อรุณเบิกฟ้า แสงเงินยวงของดวงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ขับไล่ความมืดมิดและไอหนาวเหน็บยามราตรีให้จางหายไปจนสิ้น เหลือไว้เพียงความสดชื่นยามเช้าที่ปกคลุมไปทั่วท้องทุ่งกว้าง ซิ่วอิงตื่นขึ้นมาด้วยร่างกายที่ปวดร้าวไปทุกส่วนจากการเดินทาง แต่จิตใจของนางกลับแจ่มใสและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ตั้งแต่เมื่อคืนที่ได้พูดคุยกับเกาเหยียน นางรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยความหนักอึ้งในใจที่แบกรับมาตลอดการเดินทางได้บ้างแล้ว และในเช้าวันนี้ นางจึงเลือกที่จะเดินออกห่างจากค่ายเล็กน้อยมาที่ลำธารสายเล็ก ๆ ที่ไหลลดเลี้ยวเคียงข้างกับเส้นทางเดินทัพมาตั้งแต่เมื่อวาน
เสียงน้ำไหลเอื่อย ๆ กระทบกับโขดหินอย่างอ่อนโยน สร้างเสียงกระซิบที่แผ่วเบาเหมือนบทเพลงขับกล่อมธรรมชาติยามเช้า ซิ่วอิงย่อตัวลง ใช้มือวักน้ำที่เย็นเฉียบขึ้นมาล้างหน้าล้างตา ความสดชื่นของสายน้ำที่สัมผัสผิวกายปลุกเร้าให้ความรู้สึกเหนื่อยล้าที่ยังตกค้างค่อย ๆ จางหายไปทีละน้อย นางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม ดวงอาทิตย์กลมโตค่อย ๆ โผล่พ้นจากทิวเขาที่อยู่ไกลลิบ ส่งรังสีอบอุ่นลงมาขับไล่ไอเย็นยามเช้าที่ปกคลุมพื้นดิน
เมื่อรู้สึกสดชื่นเต็มที่แล้ว ซิ่วอิงก็เลือกที่จะใช้ก้อนหินเล็ก ๆ ที่มีอยู่มากมายรอบลำธารมาวางเรียงซ้อนกันเป็นเจดีย์เล็ก ๆ อย่างตั้งใจ นางวางก้อนหินแต่ละก้อนอย่างประณีตราวกับกำลังสร้างสรรค์งานศิลปะที่ละเอียดอ่อนและสวยงาม เมื่อกองหินซ้อนกันขึ้นไปจนเป็นเจดีย์เล็ก ๆ ที่มั่นคงแล้ว ซิ่วอิงก็ก้มตัวลงเล็กน้อย พนมมือขึ้นอธิษฐานเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยพลังแห่งศรัทธาที่ล้นเหลือ
“ข้าแต่สัจเทพอี๋เหอ ผู้ทรงอำนาจแห่งแดนเทพ ข้าขออัญเชิญพลังของท่านมาสถิตในกาย เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดและก้าวสู่ศักยภาพที่แท้จริง ขอให้พรแห่งท่านนำพาข้าไปสู่ความแข็งแกร่งอันไร้ขีดจำกัด!”
ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความหนักแน่นและมุ่งมั่น นางหลับตาลงนึกถึงพี่น้องและสหายที่รอคอยการกลับไปของนางที่เมืองหลวง หลังจากที่นางลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความหวังที่เคยริบหรี่ก็สว่างวาบขึ้นมาในใจอีกครั้งหนึ่ง ซิ่วอิงเหลือบมองเจดีย์หินที่ตัวเองสร้างขึ้นมาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเดินกลับไปยังค่ายที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้
ระหว่างทางกลับค่าย นางได้ยินเสียงกลองที่ดังขึ้นเป็นจังหวะหนักแน่นเหมือนยามออกศึก เสียงนี้คือเสียงปลุกขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารให้พร้อมสำหรับการเดินทางต่อ เมื่อซิ่วอิงกลับมาถึงค่ายพักก็พบว่าทหารทั้งหมดกำลังเตรียมตัวเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหยุนอู่ซึ่งเป็นจุดพักต่อไปในเส้นทางของการเดินทางกลับฉางอัน แม่ทัพหนุ่มฮั่วชวี่ปิ้งยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ตำแหน่งเดิมราวกับรูปปั้น เขาหันมาสบตากับซิ่วอิงเพียงครู่เดียว ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปมองกองทัพที่เริ่มตั้งขบวนเตรียมพร้อมแล้ว ซิ่วอิงรู้สึกได้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ในใจของนางก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่เคยมีมาก่อน
กองทัพขนาดใหญ่ประกอบไปด้วยทหารม้าและทหารราบจำนวนมากเคลื่อนตัวไปบนเส้นทางที่ตัดผ่านทุ่งกว้างใหญ่ไพศาลที่แห้งแล้ง ดวงอาทิตย์เริ่มสูงขึ้นอย่างช้า ๆ ฉายแสงจ้าลงมาบนพื้นดินที่แห้งแล้งและแตกระแหงเป็นริ้วยาวตลอดเส้นทาง อากาศเริ่มอบอ้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าของเหล่าทหารและเสียงกีบม้าที่กระทบกับพื้นดินยังคงดังเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ ก่อให้เกิดกลุ่มฝุ่นทรายขนาดใหญ่ลอยฟุ้งขึ้นในอากาศ ปกคลุมไปทั่วทั้งกองทัพจนแทบมองอะไรไม่เห็น
ซิ่วอิงเดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มทหารราบที่เดินเท้า ท่ามกลางความร้อนระอุของแสงแดด ร่างกายของนางรู้สึกราวกับกำลังถูกย่างอยู่บนกองไฟ เหงื่อไหลซึมออกมาจากทุกรูขุมขนจนเสื้อผ้าเปียกชุ่มจนเป็นวงกว้าง ฝุ่นทรายที่ลอยฟุ้งขึ้นในอากาศเกาะอยู่ตามใบหน้าและร่างกายของทหารทุกคนจนดูมอมแมมไปหมด ขาของนางเริ่มปวดร้าวขึ้นมาอีกครั้ง รองเท้าหนังที่เคยใส่สบายกลับรู้สึกคับแน่นและเสียดสีจนรู้สึกเจ็บแสบไปทั่วฝ่าเท้า นางต้องพยายามกัดฟันเดินต่อไปด้วยความอดทน
ท่ามกลางความเหนื่อยล้าที่ปกคลุมไปทั่วทั้งกองทัพ ซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นมองไปยังแม่ทัพหนุ่มฮั่วชวี่ปิ้งที่ขี่ม้านำทัพอยู่ไม่ไกลจากจุดที่นางอยู่ ชุดเกราะเหล็กของเขาที่สะท้อนแสงอาทิตย์นั้นดูเจิดจ้าและทรงพลังราวกับกำลังมีพลังบางอย่างที่เหนือธรรมชาติ นางเห็นเพียงแผ่นหลังที่ตั้งตรงและทรงพลังของเขาที่ไม่เคยแม้แต่จะหันกลับมามองด้านหลังเลยสักครั้ง เขานำพาเหล่าทหารรุดหน้าไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ดวงตาที่คมกริบของเขาคงกวาดมองไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือร้อนรนเลยแม้แต่น้อย ความแข็งแกร่งของเขาเป็นเหมือนพลังงานที่ขับเคลื่อนให้กองทัพทั้งหมดสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ในยามที่ทุกคนกำลังจะหมดแรง
ซิ่วอิงก้มหน้าลงมองพื้นดินที่แตกระแหง แล้วพยายามเดินต่อไปอย่างไม่ท้อถอย แม้เส้นทางจะยาวไกลและเต็มไปด้วยอุปสรรคเพียงใด นางก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมุ่งหน้าต่อไป เสียงกลองยังคงดังเป็นจังหวะอยู่ตลอดเวลา ราวกับเสียงเต้นของหัวใจที่ยังคงเต้นต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทุกย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้าคือการต่อสู้กับความอ่อนแอของตัวเอง แม้จะรู้สึกท้อแท้เพียงใด นางก็ยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างช้า ๆ และมั่นคง
ในที่สุดเมื่อเดินทางไปจนถึงจุดพักกลางวัน ซิ่วอิงก็ทรุดตัวลงนั่งพักอย่างหมดแรง ร่างกายของนางปวดเมื่อยไปทั้งตัวราวกับถูกทุบตีด้วยไม้ น้ำในกระบอกไม้ไผ่หมดลงไปนานแล้ว คอของนางแห้งผากจนแทบจะไม่มีเสียงออกมา ดวงตาของนางมองไปยังเหล่าทหารที่พากันทรุดตัวลงนั่งพักกันอย่างกระจัดกระจาย ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบเหงื่อไคลและฝุ่นดินนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความเหน็ดเหนื่อยและความยากลำบากที่ทุกคนต้องเผชิญมาตลอดทั้งการเดินทาง ซิ่วอิงคิดถึงฉางอัน คิดถึงเพื่อนร่วมค่ายคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เดินทางมาด้วยกันในครั้งนี้ ความคิดถึงเหล่านี้เป็นเหมือนพลังขับเคลื่อนให้นางลุกขึ้นสู้และเดินต่อไป
“ลูกพี่! เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงของเกาเหยียนดังขึ้นมาด้านหลังของนางพร้อมกับยื่นกระบอกไม้ไผ่ที่ยังคงมีน้ำเหลืออยู่ให้ ซิ่วอิงรับกระบอกมาแล้วดื่มจนหมดในรวดเดียว เกาเหยียนนั่งลงข้าง ๆ และมองไปยังกลุ่มทหารที่กำลังพักผ่อน
“ข้าว่าเราคงได้พักผ่อนอีกไม่นานหรอก” เกาเหยียนกล่าวเสียงเรียบ “ท่านแม่ทัพคงต้องการจะไปถึงเมืองหยุนอู่ให้เร็วที่สุด”
ซิ่วอิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย สายตาของนางมองไปยังแผ่นหลังของฮั่วชวี่ปิ้งที่กำลังยืนสั่งการเหล่าทหารม้าอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกนางนั่งพัก เขายังคงดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยและไร้อารมณ์ใด ๆ ราวกับว่าความเหน็ดเหนื่อยนั้นเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเขา
“เขายังคงมุ่งมั่นและแข็งแกร่งเหมือนเดิมเลยนะ” ซิ่วอิงกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
“ใช่แล้ว” เกาเหยียนยิ้มอย่างอ่อนแรง “เขาเป็นผู้บัญชาการที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ”
ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผาจนพื้นดินแตกระแหง ฝุ่นทรายสีน้ำตาลลอยฟุ้งปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าที่เคยเป็นสีคราม ซิ่วอิงและเกาเหยียนนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่แกร็นเกรียมเพียงไม่กี่ต้นที่ยังคงยืนหยัดต้านทานความร้อนแรงของธรรมชาติอยู่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ พวกเขานั่งพักเพียงไม่กี่ชั่วยามเพื่อเติมพลังให้ร่างกายที่อ่อนล้า ก่อนที่จะลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ
เมื่อเสียงสัญญาณดังขึ้นอีกครั้ง ซิ่วอิงและเกาเหยียนก็รีบไปรวมตัวกับกองทัพที่กำลังจะเคลื่อนขบวนแล้ว ทหารทุกคนล้วนมีสีหน้าที่เหนื่อยล้า แต่แววตาของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเดินไปข้างหน้าและกลับไปยังฉางอันให้ได้ ความคิดถึงบ้าน ความคิดถึงคนที่รอคอยเป็นเหมือนพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาในยามนี้
แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งยังคงนำทัพอยู่ด้านหน้าในตำแหน่งเดิม ดวงตาที่คมกริบของเขายังคงจดจ่ออยู่กับเบื้องหน้าไม่เคยหันกลับมามองด้านหลังเลยแม้แต่น้อย เขานำพาเหล่าทหารบุกตะลุยไปบนเส้นทางที่ร้อนระอุและเต็มไปด้วยอุปสรรค เสียงฝีเท้าของทหารและเสียงกีบม้าที่กระทบกับพื้นดินยังคงดังเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ ก่อให้เกิดกลุ่มฝุ่นทรายขนาดใหญ่ลอยฟุ้งขึ้นในอากาศปกคลุมไปทั่วทั้งกองทัพจนแทบจะมองไม่เห็นแม้แต่คนข้างหน้า
ยามบ่ายของวันนั้นอากาศร้อนระอุยิ่งกว่าช่วงเช้าที่ผ่านมาหลายเท่า ซิ่วอิงรู้สึกได้ว่าร่างกายของนางเริ่มใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว ขาของนางปวดร้าวไปหมด รองเท้าหนังคู่เก่าที่เคยใส่สบายกลับรู้สึกคับแน่นและเสียดสีจนเลือดซึมออกมาจากเท้าทั้งสองข้าง ความกระหายน้ำถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซิ่วอิงได้แต่กลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงไปในลำคอที่แห้งผากของตัวเองเพื่อบรรเทาอาการกระหายน้ำที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นางหันไปมองรอบ ๆ ก็เห็นว่าทหารหลายคนก็มีอาการไม่ต่างจากนาง บางคนถึงกับทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความอ่อนเพลีย แต่ก็ต้องรีบลุกขึ้นมาเดินต่อเพราะไม่อยากเป็นภาระของคนอื่น ๆ
ฮั่วชวี่ปิ้งยังคงนำทัพไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ร่างของเขาดูราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับม้าสีขาวที่นั่งอยู่จนไม่อาจแยกจากกันได้เลย ชุดเกราะสีเงินของเขาเปล่งประกายเจิดจ้าท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง ซิ่วอิงมองไปยังแผ่นหลังอันมั่นคงของเขาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและศรัทธาในตัวของเขาอย่างเต็มเปี่ยม นางไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งอันไร้ขีดจำกัดนี้มาจากไหน แต่ในใจของนางก็คิดว่า หากสามารถแข็งแกร่งได้อย่างเขาเพียงครึ่งหนึ่ง นางก็คงสามารถกลับไปยังฉางอันได้อย่างแน่นอน
ในที่สุดเมื่อเดินทางไปได้อีกหลายชั่วยาม เสียงสัญญาณก็ดังขึ้นมาอีกครั้งเป็นสัญญาณให้กองทัพทั้งหมดหยุดพักแรมค้างคืน เมื่อเสียงกลองสิ้นสุดลง ซิ่วอิงก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ร่างกายของนางปวดร้าวไปทั้งตัวจนแทบจะขยับตัวไม่ได้เลย นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อน ๆ แล้วก็ต้องแปลกใจที่แม่ทัพหนุ่มไม่ได้หยุดพักเหมือนคนอื่น ๆ เขายังคงขี่ม้าออกไปสำรวจเส้นทางข้างหน้าเพียงลำพังด้วยท่าทางที่มุ่งมั่นและแข็งแกร่งเหมือนเดิม
ในคืนนั้นบรรยากาศของค่ายพักแรมเต็มไปด้วยความเงียบสงบ มีเพียงแค่เสียงของกองไฟที่ดังเปรี๊ยะ ๆ และเสียงพูดคุยของเหล่าทหารที่ดังขึ้นมาเพียงแผ่วเบาเท่านั้น ซิ่วอิงและเกาเหยียนช่วยกันกินอาหารแห้งและน้ำที่เหลือเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังชีวิต เกาเหยียนรู้สึกเห็นใจซิ่วอิงเป็นอย่างมากจึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า
“ลูกพี่อย่าเพิ่งท้อนะ อีกไม่นานเราก็จะถึงเมืองหยุนอู่แล้ว”
ซิ่วอิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ข้าไม่ได้ท้อแท้หรอก เพียงแต่รู้สึกเหนื่อยล้าเพียงเท่านั้น”
คืนนั้นอากาศหนาวเหน็บกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ซิ่วอิงตื่นขึ้นกลางดึกเพราะรู้สึกหนาวจนร่างกายสั่นเทาไปหมด นางหันไปมองรอบ ๆ ก็เห็นว่าทุกคนกำลังนอนหลับกันอย่างเงียบสงบ มีเพียงแค่ยามที่กำลังเฝ้าเวรเท่านั้นที่ยังคงยืนตระหง่านอยู่ ซิ่วอิงลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินไปที่กองไฟเพื่อผิงไฟคลายหนาว ในขณะที่นางกำลังนั่งอยู่ นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
ซิ่วอิงหันไปมองก็พบกับฮั่วชวี่ปิ้งที่กำลังเดินเข้ามาใกล้กองไฟในชุดเสื้อผ้าธรรมดาที่ไม่ใช่ชุดเกราะหนัก ๆ เหมือนทุกครั้ง เขาไม่ได้มองมาที่นาง แต่เดินไปหยิบกิ่งไม้แห้งแล้วโยนเข้ากองไฟอย่างเงียบ ๆ ซิ่วอิงไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่นั่งเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ เขาเท่านั้น บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความเงียบสงบจนได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจของทั้งสองคนเท่านั้น
ซิ่วอิงรู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวของเขา ฮั่วชวี่ปิ้งหันมาสบตากับซิ่วอิงเพียงครู่เดียว ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ซิ่วอิงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ปล่อยให้ความรู้สึกอบอุ่นนั้นโอบล้อมรอบตัว ก่อนจะกลับไปที่นอนเพื่อพักผ่อน