องค์ชายหลิว เค่อซิน (刘 克昕) คือองค์ชายลำดับที่สองแห่งราชวงศ์ฮั่น พระโอรสแห่งจักรพรรดิฮั่นอู๋ตี้ และลู่กุ้ยเฟย สตรีผู้เป็นที่โปรดปรานในตำหนักวังหลัง
พระองค์ถือกำเนิดขึ้นหาใช่ในตำหนักวังหลวงเช่นเชื้อพระวงศ์องค์อื่นไม่ หากแต่ลืมพระเนตรขึ้นท่ามกลางฟ้าครึ้มบนเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินไปยังแดนห่างไกล วันนั้นพายุฝนกระหน่ำจนพื้นดินแฉะไปทั่ว เด็กชายผู้หนึ่งจึงถือกำเนิดในอ้อมแขนของลู่กุ้ยเฟย มารดาผู้ทนเจ็บครรภ์โดยไร้หมอหลวงอยู่ใกล้เคียง ด้วยเหตุแห่ง เวลา และ สถานที่ อันไม่เหมาะสม องค์จักรพรรดิทรงมีพระราชประสงค์ให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ มิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าองค์ชายเค่อซินหาได้ถือกำเนิดในตำหนักตงเฉินไม่ ดังนั้นจึงมีราชโองการแสร้งสร้างสำนึกใหม่ให้ผู้คนเชื่อว่าพระองค์ประสูติในวังหลวงเช่นองค์ชายทั่วไป แต่แท้จริงแล้วพระองค์คือสายฟ้าที่เกิดกลางพายุ คือลูกแห่งฟ้าและฝน มิได้ถูกเลี้ยงด้วยเสียงพิณของนางกำนัล หากแต่ถูกอุ้มผ่านแดนธุลีในเส้นทางคับขันตั้งแต่ยังมิทันลืมตาดูโลกดี
หลิว เค่อซินประสูติในวันที่ 17 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ปีจื้อ (子) ปีแห่งธาตุน้ำ เดือนมะเส็ง (巳) เดือนแห่งไฟหยาง ยามอู่ (11.00 – 13.00) เวลาแห่งดวงอาทิตย์จุดสูงสุดบนฟากฟ้า
วันแห่งการประสูติของพระองค์ตรงกับวันในปฏิทินสวรรค์ที่เรียกว่า “日德” (รื่อเต๋อ) หรือ “วันแห่งคุณธรรมสูงสุด” วันซึ่งกล่าวขานกันว่าผู้ใดถือกำเนิดในยามนี้ ย่อมเป็นผู้ที่ฟ้าเปิดทางให้เกิดมาเพื่อครอง มิใช่เพื่อเดินตาม พระองค์มีทั้งธาตุน้ำและไฟในชะตากำเนิด สองธาตุซึ่งขัดแย้งกันแต่กลับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวในร่างของเขา น้ำ ประทานปัญญาอันเยือกเย็นลึกซึ้ง ไฟ ประทานเปลวเพลิงแห่งความหาญกล้า เมื่อทั้งสองปะทะกันในร่างเดียว จึงก่อเป็นจิตใจอันแข็งแกร่ง ไหวระหว่างแสงและเงา
บ้างกล่าวว่าองค์ชายคือ เปลวเพลิงที่ไหลดั่งแม่น้ำ
บ้างกล่าวว่าองค์ชายคือ พายุที่เกิดจากหยินหยางปั่นป่วน
ตำรานักษัตรกล่าวว่า ผู้ที่เกิดในยามอู่ คือผู้ที่แม้แต่อำนาจฟ้ายังต้องเหลียวมองด้วยเกรงเกียรติ ผู้ถือกำเนิดในยามอาทิตย์ตั้งตรงย่อมได้รับขนานนามว่า “ผู้ถูกสวรรค์อุ้ม” ผู้ที่ถือชะตาฟ้าไว้ในมือ และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงมันด้วยตัวเอง
แม้จะถือกำเนิดใต้เงาแห่งวันคุณธรรม ทว่าการประสูติของ องค์ชายหลิว เค่อซิน กลับมิได้เรียกเสียงสวดพรจากสวรรค์หรือเสียงกู่ร้องแห่งมงคล หากแต่เป็นคลื่นกระเพื่อมอันแหลมคมของการเมืองชั้นใน การที่องค์จักรพรรดิฮั่นอู๋ตี้และลู่กุ้ยเฟย มิได้ประทับอยู่ที่ฉางอันในขณะพระองค์ถือกำเนิดนั้น เป็นสิ่งที่มิอาจเปิดเผยได้โดยง่าย เพราะในวังหลวงซึ่งทุกย่างเท้าและลมหายใจล้วนถูกจับตามอง แม้เพียงคำว่า “คลอดลูกนอกตำหนัก” ก็เพียงพอจะกลายเป็นเครื่องมือให้ศัตรูฝ่ายในนำไปใช้แทะเล็มอำนาจราชสำนัก ด้วยเหตุนี้จึงมีราชโองการพิเศษสั่งปิดบังสถานที่กำเนิดขององค์ชายผู้ยังไม่ทันมีชื่อ ใครที่ล่วงรู้ความจริงล้วนถูก ส่งกลับวังพร้อมคำเตือนอันเงียบงัน และก่อนแม้กระทั่งที่ทารกน้อยจะได้ส่งเสียงร้องครบสามคำ เขาก็ถูกยกขึ้นเกี้ยวปิดม่านโดยองครักษ์ลับ เดินทางฝ่าพายุฝนกลับฉางอันอย่างไร้เงาไร้เสียง
เมื่อถึงวังหลวงฉางอัน องค์ชายถูกนำเข้าสู่ตำหนักตงเฉินอย่างเงียบงัน ไม่มีพิธีต้อนรับ ไม่มีเสียงฉลองมงคล แม้แต่เสียงกลองแผ่วก็ไม่ดังขึ้นในวันนั้น องค์จักรพรรดิและพระสนมลู่กุ้ยเฟยยังมิได้ตามเสด็จกลับพร้อมกัน วังหลวงขณะนั้นเหลือเพียง เซียวจื่อไท่โฮ่ว มารดาของจักรพรรดิผู้เคยผ่านศึกแห่งตำหนักหลังมาหลายรัชสมัย และโอรสธิดาเพียงสามพระองค์ที่ประทับอยู่
ยามสายตาอันเย็นลึกของไท่โฮ่วทอดมองเด็กชายในอ้อมแขนขันทีที่ส่งมา นางเห็น แววตาเจ้าเล่ห์ที่ฉายแสงบางอย่างตั้งแต่ยังแบเบาะ ราวกับทารกน้อยกำลังหัวเราะล้อเลียนโชคชะตาที่พยายามพรากเขาจากอกมารดา สัญชาตญาณของผู้ที่เคยฝ่าคลื่นอำนาจมาก่อนบอกแก่ไท่โฮ่วว่า เด็กคนนี้มิใช่ลูกที่ฟ้าส่งมาให้เป็นแค่ตัวหมาก แต่เป็นหมากที่สามารถล้มกระดานได้เองในวันหนึ่ง ดังนั้น นางจึงรับเลี้ยงองค์ชายเค่อซินไว้ ณ ตำหนักเซวียนเต๋ออย่างเงียบเชียบ มิได้ประคบประหงมดั่งไข่ในหิน หากแต่เลี้ยงดูเขาด้วยสายตาที่คมชัดดุจเหยี่ยว พร้อมทั้งฝึกให้รู้จักยิ้มยั่วล้อศัตรู รู้จักปิดหูต่อเสียงซุบซิบ และรู้จักหัวเราะต่อหน้าความโหดร้ายของโลก
เมื่อเติบโตภายใต้สายตาของไท่โฮ่ว องค์ชายเค่อซินจึงมิใช่เจ้าชายเงียบขรึมดั่งเชื้อพระวงศ์ทั่วไป หากแต่เป็นเด็กชายที่ยิ้มกวนตั้งแต่หัดเดิน ชอบคว้าดาบไม้แทนของเล่น ใช้ปากปล่อยคำกวนแทนคำหวาน และเรียนรู้ตั้งแต่เล็กว่า ในวังนี้ ผู้ที่หัวเราะสุดท้ายเท่านั้นที่อยู่รอด
และแล้วสิ่งประหลาดก็บังเกิด เด็กชายที่ควรยังหัดเดินเตาะแตะกลับคว้ากระบี่ไม้ได้แน่นราวกับเด็กห้าขวบ เด็กที่ควรเอาแต่ร้องไห้กลับมักนั่งยอง ๆ จ้องกระบี่ฝึกที่ฝาผนังตำหนักเซวียนเต๋อด้วยแววตาเป็นประกาย ไม่ใช่ประกายไร้เดียงสา แต่เป็นประกายของผู้ที่ดูเหมือนกำลังคิดหาวิธีใช้มันฟันใครสักคนเสียแล้ว องค์ชายเค่อซินเติบโตเร็ว…เร็วผิดธรรมชาติยิ่งกว่าพี่ชายและพี่สาวของพระองค์ รูปร่างสูงเกินวัย ดวงตาคมราวกับอ่านใจคนได้ และรอยยิ้มเอียงนิด ๆ ที่แฝงความเจ้าเล่ห์ ทำให้คนที่มองรู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา
ใบหน้าขององค์ชายเค่อซิน เหมือนจักรพรรดิฮั่นอู๋ตี้เก้าในสิบส่วน ดุดัน คมคาย มีราศีแห่งผู้ครอง แต่กลับมี เพียงหนึ่งส่วนที่เหมือนมารดา ลู่กุ้ยเฟย เสี้ยวรอยยิ้มละมุนบาง ๆ ที่โผล่มาเฉพาะเวลาที่เขาหัวเราะกวน หรือแกล้งยั่วคนให้โมโห ดั่งฉายาเทพธิดาจำแลงของพระสนม ความผสมผสานนี้ทำให้เขาดูทั้งหล่อเหลาคมคายและมีเสน่ห์ยั่วเย้าอย่างประหลาด
แม้จะเติบโตท่ามกลางเงาอำนาจและถูกโยนเข้ามาในวังกลางพายุ เค่อซินกลับมิได้มีความเงียบขรึมดั่งเชื้อพระวงศ์อื่น เขาไม่ใช่เด็กเรียบร้อย หากแต่เป็นเด็กชายที่หัวเราะเสียงดังในที่ที่ไม่ควรหัวเราะ เป็นเด็กที่กวนจนคนใหญ่คนโตอยากจะหยิบพัดฟาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะแววตาของเขาคมเกินเด็กปกติ ในสายตาของ เซียวจื่อไท่โฮ่ว พระมเหสีผู้เคยผ่านศึกแห่งตำหนักหลังมาหลายรัชสมัย เด็กคนนี้หาใช่เพียงเงาสะท้อนของความลับทางการเมืองหรือเครื่องมือรักษาเสถียรภาพไม่ หากแต่เป็น… "เงาของลูกชายที่นางเคยอุ้มไว้ในคืนแรกหลังคลอด" เค่อซินมีเค้าโครงของฮ่องเต้อู๋ตี้แทบทุกกระเบียดนิ้ว ดวงตาดำเข้มคมราวเส้นพู่กัน รอยยิ้มที่กวนจนคนอื่นเดือด และท่าทีที่ดูเหมือนไม่แคร์สิ่งใดในโลก
เขาคือ “เลือดเนื้อของสายบัลลังก์” ที่ยังไม่ถูกโลกทำให้หมอง แต่กลับแฝงไว้ด้วยไฟเสเพลที่พร้อมจะเผาใครก็ตามที่คิดจะเล่นกับเขา
เพราะเหตุนี้เอง เซียวจื่อไท่โฮ่ว จึงมีความเอ็นดูต่อหลานชายองค์นี้มากเป็นพิเศษ ถึงจะมองออกว่าเด็กคนนี้จะโตมาไม่เหมือนใครในราชสำนัก แต่ในใจนางกลับอดยิ้มไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นเขาจับกระบี่ไม้หมุนเล่น หรือหัวเราะกวนอวัยวะเบื้องล่างใส่ขันทีที่มองเขาด้วยสายตาตำหนิ…องค์ชายหลิว เค่อซิน ในวัยเยาว์จึงทั้งดื้อ ทั้งกวน ทั้งแสบ แต่ก็คมกว่ามีดเล่มไหนในวังหลวง
เซียวจื่อไท่โฮ่วรู้ดี...ว่าหลานชายผู้นี้ หาใช่กระบี่ธรรมดาไม่ แต่เป็นกระบี่คมที่ยังไม่ต้องลับก็เฉือนเนื้อคนได้เป็นชิ้น ๆ หากไม่หุ้มไว้ในฝักให้แน่นหนาเสียแต่เด็ก มันอาจฟาดแม้กระทั่งมือของผู้ที่ตีขึ้นมาเอง ดังนั้น...เค่อซินจึงถูกเลี้ยงให้นิ่ง ให้ดูสุขุม ให้เหมือนเด็กวังผู้เพียบพร้อมทั้งมารยาทและความรู้ แต่เบื้องหลังใบหน้านั้นมีเพลิงก้อนใหญ่แอบซ่อนอยู่เสมอ และเปลวเพลิงก็ไม่เคยอยู่ให้ใครควบคุม เขาเป็นเพลิงที่พร้อมแสบท้องใส่ใครก็ตามที่คิดมาหักหน้าหรือปรามาสเขาอย่างไม่ให้เกียรติ
การที่เค่อซินถือกำเนิดท่ามกลางฝนฟ้าคะนองวันนั้น ก็ราวกับเป็นสัญญาณจากสวรรค์เสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพียงเสียงฟ้าร้องที่ปลุกให้ทารกร้องไห้ในคราแรก แต่ราวกับฟ้าเองก็รู้ว่า...“อะไรบางอย่าง” กำลังถือกำเนิดขึ้น เด็กชายที่ไม่ควรยืนได้ กลับลุกขึ้นจับกระบี่ไม้แน่นตั้งแต่ยังไม่ทันพูด ไม่ใช่เพื่อเล่น แต่เหมือนกับว่ากระดูกในร่างกายมัน “จำท่วงท่ากระบี่” ได้ตั้งแต่ชาติปางก่อน
ยามที่เด็กทั่วไปยังนั่งคัดอักษรผิด ๆ ถูก ๆ เค่อซินกลับใช้นิ้วเขียนบทกวีลงในทรายเล่น ๆ พูดจาคล้องจองตั้งแต่ยังไม่ทันห้าวัน แววตานิ่งเย็นคมเหมือนปลายกระบี่ ทำเอานางกำนัลหลายคนที่เคยหัวเราะเยาะ “องค์ชายตัวกะเปี๊ยก” ถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อเขามองกลับเพราะมันเป็น “สายตาที่ผู้ใหญ่ใช้ในการล่าเหยื่อ” ไม่ใช่สายตาของเด็กในวัยเรียนรู้ และความผิดธรรมชาตินั้น ก็ไม่เคยอยู่รอดได้นานในวังหลวง
เหล่าพระสนมในวังที่ต่างก็เฝ้ารอจังหวะผลักทายาทของตนให้ขึ้นแท่นทายาทบัลลังก์ทอง ย่อมเห็นเค่อซินประหลาดตาสายตาเหมือนดั่งจักรพรรดิไม่มีผิดเพี้ยน และนิสัยยียวนจนลึกเข้าไส้ เป็นภัยลับยิ่งกว่าเป็นสายเลือดขององค์เหนือหัว บางนางถึงขั้นลอบจ้างหมอดูจากแดนไกล ปลอมเข้าวังในคราบพ่อครัวหรือแม้แต่ผู้รับใช้ เพื่อให้ดูดวงของเค่อซินในยามราตรีอย่างลับ ๆ
แต่คำทำนายของพวกมัน...ไม่ว่าจะกี่รายต่อกี่ราย กลับเหมือนกันเสียจนขนลุก
"จุดตะวันในกายนี้ ไม่อาจดับได้แม้ด้วยฝนพันปี"
"เด็กคนนี้...จะเป็นได้ทั้งผู้กุมกระบี่ และผู้ปักกระบี่ลงกลางใจผู้เป็นนาย"
"อย่าคิดควบคุม เพราะเขาคือคนที่เกิดมาเพื่อควบคุมผู้อื่นเท่านั้น"
องค์ชายเค่อซิน...คือพายุในร่างเจ้าสำราญ ที่หัวเราะเบา ๆ ขณะคิดวิธีตลบหลังผู้มีอำนาจ แล้วหมุนกระบี่ไม้ในมือราวกับกำลังเล่นของเล่น ทั้งที่คนอื่นเห็นว่า...นั่นอาจเป็นกระบี่สุดท้ายที่ใครบางคนจะได้เห็นก่อนตาย
องค์ชายเค่อซินหาใช่ภาพของยอดขุนศึกเยือกเย็น หรือบัณฑิตผู้เข้มงวดดุจหินผาไม่...แม้จะมีแววตาคมกริบที่พร้อมวิเคราะห์เกมการเมืองได้เพียงในชั่วลมหายใจ หากใครได้ใช้เวลาอยู่กับเขาจริง ๆ แล้วกลับจะพบว่าชายผู้นี้เต็มไปด้วย “ความขี้เล่น” และ “อารมณ์เจ้าสำราญ” เสียจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมของคำว่าหวั่นเกรง
เสียงกระทบกันเบา ๆ ของเปลือกเมล็ดแตงโมคั่ว และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเมล็ดทานตะวันคั่วเกลือมักจะลอยฟุ้งอยู่รอบกายองค์ชายเสมอ ราวกับกลายเป็นกลิ่นประจำตัวอย่างหนึ่ง และหากมองใต้แขนเสื้อ หรือซอกผ้าคลุมบาง ๆ นั้นให้ดี ก็จะพบห่อย่อย ๆ ที่บรรจุของกินเล่นจำนวนหนึ่งที่ห่อด้วยผ้าลวดลายประหลาดซึ่งเขาชอบพกติดตัวไว้ไม่ให้ใครรู้ เช่นเมล็ดฟักทองอบแห้ง ขนมงาผสมดอกเก๊กฮวยอบ หรือแม้แต่เนื้อปลาตากแห้งที่หั่นไว้คำเล็ก ๆ องค์ชายมักจะโยนของพวกนี้เข้าปากอย่างแนบเนียนยามสนทนา และบางครั้งก็เคี้ยวอยู่ในขณะที่ยังพูดไปด้วย ทำเอาบางขุนนางที่จริงจังนักในราชสำนักถึงกับขุ่นเคือง ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากตำหนิ เพราะชายคนนี้ต่อให้เคี้ยวเมล็ดแตงโมอยู่ก็ตาม ก็ยังสามารถโต้กลับคำพูดของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเฉียบขาดจนอีกฝ่ายหน้าชาวาบได้อยู่ดี
แท้จริงแล้ว นิสัยติดของกินเหล่านี้หาใช่เพราะความโลภในรสชาติ หากแต่มีที่มาที่เงียบงันกว่า...
กล่าวกันว่าในวัยเด็ก เค่อซินเคยติด “ยาเส้น” อย่างร้ายแรง ช่วงที่ยังไม่เข้าใจอะไรดีนักเขาเคยลอบเสพจากกลุ่มองครักษ์ที่หลงใหลในของต้องห้ามบางอย่าง ยิ่งถูกห้าม ยิ่งใกล้ เขาก็ยิ่งดึงมาไว้ในปาก พ่นกลิ่นเผ็ดขมของมันออกมาในยามเงียบ แม้ว่ามันจะไม่ได้รับความนิยมก็ตามในต้าฮั่น
เซียวจื่อไท่โฮ่วรู้เข้า...มิได้เฆี่ยนตี มิได้ลงโทษ หากแต่ใช้วิธีประหลาดนัก สั่งให้คนของตำหนักเสวียนเต๋อจัดหาของว่างกรุบกรอบทุกชนิดมาวางไว้ทุกมุมห้อง และทุกครั้งที่เค่อซินจะเอื้อมไปหายาเส้น ก็จะพบว่ามีของอะไรบางอย่างที่กินง่าย เคี้ยวเล่นได้ วางรอเขาอยู่เสมอ จนสุดท้าย เขาก็ “แทนที่ความเคยชินเก่าด้วยความเคยชินใหม่” และนั่นคือเหตุผลที่ปัจจุบันเขาจึงไม่อาจทนอยู่เฉยได้หากไม่มีอะไรในมือไว้เคี้ยว
บางครั้งระหว่างประชุมราชการสำคัญ เขายังลอบป้อนเมล็ดแตงโมให้ขันทีข้างกาย บางครั้งก็คายเปลือกเมล็ดออกลงชามเบา ๆ พลางยิ้มกวนนิด ๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำเอาทั้งขุนนางและขันทีที่ไม่รู้เบื้องหลังอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า “องค์ชายเค่อซินนี่มีหัวใจเป็นเด็กหรือเปล่า?” แต่ใครที่เคยลองเปิดศึกด้วยแล้ว...ก็จะรู้ทันทีว่าเด็กคนนี้อาจจะเคี้ยวเมล็ดทานตะวันในมือ แต่กลับเคี้ยวสมองของศัตรูได้ไม่แพ้กัน