ตำหนักตงเฉินไร้นายมาหลายปีแต่ก็ไม่เคยมีประกาศให้ผ่อนการดูแลลง กระทั่งในวันนี้ในที่สุดตำหนักตงเฉินก็ได้กลับมาเฉิดฉายในฐานะตำหนักอันเป็นที่พำนักของหนึ่งในพระสนมที่น่าจับตามองในช่วงเวลาที่ผ่านมา .. ท่ามกลางทิวทัศน์ร่มรื่นชวนให้มองของตำหนักตงเฉินมีหนึ่งร่างเพรียวระหงส์ภายใต้อาภรณ์สีครามไล่ระดับจากอ่อนไปเข้มอยู่นางหนึ่ง สตรีผู้นั้นโน้มกายลงและยื่นมือออกไปเช็ดคราบเขม่าควันบนกลีบดอกไม้สีเหลืองฉูดฉาดเกิดเป็นภาพของสองสีตรงข้ามกันที่ขับเน้นให้ต่างฝ่ายต่างก็ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
กว่าจะได้มาซึมซับกับบรรยากาศเงียบสงบที่แสนงามนี้นับว่านางผ่าน ‘ มรสุม ’ มามาก
ไป๋หรั่นสูดหายใจเข้ารับเอากลิ่นมวลบุปผาพร้อมทั้งกลิ่นอายชื้นฉ่ำจากบ่อน้ำเข้าสู่ร่างพลางเคลื่อนนัยน์ตาเข้มขลับราวมณีนิลมองสองฝั่งรอบกาย จริงอยู่ที่ตำหนักตงเฉินจะงามได้อย่างเต็มรูปแบบก็เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว แต่ทิวทัศน์ปัจจุบันที่เห็นได้ในฤดูอื่นก็ใช่ว่าจะเป็นรองตำหนักใด
นงคราญหยกยกมือขึ้นรับสิ่งมีชีวิตบอบบางตัวกระจ้อยอย่างผีเสื้อที่โน้มร่อนลงมาใกล้
คงเป็นเพราะตำหนักตงเฉินมีทั้งต้นไม้สูงและดอกไม้ต่ำทำให้บรรยากาศโดยรอบดูคล้ายอุทยานหรือไม่ก็พื้นที่ใจกลางป่าที่มีลำน้ำล่อเลี้ยงไปตลอดสายทำให้ภายในพื้นที่ประกอบไปด้วยสัตว์เล็กสัตว์น้อยมากมายชวนให้ปวดหัวปวดใจว่าสมควรจะจัดการนำพวกมันอย่างไร อันที่จริงหากมีแค่ผีเสื้อก็ไม่เท่าไหร่ .. แต่สองวันมานี้นางเจอนกเผลอบินมาติดซอกคานระเบียงทางเดินของตำหนักอยู่ไม่น้อยเลย
“ ไปเถอะ เลือกสักดอกที่เจ้าชอบ ” ลู่ไป๋หรั่นกระดิกนิ้วเล็กน้อยเป็นการไล่ให้ผีเสื้อปีกน้ำตาลตัวหนึ่งโผบินขึ้นจากมือขาวผุดผาด อย่างไรเสียในฐานะเจ้าบ้านผู้มีเมตตานางย่อมสามารถแบ่งดอกไม้กับสัตว์ที่หากินกับของประดับบ้านของนางได้โดยไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
“ พระสนมระวังผึ้งด้วยนะเจ้าคะ ” ถัดออกไปด้านหลังยังมีนางกำนัลประจำตำหนักกลุ่มหนึ่งคอยสอดส่องดูแล แม้จะรู้ดีว่าเจี๋ยยวี่คนใหม่ที่ขึ้นมาเป็นนายของพวกตนนับว่าเป็นสตรีที่ดูแลง่ายผู้หนึ่ง
ลู่เจี๋ยยวี่ไม่ใช่คนแสนซน เจ้าอารมณ์ หรือมากปัญหา นางถามในสิ่งทึ่ควรรู้และสำรวจเท่าที่ทำได้ภายในขอบเขตที่ไม่ทำให้เหล่านางกำนัลต้องใจหายใจคว่ำจนนับว่าเป็นผู้ที่รักษากิริยามารยาทได้อย่างดียิ่งทั้งในสายตาคนหมู่มากและลับหลังสายตาเหล่านั้น อีกทั้งยังเป็นคนเก่งที่ดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องรอให้ใครมาประเคนสิ่งต่าง ๆ ทำให้เหล่านางกำนัลล้วนชื่นชมในความเสมอต้นเสมอปลายในทางที่ดีของนาง
“ ไม่ต้องห่วงข้า พวกเจ้าไปเตรียมชาเถอะ ”
ผู้ชำนาญการด้านชาเมื่อได้ย้ายมาอยู่ในตำหนักของตัวเองก็ดูจะใช้เวลาอยู่กับชามากขึ้นโดยที่นางเองก็ไม่ทันได้รู้ตัว อากาศช่วงกลางคืนที่ตำหนักตงเฉินค่อนข้างเย็นและอีกอย่างนางเองก็ไม่ค่อยชินกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปดังนั้นสิ่งเดียวที่ช่วยให้ผ่อนคลายรวมไปถึงคลายหนาวย่อมมีแค่ชาร้อน ๆ ของว่างอุ่น ๆ หรือไม่ก็หาอะไรทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า
“ เข้าใจแล้วเจ้าค—- เฮือก ”
นางกำนัลที่เกาะกลุ่มกันอยู่แทบจะทรุดลงพื้นไปพร้อมกันถ้าไม่ใช่ว่ามีสายตาห้ามปรามจากฝั่งผู้มาเยือนที่ก้าวเข้ามาป่านนี้ทั่วทั้งทางเดินคงเต็มไปด้วยเสียงถวายพระพร ชายร่างปราดเปรียวในชุดมังกรสีนิลสื่อสารผ่านสายตาเพื่อไล่คนออกไปโดยที่ไม่ทำให้คนในที่ตนตั้งใจมาพบต้องรู้สึกตัว
เจ้าแผ่นดินผู้นี้ไม่ได้คิดที่จะอยู่นานเพราะเขาตั้งใจมาเพื่อตรวจสอบว่า ‘ นาง ’ ใช้ชีวิตปกติดี ไม่ได้ไปมีเรื่องมีราวที่ไหน เพราะเมื่อประมาณสองวันก่อนในตอนที่ราชโองการเลื่อนขั้นนางประกาศออกไป เขาพึ่งจะได้รับรายงานจากภายในที่รีบร้อนเข้ามาแจ้งให้ทราบว่าลู่เจี๋ยยวี่เกิดเรื่องกระทบกระทั่งกับผู้อื่นอีกแล้ว
นางเป็นตัวปัญหาน้อย ตัวปัญหาที่เขาไม่คิดว่าจะสร้างเรื่องสร้างราวได้บ่อยขนาดนี้
หลิวเช่อหรี่ตาลงมองแผ่นหลังในเครื่องแบบเจี๋ยยวี่ที่ให้ความรู้สึกแปลกตาไปจากเดิม มันต่างจากในตอนที่เคยเห็นนางสวมเครื่องแบบเหม่ยเหริน ในยามนั้นนางดูเหมือนเด็กสาวหัวอ่อนเจ้าน้ำตาที่เข้มแข็งเกินคาด ผิดกับในตอนนี้ที่ดูคล้ายบุปผาบานสะพรั่งภายใต้สีสันคมเข้มชวนให้สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ลุ่มลึกทั้งที่ยังไม่ทันได้เห็นหน้า จนถึงกับทำให้เขาผู้ที่ไม่ใส่ใจในข่าวลือใดถึงกับกระจ่างคนถึงพากันเรียกนางว่า ‘ จิ้งจอก ’
ลมสายัณห์พัดเอากลิ่นดอกตู้เจวียนลอยเข้าสู่ตัวตำหนักพร้อมกับพัดกายบางให้หันกลับสู่ระเบียงทางเดินที่มีผู้มาเยือนนั้นยืนอยู่ ภายใต้แสงอาทิตย์สีส้มที่ถักทอริ้วทองลงบนผืนฟ้าที่เริ่มหม่นแสง สองร่างที่ยืนประชันกันอยู่นั้นช่างแตกต่าง ผู้หนึ่งคือโอรสสวรรค์ที่ยืนอยู่เหนือคนนับหมื่น ถือครองความสามารถและสติปัญญาองอาจเช่นมังกร ส่วนอีกรายคือสาวงามหยาดฟ้าปานเทพธิดาที่แฝงไว้ซึ่งความเย้ายวนตามธรรมชาติชวนให้เป็นที่รักใคร่เอ็นดู
หากมีใครสักคนเดินมาเห็นภาพนี้ก็คงได้แต่พากันตะลึงในความ ‘ โดดเด่นเป็นเอกเสมือนว่าหาใช่มนุษย์ ’ ของทั้งสองที่แม้จะแตกต่างกันไปคนละด้านแต่ก็สามารถผสมกลมกลืนกันจนเป็นเนื้อเดียวได้
“ … ”
“ … ”
โอรสสวรรค์หลุบตามองโฉมหน้าของผู้ครองตำหนักตงเฉินด้วยสายตาเรียบเย็น
ลู่เจี๋ยยวี่คล้ายกับสตรีมากมายที่เขาเคยพบนั้นคืองามถึงขนาดที่สามารถพรากใจคนได้เพียงแค่สบตา เสียก็แต่หญิงสาวเหล่านั้นคืองูพิษที่มาพร้อมกับภัยร้าย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายปีในชีวิตของเขานึกชิงชังสตรีงามมาโดยตลอด ทว่ากับลู่ไป๋หรั่นนั้นดูเหมือนจะแตกต่างออกไป.. อย่างไรเสียนางก็คือโฉมงามที่มากไปด้วยเสน่ห์อย่างที่สามารถทำให้คนเช่นเชานึกระแวงแต่ในขณะเดียวกันเมื่อนึกถึงบุคคลที่สามารถสนทนาด้วยได้แม้จะอยู่ในลำดับที่รั้งท้ายแต่อย่างน้อยก็ยังมีชื่อนางอยู่ในนั้น
คงเป็นเพราะเหตุนี้กระมังที่ทำให้เขาตัดสินใจมอบตงเฉินให้กับนาง เพราะที่แห่งนี้สงบ งดงาม เหมาะแก่การจิบชาและสนทนาเหมือนกันกับตัวตนของสตรีแซ่ลู่ที่มองดูแล้วก็คิดว่าคงไม่เป็นไรหากเขาจะเก็บนางไว้ใกล้ตัว
“ ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท ”
“ ลุกขึ้น ”
ไป๋หรั่นลุกขึ้นตามการอนุญาตของหวงตี้ นางก้มหน้าลงเพื่อเก็บสายตาประหลาดใจของตนเองพลางก้าวเข้าไปหาโอรสสวรรค์ด้วยท่าทีไม่รีบร้อน “ ตะวันคล้อยแล้ว ฝ่าบาทเสด็จมาเช่นนี้มิทราบว่าทรงได้เสวยพระกระยาหารหรือยังเพคะ อยากให้หม่อมฉันส่งคนไปแจ้งห้องเครื่องให้จัดสำรับมาที่นี่หรือไม่? ” นงคราญหยกกล่าวขึ้นตามความรู้สึกที่คิดว่าดีหากพูดออกไป อีกฝ่ายเป็นสวามีอย่างไรก็คงไม่ต่างจากคนในครอบครัวที่กลับบ้านหลังจากทำงานมาทั้งวัน..
ทว่าในสายตาหลิวเช่อการต้อนรับเช่นนี้กลับเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง นี่ไม่คล้ายกับตอนของเจี๋ยยวี่เจ้าของตำหนักเถียนเซี่ยที่เคยถามว่าตนต้องการสิ่งใดก่อนเข้านอนหรือไม่ ยามนั้นเป็นความขบขันระคนใคร่รู้ที่ต้องการจะทดสอบผู้ที่มีท่าทีรับมือไม่ถูก แต่กับยามนี้.. เนตรมังกรตวัดขึ้นมองร่างบางด้วยแววตาคมกริบ โอรสสวรรค์มองดูใบหน้างุนงงของสนมข้างกาย
นางพูดอย่างลื่นไหลราวกับกำลังต้อนรับเขากลับบ้าน
ประเดี๋ยวก่อน ‘ กลับบ้าน? ’
ฮั่นอู่ตี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเค้นหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าที่ดูรำคาญใจ “ สมควรจัดการเช่นไรก็จงทำเช่นนั้น ” พระเจ้าแผ่นดินสะบัดแขนเดินมุ่งเข้าไปในตำหนักราวกับรู้เส้นทางเป็นอย่างดีท่ามกลางความงงงวยของสนมที่ถามเขาอย่างใส่ใจ
เหตุใดถึงดูเหมือนนางทำผิดต่อเขา?
นงคราญหยกกะพริบตาปริบ ๆ พลางอ้าปากคล้ายจะพูดบางอย่างแต่สุดท้ายก็ปิดริมฝีปากกลับไปเช่นเดิม ในเมื่อตรงหน้าไม่มีคู่กรณีให้สอบถาม นางก็ได้แต่ถอนหายใจและเร่งคิดหาวิธีรับมือแบบด่วนจี๋ในระหว่างที่รีบย่ำเท้าตามหลังแขกผู้มาเยือน
“ ไปแจ้งห้องเครื่องให้ส่งสำรับมาที่ตำหนักตงเฉิน ” นี่คือประโยคแรกที่นางพูดกับนางกำนัลที่ยืนตัวสั่นงึก ๆ ด้วยความประหม่าเมื่อเห็นว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านั้นคือใคร ไป๋หรั่นใช้มือตบลงบนบ่าเล็กเชิงว่าให้กำลังใจกับคนงานของตัวเองก่อนจะเป็นฝ่ายยื่นมือรับถาดน้ำชาและก้าวเข้าไปใกล้ชายภูษามังกรที่ยืนชมภาพเขียนซึ่งแขวนอยู่ด้านใน นางรินชาลงจอกช้า ๆ ก่อนจะวางจอกชาไว้บนถาดและยกขึ้นทูนถวายข้างกายหวงตี้ “ เพราะไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาหม่อมฉันจึงไม่ทันได้เตรียมสิ่งใดไว้รับเสด็จ อย่างไรพระองค์ก็ทรงเสวยชาบุปผาก่อนเถิดเพคะ ”
ฝ่ายหลิวเช่อที่ไม่ได้คิดจะปฏิเสธน้ำใจให้นางต้องเสียหน้าผู้คนพยักหน้าเป็นการตอบรับหนึ่งครั้งจากนั้นค่อยยกมือขึ้นหยิบจอกชามาถือไว้ในมือทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากภาพวาดชิ้นงาม
“ หากฝ่าบาททรงชอบ.. ภาพวาดนี้ของยอดกวีหลี่ให้หม่อมฉันส่งไปที่ตำหนักเว่ยหยางดีหรือไม่เพคะ ”
ภาพวาดที่ฮั่นอู่ตี้พิจารณาอยู่นั้นเป็นหนึ่งในรายการสิ่งของที่ติดมากับหีบสินสอดฝ่ายสตรี ระดับคหบดีอันดับหนึ่งแห่งลั่วหยางส่งบุตรสาวเข้าวังทั้งทีไหนเลยจะยอมน้อยหน้า เขาใช้เวลาหนึ่งเดือนควานหาของล้ำค่ามามากมายราวกับต้องการให้นางเป็นองค์หญิงที่สามารถใช้ชีวิตอย่างเฟื่องฟูได้ตลอดทั้งชาติ ทว่าเรือนเมิ่งเหยาไม่สะดวกให้นำข้าวของมาจัดวาง รอจนกระทั่งนางได้รับตำหนักเป็นของตัวเอง บรรดาของตกแต่งและสะสมเหล่านี้จึงได้ออกจากหีบมาอวดโฉม
“ ไม่จำเป็น ” ตำหนักเว่ยหยางไม่ขาดของล้ำค่า และภาพวาดนี้เดิมทีก็ใช่ว่าจะเลิศล้ำจนอยากเก็บไว้กับตัว หลิวเช่อเพียงแค่รู้สึกว่าการที่มีภาพวาดที่ดูคล้ายจะเป็นรสนิยมของเหล่าบัณฑิตเช่นนี้แขวนอยู่ในตำหนักตงเฉินนับว่าเหมาะสมชวนให้มองอยู่ไม่น้อย
ฮั่นอู่ตี้ละสายตาจากภาพวาดชั้นดี เปลี่ยนมาเป็นการกวาดมองรอบด้านที่เปลี่ยนไปจากความทรงจำของเขา เมื่อก่อนตำหนักตงเฉินมักเป็นที่พำนักของสนมผู้เคร่งคัดในศาสนาและความมัธยัสถ์ทำให้ที่นี่งดงามโดยอาศัยสภาพแวดล้อมเป็นองค์ประกอบเดียว ทว่าเมื่อตำหนักชั้นดีเช่นนี้ตกมาอยู่ในมือคนที่รู้จักตกแต่งอย่างพอประมาณ.. ก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าดูดีขึ้นมาก หลิวเช่อเลื่อนสายตาผ่านเครื่องเรือนชิ้นแล้วชิ้นเล่า จวบจนสะดุดกับร่างอรชรที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้องพร้อมถือสะดึงปักผ้าขนาดพกพาพลิกไปมาอยู่ในมือ
โอรสสวรรค์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ซึ่งอยู่คนละฟากกับตัวที่นางนั่งอยู่ ลู่ไป๋หรั่นเงยขึ้นหน้ามองสวามีข้างกายเล็กน้อย หลิวเช่อเห็นว่าริมฝีปากของนางเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเบาบาง ส่วนหลังจากนั้นไม่นานนางก็ก้มลงกลับไปง่วนอยู่กับการปักผ้าเช็ดหน้าเช่นเดิม ส่วนตัวเขาเองที่ไร้ซึ่งคำพูดใดก็เพียงแค่ยกชาขึ้นจิบซึมซับไปกับรสหวานที่แผ่กระจายทั่วโพรงปากสลับไปกับทิวทัศน์อันงดงามของตำหนักตงเฉินท่ามกลางสายลมโชยเอื่อยและท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงไปทีละน้อย
หลังจากผ่านไปได้ครึ่งก้านธูป เหล่านางกำนัลจากห้องเครื่องก็ยกสำรับมาจนถึงตำหนักตงเฉิน
ฮั่นอู่ตี้ยังคงปล่อยให้นางได้ร่วมทานอาหารไปพร้อมกับเขา ครั้งนี้ต่างไปจากครั้งก่อนเล็กน้อยแม้ตอนต้นจะยังเป็นสนมแซ่ลู่ที่ตั้งน้ำแกงใส่ถ้วยและนำมาวางตรงหน้าเขาจนนับได้ว่าเป็นหนึ่งในการปรนนิบัติส่วนหนึ่งเหมือนอย่างเคย แต่ตอนนี้อย่างน้อยนางก็ยอมถือตะเกียบไว้ในมือคล้ายว่ารอให้ถึงเวลาแล้วค่อยลงมือทาน หลิวเช่อไม่นึกใส่ใจในส่วนนี้ เขาไม่ถือสาหากนางจะทานพร้อมกัน แต่หากนางต้องการทานทีหลังนักก็ให้มันเป็นเช่นนั้น ทว่าในจังหวะที่เขาเหลือบตาขึ้นก็กลับพบว่ามีสายตาอ่อนโยนหนึ่งคู่กำลังมองมาอย่างสงบเงียบ
“ หม่อมฉันกำลังสังเกตว่าแท้จริงแล้วฝ่าบาททรงโปรดจานใดหรืออาหารรสชาติแบบไหนเป็นพิเศษหรือไม่เพคะ ” ลู่เจี๋ยยวี่ตอบพร้อมอมยิ้มในทันทีที่เห็นกระแสความสงสัยกึ่ง ๆ หวาดระแวดระวังมาจากผู้เป็นสวามี หลังจากตอบให้อีกฝ่ายฟังแล้วนางก็หันไปรินชาและเลื่อนให้อีกฝ่ายได้ดื่มเพื่อล้างปาก
“ แล้วได้คำตอบหรือไม่ ”
“ น่าเสียดายนัก .. เหมือนว่าจะไม่ได้เลยเพคะ ”
ครู่หนึ่งในแววตาของโอรสสวรรค์ดูจะมีความขบขันในความซื่อตรงของนางอยู่บ้าง หลิวเช่อหวนระลึกถึงเหตุผลที่ทำให้เขานึกระแวงไปก่อนหน้านี้ เพราะชีวิตในฐานะเชื้อพระวงศ์ทำให้เขาต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอไม่เว้นแม้แต่เรื่องการทานอาหาร ที่หากแสดงออกว่าโปรดสิ่งใดชอบประเภทไหนแค่เพียงนิดก็อาจกลายมาเป็นภัยร้ายถึงชีวิต ดังนั้นตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาจึงจำเป็นต้องควบคุมกิริยาอย่างเข้มงวดในทุก ๆ เรื่องเพื่อไม่ให้มีจุดอ่อนใดเกิดขึ้น
“ ถ้าอย่างนั้นก็เลิกทำอะไรไร้สาระแล้วทานเสีย ”
เจี๋ยยวี่แซ่ลู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นี่นับว่าเป็นการตอบรับในเชิงที่ดีหรือเปล่าล่ะเนี่ย.. ?
“ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันไม่เกรงใจแล้วนะเพคะ ” สาวงามเช่นหยกวาดยิ้มเผยเขี้ยวเล็ก ๆ ชวนให้รู้สึกสดใสแสนซน หลิวเช่อที่เพียงแค่ชำเลืองตามองภาพนั้นค่อย ๆ เบือนสายตาออกไปอีกทางก่อนจะก้มลงคีบอาหารเข้าปาก ท่ามกลางความยินดีของนางกำนัลห้องเครื่องที่ลอบปลาบปลื้มอยู่ในใจว่าในที่สุดระหว่างฮั่นอู่ตี้และลู่เจี๋ยยวี่ก็ได้มีประสบการณ์ร่วมโต๊ะแบบปกติกับคนอื่นเขาเสียที !
หลังจากทานมื้อค่ำร่วมกันจนครบกระบวนแล้ว ลู่เจี๋ยยวี่ขอปลีกตัวออกไปเอาบางสิ่งมาถวายแก่ฝ่าบาท ซึ่งหลิวเช่อเองก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด กระทั่งเมื่อผ่านไปได้ราว ๆ หนึ่งเค่อ ในที่สุดตัวคนก็กลับมา
“ ฝ่าบาท ทรงเสวยซิ่งเหรินโต้วฟูสักหน่อยสิเพคะ ”
น้ำเสียงใสละมุนดังขึ้นเรียกให้ผู้ที่นั่งกึ่งเอนอยู่บนตั่งต้องละสายตาออกจากคัมภีร์บัญญัติลัทธิเต๋าที่เขาพึ่งจะหยิบออกมาจากชั้นหนังสือภายในเรือน แน่นอนว่าเจ้าของเสียงที่เรียก ‘ ฝ่าบาท ’ นั้นย่อมไม่ใช่ใครอื่น สายตาของโอรสสวรรค์นั้นจรดลงอยู่กับเงาร่างอรชรอ่อนช้อยสีครามเข้มที่กำลังวางซิ่งเหรินโต้วฟูสองจานลงกับโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล “ …? ” เมื่ออยู่กับนางเขาไม่จำเป็นต้องถามด้วยคำพูด ในตอนที่เนตรมังกรอันแสนแยบยลสบกับเนตรหงส์คู่งามนั้นก็คล้ายกับว่านางสามารถรับรู้ได้ถึงความคิดของเขา
“ เป็นซิ่งเหรินโต้วฟูนี้แหละเพคะที่หม่อมฉันบอกว่าจะนำมาถวายด้วยตนเอง เห็นว่าห้องเครื่องหลวงส่งมาให้เป็นการพิเศษ ”
ลู่เจี๋ยยวี่ช่วยไขความสงสัยให้เขาด้วยน้ำเสียงเรียบรื่นน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในสายตาหลิวเช่อท่าทางเช่นนี้ไม่ต่างอะไรไปจากเด็กน้อย โอรสสวรรค์เค้นหัวเราะในลำคอเป็นเสียงสั้น ๆ หนึ่งเสียงพร้อมหลุบตาลงอ่านเนื้อหาในคัมภีร์ต่อ พลางเอ่ยปากถามไปอีกสักหนึ่งประโยค “ ทำราวกับไม่เคยเห็นไปได้ ”
“ เพคะ หม่อมฉันไม่เคยเห็นซิ่งเหรินโต้วฟูมาก่อน ”
คำตอบที่รวดเร็วปานฟ้าผ่าของนางทำให้หลิวเช่อชะงักในทันที พระเจ้าแผ่นดินช้อนตาขึ้นพบแผ่นหลังที่โน้มลงจดจ้องอยู่กับของว่างที่เขาเห็นจนเบื่อ “ เพราะโต้วฟูสำหรับคนภายนอกนับว่าหายากยิ่ง หากได้มาก็นิยมนำไปทำสิ่งสำคัญเช่นอาหารที่ทานอย่างจริงจังมากกว่าจะนำมาทำของว่าง .. ทว่าสำหรับครอบครัวหม่อมฉัน โต้วฟูนับเป็นของซื้อของขายที่สามารถนำไปทำกำไรได้จึงน้อยนักที่จะมีโอกาสทาน ” สาวงามผุดผาดหยิบช้อนกดลงกับเนื้อโต้วฟูพลางตักบางส่วนขึ้นมาดมราวกับสัตว์พันธุ์เล็กที่สำรวจของกินก่อนจะรับประทานลงไป
กลิ่นหวานผสานไอเย็นทำให้นางตื่นตาตื่นใจ ไป๋หรั่นยืดกายขึ้นหมายจะหันกลับไปถามสิ่งที่ตนสงสัยกับชายที่ดูจะสามารถไขทุกข้อสงสัยในใต้หล้านี้ได้ ทว่าสิ่งที่นางพบกลับเป็นภูษานิลปักลายมังกรในระยะที่ห่างไปจากนางไม่ถึงครึ่งแขน
“ ฝ่าบาท.. ”
โอรสสวรรค์โน้มกายและเหยียดแขนอ้อมเฉียดกายนงคราญหยกลงไปหยิบจานซิ่งเหรินโต้วฟูอีกจานที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะก้มลงพิจารณาของว่างจานนั้น “ ข้างนอกมีใครอยู่หรือไม่ ”
“ เพคะฝ่าบาท ” นางกำนัลผู้หนึ่งรีบก้าวเข้ามาด้านในด้วยท่าทีนอบน้อม ทว่านอบน้อมได้ไม่ทันไรก็ต้องงุนงงเมื่อซิ่งเหรินโต้วฟูจานนั้นถูกส่งไปยังมือนางกำนัลที่รออยู่
“ นำไปอุ่น ”
ฮั่นอู่ตี้ออกคำสั่งคำเดียวก่อนจะหันกลับไปนั่งบนตั่งตามเคย ปล่อยให้สตรีสองชีวิตงงเป็นไก่ตาแตก “ แล้ว.. จานนี้ฝ่าบาท ”
“ ไม่เคยกินก็กินไป ”
เป็นอันจบครบทุกข้อสงสัย
…
ตอนนี้ก็เริ่มดึกแล้ว ล่าสุดที่มีคนเข้ามาแจ้งเวลาก็บอกว่าเป็นกลางยามซวี ทว่าฮั่นอู่ตี้กลับไม่มีท่าทางที่จะเสด็จกลับเสียที พอมาถึงตรงนี้ลู่เจี๋ยยวี่ถึงจะเริ่มร้อนใจขึ้นบ้างแล้วจริง ๆ นางร้อนใจถึงขนาดชงชาไปแล้วสามกา ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นการนั่งคัดอักษรอยู่กับโต๊ะเตี้ยที่พื้น โดยมีหลิวเช่อเอนกายอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าที่นางก็ไม่ยักรู้ว่ามีอยู่ในเรือนตัวเองบนตั่งด้านหลังที่สูงเหนือขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ
หลิวเช่อทราบดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายใช้อักษรข่ายซูอันแสนวิจิตรเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน แม้ว่าปัจจุบันทางราชการจะยังใช้อักษรเสี่ยวจ้วน แต่ด้วยความรู้ที่กว้างไกลของฮั่นอู่ตี้ย่อมต้องอ่านเขียนภาษาฮั่นได้อย่างแตกฉานในทุกตัวอักษร ไม่เว้นแม้แต่ประโยคที่นางกำลังคัดซ้ำไปซ้ำมาว่า 但愿人长久,千里共婵娟 ( ต้านเยวี่ยนเหรินฉางจิ่ว เชียนหลี่ก้งฉานเจวียน ) ที่แปลว่า ‘ ขอเพียงให้เรามีชีวิตยืนยาว ได้ร่วมชมดวงจันทร์แม้อยู่ห่างกันพันลี้ ’
สายพระเนตรของโอรสสวรรค์มองข้ามลำคอขาวผ่องที่โผล่พ้นช่วงคอเสื้อและจรดสายตาอยู่แค่ที่ตัวอักษรเหล่านั้น
นางกำลังคิดไล่เขากลับทางอ้อม ?
อาศัยกระแสความคิดนี้เพียงอย่างเดียว ฮั่นอู่ตี้ที่เคยคิดจะรามือในตอนท้ายก็หักกระบวนเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว “ เจี๋ยยวี่ ” หลิวเช่อเรียกนางเบา ๆ ส่งผลให้เจี๋ยยวี่ผู้นั้นจำเป็นต้องหันกลับมาพร้อมการตอบรับอย่างช่วยไม่ได้
“ ส่งคนไปแจ้งจางกงกงว่าเจิ้นจะค้างแรมที่ตำหนักตงเฉิน ”
“ เพคะ ? ”
อะไรไปดลใจชายผู้ชี้เป็นชี้ตายคนนับหมื่นให้ตัดสินใจค้างตำหนักนางมิทราบ ??
ลู่เจี๋ยยวี่เหม่อลอยไปหนึ่งจังหวะหายใจ ก่อนจะรีบดึงสติกลับมาและเริ่มถามทวนความต้องการของพระสวามีอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว “ พระองค์.. ประสงค์อย่างค้างแรมที่ตำหนักตงเฉิน? ”
“ อืม ”
โอ้ ซือมิ่งเจ้าคะ นี่มันเป็นการเล่นตลกชนิดใดกัน !
แม้จะอยากกรีดร้องใจแทบขาดแต่สุดท้ายนางก็ไม่พ้นได้แต่เก็บคอเก็บปากสงวนกิริยาและท่าทีเพื่อยันตัวลุกขึ้นเดินไปแจ้งแก่นางกำนัลด้านนอกให้ส่งข่าวไปถึงจางกงกง.. พนันเลยสิบตำลึงทองว่าทันทีที่จงฉางซื่อผู้นั้นรู้ข่าว เขาจะต้องรีบปรี่มาที่นี่ด้วยความไวราวควบม้าเร็วมาอย่างแน่นอน
ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่นางคาดอย่างพอดิบพอดี
“ ข้าน้อยขอแสดงความยินดีกับพระสนมที่ได้รับเสด็จฝ่าบาท ทั้งยังทำให้ฝ่าบาทสามารถตัดสินใจค้างแรมด้วยตัวพระองค์เอง ” จางกงกงที่ยิ้มจนปากแทบฉีกกำลังประสานมือโค้งลงแสดงความยินดีกับลู่เจี๋ยยวี่ที่จำเป็นต้องออกมารับเขาด้วยตนเองเพื่อแจ้งความต้องการบางส่วน “ หากพระสนมมีความประสงค์ใดอยากให้ข้าน้อยช่วย เชิ— ”
“ ฉลองพระองค์ของฝ่าบาทเล่า ? ”
เรียบง่าย ซื่อตรง ม้วนเดียวจบไม่จำเป็นต้องยึกยักถามมากให้เสียเวลา คำถามนี้ที่ออกจากปากสาวงามผุดผาดคล้ายจะปลุกใจชายหนุ่มให้เต้นโครมครามอย่างเขินอายได้ไม่ยาก “ ถึงข้าน้อยจะสนับสนุนพระสนมด้วยความตั้งใจแต่เกรงว่าเรื่องนี้.. ” วังหลวงในช่วงยุคของเขาไร้ซึ่งนายฝั่งสตรี รูปแบบจำพวกอยู่เฝ้าฟังสัมพันธ์สวาทของผู้เป็นนายเกรงว่าเขาจะไม่เคยฟังมาก่อนฉะนั้นการเห็นสาวงามดั่งหยกเปลี่ยนมาร้อนแรงซื่อตรงเช่นนี้ได้นับว่—‐
“ ฝ่าบาทจำเป็นต้องสรงน้ำก่อนเข้าบรรทม ได้นำฉลองพระองค์มาหรือไม่? อ้อ เจ้าตรงนั้นไปเตรียมน้ำอาบด้วย ให้ฝ่าบาทสรงน้ำที่ด้านในเรือนใหญ่ ประเดี๋ยวข้าจะไปอาบที่เรือนรับรองเอง ” เมื่อได้เห็นลู่เจี๋ยยวี่กำชับงานด้วยหน้านิ่ง ๆ เช่นนั้น ภาพฝันของจางกงกงก็พลันมลาย หัวหน้าขันทีหนุ่มคล้ายจะหน้ามุ่ยขึ้นทันตาเมื่อถูกดับฝันหวานที่สมควรใกล้จะเป็นจริงได้แล้ว
“ เอามาขอรับ ”
“ งั้นก็ดีแล้ว.. จะได้ไม่ลำบากท่านต้องไปมาหลายรอบ พรุ่งนี้ฝากส่งคนส่งฉลองพระองค์ของฝ่าบาทมาที่ตำหนักตงเฉินด้วย ยามเช้าจะให้ฝ่าบาทพลาดเวลาราชกิจเพียงเพราะมาค้างแรมที่ตำหนักข้าไม่ได้ ” ไป๋หรั่นไม่ต้องการข่าวลือจำพวกที่ฝ่าบาทลุ่มหลงในสตรีหรือแบบที่เจาะจงหน่อยก็คือลุ่มหลงในนางจนไปว่าราชการสาย เพราะหากเป็นเช่นนั้นขึ้นมาจริง ๆ ชีวิตนางได้ยุ่งเหยิงยับเยินแน่ นงคราญหยกเอื้อมไปรับถาดภูษาจากมือจางกงกงก่อนจะเดินกลับเข้ามาด้านในที่ยังมีฮั่นอู่ตี้นั่งจิบชารออยู่
“ ฝ่าบาท จางกงกงนำฉลองพระองค์มาส่งแล้วเพคะ มิทราบว่าทรงอยากสรงน้ำก่อนบรรทมเลยหรือไม่ ”
ผู้กล่าวยอบกายลงเล็กน้อย ดูเกรงอกเกรงใจทั้งยังไว้ตัวเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่าระดับฮั่นอู่ตี้แล้วเขาย่อมทำเพียงแค่ชำเลืองตามองเพียงครั้งเดียว ก่อนจะส่งเสียงอืมเป็นคำตอบ เจี๋ยยวี่แซ่ลู่สูดหายใจเข้า นางเดินถือถาดฉลองพระองค์สำหรับค้างคืนวางไว้ที่บริเวณหนึ่งหลังฉากกั้นห้องอาบน้ำ ก่อนจะเปิดประตูหลังห้องเพื่อปล่อยให้คนงานหาบน้ำอุ่นเข้ามาเทใส่อ่างโดยที่ตัวนางก็ทำได้เพียงเดินกลับไปหาหวงตี้ที่บัดนี้ลุกขึ้นจากตั่งแล้ว
“ หากมีพระประสงค์ต้องการสิ่งใดสามารถเรียกพวกบ่าวได้ทุกเมื่อเพคะ ” เหล่านางกำนัลจากไปพร้อมการทิ้งท้ายไว้อย่างนอบน้อม น้ำในอ่างถูกเติมจนเต็มพอให้คนที่เดินผ่านรับรู้ได้ถึงไออุ่นของน้ำที่ได้รับการต้มมาเป็นอย่างดี ด้วยความรู้สึกประดักประเดิดที่ไม่เคยทำอะไรเช่นนี้มาก่อน ดรุณีหยกก้าวย่างไปหลังฉากกั้นอย่างประหม่าพลางยื่นปลายนิ้วสัมผัสผิวน้ำเบา ๆ
“ น้ำกำลังอุ่นได้ที่เลยเพคะ ฝ่าบาท.. ”
“ มาช่วยเจิ้น ”
หลิวเช่อเดินตามหลังเข้ามาดั่งที่คาด โอรสสวรรค์หาได้ชายตามองนาง เขาทำเพียงแค่กางแขนออกคล้ายบอกผ่านการกระทำเพิ่มอีกทบเพื่อให้นางทราบว่า ‘ ช่วย ’ นี้หมายถึงสิ่งใด ในฐานะสนมการปรนนิบัติสามีเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ไป๋หรั่นสูดหายใจเข้าช้า ๆ นางก้าวเข้าไปยืนใกล้กับผู้ครองแผ่นดินทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้นางต่างจากสตรีอื่นนั้นกลับยังหลงเหลือเอาไว้ สนมแซ่ลู่หาได้ยืนประชันหน้าเข้าหาฝ่าบาทไม่ นางกลับเลือกมายืนที่ด้านหลังเพื่อที่จะปิดบังท่าทางที่อาจไม่น่าชมของตัวเองซึ่งหลิวเช่อก็หาได้ขัดข้อง
แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดนวลแก้มของนงคราญจึงขึ้นสีระเรื่อเปล่งปลั่งเยี่ยงกลีบเหม่ยกุ้ยฮวาลามไปจนถึงใบหู ยากนักที่จะตัดสินว่าเป็นเพราะบรรยากาศกรุ่นร้อนนี้หรือเป็นเพราะความเขินอายที่ต้องมาลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าต้องทำ
ลู่เจี๋ยยวี่เริ่มต้นด้วยการปลดสายคาดเอวบุรุษออก แม้จะต้องมีการยื่นมือโอบกายหนาบ้างเล็กน้อยเพื่อประคองสายรัดเอวแสนประณีตไม่ให้ตกลงจนเกิดความเสียหายแต่ก็นับว่าหลีกเลี่ยงการโอบที่จะทำให้หน้าอิงกับอกเขา เปลี่ยนมาเป็นการที่แก้มนุ่มนาบลงกับแผ่นหลังชวนให้รู้สึกจั๊กจี้เล็ก ๆ ต่อจากสายคาดเอวย่อมต้องเป็นการปลดเสื้อคลุมยาวชั้นต่าง ๆ ของเขา ไป๋หรั่นรีบจัดการขั้นตอนเหล่านั้นให้เรียบร้อย ก่อนจะเร่งหันหลังพับภูษาเดิมของฝ่าบาทในระหว่างที่สองหูยังคงได้ยินเสียงคนก้าวลงในอ่างน้ำ
“ หม่อมฉันพาดฉลองพระองค์ใหม่ไว้บนราวแล้วนะเพคะ ฉะนั้น .. ”
“ มีอะไรที่ต้องจัดการก็ไปจัดการเสีย ”
คำพูดรวบรัดของเขาทำเอาใบหน้านางร้อนผ่าว เจี๋ยยวี่แซ่ลู่กระแอมกับตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะรับคำว่าเพคะ แล้วเร่งเดินออกไปด้านนอกทิ้งให้อีกฝ่ายใช้เวลาสรงน้ำต่อไปเพียงลำพัง หลังจากนั้นราว ๆ หนึ่งก้านธูป สิ่งที่ต้องจัดการก็เสร็จไปจนครบแล้ว ลู่เจี๋ยยวี่ผู้เป็นเจ้าของตำหนักสูดหายใจเข้าปอดอยู่หน้าประตูโดยมีจางกงกงและนางกำนัลน้อยใหญ่อีกหลายคนส่งสายตาเป็นกำลังใจ
นางคิดว่าคงไม่มีอะไรที่น่ากลัว…
นงคราญหยกผลักประตูเข้าไปด้านใน ก่อนจะหันกลับมาปิดประตูให้แน่นสนิท นางคิดว่าตัวเองทำเวลาได้ค่อนข้างดี กลับมาครั้งนี้อย่างไรก็คงได้ถึงเตียงก่อนเขา บางทีแสร้งทำเป็นหลับไปเลยก็ไม่แ— “ … ” ที่อยู่ตรงหน้านางคือเงาร่างของโอรสสวรรค์ยืนทอดมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างด้วยท่าทางสงบนิ่ง ยามนี้อีกฝ่ายฉลองพระองค์ด้วยชุดเข้าบรรทมดูเป็นธรรมชาติและเข้าถึงง่ายยิ่งกว่าที่เคย
เมื่อเห็นเช่นนั้นนางก็ได้แต่ทำเป็นใจดีสู้เสือ สาวงามรีบเยื้องย่างไปอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบเฉียบทว่ารวดเร็ว
“ ฝ่าบาทยังประสงค์สิ่งใดอยู่อีกหรือไม่.. ”
“ ไม่แล้ว ” ฮั่นอู่ตี้เมื่อกล่าวจบก็ผินกายเดินผ่านโต๊ะที่มีจานอันว่างเปล่าของซิ่งเหรินโต้วฟูสองจานวางเคียงข้างกัน ทั้งหมดเป็นฝีมือการทานของเขาและนางที่ต่างก็ได้ลิ้มลองทั้งซิ่งเหรินโต้วฟูแบบร้อนและแบบเย็นไปพร้อม ๆ กัน นับว่าเป็นประสบการณ์การทานของว่างที่ไม่ชวนให้โดดเดี่ยวจนเกินไป ฉะนั้นแล้วในคืนนี้เองก็คงเป็นเช่นนั้น
ตามปกติแล้วภรรยาต้องนอนด้านใน ส่วนสามีนอนด้านนอก .. สองชีวิตยืนเคียงกันอยู่ข้างเตียงนอน คนหนึ่งสีหน้าสงบ ส่วนอีกคนก็สงบไม่แพ้กัน แต่กระนั้นแววตาก็ยังสั่นระริกด้วยความกังวล หลิวเช่อยังไม่ขึ้นเตียงเพราะตามหลักแล้วจำเป็นต้องให้นางขึ้นไปก่อนจะได้ไม่มีอะไรรบกวนเขาให้วุ่นวาย ทว่าหากให้นางขึ้นไปก่อน ยามดับเทียนนางก็ต้องข้ามตัวเขาไปมาด้วยเช่นกัน ฉะนั้นแล้วยกให้เป็นการตัดสินใจของนางเสียก็สิ้นเรื่องว่าต้องการทำแบบใด อย่างไรเสียเขาเองก็อยากจะรู้ ว่าสนมของตนผู้นี้จะมีความสามารถสักแค่ไหน
“ คืนนี้อากาศดีนัก หม่อมฉันเล่นดนตรีกล่อมพระองค์ดีหรือไม่เพคะ ? ”
อากาศดีเกี่ยวอะไรกับเล่นดนตรีไม่รู้ แต่อย่างไรนางก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้ ! ไป๋หรั่นหาได้กลัวการถวายตัว กลัวก็แต่หากถวายไปโดยไร้หลักค้ำยันแล้วจะกลายเป็นนางที่สูญเสียทุกอย่างไปจนไม่สามารถกู้กลับมาได้ ฉะนั้นแล้วจนกว่าจะมั่นใจว่าการมีชีวิตอยู่ในวังหลวงเป็นหนทางที่มั่นคงและคุ้มค่าพอนางก็ยังจำเป็นต้องสงวนท่าทีคุมเชิงเอาไว้ให้มั่น
ฮั่นอู่ตี้ที่รอดูว่านางจะรับมืออย่างไรเมื่อได้ฟังการตัดสินใจนั้นแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นเบา ๆ เดิมทีเขาก็หาได้คิดจะเอารัดเอาเปรียบนาง แต่ในเมื่อนางเป็นผู้เสนอมาด้วยตนเอง ถ้าเช่นนั้นเขาก็ไม่ปฏิเสธ “ ดับไฟ ” หลิวเช่อตอบพลางก้าวขึ้นไปบนเตียง และเอนกายลงราวกับนี่เป็นตั่งของตนเอง
แน่นอนว่าไป๋หรั่นที่โพล่งออกไปแล้วก็ได้แต่รับคำ นางลุกขึ้นดับไฟบางส่วนจนเหลือเพียงเทียนปลายเตียงที่ช่วยให้แสงสลัว พลางหยิบผีผาขึ้นมาเกลาสายก่อนที่จะเริ่มบรรเลงบทเพลงขับกล่อมมังกรให้คล้อยหลับในราตรีที่เนิ่นนาน..
.
.
.
หลับแล้ว.. ?
ลมหายใจของโอรสสวรรค์สงบนิ่งเป็นจังหวะบ่งบอกให้ทราบว่าสติสัมปชัญญะของเขาคงเลือนหายไปกับการพักผ่อนแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นถึงโอกาสทองที่นางจะได้พักกับเขาบ้างเสียที เจี๋ยยวี่แซ่ลู่วางผีผาลงข้างเตียงอย่างแผ่วเบาและดับเทียนที่ปลายเตียง ก่อนจะมองซ้ายมองขวาในความมืดพลางปีนขึ้นไปบนเตียงผ่านบริเวณที่มีไม้กั้นอย่างเสียกิริยาเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองต้องไปลำบากข้ามร่างของโอรสสวรรค์ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว
โดยหาได้รู้เลยว่าบุคคลบนเตียงที่นางนึกว่าหลับไปแล้วยามนี้กำลังค่อย ๆ ยกมุมปากขึ้นทีละน้อย
‘ ..นับเป็นวิธีการโง่งมที่ชวนให้ประหลาดใจเสียจริง ๆ ’