
บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
เริ่มต้น ยามเหม่า เมืองหานตาน มณฑลจี้โจว - ยามซวี เมืองจี้ มณฑลเหลียงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น

เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดินหินแห้งๆ หน้าทางเข้าโรงเตี๊ยมดังก้องเป็นจังหวะมั่นคง ม้าหนุ่มพันธุ์ดีสีดำขลับแววตาเฉียบคมยืนนิ่งรออยู่ตรงนั้นราวกับมันไม่ใช่แค่ม้า หากเป็นเงาของผู้เป็นนาย ที่แสนหยิ่งยโส สุขุม และไม่ไว้หน้าใคร หลินหยาชะเง้อคอมองความสูงของมัน ก่อนจะก้มมองขาของตัวเองอย่างยอมรับความจริง หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด “...นี่ท่านแน่ใจใช่ไหมว่ามันไม่ใช่มังกรกลายร่างมา?” เธอมองจางกงกงอย่างเครียด ๆ ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนกรอกตาใส่เขานิดหน่อยแล้วสะบัดแขนเสื้อ พึมพำเบา ๆ ว่า “ข้าเป็นผู้หญิง ไม่ใช่เหยี่ยวจะบินขึ้นมาสูงขนาดนี้….แม่ง…”
จางกงกงกลับไม่ขยับไปช่วยแต่อย่างใด เขาเพียงยืนไขว้แขน มองนางด้วยสีหน้าที่ราวกับกำลังชมดอกไม้แปลกสายพันธุ์หนึ่งที่กำลังพยายามหาวิธีโหนไม้ไผ่เพื่อข้ามแม่น้ำ “เจ้าปีนขึ้นไปเองไม่ได้หรือ?” น้ำเสียงเขาราบเรียบแต่ดวงตาวาววามประหลาด “แมวอย่างเจ้าไม่ใช่สัตว์คล่องแคล่วหรืออย่างไร?”
หลินหยาเบิกตากว้าง หันขวับมามองเขาอย่างเหลืออดที่โดนว่าเป็นแมวอีกแล้ว “แล้วท่านจะให้ข้าโดดไปโดดมาหน้าชาวบ้านรึไงเล่า!” นางตวาดเบา ๆ ก่อนจะชะงัก เมื่อเห็นจางกงกงสาวเท้าเข้ามาใกล้อย่างนิ่งๆ เขาย่อตัวลง ก้มเล็กน้อย ยื่นแขนออก “ขึ้นมา ข้าจะช่วย”
“ท่านจะอุ้มข้าขึ้นม้าเหรอ?”
“หรือจะให้ข้าทำเสียงไก่ขันเรียกคนมาแบกเจ้าแทน?” เขาตอบด้วยน้ำเสียงแห้งสนิทแต่ก็ไม่มีทางให้คนอื่นมาอุ้มหรือแตะต้องนางต่อหน้าเขาหรอก หลินหยากัดฟันแน่น หน้าร้อนวาบอีกแล้ว แล้วก็เดินเข้าไปหาเขา “ข้าขึ้นเองก็ได้!” นางพยายามเหวี่ยงขาขึ้นจากบ่วงบันไดเท้า แต่สุดท้ายก็... “อ๊ะ!”
...ขึ้นไม่พ้น ขาสั้นเกินไป...
มือข้างหนึ่งของจางกงกงคว้าเอวของนางไว้แน่น ขณะที่อีกมือพยุงแผ่นหลังเล็กนั้นขึ้นอย่างมั่นคง ร่างหลินหยาถูกยกขึ้นอย่างเบาหวิวราวกับตุ๊กตา แล้วถูกวางลงบนหลังม้าโดยที่ยังไม่ทันได้เตรียมใจ “เจ้าก็ตัวแค่นี้ มีเนื้อตัวนิดเดียว ข้าก็ไม่ได้ใช้แรงมากนักหรอก” เขากล่าวเบา ๆ พลางขึ้นตามมานั่งด้านหลังนาง ก่อนที่วงแขนจะแตะเอวบางราวกับล้อมไว้กันตก หลินหยาชะงัก ใบหน้าแดงเถือก ท่านั่งของเธอตอนนี้...ใกล้ชิดมาก ใกล้ชนิดที่หากเขากระซิบคำว่า “กลัวตกหรือเปล่า” ข้างหูนางอีกที มีหวังเธอคงได้กลิ้งตกจากหลังม้าด้วยความอายเสียเอง
“ก็ข้าบอกให้แยกนั่งไม่ใช่หรือไง?” นางพึมพำอุบอิบ
“เจ้าขี่ม้าคงไม่มั่นคงนัก ม้าเช่าตามม้าของข้าไม่ทันหรอก อีกอย่างเส้นทางวันนี้ขรุขระ หากเจ้าตก ข้าขี้เกียจเก็บ” เขาตอบ พร้อมกระตุกบังเหียนเบา ๆ ให้ม้าเริ่มออกเดินช้า ๆ จังหวะมั่นคง แต่ดันมีบางครั้งที่จงใจเร่งขึ้นเล็กน้อยให้ร่างหลินหยาเซนิด ๆ แล้วต้องเอนเข้ามาหาเขา “ตาคนโรคจิตเอ้ย...” หลินหยากัดฟันพึมพำเสียงเบา ทว่าแก้มแดงปลั่งเหมือนลูกพีชโดนแดด มองวิวข้างทางโดยไม่กล้าหันมามองเขาอีก แต่ข้างหลัง...เงาคล้ายรอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนมุมปากของจงฉางชื่ออีกครั้งหนึ่ง เงียบงัน...และเป็นรอยยิ้มที่มีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดจากอะไร
ระหว่างการเดินทางเลาะไหล่เขา ท้องฟ้าโปร่งกระจ่าง แสงแดดคลี่ไล้อย่างอ่อนโยนลูบเลียทิวไม้เบื้องข้าง เสียงฝีเท้าม้าดังแผ่วสม่ำเสมออย่างสง่างามบนทางดินกรวด ทว่า...เสียงหัวใจของใครบางคนกลับเต้นรัวไม่สม่ำเสมอเอาเสียเลย หลินหยานั่งตัวเกร็งอยู่หน้าจางกงกงทั้ง ๆ ที่ปากทำท่านิ่งเฉย ใบหน้าอึน ๆ ราวกับแมวที่ถูกจับแต่งตัวแล้วต้องนั่งเป็นแบบวาดภาพเป็นชั่วโมง ร่างเล็กนั่นแสร้งจับบังเหียนทั้งที่ไม่ได้คุมอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะความจริงแล้วมือเรียวยังไม่นิ่งพอจะบังคับเจ้าอาชาตัวนี้ได้ จางกงกงที่นั่งอยู่ด้านหลังเป็นผู้บังคับอยู่เงียบ ๆ มาตลอด แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจแค่ทิศทางของม้า...สายตาของเขานั้นกลับจดจ้องอยู่กับแผ่นหลังของนางคนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด
หญิงสาวตัวเล็กนิดเดียว...ประมาณ 6 ฉื่อ 7 ชุ่น เล็กจนน่าประหลาดใจว่าเวลากินข้าวขนาดนั้นนางกินเข้าไปได้อย่างไรนักหนา เวลาอยู่ด้วยกันที่ศาลาจื่อเถิงฮวาเสี่ยวหยาแอบหยิบของหวานเข้าปากจนหมดเกลี้ยง แถมยังมองขนมงาข้างโต๊ะคนอื่นตาแป๋วอีกต่างหาก เขาเผลอยกมือแตะที่หน้าผากตัวเองเบา ๆ ก่อนจะละเลียดรอยยิ้มคล้ายจะขำไม่ขำออกมา ...อา...ตัวเท่านี้เอง ไหล่บางนิดเดียว เสี่ยวหยา กินแล้วเอาไปไว้ตรงไหนกัน แผ่นหลังนี่ก็แทบเท่าฝ่ามือเขาเกือบเต็ม ทว่ายามมีเรื่อง จะเถียงยิ่งกว่าทหารฝ่ายใต้เสียอีก
“เสี่ยวหยา” เสียงเรียบนั้นดังขึ้นหลังจากที่ผ่านมากว่าหนึ่งเค่อโดยไม่มีบทสนทนาใด ๆ
“...อื้อ?” หลินหยาตอบในลำคอโดยไม่หันกลับ รู้ดีว่าอีกฝ่ายเรียก
“เจ้ากินอะไรเข้าไปบ้างกันแน่หรือ ถึงได้เติบโตแค่ที่แก้ม?” เสียงเขาเนิบ...ทว่าเจตนาเย้าแหย่นั้นชัดแจ้ง หลินหยาถลึงตาทันที ก่อนจะหันคอมาแทบเคล็ด “ห๊ะ!? ท่าน...พูดอะไรของท่านนะ!”
“ข้าพูดตามจริง”
“แสดงว่าท่านจ้องข้าสินะ! นี้ท่านบ้ามาคิดอะไรแบบนี้ตอนนี้เล่า!” นางหรี่ตาอยากจะมองเขาราวกับจับได้ว่ากำลังลวนลามทางสายตา
“แน่นอน ข้าเฝ้าดูเจ้ามาตลอดอยู่แล้ว” คำตอบนั้นทำเอาหลินหยาตาค้าง หน้าแดงฉ่า ไหล่เล็กสั่นน้อย ๆ อย่างประหลาดใจกับความหน้าด้านของคนด้านหลัง ก่อนจะพึมพำในลำคอเบา ๆ “ตาคนโรคจิต...” แล้วรีบหันกลับมานั่งตรง พยายามกดเสื้อคลุมให้ปิดไหล่ตนเองมากที่สุด
จางกงกงเห็นอาการนั่นเต็มตา แต่ไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม เพียงแต่เลื่อนมือลงเบา ๆ มาจับบังเหียนซ้อนมือเล็กนั้นไว้เพื่อควบม้าให้มั่นคงขึ้น มือของเขาเย็นแต่แน่น หนักแน่นในแบบที่ต่างจากความหวังดีของใครทั้งหลาย นั่นคือสัมผัสของคนที่มีพลังในการพรากชีวิตแต่กลับยื่นออกมาเพื่อประคองเธอไว้ให้ไม่ตกจากหลังม้า เขาจงใจโน้มหน้าลงกระซิบใกล้หูอีกครั้ง เสียงพร่าต่ำจนไหลเข้าหัวใจเหมือนลมหนาวปลายฤดู “ข้าไม่อยากให้เจ้าเจ็บ...จึงไม่อยากให้เจ้าตก” หลินหยาเม้มปากแน่น ดวงหน้าร้อนจัด ไม่รู้ว่าควรจะโวยวายหรือทำเป็นไม่ได้ยินดี เพราะหากพูดออกไป เขาก็คงจะกลั่นแกล้งเธอต่อแน่นอน
แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางปฏิเสธไม่ได้...คือหัวใจดวงน้อยของนางที่เผลอสั่นไหวกับความอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดที่เหมือนหยอกล้อ ระหว่างที่ทิวทัศน์ข้างทางเปลี่ยนผัน ม้าค่อย ๆ เดินนำไปสู่เมืองถัดไป ทว่าระยะห่างระหว่างคนสองคน...กลับดูเหมือนจะน้อยลงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
…
……
กว่าท้องฟ้าจะกลายเป็นม่วงหม่น พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงเกือบจะพาดยอดเขาด้านหลัง เมืองจี้ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ด่านประตูเมืองเริ่มปิดลงช้า ๆ แต่อย่างน้อยขบวนเล็กที่มีเพียงบุรุษหนึ่ง หญิงสาวหนึ่ง กับม้าพันธุ์ดีหนึ่งตัวยังทันยามสุดท้ายของการเข้าเมือง...แม้จะเข้าสภาพไม่ค่อยสง่างามเท่าไร "โอ๊ย...ก้นข้า...ก้นข้าช้ำหมดแล้ว" เสียงพึมพำอย่างหมดแรงของหญิงสาวตัวน้อยดังขึ้นทันทีที่ม้าหยุดลงตรงหน้าโรงเตี๊ยมใหญ่ใจกลางเมือง สตรีนามหลินหยาถอนหายใจเฮือกแล้วเอนตัวโอดครวญพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ทั้งปวด ทั้งเหนื่อย แถมยังขี้หงุดหงิดกับความเงียบของคนด้านหลังที่เอาแต่พยุงนางโดยไม่พูดอะไรหรือชอบแตะนิดแตะหน่อยจนรู้สึกว่าโดนลวนลามตลอดเวลา
"เดินทางด่วนเสียจนข้ารู้สึกว่าข้าจะกลายเป็นแผ่นแป้งบนหลังม้าอยู่แล้ว..." นางก้มหน้าก้มตาลูบสะโพกตัวเองเบา ๆ สีหน้าเหมือนแมวโดนจับบิดหาง ผมยาวสยายจากการขี่ม้าไม่หยุดนั่นกระเซิงเล็กน้อยแต่ก็ยังคงความงามละมุนอย่างเป็นธรรมชาติ
ตอนแรกคิดว่าจะบ่นเรื่องม้าแต่ทว่าดวงตานี่สิ...แสดงความหมั่นไส้ออกมาเต็มที่ตอนเห้นบางอย่าง เพราะโรงเตี๊ยมเบื้องหน้าที่จางกงกงเลือก...เป็นโรงเตี๊ยมระดับดีเยี่ยมเกินไปจนนางอยากกรอกตา หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ หัวเสาแกะสลักทองคำ หน้าประตูมีเด็กหนุ่มชุดงิ้วเล่นซอจีนคลอเบา ๆ มีสาวงามเดินเรียงรอรับแขก หน้าประตูยังมีรถม้าเทียบจอดอยู่ถึงสามคัน ที่สำคัญ ป้ายไม้ทองคำระบุว่าเป็นที่พักประจำขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่เดินทางผ่าน
หลินหยาถึงกับเบ้หน้า "ท่านเลือกแต่ที่พักแบบนี้สินะ...อืมม เจริญดีแท้ ๆ" นางพึมพำในลำคอ
จางกงกงปรายตามองนางจากด้านข้างพลางโคลงศีรษะเล็กน้อย มือประคองร่างบางนั้นอย่างสุภาพตีเนียนจับนางอย่างถือวิสาสะ “หากข้าเลือกโรงเตี๊ยมชั้นล่าง เจ้าก็คงจะโวยวายว่าข้าให้เจ้านอนบนพื้นไม้หนาว ๆ ไม่ใช่หรือ?”
“โธ่…ท่าน…อย่างน้อยนะ...อย่างน้อยก็น่าจะเลือกระดับปานกลางบ้างก็ได้!” หลินหยาเถียงขึ้นเสียงสูง แม้จะรู้ดีว่าเสียงตนเองกำลังงี่เง่า “ข้ามีเงิน เหตุใดต้องทนลำบาก?” จางกงกงกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ...แต่ในดวงตามีน้ำเสียงเย้าลึกซ่อนอยู่
หลินหยาถลึงตาใส่เขาตอนได้ยิน “โอ้ ข้ามีเงิน~ ข้ามีเงิน~” นางล้อเลียนคำพูดของเขาพลางเดินกระเผลกเข้าประตูโรงเตี๊ยมอย่างหงุดหงิด ดวงหน้าแดงจากความเหนื่อยรวมกับความประหม่าเพราะนางกำลังจะเดินเข้าหอพักระดับสูงร่วมกับบุรุษผู้เป็นถึงจงฉางชื่อ...ที่เพิ่งนั่งแนบชิดนางบนหลังม้ามาตลอดทั้งวัน
แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าถึงบันไดขั้นแรกขึ้นประตูโรงเตี๊ยม เสียงของจางกงกงก็ดังขึ้นตามหลัง พร้อมสายตาที่กดต่ำมองสะโพกเธอราวกับตั้งใจกลั่นแกล้ง "อย่าเดินตัวแข็งอย่างนั้นสิ...เดี๋ยวคนเขาจะคิดว่าเราทำอะไรกันมาก่อนจะถึงโรงเตี๊ยมนะ"
"ท่าน—!!!" หลินหยาชะงักฝีเท้า แทบหันไปโยนปิ่นใส่หน้าเขา ใบหน้างามแดงระเรื่อทันที นางรีบหันกลับควบคุมสติ เดินตัวตรงตึงเข้าไปอย่างเคือง ๆ แม้ปากจะบ่นไม่หยุดในลำคอว่า "ตาคนจิตวิปลาส...ชอบพูดจาให้คนหน้าไหม้..."
เมื่อมาถึงหน้าโต๊ะรับแขก หลินหยาพยายามจะเข้าไปจองห้องแยก แต่กลับโดนเจ้าหน้าที่โค้งคำนับพร้อมกล่าวทันทีแบบกลัว ๆ ว่า “ห้องพักชั้นบนสุดที่ถูกจองล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วขอรับ ‘ใต้เท้าห่าวหมิง’ ขอเรียนเชิญขึ้นข้างบนได้เลยขอรับ”
"ท่านจองล่วงหน้าเลยเรอะ!" หลินหยาหันขวับมองเขาอย่างเหลืออด
จางกงกงยักไหล่เบา ๆ ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากเดินนำขึ้นไปทางบันไดไม้หอม ปล่อยให้นางเดินกระฟัดกระเฟียดตามหลังอย่างหมดหนทาง ขณะนั้นเองที่แสงไฟในโถงโรงเตี๊ยมเริ่มส่องวาบทาบแผ่นหลังเขา ทำให้เงาของเขาทาบทอดลงกับผนัง และหลินหยามองมันอยู่นาน ราวกับรู้ดีว่าเบื้องหลังคนที่ดูสูงศักดิ์ผู้นี้ มีอะไรอีกมากมายซุกซ่อนไว้ในความเงียบงันของแสงตะเกียง
จางกงกงก้าวขึ้นบันไดไม้อย่างมั่นคง เสียงรองเท้าหนังขลับกระทบไม้หอมดังเป็นจังหวะดั่งเคาะประตูหัวใจนาง ทว่ายังไม่ทันจะก้าวพ้นขั้นที่สาม หลินหยาผู้เดินตามมาติด ๆ ก็เบรกตัวเอี๊ยดพร้อมกับยกสองมือขึ้นระดับอก กระพุ่มนิ้วเข้าหากันพลางเอียงศีรษะเล็กน้อย ทำท่า พระปางห้ามญาติ อย่างน่าหมั่นไส้เต็มที่ “ช้าก่อนเจ้าค่ะ! ท่านชายห่าวหมิงผู้องอาจและมั่งคั่ง ข้าขอถวายคารวะในน้ำใจของท่าน...ที่จองห้องชั้นบนสุดล่วงหน้าราวกับมีญาณทิพย์รู้ว่าจะมีสาวงามร่วมทางมาด้วย ทว่านับแต่ข้านั่งม้าร่วมหลังกับท่านทั้งวัน กระดูกข้าแทบหลุด ข้าจึงขออนุญาตจ่ายเงินเอง เช่าห้องเอง และหลีกเลี่ยงการต้องนอนห้องเดียวกับท่านอีกในคืนนี้เจ้าค่ะ!”
พูดจบยังไม่ทันหายใจเข้า นางก็ก้าวฉับหมายจะเช่าห้องตัวเองแทน แต่น้ำเสียงราบเรียบเย็นเยียบที่แสนจะคุ้นเคยของคนด้านหลังกลับดังขึ้นเสียก่อน...เย็นเสียยิ่งกว่าน้ำในอ่างหยินหยาง “เช่นนั้น หากข้าจะบอกว่าห้องที่นี่เต็มหมดแล้วล่ะ? หากมันไม่เต็มข้าก็จองเหมาห้องพักทั้งหมดแล้ว”
“หือ?” หลินหยาหันขวับเหมือนกับไม่เชื่อคำพูดของอีกคน เขาพูดเล่นหรือเปล่า
จางกงกงยืนยิ้มละไมอย่างเยือกเย็นเหมือนประตูกรมโยธาและกรมการคลังช่วงยามฤดูหนาวที่สูบเงินคน มือไขว้หลัง สายตากดต่ำลงมองนางแล้วโน้มหน้าลงเล็กน้อย เอียงคอเล็กน้อยในมุมที่แสนน่าหมั่นไส้ที่ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือเล่น “ห้องทุกห้องที่ว่างนั้นเป็นของข้า ห้องเดียว ห้องคู่ ห้องใหญ่ ห้องรอง ห้องแม่บ้าน ข้าจองหมด...เว้นแต่ว่าเจ้าจะอยากนอนกับเหล่าสาวรับใช้ชั้นล่าง หรือไม่ก็แอบปีนไปนอนบนดาดฟ้าโรงเตี๊ยม…”
“...”
“หรือหากอยากนอนในห้องครัว ก็อาจลองไปขอความเมตตาจากพ่อครัวดูเผื่อเขาจะใจดีปล่อยให้เจ้าซุกในถังแป้ง...”
“ท่าน…!!” หลินหยาแทบจะลุกไปเอาขลุ่ยข้างตัวฟาดกบาลคนตรงหน้า แต่กลับกัดฟันแน่นแทน หน้าแดงจัดเพราะรู้ว่าต่อให้แหกปากแค่ไหน นางก็สู้เส้นสายและเงินของเขาไม่ได้สักทาง “ข้ารู้นะ...ว่าท่านมันคนเอาแต่ใจชอบเอาชนะ แต่ก็ไม่นึกว่าจะชอบเอาชนะขนาดนี้” นางบ่นพึมพำ
“และเจ้าคิดว่าข้าจะให้้เจ้าไปนอนห้องว่างเหล่านั้นหรือ? ไม่ เสี่ยวหยา เจ้าก็เลือกจะร่วมเดินทางกับข้าด้วยตัวเอง...แม่นางเสี่ยวหยา เจ้าบอกข้าเองนะ เมื่อคืนนี้?” เขาตอกกลับมาอย่างไม่ให้เสียฟอร์ม แถมกระซิบคำสุดท้ายใกล้หูอย่างจงใจลากเสียงจนขนอ่อนชูชันราวกับจะตอกย้ำว่า เจ้าพูดเองนะ? หลินหยาหลับตาแน่นแทบกัดลิ้นตัวเอง ไม่รู้จะสวดมนต์บทใดดีระหว่าง ‘โอมเพี้ยงให้นางตบปากไอ้นี่ได้’ กับ ‘ข้าจะไม่หวั่นไหวเพราะเขาหล่อ...ข้าจะไม่หวั่นไหวเพราะเขาหล่อ!’ แต่ถึงจะทำเป็นโวยวาย ตวัดหางตา จิกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า สุดท้ายก็ยังต้องเดินตัวลีบตามเขาขึ้นไปบนห้องอยู่ดี
พอเข้าห้องได้เท่านั้นนางก็แทบจะกระโจนใส่เตียงที่ปูด้วยผ้าแพรหอมจากแคว้นอื่น ฟูกนุ่มดั่งหมอนเมฆ ไฟในห้องอบอุ่นนวลละมุนแสง และเสียงหัวเราะแผ่วเบาของจางกงกงก็ดังขึ้นพลางปลดผ้าคลุมไหล่เดินไปยังโต๊ะชา “หลับให้สบายนะ แม่นางผู้ไม่อยากนอนกับข้า” เขาวางถ้วยชาลงดัง “กึก” อย่างจงใจ แล้วหันมาหรี่ตาอย่างรู้ทัน
“แต่ข้ารับรอง...คืนนี้เจ้าจะได้นอน...แน่ ๆ ละมั้ง?” แล้วเจ้าคนเจ้าเล่ห์ก็หมุนตัวเดินหายเข้าไปหลังฉากกั้นห้องเพื่อล้างตัวอาบน้ำ ทิ้งไว้เพียงหญิงสาวตัวน้อยที่นอนแผ่หราอยู่บนเตียงอย่างสิ้นสภาพ มือสองข้างยกขึ้นฟาดหมอนอย่างไม่อาจเก็บอารมณ์
ไอ้คนเจ้าเล่ห์ ไอ้คนร้ายกาจ ไอ้คนลามก ไอ้ทุนนิยมครองโรงเตี๊ยม ไอ้คนหลอกลวง! บอกมีภารกิจแต่เอาเวลามาทำอะไรแบบนี้ได้ยังไงวะ มันเอาเวลาไปจองตอนไหน! ไอ้….บ้า! แต่นางก็ตะโกนเพียงในใจ เพราะรู้ดีว่าหากพูดออกไปอีกฝ่าย...ได้ยินหมดทุกคำอยู่ดีแน่ ๆ








โพสต์ 2025-8-15 05:02:56

