การกำเนิดของภูตเบญจพิษได้สิ้นสุดลงแล้ว แสงสว่างวาบที่เคยแผ่ออกมาจากตันเถียนของซูเหยาได้จางหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความมืดสลัวที่เต็มไปด้วยไอพลังงานหนาแน่นของถ้ำวั่วหลง นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ในห้วงเวลาแห่งความเงียบงันที่เข้าครอบคลุมอีกครั้ง ความเหนื่อยล้าจากการบำเพ็ญเพียรต่อเนื่องเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย แทนที่ด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต และคล้ายมีกระแสความรู้ใหม่ที่ชัดเจนไหลถ่ายทอดเข้ามาในจิตสำนึกของนาง
เมื่อดวงตาปรับเข้ากับความมืดสลัวภายในถ้ำได้อีกครั้ง สิ่งแรกที่ซูเหยาได้เห็นคือสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ลอยตัวอยู่ตรงหน้าห่างไปไม่เกินหนึ่งช่วงแขน มันมีขนาดพอ ๆ กับฝ่ามือผู้ใหญ่ ลำตัวกลมป้อมสีเหลืองสดใสราวกับดอกกุ้ยฮวาในฤดูสารท มีปีกบางเบาสองคู่สีเขียวมรกตที่กระพือช้า ๆ ส่งเสียงหึ่ง หึ่ง แผ่วเบาในอากาศ มันมีใบหน้าเล็กจิ้มลิ้ม มีดวงตากลมโตสีเขียวที่ส่องประกายระยิบระยับ และมีหนวดเส้นเล็กบนหัวแกว่งไกวไปมา
รูปลักษณ์ภายนอกของมันช่างน่ารักและไม่มีพิษภัย จนยากจะเชื่อว่ามันคือสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นจากวังวนแห่งพลังบริสุทธิ์และธาตุทั้งห้าอันทรงอานุภาพ ซูเหยามองสำรวจมันด้วยความฉงนสงสัยและจับจ้องอย่างไม่วางตา นางใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าที่จะรวบรวมสติให้ถามออกไป
เจ้าภูตน้อยที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันเอียงศีรษะเล็กน้อย ปีกสีเขียวหยุดกระพือ มันเท้าแขนเล็ก ๆ ที่ดูราวกับแขนของทารกน้อยไว้ที่เอว และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สดใสและดังชัดเจนแต่ก็แฝ่วเบาราวเสียงระฆังลม ท่าทางของมันแสดงออกถึงความหยิ่งยโสเล็กน้อย อย่างน่าขัน
"เจ้าจ้องอะไรขนาดนั้น ไม่เคยเห็นภูตเบญจพิษหรือไง?"
ซูเหยาส่ายหน้าปฏิเสธช้า ๆ นางรวบรวมมือข้างหนึ่งวางไว้บนหน้าตัก และโค้งศีรษะให้เล็กน้อยตามธรรมเนียม
"ไม่เคยเจ้าค่ะ...เอ่อ...ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเลย เจ้าคือภูตเบญจพิษอย่างที่เจ้ากล่าวอ้างจริงหรือ?"
เจ้าภูตน้อยทำท่าทางเหมือนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเชิดใบหน้าเล็ก ๆ ขึ้นเล็กน้อยด้วยความภูมิใจ มันลอยวนรอบศีรษะของซูเหยาไปหนึ่งรอบก่อนจะกลับมายืนอยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง
"แน่นอนอยู่แล้ว! ข้ามีนามว่าฮว่าอิง! ข้าออกจะมีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธจักร เจ้าไม่รู้จักข้าได้อย่างไรกันเนี่ย! นี่เจ้าใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาโดดเดี่ยวหรืออย่างไร?"
ซูเหยาถอนหายใจออกมาแผ่วเบา นางรู้สึกอับอายเล็กน้อยที่ไม่รู้จักสิ่งที่ดูมีชื่อเสียง แต่ความจริงก็คือนางไม่เคยออกสู่โลกภายนอกมากนัก นางหมกตัวอยู่กับวิชาแพทย์และการฝึกฝนบำเพ็ญโดยตลอด
"เอ่อ...ข้าขออภัยด้วย...คือว่าข้าเติบโตในป่าเขามาตั้งแต่เด็ก เพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงได้ไม่นานนี้เอง เลยอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อเสียงของเจ้า ข้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ "
ฮว่าอิงจ้องมองซูเหยาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมรับคำขอโทษอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วสีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตากลมโตเริ่มส่องประกายด้วยความอยากอาหาร
"เอาเถอะ... ช่างมัน! เรื่องชื่อเสียงไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ข้าหิวแล้ว! การกำเนิดของข้าใช้พลังงานไปมหาศาล เจ้าต้องรับผิดชอบชีวิตใหม่ของข้าด้วยการหาอาหารมาให้! ในเมื่อพวกเราพบกันครั้งแรก...ข้าอยากกินเป็ดย่างน้ำผึ้งซ่อนกลิ่นแกล้มกับชาหวงซานเหมาเฟิง! ต้องเป็นชาที่เก็บใหม่ในช่วงยามเฉิน ของฤดูใบไม้ผลิด้วยนะ!"
ซูเหยาได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้างเล็กน้อย นางพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เบามากจนแทบจะกลืนหายไปกับความเงียบของถ้ำ
"กินหรูจัง..."
แม้จะพึมพำเบาเพียงใด แต่เจ้าภูตเบญจพิษก็มีประสาทรับฟังที่ว่องไวผิดปกติ ฮว่าอิงหันขวับมามองซูเหยาด้วยดวงตากลมโตที่แทบจะลุกเป็นไฟ
"เมื่อกี้เจ้าพูดอะไรนะ!?"
ซูเหยาตกใจจนสะดุ้งเล็กน้อย นางรีบแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
"ปะ...เปล่า ไม่มีอะไรเลย! ข้าแค่ทวนรายการอาหารให้เจ้าฟังเท่านั้นเอง! ได้...ได้แน่นอน! เป็ดย่างน้ำผึ้งซ่อนกลิ่นกับชาหวงซานเหมาเฟิงใช่ไหม? เจ้ารอข้าตรงนี้ ข้าจะรีบไปนำมาให้เดี๋ยวนี้!"
ซูเหยารีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ความว่องไวปราดเปรียวของนางกลับคืนมาอย่างเต็มเปี่ยม นางวางท่าทางอย่างหนักแน่นและมั่นคงก่อนจะหันหลังเดินออกจากลานกว้างด้านในถ้ำไปตามทางคดเคี้ยวอย่างเร่งรีบ ทิ้งให้เจ้าภูตน้อยฮว่าอิงลอยเคว้งคว้างอยู่ในความมืดสลัวอย่างโดดเดี่ยว
การเดินทางกลับสู่เมืองหลวงในยามเช้าตรู่ของซูเหยาเต็มไปด้วยความเร่งรีบ นางต้องแวะร้านอาหารชื่อดังที่ยังไม่เปิดทำการ และต้องใช้ทักษะการเจรจาเพื่อให้ได้เป็ดย่างที่ปรุงเสร็จใหม่ ๆ ในยามนี้ นอกจากนี้ยังต้องแวะโรงน้ำชาเก่าแก่เพื่อขอชาหายากตามที่ภูตน้อยต้องการ
ซูเหยาหายเข้าไปในความมืดของถ้ำอีกครั้งหลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม เมื่อกลับมาถึงลานกว้างด้านใน นางก็เห็นฮว่าอิงยังคงลอยตัวอยู่ตรงที่เดิมด้วยท่าทางที่ดูเบื่อหน่าย นางรีบวางชุดเป็ดย่างที่ส่งกลิ่นหอมหวลไปทั่วถ้ำ และถ้วยชาอุ่น ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นของดอกกล้วยไม้ป่าลงบนก้อนหินเรียบอย่างระมัดระวัง
เจ้าภูตน้อยฮว่าอิงไม่รอช้า มันพุ่งเข้าหาอาหารอย่างรวดเร็ว และเริ่มลิ้มรสเป็ดย่างน้ำผึ้งที่มันต้องการอย่างเอร็ดอร่อย มันใช้มือเล็ก ๆ ฉีกเนื้อเป็ดชิ้นเล็ก ๆ เข้าปากอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจิบชาตามไปอย่างผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ท่าทางของมันช่างดูหรูหราผิดกับรูปลักษณ์ที่เล็กจิ๋ว
ฮว่าอิงกินอาหารจนท้องป่องอย่างเห็นได้ชัด จนแทบจะลอยตัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว มันยกมือลูบท้องที่เต็มไปด้วยเป็ดย่างอย่างพึงพอใจ ก่อนจะส่งเสียงออกมาอย่างมีความสุข
"อืม...รสชาติเยี่ยมยอด! เจ้าเองก็ใช้ได้เลยนะเนี่ยที่สามารถทำให้ข้าพึงพอใจได้! ข้าชักจะถูกใจเจ้าเสียแล้วสิ...มาผูกพันธะกันเถอะ!"
คำกล่าวของเจ้าภูตน้อยทำให้ซูเหยาที่กำลังนั่งพักอยู่บนพื้นถึงกับตกตะลึงจนร่างแข็งทื่อ นางไม่คาดคิดว่าการผูกพันธะจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ การผูกพันธะกับภูตเบญจพิษนั้นถือเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ แต่การเตรียมตัวก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง
"ผะ...ผูกพันธะ งั้นหรือ? ตะ...แต่..."
ซูเหยายังไม่ทันได้อธิบายถึงความจำเป็นในการเตรียมตัวอย่างถี่ถ้วนตามหลักวิชาการ เจ้าภูตเบญจพิษก็ไม่รอช้าอีกต่อไป มันเปล่งแสงสีม่วงแกมเขียวออกมาจากร่างเล็ก ๆ และพุ่งเข้าหาหน้าผากของซูเหยาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ แสงสว่างจ้าแผ่ออกมาเล็กน้อย ก่อนที่ซูเหยาจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดแปลบ ๆ ที่หน้าผาก พร้อมกับสัญลักษณ์บางอย่างที่ปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วจางหายไป
ฮว่าอิงถอยออกมาลอยอยู่ตรงหน้าซูเหยาอีกครั้งด้วยท่าทางที่พึงพอใจอย่างที่สุด การผูกพันธะเสร็จสิ้นลงแล้วในชั่วพริบตา
"เท่านี้นี่แหละ! ต่อจากนี้ข้าเป็นภูตของเจ้า เราจะเป็นคู่หูกัน! เจ้าจงภูมิใจเสียเถอะ เจ้าโชคดีมากนะที่ไม่ต้องไปเรียนวิชาพันธะวิญญาณของสำนักหมิงซูอันแสนน่าเบื่อนั่น ข้าอุตส่าห์เสนอตัวเองผูกพันธะให้เจ้าถึงที่เลยนะ! ต่อไปนี้ก็หาของอร่อย ๆ มาให้ข้ากินเยอะ ๆ ก็พอ"
ซูเหยาที่ยังคงนั่งนิ่งด้วยความตกใจ ได้แต่พึมพำกับตัวเอง นางไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรกับการกระทำอันรวดเร็วและเด็ดขาดของเจ้าภูตน้อยตัวนี้
และแล้วซูเหยาก็ได้คู่หูคนใหม่ที่มาพร้อมกับความต้องการอันซับซ้อนด้านอาหาร และการผูกพันธะที่เสร็จสิ้นลงด้วยความบังเอิญและรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ