[ถนนนอกเมือง] ศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวย

[คัดลอกลิงก์]


ศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวย








【 ศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวย 】
【 นอกเมืองฉางอัน 】

ร่องรอยเก่าแก่ของความรุ่งโรจน์ ศาลเจ้าที่เคยเป็นพื้นที่รวมจิตใจของชาวฉางอัน ถูกลืมเลือนไปตามการเวลา หน้าประตูศาลเจ้าที่เคยมีรูปปั้นหินปีศาจหลัวซาที่วิจิตรงดงามถึงสองรูปบัดนี้ผุพังไปถึงหนึ่ง เหลืออีกเพียงหนึ่งที่ทรุดโทรมใกล้หมดแรงจะต้านทานลมฝน ป้ายไม้เก่าแกะนูนชื่อศาลปรากฏสามตัวอักษร '恬晴微' รวมเป็นความหมายถึง 'ท้องฟ้าปลอดโปร่งอันสงบเงียบและลึกซึ้ง'

เมื่อก้าวข้ามธรณีประตู ล้วนรู้สึกประหนึ่งว่าหลุดเข้าไปในพื้นแห่งจิตสงบท่ามกลางความผุพังของศาลที่ก่อร่างสร้างจากไม้เสียส่วนใหญ่ ที่ด้านในเรือนหลักปรากฏ 'รูปปั้นพระโพธิสัตว์ตี้จังผ่อซา' ที่แม้จะผ่านเวลามาเนิ่นนานแต่กลับไร้ซึ่งฝุ่นเกาะ ตลอดรอบแนวรั้วมีคูน้ำลำธารขุดเลาะรอบ เสริมบรรยากาศร่มเย็นเป็นสุข ด้านท้ายปรากฏช่องบนกำแพงที่สามารถก้าวออกไปตามเส้นทางคูน้ำเพื่อเชื่อมกับลำธารใหญ่ตามธรรมชาติ



【 หลังตู้ไม้ผุพังมีรอยหมึกบทกลอนเขียนไว้ 】

เดือนดาวพราวพรายฉายฉาน
เนิ่นนานในนภาสวยสม
นำใจให้ชื่นรื่นรมย์
เชยชมฟากฟ้าราตรี
ชมถ้อยร้อยรจน์พจน์พากย์
หลากหลายเพื่อนพ้องน้องพี่
ดั่งเดือนดาวพรายโสภี
มากมีความคำล้ำเลอ






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 9114 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-7-7 03:04
โพสต์ 2024-7-7 03:14:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
[เก็บข่าวลือ] เจ้าเชื่อเรื่องเซียนหรือไม่

[เงื่อนไข]
- ไม่จำกัด Level ทำได้ทุกระดับ
- ระยะเวลาหมดข่าวลือ 14 กรกฎาคม 2024



- กำหนดสตรอรี่ตามสตรอรี่ตัวละครของตัวเอง แน่นอนว่าไม่มีใครช้ำกัน -

- เขียนโรลเพลย์พบผู้เฒ่ากำลังนั่งสวดมนต์หน้ารูปปั้นฝุ่นเขรอะ ในศาลเจ้าร้าง
(เนื้อหาเกี่ยวกับคุณผ่านไปเจอผู้เฒ่า และได้พูดคุย ทำให้คุณได้ยินข่าวลือว่าผู้เฒ่าเห็นเซียนบริเวณศาลเจ้านี้ เขาเลยมาขอพรให้ลูกสาวที่กำลังป่วย)
(คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ได้ เพราะผู้เฒ่าไม่มีหลักฐานว่าตนเองได้เห็นเซียนจริง ๆ และเขามาที่นี่สามครั้งแล้ว ลูกสาวเขาก็ยังไม่หายดีใด ๆ เลย)


ได้ค่าประสบการณ์ฟังข่างลือ +15 EXP

(หากให้เงินตำลึงผู้เฒ่า 5 ตำลึงทองและบอกให้ผู้เฒ่าไปหาหมอดี ๆ โดยบอกว่าเซียนถ้ามีจริงลูกสาวผู้เฒ่าคงหายดีไปนานแล้ว)
+20 EXP , +30 พลังใจ , +10 ตบะฝึกฝน และ -15 คุณธรรม +15 ความชั่ว และ ความโหด (เหตุเพราะทำให้ผู้เฒ่าเสียศรัทธา)
(หากให้เงินตำลึงผู้เฒ่า 5 ตำลึงทองและบอกให้ผู้เฒ่าไปหาหมอดี ๆ โดยอ้างว่าท่านเซียนส่งมา)
+20 EXP , +50 พลังใจ , +10 ตบะฝึกฝน และ +35 ค่าคุณธรรม และ +20 ความโหด






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 4496 ไบต์และได้รับ 1 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-7-7 03:14
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x12
x20
x894
x2
x1
x50
x1
x1
x1
x1
x100
x2
x3
x10
x5
x2
x1
x4
x50
x50
x2
x20
x38
x20
x2
x2
x119
x140
x120
x50
x2
x9
x5
x2
x875
x4
x4
x30
x68
x196
x20
x100
x130
x13
x1
x4983
x4
x19
x5
x3
x200
x200
x300
x450
x1
x2
x28
x7
x6
x1
x1
x3
x600
x218
x200
x350
x500
x400
x500
x200
x500
x200
x500
x9
x2
x508
x3
x3
x3
x2
x8
x1
x19
โพสต์ 2024-7-10 23:39:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย zhoujin เมื่อ 2024-7-12 22:58

หลังจากที่อาจินเดินทางออกจากบ้านมาเขาเดินทางใกล้ถึงเมืองฉางอันแล้วก่อนเข้าเมืองก็ได้เจอศาลเจ้าเเห่งนึงที่มีชายชราท่าทาง ซูบผอม กำลังจุดธูปด้วยสีหน้าศรัทธา



"อาอี้ อาเอ้อรฺ์ หยุดรถก่อน" อาจินกล่าวสั่งคนของพ่อและเดินลงจากรถม้า

"ผู้เฒ่า เจ้ามาขอพรแบบนี้ตลอดเจ้าต้องการอะไรเนี่ย" อาจินกล่าวถามผู้เฒ่า

"เจ้าน่ะเชื่อเรื่องเซียนรึเปล่า ข้าน่ะ เห็๋นเซียน เห็นจริงๆ นะถ้าข้ากราบไหว้ท่านเซียน ท่านเซียนต้องช่วยข้า ไม่ซิช่วยลูกสาวข้าให้หายจากโรคที่เป็นอยู่แน่นอน" ผู้เฒ่ากล่าวเสียงสั่นพลาง พนมมือสวดมนต์อ้อนวอน

โจวจิน มองโดยรอบสังเกตุไปที่ศาลเจ้าที่มีร่องรอยของฝุ่น พลางคิดในใจ นี่จะเป็นการทำดีครั้งสุดท้ายของข้า หลังจากนี้ข้าจะต้องเป็นพ่อค้าที่ใฝ่หากำไร และ เด็ดขาดไม่ปล่อยให้ความสงสารครอบงำ

"อาอี๋ อาเอ๋อ หยิบเงิน 5 ตำลึง" อาจินสั่งไปที่คนรับใช้

"แต่ นายน้อย 5 ตำลึงนี้เป้นจำนวนที่มากเลยนะขอรับ ถ้านายท่านรู้เข้าว่านายน้อยเอาเงินที่ใช้ทำธุรกิจมาทำแบบนี้ จะส่งผลกับตำแหน่งของนายน้่อยนะขอรับ" อาอี๋ ทำสีหน้าไม่เห็นด้วยพลางกล่าวคัดค้่าน

"รายงานพ่อข้าได้เลย นี่จะเป็นการทำดีครั้งสุดท้ายของข้าก่อนที่ข้าจะก้าวหน้าเป็นพ่อค้า และที่สำคัญ ผู้เฒ่าคนนี้อยู่มานานขนาดนี้วันนี้ข้าช่วยเขาวันหน้าอาจจะมีประโยชน์ก็ได้ สัญชาตญาณพ่อค้าของข้ามันร้่ำร้อง" อาจินกล่าวกับอาอี้ อาเอ้อรี์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางยื่นมือไปรับถุงเงิน

"ตาเฒ่า เจ้าสักการะท่านเซียนแต่เจ้าไม่สังเกตุเลยรึว่าเจ้าปล่อยให้รูปสลักท่านมีฝุ่นเครอะแบบนี้ได้ยังไง เพราะแบบนี้ท่านเลยส่งข้ามาเตือนเจ้า จงรับเงินนี่ไปรักษาลูกสาวเจ้าซะ นี่เป็นประสงค์ของท่านเซียน และจงจำไว้ว่า พ่อค้าผู้ใจบุญนามโจวจิน ได้ก้าวเข้าสู่สังเวียนการค้าขายในฉางอันแล้ว" โจวจินส่งถุงเงินให้ตาเฒ่าเเละเดินไปทำความสะอาดรูปปั้น และกล่าวขอพรขอให้่ตัวเองโชคดี ประสบความสำเร็จในเส้นทางพ่อค้า

"ยัง ยังไม่ไปอีก ลูกสาวเจ้ากำลังรอเจ้าอยู่นะ" หลังจากที่โจวจิน ทำความสะอาดและเคารพรูปปั้นเสร็จเข้าหันไปกล่าวกับตาเฒ่าก่อนที่จะเดินจากไป

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 35 EXP โพสต์ 2024-7-10 23:57
คุณได้รับ +35 คุณธรรม +20 ความโหด โพสต์ 2024-7-10 23:57
โพสต์ 5060 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2024-7-10 23:39

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +50 ตบะฝึกฝน +10 ย่อ เหตุผล
Watcher + 50 + 10

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2

18

กระทู้

224

ตอบกลับ

1954

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
2
ตำลึงทอง
79
ตำลึงเงิน
1510
เหรียญอู่จู
37192
STR
53+7
INT
70+0
LUK
6+2
POW
74+5
CHA
97+27
VIT
25+7
‘ หลี่ผู่เยว่ • 李谱月 ’
เลเวล 1
คุณธรรม
9940
ความชั่ว
655
ความโหด
5097
โพสต์ 2024-7-14 13:29:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด



คำภาวนาที่ยากนักจะเป็นจริง

เพราะเจอเรื่องกระทบจิตใจ(?)มามากภายในโรงเตี๊ยมชางลั่งถิง หลังออกมาจากที่นั้นนางจึงเหมือนคนที่ใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะเดินทางกลับวังหลวง ตรงกันข้าม ยามนี้นางกำลังมุ่งหน้าออกไปนอกเมืองโดยอาศัยการจ้างรถลากให้พานางตะลอนทั่วฉางอันสัก.. หนึ่งรอบ

นงคราญหยกคลึงด้ามกระบี่สลักจันทราช้า ๆ ในระหว่างที่ทั้งร่างกำลังสั่นคลอนกับถนนขรุขระนอกเมือง สายตาของนางก็ทอดยาวไปไกลอย่างไร้จุดหมาย นางเสียขวัญหรือ? ก็ไม่ใช่ ประหลาดใจ? ก็ไม่เชิง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึก ‘ตระหนักได้’ ที่พาดผ่านไปทั่วหัวใจ ใต้ฟ้านี้กว้างใหญ่แค่ไหน ใต้หล้ายิ่งใหญ่เพียงใด ตลอดมานางรับรู้แต่ก็ใช่ว่าจะสนใจ ขอแค่ได้ใช้ชีวิตสงบสุข สำราญใจไปกับรสชาติแห่งชีวิตที่มีขึ้นและลง ทว่าการขึ้นและลงของนางกลับเป็นการก้าวขาขึ้นสู่แดนมังกรที่นับจากนี้จะถูกจับตามองไปทุกฝีก้าว

“ แม่นางมีเรื่องไม่สบายใจหรือ ” คนลากรถกล่าวขึ้น

ไป๋หรั่นเลื่อนสายตามองไปยังแผ่นหลังของคนลากรถที่กำลังเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น “ ท่าทางท่านลุงจะพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มามากถึงได้กล่าวถูกต้องนัก ” คำตอบของนางสร้างเสียงหัวเราะให้กับเขา ขณะเดียวกันอาศัยแค่เพียงหนึ่งเสียงหัวเราะ สิ่งที่นางครุ่นคิดมานานก็ปลิวหายราวกับว่าไม่เคยมี

“ พวกนายหญิงเวลามีปัญหาในเรือนหรือทุกข์ใจต่างก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น ”

ชายวัยกลางคนที่ร่างกายบึกบึนพูดทั้ง ๆ ที่ยังดันรถลากขนาดหนึ่งคนนั่งไปด้านหน้า “ อย่าว่าแต่พวกนายหญิงหรือคุณหนูเลย.. หากข้ามีเรื่องทุกข์ใจ บางทีการได้เฝ้ามองความเป็นไปของเมืองนี้ผ่านรถลากสักคันก็คงช่วยแบ่งเบาภาระในใจได้บ้าง ”

แบ่งเบาภาระในใจ คำ ๆ นี้ได้ผลชะงัดนัก ทว่าผลนี้กลับไม่ใช่การปัดเป่าภาระในใจ แต่เป็นการชวนให้ฉุกคิดถึงสิ่งหนึ่ง “ เหตุใดชาวเราถึงเฝ้ามองแต่การแบ่งเบาภาระ ทว่ากลับหาได้มองหนทางอยู่ร่วมและยอมรับเล่า? ” คนงามใต้ผ้าแพรถามเสียงเบาพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า นางใช้ชีวิตผ่านฤดูกาลทั้งสี่มาถึงสิบเจ็ดรอบ ครึ่งหนึ่งกล่าวได้ว่าเป็นผู้มากประสบการณ์ อีกครึ่งก็ถือว่าเป็นวัยกำลังเรียนรู้ แต่ผู้ที่สอนนางได้มากที่สุดหาใช่บิดามารดา แต่เป็นชีวิตในทุกวัน

“ คำตอบนั้นง่ายมาก ”

“ ในเมื่อสุดท้ายต้องกัดฟันอยู่ร่วมแล้ว เหตุใดถึงยังต้องยอมรับทั้งที่ใจไม่อยากอีกเล่า ” ชายผู้นั้นกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ ความเร็วของรถลากเปลี่ยนมาเป็นช้าลงอีกครั้งเมื่อกำลังเคลื่อนผ่านศาลาชมทุ่งหญ้า “ แม่นาง ถึงข้าจะเป็นชายชราที่โง่เง่ามาตลอดชีวิต แต่กับเรื่องนี้.. ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเข้าใจ ”

เหตุใดจึงต้องยอมรับทั้งที่ใจไม่อยาก … นั่นสิ เหตุใดกัน

นับจากนั้นเสียงสนทนาก็เงียบลงไป๋หรั่นเฝ้ามองสองข้างทางที่ผ่านไปเงียบ ๆ จนกระทั่งเหลือบตาไปเห็นสถานที่ผุพังที่คล้ายว่าจะเคยเห็นมาก่อน หญิงงามใต้ผ้าแพรเม้มริมฝีปากเข้าหากัน นางใช้เวลาตัดสินใจเล็กน้อยก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น “ ท่านลุง จอดตรงนี้ให้ข้าสักประเดี๋ยว ” แม้จะประหลาดใจ แต่ผู้รับจ้างก็ยินดีจอดให้แต่โดยดี ชายวัยกลางคนผู้นั้นวางมือจากรถลากและหลบให้นางก้าวลงมา เมื่อเป็นเช่นนั้น นงคราญหยกก็ได้หยุดยืนลงที่หน้าประตูที่มีสายลมพัดโกรกไปมา

“ แม่นางระวังด้วย ที่นี่ทรุดโทรมลงไปมาก ” อีกฝ่ายเตือนด้วยความเป็นห่วง

“ ข้าจะเข้าไปข้างในสักหน่อย ท่านรอตรงนี้สักครู่ ” เมื่อสิบปีก่อนนางเคยมาที่นี่ สถานที่รกร้างแห่งนี้ยังไร้ซึ่งการดูแลเหมือนอย่างที่ผ่านมา กลิ่นไม้กลิ่นดิน รวมไปถึงฝุ่นล้วนกระจัดกระจายไปทั่วชั้นอากาศ ยิ่งเมื่อนางก้าวเข้าไปด้านใน หนึ่งเสียงสวดมนต์ก็ชัดขึ้นเรื่อย ๆ รอบฉางอันนั้น นอกจากพื้นที่ป่าสูงและลานบุปผา หรือศาลาชมเมืองก็ยังมีสิ่งก่อสร้างเก่าแก่อีกมากที่ถูกปล่อยปะละเลย หนึ่งในนั้นศาลเจ้าร้างแห่งนี้ที่ผุพังมานานแต่บางครั้งก็ยังมีผู้ศรัทธาวนเวียนมาเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้ารูปสลักพระโพธิสัตว์ตี้จังผ่อซายังมีชายชราคุกเข่าสวดภาวนาอย่างแน่วแน่

สายลมพัดเอากลิ่นมู่ตานจากกายนางผ่านเข้าสู่การรับรู้ของผู้เฒ่าท่านนั้น คนชราที่ตลอดทั้งวันทั้งคืนอยู่แต่กับกลิ่นฉุนของซากไม้และเศษดินชะงักกึกก่อนจะค่อย ๆ หันไปตามที่มาของกลิ่นนี้

“ ท่าน.. ท่านเป็นเทพธิดาหรือ ”

“ เกรงว่าจะไม่ใช่ ”

คำตอบของนางทำให้ชายชราสีหน้าซีดเซียวลงไปมาก ไป๋หรั่นมองภาพนั้นด้วยความเวทนา คำโกหกหนึ่งคำสามารถกล่าวได้ง่ายดาย ทว่าคำพูดที่แท้จริงกลับมีน้อยคนที่จะทำใจยอมรับได้ บุปผาหยกละสายตาจากร่างที่เหี่ยวเฉา หันไปกราบไหว้สักการะรูปปั้นพระโพธิสัตว์

“ เมื่อใดพระองค์จะส่งเซียนผู้นั้นกลับลงมาช่วยลูกเล่าองค์เทพ ” เสียงคร่ำครวญของคนข้างกายดังก้องอยู่ทั่วศาลที่ไร้คนนอก จากชายแก่ที่สามารถนิ่งขรึมได้ตามวัย กลับกลายมาเป็นผู้เฒ่าที่ฟูมฟายกับความเชื่ออันไม่สามารถพิสูทธิ์ได้ “ หากท่านไม่คิดเมตตาแล้วเหตุใดจึงส่งเซียนมาให้ลูกได้พบกัน ”

เซียน..?

“ ท่านเคยพบเซียนหรือ ”

ผู้เปรียบได้ดั่งเทพธิดาแต่ก็หาใช่เทพธิดาถามไถ่เสียงเบา แต่เพราะรอบด้านนอกจากพวกเขาแล้วไม่มีใครอื่นการถามครั้งนี้จึงถือว่าฟังชัดมากทีเดียว

“ ข้าเคยพบท่านเซียนที่นี่.. เมื่อหลายวันก่อน ทว่ายามนั้นข้าไม่สามารถรั้งตัวเขาไว้ได้ เพื่อบุตรสาวที่กำลังป่วย ข้าจึงมาภาวนาอยู่ที่นี่ ” สีหน้าของผู้ตอบดูอ่อนล้า เช่นเดียวกับจังหวะการพูดที่เดี๋ยวกล่าวเดี๋ยวหยุด ตัวคนเองก็ชรามากแล้ว สิ่งเดียวที่ผลักดันให้มาตกระกำลำบากเช่นนี้ยังไม่พ้นความศรัทธาต่อผู้ที่ไม่อาจพบได้โดยง่าย “ บุตรสาวของข้าป่วย.. แต่ตาเฒ่าเช่นข้ากลับไม่สามารถหาทางมารักษานางได้ ข้ามาที่นี่ถึงสามครั้งแล้ว หากว่า.. หากว่าไม่สามารถตามท่านเซียนกลับไปได้ ”

ขณะที่น้ำตาลูกผู้ชายกำลังจะรินไหล สองมือขาวละเอียดของลู่ไป๋หรั่นก็ขยับเข้าประคองมือที่เปื้อนไปด้วยฝุ่น “ เทพแล้วอย่างไร เซียนแล้วอย่างไร ท่านผู้เฒ่า ใต้ผืนฟ้านี้มีคนมากมายภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิปรากฏกาย อีกทั้งหากได้พบแล้ว ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าจะสามารถโน้มน้าวใจเซียน ใจเทพได้? ” น้ำเสียงของไป๋หรั่นเรียบนิ่งราวสายน้ำประโลมไหล แต่กลับเฉียบเย็นคล้ายธารบนภูเขาหิมะ

“ แล้วหากรอไปเรื่อย ๆ รอไปวันแล้ววันเล่า อาการของบุตรสาวท่านทรุดหนักจนเกือบสิ้นใจอยู่รอมร่อ แต่ต้องห่างหน้าบิดาเพียงเพราะว่าท่านหมายอยากให้เทพเซียนช่วยเหลือ .. ท่านผู้เฒ่า ความซาบซึ้งของมนุษย์มีขีดจำกัด สุดท้ายแล้ววันที่นางจากไป อาจจะหาได้จากไปพร้อมความเข้าใจ แต่เป็นความเสียดาย ”

“ ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน ยามนี้ผู้ที่พบท่านคือข้า ท่านติดปัญหาที่ใด เงินทอง? ข้าช่วยได้ หยูกยา? ข้าเองก็ช่วยได้ ท่านอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ ขอเพียงไม่หมดศรัทธาในมนุษย์ ชีวิตนี้ย่อมดำเนินต่อไปได้ ” ตำลึงทองที่ชีวิตนี้ยากนักที่ชาวบ้านชาวช่องจะได้เห็นถูกหยิบออกมาอย่างช้า ๆ หนึ่งก้อน สองก้อน สามก้อน สี่ก้อนและห้าก้อน ตำลึงทองหนัก ๆ เหล่านั้นถูกห่ออยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีขาวปักชายเกล็ดหิมะที่ชายขอบก่อนจะวางลงบนกลางฝ่ามือที่เหี่ยวย่นของชายชรา

“ ข้าไม่ใช่เทพ ไม่ใช่เซียน ”

“ แต่ก็ถือว่าเป็นผู้มีน้ำใจ ท่านผู้เฒ่า นำเงินนี้ไปหาหมอดี ๆ ให้ช่วยรักษานาง หายไม่ได้ก็ถือว่าช่วยบรรเทาอาการ ชีวิตคนมีเวลาจำกัด อย่างน้อยให้บิดาอยู่กับบุตรสาวในวาระสุดท้าย.. เท่านั้นก็ยังดี ” ตั้งแต่ต้นจนจบ ลู่ไป๋หรั่นไม่แม้แต่จะเปิดเผยโฉมหน้า นางฝากฝังสิ่งสำคัญไว้เท่านี้ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า “ พบหน้าครั้งนี้นับว่าเป็นวาสนา ภายภาคหน้าหากมีเรื่องคับขัน ชุนหลันฉีแห่งลั่วหยางสามารถช่วยเหลือท่านได้ ขอเพียงกล่าวว่าหยกขาวเช่นข้าต้องการช่วยท่าน ”

“ ข้าเองยังมีธุระที่ต้องไปสะสาง ท่านผู้เฒ่า รักษาตัวด้วย ” สองมือน้อย ๆ ประสานกันและโค้งลงร่ำลา นับเป็นภาพการจากลาที่น่าตราตรึงใจ ทว่าเมื่อเดินผ่านหน้าประตูไดัไม่เท่าไหร่ก็พบร่างบึกบึนของคนลากรถแอบซ่อนอยู่ไม่ไกล..

“ ท่านทำอะไร? ”

“ ข้าเห็นท่านเข้าไปนาน นึกกังวลว่าจะเป็นลมอยู่ด้านในเลยตามเข้ามาดู ไม่นึกว่าแม่นางน้อยจะกำลังให้โอวาทแก่ชายชรา ” ชายวัยกลางคนยิ้มแหยออกมา แต่เมื่อเห็นการนิ่งเงียบของหญิงสาวที่เดินผ่านเขาขึ้นรถลากไปอย่างช้า ๆ ก็พาลทำให้สงสัยขึ้น “ ท่าน.. เชื่ออย่างนั้นจริง ๆ หรือ? ”

เชื่อ? เชื่อในอะไร.. ในมนุษย์นะเหรอ?

ใต้หมอกม่านอันมีนามว่าหมวกไผ่ผ้าคลุม ผู้สวมเหยียดรอยยิ้มขึ้นช้า ๆ

“ เกี่ยวอะไรกับว่าข้าเชื่อหรือไม่เชื่อ .. ข้าก็แค่กล่าวในข้อเท็จจริงที่เขาต้องการ ข้อเท็จจริง..ที่ไม่ว่าใครก็คงอยากได้ฟังกันสักครั้ง ”



+15 EXP ฟังข่าวลือเทพเซียนในศาลร้างเถียนฉิงเวย
ทำเควส : เจ้าเชื่อเรื่องเซียนหรือไม่ (รางวัลให้ขึ้นอยู่กับที่แอดอ่านแล้วมองว่าเหมาะสม)






แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 20 EXP โพสต์ 2024-7-14 13:57
คุณได้รับ --15 คุณธรรม +15 ความชั่ว +15 ความโหด โพสต์ 2024-7-14 13:57
คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2024-7-14 13:56
โพสต์ 23931 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2024-7-14 13:29
โพสต์ 23,931 ไบต์และได้รับ +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-7-14 13:29

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +30 ตบะฝึกฝน +10 ย่อ เหตุผล
Watcher + 30 + 10

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณจิ้งจอกสวรรค์(ไม้)
เสน่ห์ฟ้าประทาน
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x2
x6
x5
x2
x4
x8
x2
x4
x1
x11
x10
x3
x4
x16
x3
x5
x4
x1
x7
x6
x4
x11
x4
x1
โพสต์ 2024-7-15 01:35:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด




เซียนปกปักษ์เทพอารักขา
-2-



ความพลิกผันของธรรมชาติย่อมไม่มีใครทราบว่าวันที่ท้องฟ้าโปร่งแดดจ้าเช่นนี้จะมีฝนโปรยลงมาได้ ผู้ที่ขังตัวเองอยุ่ในเรือนก็แล้วไปแต่สำหรับคนทำงานนักเดินทาง หรือแม้แต่กลุ่มขบวนเดินทางไกลอย่างรถม้าตระกูลซ่างกวนก็มีอันถึงที่หมายล่าช้าไปตามๆ กัน หลังออกห่างจากลั่วหยางใช้เวลาราวสองวันภายใต้การอารักขาของผู้คุ้มกันและสมุหราชเลขาหนุ่มพวกเขาห่างจากประตูทิศเหนือเพียงสองชั่วยาม “ ใต้เท้า ทางด้านหน้าผ่านเทือกเขาสูงเมฆฝนตั้งเค้าเช่นนี้หากฝ่าไปเกรงจะอันตราย ” “ อืม.. ละแวกนี้พอจะมีศาลเจ้าร้างอยู่ไปพักที่นั่นจนพายุสงบค่อยออกเดินทางต่อ ” “ เหยียนเกอ.. เหตุใดจึงหยุดรถเล่า ? ” เสียงกระจ่างใสของดรุณีในรถม้าเรียกความสนใจของทั้งสองจนสิ้น ผู้คุ้มกันรีบก้มหน้าลงเมื่อเห็นว่าปลายนิ้วขาวกระจ่างแตะที่ม่านหน้าต่าง “ เราจะแวะพักที่ด้านหน้ากันก่อนข้างนอกลมแรงเจ้าอย่าออกมาหากจับไข้เอาได้ ” กระทั่งสมุหราชเลขาที่มักพูดจาไร้อารมณ์ไม่แยแสเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ยังใช้ถ้อยคำถนอมน้ำใจคนฟังขึ้นหลายส่วน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหญิงสาวด้านในรถนั้นมีน้ำหนักในใจเขาขนาดไหน กระแสลมนอกม่านเริ่มรุนแรงพวกเขาเร่งม้าจนถึงศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเว่ยก็พบว่ามิได้มีเพียงขบวนเดียวรั้งอยู่รอฝนซา ด้านหนึ่งคณะปราชญ์ขงจื้อผู้เดินทางเผยแพร่หลักคำสอนกำลังจับกลุ่มผิงไฟกับนักเล่านิทาน อีกด้านกลุ่มพ่อค้าพึ่งเดินทางออกจากฉางกันก็เริ่มสนทนาอย่างออกรสเพื่อฆ่าเวลา “ ลู่เหม่ยเหริน?? อีกแล้วรึ! ตอนนี้ไปที่ใดในฉางอันมีแต่ข่าวลือเกี่ยวกับนาง ตั้งแต่เข้าวังวันแรกตบตีเหล่าสนมกำนัล วันนี้อะไรอีก? ได้พบกันครั้งแรกกับโอรสสวรรค์ ?? ที่ไหนนะ.. ” “ เพ้ยข้าบอกว่าอุทยานไงเล่า สวนสวยๆที่พวกคนรวยชอบทำไว้เดินเล่นน่ะ.. เจ้านี่มันตกข่าวเสียจริงนางเก่งกาจขนาดไม่โดนลงโทษหลังก่อเรื่องวิวาทในวัง อีกหน่อยไม่ต้องเป็นมันแล้วเหม่ยเหริน! บางทีตำแหน่งที่ว่างเว้นอยู่นั้นจะได้มีเจ้าของสักทีกระมั้ง ” บัณฑิตขงจื้อที่นั่งฟังอยู่คุณธรรมในใจดิ้นเร่าหน้าเขียวหน้าแดงโต้แย้งไปว่า “ ใช้ได้ที่ใดกัน มารดาแห่งแผ่นดินสมควรเป็นกุลสตรีผู้ประเสริฐอ่อนหวานสมแม่แบบแห่งสตรีในต้าฮั่น เคร่งต่อจารีตสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม! ตบตีแย่งชิงความโปรดปราน วิสัยหญิงริษยาเช่นนี้มิเหมาะสมอย่าได้ให้ลูกหลานเอาอย่างเชียว ” “ วาจาเล่นน้ำลายเอาอันใดมาพูด!! บัณฑิตต้มตำรากินอย่างพวกเจ้าหาได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดก็พูดเพ้อเจ้อใส่ความคนบริสุทธิ์ ไปเห็นด้วยตาตัวเองมารึไงห๊า!! รู้ไว้เสียบ้างว่าลุ่เหม่ยเหรินที่พวกเจ้าสาดโคลนอยู่ได้รับเลือกไปปรนนิบัติเป็นคนแรก! เจ้าจะหาว่าโอรสสวรรค์ต้าไร้แววมองคนไม่ออกเข้าข่ายหมื่นเบื้องสูงก็เอาสิ! ” พ่อค้าฝั่งที่กำลังติดลมบนกับกระแสข่าวลือลู่เหมยเหรินได้ยินเข้าก็เดือดดาล พวกเขานับถือม่อจื้อ ทั้งยังแว่วๆ ว่าสนมแซ่ลู่พื้นเพมาจากตระกูลพ่อค้าเช่นพวกตนก็ยิ่งให้การปกป้องลูกหลานของพวกพ้องโดยธรรมชาติ (?) หากวว่านางได้ปีนยอดไม้ขึ้นตำแหน่งสูงไม่แน่อาจสร้างแรงบันดาลใจเป้นความใฝ่ฝันต้นแบบของเหล่าบุตรสาวพวกตนในอนาคต คนสามกลุ่มเริ่มตีกันคนเอะอะมะเทิงแข่งกับเสียงสายฝนไม่ทันมองว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งมาถึงยังศาลเจ้าและกำลังฟังบทสนทนาของพวกเขามาพักหนึ่งแล้ว “ ..... ” ผู้ค้มกันและเหล่าสาวใช้แทบพุ่งไปปิดหูคุณหนูเล็กเมื่อสัมผัสได้ว่าสายตาคู่คมของคุณชายใหญ่เย็นยะเยียบลง “ หนวกหูเสียจริง เข้าไปด้านในเถอะ ” บุรุษชุดครามถอนหายใจเบาๆ บัณฑิตหยูนับวันชักเสื่อมถอยไม่เอาเวลาไปแก้ปัญหาบ้านเมืองท่องแต่ตำรา สายตาคอยจับผิดผู้อื่น หูก็ฟังแต่สิ่งไร้ประโยชน์ ซ่างกวนซีเหยียนเพื่อหลบเลี่ยงความวุ่นวายเขาสวมหมวกไผ่ผ้าคลุมดำรวมไปถึงเหล่าผู้คุ้มกันมีท่าทีดุดันน่าเกรงขาม เมื่อก้าวเข้ามาด้านในศาลเจ้ายังนำเอาไอหนาวเหน็บจากสายฝนเข้ามารดสติพวกหัวร้อนสามสี่กลุ่มนั้นด้วย อันว่าบุคคลบางจำพวกแม้ไม่ถือดาบก็ให้สัมผัสบรรยากาศไม่ต่างจากพยัคฆ์ซ่อนเขี้ยว การปรากฎตัวของบุรุษม่านคลุมดำก็เป็นเช่นนั้นทำเอารอบด้านสงัดลง มือของเขาไร้ศาสตราเพียงประคองดรุณีผิวผ่องท่วงท่าอรชรไปเงียบๆ แค่เท่านั้นก็ทำผู้คนหลงลืมการหายใจ บุรุษสตรีทั้งสองแม้อำพรางใบหน้าทว่าบรรยากาศรอบตัวมิธรรมดาไม่มีใครกล้าส่งเสียงเมื่อพวกเขาเดินผ่าน บ้างก็ลอบคาดเดาในใจด้วยภัสตราภรณ์ทั้งสองแม้จะดูเรียบง่ายแต่ประกอบขึ้นด้วยของชั้นดี ลอบมองไปฝั่งหญิงสาวอาภรณ์ขาวนั้นได้ไม่นานก็รีบหลบเกรงจะถูกคนคุ้มกันของนางที่ยินขึงตาอยู่เอาเลือดหัวออก ราชเลขาหนุ่มเตรียมที่ให้สตรีคนสำคัญของเขาพักผ่อนด้านหน้าเทวรูปโพธิสัตว์ ด้านข้างมีเพียงชายชรากำลังสวดภาวนาดูแล้วไม่มีอันตรายใดที่เกินแรงเขารับมือจึงประคองนางลงนั่ง สอบถามน้ำเสียงเบาราวพูดกับเด็กน้อย “ เจ้าหิวริไม่? เกอจะไปดูว่ามีอะไรที่พอทานรองท้อง เฉียวฮุ่ยดูคุณหนูรองอย่าปล่อยพวกแมลงมาเข้าใกล้นาง ” “ เฉียวฮุ่ยทราบแล้วจะปกป้องคุณหนูอย่างดีเจ้าค่ะ! ” สาวใช้ประจำตัวน้องสาวพยักหน้ารับคำ กว่าจะชิงตำแหน่งคนที่ได้ติดตามคุณหนูเล็กเข้าวังตนต้องลงแรงไปมากเพราะอัตราการแข่งขันพุ่งสูงติดเพดานตนต้องทำหน้าที่ให้ดี ไม่มีบกพร่อง สตรีอาภรณ์ขาวพยักหน้าเงียบๆ ด้วยนางยังคงปะติดปะต่อกับข่าวลือที่ได้ยินเมื่อครู่จึงใจลอยอยู่มาก ผิวเผินเหมือนจะไม่เกี่ยวกับตนทว่าการมาเยือนฉางอันครานี้ตนจำเป็นต้องเข้าวังหลวงจึงให้ความใส่ใจเล้กน้อย ตามที่มารดากล่าวว่าวังหลังเป็นสถานที่อันตรายข้างในนั้นไร้ดาบกระบี่ทว่าแค่ความคิดของเหล่าสตรีชาววังก็สามารถสังหารผู้คนได้ จากข่าวลือด้านหนึ่งลู่เหม่ยเหรินผู้นั้นค่อนข้างน่ากลัวถึงอย่างไรก็เป็นคนโปรดของฝ่ายในตนควรอยู่ให้ห่างจากเรื่องวุ่นวายทั้งมวล ‘ดูเหมือนข้าจะไม่ต้องกังวลเรื่องการหลบเลี่ยงความสนใจ.. แต่เป็นการหลบเลี่ยงภัยในรูปแบบสตรีด้วยกันเสียแล้ว’ ระหว่างกำลังคิดเรื่อยเปื่อยพลางๆ เบื้องหน้าก็มีธูปก้านหนึ่งหล่นจากมือของชายชรากลิ้งมาทางนาง สาวใช้กำลังผุดลุกขึ้นมือคุ่ขาวพลันรั้งตัวไว้แล้วช้อนแขนเสื้อขึ้นเก็บธูปก้าน “ ท่านผู้อาวุโส นี่ธูปของท่าน ” โทนเสียงเสนาะหวานแม้ลำพังประโยคเรียบง่ายก็กระทบใจคนฟัง “ โอ้.. ขอบใจแม่นางน้อย ไม่สิ.. คุณหนู ท่านอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวของข้าเลย ” “ ไม่เป็นไร ท่านสามารถเรียกข้าว่าเสี่ยวยาโถว(สาวน้อย) ก็ได้ ท่านกำลังรอบุตรสาวมารับหรือ ?” “ ฮะๆ ได้สิเสี่ยวยาวโถว ข้ามิได้รอนางหรอกมีเพียงนางที่เฝ้ารอข้ากลับไป ลูกสาวที่ล้ำค่า.. ถ้าเพียงท่านเซียนมาถึงนางก็จะหายจากโรคและกลับมาแข็งแรงดั่งเดิม” ชายชรารับธูปมาพลางเริ่มชวนสนทนาเมื่อเห็นว่าดรุณีน้อยให้ความเป็นมิตรไม่ถือตัว “ เซียน ? ที่แท้ท่านผู้อาวุโสกำลังเฝ้ารอท่านเซียนนี่เอง บุตรสาวท่านป่วยด้วยโรคใดถึงต้องรอให้ท่านเซียนมารักษาหรือ ” ฝูมี่พยักหน้าโดยไร้ข้ออคติ ด้วยฐานะเทพธิดาขับขานผู้ที่เชื่อถือข่าวลือเกี่ยวกับตัวนางบ้างก็เข้าหาตนด้วยอาการเจ็บป่วยรักษาไม่หายไม่ตนเองป่วยก็เพื่อคนสำคัญของพวกเขา อันที่จริงคุณหนูเล็กคุ้นเคยกับดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังเช่นนี้มากทีเดียว น่าขันที่พรสวรรค์ประหลาดของตนช่วยเหลือได้เพียงผู้อื่นมิอาจแก้ไขเภทภัยที่ตนเองประสบ “ ใช่แล้วล่ะที่แห่งนี้เคยมีเซียนปรากฎตัว เขามีตัวตนจริงข้าเคยพบกับท่านเซียน.. เขาจะต้องมาที่นี่อีกแน่นอน! ” เมื่อถึงคราวเล่าชายชราเหมือนทำนบน้ำไหลบ่าแม้พี่ชายของเด็กสาวจะกลับมายืนจ้องกดดันอยู่ด้านหลังเขาก็ไม่ทันสังเกต พูดด้วยความสะท้อนอกสะท้อนใจ “ ลูกสาวข้าป่วยเป็นโรคไข้ลมมาร่วมเดือนตอนนี้นางเดินไม่ได้.. พวกหมอเอาแต่พูดว่านางไม่อาจลุกจจากเตียงได้อีกแล้ว ข้าไม่เชื่อ! รอข้าภาวนาจนท่านเซียนปรากฎตัวถึงตอนนั้นนางก็จะกลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่ข้าภาวนามาครึ่งเดือนแล้วทำไม…” เป็นความหวังที่แขวนอยู่กับการรอคอย ริบหรี่ยิ่งแสงเทียนในคืนฝนพรำ

ฝูมี่ฟังแล้วพยักหน้าอีกคราไม่ปฎิเสธการมีอยู่ของเซียนเพราะตัวนางเองก็ถูกมารปีศาจรังควาน

โลกนี้มีภูตผีวิญญาณนางสื่อสารกับพวกเขานับแต่จำความได้ ประสาอะไรกับเทพเซียน เชื่อว่าพวกเขามีตัวตนอย่างแน่นอน ทว่า.. ในหนึ่งชีวิตของมนุษย์เรือนแสนจะมีสักคนได้รับวาสนาพบนั้นยากยิ่ง “ ท่านผู้อาวุโส ท่านเซียนอาจมาพบท่านอย่างน้อยก็ในช่วงนี้ ” หลังตรองดูแล้วฝูมีเลือกกล่าวตามสัตย์จริง “ ไม่จริงหน่า.. รึว่าข้ายังสวดภาวนาได้ไม่มากพอ.. ” “ มิได้ ในอดีตเคยมีเรื่องเล่าของนายพรานผู้หนึ่งนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้วันนั้นบังเอิญมีกระต่ายวิ่งมาชนตอไม้ด้านข้างจนตาย เขากลับเชื่อว่าวันถัดๆ ไป ก็จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกเช่นกันจึงใช้เวลานับวันนับคืน เฝ้าตอไม้รอกระต่าย ผ่านเป็นเดือน เป็นปี ก็ไม่มีกระต่ายตัวไหนหลงมาชนตอไม้อีก.. ” นางอธิบายด้วยความใจเย็นโดยน้ำเสียงนุ่มนวลฝูมี่หันไปสั่งคำสาวใช้สั้นๆ ให้กลับไปยังรถม้านำของบางสิ่งมาให้ ผู้เป็นพี่ชายเพียงถอนหายใจเบาๆ มิได้ห้ามปรามทว่าก็คอบปกป้องพวกหูผึ่งคอยลอบมองลอบฟังอยู่อีกฝากไม่ให้มายุ่มย่ามสิ่งที่น้องสาวกำลังทำอยู่ “ ผู้อาวุโส ท่านมิใช่เหมือนนายพรานผู้นั้น? เรื่องราวในโลกหลายสิ่งเกิดขึ้นจากความบังเอิญ สุ่มจับปลาในลำธารแล้วปล่อย เมื่อจับขึ้นมาอีกหนยากจะเป็นมัจฉาตัวนั้นที่ท่านปล่อยมันไป ท่านเซียนเองก็เช่นกัน.. เทพเซียนมีภาระสิ่งที่ต้องพิทักษ์มากกว่าที่มนุษย์เช่นพวกเราจะเข้าใจ การบำเพ็ญของพวกเขากินเวลานับชั่วคน ท่านเข้าใจที่ข้าต้องการสื่อรึไม่ ” “ ท่านเซียน ไม่มา.. ไม่ได้ยินคำภาวนาของข้าเช่นนั้นหรือ ” หากท่านเซียนกลับมาที่นี่อีกหนอาจเป็นเวลาที่เราท่านต่างเป็นธุลีไปแล้วต่างหาก “ คำภาวนาของท่านสวรรค์ย่อมรับรู้แค่เวลาบนสวรรค์และโลกมนุษย์เร็วช้าต่างกัน น้ำไกลไม่อาจดับไฟได้ทันการณ์ เผอิญว่าข้ารู้จักโรคที่บุตรสาวท่านป่วยอยู่ หากผู้อาวุโสเชื่อในคำภาวนาโปรดรับสิ่งนี้ไปพร้อมกัน ” มือเรียวรับถุงผ้าแพรจากเฉียวฮุ่ยด้านในบรรจุตำลึงทองหนักห้าชั่ง ถึงจะเป็นทุนรอนจากความห่วงใยของครอบครัวส่งนางเข้าวังทว่าฝ่ายในคงไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้บ่อยนัก นางตั้งใจจะอยู่เงียบๆ มีสิ่งล้ำค่ามากไปก็ดูแลรักษาลำบาก “ เสี่ยวยาโถว.. เงินจำนวนนี้มากเกินไปข้า.. รับเอาไว้มิได้ ” ชายชราสองมือสั่นเทาเอาแต่ส่ายหน้า รับไว้ มิใช่เพื่อตัวท่านหากเพื่อบุตรสาวของท่าน.. การที่บุพการีร่างต้องมานั่งคุกเข่าทรมานสังขารกลางที่ชื้นเย็นเฝ้าภาวนาราวกับไถ่โทษให้ลูกหลานอย่างเรา หัวใจของผู้เป็นลูกรู้เข้าจะทนรับได้หรือ? รับไว้เถิด พานางไปรักษาพร้อมสิ่งนี้ต้มให้นางดื่มวันละสามเวลาขาของนางจะกลับมาเดินได้อย่างแน่นอน ” ในถุงอีกใบคือโสมคนอายุร้อยปีและฝูหลิงชั้นดี.. หากนี่มิใช่ความบังเอิญก็คงเป็นพรของชายชรา ฝูมี่เคยป่วยเป็นไข้ลมจากสุขภาพที่ทรุดโทรมลงเมื่อปีก่อน นางศึกษาสมุนไพรเพื่อรักษาตนเองมาตลอดทว่าครั้งนั้นนขาดกระสายยาสำคัญเพื่อต่อพลังชีพตนเอง หลังรอดจากความตายหมอเทวดาผู้ลงจากเขามาช่วยรักษาเกิดถูกชะตาลูกคนเล็กบ้านซ่างกวนปันตัวยาล้ำค่าให้จำนวนหนึ่ง ที่บ้านไม่มีใครสนใจการแพทย์ยามเข้าวังตนจึงขนมาทั้งหมดนั่น บังเอิญเสียจริง.. “ ที่แท้สวรรค์ก็ยังมีเมตตาต่อเราพ่อลูก.. ผู้มีประคุณขอบคุณ ขอบคุณท่านจริงๆ ” เมื่อชายชรารับทั้งสองถุงไปแล้วฝูมี่ค่อยยิ้มแย้มออกมา แม้จะเป็นรอยยิ้มลางเลือนหลังม่านแพรบางผู้คนโดยรอบกลับรับรุ้ได้ถึงบรรยากาศผ่อนคลายจากตัวนาง “ เรื่องเล็กน้อยไม่นับว่าเป็นบุญคุณ้เลย ฝนหยุดตกแล้วท่านผู้อาวุโสรีบกลับไปหาลูกสาวท่านเถิด ข้าจะช่วยภาวนาต่อเพื่อพวกท่านเอง ” คล้อยหลังชายชราดรุณีน้อยก็พาพี่ชายของนางมาจุดธูปบูชาพระโพธิสัตว์ยังใจกลางศาลเจ้าร้างจริงๆ ท่าทียามจ่ายอัฐ 5 ชั่งของนางไม่มีลังเลเสมือนที่วางไปนั้นมีใช่เงินทองแต่เป็นเศษผ้าหนึ่งชิ้น ทำเอาราชเลขาหนุ่มคิดอ่านอีกครั้งเรื่องที่ตนจะแอบเพื่มเงินขวัญถุงน้องสาวจากสองเท่าเป็นห้าเท่าดีรึไม่ ดูเอาเถิดแจกคนเก่งเพียงนี้เท่าไรถึงจะบอกให้ถึงนาง ฝูมี่ประสานหัตถ์ทั้งสองภาวนาต่อตี้จั้งฝ่อซาปรารถณาความสุขสงบให้สองพ่อลูกเมื่อครู่ อำนวยพรแก่ครอบครัว และขอให้พระโพธิสัตว์ผู้ขึ้นชื่อเรื่องโปรดแม้แต่สัตว์นรกให้พ้นเคราะห์ช่วยปกป้องคุ้มครองชีวิตในวังหลังของตนด้วย.. “ เจ้าซูบลงกว่านี้คงปลิวไปกับสายลม ขอพรเสร็จแล้วก็ทานอะไรรองท้องสักหน่อย ” มองใบหน้าด้านข้างน้องสาวเขาก็รู้แล้วว่าเด็กคนนี้กังวลใจ “ มี่เอ๋อห์ไม่ค่อยหิว พี่ชายท่านทานเถิดออกเดินทางกว่าสองวันพี่แทบไม่กินอะไรเลย” “ กินไม่ลง ” “ เอ.. ” ฟังคำของพี่ชายคล้ายมีอารมณ์ขุ่นมัวในน้ำเสียง “ ข้าเลี้ยงของข้ามาไม่ว่าใครก็อย่าคิดฝันแตะต้อง พอคิดว่าต้องส่งเจ้าไปอยู่ในมือเจ้านั่น.. ถึงจะแค่สองปีก็ตาม ” เจ้านั่นที่ท่านพูดถึงน่ะ.. หวงตี้ในรัชการนี้ ทั้งยังเป็นสหายและเจ้านายท่านนะ! “ มี่เอ๋อห์ปิดหู ขอไม่รับรู้ เรื่องนี้พวกท่านคุยกันไปแล้วไม่เอา ต้าเกอไม่พาล.. ” กล่าวจบมือเรียวยกขึ้นป้องหูทันที ท่าทางของนางกลับมาเป็นเด็กสาวสมวัยเอาดื้อๆ มาดนางเซียนเมื่อครู่อันตธานหายไปสิ้น




รางวัล: สามารถพิจารณาได้ตามสมควร มอบเงินให้ชายชรา 5 ตำลึง/พิเศษใส่โสม

+15 EXP สำหรับผู้ฟังข่าวลือลู่เหม่ยเหรินคือสนมคนแรกที่ฝ่าบาทพลิกป้ายไปปรนนิบัติ
+15 EXP ฟังข่าวลือเทพเซียนในศาลร้างเถียนฉิงเวย
+15 EXP สำหรับผู้ฟังข่าวลือขงจื้อวิจารณ์ลู่เหม่ยเหรินตบตีเหล่าสนม
+15 EXP สำหรับผู้ฟังข่าวลือลู่เหม่ยเหรินได้พบกับฝ่าบาทครั้งแรก @Admin 









แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 20 EXP โพสต์ 2024-7-15 01:45
คุณได้รับ +35 คุณธรรม +20 ความโหด โพสต์ 2024-7-15 01:45
คุณได้รับ 60 EXP โพสต์ 2024-7-15 01:44
โพสต์ 38548 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-7-15 01:35
โพสต์ 38,548 ไบต์และได้รับ +3 EXP +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก เอ้อหู  โพสต์ 2024-7-15 01:35

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +50 ตบะฝึกฝน +10 ย่อ เหตุผล
Watcher + 50 + 10

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก
พู่กันคัดอักษร
แหวนดาราจรัส(D)
ชุดฉิงโหรว(เจียยวี่)
กระบี่คู่สลักจันทรา
ลาภลอย
หน้ากากอำพรางภูต
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x10
x20
x20
x3
x90
x110
x2
x2
x120
x10
x1
x1
x1
x1
x30
x4
x20
x5
x5
x2
x13
x1
x4
x2
x2
x4
x29
x7
x1
x30
x5
x22
x8
x3
x2
x5
x6
x1
x1
โพสต์ 2025-6-28 08:23:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-28 08:41




วันที่ 27 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 23.00 น. เป็นต้นไป ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวย


ใต้เงาโคมแดงซีดสีที่สั่นไหวจากแรงลมขับความสลัวเร้นของศาลเจ้าร้างกลางป่าให้อึดอัดราวกับแดนนรกใต้พิภพ เถาวัลย์เหี่ยวแห้งเกาะแน่นตามเสาทรุดผุ เพดานไม้ส่งเสียงครวญครางในความเงียบ แสงจันทร์ย้อมลานศิลาบิ่นเบื้องหน้าบันไดด้วยสีเงินหม่น ขับเงาร่างของชายผู้หนึ่งซึ่งนั่งนิ่งอยู่ตรงฐานของพื้นอิฐจากหินเก่าเงาของเขายาวเหยียดแผ่คลุมร่างสตรีผู้กำลังทรุดเข่าร่ำไห้อยู่เบื้องหน้า ….หวยหนานหวาง..หลิวอัน บุรุษผู้ไร้คำสรรเสริญแต่เปี่ยมด้วยอำนาจที่ไร้ซึ่งใครกล้าตั้งคำถาม เขาสลัดคราบเถ้าแก่ร้านเต้าหู้กลายเป็นดั่งฉายา เขี้ยวคมอสุรา


เสียงกรีดร้องดังขึ้นตอนที่นายทหารโยนร่างหญิงสาวผู้หนึ่งลงตรงหน้าเงานั้น ใบหน้าของนางขาวซีดจากความตระหนก กลิ่นเลือดจาง ๆ จากปากแผลบนแขนยังสดใหม่เกินจะปิดบังได้ทัน "ข้า...ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด...ได้โปรดเถอะ...ท่านอ๋อง..." เสียงเธอสั่นระริกเหมือนขนนกบนพายุ ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตากระทบกับดวงเนตรของบุรุษที่นั่งอยู่เบื้องบนทันทีที่นางเงยหน้าขึ้นมอง


หลิวอันไม่ได้ตอบ นัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นมืดมนล้ำลึกเกินจะเดาออกว่าในหัวเขาคิดอะไร เขาเพียงขยับปลายนิ้วไปหยิบกระบี่ กระบี่เจ็ดดาว ซึ่งวางอยู่ข้างกายอย่างเชื่องช้า เหมือนการเคลื่อนไหวของคนที่ไม่ได้รีบร้อน เพราะรู้ดีว่า...เหยื่อของเขาจะหนีไม่พ้น เสียงโลหะเสียดสีกับปลอกดังแผ่ว ใบกระบี่สะท้อนแสงจันทร์...ก่อนที่ปลายคมจะเลื่อนเข้าหาผิวลำคอของหญิงตรงหน้าอย่างแผ่วเบาแล้วมันก็ครูดกับลำคอขาวนั้นเป็นทางยาวแต่ไม่ทิ้งรอย..


“ไม่ผิด?" เสียงทุ้มเย็นเยียบดังขึ้นในที่สุด น้ำเสียงไม่กดดัน ไม่กร้าวเกรี้ยว แต่กลับทำให้ทุกเส้นเลือดในร่างของนางหดเกร็ง ปลายกระบี่ลากเป็นวงช้า ๆ บนต้นคอเปราะบางของเธอ ราวกับกำลังร่างลายเส้นชะตาใหม่ให้นาง...ลายเส้นที่เขาเป็นผู้กำหนด "เจ้าคงลืมไปแล้วว่า ข้าคือใคร" เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย แต่ไม่มากพอให้อีกฝ่ายคิดว่าใกล้ชิด หากมากพอให้รังสีมรณะแผ่กรุ่นแตะปลายจมูก


"ข้าคือเงาในคืนมิด คือผู้ที่แม้จะอยู่ปลายตลาด ก็ยังทำให้ชื่อ ‘หวยหนาน’ เป็นคำที่สั่นคลอนแม้แต่กระดูกขุนนางชราในวังหลัง" เขาหยุด ลมหายใจเย็น ๆ กระทบรดหัวของสตรีตรงหน้า ไม่เข้าใกล้เพราะรังเกียจนัก "เจ้าคิดผิดเพียงข้อเดียว...คือเชื่อว่าข้าจะไม่ลงมือ"


นางกำนัลผู้นั้นสั่นสะท้านทั้งร่างทันทีที่สิ้นเสียงเย็นยะเยือกของชายตรงหน้า เสียงของเขาไม่ได้ดัง ไม่ได้เกรี้ยวกราด ไม่ได้กรีดร้องแต่กลับแหลมคมเฉียบดุจปลายกระบี่เย็บใจที่แทงลึกจนไม่หลงเหลือสิ่งใดให้ปกป้องอีกแล้ว ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ปากคอสั่นสะท้านจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีก “ขะ…ข้า…ข้าขอโทษ ท่านอ๋อง! ได้โปรด ได้โปรดเถิด!” นางทรุดตัวลงแทบจะในทันที ฝ่ามือทั้งสองทาบลงบนพื้นหินเย็นเยียบ ใบหน้าซุกแน่นกับพื้นในท่าคำนับที่ต่ำจนแทบจะไร้ศักดิ์ศรีใด ๆ หลงเหลือ


“เป็นข้าเองเจ้าค่ะ! เป็นข้าคนเดียว! ข้าดื่มจอกนั้นจริง ๆ…ข้าถูกจางกงกงสั่งให้ทำ! เขาให้เงินข้ามาหลายสิบตำลึง ข้าขัดเขาไม่ได้…เขาเป็นจงฉางชื่อ ข้าเป็นเพียงนางกำนัล! หากข้าปฏิเสธ ข้าก็ไม่เหลือแม้แต่ชีวิต!” นางร้องไห้สะอึกสะอื้น ดวงตาแดงกล่ำราวกับผู้กำลังจะจมน้ำในบาปที่ตัวเองก็ไม่ได้เต็มใจแบกรับ


แต่เสียงที่ตอบกลับนาง…กลับไม่มีความเมตตาใด ๆ ซ่อนอยู่เลย


“เหตุผลของเจ้า ฟังดูน่าสงสารดี” หลิวอันกล่าวเสียงเรียบ พลางยืนขึ้นอย่างสง่างามดั่งพญามัจจุราชที่หยัดกายจากบัลลังก์ยมโลก เงาร่างสูงใหญ่ของเขายืดตรง บดบังแสงจันทร์จนมืดครึ้มราวกับทั้งโลกกำลังจะปิดตายลง “เจ้ากำลังบอกข้าว่า…คนที่ไม่มีทางเลือก ควรได้รับการให้อภัยหรือ?” เสียงของเขายิ่งเย็นราวสายน้ำแข็งที่ไหลผ่านเส้นโลหิต นัยน์ตาคู่นั้นทอดมองนางกำนัลด้วยแวววาวดุดัน ไม่ใช่เพราะเขาโกรธเกรี้ยว หากแต่เพราะเขา ‘เข้าใจ’ ดีว่าอะไรคืออันตรายที่สุดในเกมนี้


“เจ้าคิดว่าการ ‘ทำตามคำสั่ง’ โดยไม่สนว่าจะฆ่าใคร จะทำลายใคร จะทำให้เจ้าไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลของมันเลยหรือ? น่าสนใจ” เขาหยุดยืนตรงหน้านางกำนัลที่คุกเข่าร้องไห้ก้มหน้าราวกับผีบาป พร้อมกับโน้มตัวลงเล็กน้อย เสียงของเขากระซิบราวกับลมหายใจปีศาจที่ข้างหูนาง “หากข้าไม่ใช่ ‘หวยหนานอ๋อง’ หากข้าเป็นเพียงชาวบ้านผู้หนึ่ง…เจ้าก็คงไม่ได้ร่ำไห้ขอชีวิตแบบนี้หรอก เจ้าก็คงหัวเราะกับเงินตำลึงที่ได้มา แล้วเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามองเหยื่อของเจ้าอีกครั้งเลยสิ” เขาตวัดสายตาเฉียบวูบขึ้น แววตาเย็นจัดอย่างไร้ปรานี


“จำเอาไว้ให้ขึ้นใจ…การเป็นหมาก มันไม่ได้ลดทอนบาปที่เจ้าแบกไว้ได้เลย คนที่ยอมเป็นหมากของจางกงกง…ต้องพร้อมจะรับผลในแบบเดียวกับมัน”


“ไปสารภาพเสีย ก่อนเปิดศาลวันพรุ่ง ไปให้ถึงหน้าตุลาการพยัคฆ์เหล็ก จางทัง แล้วพูดทุกอย่างตามที่เจ้าพูดกับข้าเมื่อครู่ อย่าตุกติก อย่าโกหก และอย่าคิดจะเอาตัวรอดด้วยเล่ห์กล” เสียงของหลิวอันยังคงราบเรียบเหมือนเคย ทว่ามีบางอย่างในน้ำเสียงนั้นคล้ายกับแผ่นเหล็กที่ค่อย ๆ กรีดผ่านความคิดของผู้ฟังทีละชั้น


"ขะ...ขะ ขอบพระทัยท่านอ๋อง… ขอบพระทัยที่ทรงไว้ชีวิต..." น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นแทบไม่เหลือสภาพมนุษย์ผู้มีเกียรติอีกต่อไป เป็นเพียงเสียงของผู้ที่ถูกขยี้ศักดิ์ศรีจนไม่เหลือชิ้นดี นางฟุบหน้าลงกับพื้น ลมหายใจตื้นราวกับถูกดูดวิญญาณไปแล้วครึ่งหนึ่ง นางกำนัลคนนั้นตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ เธอไม่ใช่สตรีกล้าแกร่งอะไรนัก แค่หญิงสาวธรรมดาที่ถูกลากเข้าไปในวังวนอำนาจ เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าหลิวอันตอนที่เขาพูด เพราะเพียงแค่น้ำเสียงเรียบ ๆ ของเขาในครั้งนี้กลับราวกับอสรพิษที่พันธนาการร่างและจิตใจเธอไว้ทั้งเป็น


“ข้าอาจช่วยลดโทษเจ้าไม่ได้หรอก ถิงเว่ยผู้นั้นไม่ใช่คนปล่อยผ่าน แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทนโบยสักสิบ ยี่สิบไม้ได้ หากสำนึกจริง และอยากมีชีวิตต่อ เจ้าเป็นผู้ก่อ ชดใช้เสีย… คราวหน้า จะได้ไม่คิดวู่วามกล้าแตะต้องขุนนางอีก จะได้ไม่เป็นเรื่องวุ่นวาย”


เขากำลังกำราบ...ไม่ใช่เพื่อเธอแต่เพื่อสตรีผู้หนึ่งที่เขาไม่ต้องการให้ใครแตะต้องหากนางต้องแตกสลาย


นางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ น้ำตาเปียกแก้มทั้งสองข้าง แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาของหลิวอันที่สบมาด้วยดวงตาเรียบนิ่งอย่างนั้น เธอกลับไม่กล้าร้องขออะไรอีกแม้แต่คำเดียว แล้วคำพูดสุดท้ายของเขาก็ตามมา…คล้ายคำสาปที่ติดตัวไปชั่วชีวิต “ข้ามีคนจับตาเจ้าอยู่ หากเจ้าแม้แต่จะคิดทรยศ หวังหลอกตุลาการ หรือหาทางหนี…ก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นแสงเดือนหรือแสงตะวันอีกเลย” ถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้เปล่งด้วยโทสะ แต่กลับหนักหนาเสียยิ่งกว่า เพราะในน้ำเสียงสงบเยือกเย็นนั่นนางเชื่อหมดใจว่าเป็นความจริง


นางกำนัลรีบซุกหน้ากับพื้นอีกครั้ง “เพคะ…เพคะ ข้าจะไป ข้าจะสารภาพ… ข้าสำนึกแล้วจริง ๆ ขอเพียง…ขอเพียงไว้ชีวิตข้าเถิด…” เสียงสะอื้นนั้นไม่อาจกลั้นได้อีกต่อไป


หลิวอันไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขาเพียงสะบัดชายเสื้อยาวอย่างสง่าผ่าเผย แล้วหันหลังกลับไปยืนในเงามืดที่ทอดยาวไปจนสุดทางเดินหินเก่า เสียงฝีเท้าเขาหนักแน่นและเงียบเชียบราวกับมัจจุราชผู้ตัดสินความผิดด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำแข็งเพราะหาก ‘จางกงกง’ ยังคิดว่าโลกนี้ไม่มีใครคอยมอง เขาจะเป็นดวงตาที่เยียบเย็นที่สุด…เฝ้ามองจากในเงา จนกว่าจะถึงวันมันต้องตอบแทนทุกอย่างที่ทำไว้ และเขาจะไม่ยอมให้นางผู้นั้น…ต้องอยู่ในกรงเหล็กของใครอีกหากนางไม่ยอมรับมันอย่างใจจริง






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 29,737 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-28 08:23
โพสต์ 29737 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-28 08:23
โพสต์ 29,737 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-6-28 08:23
โพสต์ 29,737 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-28 08:23
โพสต์ 29,737 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-28 08:23
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x4
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x70
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-7-1 22:35:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 30 อู่เยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว (เวลา 17.00 - 19.00 น.)



ยามโหย่วแสงตะวันเริ่มคล้อยต่ำ แผ่ไออุ่นสีส้มแดงอ่อนๆ ทั่วผืนฟ้า ซูเหยาเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดที่เตรียมมาใส่ถุงผ้าเรียบร้อย นางก้าวเท้าออกจากโรงหมอเจิ้งเทียน มุ่งหน้าสู่ ศาลเจ้าเถียนฉิงเวย ตามคำแนะนำของท่านป้าผู้ป่วย


เส้นทางสู่ศาลเจ้านั้นเปลี่ยวร้าง ลึกเข้าไปในป่ารกทึบ สองข้างทางมีแต่เงาไม้สูงใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ซูเหยาจุดโคมไฟกระดาษที่พกมา แสงสลัวของโคมไฟส่องนำทางบนเส้นทางลูกรังที่คดเคี้ยวไปตามแนวป่า เสียงใบไม้แห้งกรอบแกรบใต้ฝ่าเท้าเป็นเพื่อนร่วมทางเดียวของนางในยามนี้ แม้ความเงียบสงัดของป่าจะปกคลุมไปทั่ว แต่ซูเหยากลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด


ไม่นานนักแสงโคมไฟก็กระทบกับเงาของสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ เบื้องหน้าของนางคือซุ้มประตูไม้ที่ผุพังไปตามกาลเวลา มีเถาวัลย์เลื้อยพันปกคลุมอย่างหนาแน่นราวกับม่านธรรมชาติ หน้าประตูศาลเจ้าที่เคยมีรูปปั้นหินปีศาจหลัวซาที่วิจิตรงดงามถึงสองรูป บัดนี้ผุพังไปถึงหนึ่ง เหลืออีกเพียงหนึ่งที่ทรุดโทรมใกล้หมดแรงจะต้านทานลมฝน ป้ายไม้เก่าแกะนูนชื่อศาลปรากฏสามตัวอักษร '恬晴微' ซูเหยาพึมพำออกเสียงตาม 


“เถียนฉิงเวย...ท้องฟ้าปลอดโปร่งอันสงบเงียบและลึกซึ้ง” 


นางมองสำรวจไปรอบ ๆ บริเวณศาลเจ้า ซึ่งดูรกร้างจริงอย่างที่ท่านป้าว่าไว้ แต่สิ่งที่ทำให้ซูเหยาประหลาดใจคือ แม้จะรกร้างแต่บริเวณลานหน้าศาลเจ้ากลับไม่ได้สกปรกมากนัก ราวกับว่ามีคนคอยกวาดใบไม้และทำความสะอาดอยู่เสมอ


"แปลกจริง...หรือว่าจะมีคนแอบมาดูแลที่นี่" ซูเหยาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ


นางวางโคมไฟลงข้างบันไดหินที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ แล้วหยิบไม้กวาดและผ้าแห้งออกมาจากถุงผ้า ซูเหยาเริ่มกวาดเศษใบไม้แห้งและกิ่งไม้เล็ก ๆ ที่ร่วงหล่นอยู่บริเวณรอบนอกศาลเจ้าอย่างตั้งใจ แม้จะเป็นเพียงการทำความสะอาดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่นางก็รู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้ทำในสิ่งที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อสถานที่แห่งนี้ ซูเหยาค่อย ๆ กวาดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพื้นที่บริเวณรอบนอกศาลเจ้าสะอาดตาขึ้นพอสมควร


ขณะที่ซูเหยากำลังตั้งใจกวาดลานศาลเจ้าอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นเสียงสวดมนต์ทุ้มต่ำก็แว่วมาตามลม เสียงนั้นดังกังวานและเปี่ยมด้วยความสงบ ราวกับสายน้ำที่ไหลเอื่อย ซูเหยาหยุดมือจากการกวาด มองไปรอบ ๆ อย่างงุนงง เสียงนั้นดังมาจากด้านในศาลเจ้า นางจึงตัดสินใจเดินตามเสียงไปอย่างเงียบเชียบ


เมื่อก้าวข้ามธรณีประตูที่ผุพังเข้าไป ซูเหยารู้สึกประหนึ่งว่าหลุดเข้าไปในพื้นที่แห่งจิตสงบ ท่ามกลางความผุพังของศาลที่ก่อร่างสร้างจากไม้เสียส่วนใหญ่ เบื้องหน้าในเรือนหลัก ปรากฏร่างของไต้ซือท่านหนึ่งกำลังก้มลงกราบไหว้อยู่เบื้องหน้ารูปปั้นพระโพธิสัตว์ตี้จังผ่อซา รูปปั้นที่แม้จะผ่านเวลามาเนิ่นนานแต่กลับไร้ซึ่งฝุ่นเกาะ 


ซูเหยาค่อย ๆ ถอยห่างออกไปเล็กน้อย แอบนั่งลงบริเวณหน้าประตูศาลอย่างเงียบเชียบ พนมมือขึ้นตาม จิตใจของนางสงบนิ่งลงทันทีที่ได้ยินเสียงสวดมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ราวกับจิตวิญญาณได้รับการชำระล้าง นางนั่งเฝ้ารอด้วยความเคารพ จนกระทั่งการทำวัตรของไต้ซือเสร็จสิ้น


เมื่อไต้ซือลุกขึ้นยืน ซูเหยาก็ตั้งใจจะลุกขึ้นไปทำความสะอาดต่อโดยไม่ให้เป็นการรบกวน ทว่าเท้าของนางดันไปเหยียบกิ่งไม้แห้งเข้า เสียงกิ่งไม้หักดังขึ้นในความเงียบสงัด ทำให้ไต้ซือหันกลับมามองทันที ดวงตาของซูเหยาสบเข้ากับดวงตาของไต้ซือผู้เป็นที่คุ้นเคย ใบหน้าอันสงบและเปี่ยมเมตตาที่นางเคยเห็นทุกเช้าขณะใส่บาตร ไม่ผิดแน่…นี่คือไต้ซือจื่อหลิง! ไต้ซือเองก็ดูจะจำนางได้เช่นกัน แววตาอบอุ่นฉายชัดขึ้นเล็กน้อย


ซูเหยารีบลุกขึ้นยืนโค้งคำนับด้วยความเคารพ 


"คำนับไต้ซือเจ้าค่ะ" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม "ข้าซูเหยา ไม่เคยแนะนำตนเองให้ไต้ซือทราบมาก่อน วันนี้บังเอิญผ่านมาเห็นศาลเจ้าแห่งนี้ ดูรกร้างว่างเปล่า จึงอยากเข้ามาช่วยปัดกวาดทำความสะอาดเล็กน้อยเจ้าค่ะ"


ไต้ซือจื่อหลิงมองซูเหยาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ


"อา...โยมซู ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกันที่นี่ ยามเช้าแม่นางมีเมตตาแบ่งปันอาหาร วันนี้ยังมาช่วยดูแลศาลเจ้าร้างแห่งนี้อีก นับเป็นบุญของศาลเจ้าแห่งนี้ยิ่งนัก"


"ไต้ซือเองก็มาที่นี่ด้วยหรือเจ้าคะ?" ซูเหยาเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าไต้ซือจะมายังสถานที่ที่ดูร้างผู้คนเช่นนี้


"อาตมาอาศัยอยู่ที่นี่มาได้สักพักแล้ว" ไต้ซือตอบพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ศาลเจ้า


ซูเหยาเบิกตากว้างเล็กน้อย ไต้ซืออาศัยอยู่ที่นี่? นั่นหมายความว่าตลอดมาที่มีคนดูแลศาลเจ้าแห่งนี้ก็คือไต้ซือจื่อหลิงนี่เอง


"เช่นนั้นก็มิน่าเล่าเจ้าค่ะ" ซูเหยากล่าวด้วยรอยยิ้มเข้าใจ "ข้าเห็นว่าศาลเจ้าแห่งนี้แม้จะดูเก่าแก่ แต่ก็ไม่สกปรกอย่างที่คิด ราวกับมีคนดูแลอยู่เสมอ ที่แท้ก็เป็นท่านไต้ซือนี่เอง"


"การดูแลสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะโดยผู้ใด ล้วนเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมทั้งสิ้น โยมซูมีจิตใจอันดีงาม มาช่วยดูแลสถานที่แห่งนี้ นับเป็นบุญกุศลอันใหญ่หลวง"


"มิได้เจ้าค่ะ เป็นเพียงสิ่งที่ข้าอยากทำเท่านั้น ไต้ซือไม่รังเกียจที่ข้าเข้ามาช่วยทำความสะอาดใช่หรือไม่เจ้าคะ?"


"เหตุใดอาตมาจะต้องรังเกียจเล่า" ไต้ซือกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ 


“ท่านไต้ซือเมตตายิ่งนัก” ซูเหยากล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ


ไต้ซือจื่อหลิงเพียงยิ้มบาง 


“จิตใจอันบริสุทธิ์ของโยมซู ต่างหากที่สมควรแก่การสรรเสริญ การได้ดูแลสถานที่แห่งนี้ถือเป็นปณิธานของอาตมา ยิ่งมีผู้มีใจเมตตาเช่นโยมซูมาช่วยแบ่งเบา ยิ่งเป็นการเติมเต็มบุญกุศลให้แก่สถานที่แห่งนี้”


ซูเหยารู้สึกอบอุ่นในใจ นางไม่เคยคาดคิดว่าการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตนจะได้รับการมองเห็นและชื่นชมถึงเพียงนี้


“ข้าน้อยยินดียิ่งนักเจ้าค่ะที่ได้ช่วยดูแลสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้” ซูเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ


นางเริ่มกวาดใบไม้และกิ่งไม้อีกครั้ง คราวนี้ทำด้วยความกระตือรือร้นยิ่งขึ้นไปอีก ไต้ซือจื่อหลิงมองซูเหยาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยเมตตา ก่อนจะหยิบผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ ขึ้นมาเช็ดฝุ่นตามองค์พระโพธิสัตว์และแท่นบูชาอย่างเบามือ


ทั้งสองคนต่างทำงานไปเงียบ ๆ โดยไม่มีคำพูดใด ๆ แต่บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความสงบ ซูเหยาสังเกตเห็นว่าไต้ซือเช็ดทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมอย่างพิถีพิถัน แม้แต่จุดที่เล็กที่สุดก็ไม่ละเลย แสดงให้เห็นถึงความเคารพและความศรัทธาอย่างแท้จริง ซูเหยาเองก็ตั้งใจกวาดลานศาลเจ้าจนสะอาดหมดจด ไม่มีใบไม้แห้งหรือเศษฝุ่นหลงเหลืออยู่เลย


เมื่อซูเหยากวาดเสร็จ นางก็เดินเข้าไปด้านในศาลเจ้า เพื่อดูว่ามีอะไรที่พอจะช่วยไต้ซือได้อีกบ้าง นางเห็นไต้ซือกำลังเช็ดทำความสะอาดบริเวณผนังไม้ที่เก่าแก่ ซูเหยาจึงหยิบผ้าอีกผืนขึ้นมาเช็ดทำความสะอาดบริเวณเสาไม้และธรณีประตูที่เหลือ ไต้ซือจื่อหลิงหันมายิ้มให้ซูเหยาเป็นการขอบคุณ ซูเหยารู้สึกดีใจที่ได้มีส่วนช่วยในการดูแลสถานที่แห่งนี้


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แสงสุดท้ายของวันเริ่มจางหายไป เหลือเพียงความมืดมิดที่ค่อย ๆ เข้ามาปกคลุม ทั่วบริเวณศาลเจ้าสะอาดหมดจดราวกับได้รับการชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ ซูเหยาเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดของนางใส่ถุงผ้า


"ข้าน้อยคงต้องขอตัวกลับก่อนเจ้าค่ะไต้ซือ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว"


"อาตมาขอขอบคุณโยมซูยิ่งนักที่เมตตามาช่วยดูแลสถานที่แห่งนี้" ไต้ซือจื่อหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม "บุญกุศลที่โยมสร้างในวันนี้ จะส่งผลให้ชีวิตของโยมพบแต่ความสงบสุข"


"เป็นเกียรติของข้าน้อยเจ้าค่ะที่ได้มีส่วนร่วมดูแลสถานที่แห่งนี้" ซูเหยากล่าวด้วยความจริงใจ "ข้าน้อยจะแวะเวียนมาช่วยดูแลศาลเจ้าแห่งนี้บ่อย ๆ เท่าที่ทำได้เจ้าค่ะ"


ซูเหยาโค้งคำนับลาไต้ซือจื่อหลิงอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกมาจากศาลเจ้าแล้วกลับเข้าเมืองฉางอัน…



โรลเพลย์ขอปลดล็อกหัวใจ


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 22666 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-1 22:35
โพสต์ 22,666 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-1 22:35
โพสต์ 22,666 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-1 22:35
โพสต์ 22,666 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-7-1 22:35
โพสต์ 22,666 ไบต์และได้รับ +5 EXP +12 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมอฝึกหัด  โพสต์ 2025-7-1 22:35
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x73
x200
x1
x1
x1
x6
x46
x4
x21
x16
x1
x27
x53
x50
x210
x180
x1
x2
x2
x10
x36
x66
x54
x30
x1
x20
x3
x100
x2
x2
x452
x1
x34
x2
x2
x1
x30
x50
x50
x20
x10
x10
x6
x23
x44
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4
โพสต์ 2025-7-2 16:34:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 2 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามอิ๋น (เวลา 03.00 - 05.00 น.)



ในค่ำคืนนั้น ณ โรงหมอเจิ้งเทียน ซูเหยาตกอยู่ในห้วงแห่งฝันอันประหลาดพิสดาร นางนิมิตเห็นสายลมยามใกล้รุ่งอันชื้นเย็นพัดโชยระลอก ลูบไล้ยอดหญ้าสีเขียวขจี และเส้นผมดำขลับของสตรีผู้หนึ่งซึ่งนั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าองค์พระโพธิสัตว์ตี้จังผ่อซา เสียงสวดมนต์ยามค่ำคืนก้องกังวานอยู่ในความฝันนั้น นางตกใจตื่นผวาขึ้นมาทันใดราวกับว่าความรู้สึกอันแปลกประหลาดนั้นยังคงดังก้องอยู่ในห้วงสำนึก มิอาจจางหายไปได้


ด้วยจิตใจที่มิอาจสงบ นางจึงมิอาจข่มตาหลับต่อได้อีก นางตัดสินใจลุกขึ้นแต่งกายอย่างรวดเร็ว แล้วก้าวเท้าออกจากโรงหมอเจิ้งเทียนในยามอิ๋นอันเงียบสงัด มุ่งหน้ากลับไปยังศาลเจ้าเถียนฉิงเวยอีกครั้งในยามนี้ ราวกับมีแรงดึงดูดลึกลับบางอย่างชักนำให้กลับคืนสู่สถานที่แห่งนั้น


ศาลเจ้าเถียนฉิงเวยที่รกร้างในยามนี้เงียบงันยิ่งกว่ายามเย็นเมื่อวันวาน ความวังเวงเข้าปกคลุมทุกอณูอากาศ ราวกับโลกใบนี้มีเพียงนาง ลมที่พัดโชยต้องพุ่มไม้ใบหญ้าส่งเสียงเสียดสีกันแผ่วเบา และเสียงเรไรที่เริ่มส่งเสียงทักทายยามใกล้รุ่งอรุณแข่งกับความเงียบงัน


ซูเหยาก้าวเข้าสู่ลานศาลเจ้าอีกครั้ง แสงจันทร์เลือนรางส่องนำทาง นางจุดโคมกระดาษที่พกติดตัวมา แสงนวลอ่อนขับไล่เงามืดมิดที่เกาะกุม ไต้ซือจื่อหลิงมิได้อยู่ที่นี่ในเวลานี้ ทว่าลานศาลเจ้าก็ยังคงสะอาดสะอ้าน ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นคอยดูแลอยู่เสมอ ซูเหยาเดินเข้าไปพนมมือเบื้องหน้าองค์พระโพธิสัตว์ตี้จังผ่อซา ดวงตาจับจ้องไปยังพระพักตร์อันเปี่ยมเมตตา ยืนนิ่งอยู่ในความเงียบงันนั้น ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปกับกระแสแห่งความรู้สึกที่อัดแน่นในอก จนกระทั่ง… 


เพล้ง!


เหมือนมีเสียงบางอย่างตกแตกดังมาจากด้านในห้องเล็กที่อยู่ข้างศาลเจ้า ซึ่งซูเหยามิได้สังเกตเห็นมาก่อน นางลังเลเพียงชั่วครู่ หัวใจพลันเต้นระรัวด้วยความฉงน พลางนึกฉงนว่าผู้ใดกันจะมาอยู่ในศาลเจ้าร้างแห่งนี้ในยามวิกาลเช่นนี้ได้ นางตัดสินใจถือโคมในมือ ก้าวเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง พร้อมด้วยสัญชาตญาณของหมอที่สั่งให้นางต้องยื่นมือเข้าช่วย ไม่ว่าสิ่งใดจะรอคอยอยู่เบื้องหน้าก็ตาม


แสงจากโคมส่องสว่างนำทางเข้าไปภายในห้องเล็ก ๆ ที่มืดสลัว กลิ่นอับชื้นผสมผสานกับกลิ่นแปลกประหลาดบางอย่างลอยมาแตะจมูก ซูเหยาไล่สายตาไปตามพื้น ก่อนจะพบว่าที่พื้นมีแจกันใบเล็กตกแตกเป็นเสี่ยง ๆ เศษกระเบื้องกระจัดกระจายราวกับเพิ่งถูกกระแทกอย่างแรง ใกล้กันนั้นมีผ้าแพรสีหม่นพับไว้เรียบร้อย ดูเก่าแก่และผ่านการใช้งานมานาน บนผ้าแพรนั้นมีห่อผงสีแดงอมทองวางอยู่เด่นชัด แสงโคมสะท้อนกับละอองผงนั้นระยิบระยับ ลวดลายโบราณประหลาดที่ดูคล้ายอักษรโบราณหรือยันต์บางอย่างล้อมรอบยันต์วงกลมขนาดเล็กที่อยู่กลางห่อผงนั้นอย่างบรรจง ซูเหยาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย 


“นี่มันสิ่งใดกัน? แล้วผู้ใดที่ทิ้งมันไว้ในศาลเจ้าร้างแห่งนี้นะ?” นางพึมพำกับตนเอง



ซูเหยาก้มมองอย่างสนใจ มือข้างหนึ่งสัมผัสยันต์นั้นเบา ๆ และทันใดนั้น แสงสว่างวาบขึ้นชั่วพริบตาเดียว 

นางเห็นภาพในหัวเป็นผู้คนสวมชุดขาวดำกำลังเดินขึ้นศาลเจ้า เปลวเพลิงลุกไหม้ศาลเจ้าแห่งนี้ในคืนหนึ่งกลางสายฝน เสียงสวดมนต์จากหลายร้อยปากกึกก้องดังไม่ขาด ราวกับพิธีกรรมใหญ่บางอย่างกำลังถูกกระทำเพื่อผนึกบางสิ่งไว้


นางก้มมองมันอย่างสนใจ ดวงตาจับจ้องไปยังห่อผงสีแดงอมทองนั้นอย่างไม่วางตา มือเรียวข้างหนึ่งค่อย ๆ เอื้อมออกไปสัมผัสยันต์นั้นเบา ๆ ด้วยความระมัดระวัง และทันใดนั้นเองก็มีแสงสว่างวาบขึ้นชั่วพริบตาเดียว เจิดจ้าเสียยิ่งกว่าแสงจากโคมในมือนาง แสงนั้นดูดกลืนทุกสิ่งรอบกายไปชั่วขณะ


ภาพเบื้องหน้าของนางพลันเปลี่ยนไป ราวกับมิติกาลเวลาได้พับทบเข้าหากัน นางเห็นภาพในหัวเป็นผู้คนสวมชุดขาวดำนับร้อยนับพันกำลังเดินขึ้นสู่ศาลเจ้าเถียนฉิงเวย เสียงฝีเท้าที่กระทบกับพื้นหินดังกระหึ่ม ภาพนั้นชัดเจนจนราวกับนางยืนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเอง เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกไหม้ศาลเจ้าแห่งนี้ในคืนหนึ่งกลางสายฝน หยาดฝนไม่อาจดับเปลวเพลิงนั้นลงได้ มีเพียงเสียงสวดมนต์จากหลายร้อยปากที่กึกก้องดังไม่ขาดสาย ราวกับพิธีกรรมใหญ่บางอย่างกำลังถูกกระทำเพื่อผนึกบางสิ่งไว้…


ซูเหยาสะดุ้งเฮือก เลือดลมในกายพลันปั่นป่วน นางยกมือเรียวแตะขมับตนอย่างงุนงง ภาพนิมิตนั้นเลือนหายไปโดยไร้ร่องรอย ทว่าหัวใจกลับเต้นแรงไม่หยุดราวกับจะหลุดออกมาจากอก ความรู้สึกประหลาดถาโถมเข้าใส่นาง


"สถานที่นี้ เคยเป็นศาลเจ้าผนึกสิ่งศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ?"


จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งแว่วมาในความเงียบงันนั้น เสียงนั้นไม่ใช่ของไต้ซือจื่อหลิง หากแต่เป็นเสียงของบุรุษชราที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน เสียงนั้นเบาแผ่วดุจสายลม แต่กลับชัดเจนก้องกังวานอยู่ในห้วงสำนึกของนาง ราวกับกระซิบอยู่ข้างหู


นางหันมองไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมกริบกวาดสำรวจทุกซอกมุมของห้องเล็ก ๆ แห่งนั้น


ไม่มีใครเลย…


ความว่างเปล่าเข้าปกคลุมอีกครา ทว่าบนกำแพงไม้ของศาลเจ้า ที่นางเพิ่งช่วยขัดถูเมื่อวานนี้ บัดนี้ปรากฏรอยเส้นบาง ๆ เป็นอักษรเก่าแก่ที่เลือนรางจางหายไปตามกาลเวลา แม้มองเผิน ๆ จะไม่เห็น แต่ในยามนี้ อักษรเหล่านั้นกลับปรากฏชัดเจนในสายตาของซูเหยา


‘ผู้มีจิตสะอาดเท่านั้น...จึงจะมองเห็น’


ซูเหยาเงียบไปชั่วขณะ ยืนนิ่งราวกับถูกตรึงไว้กับพื้น ความสงสัยใคร่รู้ผสมปนเปกับความรู้สึกหวาดหวั่น กัดกินจิตใจของนาง นางเริ่มตระหนักแล้วว่าตนเองกำลังถูกดึงเข้าสู่ชะตากรรมบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในศาลเจ้าร้างแห่งนี้ ซึ่งมิได้รกร้างอย่างที่ตาเห็น หากแต่มีเรื่องราวลึกลับที่รอคอยการเปิดเผยอยู่ต่างหาก


ทันใดนั้นเองภาพของไต้ซือจื่อหลิงพลันปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของซูเหยา ท่านไต้ซือผู้นี้ใช้ศาลเจ้าร้างแห่งนี้เป็นที่จำวัดมาสักพักแล้ว ย่อมต้องเคยพบเห็นสัญญาณแปลกประหลาดเหล่านี้มาก่อนแน่ หรือบางที…ท่านอาจจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันเร้นลับของศาลเจ้าแห่งนี้ก็เป็นได้ ความคิดนี้จุดประกายความหวังในใจของซูเหยาขึ้นมาทันควัน นางจะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่! และผู้เดียวที่สามารถให้คำตอบแก่นางได้ในยามนี้ ก็คือไต้ซือจื่อหลิง นางตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องตามหาท่านไต้ซือให้พบ เพื่อไขปริศนาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ให้กระจ่าง…




ทางเลือกในการดำเนินเรื่อง เลือกข้อ 2


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 17872 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-2 16:34
โพสต์ 17,872 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-2 16:34
โพสต์ 17,872 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-2 16:34
โพสต์ 17,872 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +4 คุณธรรม +5 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-7-2 16:34
โพสต์ 17,872 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความโหด จาก หมอฝึกหัด  โพสต์ 2025-7-2 16:34
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x73
x200
x1
x1
x1
x6
x46
x4
x21
x16
x1
x27
x53
x50
x210
x180
x1
x2
x2
x10
x36
x66
x54
x30
x1
x20
x3
x100
x2
x2
x452
x1
x34
x2
x2
x1
x30
x50
x50
x20
x10
x10
x6
x23
x44
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4
โพสต์ 2025-7-3 01:44:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 2 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามอิ๋น (เวลา 03.00 - 05.00 น.)



ซูเหยาหยุดนิ่งงันกลางห้องเล็ก ๆ ดวงตาจับจ้องอักษรโบราณบนผนังที่ปรากฏขึ้นราวกับปาฏิหาริย์ ความคิดมากมายถาโถมเข้าใส่จนยากจะเรียบเรียง แต่แล้ว...เสียงแผ่วเบาก็ลอยมาตามสายลม คล้ายบทสวดโบราณที่ก้องกังวานในความเงียบงันของยามราตรี


‘หนึ่งจิตเยียวยา หนึ่งจิตนิ่งสงบ

สองประตูธรรมลบ ผนึกจักเปิดเผย

หากจิตยังวุ่นไหว...อย่าได้หวังเห็นแสงเลย’


เสียงนั้นค่อย ๆ จางหายไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงที่เพิ่มพูนในใจของซูเหยา 


"หนึ่งจิตเยียวยา? หนึ่งจิตนิ่งสงบ? หมายความว่าอย่างไรกัน?" 


นางพึมพำกับตนเอง นัยน์ตาคมกริบกวาดมองไปรอบตัวอีกครั้ง ราวกับจะหาที่มาของเสียง แต่ก็ไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงเศษแจกันที่แตกกระจายกับห่อผงสีแดงอมทองวางนิ่งอยู่บนผ้าแพรเก่าแก่เท่านั้น


ทันใดนั้นความรู้สึกเย็นเยียบก็แล่นเข้าจับขั้วหัวใจ ราวกับมีลมหนาวพัดผ่านเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ที่ปิดทึบ ซูเหยาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอับชื้นที่เปลี่ยนไป มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายดอกไม้ป่าผสมผสานกับกลิ่นดินและกลิ่นสาบของเก่าแก่ที่ปะปนกันอย่างแปลกประหลาด สายตาของนางพลันสะดุดกับเงาราง ๆ ที่มุมห้อง เงาจาง ๆ ที่แต่เดิมเหมือนเป็นเพียงความมืดมิด บัดนี้กลับดูคล้ายรูปร่างของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง นางเพ่งมองอย่างตั้งใจ หัวใจเต้นรัวด้วยความประหลาดใจ


“นั่น…อะไรกัน?”


เงารางนั้นเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนซูเหยาพอจะมองเห็นเป็นร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ร่างกายผ่ายผอม ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาเหม่อลอยคล้ายคนไร้ชีวิต เขานั่งคุดคู้อยู่ที่มุมห้อง เงียบงันเสียจนซูเหยาเกือบจะคิดว่าตนเองตาฝาดไป แต่สัมผัสเย็นยะเยือกและกลิ่นประหลาดที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก็บอกกับนางว่านี่ไม่ใช่ความฝัน


ด้วยสัญชาตญาณของหมอที่ฝังลึก ซูเหยาค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาช้า ๆ แสงจากโคมในมือส่องกระทบใบหน้าของเด็กหนุ่ม เผยให้เห็นร่องรอยความทุกข์ทรมานที่ฝังลึกอยู่ในดวงตาที่ว่างเปล่านั้น นางไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใคร มาจากไหน หรือมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ แต่จิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาผลักดันให้นางต้องยื่นมือเข้าช่วย


“เจ้าเป็นอะไรไป?” ซูเหยาเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา พยายามไม่ให้เสียงของนางไปรบกวนความเงียบงัน “ข้าเป็นหมอ อาจพอช่วยเจ้าได้”


เด็กหนุ่มไม่ตอบสนองใด ๆ สายตาของเขายังคงเหม่อลอยราวกับไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของนาง ซูเหยาสังเกตเห็นว่าที่ข้อมือของเด็กหนุ่มมีรอยคล้ายรอยไหม้จาง ๆ คลื่นความเจ็บปวดที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา ราวกับความทุกข์ทรมานได้กัดกินชีวิตของเขาจนเกือบหมดสิ้น


ซูเหยารู้สึกได้ทันทีว่าการรักษานี้ไม่ใช่การรักษาบาดแผลทางกาย แต่เป็นการเยียวยาจิตวิญญาณที่รวดร้าว นางนั่งลงเบื้องหน้าเด็กหนุ่มอย่างช้า ๆ หยิบห่อสมุนไพรบางอย่างที่พกติดตัวออกมา วางลงบนพื้นเบา ๆ พร้อมกับถ้อยคำปลอบโยนที่ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ


“ความเจ็บปวดใด ๆ ก็ตามล้วนมีทางบรรเทา” นางกระซิบเบา ๆ “จงอย่าให้ความทุกข์นั้นกัดกินเจ้า”


นางค่อย ๆ นวดสมุนไพรลงบนฝ่ามือ ปล่อยให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ คละคลุ้งในอากาศ ก่อนจะค่อย ๆ ประคบลงบนข้อมือของเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา พลางท่องบทสวดที่ท่านตาของนางเคยสวดให้ฟังเมื่อครั้งยังเด็ก บทสวดแห่งเมตตาและสันติที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจให้สงบ


ขณะที่ซูเหยากำลังเยียวยาเด็กหนุ่ม ดวงตาของนางก็พลันปิดลง ราวกับถูกดึงเข้าสู่ภวังค์อันลึกซึ้งอีกครั้ง เสียงสวดมนต์ของนางยังคงก้องกังวาน แต่ภาพในหัวกลับเปลี่ยนไป นางเห็นแสงสีทองเรืองรองลอยวนอยู่รอบตัวเด็กหนุ่ม และค่อย ๆ กลืนกินความมืดมิดที่เกาะกุมร่างของเขา แสงนั้นไม่ใช่แสงที่เจิดจ้าบาดตา หากแต่เป็นแสงที่อบอุ่นและอ่อนโยน ราวกับแสงแห่งความหวังที่กำลังส่องนำทางวิญญาณที่หลงทาง


ความว้าวุ่นใจในตอนแรกที่ถูกเสียงปริศนาและนิมิตโจมตี เริ่มจางหายไป ความกังวลเกี่ยวกับการไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือ เด็กหนุ่มเบื้องหน้าคือสิ่งเดียวที่อยู่ในความสนใจของนางในตอนนี้ ทุกสิ่งรอบตัวเลือนหายไป มีเพียงลมหายใจของนาง เสียงสวดมนต์ และความตั้งใจที่จะเยียวยาเท่านั้นที่คงอยู่


ขณะที่จิตใจของนางนิ่งสงบลงเรื่อย ๆ ราวกับผิวน้ำที่ไร้ระลอกคลื่น ซูเหยาสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของนางเอง พลังที่อบอุ่นและบริสุทธิ์ พลังที่เชื่อมโยงนางกับเด็กหนุ่มเบื้องหน้า และพลังที่ดูเหมือนจะเชื่อมโยงนางกับศาลเจ้าแห่งนี้ด้วย…


นางไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้จะนำพาไปสู่สิ่งใด ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะได้รับการเยียวยาหรือไม่ แต่ในวินาทีนั้น จิตใจของซูเหยาเปี่ยมไปด้วยเมตตาอย่างแท้จริง ไร้ซึ่งความลังเลสงสัย และปราศจากความหวั่นไหวใด ๆ มีเพียงความปรารถนาที่จะช่วยชีวิตหนึ่งชีวิตที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่เบื้องหน้า


เมื่อสมุนไพรถูกประคบลงบนข้อมือของเด็กหนุ่มจนหมด บทสวดสิ้นสุดลง แสงสีทองที่โอบล้อมร่างเด็กหนุ่มก็เรืองรองขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับร่างของเขา ซูเหยาลืมตาขึ้นช้า ๆ ห้องเล็ก ๆ กลับมามืดสลัวและเงียบสงัดอีกครั้ง ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางได้แต่ถอนหายใจ 


"นี่ข้าได้ช่วยเหลือเขาจริง ๆ หรือเปล่านะ?"


แต่แล้ว...เสียงกระซิบเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม


“เจ้าผ่านแล้ว…”


หัวใจของซูเหยาเต้นแรงระรัว 


“นี่มัน…อะไรกันแน่?” 


นางพึมพำกับตัวเอง ไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังฝันไปหรือไม่ แต่สัมผัสเย็นเยียบที่ข้อมือยังคงอยู่ ราวกับเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นเป็นความจริง และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปริศนาแห่งศาลเจ้าเถียนฉิงเวยที่รอคอยการไขกระจ่าง…



เสร็จสิ้นเงื่อนไขแห่ง "จิตพิเศษ”


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 16807 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-3 01:44
โพสต์ 16,807 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-3 01:44
โพสต์ 16,807 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-3 01:44
โพสต์ 16,807 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +4 คุณธรรม +5 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-7-3 01:44
โพสต์ 16,807 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความโหด จาก หมอฝึกหัด  โพสต์ 2025-7-3 01:44
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x73
x200
x1
x1
x1
x6
x46
x4
x21
x16
x1
x27
x53
x50
x210
x180
x1
x2
x2
x10
x36
x66
x54
x30
x1
x20
x3
x100
x2
x2
x452
x1
x34
x2
x2
x1
x30
x50
x50
x20
x10
x10
x6
x23
x44
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4
โพสต์ 2025-7-3 17:05:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 2 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามอิ๋น (เวลา 03.00 - 05.00 น.)



หลังจากซูเหยาผ่านพ้นบททดสอบแรกในห้องเล็กอันมืดมิด นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางก้าวเท้าออกจากห้องเล็กนั้น สัมผัสเย็นเยียบยังคงอยู่ ตอกย้ำความจริงที่ว่านางเพิ่งเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ณ ศาลเจ้าแห่งนี้


เมื่อเท้าของซูเหยาก้าวพ้นธรณีประตูของศาลเจ้า กลิ่นหอมเย็นของธูปที่ปะปนกับกลิ่นดินและกลิ่นสาบของเก่าแก่ก็โชยมาอ่อน ๆ ลมหอบหนึ่งพัดผ่านเบา ๆ ราวกับจะพัดพาความสงสัยและความเหนื่อยล้าออกไปจากใจของนาง


“ในที่สุด...โยมก็เปิดประตูแรกจนได้”


เสียงเรียบสงบที่ดังขึ้นจากความมืดมิดทำให้ซูเหยาหันขวับทันที ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดลงที่มุมหนึ่งของลานศาลเจ้า ใต้เงาไม้ใหญ่ นางเห็นร่างของบุรุษผู้หนึ่งยืนตระหง่าน ถือไม้เท้ายาวในมือ ใบหน้าของเขาเปี่ยมด้วยเมตตา ทว่านัยน์ตาคู่นั้นกลับคล้ายซ่อนเร้นบางสิ่งไว้ ราวกับมหาสมุทรที่ยากจะหยั่งถึง


ไต้ซือจื่อหลิง คือ ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายที่ดูสูงโปร่งภายใต้ชุดจีวรสีเทาดูสงบนิ่ง แสงจันทร์สาดส่องลงมาต้องร่าง ทำให้เงาของท่านทอดยาวบนพื้นหินเก่าแก่ของลานศาลเจ้า บรรยากาศรอบตัวท่านเต็มไปด้วยความสงบเงียบงัน แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยพลังลึกลับบางอย่างที่ยากจะอธิบาย



“อาตมารอเวลานี้มานานมากแล้ว โยมซู”


น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกของไต้ซือจื่อหลิงทำให้ซูเหยาตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่นางจะได้เอ่ยคำถามใด ๆ ออกไป ไต้ซือก็กล่าวต่ออย่างสงบ


“ศาลเจ้าเถียนฉิงเวยแห่งนี้ โยมรู้หรือไม่ว่าเคยเป็น ศาลเจ้าผนึกพลังแห่ง 'สมดุล' ” ไต้ซือเว้นวรรคเล็กน้อย ดวงตาของท่านทอดมองไปยังส่วนลึกของศาลเจ้า ราวกับกำลังหวนรำลึกถึงอดีตกาลอันไกลโพ้น “ที่นี่มีหน้าที่ 'ผนึกความลับของเต๋าและมาร' ให้คงอยู่ร่วมกันโดยไม่ล้ำเส้น”


ซูเหยาขมวดคิ้วแน่น คำกล่าวของไต้ซือยิ่งเพิ่มความสับสนในใจของนาง เต๋าและมาร? สมดุล? ศาลเจ้าแห่งนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ซับซ้อนเกินกว่าที่นางจะคาดเดาได้


ไต้ซือจื่อหลิงก้าวเข้ามาใกล้ซูเหยาอีกเล็กน้อย ดวงตาของท่านทอประกายลึกล้ำภายใต้แสงจันทร์ ท่านกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เน้นย้ำทุกถ้อยคำ ราวกับกำลังเปิดเผยความลับอันยิ่งใหญ่ที่ถูกเก็บซ่อนมานาน


“ศาลเจ้าแห่งนี้เก็บงำคำทำนายศักดิ์สิทธิ์ที่รอคอยการเติมเต็มมานานแสนนาน โยมซู” ไต้ซือเอ่ยพลางเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่สาดส่องลงมายังลานศาลเจ้าที่เงียบสงัด


“เมื่อจิตเยียวยาได้เปิดทาง ประตูสุดท้ายจะต้องถูกเปิดด้วย ‘จิตนิ่งสงบ’ หากล้มเหลว ศาลเจ้าจะผนึกทุกสิ่งไปตลอดกาล”


คำทำนายนี้ก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของซูเหยา หัวใจของนางเต้นระรัวด้วยความตระหนก 


"ประตูสุดท้าย…ผนึกทุกสิ่งไปตลอดกาล…หรือเจ้าคะ?" ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ถาโถมเข้ามาในใจ


“โยมคือ ผู้ถูกเลือกแห่งศาลเจ้า” ไต้ซือกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ใช่ด้วยโชคชะตา แต่มันคือด้วย เมตตาในใจโยมเอง”


ซูเหยาประหลาดใจกับคำกล่าวนี้ นางเป็นเพียงหมอคนหนึ่งที่ต้องการช่วยชีวิตผู้อื่น ไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะมีความสำคัญถึงเพียงนี้


“ศาลเจ้าแห่งนี้มิได้ต้องการให้ใครมาแก้คำสาป หรือมาปลดปล่อยสิ่งใด” ไต้ซืออธิบาย “แต่มันรอผู้เห็นธรรม”


คำว่า ‘ผู้เห็นธรรม’ ทำให้ซูเหยานิ่งงัน ความหมายของมันลึกซึ้งเกินกว่าที่นางจะเข้าใจได้ในทันที


“ถ้าโยมยังยึดติดว่าอยากช่วยด้วย พลัง หรือ ปัญญา” ไต้ซือกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “โยมจะไม่มีวันเปิดประตูสุดท้ายได้”


ถ้อยคำของไต้ซือจื่อหลิงทำให้ซูเหยาครุ่นคิดหนัก พลังและปัญญาคือสิ่งที่นางเชื่อมั่นมาตลอดในฐานะหมอ หากสองสิ่งนี้ไม่ใช่วิถีทางที่ถูกต้อง แล้วอะไรคือสิ่งที่ศาลเจ้าแห่งนี้ต้องการ?


“แล้วข้าน้อยจะต้องทำอย่างไรเจ้าคะไต้ซือ?” ซูเหยาถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลง ความสงสัยในตนเองเริ่มก่อตัวขึ้น


“ประตูสุดท้ายมิใช่ประตูแห่งพิธีกรรม” ไต้ซือกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่กังวานในความเงียบยามราตรี “หากคือ ประตูในจิตโยมเอง”


“ประตูในจิต?” นางพึมพำ


“ใช่แล้วโยม” ไต้ซือยืนยัน “หากโยมกล้าปล่อยวางทุกอย่าง รวมถึงแม้แต่ความกลัวที่จะสูญเสีย…ประตูนั้นย่อมเปิดเองโดยไม่ต้องแตะต้อง”


คำว่า ‘ปล่อยวาง’ และ ‘ความกลัวที่จะสูญเสีย’ ดังก้องอยู่ในใจของซูเหยา นางเป็นหมอผู้ยึดมั่นในชีวิตและปรารถนาจะช่วยเหลือผู้คนมาตลอด การปล่อยวางทุกสิ่ง รวมถึงความกลัวที่จะไม่สามารถช่วยใครได้ ความกลัวที่จะสูญเสียแม้กระทั่งตัวตนของตนเองนั้น เป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่าการรักษาบาดแผลทางกายหลายเท่านัก


ไต้ซือจื่อหลิงผายมือไปยังอาคารเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่หลังศาลเจ้าหลัก ภายใต้เงาของต้นไม้อายุหลายร้อยปี


“อาตมาเตรียมห้องสงบจิต ไว้ให้หลังศาลเจ้าแล้ว” ไต้ซือกล่าวต่อ “คืนพรุ่งนี้ โยมจงไปที่นั่น หากจิตโยมไม่หวั่นไหว ศาลเจ้าจะเปิดทางเอง”


เขามิได้กล่าวสิ่งใดอีก เพียงหันหลังกลับไปอย่างเงียบงัน ร่างสูงโปร่งในชุดจีวรสีเทาค่อย ๆ กลืนหายไปในเงามืดของราตรี เหลือเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมายังลานศาลเจ้าที่กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง


ซูเหยาถูกทิ้งไว้เพียงลำพังกับดวงใจที่ยังสั่นไหว คำทำนายศักดิ์สิทธิ์และคำชี้แนะของไต้ซือจื่อหลิงวนเวียนอยู่ในความคิดของนาง สิ่งเหล่านั้นเป็นบทเรียนที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่นางจะเคยพบเจอมาในฐานะหมอผู้รักษาคนไข้ นางถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเดินทางกลับไปยังโรงหมอเจิ้งเทียน



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 16542 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-3 17:05
โพสต์ 16,542 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-3 17:05
โพสต์ 16,542 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-3 17:05
โพสต์ 16,542 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +4 คุณธรรม +5 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-7-3 17:05
โพสต์ 16,542 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความโหด จาก หมอฝึกหัด  โพสต์ 2025-7-3 17:05
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x73
x200
x1
x1
x1
x6
x46
x4
x21
x16
x1
x27
x53
x50
x210
x180
x1
x2
x2
x10
x36
x66
x54
x30
x1
x20
x3
x100
x2
x2
x452
x1
x34
x2
x2
x1
x30
x50
x50
x20
x10
x10
x6
x23
x44
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้