[เมืองซีตู]

[คัดลอกลิงก์]









เมืองซีตู

ป้อมปราการแห่งทิศประจิม


เมืองซีตู ตั้งอยู่ในมณฑลเหลียงโจว ซึ่งอยู่ในเขตระเบียงเหอซีที่เชื่อมต้าฮั่นตอนในกับดินแดนทางตะวันตก เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญบนเส้นทางสายไหม ซีตูมีลักษณะเป็นโอเอซิสกลางทะเลทรายกึ่งแห้งแล้งที่สามารถทำการเพาะปลูกได้ด้วยระบบชลประทานที่พัฒนาโดยทหารและแรงงานของรัฐ เมืองนี้ผลิตธัญพืชเป็นหลัก เช่น ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และถั่ว รวมถึงเป็นแหล่งเลี้ยงม้าซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญสำหรับการทหาร นอกจากจะเป็นศูนย์กลางการผลิตทางการเกษตรแล้ว ซีตูยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้าและคมนาคม เป็นสถานีพักของกองคาราวาน และเป็นด่านเก็บภาษีสำคัญของรัฐที่มีการแลกเปลี่ยนสินค้าต่าง ๆ การตั้งถิ่นฐานในเมืองนี้เป็นไปตามนโยบายถุนเถียน (นิคมการทหาร-การเกษตร) ซึ่งให้ทหารตั้งรกรากเพื่อทำเกษตรและปกป้องชายแดน นโยบายนี้ช่วยเสริมสร้างทั้งความมั่นคงทางทหารและฐานเศรษฐกิจ ทำให้จักรวรรดิฮั่นสามารถแผ่อิทธิพลและรักษาความปลอดภัยของเส้นทางการค้าในภูมิภาคนี้ได้อย่างยั่งยืน









แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 5840 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-8 10:44
โพสต์ 2025-9-15 01:15:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด






วันที่ 14 ปาเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 
ตลอดทั้งวัน

ดวงตะวันเพิ่งลับขอบฟ้าไปตั้งแต่ยังเดินทางไม่ถึงครึ่งทาง และดูเหมือนว่าทวยเทพจะเล่นตลกกับกองทัพของแม่ทัพฮั่วที่ประกอบด้วยทหารราบและทหารม้าอีกหลายร้อยชีวิต กองทัพเคลื่อนขบวนไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าและกรวดหินที่จับตัวเป็นก้อนแข็ง จากเดิมที่วางแผนไว้ว่าจะถึงเมืองซีตูในเวลาค่ำ แต่ด้วยเหตุสุดวิสัยที่ต้องหยุดพักข้างทางเป็นระยะเพื่อช่วยเหลือเกวียนเสบียงคันหนึ่งที่เพลาหักและล้อหลุด ทำให้การเดินทางต้องล่าช้าออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เสียงกลองที่ตีเป็นจังหวะหนักแน่นเพื่อปลุกขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารยังคงดังอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน ดังก้องไปทั่วหุบเขาและโตรกผาที่เงียบงันจนน่าขนลุก ทำให้กองทัพหลักต้องเดินทางรอนแรมท่ามกลางความมืดมิดที่หนาวเหน็บ ภายใต้แสงดาวที่ริบหรี่ราวกับดวงตาที่เหนื่อยล้าของใครบางคน

ในที่สุดกองทัพก็มาถึงสถานที่ตั้งค่ายพักชั่วคราวทางทิศเหนือของเมืองซีตูในช่วงบ่ายคล้อยของวันถัดไป แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงมากระทบหมวกเกราะเหล็กที่สะท้อนแสงเจิดจ้าของเหล่าทหารที่ยืนเรียงราย เผยให้เห็นดวงตาที่แดงก่ำและใบหน้าที่ซีดเซียวจากการไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืน ทุกคนเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและไร้เรี่ยวแรง ราวกับหุ่นกระบอกที่ถูกตัดเชือก เสียงพูดคุยที่เคยมีก็เงียบหายไป เหลือไว้เพียงเสียงหอบหายใจที่หนักอึ้งและความเหนื่อยล้าที่ปกคลุมไปทั่วทั้งค่าย กลิ่นดินเปียกผสมกับกลิ่นเหงื่อไคลของเหล่าทหารที่โชกชุ่ม เสียดแทงจมูกจนรู้สึกหวิว

ซิ่วอิงเดินกะเผลกเข้ามาในค่ายพักช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อย ฝ่าเท้าของนางเสียดสีกับรองเท้าหนังจนเริ่มมีอาการบวมและปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว นางรู้สึกราวกับว่ากำลังแบกหินก้อนใหญ่ไว้ที่ข้อเท้าตลอดเวลา เมื่อแม่ทัพหนุ่มฮั่วชวี่ปิ้งอนุญาตให้แยกย้ายกันพักผ่อน ซิ่วอิงก็ทรุดตัวลงนั่งข้างกำแพงดินที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างหมดแรง ร่างกายของนางปวดเมื่อยไปทุกส่วนราวกับถูกทุบด้วยค้อน แสงอาทิตย์สุดท้ายสาดส่องลงมากระทบดวงหน้าของซิ่วอิง ทำให้เห็นเงาของขนตาที่ทอดลงยาวเหยียด นางหลับตาลงอย่างช้า ๆ เพื่อซ่อนความอ่อนล้าในดวงตาที่บวมช้ำของตัวเอง ลมหายใจที่แผ่วเบาราวกับนกที่กำลังจะหมดแรง และจังหวะหัวใจที่เต้นช้าลงก็บอกกับนางว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องพักผ่อน

ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลัง 

"ลูกพี่เหนื่อยมากไหม ดื่มน้ำก่อน" นางลืมตาขึ้นมามอง ก็พบว่าเป็นเกาเหยียนที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากนาง เขานั่งพิงกำแพงดินในลักษณะเดียวกับนาง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคลและฝุ่นดิน ดวงตาของเขาแดงก่ำและตาโหลอย่างเห็นได้ชัด ซิ่วอิงรับน้ำมาดื่มหมดภายในรวดเดียว

"เหนื่อยจนอยากจะหลับลงตรงนี้เลย" นางตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา โดยที่เสียงนั้นแหบพร่าจนแทบจะไม่ได้ยิน 

"ข้าก็เช่นกัน...ไม่เคยคิดเลยว่าการเดินทางจะยากลำบากถึงเพียงนี้" เกาเหยียนยิ้มอย่างอ่อนแรงจนดูเหมือนรอยยิ้มนั้นจะไม่ได้มาจากใบหน้าของเขา

“เจ้าคิดว่าการเดินทางเป็นส่วนหนึ่งของการรบหรือเปล่า?” ซิ่วอิงถามขึ้นมาอย่างใคร่ครวญ “ข้าคิดว่ามันเป็นส่วนที่ยากที่สุดเลย”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” เกาเหยี่ยนกล่าว “มันเหมือนกับการต่อสู้กับตัวเอง การเอาชนะความเหนื่อยล้าและข้อจำกัดของร่างกายที่พวกเราไม่เคยคิดว่าจะต้องเผชิญมาก่อน การเดินทางทำให้เราได้เรียนรู้ว่าความแข็งแกร่งไม่ได้มาจากอาวุธ แต่มาจากจิตใจว่าจะทนไปได้สักแค่ไหน”

“เจ้าพูดถูก” ซิ่วอิงกล่าว “เมื่อคืนนี้ขณะที่เดินทาง ข้าได้แต่มองไปยังขุนเขาและท้องฟ้าที่ไม่คุ้นเคย ข้าไม่แน่ใจเลยว่าจะสามารถไปถึงจุดหมายได้หรือเปล่า”

“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น” ทหารหนุ่มพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “บางทีข้าก็แอบคิดว่าเป็นโจรภูเขาก็ดีอยู่แล้วทำไมข้าต้องมาลำบากเดินทางไกลกับกองทัพด้วยนะ”

ซิ่วอิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น 

“เอาน่า…แต่เราก็ผ่านมาได้แล้วไม่ใช่หรือไง ตอนที่เดินทางไปที่ฉีเหลียงซานไงพวกเราอึดจะตาย!”

เกาเหยียนยิ้มกว้างขึ้น 

“ใช่แล้วลูกพี่! และในตอนนี้เราก็กำลังจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้”

“หวังว่าขาของพวกเราจะยังใช้การได้เมื่อถึงตอนนั้นนะ” ซิ่วอิงกล่าวติดตลก

“ข้าก็หวังเช่นนั้นเหมือนกัน!” เกาเหยียนหัวเราะเบา ๆ 

เมื่อดวงตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ความหนาวเย็นของยามค่ำคืนก็เริ่มเข้าปกคลุม เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของเหล่าทหารดังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ทุกคนได้รับเสบียงอาหารและน้ำดื่มที่ขาดแคลนมาตลอดการเดินทางข้ามคืน ซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นมองไปยังแม่ทัพฮั่ว ที่ยังคงยืนอยู่ตรงจุดเดิมเหมือนรูปปั้น เขาไม่ได้นั่งพักผ่อนเหมือนคนอื่น ๆ แม้แต่เสื้อเกราะของเขาก็ยังคงสวมใส่ ใบหน้าของเขาที่ถูกแสงไฟสลัว ๆ ส่องกระทบยังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง แววตาที่คมกริบคู่นั้นกวาดมองไปทั่วค่ายเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของกองทัพ ราวกับเหยี่ยวที่เฝ้าระวังเหยื่ออยู่ตลอดเวลา ทุกการเคลื่อนไหวของเขาบ่งบอกถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่เขามีต่อกองทัพนี้

ซิ่วอิงก้มลงมองอาหารในมือของตัวเองแล้วยิ้มออกมาบาง ๆ แม้จะเหนื่อยล้าเพียงใด แต่ในตอนนี้พวกเขาก็ปลอดภัยแล้ว นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังดวงจันทร์ที่ส่องแสงนวลตาอยู่เบื้องบน แล้วรู้สึกได้ว่าภาระอันหนักอึ้งที่เคยแบกไว้ในใจเริ่มเบาลงบ้างแล้ว เพราะอย่างน้อยในยามนี้นางก็ไม่ได้ต่อสู้รบราฆ่าฟันอีกต่อไป

บทสนทนาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ กลับทำให้ซิ่วอิงรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างประหลาด นางหันไปมองเกาเหยียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาเริ่มกินอาหารด้วยความหิวโหยอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซิ่วอิงยิ้มออกมาบาง ๆ แล้วเริ่มกินอาหารของตัวเองบ้าง ความเหนื่อยล้าที่เคยมีนั้นหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความหวังเล็ก ๆ ในใจที่จะได้กลับไปหาพี่น้องและสหายที่รอคอยอยู่เบื้องหลัง และในตอนนี้นางก็แน่ใจแล้วว่าอย่างน้อยบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบากนี้ นางก็มีสหายร่วมทัพอยู่เคียงข้างเสมอ



เดินทางถึงเมืองซีตู


@Watcher   




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 18856 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-15 01:15
โพสต์ 18,856 ไบต์และได้รับ +2 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(2)  โพสต์ 2025-9-15 01:15
โพสต์ 18,856 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก หงอนคู่ราชันย์  โพสต์ 2025-9-15 01:15
โพสต์ 18,856 ไบต์และได้รับ +4 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +4 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ง้าวกรีดนภา  โพสต์ 2025-9-15 01:15
โพสต์ 18,856 ไบต์และได้รับ +2 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-9-15 01:15
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
แหวนดาราจรัส(2)
หงอนคู่ราชันย์
ง้าวกรีดนภา
แหวนดาราจรัส(D)
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x30
x30
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x4
x1
x140
x2
x90
x186
x200
x399
x684
x707
x2
x2
x8
x4
x5
x20
x4
x799
x2
x20
x12
x22
x6
x12
x17
x10
x38
x2
x680
x228
x428
x44
x506
x19
x12
x1
x19
x228
x1
x21
x10
x203
x3
x116
x37
x5
x63
x1
x2
x40
x1
x5
x2
x7
x6
x5
x6
x6
x17
x2
x2
x25
x15
x16
x2
x47
x6
x7
โพสต์ 2025-9-16 01:59:49 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-9-16 02:00






วันที่ 15 ปาเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 
ตลอดทั้งวัน

อรุณเบิกฟ้า แสงเงินยวงของดวงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ขับไล่ความมืดมิดและไอหนาวเหน็บยามราตรีให้จางหายไปจนสิ้น เหลือไว้เพียงความสดชื่นยามเช้าที่ปกคลุมไปทั่วท้องทุ่งกว้าง ซิ่วอิงตื่นขึ้นมาด้วยร่างกายที่ปวดร้าวไปทุกส่วนจากการเดินทาง แต่จิตใจของนางกลับแจ่มใสและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ตั้งแต่เมื่อคืนที่ได้พูดคุยกับเกาเหยียน นางรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยความหนักอึ้งในใจที่แบกรับมาตลอดการเดินทางได้บ้างแล้ว และในเช้าวันนี้ นางจึงเลือกที่จะเดินออกห่างจากค่ายเล็กน้อยมาที่ลำธารสายเล็ก ๆ ที่ไหลลดเลี้ยวเคียงข้างกับเส้นทางเดินทัพมาตั้งแต่เมื่อวาน

เสียงน้ำไหลเอื่อย ๆ กระทบกับโขดหินอย่างอ่อนโยน สร้างเสียงกระซิบที่แผ่วเบาเหมือนบทเพลงขับกล่อมธรรมชาติยามเช้า ซิ่วอิงย่อตัวลง ใช้มือวักน้ำที่เย็นเฉียบขึ้นมาล้างหน้าล้างตา ความสดชื่นของสายน้ำที่สัมผัสผิวกายปลุกเร้าให้ความรู้สึกเหนื่อยล้าที่ยังตกค้างค่อย ๆ จางหายไปทีละน้อย นางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม ดวงอาทิตย์กลมโตค่อย ๆ โผล่พ้นจากทิวเขาที่อยู่ไกลลิบ ส่งรังสีอบอุ่นลงมาขับไล่ไอเย็นยามเช้าที่ปกคลุมพื้นดิน

เมื่อรู้สึกสดชื่นเต็มที่แล้ว ซิ่วอิงก็เลือกที่จะใช้ก้อนหินเล็ก ๆ ที่มีอยู่มากมายรอบลำธารมาวางเรียงซ้อนกันเป็นเจดีย์เล็ก ๆ อย่างตั้งใจ นางวางก้อนหินแต่ละก้อนอย่างประณีตราวกับกำลังสร้างสรรค์งานศิลปะที่ละเอียดอ่อนและสวยงาม เมื่อกองหินซ้อนกันขึ้นไปจนเป็นเจดีย์เล็ก ๆ ที่มั่นคงแล้ว ซิ่วอิงก็ก้มตัวลงเล็กน้อย พนมมือขึ้นอธิษฐานเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยพลังแห่งศรัทธาที่ล้นเหลือ

“ข้าแต่สัจเทพอี๋เหอ ผู้ทรงอำนาจแห่งแดนเทพ ข้าขออัญเชิญพลังของท่านมาสถิตในกาย เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดและก้าวสู่ศักยภาพที่แท้จริง ขอให้พรแห่งท่านนำพาข้าไปสู่ความแข็งแกร่งอันไร้ขีดจำกัด!”

ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความหนักแน่นและมุ่งมั่น นางหลับตาลงนึกถึงพี่น้องและสหายที่รอคอยการกลับไปของนางที่เมืองหลวง หลังจากที่นางลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความหวังที่เคยริบหรี่ก็สว่างวาบขึ้นมาในใจอีกครั้งหนึ่ง ซิ่วอิงเหลือบมองเจดีย์หินที่ตัวเองสร้างขึ้นมาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเดินกลับไปยังค่ายที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้

ระหว่างทางกลับค่าย นางได้ยินเสียงกลองที่ดังขึ้นเป็นจังหวะหนักแน่นเหมือนยามออกศึก เสียงนี้คือเสียงปลุกขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารให้พร้อมสำหรับการเดินทางต่อ เมื่อซิ่วอิงกลับมาถึงค่ายพักก็พบว่าทหารทั้งหมดกำลังเตรียมตัวเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหยุนอู่ซึ่งเป็นจุดพักต่อไปในเส้นทางของการเดินทางกลับฉางอัน แม่ทัพหนุ่มฮั่วชวี่ปิ้งยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ตำแหน่งเดิมราวกับรูปปั้น เขาหันมาสบตากับซิ่วอิงเพียงครู่เดียว ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปมองกองทัพที่เริ่มตั้งขบวนเตรียมพร้อมแล้ว ซิ่วอิงรู้สึกได้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ในใจของนางก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่เคยมีมาก่อน

กองทัพขนาดใหญ่ประกอบไปด้วยทหารม้าและทหารราบจำนวนมากเคลื่อนตัวไปบนเส้นทางที่ตัดผ่านทุ่งกว้างใหญ่ไพศาลที่แห้งแล้ง ดวงอาทิตย์เริ่มสูงขึ้นอย่างช้า ๆ ฉายแสงจ้าลงมาบนพื้นดินที่แห้งแล้งและแตกระแหงเป็นริ้วยาวตลอดเส้นทาง อากาศเริ่มอบอ้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าของเหล่าทหารและเสียงกีบม้าที่กระทบกับพื้นดินยังคงดังเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ ก่อให้เกิดกลุ่มฝุ่นทรายขนาดใหญ่ลอยฟุ้งขึ้นในอากาศ ปกคลุมไปทั่วทั้งกองทัพจนแทบมองอะไรไม่เห็น

ซิ่วอิงเดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มทหารราบที่เดินเท้า ท่ามกลางความร้อนระอุของแสงแดด ร่างกายของนางรู้สึกราวกับกำลังถูกย่างอยู่บนกองไฟ เหงื่อไหลซึมออกมาจากทุกรูขุมขนจนเสื้อผ้าเปียกชุ่มจนเป็นวงกว้าง ฝุ่นทรายที่ลอยฟุ้งขึ้นในอากาศเกาะอยู่ตามใบหน้าและร่างกายของทหารทุกคนจนดูมอมแมมไปหมด ขาของนางเริ่มปวดร้าวขึ้นมาอีกครั้ง รองเท้าหนังที่เคยใส่สบายกลับรู้สึกคับแน่นและเสียดสีจนรู้สึกเจ็บแสบไปทั่วฝ่าเท้า นางต้องพยายามกัดฟันเดินต่อไปด้วยความอดทน

ท่ามกลางความเหนื่อยล้าที่ปกคลุมไปทั่วทั้งกองทัพ ซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นมองไปยังแม่ทัพหนุ่มฮั่วชวี่ปิ้งที่ขี่ม้านำทัพอยู่ไม่ไกลจากจุดที่นางอยู่ ชุดเกราะเหล็กของเขาที่สะท้อนแสงอาทิตย์นั้นดูเจิดจ้าและทรงพลังราวกับกำลังมีพลังบางอย่างที่เหนือธรรมชาติ นางเห็นเพียงแผ่นหลังที่ตั้งตรงและทรงพลังของเขาที่ไม่เคยแม้แต่จะหันกลับมามองด้านหลังเลยสักครั้ง เขานำพาเหล่าทหารรุดหน้าไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ดวงตาที่คมกริบของเขาคงกวาดมองไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือร้อนรนเลยแม้แต่น้อย ความแข็งแกร่งของเขาเป็นเหมือนพลังงานที่ขับเคลื่อนให้กองทัพทั้งหมดสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ในยามที่ทุกคนกำลังจะหมดแรง

ซิ่วอิงก้มหน้าลงมองพื้นดินที่แตกระแหง แล้วพยายามเดินต่อไปอย่างไม่ท้อถอย แม้เส้นทางจะยาวไกลและเต็มไปด้วยอุปสรรคเพียงใด นางก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมุ่งหน้าต่อไป เสียงกลองยังคงดังเป็นจังหวะอยู่ตลอดเวลา ราวกับเสียงเต้นของหัวใจที่ยังคงเต้นต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทุกย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้าคือการต่อสู้กับความอ่อนแอของตัวเอง แม้จะรู้สึกท้อแท้เพียงใด นางก็ยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างช้า ๆ และมั่นคง

ในที่สุดเมื่อเดินทางไปจนถึงจุดพักกลางวัน ซิ่วอิงก็ทรุดตัวลงนั่งพักอย่างหมดแรง ร่างกายของนางปวดเมื่อยไปทั้งตัวราวกับถูกทุบตีด้วยไม้ น้ำในกระบอกไม้ไผ่หมดลงไปนานแล้ว คอของนางแห้งผากจนแทบจะไม่มีเสียงออกมา ดวงตาของนางมองไปยังเหล่าทหารที่พากันทรุดตัวลงนั่งพักกันอย่างกระจัดกระจาย ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบเหงื่อไคลและฝุ่นดินนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความเหน็ดเหนื่อยและความยากลำบากที่ทุกคนต้องเผชิญมาตลอดทั้งการเดินทาง ซิ่วอิงคิดถึงฉางอัน คิดถึงเพื่อนร่วมค่ายคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เดินทางมาด้วยกันในครั้งนี้ ความคิดถึงเหล่านี้เป็นเหมือนพลังขับเคลื่อนให้นางลุกขึ้นสู้และเดินต่อไป

“ลูกพี่! เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงของเกาเหยียนดังขึ้นมาด้านหลังของนางพร้อมกับยื่นกระบอกไม้ไผ่ที่ยังคงมีน้ำเหลืออยู่ให้ ซิ่วอิงรับกระบอกมาแล้วดื่มจนหมดในรวดเดียว เกาเหยียนนั่งลงข้าง ๆ และมองไปยังกลุ่มทหารที่กำลังพักผ่อน

“ข้าว่าเราคงได้พักผ่อนอีกไม่นานหรอก” เกาเหยียนกล่าวเสียงเรียบ “ท่านแม่ทัพคงต้องการจะไปถึงเมืองหยุนอู่ให้เร็วที่สุด”

ซิ่วอิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย สายตาของนางมองไปยังแผ่นหลังของฮั่วชวี่ปิ้งที่กำลังยืนสั่งการเหล่าทหารม้าอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกนางนั่งพัก เขายังคงดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยและไร้อารมณ์ใด ๆ ราวกับว่าความเหน็ดเหนื่อยนั้นเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเขา

“เขายังคงมุ่งมั่นและแข็งแกร่งเหมือนเดิมเลยนะ” ซิ่วอิงกล่าวขึ้นมาเบา ๆ

“ใช่แล้ว” เกาเหยียนยิ้มอย่างอ่อนแรง “เขาเป็นผู้บัญชาการที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ”

ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผาจนพื้นดินแตกระแหง ฝุ่นทรายสีน้ำตาลลอยฟุ้งปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าที่เคยเป็นสีคราม ซิ่วอิงและเกาเหยียนนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่แกร็นเกรียมเพียงไม่กี่ต้นที่ยังคงยืนหยัดต้านทานความร้อนแรงของธรรมชาติอยู่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ พวกเขานั่งพักเพียงไม่กี่ชั่วยามเพื่อเติมพลังให้ร่างกายที่อ่อนล้า ก่อนที่จะลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ

เมื่อเสียงสัญญาณดังขึ้นอีกครั้ง ซิ่วอิงและเกาเหยียนก็รีบไปรวมตัวกับกองทัพที่กำลังจะเคลื่อนขบวนแล้ว ทหารทุกคนล้วนมีสีหน้าที่เหนื่อยล้า แต่แววตาของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเดินไปข้างหน้าและกลับไปยังฉางอันให้ได้ ความคิดถึงบ้าน ความคิดถึงคนที่รอคอยเป็นเหมือนพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาในยามนี้

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งยังคงนำทัพอยู่ด้านหน้าในตำแหน่งเดิม ดวงตาที่คมกริบของเขายังคงจดจ่ออยู่กับเบื้องหน้าไม่เคยหันกลับมามองด้านหลังเลยแม้แต่น้อย เขานำพาเหล่าทหารบุกตะลุยไปบนเส้นทางที่ร้อนระอุและเต็มไปด้วยอุปสรรค เสียงฝีเท้าของทหารและเสียงกีบม้าที่กระทบกับพื้นดินยังคงดังเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ ก่อให้เกิดกลุ่มฝุ่นทรายขนาดใหญ่ลอยฟุ้งขึ้นในอากาศปกคลุมไปทั่วทั้งกองทัพจนแทบจะมองไม่เห็นแม้แต่คนข้างหน้า

ยามบ่ายของวันนั้นอากาศร้อนระอุยิ่งกว่าช่วงเช้าที่ผ่านมาหลายเท่า ซิ่วอิงรู้สึกได้ว่าร่างกายของนางเริ่มใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว ขาของนางปวดร้าวไปหมด รองเท้าหนังคู่เก่าที่เคยใส่สบายกลับรู้สึกคับแน่นและเสียดสีจนเลือดซึมออกมาจากเท้าทั้งสองข้าง ความกระหายน้ำถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซิ่วอิงได้แต่กลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงไปในลำคอที่แห้งผากของตัวเองเพื่อบรรเทาอาการกระหายน้ำที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นางหันไปมองรอบ ๆ ก็เห็นว่าทหารหลายคนก็มีอาการไม่ต่างจากนาง บางคนถึงกับทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความอ่อนเพลีย แต่ก็ต้องรีบลุกขึ้นมาเดินต่อเพราะไม่อยากเป็นภาระของคนอื่น ๆ

ฮั่วชวี่ปิ้งยังคงนำทัพไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ร่างของเขาดูราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับม้าสีขาวที่นั่งอยู่จนไม่อาจแยกจากกันได้เลย ชุดเกราะสีเงินของเขาเปล่งประกายเจิดจ้าท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง ซิ่วอิงมองไปยังแผ่นหลังอันมั่นคงของเขาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและศรัทธาในตัวของเขาอย่างเต็มเปี่ยม นางไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งอันไร้ขีดจำกัดนี้มาจากไหน แต่ในใจของนางก็คิดว่า หากสามารถแข็งแกร่งได้อย่างเขาเพียงครึ่งหนึ่ง นางก็คงสามารถกลับไปยังฉางอันได้อย่างแน่นอน

ในที่สุดเมื่อเดินทางไปได้อีกหลายชั่วยาม เสียงสัญญาณก็ดังขึ้นมาอีกครั้งเป็นสัญญาณให้กองทัพทั้งหมดหยุดพักแรมค้างคืน เมื่อเสียงกลองสิ้นสุดลง ซิ่วอิงก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ร่างกายของนางปวดร้าวไปทั้งตัวจนแทบจะขยับตัวไม่ได้เลย นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อน ๆ แล้วก็ต้องแปลกใจที่แม่ทัพหนุ่มไม่ได้หยุดพักเหมือนคนอื่น ๆ เขายังคงขี่ม้าออกไปสำรวจเส้นทางข้างหน้าเพียงลำพังด้วยท่าทางที่มุ่งมั่นและแข็งแกร่งเหมือนเดิม

ในคืนนั้นบรรยากาศของค่ายพักแรมเต็มไปด้วยความเงียบสงบ มีเพียงแค่เสียงของกองไฟที่ดังเปรี๊ยะ ๆ และเสียงพูดคุยของเหล่าทหารที่ดังขึ้นมาเพียงแผ่วเบาเท่านั้น ซิ่วอิงและเกาเหยียนช่วยกันกินอาหารแห้งและน้ำที่เหลือเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังชีวิต เกาเหยียนรู้สึกเห็นใจซิ่วอิงเป็นอย่างมากจึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า

“ลูกพี่อย่าเพิ่งท้อนะ อีกไม่นานเราก็จะถึงเมืองหยุนอู่แล้ว”

ซิ่วอิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย 

“ข้าไม่ได้ท้อแท้หรอก เพียงแต่รู้สึกเหนื่อยล้าเพียงเท่านั้น”

คืนนั้นอากาศหนาวเหน็บกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ซิ่วอิงตื่นขึ้นกลางดึกเพราะรู้สึกหนาวจนร่างกายสั่นเทาไปหมด นางหันไปมองรอบ ๆ ก็เห็นว่าทุกคนกำลังนอนหลับกันอย่างเงียบสงบ มีเพียงแค่ยามที่กำลังเฝ้าเวรเท่านั้นที่ยังคงยืนตระหง่านอยู่ ซิ่วอิงลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินไปที่กองไฟเพื่อผิงไฟคลายหนาว ในขณะที่นางกำลังนั่งอยู่ นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

ซิ่วอิงหันไปมองก็พบกับฮั่วชวี่ปิ้งที่กำลังเดินเข้ามาใกล้กองไฟในชุดเสื้อผ้าธรรมดาที่ไม่ใช่ชุดเกราะหนัก ๆ เหมือนทุกครั้ง เขาไม่ได้มองมาที่นาง แต่เดินไปหยิบกิ่งไม้แห้งแล้วโยนเข้ากองไฟอย่างเงียบ ๆ ซิ่วอิงไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่นั่งเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ เขาเท่านั้น บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความเงียบสงบจนได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจของทั้งสองคนเท่านั้น

ซิ่วอิงรู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวของเขา ฮั่วชวี่ปิ้งหันมาสบตากับซิ่วอิงเพียงครู่เดียว ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ซิ่วอิงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ปล่อยให้ความรู้สึกอบอุ่นนั้นโอบล้อมรอบตัว ก่อนจะกลับไปที่นอนเพื่อพักผ่อน



ออกจากเมืองซีตู

[LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


@Watcher   




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 33080 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-16 01:59
โพสต์ 33,080 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(2)  โพสต์ 2025-9-16 01:59
โพสต์ 33,080 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +20 คุณธรรม +20 ความโหด จาก หงอนคู่ราชันย์  โพสต์ 2025-9-16 01:59
โพสต์ 33,080 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +15 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ง้าวกรีดนภา  โพสต์ 2025-9-16 01:59
โพสต์ 33,080 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-9-16 01:59
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
แหวนดาราจรัส(2)
หงอนคู่ราชันย์
ง้าวกรีดนภา
แหวนดาราจรัส(D)
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x30
x30
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x4
x1
x140
x2
x90
x186
x200
x399
x684
x707
x2
x2
x8
x4
x5
x20
x4
x799
x2
x20
x12
x22
x6
x12
x17
x10
x38
x2
x680
x228
x428
x44
x506
x19
x12
x1
x19
x228
x1
x21
x10
x203
x3
x116
x37
x5
x63
x1
x2
x40
x1
x5
x2
x7
x6
x5
x6
x6
x17
x2
x2
x25
x15
x16
x2
x47
x6
x7
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้