ดู: 40|ตอบกลับ: 4

หลิว เค่อซิน│Liú Kèxīn│刘 克昕

[คัดลอกลิงก์]

1

กระทู้

21

ตอบกลับ

1059

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
919
ตำลึงทอง
54
ตำลึงเงิน
367
เหรียญอู่จู
9440
STR
0+5
INT
0+0
LUK
0+0
POW
0+5
CHA
0+0
VIT
0+2
คุณธรรม
123
ความชั่ว
0
ความโหด
113
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Kexin เมื่อ 2025-8-18 20:55

หลิว เค่อซิน Liú Kèxīn 刘 克昕
ชื่อสกุล: หลิว Liú
ชื่อทางการ :: เค่อซิน Kèxīn 克昕
ชื่อรอง :: ―

วันเกิด: วันที่ 17 เดือน 7 ปีจื้อ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 เวลาเกิด: ยามอู่ (11.00 – 13.00 น.)
เชื้อชาติ: ชาวฮั่น
สถานที่เกิด: (แม่คลอดผมที่ไหน 555)
ปณิธาน/อุดมการณ์:

老子高兴,就是道理。
ข้าสบายใจ นั่นแหละคือเหตุผล

做人要狂,死也要嚣张。
ใช้ชีวิตขอกร่าง! ถึงตายก็ตายแบบโคตรเท่


说我浪子?那是你不懂风流。

หาว่าข้าเจ้าชู้?นั่นเพราะเจ้ายังไม่เข้าใจคำว่า "เสน่ห์"


ศาสนา: ม่อจื่อ

งานอดิเรกขัดกระบี่หรือลับดาบหาเงินกินเหล้าเคล้านารีเฝ้าสังเกตคนเขียนพู่กันด่าคนเล่นพนัน “แทงอะไรไร้สาระ”สะสมผ้าเช็ดหน้า/ปิ่นปักผมของสาว ๆ


สิ่งที่ชอบ

สตรีกลิ่นโลหะเปียกน้ำเสียงและกลิ่นฝนเมล็ดแตงโมหรือทานตะวันคั่วร้อน ๆกระบี่ที่มีประวัติเสียงหัวเราะของตัวเองเงินอิสระเหล้าของมีคมทุกชนิด



สิ่งที่ไม่ชอบ

พวกที่เชื่อว่า ‘ศีลธรรม’ เหนือ ‘ชีวิต’การถูกกำหนดว่า ‘ต้องทำ’เรื่องเล่าที่ไม่มีรสชาติสตรีที่ร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสงสารโดยไม่รู้จักสู้คนที่ทำตัวดีเฉพาะต่อหน้าเจ้านายการถูก “คาดหวังให้เป็นแบบที่เขาไม่อยากเป็น”


เพิ่มเติม
สิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข: เวลาที่ตนเองสามารถฟาดศัตรูได้ในหนึ่งกระบวนท่าการได้รับความเงียบที่แท้จริงการได้เห็นใครบางคนสู้เพื่อตนเองจริง ๆ โดยไม่ใช่หน้ากากการได้อยู่ใกล้ธรรมชาติเช่นน้ำตก ไฟป่า พายุฝน

ความกลัวความผูกพันที่ลึกเกินไปการเสียอิสรภาพความเงียบตัวเองตอนจริงจังคำว่า “คงอยู่ตลอดไป”

ข้อบกพร่องร้ายแรงปล่อยวางไม่เป็นไว้ใจใครไม่เป็นหลุดทีคือพังยับปากเสียโดยไม่ตั้งใจอยากให้คนรักในแบบที่เป็น...แต่ไม่ยอมถอดหน้ากาก

โรคประจำตัว

Oral Fixation (การยึดติดทางปาก) - เป็นภาวะทางจิตที่เกี่ยวกับการ “ต้องมีอะไรในปาก” เสมอ เพื่อระบายความเครียด ความหงุดหงิด หรือเพื่อให้รู้สึกควบคุมตัวเองได้



ร้อนแรง แข็งแกร่ง แผดเผา

บุคลิกภาพ


องค์ชายหลิว เค่อซิน พระโอรสองค์ที่สามแห่งจักรพรรดิฮั่นอู๋ตี้ บุรุษผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคายราวกับสวรรค์บรรจงปั้น ดวงตาคมแฝงรอยยิ้มกวนเล็ก ๆ ราวกับกำลังหัวเราะกับเรื่องที่คนทั้งโลกไม่เข้าใจ ภายนอกดูเป็นชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย หัวเราะง่าย ไม่เคยจริงจังกับสิ่งใดนอกจากเหล้าและสตรีงามแห่งหอนางโลม เขาคือ องค์ชายเจ้าสำราญ ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วฉางอันในฐานะองค์ชายผู้โปรยเงินดั่งโปรยฝน


เขาชอบหาเงินมากพอ ๆ กับที่ชอบใช้เงิน แต่หาเงินในวิธีที่ไม่เหมือนผู้ใด เค่อซินไม่เคยพึ่งฐานะโอรสจักรพรรดิ เขาหาเงินด้วยเล่ห์ด้วยกล บางครั้งปลอมตัวไปเล่นพนัน บางครั้งร่วมมือกับพ่อค้าโกงตลาด บางคราวใช้คำพูดล่อให้คนลงทุนแล้วหักหัวคิวอย่างแนบเนียน ทุกเหรียญที่ได้มาคือความภูมิใจส่วนตัว ก่อนจะโยนมันไปซื้อเหล้า ซื้อเสียงหัวเราะ หรือซื้อตักตวงความสุขชั่วคืนจากสาวงามในหอนางโลม


เค่อซินทำตัวเหมือนคนไม่คิดอะไร ไม่สนการเมือง ไม่สนกฎ ไม่สนพิธีในวังหลวง เขาเอาแต่หัวเราะ พูดจาปากปีจอไม่รับประทาน และทำตัวกวนประสาทคนรอบข้าง บางทีถึงขั้นพูดแทงใจคนอื่นแบบหน้าตายจนคนฟังแทบสำลัก แต่ความจริงแล้ว ทุกคำพูด ทุกการกระทำของเขา ล้วนมีน้ำหนักและแฝงไปด้วยแผนการ เขาคือหมากลวงที่เดินอย่างไร้ค่าในสายตาคนอื่น แต่แท้จริงกลับเป็นตัวหมากที่สามารถล้มกระดานได้ในพริบตา


เขาเป็นคนเจ้าชู้ ไม่ใช่เจ้าชู้เพราะรักสตรีทุกนาง แต่เจ้าชู้เพราะสนุกกับการเล่นกับหัวใจคน เค่อซินรู้วิธีพูดคำหวานในเวลาที่ทำให้คนละลาย รู้วิธีหายตัวในเวลาที่ทำให้คนคิดถึง และรู้วิธีทำให้ใครต่อใครติดกับเสน่ห์เขาโดยที่เขาไม่ต้องพยายามมากนัก แต่ภายใต้รอยยิ้มสบาย ๆ นั้นมีความร้ายลึกอยู่เสมอ เค่อซินมองการเมืองในวังออกทะลุปรุโปร่ง รู้ว่าใครคิดอะไร แต่เลือกทำตัวโง่ ทำตัวไม่รู้ เพื่อให้ศัตรูประมาทแล้วปล่อยให้พวกนั้นตกลงไปในกับดักที่เขาขุดไว้ด้วยมือที่เปื้อนเหล้า


เขารักอิสระเหนือสิ่งใด เกลียดการถูกควบคุม เกลียดพิธีการ เกลียดคนเสแสร้ง เพราะสำหรับเค่อซินแล้ว “โลกนี้มีไว้ให้หัวเราะและเอาชนะ” ไม่ใช่ให้ทำตัวเป็นหุ่นเชิดของใคร


องค์ชายหลิว เค่อซิน พระโอรสองค์ที่สามในจักรพรรดิฮั่นอู๋ตี้ นามของเขาเปรียบดั่งแสงอรุณผู้พิชิตฟ้า หากแต่เจ้าของนามหาได้ดำเนินชีวิตเส้นตรงดุจวีรบุรุษในตำนานไม่ เพราะในความเป็นจริง องค์ชายผู้นี้กลับใช้ชีวิตอย่างที่หัวใจเรียกร้อง เจ้าสำราญ เฮฮา และเสเพลอย่างที่ใครก็ห้ามไม่ได้ ตั้งแต่เยาว์วัยเขาไม่เคยหลงใหลในความเคร่งครัดของวังหลวง ไม่เคยชอบเสียงตำราหรือพิธีการอันยืดยาว สิ่งที่ทำให้เขาหัวเราะได้มีเพียงเสียงเหรียญทองกระทบกันในถุงเงิน กลิ่นเหล้าหอมจากโรงสุรา และรอยยิ้มยั่วยวนของสาวงามตามหอนางโลม ความสำราญคืออากาศที่เขาหายใจ การเสี่ยงคือความสุขที่ทำให้เขามีชีวิต


แต่ใครที่เห็นเขาเพียงเป็นเจ้าชายขี้เกียจล่องลอย ก็ล้วนประเมินเขาผิดอย่างร้ายแรง เค่อซินมีสติปัญญาเฉียบคมยิ่งกว่าหลายผู้ในราชสำนัก เขามองเห็นเกมการเมืองราวกับบอร์ดหมาก กลับเลือกทำตัวเหมือนไม่รู้ เพราะความประมาทของคนอื่นคือเกราะชั้นดีสำหรับเขา เบื้องหลังรอยยิ้มขี้เล่นและคำพูดกวนประสาทที่ทำให้คนทั้งรักทั้งหมั่นไส้ เขาแอบวางหมากที่ไม่มีใครทันมองเห็น


ทว่าเค่อซินไม่ได้ชอบอ่านตำรา ไม่ได้หลงใหลตัวอักษรในคัมภีร์ หรือสนใจปรัชญาสูงส่งอะไรทั้งนั้น สำหรับเขา หนังสือเป็นของน่าเบื่อ แต่เพราะหัวไวเกินคนอื่น ตำราที่คนอื่นอ่านกันสองชั่วยาม เขากวาดตาไปแค่ครึ่งชั่วยามก็จำได้หมด เขาอ่านไม่ใช่เพราะชอบ แต่เพราะอยากจบ ๆ ไป จะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มันสนุกกว่า


เขามีฝีมือกระบี่ที่หาตัวจับยาก แม้จะไม่เคยฝึกตามครูตามตำราด้วยความเคร่งครัด แต่ทุกครั้งที่ชักกระบี่ออกมา การเคลื่อนไหวของเขากลับลื่นไหลราวกับสายลมและเด็ดขาดดุจสายฟ้า ความรู้สึกของเขากับกระบี่เชื่อมถึงกันดั่งจิตวิญญาณเดียว ไม่มีท่วงท่าซ้ำ ไม่มีแบบแผนที่ตายตัว มีเพียงความรู้สึกที่คมเฉียบที่พาเขาฟันศัตรูในพริบตา 


องค์ชายหลิว เค่อซิน เป็นบุรุษที่ผสานความสำราญกับอันตรายในตัวเดียวกัน บุคลิกของเขาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน อิสระ ไม่ยึดติด และคาดเดาไม่ได้ แต่แฝงไว้ด้วยความคมราวกับคมกระบี่ที่พร้อมเฉือนทุกสิ่งเมื่อถึงเวลา


เขาเป็นคนที่ หลงใหลในกระบี่ อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงมองมันเป็นอาวุธ หากแต่มองเป็นวิญญาณของตนเอง ทุกครั้งที่ชักกระบี่ ดวงตาของเขาจะเปลี่ยนไป จากความขี้เล่นกลายเป็นความจริงจังที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง และร้อนแรงราวไฟในเวลาเดียวกัน เค่อซินมีพรสวรรค์เหนือใครในวิถีกระบี่ ไม่จำเป็นต้องท่องจำกระบวนท่า เพราะสัญชาตญาณของเขาเฉียบขาดเกินกว่าจะต้องพึ่งตำรา การต่อสู้สำหรับเขาไม่ใช่พิธี แต่คือการเต้นรำระหว่างชีวิตและความตาย และเขาเต้นได้งดงามยิ่งกว่าผู้ใด


เค่อซินรักกระบี่มากกว่าผู้ใด และรักความสุขมากกว่ากฎของใคร เขาเจ้าชู้แบบไม่เลือกหน้า ไม่แคร์ว่าผู้ที่พัวพันกับเขาจะเป็นหญิงงามแห่งหอว่านหงเหริน หรือชายหนุ่มหน้าหวานที่เผลอหลงกลิ่นเหล้าและรอยยิ้มเขา หากหัวใจเรียกร้อง เขาเอื้อมคว้าโดยไม่ลังเล


เขาหัวเราะกับกฎศีลธรรม ไม่ยึดติดกับศีลธรรมจารีต เขาไม่สนใจว่าผู้คนจะมองอย่างไร เพราะเขาเลือกใช้ชีวิตตามใจตัวเอง ความรักและความใคร่สำหรับเขาไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเพศหรือสถานะ เขาหัวเราะกับคนที่พร่ำสอนเรื่องความถูกต้อง เพราะในสายตาเขา โลกมีไว้ให้เล่น ไม่ใช่ให้ก้มกราบ และผู้ที่เขาเคารพมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่เหลือคือหมากที่เขาจะเล่นตามใจ ดังนั้น ภาพขององค์ชายหลิว เค่อซินในสายตาผู้คนจึงแตกต่างกันไป


ในหอนางโลม เขาคือ เจ้าชายผู้โปรยทองแล้วยิ้มขี้เล่น

ในวงเหล้า เขาคือ เพื่อนที่กล้าสู้ กล้าด่า และกล้าตายไปพร้อมกัน

ในสายตาศัตรู เขาคือ เงาแห่งกระบี่ที่ไม่มีใครหลบพ้น


นิสัยของเขาจึงเต็มไปด้วย ความเจ้าเล่ห์แบบคนที่รู้จักโลกดีเกินไป เขาแสร้งทำตัวเรื่อยเปื่อย สำราญไปวัน ๆ แต่ทุกสายตาที่เขามอง ทุกคำที่เขาพูด ล้วนคมเหมือนดาบ บางครั้งพูดเล่น บางครั้งแทงใจจนคนโกรธไม่ลง เขาอาจดูเป็นชายหัวเราะง่าย ใช้ชีวิตไปวัน ๆ แต่ทุกคนที่เคยได้เห็นเขาจับกระบี่ ล้วนรู้เพียงว่า ภายใต้รอยยิ้มสำราญของชายคนนี้ มีเสือที่รอฉีกทุกสิ่งที่กล้าท้าทายเขาอยู่เงียบ ๆ เขาจึงเป็นคนที่เสน่ห์เหลือล้นทั้งจากฝีมือกระบี่ที่หาตัวจับยาก และจากเสน่ห์ร้ายลึกที่ไม่เลือกว่าคู่เต้นรำของเขาจะเป็นหญิงหรือชาย ตราบใดที่เขาสนใจ อีกฝ่ายก็หนีไม่พ้นเงากระบี่ในมือและรอยยิ้มที่มุมปากของเขา

ครอบครัว

พระบิดา - หลิวเช่อ ฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้
พระมารดา - ลู่ไป๋หรั่น
พระอัยยิกา - เซียวจื่อไท่โฮ่ว
พระเชษฐา - หลิว หรูเสวียน
พระเชษฐภคินีบุญธรรม - หลิว หรูเยี่ยน
พระเชษฐภคินี - หลิว หรูเหมย
พระปิตุจฉา - ผิงหยางกงจู่
พระปัยกา - หลิว อัน
พระปัยกา - หลิว อู่
พระปิตุลา - หลิว ชุ่น
พระปิตุลาสะใภ้ - เว่ยเจีย เหลียนฮวา
พระญาติ - หลิว หรงเล่อ
พระญาติ - หลิว หู่เหยา
แผดเผา แข็งแกร่ง ร้อนแรง

ประวัติ
จิ๊กโก๋ปากเสีย
แย่งกระบี่ เย้ยศัตรู เย้าสตรี

องค์ชายหลิว เค่อซิน (刘 克昕) คือองค์ชายลำดับที่สองแห่งราชวงศ์ฮั่น พระโอรสแห่งจักรพรรดิฮั่นอู๋ตี้ และลู่กุ้ยเฟย สตรีผู้เป็นที่โปรดปรานในตำหนักวังหลัง


พระองค์ถือกำเนิดขึ้นหาใช่ในตำหนักวังหลวงเช่นเชื้อพระวงศ์องค์อื่นไม่ หากแต่ลืมพระเนตรขึ้นท่ามกลางฟ้าครึ้มบนเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินไปยังแดนห่างไกล วันนั้นพายุฝนกระหน่ำจนพื้นดินแฉะไปทั่ว เด็กชายผู้หนึ่งจึงถือกำเนิดในอ้อมแขนของลู่กุ้ยเฟย มารดาผู้ทนเจ็บครรภ์โดยไร้หมอหลวงอยู่ใกล้เคียง ด้วยเหตุแห่ง เวลา และ สถานที่ อันไม่เหมาะสม องค์จักรพรรดิทรงมีพระราชประสงค์ให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ มิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าองค์ชายเค่อซินหาได้ถือกำเนิดในตำหนักตงเฉินไม่ ดังนั้นจึงมีราชโองการแสร้งสร้างสำนึกใหม่ให้ผู้คนเชื่อว่าพระองค์ประสูติในวังหลวงเช่นองค์ชายทั่วไป แต่แท้จริงแล้วพระองค์คือสายฟ้าที่เกิดกลางพายุ คือลูกแห่งฟ้าและฝน มิได้ถูกเลี้ยงด้วยเสียงพิณของนางกำนัล หากแต่ถูกอุ้มผ่านแดนธุลีในเส้นทางคับขันตั้งแต่ยังมิทันลืมตาดูโลกดี


หลิว เค่อซินประสูติในวันที่ 17 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ปีจื้อ () ปีแห่งธาตุน้ำ เดือนมะเส็ง () เดือนแห่งไฟหยาง ยามอู่ (11.00 – 13.00) เวลาแห่งดวงอาทิตย์จุดสูงสุดบนฟากฟ้า


วันแห่งการประสูติของพระองค์ตรงกับวันในปฏิทินสวรรค์ที่เรียกว่า 日德” (รื่อเต๋อ) หรือ “วันแห่งคุณธรรมสูงสุด” วันซึ่งกล่าวขานกันว่าผู้ใดถือกำเนิดในยามนี้ ย่อมเป็นผู้ที่ฟ้าเปิดทางให้เกิดมาเพื่อครอง มิใช่เพื่อเดินตาม พระองค์มีทั้งธาตุน้ำและไฟในชะตากำเนิด สองธาตุซึ่งขัดแย้งกันแต่กลับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวในร่างของเขา น้ำ ประทานปัญญาอันเยือกเย็นลึกซึ้ง ไฟ ประทานเปลวเพลิงแห่งความหาญกล้า เมื่อทั้งสองปะทะกันในร่างเดียว จึงก่อเป็นจิตใจอันแข็งแกร่ง ไหวระหว่างแสงและเงา


บ้างกล่าวว่าองค์ชายคือ เปลวเพลิงที่ไหลดั่งแม่น้ำ

บ้างกล่าวว่าองค์ชายคือ พายุที่เกิดจากหยินหยางปั่นป่วน


ตำรานักษัตรกล่าวว่า ผู้ที่เกิดในยามอู่ คือผู้ที่แม้แต่อำนาจฟ้ายังต้องเหลียวมองด้วยเกรงเกียรติ ผู้ถือกำเนิดในยามอาทิตย์ตั้งตรงย่อมได้รับขนานนามว่า “ผู้ถูกสวรรค์อุ้ม” ผู้ที่ถือชะตาฟ้าไว้ในมือ และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงมันด้วยตัวเอง


แม้จะถือกำเนิดใต้เงาแห่งวันคุณธรรม ทว่าการประสูติของ องค์ชายหลิว เค่อซิน กลับมิได้เรียกเสียงสวดพรจากสวรรค์หรือเสียงกู่ร้องแห่งมงคล หากแต่เป็นคลื่นกระเพื่อมอันแหลมคมของการเมืองชั้นใน การที่องค์จักรพรรดิฮั่นอู๋ตี้และลู่กุ้ยเฟย มิได้ประทับอยู่ที่ฉางอันในขณะพระองค์ถือกำเนิดนั้น เป็นสิ่งที่มิอาจเปิดเผยได้โดยง่าย เพราะในวังหลวงซึ่งทุกย่างเท้าและลมหายใจล้วนถูกจับตามอง แม้เพียงคำว่า “คลอดลูกนอกตำหนัก” ก็เพียงพอจะกลายเป็นเครื่องมือให้ศัตรูฝ่ายในนำไปใช้แทะเล็มอำนาจราชสำนัก ด้วยเหตุนี้จึงมีราชโองการพิเศษสั่งปิดบังสถานที่กำเนิดขององค์ชายผู้ยังไม่ทันมีชื่อ ใครที่ล่วงรู้ความจริงล้วนถูก ส่งกลับวังพร้อมคำเตือนอันเงียบงัน และก่อนแม้กระทั่งที่ทารกน้อยจะได้ส่งเสียงร้องครบสามคำ เขาก็ถูกยกขึ้นเกี้ยวปิดม่านโดยองครักษ์ลับ เดินทางฝ่าพายุฝนกลับฉางอันอย่างไร้เงาไร้เสียง


เมื่อถึงวังหลวงฉางอัน องค์ชายถูกนำเข้าสู่ตำหนักตงเฉินอย่างเงียบงัน ไม่มีพิธีต้อนรับ ไม่มีเสียงฉลองมงคล แม้แต่เสียงกลองแผ่วก็ไม่ดังขึ้นในวันนั้น องค์จักรพรรดิและพระสนมลู่กุ้ยเฟยยังมิได้ตามเสด็จกลับพร้อมกัน วังหลวงขณะนั้นเหลือเพียง เซียวจื่อไท่โฮ่ว มารดาของจักรพรรดิผู้เคยผ่านศึกแห่งตำหนักหลังมาหลายรัชสมัย และโอรสธิดาเพียงสามพระองค์ที่ประทับอยู่


ยามสายตาอันเย็นลึกของไท่โฮ่วทอดมองเด็กชายในอ้อมแขนขันทีที่ส่งมา นางเห็น แววตาเจ้าเล่ห์ที่ฉายแสงบางอย่างตั้งแต่ยังแบเบาะ ราวกับทารกน้อยกำลังหัวเราะล้อเลียนโชคชะตาที่พยายามพรากเขาจากอกมารดา สัญชาตญาณของผู้ที่เคยฝ่าคลื่นอำนาจมาก่อนบอกแก่ไท่โฮ่วว่า เด็กคนนี้มิใช่ลูกที่ฟ้าส่งมาให้เป็นแค่ตัวหมาก แต่เป็นหมากที่สามารถล้มกระดานได้เองในวันหนึ่ง ดังนั้น นางจึงรับเลี้ยงองค์ชายเค่อซินไว้ ณ ตำหนักเซวียนเต๋ออย่างเงียบเชียบ มิได้ประคบประหงมดั่งไข่ในหิน หากแต่เลี้ยงดูเขาด้วยสายตาที่คมชัดดุจเหยี่ยว พร้อมทั้งฝึกให้รู้จักยิ้มยั่วล้อศัตรู รู้จักปิดหูต่อเสียงซุบซิบ และรู้จักหัวเราะต่อหน้าความโหดร้ายของโลก


เมื่อเติบโตภายใต้สายตาของไท่โฮ่ว องค์ชายเค่อซินจึงมิใช่เจ้าชายเงียบขรึมดั่งเชื้อพระวงศ์ทั่วไป หากแต่เป็นเด็กชายที่ยิ้มกวนตั้งแต่หัดเดิน ชอบคว้าดาบไม้แทนของเล่น ใช้ปากปล่อยคำกวนแทนคำหวาน และเรียนรู้ตั้งแต่เล็กว่า ในวังนี้ ผู้ที่หัวเราะสุดท้ายเท่านั้นที่อยู่รอด


และแล้วสิ่งประหลาดก็บังเกิด เด็กชายที่ควรยังหัดเดินเตาะแตะกลับคว้ากระบี่ไม้ได้แน่นราวกับเด็กห้าขวบ เด็กที่ควรเอาแต่ร้องไห้กลับมักนั่งยอง ๆ จ้องกระบี่ฝึกที่ฝาผนังตำหนักเซวียนเต๋อด้วยแววตาเป็นประกาย ไม่ใช่ประกายไร้เดียงสา แต่เป็นประกายของผู้ที่ดูเหมือนกำลังคิดหาวิธีใช้มันฟันใครสักคนเสียแล้ว องค์ชายเค่อซินเติบโตเร็ว…เร็วผิดธรรมชาติยิ่งกว่าพี่ชายและพี่สาวของพระองค์ รูปร่างสูงเกินวัย ดวงตาคมราวกับอ่านใจคนได้ และรอยยิ้มเอียงนิด ๆ ที่แฝงความเจ้าเล่ห์ ทำให้คนที่มองรู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา


ใบหน้าขององค์ชายเค่อซิน เหมือนจักรพรรดิฮั่นอู๋ตี้เก้าในสิบส่วน ดุดัน คมคาย มีราศีแห่งผู้ครอง แต่กลับมี เพียงหนึ่งส่วนที่เหมือนมารดา ลู่กุ้ยเฟย เสี้ยวรอยยิ้มละมุนบาง ๆ ที่โผล่มาเฉพาะเวลาที่เขาหัวเราะกวน หรือแกล้งยั่วคนให้โมโห ดั่งฉายาเทพธิดาจำแลงของพระสนม ความผสมผสานนี้ทำให้เขาดูทั้งหล่อเหลาคมคายและมีเสน่ห์ยั่วเย้าอย่างประหลาด


แม้จะเติบโตท่ามกลางเงาอำนาจและถูกโยนเข้ามาในวังกลางพายุ เค่อซินกลับมิได้มีความเงียบขรึมดั่งเชื้อพระวงศ์อื่น เขาไม่ใช่เด็กเรียบร้อย หากแต่เป็นเด็กชายที่หัวเราะเสียงดังในที่ที่ไม่ควรหัวเราะ เป็นเด็กที่กวนจนคนใหญ่คนโตอยากจะหยิบพัดฟาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะแววตาของเขาคมเกินเด็กปกติ ในสายตาของ เซียวจื่อไท่โฮ่ว พระมเหสีผู้เคยผ่านศึกแห่งตำหนักหลังมาหลายรัชสมัย เด็กคนนี้หาใช่เพียงเงาสะท้อนของความลับทางการเมืองหรือเครื่องมือรักษาเสถียรภาพไม่ หากแต่เป็น… "เงาของลูกชายที่นางเคยอุ้มไว้ในคืนแรกหลังคลอด" เค่อซินมีเค้าโครงของฮ่องเต้อู๋ตี้แทบทุกกระเบียดนิ้ว ดวงตาดำเข้มคมราวเส้นพู่กัน รอยยิ้มที่กวนจนคนอื่นเดือด และท่าทีที่ดูเหมือนไม่แคร์สิ่งใดในโลก


เขาคือ “เลือดเนื้อของสายบัลลังก์” ที่ยังไม่ถูกโลกทำให้หมอง แต่กลับแฝงไว้ด้วยไฟเสเพลที่พร้อมจะเผาใครก็ตามที่คิดจะเล่นกับเขา


เพราะเหตุนี้เอง เซียวจื่อไท่โฮ่ว จึงมีความเอ็นดูต่อหลานชายองค์นี้มากเป็นพิเศษ ถึงจะมองออกว่าเด็กคนนี้จะโตมาไม่เหมือนใครในราชสำนัก แต่ในใจนางกลับอดยิ้มไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นเขาจับกระบี่ไม้หมุนเล่น หรือหัวเราะกวนอวัยวะเบื้องล่างใส่ขันทีที่มองเขาด้วยสายตาตำหนิ…องค์ชายหลิว เค่อซิน ในวัยเยาว์จึงทั้งดื้อ ทั้งกวน ทั้งแสบ แต่ก็คมกว่ามีดเล่มไหนในวังหลวง


เซียวจื่อไท่โฮ่วรู้ดี...ว่าหลานชายผู้นี้ หาใช่กระบี่ธรรมดาไม่ แต่เป็นกระบี่คมที่ยังไม่ต้องลับก็เฉือนเนื้อคนได้เป็นชิ้น ๆ หากไม่หุ้มไว้ในฝักให้แน่นหนาเสียแต่เด็ก มันอาจฟาดแม้กระทั่งมือของผู้ที่ตีขึ้นมาเอง ดังนั้น...เค่อซินจึงถูกเลี้ยงให้นิ่ง ให้ดูสุขุม ให้เหมือนเด็กวังผู้เพียบพร้อมทั้งมารยาทและความรู้ แต่เบื้องหลังใบหน้านั้นมีเพลิงก้อนใหญ่แอบซ่อนอยู่เสมอ และเปลวเพลิงก็ไม่เคยอยู่ให้ใครควบคุม เขาเป็นเพลิงที่พร้อมแสบท้องใส่ใครก็ตามที่คิดมาหักหน้าหรือปรามาสเขาอย่างไม่ให้เกียรติ


การที่เค่อซินถือกำเนิดท่ามกลางฝนฟ้าคะนองวันนั้น ก็ราวกับเป็นสัญญาณจากสวรรค์เสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพียงเสียงฟ้าร้องที่ปลุกให้ทารกร้องไห้ในคราแรก แต่ราวกับฟ้าเองก็รู้ว่า...“อะไรบางอย่าง” กำลังถือกำเนิดขึ้น เด็กชายที่ไม่ควรยืนได้ กลับลุกขึ้นจับกระบี่ไม้แน่นตั้งแต่ยังไม่ทันพูด ไม่ใช่เพื่อเล่น แต่เหมือนกับว่ากระดูกในร่างกายมัน “จำท่วงท่ากระบี่” ได้ตั้งแต่ชาติปางก่อน


ยามที่เด็กทั่วไปยังนั่งคัดอักษรผิด ๆ ถูก ๆ เค่อซินกลับใช้นิ้วเขียนบทกวีลงในทรายเล่น ๆ พูดจาคล้องจองตั้งแต่ยังไม่ทันห้าวัน แววตานิ่งเย็นคมเหมือนปลายกระบี่ ทำเอานางกำนัลหลายคนที่เคยหัวเราะเยาะ “องค์ชายตัวกะเปี๊ยก” ถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อเขามองกลับเพราะมันเป็น “สายตาที่ผู้ใหญ่ใช้ในการล่าเหยื่อ” ไม่ใช่สายตาของเด็กในวัยเรียนรู้ และความผิดธรรมชาตินั้น ก็ไม่เคยอยู่รอดได้นานในวังหลวง


เหล่าพระสนมในวังที่ต่างก็เฝ้ารอจังหวะผลักทายาทของตนให้ขึ้นแท่นทายาทบัลลังก์ทอง ย่อมเห็นเค่อซินประหลาดตาสายตาเหมือนดั่งจักรพรรดิไม่มีผิดเพี้ยน และนิสัยยียวนจนลึกเข้าไส้ เป็นภัยลับยิ่งกว่าเป็นสายเลือดขององค์เหนือหัว บางนางถึงขั้นลอบจ้างหมอดูจากแดนไกล ปลอมเข้าวังในคราบพ่อครัวหรือแม้แต่ผู้รับใช้ เพื่อให้ดูดวงของเค่อซินในยามราตรีอย่างลับ ๆ


แต่คำทำนายของพวกมัน...ไม่ว่าจะกี่รายต่อกี่ราย กลับเหมือนกันเสียจนขนลุก


"จุดตะวันในกายนี้ ไม่อาจดับได้แม้ด้วยฝนพันปี"

"เด็กคนนี้...จะเป็นได้ทั้งผู้กุมกระบี่ และผู้ปักกระบี่ลงกลางใจผู้เป็นนาย"

"อย่าคิดควบคุม เพราะเขาคือคนที่เกิดมาเพื่อควบคุมผู้อื่นเท่านั้น"


องค์ชายเค่อซิน...คือพายุในร่างเจ้าสำราญ ที่หัวเราะเบา ๆ ขณะคิดวิธีตลบหลังผู้มีอำนาจ แล้วหมุนกระบี่ไม้ในมือราวกับกำลังเล่นของเล่น ทั้งที่คนอื่นเห็นว่า...นั่นอาจเป็นกระบี่สุดท้ายที่ใครบางคนจะได้เห็นก่อนตาย


องค์ชายเค่อซินหาใช่ภาพของยอดขุนศึกเยือกเย็น หรือบัณฑิตผู้เข้มงวดดุจหินผาไม่...แม้จะมีแววตาคมกริบที่พร้อมวิเคราะห์เกมการเมืองได้เพียงในชั่วลมหายใจ หากใครได้ใช้เวลาอยู่กับเขาจริง ๆ แล้วกลับจะพบว่าชายผู้นี้เต็มไปด้วย “ความขี้เล่น” และ “อารมณ์เจ้าสำราญ” เสียจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมของคำว่าหวั่นเกรง


เสียงกระทบกันเบา ๆ ของเปลือกเมล็ดแตงโมคั่ว และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเมล็ดทานตะวันคั่วเกลือมักจะลอยฟุ้งอยู่รอบกายองค์ชายเสมอ ราวกับกลายเป็นกลิ่นประจำตัวอย่างหนึ่ง และหากมองใต้แขนเสื้อ หรือซอกผ้าคลุมบาง ๆ นั้นให้ดี ก็จะพบห่อย่อย ๆ ที่บรรจุของกินเล่นจำนวนหนึ่งที่ห่อด้วยผ้าลวดลายประหลาดซึ่งเขาชอบพกติดตัวไว้ไม่ให้ใครรู้ เช่นเมล็ดฟักทองอบแห้ง ขนมงาผสมดอกเก๊กฮวยอบ หรือแม้แต่เนื้อปลาตากแห้งที่หั่นไว้คำเล็ก ๆ องค์ชายมักจะโยนของพวกนี้เข้าปากอย่างแนบเนียนยามสนทนา และบางครั้งก็เคี้ยวอยู่ในขณะที่ยังพูดไปด้วย ทำเอาบางขุนนางที่จริงจังนักในราชสำนักถึงกับขุ่นเคือง ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากตำหนิ เพราะชายคนนี้ต่อให้เคี้ยวเมล็ดแตงโมอยู่ก็ตาม ก็ยังสามารถโต้กลับคำพูดของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเฉียบขาดจนอีกฝ่ายหน้าชาวาบได้อยู่ดี


แท้จริงแล้ว นิสัยติดของกินเหล่านี้หาใช่เพราะความโลภในรสชาติ หากแต่มีที่มาที่เงียบงันกว่า...


กล่าวกันว่าในวัยเด็ก เค่อซินเคยติด “ยาเส้น” อย่างร้ายแรง ช่วงที่ยังไม่เข้าใจอะไรดีนักเขาเคยลอบเสพจากกลุ่มองครักษ์ที่หลงใหลในของต้องห้ามบางอย่าง ยิ่งถูกห้าม ยิ่งใกล้ เขาก็ยิ่งดึงมาไว้ในปาก พ่นกลิ่นเผ็ดขมของมันออกมาในยามเงียบ แม้ว่ามันจะไม่ได้รับความนิยมก็ตามในต้าฮั่น


เซียวจื่อไท่โฮ่วรู้เข้า...มิได้เฆี่ยนตี มิได้ลงโทษ หากแต่ใช้วิธีประหลาดนัก สั่งให้คนของตำหนักเสวียนเต๋อจัดหาของว่างกรุบกรอบทุกชนิดมาวางไว้ทุกมุมห้อง และทุกครั้งที่เค่อซินจะเอื้อมไปหายาเส้น ก็จะพบว่ามีของอะไรบางอย่างที่กินง่าย เคี้ยวเล่นได้ วางรอเขาอยู่เสมอ จนสุดท้าย เขาก็ “แทนที่ความเคยชินเก่าด้วยความเคยชินใหม่” และนั่นคือเหตุผลที่ปัจจุบันเขาจึงไม่อาจทนอยู่เฉยได้หากไม่มีอะไรในมือไว้เคี้ยว


บางครั้งระหว่างประชุมราชการสำคัญ เขายังลอบป้อนเมล็ดแตงโมให้ขันทีข้างกาย บางครั้งก็คายเปลือกเมล็ดออกลงชามเบา ๆ พลางยิ้มกวนนิด ๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำเอาทั้งขุนนางและขันทีที่ไม่รู้เบื้องหลังอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า “องค์ชายเค่อซินนี่มีหัวใจเป็นเด็กหรือเปล่า?” แต่ใครที่เคยลองเปิดศึกด้วยแล้ว...ก็จะรู้ทันทีว่าเด็กคนนี้อาจจะเคี้ยวเมล็ดทานตะวันในมือ แต่กลับเคี้ยวสมองของศัตรูได้ไม่แพ้กัน



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 700 โพสต์ 2025-9-4 16:46
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว เพิ่มขึ้น 1000 โพสต์ 2025-9-4 16:45
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ เพิ่มขึ้น 800 โพสต์ 2025-9-4 16:44
โพสต์ 108617 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-18 20:47

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +50 ตำลึงทอง +20 เหรียญอู่จู +5000 ตบะฝึกฝน +10 ย่อ เหตุผล
Watcher + 50 + 20 + 5000 + 10

ดูบันทึกคะแนน

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้