
บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
เริ่มต้น ยามเว่ย เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ณ เมืองลั่วหยาง จักรวรรดิต้าฮั่น

ค่ำคืนของเดือนใหม่ทอดเงาเหนือผืนป่า เสียงจักจั่นร้องระงมแข่งกับสายลมที่พัดแผ่วจากทิศเหนือ หลินหยาเดินนำม้าสีน้ำตาลอ่อนของตนอย่างระมัดระวัง พลางชำเลืองไปยังจางทังที่ขี่ม้าเคียงข้าง ทั้งสองเพิ่งหลุดพ้นจากพวกนักล่าเงินรางวัลได้ไม่นาน แสงจันทร์ที่ลอดผ่านกิ่งไม้สะท้อนเหงื่อบนข้างแก้มของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา “อีกไม่นานคงถึงชายป่าแล้วเจ้าค่ะ” หลินหยากล่าว พลางสูดลมหายใจลึก เธอเหนื่อยแต่ยังมีรอยยิ้มบางติดบนใบหน้า
จางทังพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาคมยังระวังทุกฝีก้าว “อย่าประมาท” เขาว่าเสียงต่ำ “แม้จะออกจากเมืองมาได้ แต่เงามืดของไฉ่หลินยังติดตามอยู่” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ “เจ้าค่ะ ข้าเริ่มชินแล้ว พวกมันนี่ดื้อยิ่งกว่าลูกแมวหิวข้าวเสียอีก”
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ เสียงเกือกม้าดังขึ้นจากอีกฟากของทาง เสียงนั้นชัด ลึก หนักแน่นราวกับพายุที่เคลื่อนเข้ามาช้า ๆ จางทังยกมือให้หยุดทันที ทั้งสองเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นไม่ใช่ของพวกโจรลอบสังหารแน่ มันเป็นเสียงฝีเท้าม้าที่มีวินัยและแรงกดมั่นคง แสงจันทร์สะท้อนเงาร่างของม้าสีดำมะนิลาที่พุ่งมาจากแนวพงหญ้า ท่ามกลางลมราตรีที่พัดคลุ้งกลิ่นกฤษณาอ่อน ๆ หลินหยาขยับตัวช้า ดวงตาเบิกขึ้นเล็กน้อยเธอจำกลิ่นนี้ได้ดีเกินไป
เงาร่างบนหลังม้าแต่งกายด้วยอาภรณ์สีแดงเข้มปักลายมังกรทอง ดวงตาคมลึกล้ำราวเหยี่ยวที่มองทุกสิ่งทะลุความมืด เมื่อเขาหยุดม้า เสียงกีบข่วนพื้นดินดังสะท้อนในอกอย่างแผ่วแต่หนักแน่น จางกงกงอยู่ตรงนั้น หลินหยาหยุดนิ่งในพริบตา ริมฝีปากอ้าเล็กน้อยราวกับไม่แน่ใจว่านั่นคือภาพฝันหรือความจริง ดวงตาคมเยือกเย็นของเขาไล่มองจากจางทังเพียงชั่วเสี้ยวลมหายใจ ก่อนเลื่อนกลับมาจับจ้องนางโดยไม่ยอมละสายตา
เขาลงจากม้าในท่วงท่าช้าแต่เด็ดขาด เสื้อคลุมสีแดงเข้มสะบัดตามแรงลมจันทร์ กลิ่นปราณอสรพิษของเขาแผ่วบางจนทำให้รอบข้างเหมือนหยุดหายใจ เขาไม่ทักทายจางทังแม้ครึ่งคำ ดวงตาเย็นเฉียบแต่มีแววร้อนแรงเมื่อมองหญิงตรงหน้า “เสี่ยวหยา” เสียงทุ้มต่ำของเขาเอ่ยเรียกเพียงคำเดียว แต่กลับทำให้หลินหยารู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังถูกดึงเข้าหา “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกลอบทำร้ายหลายครั้ง...ลูกน้องของข้ารายงานว่าเจ้าน่าเป็นห่วงนัก”
เขาก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว เสียงเกือกม้าเบื้องหลังยังสะท้อนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับเงาทั้งหมดในป่ากำลังก้มหัวให้คนผู้นี้ หลินหยาก้าวถอยหลังเล็กน้อย ส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่ถึงกับนั้นเจ้าค่ะ ข้าจัดการได้ มีท่านจางทังคอยช่วยไว้”
เมื่อได้ยินชื่อบุรุษผู้อื่น สีหน้าเยือกเย็นของจางกงกงดูจะขมวดลงเพียงเสี้ยววินาที เขาหรี่ดวงตาคมลง เงารอยยิ้มบางแล่นผ่านริมฝีปากรอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าเยาะหรือข่ม “ข้าดีใจที่เจ้ารอดมาได้...แต่เสี่ยวหยา เจ้ารู้ใช่ไหมว่าใครแตะต้องเจ้าสักปลายนิ้ว ข้าจะถือว่าพวกมันล่วงเกินข้าโดยตรง”
จางทังที่ยืนอยู่ไม่ไกลยกมือคำนับเล็กน้อย ดวงตายังคงเรียบสงบแต่แฝงความตึงเครียด “ใต้เท้าจาง ปากท่านยังคมดังเดิม แต่ครานี้แม่นางหนานไม่ต้องให้ใครช่วยมากหรอก นางแข็งแกร่งกว่าที่ท่านคิด”
“หึ” เสียงหัวเราะในลำคอของจางกงกงแผ่วเบาแต่ชัดเจน “แข็งแกร่งเพราะมีคนคอยอยู่ข้างหรือเพราะข้าเผลอสอนให้เจ้ามากเกินไปกันนะ เสี่ยวหยา?” หลินหยากลอกตาอย่างอดไม่ได้ พลางยกมือทาบเอว “อย่ามาเริ่มขี้หึงเอาตอนนี้เลยเจ้าค่ะ นี่กลางป่า กลางค่ำกลางคืน ข้าเหนื่อยแทบล้ม ท่านยังจะ...” เธอหยุดพูดเมื่อเห็นแววตาเขาที่มองมา แววตาที่แฝงความห่วงใยเจือแรงดึงดูดจนเธอต้องเม้มปากแน่น
จางกงกงก้าวเข้ามาใกล้จนกลิ่นกฤษณาจาง ๆ ของเขาแผ่คลุม เขายื่นมือมาสัมผัสเส้นผมที่หลุดออกจากปิ่นของเธอเบา ๆ “เจ้าเหนื่อยนักหรือ...?” เสียงเขาเบาแต่เฉียบชัด หลินหยาหลุบตาเล็กน้อย ใจเต้นแผ่ว “ข้า...พอไหวเจ้าค่ะ” เขายืนชิดหลินหยาเหมือนเงาที่ไม่ยอมหลุดร่าง ส่วนจางทังกุมบังเหียนม้าไว้ห่างออกไปครึ่งช่วงกระบี่ ดวงตาคมทั้งสองคู่ต่างประจันกันโดยไม่ต้องมีคำเชื้อเชิญใด ๆ ก่อนจะมีเสียงหัวเราะแผ่วของตุลาการพยัคฆ์เหล็กเฉือนความเงียบให้แตกออก
“อสรพิษอย่างท่าน…รู้จักเป็นห่วงผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแล้วหรือ?” จางทังเอ่ยเรียบ แต่คมคำแรงพอจะแหวกหมอกยามค่ำให้แตกเป็นเสี่ยง
พัดในมือของจางกงกงคลี่ออกครึ่งวง รอยยิ้มที่ยากอ่านปรากฏใต้แสงเดือน “คำถามของท่านเหมือนคำพิพากษาที่ตั้งธงไว้ล่วงหน้า หาได้มีสำนวนอ่อนช้อยอย่างที่ศาลต้าหลี่ชอบอวดนัก” เขาเอียงหน้าเพียงเล็กน้อย ไม่แม้เหลียวมองชายบนม้าขาว นัยน์ตายังคงยึดที่ใบหน้าของหญิงสาวข้างกาย “แต่ถ้าท่านอยากได้คำตอบ ข้าห่วงคนของข้าไม่ใช่เรื่องที่ศาลใด ๆ ต้องรับรู้”
“คนของท่าน?” จางทังเลิกคิ้ว “หรือหมายถึงของกลางที่ท่านอยากยึดไว้ข้างตัวกันแน่ ใต้เท้าจางความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว นิสัยท่านไม่ใช่ประเภทจะยื่นมือเปล่าโดยไม่ซ่อนมีดไว้ในแขนเสื้อ”
พัดปิดยิ้มกลายเป็นเงากรีดผ่านแก้มซีดของจางกงกง “พฤติกรรมที่ท่านว่านี้มีข้อบกพร่อง กล่าวหาแบบเหมารวม ไม่ต่างจากเด็กที่มองเงาตัวเองแล้วตกใจกลัวเล็บมือ” เสียงเขานุ่มแต่เย็นเฉียบ “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้…ปล่อยให้ข้าจัดการ อย่าได้กังวลไป”
“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องท่านจะรับมือศัตรูไหวหรือไม่” จางทังดึงบังเหียนให้ม้าขาวขยับมาด้านหน้าเล็กน้อย คมสายตาคล้ายดาบเปลือยที่ไม่ยอมคืนฝัก “ข้ากังวลว่าท่านกำลังหลอกใช้งานสตรีจิตใจงาม นางมิใช่หมากบนกระดานที่ใครควรปักหมุดตรงไหนก็ได้ตามอำเภอใจ ข้าไม่เชื่อว่าคนอย่างท่านจะมีความรู้สึกที่บริสุทธิ์”
รอยยิ้มของจางกงกงหายไปชั่วเสี้ยวลมหายใจ เงาอสรพิษในดวงตาชักวาบขึ้นมาราวจะฉก “คำตัดสินของท่านช่างหยาบนัก” เขาขยับกายบังลมให้นางโดยสัญชาตญาณ ละเอียดลออเกินกว่าคำพูดที่เฉือนเฉียบเมื่อครู่ “ถ้าข้าอยากใช้งาน นางจะยืนอยู่ตรงนี้ด้วยดวงตาสว่างเช่นนั้นหรือ” เขาไล่สายตาต่ำลงแตะแขนเสื้อที่ขาดจากการสู้รบของหลินหยาแล้ววกกลับขึ้น “นางอยู่เพราะนางเลือก ไม่ใช่เพราะข้าสั่ง”
“ท่านมิควรกล่าวเช่นนั้น หากท่านไม่รู้ว่าคำว่าเลือกของนางถูกโซ่ของท่านล่ามไว้แค่ไหน” จางทังสวนกลับอย่างไม่ให้ช่องว่าง
ประกายเย็นจัดวาบขึ้นในแววตาจางกงกง ราวโลหิตอสรพิษกำลังเดือดในหลอดแก้ว แต่ก่อนที่คำต่อไปจะปะทุเป็นเปลว หลินหยาก็ก้าวขึ้นมากั้นกลางอย่างรวดเร็ว เธอยกมือข้างที่ถือขลุ่ยแตะอกจางกงกงดันเบา ๆ อีกมือยกขึ้นเป็นสัญญาณให้จางทังรั้งม้าไว้ “พอเถิดเจ้าค่ะ เลิกมีปากเสียงกันได้หรือยัง” เสียงเธอเหนื่อยล้าแต่ชัดถ้อย “ข้าแทบทรุดอยู่แล้ว ยังต้องมานั่งฟังพวกท่านทะเลาะกันอีกหรือ เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะเจ้าคะ จะให้ล่มกลางลำเพราะศักดิ์ศรีพวกท่านสองคนหรือเจ้าคะ”
สายลมพัดชายผ้าไหมสีอ่อนของเธอเหมือนคำสอนที่กรีดผ่านคอคนดื้อดึง จางทังนิ่งไปชั่วครู่ สีหน้าที่เคยเข้มลดคมลง ส่วนจางกงกงชะงักราวถูกสาดน้ำเย็น เขาเหลือบมองเส้นผมช่อเล็กที่หลุดจากปิ่นเงินของนาง แล้วสูดลมหายใจกลั้นไฟในอก หลินหยาเบือนหน้าไปทางจางกงกงก่อน “หากท่านทะเลาะกับท่านจางทัง…ข้าจะงอนท่าน” คำว่าจองอนอ่อนเหมือนผ้าไหม แต่มีน้ำหนักพอถ่วงเขาไว้ทั้งตัว
รอยยิ้มที่อ่านยากค่อย ๆ กลับมาบนริมฝีปากของจางกงกง ทว่าแววตาอำนาจยังกร้าวแน่น เขาพับพัดลงอย่างว่าง่ายผิดนิสัย แล้วฉวยจังหวะก้มลงดึงชายเสื้อคลุมของหลินหยาให้เข้าที่อย่างถือสิทธิ์ มือหนึ่งลูบหลังมือเธอรวบขลุ่ยไว้ในฝ่ามือของตนชั่ววาบ สัมผัสฉกวูบแบบคนมีพิษในเลือดแต่รู้แรงพอดี “ก็ได้ เสี่ยวหยา ข้าจะหยุด” เขาเอ่ยแผ่ว แต่หันหน้าไปทางจางทังด้วยปลายเสียงที่ยังมีเงาของเขี้ยว “เพื่อเจ้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลินหยาปรายตาเตือนให้ไม่ต้องต่อคำอีก เธอหันไปหา จางทัง “คืนนี้พักเรื่องตัดสินคนอื่นก่อนเจ้าค่ะ พรุ่งเช้าค่อยตัดสินศัตรูของเราแทน”
จางทังค้อมศีรษะรับ มุมปากคลายตึง “ได้สิ แม่นางหนาน” แต่ยังไม่วายเหลือบมองมือที่จางกงกงวางทับขลุ่ยของนางอย่างเป็นเจ้าของ แววตาเขาอ่านได้ง่ายเขาไม่เห็นด้วย หากยอมถอยชั่วคราวเพราะนางขอ จางกงกงเห็นสายตานั้นก็ไม่คิดปิดบัง เขาขยับยืนแนบด้านข้างหลินหยา โอบไหล่นางเข้าใกล้จนกลิ่นกฤษณาของเขากลืนกลิ่นฝนค้างกลางทุ่งไปหมด “เจ้าเหนื่อยหรือ? เช่นนั้นก็พักข้างข้า” น้ำเสียงนิ่งสนิท ราวประกาศกรรมสิทธิ์กลางทุ่งกว้าง
หลินหยาค้อนให้เบา ๆ แต่ยอมให้เขาดึงเสื้อคลุมอีกชั้นมาคลุมไหล่ คืนนี้ลมแรงกว่าคืนก่อน มือเธอจับสาบผ้าไว้แน่น ริมฝีปากยกยิ้มจิ๊จ๊ะ “ท่านขี้หวงไม่หาย”
“ข้าไม่เคยคิดจะหาย” จางกงกงตอบตรงและอันตราย “แต่อย่าได้กังวลไป ปล่อยให้ข้าจัดการเถิดเสี่ยวหยา” เขาเหลือบตาไปยังแนวป่าที่ทอดยาว “ทางตะวันออกมีคนซุ่ม เงาของพวกไฉ่หลินลากยาวจากพุ่มหนาม สองคู่ สับเปลี่ยนเวรทุกยี่สิบเคาะชีพจร เราเคลื่อนหลังเมฆบังเดือนอีกครั้งจะปลอดภัยกว่า”
“ข้าจะตรวจซ้ำ” จางทังรับคำพลางแตะฝักกระบี่หักธรรม “และข้าจะยังคงจับตาดูการ ‘จัดการ’ ของท่านด้วย ใต้เท้าจาง”
จางกงกงยกพัดแตะริมพจน์ คลี่รอยยิ้มผิวเผิน “ตามสบาย ตราบใดที่ท่านจำไว้ว่าเสี่ยวหยาอยู่ข้างข้า” เขาก้มลงแตะหน้าผากหลินหยาเบาเหมือนผีเสื้อสัมผัสดอกไม้ ทว่าความหมายชัดกว่ามีดสลักหิน จากนั้นจึงเหวี่ยงเสื้อคลุมให้กระชับบ่าเธออีกครา หลินหยาถอนใจยาว ยอมแพ้ให้ความดื้อดึงของชายผู้มีพิษในสายเลือดเพียงชั่วคืน “งั้นก็เลิกแข่งคำเถิดเจ้าค่ะ แข่งฝีเท้าแทน” เธอเคาะขลุ่ยกับสันอานหนึ่งครั้ง เสียงไม้ใสกังวานเป็นสัญญาณ “ไปกันได้แล้ว ก่อนเดือนใหม่จะทันเห็นเราเถียงกันจนครบทุกข้อกฎหมายของศาลต้าหลี่”
คำล้อเลียนนั้นทำให้จางทังเผลอยิ้ม ส่วนจางกงกงหัวเราะต่ำในลำคอ ทั้งสามขึ้นม้าพร้อมกัน เงาม้าตัดกับเส้นแสงเงินของจันทร์เหมือนพู่กันลากบนกระดาษสา พวกเขาเคลื่อนที่เป็นลิ่มเงียบ จางทังล่วงหน้าไปตรวจ ซ้ายมือมีเสียงน้ำในคูไหลเอื่อยเป็นจังหวะ ส่วนกลางลิ่มคือหลินหยาในเสื้อคลุมแดงเข้ม และท้ายลิ่มคือจางกงกง ผู้ขี่ตามอย่างแนบชิดจนเงาของเขาซ้อนทับเงาของนางพอดี







โพสต์