง...ที่นางเดาไม่ออก


บางทีอาจเป็นความกังวลของนางเอง ที่ไม่อาจบรรจุไว้ได้แม้ในถ้อยคำ หรือเป็นสัญชาตญาณบางอย่างของสตรี ที่รู้ว่าหลังจากวันนี้ พรุ่งนี้จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป


นางพ่นลมหายใจเบา ๆ กลั้นเสียงถอนใจไว้ในอก สายตายังมองต้นไม้ข้างทาง ริมฝีปากเม้มแน่นราวไม่ต้องการให้ความรู้สึกไหลผ่านมันออกไปแม้เพียงนิด ก่อนที่มือบางข้างหนึ่งจะขยับไปแตะแผ่นอกของจางกงกงเบื้องหลัง ราวกับบอกว่า...ข้ายังอยู่ตรงนี้นะ หากแม้ไม่รู้ว่าท่านจะคิดอะไรอยู่ก็ตาม


จางกงกงเงียบไปอีกอึดใจหนึ่ง ก่อนที่เสียงทุ้มแหบต่ำจะเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเรื่อยแต่กลับดังชัดท่ามกลางความเงียบรอบตัว “กลัวหรือ?” ถ้อยคำง่าย ๆ แต่ตรงประเด็น ราวกับเขาอ่านความคิดนางออกหมดเปลือก...หรือไม่ก็กำลังถามใจตัวเองเช่นกัน


หลินหยาไม่ตอบในทันที นางเพียงกระชับมือแนบอกเขาแน่นขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ราวกระซิบผ่านสายลม “ไม่รู้สิเจ้าคะ...แต่ข้าไม่อยากพูดว่ากลัว เพราะถ้าพูดออกไป...มันจะทำให้ข้าอ่อนแอมากกว่าที่เป็นอยู่” จางกงกงไม่ได้ตอบอะไรอีก เพียงแต่ขยับมือที่วางอยู่ตรงเอวนาง...กอดแน่นขึ้นอีกนิดอย่างแผ่วเบา ไม่ใช่คำสัญญา ไม่ใช่การปลอบโยน ไม่ใช่การเอ่ยว่าทุกอย่างจะดีเพราะเขาไม่ใช่คนเช่นนั้น และหลินหยาก็ไม่ใช่สตรีที่ต้องการคำสัญญาเช่นนั้นอยู่แล้ว...แต่บางที แค่เพียงอ้อมกอดเงียบ ๆ ที่ไม่ปล่อยให้หลุดมือก็เพียงพอแล้วสำหรับเช้าวันสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้


พื้นดินริมทางใต้ต้นหม่อนใหญ่ที่ทอดเงาร่มครึ้มเป็นแนวยาวตัดกับท้องฟ้าในยามเที่ยงตรง กลิ่นหญ้าสดอวลลอยคลุ้งไปพร้อมไอแดดบางเบา ฝูงแมลงเล็ก ๆ โบกบินว่อนเหนือพุ่มไม้แถบหนึ่งที่ดูอ่อนชื้นกว่าเพื่อน เห็นได้ชัดว่าผืนดินบริเวณนั้นเหมาะแก่การหยุดพักมากกว่าตรงไหนในละแวก และนั่นคือจุดที่จางกงกงบังคับบังเหียนเบนม้าเข้าจอดใต้ร่มไม้ โดยไม่เอ่ยถามนางแม้สักคำ


หลินหยาเบ้ปากน้อย ๆ พ่นลมหายใจเงียบ ๆ ขณะขยับตัวบนอานที่สูงเกินไปสำหรับส่วนสูงของนาง แม้ผ่านการเดินทางไกลมาหลายวัน แต่สัดส่วนร่างกายของนางก็ยังคงเป็นหลินหยา...คนตัวเล็กที่ขาไม่เคยเหยียบถึงพื้นเวลาขี่ม้าตัวเขื่องนี้เลยสักนิด และไม่มีวันปีนขึ้นลงได้เองหากไม่อาศัยอะไรช่วยเหลือเสียก่อน และตอนนี้...ก็แน่นอนว่าไม่มีบันได ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีอะไรเลยนอกจากคนด้านหลังที่ยังไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย


"ท่านจะไม่รีบลงก่อนแล้วมาช่วยข้าลงจริง ๆ หรือเจ้าคะ?" เสียงบ่นลอดฟันเอ่ยเบา ๆ ขณะนางยังคงนั่งค้างอยู่ตรงนั้น ขาแกว่งไปมาอย่างหงุดหงิด "นี้ข้ารอเป็นตุ๊กตาบนหลังม้าแบบนี้มานานแล้วนะเจ้าคะ..." จางกงกงไม่พูดไม่จาเช่นเคย เพียงยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาโอบรอบเอวนาง แล้วในชั่วพริบตาเดียว เขาก็อุ้มร่างทั้งร่างของหลินหยาให้ลอยหวือขึ้นจากอานม้า


"อ๊า! เดี๋ยว!" ยังไม่ทันตั้งตัวดี ฝ่าเท้าของนางก็แตะพื้นเสียแล้ว คนถูกหิ้วเหมือนแมวตัวเล็ก ๆ ถึงกับสะดุ้ง หน้าบึ้งแล้วจ้องเขม็งใส่ใบหน้าเรียบเฉยของอีกคน "หิ้วแบบนั้นอีกแล้วนะ! ท่านนี่มัน...ไม่รู้หรือไงว่าข้าเป็นสตรี!"


"รู้สิ" จางกงกงตอบเรียบ ๆ พร้อมสายตาที่กวาดมองลงมาทางนางอย่างมีเลศนัยระคนหยัน "เสี่ยวหยา…เจ้ามีปัญหากับการอุ้มแบบนั้นก็เพราะเจ้าคิดเองมากกว่า หิ้วขึ้น หิ้วลง ก็แค่ย่นเวลา"


“แต่มันไม่งาม!” หลินหยาสะบัดหน้าหนี ขณะมือปัดกระโปรงจัดชุดให้เข้าที่ “วันหน้าข้าจะปีนเองก็ได้! จะได้ไม่ต้องให้ท่านหิ้ว!”


"ดี" เขาพยักหน้ารับหน้าตาย ยกขวดกระบอกน้ำขึ้นเปิดฝาจิบราวไม่สะทกสะท้าน "คราวหน้าเจ้าลองปีนจากก้อนหินไปบนหลังม้าตัวนี้ดู...หากไม่ตกคอหัก ข้าจะถือว่าเจ้าทำได้ดี"


หลินหยาถลึงตาใส่ทันทีที่ได้ยิน “ท่านมันปากคอเราะราย! ข้าจะไม่ตายเพราะตกจากหลังม้าหรอกเจ้าค่ะ แต่จะตายเพราะความขี้แกล้งของท่านนั่นแหละ!!”


จางกงกงหัวเราะในลำคออย่างขบขัน แววตาฉายประกายเจ้าเล่ห์น้อย ๆ อย่างจงใจจะหยอกนางให้เดือดขึ้นทุกคราวที่มีโอกาส เขาหย่อนตัวนั่งลงใต้ร่มไม้ก่อนจะวางตะกร้าเสบียงไว้ข้างตัว แล้วปรายตาไปทางหลินหยาเหมือนจะบอกว่า "จะยืนงอนอยู่ทั้งวันหรือจะมากินข้าว" หลินหยาค้อนใส่แรง ๆ แต่ท้องนางก็ร้องในเวลาเดียวกัน...ช่างน่าเจ็บใจเสียจริงที่ต้องมากินข้าวกับคนที่หิ้วตนเหมือนแมวหน้าบ้านแบบนี้ทุกวัน แต่ที่เจ็บใจกว่า...คือนางเริ่มคุ้นชินกับมันเสียแล้วต่างหาก


หลังจากนั้นหลินหยาก็ทำหน้างอแต่ก็นั่งแหมะเอาไก่ขอทานออกมากิน เสียงกระดูกไก่ดังกรุบเบา ๆ ขณะริมฝีปากนุ่ม ๆ แทะไก่ขอทานอย่างเงียบ ๆ หลินหยาไม่พูดอะไรสักคำ ตั้งหน้าตั้งตากัด กิน ดูด เอาแต่นั่งหน้าบึ้ง ๆ งอน ๆ อยู่ตรงมุมใต้ต้นไม้ มือข้างหนึ่งยกห่อใบบัวรอง ข้างหนึ่งจับขาไก่ทั้งขาแน่นหนึบแบบไม่ยอมให้ใครแย่ง ริมฝีปากงามเปื้อนคราบน้ำซุปสีเข้ม ๆ เล็กน้อยที่มุมปาก ข้างแก้มเปรอะหยดมันเงาวับเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งขโมยของกินจากครัวมาได้สำเร็จ จางกงกงที่นั่งมองอยู่ห่างไปไม่ถึงศอกพิงลำต้นไม้ สายตากวาดมองตั้งแต่ปลายนิ้วนางที่เลอะคราบไก่จนถึงขอบริมฝีปากแดงเปื้อนซุปก่อนจะขมวดคิ้วหน่อย ๆ อย่างขัดใจในความ ‘ไม่เรียบร้อย’ ซึ่งนางทำเป็นประจำ และเขาก็เตือนทุกครั้ง...แต่ก็ไม่เคยฟัง


“นั้นเจ้ากินหรือปล้ำไก่?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระซิบเบา ๆ แต่พอให้เจ้าตัวได้ยิน หลินหยาที่กำลังงับกระดูกดังแกรกถึงกับชะงักนิด ๆ แล้วหันมาค้อนทันที


"ข้าก็กินแบบนี้ของข้ามาตลอดนี้เจ้าคะ! ท่านเคยเห็นข้าใช้ตะเกียบกินไก่ขอทานรอบไหนไหมล่ะ?"


“ไม่เคย...” เขาตอบอย่างไร้อารมณ์ แล้วหยิบผ้าเช็ดผืนเล็กที่อยู่ในห่อของตัวเองขึ้นมากางไว้บนตักก่อนจะเอื้อมไปเช็ดมุมปากให้นางอย่างหน้าตาเฉย หลินหยาเบิกตาโตทันทีเมื่อรู้ตัว “เอามือออกไปนะ!” นางปัดมือเขาเบา ๆ พองาม ทั้งที่น้ำเสียงก็ไม่ได้จริงจังนัก “ข้ายังกินไม่เสร็จ! เดี๋ยวก็เลอะอีกอยู่ดี!”


“ข้าก็เช็ดให้เจ้าเรื่อย ๆ ได้อยู่แล้ว...” จางกงกงเอ่ยเรียบ ๆ แล้วเช็ดข้างแก้มที่เปื้อนมันไก่อย่างใจเย็น


“ท่า—” นางว่าพลางหลบแต่โดนเช็ดต่ออยู่ดี


"ข้าก็ต้องทำหน้าที่เหมือนคนเลี้ยงแมวป่าที่หวงของ..." เขาว่าเสียงเรียบ "แมวก็ไม่หัดดูแลตัวเอง จะทำอย่างไรได้"


“แมวบ้านท่านสิ!” หลินหยาค้อนเข้าให้อีกดอกแล้วหันหนีกลับไปนั่งกินต่อเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ปากเลอะอีกรอบ เขาก็เช็ดอีกเหมือนเดิม มือลอบปาดคราบอาหารให้จนสะอาด มืออีกข้างยื่นขวดกระบอกน้ำให้อย่างรู้หน้าที่ หลินหยารับมาดื่มแบบเงียบ ๆ...ไม่สบตา แต่พอมือเขายื่นมาอีกครั้ง นางก็เลิกคิ้วพลางเบ้ปาก “เช็ดอีกแล้วเหรอ! ไม่ต้องเลย!! เดี๋ยวข้าเช็ดเองก็ได้นะเจ้าคะ”


“ช้า” เขาตอบทันที แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม เช็ดซ้ำจุดเดิมแบบช้า ๆ อย่างจงใจ สายตาคู่นั้น...จ้องมาที่นางแบบคนรู้ทัน “จะไม่ให้เลอะ ก็หัดกินดี ๆ หน่อย” เขากระซิบใกล้ใบหูนางจนหลินหยาขนลุก คนถูกแหย่แทบอยากเอาขาไก่ฟาดหน้าเขา แต่ก็ได้แต่หันหนี หน้าแดงขึ้นทีละนิดจนลามไปถึงใบหู


หลังจากนั้น จางกงกงที่เพิ่งจัดการมื้อกลางวันเรียบง่ายของตัวเองเสร็จ ทอดสายตามองหญิงสาวที่เช็ดปากเช็ดมือล้างเรียบร้อยอย่างละเมียดละไมแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด นางก็ก้าวเท้าเดินนำไปยืนรออย่างรู้หน้าที่เสียแล้ว เส้นผมดำขลับที่ถูกรวบไว้หลวม ๆ ปลิวสะบัดตามแรงลมยามกลางวันจาง ๆ ขณะที่หลินหยายืนหันหลังให้อยู่ข้างตัวม้าของเขา สาวตัวบางยืนยืดอกพยายามทำเป็นไม่มองคนด้านหลังที่ตนกำลังรอ นางไม่พูด ไม่กวักมือ ไม่ขอร้อง แต่ก็ไม่ได้ขยับขึ้นไปเองอย่างเด็ดขาด…เพราะรู้ดีว่าส่วนสูงนั้น ‘ไม่อำนวย’ และถ้าปีนเองมีหวังได้โดนล้อไปยันถึงฉางอัน


จางกงกงเดินเข้ามาช้า ๆ ก้าวเท้าเงียบกริบอย่างผู้เชี่ยวชาญในความนิ่งงัน สายตาเหยียดมองแผ่นหลังของนางที่แสร้งทำเฉยอย่างน่าหมั่นไส้ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบเย็น “จะยืนจนถึงยามอิ๋น แล้วให้ข้าอุ้มขึ้นกลางหมอกเช้าเลยหรือ?” หลินหยาหันหน้ามานิดเดียว ไม่สบตา ตอบเสียงห้วนแบบขี้อายผสมวางมาด “แล้วท่านจะช้าอยู่ทำไมเล่า…”


“ก็มัวแต่ชมวิวอยู่ไง” เขาตอบอย่างหน้าตาเฉยว่าแล้วมือหนาก็ยื่นมาโอบเอวบางของนางอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้เตรียมตัว ขาก็ลอยจากพื้นเสียแล้ว


“ว้าย!” หลินหยาร้องเสียงหลงนิด ๆ แต่ไม่กล้าดังมากเพราะกลัวนกป่าตกใจ พลางเผลอกอดคอเขาแน่นเพื่อทรงตัว “บ้าเอ๊ย! ท่านยังไม่เตือนข้าเลยนะ!”


“จะให้ข้าเขียนประกาศติดต้นไม้ก่อนด้วยหรือเสี่ยวหยา?” จางกงกงเอ่ยอย่างเย็นชาแต่เจ้าเล่ห์ มุมปากยกน้อย ๆ เหมือนกำลังขำกับอาการกระเง้ากระงอดน่ารักที่นางไม่รู้ตัว เขาวางร่างหล่อนลงบนอานม้าเบา ๆ อย่างมืออาชีพ นางขยับกระโปรงพลางค้อนให้แล้วรีบจัดระเบียบตัวเองให้เรียบร้อยเร็วที่สุดก่อนที่เขาจะขึ้นตามมา ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็ก้าวขึ้นตามมาด้านหลัง ท่วงท่าคล่องแคล่วของจางกงกงทำให้ดูเหมือนเขาคือผู้ควบคุมทุกอย่างอยู่เสมอ แม้แต่จังหวะลมหายใจของหลินหยา


"เจ้าจับไว้ดี ๆ ล่ะ" เขาเอ่ย ขณะม้าส่งเสียงกระทืบเท้าเบา ๆ แล้วเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง "ข้าก็ต้องจับอยู่แล้วนี่…" นางพึมพำเสียงเบา ก่อนจะพิงแผ่นอกของเขาเล็กน้อยอย่างลืมตัว แล้วก็พลันหน้าแดงเมื่อนึกได้ว่าเธอเพิ่งทำอะไรลงไป...แต่ก็ยังไม่ยอมขยับหนีจากอกอุ่น ๆ นั้นเสียที จางกงกงไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่กระตุกสายบังเหียนเบา ๆ สั่งให้ม้าพุ่งตัวไปข้างหน้า...พร้อมกับลมหายใจที่แผ่วเบาข้างใบหูของหญิงสาวเบื้องหน้า ที่เขายังคงไม่ปล่อยจากอ้อมแขน เพราะระหว่างทางจากหงหนงสู่ฉางอันนี้...เขาไม่คิดจะปล่อยให้ใครแย่งเธอไปอีกแล้วตลอดไป



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

พรสวรรค์ : วาสนามาโดยไม่รู้ตัว 
ทุกครั้งที่สำเร็จเควส (หากเลขไบต์สุดท้ายออก 0 / 2 / 6 / 9) มีวาสนาที่จะได้รับรางวัลเพิ่ม (เลขไบต์คู่ อาหาร) (เลขไบต์คี่ ไอเท็ม) และมีโอกาสพบเจอคนปะหลาดเข้ามาในชีวิตโดยไม่รู้ตัว

อื่น ๆ: เดทจบแล้วง่าาา แง้ ๆ ฮึกกกก

รางวัล: อยู่โพสที่สองจ้าาา


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 142099 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-19 05:20
โพสต์ 142,099 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-19 05:20
โพสต์ 142,099 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-19 05:20
โพสต์ 142,099 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-19 05:20
โพสต์ 142,099 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-19 05:20
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-19 05:48:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-19 07:17

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 19 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า เมืองหงหนง มณฑลซือลี่ - ยามโหย่ว เมืองฉางอัน มณฑลซือลี่ จักรวรรดิต้าฮั่น

ท่ามกลางทิวทัศน์ที่เริ่มเปลี่ยนจากแนวทุ่งและป่าเบาบางเป็นร่องรอยของหมู่บ้านริมฉางอันที่เริ่มคึกคักขึ้น หลินหยาซบแผ่นอกแน่นของเขานิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่น้ำเสียงของนางจะดังขึ้นเบา ๆ ในยามที่เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดินลูกรัง “ท่าน...เราจะถึงฉางอันกันตอนยามไหนหรือ?”


จางกงกงตอบโดยไม่ต้องคิดนาน “ยามเซินหรือยามโหยว่...ไม่เกินนั้น” หลินหยายกมือจับสายบังเหียนที่เขายังเป็นคนควบคุมอยู่นั้นไว้หลวม ๆ ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง นางกัดริมฝีปากนิด ๆ เหมือนชั่งใจระหว่างจะพูดหรือไม่พูด แต่สุดท้ายก็เลือกจะเปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา 


“แล้ว...ท่านจะไปส่งข้าที่ไหนหรือ?” เขาไม่ได้ตอบทันที ความเงียบระหว่างสองร่างที่แนบชิดกันบนหลังม้ายิ่งเหมือนเสียงทิ่มแทงในอก เพราะคำถามนี้ไม่ใช่แค่ถามว่าจะหยุดม้าไว้ตรงไหน แต่มันคือคำถามที่กดดันว่า เราคืออะไรกัน? “หน้าประตูเมืองหรือเจ้าคะ...หรือจะให้ไปส่งนอกเมืองดี?” เสียงของนางยังคงนุ่มนวลเหมือนเคย หากแต่แฝงความเหนื่อยใจคล้ายยอมรับบางสิ่งที่ไม่อยากยอม “เพราะ...ชายหญิงที่นั่งม้าตัวเดียวกันโดยไม่มีฐานะใด...มันไม่ควร” นางเอ่ยต่อ “ข้ารู้ดีว่ามันผิดประเพณี ผิดทุกอย่าง และยิ่งไม่ควรเลยสำหรับข้า...ที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในบ้านของหวยหนานหวาง ท่านหลิวอัน”


“ท่านก็ไม่ชอบใจไม่ใช่หรือ...ที่ข้าไปอยู่ที่นั่น” นางหันหน้าไปมองเขาแวบหนึ่ง ดวงตาคู่งามที่เหมือนจะเจือเศร้าเล็กน้อยกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่ฝืนเก็บซ่อนไว้


ครานี้จางกงกงไม่ตอบในทันที เขาเพียงแค่กระชับวงแขนที่โอบอยู่รอบเอวบางให้แน่นขึ้นโดยไม่พูดอะไร ม้าค่อย ๆ เดินทอดช้า ๆ เหมือนตามจังหวะใจของเขาที่หนักแน่นขึ้นทุกที “จะให้ข้าปล่อยเจ้าไว้ที่ประตูเมืองกลางฝูงชน แล้วทำเป็นไม่รู้จัก...หรือจะให้ข้าแสร้งทำเป็นไม่เคยผ่านคืนยาวหลายราตรีร่วมกับเจ้า เพียงเพราะสายตาของคน?” เสียงเขาทุ้มต่ำดังขึ้นข้างใบหู เสียงที่ราวกับสลักไว้ด้วยเหล็กเย็นและอารมณ์ที่ก่อตัวลึก


“หลินหยา...” เสียงเรียกชื่อของนางชัดเจนจนขนลุกเมื่อมันหลุดออกจากปากของคนที่แทบไม่เคยเรียกชื่อจริงของนางโดยตรง “เจ้าจะอยู่ที่บ้านของหวยหนานหวางไปอีกนานเท่าใด?” นั่นไม่ใช่คำตำหนิ หากแต่เป็นคำถามที่เหมือนคำเตือนคำประกาศที่ไม่จำเป็นต้องดัง


“หากเจ้าไม่ย้ายออกมา ข้าจะไปหาถึงที่...”


นางหันหน้ามาอย่างตกใจเล็กน้อย “ท่านบ้าไปแล้วหรือ? หากท่านหลิวอันเห็นท่านแล้วรู้เข้า...”


“ก็ให้มันรู้เสียเถอะ” จางกงกงกระตุกยิ้มบาง หากแต่สายตากลับน่ากลัวอย่างเงียบงัน ดั่งภูเขาหินเยือกเย็นที่ซ่อนเพลิงไว้ภายใน “เขาไม่โง่ถึงเพียงนั้นหรอก ในเมื่อบ้านนั้นเก็บหญิงสาวของข้าไว้ แล้วข้าจะไม่ไปเอาคืนกลับได้อย่างไร?”


“ท่าน...!” หลินหยาหน้าร้อนผ่าวเมื่อได้ยินคำว่า ‘หญิงสาวของข้า’ จากปากเขา มือบางรีบยกขึ้นตบเบา ๆ ที่ต้นแขนแกร่งอย่างประท้วง “ข้าไม่ได้เป็นของท่านสักหน่อยตอนนี้น่ะ!”


“หึ” จางกงกงหัวเราะในลำคอ “แต่เจ้าก็นั่งอยู่ในอ้อมแขนของข้า ไม่ใช่ของเขา...ไม่ใช่ของใครทั้งนั้น” เขาโน้มตัวแนบลงกระซิบข้างหูนาง เสียงเบาราวกระซิบสาบาน “ต่อให้โลกทั้งใบจะไม่ยอมรับความสัมพันธ์นี้ ข้าก็จะทำให้มันยอมรับ หากไม่ได้ด้วยเหตุผล ก็ให้มันรู้เสียด้วยอำนาจ หากไม่ได้ด้วยอำนาจ...ก็ด้วยเลือดที่หลั่งริน”


ม้าสีดำเงาวาวที่พาพวกเขาทั้งสองเคลื่อนผ่านทางหลวงเข้าสู่แผ่นดินฉางอันในยามเย็นนั้น คล้ายรู้สึกถึงความหนักแน่นในคำของผู้ควบมัน...เสียงฝีเท้าที่กระทบพื้นจึงดังกึกก้องยิ่งกว่าเดิมราวกับประกาศให้โลกได้ยิน ว่าไม่ว่าโลกจะยอมรับหรือไม่ ความสัมพันธ์นี้จะไม่ถูกปล่อยให้ดับหายไปในเงามืดอย่างที่มันเคยเป็นอีกแล้ว


หลินหยานั่งตัวตรงเล็กน้อยหลังจากได้ยินถ้อยคำเย็นเฉียบที่แฝงความเป็นเจ้าของอย่างโจ่งแจ้งจากด้านหลัง นางพ่นลมหายใจออกเฮือกใหญ่ ดวงหน้าหวานสะบัดเบา ๆ ราวกับไล่ไอร้อนในใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบเจือความหมั่นไส้ปนขุ่นเคืองเล็กน้อยตามสไตล์ของตนเอง “โอ๊ย…!!ข้าย้ายออกก็ได้!” เสียงของนางไม่ดังมากนัก แต่ชัดเจนและแน่วแน่จนแม้แต่เสียงเกือกม้าก็ดูเหมือนจะเงียบไปในชั่วพริบตา จางกงกงเลิกคิ้วเงียบ ๆ อยู่ข้างหลัง ขณะที่หลินหยายังพูดต่อไปโดยไม่หันกลับมา น้ำเสียงเริ่มมีไฟกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายไฟที่ถูกอัดแน่นในปล่องภูเขาไฟมานานจนถึงจุดจะระเบิด


“แต่ท่านก็รู้ใช่ไหมว่าทำไมข้าต้องไปอยู่ที่บ้านของท่านหลิวอันน่ะ…” มือน้อย ๆ กำสายบังเหียนแน่น ขณะที่เสียงของนางยังคงรัวชัดเจนจากความโมโห “ก็เพราะท่านนั่นแหละ! จำไม่ได้หรือไงว่าหลังจากที่ข้าชกหน้าท่านในตำหนักจงฉางชื่อ แล้วท่านก็เล่นใหญ่ลากข้าเข้าคุก ช่างสมกับนิสัยนักเลงใต้ถุนวังของท่านเสียจริง!” เสียงนางดังกระแทกหูเขาแบบไม่เกรงใจเพราะอารมณ์คุกกรุ่น “ถ้าไม่ได้ท่านหลิวอันมาช่วยข้าข้าคงโดนโบยหลังลายจนเลือดออกตัวตายเป็นการโดนประหารโดยหลักฐานลวงโลกของท่านแล้วละมั้ง” 


จางกงกงขมวดคิ้ว แววตาเรืองสีคล้ำใต้เปลือกตาฉายแววบางอย่างที่ยากจะอ่าน แต่หลินหยาไม่สนใจ นางยังพูดต่ออย่างไม่หยุด


“อย่างน้อยท่านหลิวอันก็รับโทษแทนข้าครึ่งหนึ่ง” นางพูดพลางปรายตามองเขาแวบหนึ่งจากหางตา ริมฝีปากแดงระเรื่อแย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่แฝงความสะใจที่ได้ตอกกลับหน้าอีกคนบ้าง “แต่ท่านน่ะ โดนเต็มร้อยไม้ ไม่ลดและไม่ยั้ง” จางกงกงเงียบอยู่หลายอึดใจ ไม่พูดไม่จา ทว่ามือที่โอบรอบเอวนางเริ่มแน่นขึ้นอย่างช้า ๆ จนหลินหยารู้สึกได้


“หึ สมน้ำหน้า!” นางหัวเราะนิด ๆ “คนอย่างท่านที่คิดจะใส่ความสตรีตัวจ้อยอย่างข้า ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเสียหน้าไงล่ะ!”


เงียบ

เงียบมาก


กระทั่งลมหายใจของเขาที่ปกติเยือกเย็นราวภูผายังร้อนวาบขึ้นอย่างชัดเจนในชั่วขณะเดียว “…เจ้ากำลังสมน้ำหน้าข้า?” เสียงเขาเบาหวิว เย็นยะเยือกในแบบที่ฟังแล้วเหมือนมีมดแดงไต่ซี่โครง


“อืม...” นางยักไหล่เล็กน้อยแล้วตอบหน้าตาเฉย “ใช่สิ แล้วจะทำไม? ก็ข้าไม่ใช่พวกปั้นหน้ายิ้มให้คนที่ลากข้าเข้าคุกเสียเกือบตายไม่ใช่หรือ?”


“แล้วถ้าข้าจะลากเจ้ากลับไปอีกล่ะ?”


“ถ้าท่านกล้าก็ลองดู!” นางกระแทกเสียงอย่างไม่ยอมแพ้ เงยหน้ามองเขาทางไหล่ “คราวนี้ข้าจะชกให้หน้าท่านแตกยิ่งกว่าคราวก่อน!” นางยักคิ้วท้าทายแววตาไม่กลัวเกรงแม้แต่น้อย


จางกงกงหัวเราะในลำคอเบา ๆ หัวเราะจริง ๆ เสียงต่ำ ๆ ราวกับถูกนางสะกิดอะไรบางอย่างในใจจนมันลั่นออกมาโดยไม่ตั้งใจ “เจ้าช่างกล้า...นับวันยิ่งปากดีขึ้นเรื่อย ๆ” เสียงเขาเย็นเฉียบ ทว่ามีรอยยิ้มร้ายลึกซ่อนอยู่ภายใต้ถ้อยคำ เขาโน้มหน้าลงมาใกล้ จนปลายผมของนางกระทบปลายคางของเขา เสียงแผ่วต่ำคล้ายกระซิบ “ข้าจะทำให้เจ้าสำนึกเสียให้พอ...”


ทันทีที่ริมฝีปากของจางกงกงเอ่ยถ้อยคำเยือกเย็นว่า “ข้าจะทำให้เจ้าสำนึกเสียให้พอ…” ทว่าในจังหวะที่หลินหยายังเชิดหน้าท้าทาย รอยยิ้มที่แต้มอยู่มุมปากอย่างคนไม่รู้จักคำว่าเกรงกลัวใด ๆ ยังไม่ทันจางหาย จู่ ๆ ม้าที่ควบมาตลอดทางกลับถูกกระตุกบังเหียนหยุดกระทันหัน กล้ามเนื้อสีน้ำตาลเข้มของมันสะบัดแรงแต่เชื่องดีพอจะสงบภายใต้มือจางกงกงอย่างว่าง่าย และก่อนที่หลินหยาจะได้หันกลับไปถามว่า “หยุดทำไม”  มือใหญ่แข็งแรงกลับเอื้อมมาจับใบหน้าของนางหมับหนึ่ง แล้วดึงหันกลับหลังในทันควันโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว


“อ…อื้อ...!?” เสียงหลุดร้องแผ่วในลำคอแทบไม่ทันเปล่งคำ เมื่อริมฝีปากของเขาประกบลงมารุนแรงโดยไม่เปิดโอกาสให้นางแม้แต่จะหายใจเสียด้วยซ้ำ ริมฝีปากของจางกงกงนั้นทั้งร้อนแรง หนักหน่วง และไม่ปรานี ช่างต่างจากทุกครั้งที่เคยสัมผัส เพราะครานี้มันไม่ใช่รอยจูบของความหลงใหลหรือเสน่หา แต่มันคือรอยจูบของการ “ลงโทษ”


“อื้ม…!” หลินหยาเบิกตากว้างในวินาทีแรก ร่างกายบิดขลุกขลักไปมาเล็กน้อยเพราะแรงจูบที่มากับแรงอารมณ์นั้นแทบทำให้นางเซถลาในอ้อมแขนเขา มือของเขากดท้ายทอยของนางไว้มั่นไม่ให้นางหนีจากการลงทัณฑ์นี้ และอีกข้างที่ประคองเอวไว้ก็รั้งแน่นขึ้นกว่าเดิม ราวกับจะบอกว่า "หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วล่ะ" ริมฝีปากนั้นรุกรานล้ำลึกอย่างไม่ให้โอกาสได้หายใจหอบหรือเถียงกลับ นางรู้ได้ทันที เขาโกรธ โกรธมากเสียจนข่มเอาไว้ไม่อยู่ ไม่ว่าจะเพราะถ้อยคำ “สมน้ำหน้า” ที่จุดไฟโทสะ หรือเพราะชื่อของหวยหนานหวาง ที่นางบังอาจกล่าวถึงด้วยน้ำเสียงเอ่ยอ้างเชิดหน้าต่อหน้าเขา


เขาผละจูบออกในที่สุดเมื่อนางเริ่มหอบกระชั้น ริมฝีปากแดงสดของหลินหยาเปียกชื้น ดวงตาเบิกกว้างพร่าเลือนเพราะความมึนงงระคนตกใจ ร่างของนางสั่นน้อย ๆ เสียงหายใจของเขายังหนักแน่นอยู่ข้างใบหูนางขณะที่เขาก้มต่ำกระซิบเสียงต่ำพร่าราวกับพายุฝนกลางรัตติกาล “สตรีใจกล้าผู้นี้กล้าสมน้ำหน้าข้า...แล้วเจ้าคิดจริงหรือว่าเจ้ายังเป็นอิสระ?” มือที่กดไว้ยังไม่คลาย เขาโน้มกระซิบต่อชิดริมหู ริมฝีปากเฉียดแก้มชื้นที่ยังอุ่นจากรอยจูบเมื่อครู่


“หากเจ้ายังกล้าเอ่ยนามของบุรุษอื่นให้ข้าฟังอีก...ข้าจะไม่ส่งเจ้าเข้าคุกของกรมราชทัณฑ์อีกแล้ว” เสียงเขาหยุดลงครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวประโยคสุดท้ายอย่างช้า ๆ ด้วยเสียงที่ทั้งเยือกและร้อนราวเปลวไฟในห้องขังใต้ดิน “แต่จะขังเจ้าไว้...ใน คุกของข้าเอง จนกว่าเจ้าจะสำนึกจริง ๆ ว่าควรเอ่ยชื่อใครบ้างในที่ที่ข้าอยู่”


หลินหยาเม้มปากแน่น แม้จะข่มกลั้นความรู้สึกทั้งหมดไว้ไม่แสดง แต่ใบหูแดงเรื่อ ริมฝีปากสั่นน้อย ๆ กับดวงตาวาววับที่หลบไปข้างทางนั้นบอกได้ชัดว่านางไม่ได้ใจเย็นอีกต่อไปแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ...เขาไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิดเดียว


เสียงระฆังจากเมืองฉางอันที่ดังกังวานมาตามลมราวกับระฆังทองของเทพประตูเมืองนั้นกำลังเคาะเตือนว่าอีกไม่นานก็จะเข้าสู่ยามเซินทะลุไปยามโหยว่ เสียงแผ่วไกลสะท้อนจากแนวกำแพงนครสู่ทุ่งโล่งด้านนอก บ่งบอกว่าจุดหมายใกล้เข้ามาเต็มที ทว่ากลับไม่มีอะไรในห้วงลมหายใจของหลินหยาเร่งรีบไปมากกว่าเสียงหัวใจของตนเองที่กำลังเต้นกระหน่ำราวจะกระชากทุกความคิดให้ขาดสะบั้น นางนั่งหันตัวเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนราวเนื้อไม้มะพร้าวสะท้อนความสับสนวาบไหวอย่างไม่อาจปิดบังได้ พลางมองสบใบหน้าเยียบเย็นเฉียบคมของบุรุษผู้เป็นเจ้าของทุกสัมผัสเมื่อครู่ ริมฝีปากของนางยังร้อนผ่าวจากแรงกดจูบเมื่อครู่ เส้นผมยุ่งเบา ๆ จากแรงลมหรือจากแรงของเขานั้นไม่มีใครทราบได้ แต่นางรู้ว่าตัวเองไม่ได้สั่นเพราะความหนาว หากแต่เป็นความรู้สึกบางอย่างที่กำลังลุกโชนและโอบรัดหัวใจจนแทบหายใจไม่ออก


“ท่า—” เสียงของนางเอ่ยขึ้นแผ่วเบาอย่างลังเล 


แต่ยังไม่ทันจบประโยค ริมฝีปากที่ร้อนจัดของเขาก็โน้มเข้ามาอีกครั้ง ประกบเข้ากับเรียวปากของนางโดยไม่ให้โอกาสได้เอ่ยคำใดทั้งสิ้น จูบนี้รุนแรงน้อยกว่าคราวแรก แต่มันกลับลึกซึ้งและโหยหากว่ากันมากนัก... เหมือนเป็นการสลักลงบนร่าง...ไม่สิ บนหัวใจของนาง ว่าเขาจะไม่ยอมให้ถ้อยคำใดจากนางพูดถึงชายอื่นอีก และยิ่งกว่านั้น เขาจะไม่ยอมให้นางลืมเขาแม้แต่ลมหายใจเดียว


ปลายนิ้วของเขาข้างหนึ่งไล้จากลำคอขาวผ่องลงไปจนถึงไหล่ จับยึดเบา ๆ เพื่อให้นางเอียงหน้าให้พอดีกับองศาของรอยจูบ ร่างของนางกระตุกน้อย ๆ เพราะสัมผัสนั้นทำให้ความทรงจำใต้ร่มผ้าแล่นวาบกลับมาอีกครั้ง ใต้สาบเสื้อผ้าของหลินหยา ยังมีร่องรอยจาง ๆ จากฟันและริมฝีปากของเขาที่ยังไม่ทันจางหาย จูบที่ประทับแรงเกินกว่าที่นางจะลืม... รอยขบกัดที่ลึกจนเกิดรอยแดงเรื่ออยู่ใต้ผ้ากลางหลัง และรอยดูดที่สลักแน่นไว้ตรงเนินอกใต้ชั้นชั้นในนั่นอีก ทั้งหมดนั้น...คงเป็นสิ่งที่เขาเรียกว่า “ตรวน” สำหรับผู้ต้องขังในคุกของเขาเอง


ริมฝีปากของเขาเคลื่อนไหวหนักแน่น ดุนดัน และล่วงล้ำอย่างไม่รีบร้อน หากแต่วางทับทุกอณูความรู้สึกของนางไว้อย่างไม่ให้เหลือที่ว่างสำหรับใครหน้าไหนอีก มือของหลินหยากำแน่นกับชายเสื้อของเขา นางไม่ได้ผลักออก แต่ก็ไม่ได้โอบรัดตอบเช่นเคย ราวกับกำลังลังเลอยู่กึ่งกลางของบางอย่าง บางอย่างที่ไม่ควรจะรู้สึกแต่ดันรู้สึก


เมื่อเขาผละออกมา ลมหายใจของทั้งสองยังประสานกันอยู่ตรงกลาง ดวงตาคมดุของเขาโน้มเข้าใกล้ชิด ใกล้จนแทบจะสัมผัสหน้าผาก เสียงทุ้มต่ำของเขากระซิบลงตรงปลายคางของนางเบา ๆ “อย่าพูดถึงคนอื่นอีกต่อหน้าข้า…แม้แต่จะนึกในใจข้าก็ไม่อนุญาต...เข้าใจหรือยัง” น้ำเสียงนั้นเยือกเย็นจนร้อนผ่าว และในห้วงลมหายใจนั้น ไม่มีเสียงระฆังใดดังก้องกว่าเสียงหัวใจของหลินหยาอีกแล้ว…


เสียงลมหายใจเฮือกใหญ่ของหลินหยาดังขึ้นกลางความเงียบงันชั่วครู่ ริมฝีปากของนางอ้าออกเพื่อสูดลมหายใจเข้าอย่างลึก ลำคองามกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะขณะพยายามรวบรวมสติที่หล่นกระจัดกระจายไปหมดหลังจากจูบร้อนแรงราวไฟโลกันต์เมื่อครู่ ดวงหน้าหวานที่แดงระเรื่ออย่างไม่อาจควบคุมได้ หันกลับไปข้างหน้าอีกครั้งอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่นั้นยังคงพร่าเลือน แต่เต็มไปด้วยความดื้อดึงระคนอ่อนแรง


"ท่านไปส่งข้าที่นอกเมืองก็ได้เจ้าค่ะ..." เสียงของนางเอื้อนเอ่ยอย่างเงียบงันเพราะต้องเปลี่ยนเรื่อง ราวกับไม่ต้องการให้มันหนักแน่นเกินไปนัก "ข้าเดินเข้าเมืองเองได้...ตรงศาลาจื่อเถิงฮวาก็ได้..." นางพูดจบแล้วเงียบลงทันที มือที่วางอยู่บนตักกระชับเข้าหากันจนปลายนิ้วซีด นางไม่รู้ว่าเขาจะยอมหรือไม่ เพราะคนอย่างจางกงกงนั้น...ตั้งแต่แรกแล้วก็ไม่ใช่คนที่ยอมตามคำใคร ความเงียบระหว่างสองคนอึดอัดจนรู้สึกได้


เสียงฝีเท้าม้าเคลื่อนต่อไปอย่างเรียบนิ่ง แต่ไม่ช้าก็มีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง น้ำเสียงนั้นไม่มีแววโมโห หากแต่เยือกเย็นและราวกับคลื่นที่ซัดเข้ามาในอกโดยไม่ให้ตั้งตัว "ศาลาจื่อเถิงฮวา…?" เขาทวนถ้อยคำที่นางพูดเบา ๆ ช้า ๆ เหมือนกำลังครุ่นคิด ไม่ใช่ทวนเพื่อยืนยัน หากแต่เป็นการทอดน้ำเสียงเช่นคนกำลังตริตรอง ปลายนิ้วเรียวข้างหนึ่งขยับขึ้นอย่างเฉียดผมของนางเพียงเล็กน้อย แตะผ่านไรผมที่ข้างขมับคล้ายจะจัดให้เข้าที่


“นั่นคือที่เจ้าพูด...แต่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะทำ” เสียงเรียบนิ่งที่แฝงไปด้วยแรงจิกจากจิตใจ "ข้าต่างหาก...ที่จะเป็นคนตัดสินใจว่าเจ้าควรจะอยู่ตรงไหน" เขาไม่ได้ตวาด ไม่ได้กดเสียง แต่น้ำเสียงกลับมั่นคงจนรู้สึกเหมือนถูกโซ่เหล็กคล้องข้อเท้าโดยที่ยังไม่ทันเดินก้าวออก "คิดว่าข้าจะให้เจ้าเดินเข้าเมืองคนเดียวหรือ? เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้ามีสิทธิ์เลือกด้วยหรือไง?" วาจานั้นราวกับเข็มที่แทงผ่านกลางใจ


หลินหยานิ่งงันไปพักหนึ่ง นางรู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้ตนตัดสินใจอะไรเองโดยไม่ผ่านคำอนุญาต โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของตนเอง แม้ศาลาจื่อเถิงฮวาจะเป็นสถานที่เงียบสงบอยู่ชายป่าเมืองฉางอัน สถานที่ของทั้งคู่ที่มักจะนัดเจอกันในช่วงหลังที่ไม่มีใครผ่านบ่อยนักในยามเย็นค่ำตะวันลาลับเช่นนี้ แต่ในสายตาของจางกงกง...สถานที่นั้นกลับอันตรายยิ่งกว่าใจกลางตลาดเสียอีก เพราะมันเป็นสถานที่ที่ครั้งหนึ่ง หลินหยาเคย “ตกหลุม” กับเขา ...และเขาเองก็ไม่ต้องการให้มันกลายเป็นหลุมพรางของใครอีก แม้มิได้กล่าวออกมาตรง ๆ แต่จางกงกงก็แสดงเจตจำนงนั้นอย่างชัดเจนผ่านทุกการกระทำ


ฝ่ามือของเขาที่ควบบังเหียนอยู่ข้างหนึ่งขยับเพียงเล็กน้อย ม้าควบช้า ๆ ต่อไปในทางที่เขาเลือก ไม่ใช่ทางที่นางเสนอ ไม่มีคำตอบจากเขาตรง ๆ แต่การกระทำของจางกงกงคือคำตอบทั้งหมดหลินหยาเม้มปากแน่น ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย นางไม่พูดอะไรอีก รู้ดีว่าในท้ายที่สุด...คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่า “หลินหยา” ควรจะไปจบลงตรงไหนของเมืองฉางอันนี้...ในสายตาของจางกงกงไม่เคยใช่ตัวนางเองเลยแม้สักครั้งเดียว


จางกงกงขยับมือขึ้นอย่างมั่นคงในขณะที่มืออีกข้างยังคงควบบังเหียนม้าไว้แน่น กระดิกนิ้วเพียงนิด หมวกงอบไผ่พร้อมผ้าคลุมสีดำก็หลุดออกจากห่อผ้าอย่างเชื่องช้า เขากระตุกชายผ้าคลุมด้านในขึ้นมาพาดทับใบหน้าของตนในจังหวะที่ลมหวิวของยามใกล้พลบค่ำพัดโชยผ่าน แสงสีส้มแดงอ่อนของยามกลางคืนสาดแสงเงาละลานบนเส้นทางฝุ่นแดงข้างหน้า ผ้าคลุมนั้นดูธรรมดาแต่กลับพลิ้วไหวแนบแน่นอย่างมีจังหวะ มันบดบังใบหน้าอันงามล้ำและเยือกเย็นของจางกงกงไปเสียจนหมดสิ้น เหลือเพียงเงาลางในม่านมืดแห่งราตรี


แม้หลินหยาจะมองไม่เห็นสีหน้าของเขาตอนนี้ แต่นางรู้ดี ดวงตาของเขายังคงเฝ้าจ้องทุกอย่าง รอบด้านอย่างไม่ประมาท “เก็บปากของเจ้าไว้เสี่ยวหยา” เสียงของเขาดังขึ้นต่ำเย็น “หากไม่อยากให้ใครรู้ว่าเจ้ามากับใครในยามค่ำมืดเช่นนี้”


หลินหยาไม่ได้ตอบ แต่ริมฝีปากนางเม้มแน่น ทั้งอาย ทั้งหงุดหงิด ทั้งอึดอัดในหัวใจ เสียงกีบม้ากระทบผืนดินยังคงสม่ำเสมอ เส้นทางเริ่มลาดต่ำลงเล็กน้อยเมื่อล่วงเข้าสู่เขตใกล้เมือง ยามพลบค่ำกลายเป็นม่านยามค่ำคืนที่เบื้องฟ้าปรากฏจันทร์เสี้ยวบางตัดกับเงาไม้ไผ่รอบข้าง เสียงจักจั่นเร่งจังหวะคล้ายบอกเวลาของเมืองฉางอันกำลังจะเข้าสู่ช่วงกลางคืนโดยสมบูรณ์


จางกงกงไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงขยับม้าอย่างแม่นยำไปในทิศทางที่ตนกำหนด นำร่างของหลินหยาเข้าใกล้จุดหมาย...ไม่ใช่ประตูเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน ไม่ใช่ตรอกเงียบที่ใครจะสังเกตเห็นการขึ้นลงของนาง แต่เป็น ทางหลังสวนฃด้านทิศเหนือของฉางอันที่แค่เฉพาะบางคนเท่านั้นที่รู้ว่าทางลัดนี้จะวกเข้าสู่หลังหอว่านหงเหรินได้โดยไม่ต้องผ่านสายตาของใคร เป็นทางที่ไม่ควรมีชายหญิงใดเดินทางผ่านพร้อมกันในยามนี้...แต่จางกงกงกลับเลือกพานางไปเช่นนั้น


เบื้องหน้าเป็นลานหลังของหอว่านหงเหรินที่เงียบงัน มีเพียงเสียงใบไม้เสียดสีกันยามลมพัด กับแสงจันทร์ที่ส่องลอดยอดไม้สูงกระทบหลังคากระเบื้องเงาวับให้เป็นเงาสะท้อนริบหรี่ตามจังหวะลมหายใจของเมืองฉางอันในยามค่ำคืน หลินหยากระพริบตา มองรอบ ๆ แล้วพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ พลางบ่นในใจว่า "แน่นอนสิ...นี่มันหอของเขานี่นา..." นางขยับตัวเล็กน้อยบนหลังม้า แล้วจู่ ๆ ก็เอนตัวไปด้านข้างอย่างคล่องแคล่ว เตรียมจะกระโดดลงเหมือนเคยชินกับการขึ้นลงม้าเองแบบเร็ว ๆ ฃ แม้จะลืมไปว่าในตอนนี้ม้าตัวนี้สูงกว่าปกติ แถม...ขาสั้นแบบนาง ถ้ากระโดดลงเองมีหวังได้กะเผลกเดินเข้าเรือนไปแน่


ทว่าไม่ทันให้คิดให้ยาว มือใหญ่ที่เคยกดนางไว้กับอกก่อนหน้านี้ก็ขยับคว้าบั้นเอวของนางไว้แน่น เสียงถอนหายใจของเขาฟังดูเหมือนจะเบา ทว่าแฝงด้วยความเหนื่อยหน่ายอย่างน่าหวาดหวั่น "เสี่ยวหยา…อย่าแม้แต่จะคิดว่าเจ้าจะลงเองโดยไม่บอกข้า" เสียงทุ้มเยือกดั่งขนนกปัดผ่านต้นคอ ก่อนที่ปลายนิ้วทั้งห้าของจางกงกงจะยกตัวนางขึ้นอย่างง่ายดาย


หลินหยาตกใจเล็กน้อยเมื่อร่างลอยขึ้นกลางอากาศก่อนจะค่อย ๆ ถูกวางลงกับพื้นอย่างแม่นยำ ราวกับนางเป็นเพียงหมอนขนนกในมือนักวาด ขาทั้งสองของนางแตะพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว แต่กลับมั่นคง ดวงตาสีน้ำตาลของหลินหยาเบิกขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะหันหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วบ่นเบา ๆ "ข้าทำเองก็ได้น่า ท่านอย่าคิดว่าข้าขาสั้นจนกระโดดไม่ไหวเสียหน่อย..."


"ก็ใช่ที่กระโดดไหว..." เสียงของเขาตอบช้า ๆ เบา ๆ พลางหย่อนตัวลงจากหลังม้าเองบ้าง แล้วโน้มกายเข้าใกล้ “แต่เจ้าไม่เคยคิดว่าสิ่งที่เจ้าทำมันน่ากลัวแค่ไหน...” เขากระซิบข้างหูนาง น้ำเสียงนั้นไม่ใช่ตำหนิ ไม่ใช่ประชด แต่เป็นการบอกให้รู้...ว่าเขาเห็นความเสี่ยงอันตรายต่อนางทุกอย่าง แม้เจ้าตัวจะไม่เห็นมันเอง มือของจางกงกงยังคงจับที่ข้อมือนางแน่นเล็กน้อย คล้ายจะส่งความรู้สึกบางอย่างผ่านสัมผัสนั้น ทว่าไม่นานก็ปล่อย


จางกงกงก้าวเท้าหนึ่งก้าวออกมายืนใกล้หลินหยา ท่ามกลางแสงจันทร์ที่เริ่มหลบซ่อนหลังม่านเมฆ ใบหน้าใต้หมวกไผ่และผ้าคลุมดำแทบจะไม่มีผู้ใดมองเห็นชัดเจน หากแต่ความเคลื่อนไหวของเขานั้นกลับแม่นยำ เยือกเย็น และชัดเจนเสียยิ่งกว่าดาบในมือจอมยุทธ์ เขาใช้เพียงมือเดียวเลิกชายผ้าคลุมด้านข้าง เผยให้เห็นเข็มขัดกว้างสีเข้มซึ่งหากมองเผิน ๆ ก็เหมือนของขุนนางทั่วไป แต่สำหรับผู้ที่รู้เท่าทันแล้ว… นี่คือเข็มขัดเก็บสัมภาระจากอีกมิติหนึ่งของยอดช่าง เพียงดีดนิ้วเบา ๆ ของบางอย่างก็วูบออกมาจากช่องว่างราวกับห้วงจักรวาลขนาดย่อม จางกงกงยื่นมือไปข้างหน้าพร้อมถุงผ้าเนื้อดีใบเล็กที่ถูกปิดผนึกด้วยยันต์สลักทองจาง ๆ นางรู้ดีว่ายันต์ระดับนี้ไม่ใช่แค่กันมดกันฝุ่น...แต่มันกันผู้ไม่หวังดีตรวจสอบได้ด้วยซ้ำ


“ของขวัญสำหรับเจ้าที่จะไม่พูดว่าสมน้ำข้าต่อหน้าใครอีก” เขาเอ่ยเรียบ ๆ น้ำเสียงราบเรียบแต่ชวนให้เสียวสันหลัง 


หลินหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรับมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจ แต่เมื่อคลายผนึกพลางเปิดดู… “อึก…” นางเบิกตาโตทันควัน แทบจะยกถุงส่องกับแสงจันทร์ หินสีเงินระยับกับหินสีนิลผุดวาววับอยู่เต็มถุง “หินอัปเกรดกับตี? ...อย่างละ 20 ก้อน…” เสียงของนางเบาแผ่วเหมือนลมหายใจตกกระแทกอกตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง


"ท่าน…นี่มัน…บ้าไปแล้วหรือเปล่า?! บ้างร้านนี้ขายก้อนละ 100 ตำลึงทองนะเจ้าคะ! แค่เจ้านี่ก็…" นางกะพริบตาเร็วจนเกือบจะกลอกตา


จางกงกงเพียงมองนางแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย "พูดอีกทีสิ...ก้อนละเท่าไร?"


"ก็…100 ตำลึงทองไงเจ้าคะ! แล้วนี่อย่างละ 20 ก็คือ..."


“สี่พันตำลึงทอง” เขาพูดแทนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วหมุนตัวกลับไปลูบคอเจ้าม้าสีดำเบา ๆ อย่างไม่ยี่หระ "ข้าไม่ได้ตาบอดขนาดไม่รู้ว่าเจ้าชอบอะไรนอกจากเหล้า กับการพูดขัดใจคนอื่น"


"...ท่าน!" หลินหยาแหวขึ้นเบา ๆ ด้วยใบหน้าแดงเรื่อจากทั้งอารมณ์ตกใจและความรู้สึกอื่นที่เธอไม่อยากจะเรียกชื่อมัน "ถือเสียว่าทำให้ข้าสำนึก ที่โดนชกหน้าและโดนโบยเพราะเจ้า…" เขาหันหน้ากลับมาครึ่งหนึ่ง ใบหน้าภายใต้หมวกนั้นแฝงด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ที่มองดูยังไงก็ไม่รู้ว่าเยาะ หรือเอ็นดู หรือแค่พึงใจที่ได้ยั่ว "...แล้วก็เป็นค่าปิดปาก อย่าเอ่ยชื่อบุรุษอื่นต่อหน้าอีก โดยเฉพาะชื่อของคนที่เจ้าย้ายไปอยู่ด้วย" คำพูดนั้นขับเน้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ คล้ายเข็มน้ำแข็งจี้เข้ากลางอก หลินหยาก้มหน้ามองถุงในมือน้ำหนักของมันเบา แต่ความรู้สึกกลับหนักแน่นราวกับหินพันชั่ง เธอไม่พูดอะไรอีกขณะนี้ เพราะในอกมันแน่นไปหมด


มือเรียวยาวภายใต้ผ้าคลุมดำสะบัดถุงผ้าขนาดย่อมออกจากเข็มขัดมิติอีกครั้ง คราวนี้เสียงเหรียญกระทบกันดังเบา ๆ ชวนให้ใจสาวเจ้าสะดุ้งราวเสียงกระซิบของปีศาจเงินทอง จางกงกงยื่นถุงนั้นมาให้อย่างไม่รีรอ ไม่มีคำถาม ไม่มีคำอธิบายมากความ มีเพียงแค่คำสั่งเย็นเยียบแฝงในน้ำเสียงอ่อนนุ่มนั้นว่า “สำหรับการเดินทางและจงออกจากบ้านของหวยหนานหวางซะ”


หลินหยาเพียงยื่นมือไปรับอย่างลืมตัว พอปลายนิ้วแตะถุงเท่านั้น น้ำหนักก็ฉุดให้ข้อมือนางตกวูบจนนางเกือบสะดุดตัวเอง ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนเบิกโตเกือบเท่าถาดซาลาเปา นางกระซิบเบา ๆ กับตัวเองขณะคลายปากถุงเล็กน้อย “…เหรียญตำลึงทอง...200 ตำลึงทอง?” ใช่...ตำลึงทองเต็ม ๆ สองร้อยเหรียญ วาววับในแสงจันทร์ราวกับจิตวิญญาณของเซียนสายเปย์ที่หล่นลงมาจุติในรูปขันทีคนนี้


“ท่าน...ท่านรู้ไหมว่านี่มัน...” หลินหยาเสียงสั่น ดวงตาไหววูบ "แค่เงินนี่ก็ซื้อจวนใหม่หลังใหญ่โคตร ๆ ได้ทั้งหลังแล้วนะเจ้าคะ!"


“ถ้าต้องให้เจ้าอยู่บ้านของหวยหนานหวางต่อไป ข้ายินดีซื้อจวนใหม่ให้เจ้าได้ทั้งตำบลด้วยซ้ำ” จางกงกงตอบด้วยเสียงเรียบนิ่งก่อนจะหันมาสบตานางใต้หมวกไผ่ “และหากเจ้ายังดื้อด้านจะกลับไปอยู่กับเขาอีก...ข้าจะลากเจ้ามาอยู่ในจวนของข้าเอง” หลินหยาชะงักค้าง ปากยังอ้ากับถุงเงินในมือ แต่ดวงตากลับไหวไหวอย่างหาที่จุดยืนไม่เจอ


“นี้ท่าน!!...คิดจะพาข้าไปในฐานะอะไรหรือเจ้าคะ?!” นางกระซิบถาม ราวกับยังไม่เชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเกิดขึ้นจากปากของเขาจริง


“ในฐานะที่เจ้าเป็นของข้า ผู้หญิงของข้า ในฐานะข้าผู้ที่ครอบครองเจ้า ในฐานะคนที่เจ้าเคยดื่มสาบานกับข้าใต้ศาลาเถาวัลย์ม่วง...” จางกงกงกล่าวพลางเอื้อมมือมาดึงหมวกไผ่ของนางให้คลุมต่ำลงเล็กน้อย ปลายนิ้วแช่เย็นแตะที่ปลายคางอย่างเรียบเย็นแต่ตรึงอารมณ์ นัยน์ตาใต้เงามืดของเขาทอประกายบางอย่างที่หลินหยายังไม่กล้าตีความ “หรือเจ้าลืมพันธะนั้นแล้วเสี่ยวหยา?”


หลินหยาหุบปากเงียบสนิท แม้ใจจะต่อต้านแทบหลุดจากอกแต่กลับไม่มีคำใดหลุดจากปากได้อีก จางกงกงเห็นดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เขากลับหมุนตัวพร้อมเสียงเสื้อคลุมแผ่วเบาและเสียงฝีเท้าม้าสะท้อนหายไปในเงาคืน เหลือไว้เพียงหญิงสาวกับถุงเงินหนักอึ้ง...ทั้งในมือ และในอก พร้อมกับเสียงที่นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรมันดังกว่ากันระหว่างถุงเงินหรือหัวใจของนาง



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

พรสวรรค์ : วาสนามาโดยไม่รู้ตัว 
ทุกครั้งที่สำเร็จเควส (หากเลขไบต์สุดท้ายออก 0 / 2 / 6 / 9) มีวาสนาที่จะได้รับรางวัลเพิ่ม (เลขไบต์คู่ อาหาร) (เลขไบต์คี่ ไอเท็ม) และมีโอกาสพบเจอคนปะหลาดเข้ามาในชีวิตโดยไม่รู้ตัว

อื่น ๆ: สายเปย์จังค้าบ เปย์ขนาดนี้ขอบ้านสักหลังไปอยู่ได้ไหมค้าบบบ 
คุณพี่ก็จะลากไปจวนคุณพี่อยู่เหมือนกันแต่น่าจะขังผมเลย---

รางวัล: 
จบภารกิจ เควส บันทึกท่องยุทธจักร ระดับ Heroes "ความจริงแท้"

100 พลังใจ, 200 ตำลึงทอง จากจางกงกง, 5 Point, หินอัปเกรดและหินตีบวกอย่างละ 20 ก้อน

ไอเทม : กระจกเงาแห่งปัญญา (หลังจากการเดินทางที่เต็มไปด้วยการค้นหาและเผชิญหน้ากับความจริงอันซับซ้อน หลินหยา จะได้รับ กระจกเงาแห่งปัญญา เป็นรางวัล สิ่งนี้มิใช่เพียงกระจกธรรมดา แต่เป็นอาวุธแห่งความจริงที่สามารถส่องลึกเข้าไปยังจิตวิญญาณของผู้คนได้ ซึ่งเปรียบเสมือนสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากภารกิจนี้ เมื่อหลินหยารวบรวมสมาธิและมองไปยังบุคคลใด ภาพที่ปรากฏในกระจกจะไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็น ภาพสะท้อนของความจริงในใจ ของบุคคลนั้น กระจกจะเผยให้เห็นความคิดที่ซ่อนเร้น ความตั้งใจที่แท้จริง อารมณ์ที่ถูกเก็บกด หรือแม้กระทั่งคำโกหกที่ถูกปกปิดไว้ รางวัลนี้จึงเป็นเครื่องมืออันล้ำค่าในการ ตัดสินใจ และ เข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง | สามารถขอดูแก่นแท้ของบุคคลที่เธอต้องการได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง โปรดเลือกเป้าหมายในการส่อง)

(มีไอเทมชื่อนี้ในระบบอยู่แล้วแต่เป็นของปลอมมั้งคะ อันนี้ที่ได้จากเควสน่าจะของจริง เพราะมันเขียนว่ามันก็แค่เรื่องแต่งที่ให้กระจกขายได้ คำอธิบายกะไม่เหมือนกันด้วย)

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

ในขณะกำลังจะเข้าเมืองก่อนมีเสียงกระซิบบางอย่าง มายังเฉินหลิว และจงออกนอกเมืองมาเพียงลำพังเมื่อถึงเฉินหลิว   โพสต์ 2025-8-19 17:44
โพสต์ 92899 ไบต์และได้รับ 72 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-19 05:48
โพสต์ 92,899 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-19 05:48
โพสต์ 92,899 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-19 05:48
โพสต์ 92,899 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-19 05:48

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +100 ตำลึงทอง +200 ย่อ เหตุผล
Watcher + 100 + 200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
1234
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้