ประตูเมืองทิศใต้ หมิงเต๋อ

[คัดลอกลิงก์]





ประตูเมืองทิศใต้ หมิงเต๋อ









ประตูเมืองทิศใต้ หมิงเต๋อ
『 ทิวาร่วงหล่นสู่ขอบฟ้า ยามตะวันลับสนธยาจันทร์จึงปรากฎ 』

ซุ้มปรตูเมืองที่ขึ้นชื่อว่าน่าเกรงขามที่สุดแห่งนครฉางอันมีการสร้างอย่างพิเศษ
ด้านในของกำแพงเมืองมีช่องท่อทองเหลืองสำหรับใช้ในการศึกสงคราม
คุ้มกำแพงป้องกันทัศนวิศัยถูกบดบัง รวมไปถึงกลไกบนรูปปั้นสลักซับซ้อน
ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยฉิน เคยผ่านศึกน้อยใหญ่มานับไม่ถ้วน
แนวกำแพงล้อมด้วยคูน้ำยาวเหยียดเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิของฉางอัน









แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 8819 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-7-9 19:18

18

กระทู้

224

ตอบกลับ

1954

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
2
ตำลึงทอง
79
ตำลึงเงิน
1510
เหรียญอู่จู
37192
STR
53+7
INT
70+0
LUK
6+2
POW
74+5
CHA
97+27
VIT
25+7
‘ หลี่ผู่เยว่ • 李谱月 ’
เลเวล 1
คุณธรรม
9940
ความชั่ว
655
ความโหด
5097
โพสต์ 2024-7-9 21:31:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-7-9 21:40




เส้นมงคลแห่งหยกขาว

คืนที่ห้า เดือนเจ็ดของจงหยวนศก ปีที่สอง พายุฝนห่าใหญ่ซัดใส่โดยไร้คำบอกกล่าวเช่นเดียวกับการกำเนิดของเด็กสาวอันเป็นที่รักยิ่ง น่าเสียดายนักที่ชะตาชีวิตของสาวน้อยผู้นี้ไม่อาจนับได้ว่าเรียบง่าย เด็กน้อยคลอดออกมาระหว่างการเดินทางครั้งสำคัญที่เดิมพันกันด้วยชีวิต ดังนั้นเมื่อคลอดแล้วแทนที่จะได้พักผ่อน นางก็ถูกมารดาหอบหิ้วแนบอกแล้วเดินทางไกลนับพันลี้ขอบชายทะเลกลับมาสู่แดนจงหยวนอันเป็นถิ่นกำเนิดของคนที่พลัดพรากไปไกลจนไร้ทางหวนคืน

ชั่วขณะแรกที่‘ลู่อวี้หราน’ ได้เห็นหอชุนหลันฉี น้ำตาของนางพลันไหลอาบแก้ม

จะค่ำคืนหนาวเหน็บ หรือการเดินทางอันบากบั่นตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เพียงแค่ได้เห็นบ้านเกิด ในใจก็รู้สึกราวกับตื่นขึ้นจากฝันร้ายอันยาวนาน โคมไฟแห่งหอชุนหลันฉีไม่เคยมอดดับเช่นเดียวกับความรุ่งเรืองที่จะไม่มีวันจางหาย แสงสว่างอันเรืองรองนี้จุดประกายความหวังของนางให้ลุกโชน ‘ หากเป็นที่นี่.. อย่างไรก็คงสามารถปกป้อง ‘นาง’ จากวังวนดำมืดทั้งปวงได้ ’

‘ลู่อวี้หราน’ เปลี่ยนไปมากจากความทรงจำของคนในครอบครัว

จากสาวงามชดช้อยท่าทางก๋ากั่นมั่นใจ กลายมาเป็นหญิงสาวซูบผอมอ่อนแรงทั้งยังเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายโศกเศร้าประหนึ่งถูหมีป่าที่ชอกช้ำโดยไร้คนสนใจ วินาทีแรกที่ทั้งบ้านได้พบหน้ากันอีกครั้ง แม้แต่น้องชายที่เห็นนางมาแล้วในทุกสถานการณ์ยังไม่อยากที่จะเชื่อว่าคนตรงหน้านี้คือพี่สาวที่หายตัวไปถึงสองปีเต็ม

สองปี .. ระยะเวลาสองปีสามารถทำให้คนเปลี่ยนไปได้มากแค่ไหน เกรงว่าคงจะมีแต่อวี้หรานที่รู้

“ ลูกแม่.. เจ้า ”

ลู่ฟูเหรินกล่าวทั้งน้ำตา ส่วนบิดาก็จดจ้องบนตัวนางด้วยความตกตะลึง ทางด้านน้องชายนั้น นางเห็นเขาลอบกำหมัดพลางเบือนใบหน้าหนี ทุกการกระทำเหล่านี้ล้วนเงียบงันแต่กลับดังที่สุดภายในใจของผู้หวนคืน

“ สองปีมานี้เป็นเพราะลูกไม่เชื่อฟัง ทำให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องลำบาก วันนี้ลูกมีโอกาสกลับมา ยินดีรับโทษฐานที่ทำให้บุพการีเป็นกังวล แต่กระนั้นเห็นแก่ที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน ท่านพ่อท่านแม่โปรดรับการคารวะขอขมาจากลูกด้วย ”

สองเข่าของนางสัมผัสอยู่กับพื้น อวี้หรานคุกเข่าอย่างมั่นคงด้วยร่างกายที่บอบบางราวปุยเมฆ ชั่วขณะที่นางกำลังหมอบกายลง สัมผัสแกร่งจากมือสาก ๆ ของน้องชายก็คว้าเข้าที่ไหล่พร้อมเสียงตบโต๊ะดังปัง

“ เจ้าเห็นคนแซ่ลู่เป็นพวกใจไม้ไส้ระกำหรืออย่างไร !! ลูกสาวข้าหายหน้าไปสองปี ติดต่อไม่ได้ ร่องรอยไม่มี กลับมาอีกทีก็หอบลูกมาพร้อมสภาพเช่นนี้ ลู่อวี้หราน เจ้าเห็นพ่อเป็นคนเลวร้ายถึงขนาดนั้นเชียว? ”

ตลอดมาลู่หลงซานเป็นพ่อค้าที่เด็ดขาด เวลาชีวิตล้วนทุ่มเทไปกับการสร้างรากฐานการค้าและการทำงานเพื่อที่จะให้คนในครอบครัวได้มีชีวิตมั่นคง ทำให้ความผูกพันฉันพ่อลูกไม่นับว่าแน่นแฟ้น ในสายตานาง ท่านพ่อคือชายผู้เดียวที่สามารถแยกงานเป็นงาน ความรู้สึกเป็นความรู้สึก ผิดกับนางที่อุตส่าห์ได้รับการสั่งสอนจากเขา แต่ก็ไม่อาจก้าวตามเส้นทางที่ผู้เป็นบิดากรุยเอาไว้ให้

“ ข้า.. ”

“ ไม่ต้องพูดแล้ว ลุกขึ้น ” ชางหรงกล่าวแทนบิดาที่อยู่ในวัยชราแล้วยังปากหนักพลางเข้ามาประคองหญิงสาวที่งุนงงให้ลุกขึ้น ขณะนั้นอวี้หรานรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก น้องชายที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยยามนี้เติบใหญ่พอจะเป็นที่กำบังให้กับนาง เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็ตัดสินใจเบนสายตากลับไปหมายจะดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคนรอบตัวชัด ๆ สักหน อวี้หรานเห็น.. ปอยผมหลายเส้นของบิดากลายเป็นสีขาวทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงวัย นางเห็นริ้วรอยบนใบหน้าของหญิงสาววัยกลางคน

ที่แท้ไม่ได้มีเพียงนางที่เปลี่ยนไป ,
ที่แท้.. กาลเวลาล้วนโหดร้ายต่อมวลมนุษย์



“ ทำแบบนี้จะดีแน่หรือ ”

เด็กชายวัยสิบหนาวกล่าวกับนางในขณะที่กำลังก้มลงเก็บเสื้อผ้า

“ ดี ทำแบบนี้ย่อมดีแน่นอน ”

อวี้หรานตอบกลับพร้อมรอยยิ้มขมขื่น มือข้างหนึ่งขยับตบลงบนฟูกนอนเพื่อเรียกให้น้องชายขยับเข้ามาใกล้ “ เจ้าจะกลายเป็นพี่ชาย มีน้องสาวที่น่ารักหนึ่งคน ดังนั้นต้องเลี้ยงนางให้ดี อ่อนโยนต่อนางให้มาก จะมาทำตัวดื้อรั้นเหมือนตอนอยู่กับข้าไม่ได้ ” กลุ่มผมสีเข้มของชางหรงฟูฟ่องขึ้นด้วยฝีมือของผู้เป็นพี่สาว หากเป็นช่วงเวลาปกติเด็กน้อยของนางจะต้องออกปากบ่นพร้อมยื่นปากล่างออกมาเล็กน้อยชวนให้รู้สึกอย่างบีบเค้นไปเรื่อย ๆ ทว่ายามนี้ เด็กน้อยของนางกลับรู้ความขึ้นมาก แทนที่เขาจะโวยวาย ชางหรงกลับจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง

“ แต่อันที่จริงแล้วข้าควรท่านอาของนาง ”

คำพูดชัดถ้อยชัดคำที่ต้องการจะเป็น ‘ท่านอา’ เมื่อออกมาจากปากของเด็กวัยสิบหนาว นับว่าน่าเอ็นดูเกินกว่าที่นางคาดไว้มาก อวี้หรานหัวเราะเบา ๆ นางใช้นิ้วดันหน้าผากของชางหรงจนตัวเด็กชายโยกไปด้านหลัง “ หากเป็นท่านอา นั่นหมายความว่าเจ้าแก่แล้ว รีบร้อนไปทำไมกัน? ”

“ ไม่ นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าแก่ ”

“ แต่นั่นหมายความว่าข้ามีพี่สาวคนหนึ่ง ”

“ … ”

“ พี่สาวที่ให้กำเนิดนางฟ้าตัวน้อย ”

วาจานี้ของชางหรงทำให้นางชาวาบไปทั้งตัว ใบหน้างามนิ่งค้างด้วยความตกตะลึง ในฐานะพี่น้อง ถึงการกระทำของนางจะฟังดูคล้ายการผลักภาระแต่ถึงอย่างนั้นอวี้หรานก็เลือกที่จะฝากฝังบางสิ่งไว้กับชางหรงเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงรู้ดี.. รู้ดีว่านางจำเป็นต้องจากไปอีกครั้ง และคงไม่มีวันได้กลับมาอีก

“ พี่สาว อย่างน้อย ๆ นางก็สมควรได้รู้ว่ามารดาแท้ ๆ ของตัวเองเป็นใคร ”

“ ชางหรง ยังไม่ทันข้ามวัน เจ้าก็จำที่ข้ากำชับไม่ได้แล้วเหรอ? ”

เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น ลู่ชางหรงก็เม้มปาก เด็กชายตัวน้อยกดใบหน้าลงด้วยความจนใจ

“ ทางเดียวที่นางจะปลอดภัย คือการไม่รับรู้ถึงข้า ”

ใครก็ตามที่มีชะตาได้ตั้งครรภ์ หากคลอดสำเร็จ ร้อยทั้งร้อยก็คงไม่มีใครอยากทิ้งลูกไปอย่างไร้ความรับผิดชอบ อวี้หรานไม่ใช่มารดาตัวร้ายที่ตัดใจทิ้งบุตรสาวเพราะเกลียดชัง แต่นางเป็นมารดาที่ยินยอมปล่อยลูกน้อยออกจากอกเพื่อความปลอดภัยของอีกฝ่าย แม้ว่าในใจจะเจ็บปวดราวกับถูกคว้านเนื้อออกไปก็ตาม

ตลอดหนึ่งวันที่นางได้กลับมาใช้ชีวิตเช่น ‘นายหญิงน้อยแห่งหอชุนหลันฉี’ นั้นงดงามราวกับฝัน

ทว่าตอนจบของฝันนี้ นับว่าโหดร้ายอยู่มากทีเดียว

ภายในคืนที่เงียบสะงัด เถ้าแก่ลู่และภรรยาหลับไปนานแล้ว มีก็แต่เหล่าทายาทที่ยังคงลืมตาตื่นสำหรับการร่ำลาครั้งสุดท้าย ตอนนี้อวี้หรานแต่งกายทะมัดทะแมงราวกับพวกเด็กผู้ชายเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทางต่อจากนี้ ผิดจากลู่ชางหรงที่สวมคราบคุณชายน้อยออกมาส่งพี่สาวพร้อมด้วยทารกในอ้อมแขน

“ จะไม่ตั้งนามให้นางจริง ๆ หรือ.. ”

คำถามของเขาทำให้หญิงสาวที่โน้มลงเย้าแหย่ธิดาน้อยนิ่งงัน “ ข้าอยากให้เจ้าเป็นคนตั้ง ” ส่วนคำตอบของนางก็ทำให้เขาหยุดชะงักเช่นกัน อวี้หรานโน้มลงจูบหน้าผากลูกน้อยอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเงยขึ้นจูบหน้าผากน้องชายผู้แสนเก่งกาจของเธอ ทุกการกระทำล้วนปฏิบัติไปอย่างเงียบเชียบ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความห่วงหาอาทรเป็นอย่างยิ่ง

นายหญิงน้อยแห่งหอชุนหลันฉีละทิ้งฐานะที่เกรียงไกร กลับไปสู่การเป็นคนพเนจรที่ต้องร่อนเรไกลนับพันลี้อย่างโดดเดียว ระหว่างที่นางเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนหลังม้า กลับมีเด็กชายพูดขึ้นอย่างลื่นไหลประหนึ่งว่าสถานการณ์นี้เป็นเพียงการจากลาชั่วคราว

“ ไป๋หรั่น ” เขาพูด “ นางจะมีนามว่าไป๋หรั่น ”

อักษรสองตัวที่เมื่อนำมาวางต่อกันแล้วมีความหมายว่า ‘ย้อมขาว’ คือนามของทารกน้อยในอ้อมแขน

“ ท่านกล่าวว่าอีกครึ่งหนึ่งของนางมีสายเลือดของคนที่จิตใจดำมืด อีกทั้งยังกล่าวว่าชะตาชีวิตของนางต่อจากนี้ไปไม่อาจเรียกได้ว่าสงบสุข ถ้าเช่นนั้นข้าจะย้อมเลือดในตัวนางให้กลายเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ปัดเป่าเภทภัยร้ายให้หมดสิ้น ” ลู่ชางหรงในเวลานี้สงบนิ่งเป็นอย่างมาก สองตาหงส์ของเด็กชายฉายประกายความมุ่งมั่นที่หาได้ยาก แต่กระนั้นก็ยังมีการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถหลุดรอดไปจากสายตาของอวี้หรานได้ ชางหรงน้อยของนางกระชับอ้อมแขนที่โอบอุ้มทารกจนเห็นได้ชัดว่าปลายนิ้วของเขาสั่น เช่นเดียวกับหัวใจนางที่กระตุกวูบไปพร้อม ๆ กัน

“ ไป๋หรั่น.. ลู่ไป๋หรั่น.. ย้อมหยกขาว.. ” อวี้หรานพึมพัมกับตัวเองภายใต้ความเงียบงันก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ

“ ชื่อดี เป็นชื่อที่ดีมาก ” โฉมงามระบายยิ้มอ่อนหวานหมายจะส่งให้รอยยิ้มนี้ประทับอยู่ในใจผู้ที่พบเห็นไปอีกช้านาน “ ชางหรง อาชาง.. เด็กน้อยของพี่ อย่ากังวลมากนักเลย ใต้หล้ากว้างใหญ่ ในสักมุมหนึ่ง.. พี่สาวจะคอยเฝ้ามองเจ้าเสมอ จากนี้ไปฝากลูกสาวข้าด้วย ” เช่นเดียวกับสายลมที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เงาร่างของอวี้หรานเลือนหายไปจากสายตา ทิ้งไว้เพียงภาพจำของแผ่นหลังบนม้าตัวใหญ่ที่ดูหนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ

ชางหรงเหม่อลอยอยู่แบบนั้นได้ราว ๆ หนึ่งถ้วยชาก็กลับมารู้สึกตัว

เด็กชายก้มหน้าลงมอง ‘หลานสาว’ ที่ต่อจากนี้จะต้องเรียกว่าเป็น ‘น้องสาว’ ด้วยสายตาอ่อนโยนเป็นอย่างมาก “ เสี่ยวหรั่น อย่าเสียใจไปเลย ท่านแม่ของเจ้ารักเจ้ามาก ข้าเองก็เช่นกัน ” พี่ชายหน้าใหม่ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนงาม ก่อนจะก้มลงใช้หน้าผากแนบกับหน้าผากเล็ก ๆ ที่ดูแล้วคงจะมีขนาดเทียบได้กับครึ่งฝ่ามือของเขา

“ ต่อจากนี้ท่านอาจะปกป้องเจ้าเอง ”

“ เสี่ยวหรั่นอย่าได้น้อยใจไปเลยนะ ”



เวลาสิบปีผ่านไปราวกับฝันหนึ่งตื่น ทั่วทั้งลั่วหยางไม่หลงเหลือข่าวคราวความฉงนใจเกี่ยวกับที่มาที่ไปอันแสนลึกลับของ ‘ลู่ไป๋หรั่น’ ผู้เป็นทายาทคนเล็กสุดของครอบครัวคหบดีที่แสนยิ่งใหญ่ประจำลั่วหยางอีกต่อไป ทว่าสิ่งที่มาแทนที่การคาดเดาไปเรื่อยเหล่านั้น กลับเป็นความสนใจที่ชาวเมืองมีให้กับการเจริญเติบโตของ ‘หยกน้อยแห่งชุนหลันฉี’ ที่ฉายแววความเป็นโฉมสะคราญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวัน

“ ชางหรง ๆ น้องสาวเจ้าจะม—- ”

“ หุบปาก ”

เช่นเดียวกันกับกิตติศัพท์ลื่อลั่นถึงความงามน่าถนอมของลู่ไป๋หรั่น
ชื่อเสียงเรื่องความหวงน้องสาวของ ‘ลู่ชางหรง’ ก็ถือเป็นที่ประจักษ์อย่างมากเช่นกัน

“ เสี่ยวหรั่นไม่มา และไม่มีทางมา เจ้าเลิกฝันไปได้เลย ”

“ ท่านว่าใครไม่มา ? ”

เสียงพ่นน้ำชาดังขึ้นพร้อมด้วยความชุ่มชื้นที่กระจายทั่วหน้าสหายของผู้เป็นพี่ชาย ไป๋หรั่นชำเลืองตามองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการอุทานของคุณชายหลวนที่หน้าบูดเบี้ยว ใบหน้าแข็งค้างของชางหรง หรือแม้แต่ท่าทีตกใจของเสี่ยวเอ้อร์ที่นำทางนางมายังโต๊ะนั่งของทั้งสองภายในโรงน้ำชา คนงามน้อยกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ

“ เจ้ามาทำไม ”

“ อาเหนียงให้มารับท่าน คุณหนูสวีมาถึงลั่วหยางแล้ว ”

“ เหอะ.. ใครจะไปอยากเจอผู้หญิงที่เอาแต่รบเร้าให้ข้าส่งจดหมายหานางทุกวันกัน ”

ท่าทางไม่พอใจของลู่ชางหรงช่วยขับส่งองคาพยพหล่อร้ายให้เฉิดฉันขึ้นไปได้อีกหนึ่งระดับ เดิมทีพี่ชายคนนี้ของนางก็งามสง่าราวกับรูปสลักหยก ยามนี้เมื่อได้เห็นเขาใช้ริมฝีปากแดงฉ่ำเหยียดยิ้มหยันต่อหน้าผู้คน นางยังพลันนึกไปถึงคำพูดหนึ่งที่เคยมีคนถึงลู่ชางหรง

เหมือนว่าจะเป็น..

อาศัยใบหน้านี้ ต่อให้จะยิ้มเหยียดหยันใต้หล้าเช่นใด ก็ยังมีคนยินดีแย่งกันจุมพิตเขา

“ คุณชายหลวน หนนี้เป็นพี่ชายข้าทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว ”

คนงามน้อยกล่าวอย่างเกรงใจกับสหายของพี่ชายพร้อมด้วยรอยยิ้มหวานละมุนที่ทำเอาคนมองถึงกับเผลอเคลิ้มตามโดยไม่ทันตั้งตัว แต่แล้วความนุ่มนวลที่ประทับลงในใจของคุณชายหลวนก็พลันต้องหยุดชะงัก เมื่อกลายเป็นว่าเด็กน้อยคนงามหยิบผ้าขึ้นมาซับมุมปากของชางหรงที่ไม่แม้แต่จะเปื้อนหยดน้ำเลยด้วยซ้ำ

“ น้องไป๋หรั่—- เอื๊อก..

คำเรียกสนิทสนมถูกกลืนลงคอแทบทันควันเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงสายตาพิฆาตของคนหวงน้องอันดับหนึ่งแห่งลั่วหยาง

“ ข้าหมายถึง.. คุณหนูลู่ ไม่ใช่ว่าผ้าเช็ดหน้านั่นสมควรที่จะ.. ”

“ เจ้ากล้า ? ”

“ ไม่กล้า ! ข้าก็แค่ ข้า.. โอ๊ย ช่างมันเถอะ เจ้าน่ะรีบไสหัวไปไดัแล้ว ไม่ใช่ว่ามีคุณหนูสวีอะไรนั่นรออยู่หรือไง ไป ๆ ” ในเมื่อสู้ไม่ได้ รีบไล่เสียก็จบ คุณชายหลวนลอบปาดเหงื่ออยูในใจพลางมองตามหลังร่างสหายและน้องสาวของอีกฝ่ายที่พากันเดินประคบประหงมไปอย่างดี ทว่าก่อนที่จะเห็นสองคนนั้นจากไปไกลจนลับสายตา หลวนเฟิ่งเฉียวกลับเห็นน้องสาวสหายหันกลับมาช้า ๆ

ด้วยท่วงท่ากิริยาอ่อนหวานตามฉบับหญิงในห้องหอพร้อมด้วยหนึ่งรอยยิ้มแสนเรียบง่ายที่แม้จะยังไม่คล้ายสาวงามวัยบานสะพรั่งแต่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในความงามที่น่าจับตามอง ประหนึ่งต้นไม้แรกเกิด ยังจำเป็นต้องเฝ้าติดตามผลลัพธ์ในอนาคตว่าจะงดงามได้ถึงเพียงไหน ทว่าปัจจุบันอาศัยแค่วัยเพียงสิบหนาวก็สามารถสรรสร้างสีหน้าที่ดูงามพิลาสล้ำราวกับเทพธิดาได้เสียแล้ว

“ ตาย ตาย.. ลู่ชางหรง คนอย่างเจ้าต้องได้ตามหวงน้องสาวไปอีกทั้งชาติแน่ ”



“ ไปยิ้มให้มันทำไม ”

“ ช่วยประสานรอยร้าวระหว่างสหายแทนท่านอย่างไรเล่า ” ดรุณีหยกหัวเราะขบขันอยู่เพียงลำพังในขณะที่พี่ชายร่วมสายเลือดกำลังปลดเชือกผูกม้า “ คุณชายหลวนน่าสงสารยิ่งนัก ท่านพ่นน้ำชาใส่หน้าเขาแล้วยังจากมาอย่างเฉยชาอีก พี่ชาย สหายดี ๆ แบบนี้ข้าเห็นว่าท่านสมควรรักษาเขาไว้ให้นาน ”

“ เพราะน้อยนักที่จะมีใครปล่อยพี่ชายคนดีของข้ามาแบบง่าย ๆ โดยไม่ตะโกนด่าตามหลัง ” ขณะที่พูดไปตัวนางก็ถูกยกลอยขึ้นนั่งบนหลังม้าด้วยฝีมือของพี่ชายคนดีผู้นั้น ตามปกติ ระยะทางจากโรงน้ำชาไปจนถึงหอชุนหลันฉีไม่นับว่าไกล อีกฝ่ายเลยมักจะทำเพียงแค่จูงม้าเดินไปตามถนนสายหลักของเมือง แต่ว่าหนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ร่างสูงสง่าเหวี่ยงตัวขึ้นม้าซ้อนหลังนางไว้พลางขยับมือดึงบังเหียนคล้ายเตรียมพร้อมจะควบม้าไปไกล

“ … ชางหรงเกอ (พี่ชางหรง) ท่านขึ้นมาทำไม ”

“ พาหนี ”

“ อะไรนะ ? ”

“ พี่ชายเจ้าไม่อยากพบหน้าสวีซิน ในฐานะที่อาเหนียงให้เจ้าเป็นผู้มารายงาน ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะใช้เจ้าเป็นตัวประกันหนีการพบปะครั้งนี้เสีย ” ว่าจบชายรูปงามที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายก็กระตุกยิ้มมีเลศนัย “ สวีซินมาครั้งนี้ต้องพาคุณชายสวีอะไรนั่นมาด้วยแน่ ข้าไม่ชอบมัน ไหน ๆ เราสองพี่น้องก็ว่างพอดี เสี่ยวหรั่น พี่ชายจะพาเจ้าไปชมลานบุปผานอกเมือง ”

คนอย่างลู่ชางหรงนะเหรอจะคิดอยากพาน้องสาวไปชมบุปผานอกเมือง?
โอ๊ย พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกล่ะสิไม่ว่า ทำไมฟ้าต้องส่งพี่ชายตัวแสบแบบนี้มาให้นางด้วย !



ไป๋หรั่นในวัยสิบสามปีกำลังเบื่อเป็นอย่างมาก

หลายวันมานี้มีแขกมามายมาเยือนทั้งในฐานะลูกค้า และฐานะผู้ที่หมายจะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลในแบบที่ไม่เหลือหน้า หากทีแรกขอนางไม่ได้ ก็จะเริ่มเอ่ยปากเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามถึงพี่ชาย จนสุดท้ายก็ถูกไล่ออกไปตามระเบียบ ดังนั้นเพื่อที่จะไม่ต้องไปทนเห็นภาพซ้ำ ๆ เดิม ๆ ชางหรงจึงบอกให้นางพักอยู่แต่ในห้อง

สองตาของดรุณีหยกกวาดมองไปรอบกาย เรือนนอนของนางเปลี่ยนไปในทุกปี ใช่ว่าความเปลี่ยนแปลงนี้มาจากความต้องการของนาง แต่รู้ตัวอีกทีทั้งอาเหนียงและอาเตี่ยต่างก็ยัดเหยียดให้นางต้องยอมรับกับ ‘ความเปลี่ยนแปลง’ กะทันหันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน การเปลี่ยนผ่านเหล่านั้นมีมากกระทั่งนางเริ่มที่จะจดจำไม่ได้แล้วว่าเดิมทีตนเองนั้นเริ่มต้นมาจากตรงไหน เช่นเดียวกับห้องนี้ที่เปลี่ยนไปเท่าใด..

โฉมงามยามสงบนิ่งคนก็ว่าโศกเศร้าคือเรื่องที่นางเผชิญอยู่ในทุกวัน ไป๋หรั่นทราบดีว่าในขณะนี้ชื่อเสียงเรียงนามเรื่องความงดงามภายในลั่วหยางนอกจากนางแล้วยังมี ‘เลี่ยงชิงหรู’ ที่ตีขนาบข้างกันมา ต่างก็ตรงที่ว่าคนหนึ่งคือ ‘เทพธิดาจำแลง’ ส่วนอีกคนคือ ‘โฉมสะคราญบงการใจ’

ไป๋หรั่นเคยพบคุณหนูเลี่ยงมาก่อน ความงามของอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในรูปแบบของตัวเองเช่นเดียวกับนางที่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทว่าชาวบ้านขี้สงสัยอย่างไรก็ขี้สงสัยอยู่อย่างนั้น นับวันคำถามไร้สาระอย่างเช่นเจ้าว่าระหว่างเทพธิดาจำแลง ลู่ไป๋หรั่น กับโฉมงามบงการใจ เลี่ยงชิงหรู ใครสวยกว่ากันก็ยิ่งแพร่กระจาย เดิมทีไป๋หรั่นหาได้ชิงชังการเปรียบเทียบ แต่หากใช้การเปรียบเทียบในกรณีที่อาจสร้างความบาดหมางใจให้กับผู้อื่น เช่นนั้นก็คงนับได้ว่าเป็นสิ่งที่นางชิงชังได้อยู่บ้าง

ในขณะที่นางกำลังลำบากใจว่าอาจจะเผลอสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัวเพราะขี้ปากชาวบ้าน บรรดาคนในครอบครัวกลับคิดไปกันว่า สตรีในห้องหออย่างเสี่ยวหรั่นกำลังเศร้าโศกที่ไม่อาจตอบรับเทียบหมั้นจากผู้ใดได้ ร้อนไปจนถึงลู่ชางหรงที่จำต้องปรี่ไปปรึกษาสหายเพื่อหาทางเยียวยาใจให้กับน้องสาวจนได้ข้อสรุปมาหนึ่งหนทาง

เสียงกระแอมดังขึ้นทีสองทีหน้าประตูเรือน “ เสี่ยวหรั่น พี่ชายเข้าไปด้านในได้หรือไม่ ”

ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของเรือน ทว่ากลับมีเสียงบมีเสียงขยับตัวที่ใกล้เข้ามา พร้อมด้วยบานประตูที่ถูกดึงให้เปิดออก ลู่ไป๋หรั่นช้อนตาขึ้นมองผู้มาเยือนด้วยสายตาสงบ พักหลังมานี้นางออกจากจวนน้อยลงทุกที ทั้งยังปฏิบัติตัวด้วยความระมัดระวังจนอีกนิดคงสามารถกล่าวว่าเป็น ‘จันทร์เพ็ญนวลกระจ่าง’ งดงามน่ามอง ทว่าเฉิดฉันเย็นเยียบจนถึงที่สุด

“ กลับมาแล้วหรือ? ” นางถาม “ กลับมาแล้ว ” เขาพยักหน้าตอบ

ลู่ชางหรงที่สมควรจะอยู่เมืองหลวงยามนี้กลับมาปรากฏตัวต่อหน้านาง ตั้งแต่ก่อนช่วงที่ฮั่นอู่ตี้จะขึ้นครองราชย์ หลังการที่ลู่ชางหรงกลายเป็นตัวแทนในการส่งมอบยอดศาสตราชิ้นหนึ่งให้กับจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน นับจากนั้นเขาก็เหมือนจะเป็นพวกชีพจรติดเท้าที่อยู่กับบ้านนาน ๆ ไม่ได้ แต่กลับพบเห็นได้บ่อยยิ่งที่เมืองหลวงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลั่วหยาง หลายปีมานี้แม้ภายนอกของพี่ชายจะดูเปลี่ยนไปไม่มากแต่ไป๋หรั่นกลับทราบดีถึงความผึงผายของอีกฝ่ายที่เพิ่มขึ้นทีละน้อย ท่าทางฐานะ ‘พระสหายขององค์จักรพรรดิ’ จะไม่ใช่สิ่งที่เป็นกันได้ง่าย ๆ ไป๋หรั่นเบี่ยงตัวหลบให้ผู้มาเยือนได้ก้าวเข้ามาภายในเรือนหลังน้อย พร้อมกันนั้นเองที่หางตาของนงคราญก็สังเกตเห็นเงาการเคลื่อนไหวที่ด้านนอกกำลังตั้งท่าราวกับจะแอบฟัง .. เนตรนางหงส์หรี่ลงอย่างพิจารณา ดูท่าครั้งนี้คงมีเรื่องสำคัญให้ต้องหารือกันอีกแล้ว

“ เสี่ยวหรั่น เจ้าอยู่แบบนี้.. หนักใจหรือไม่ ? ”

ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ได้ไม่เท่าไหร่ สีหน้าของคนเป็นพี่ชายก็พลันหนักอึ้ง ดูเอาจากท่าทีที่คอยถามอย่างระมัดระวังไม่สมกับเป็นยอดคุณชายปากตลาดของชางหรงทำเอานางขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ด้านพี่ชายที่คอยเฝ้าสังเกตสังกาสีหน้าคนเป็นน้องสาวเห็นอย่างนั้นก็รีบปัดมือพัลวันแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างระมัดระวัง

“ คือแบบนี้ ..ช่วงนี้พี่ชายได้ยินซีเหยียนพูดถึงสำนักศึกษาที่หนึ่ง ”

ออ.. ปรึกษาคุณชายซ่างกวนมาแล้วเสียด้วย

เห็นอีกฝ่ายกล่าวไปถึง ‘ซ่างกวน ซีเหยียน’ สมุหราชเลขาประจำพระองค์ที่เคยพบกันมา นางก็พลันนึกไปถึงน้องสาวคนเล็กของคุณชายท่านนั้นที่มีชื่อเสียงโดดเด่นทัดเทียบกันมาอย่าง ‘เทพธิดาขับขาน • ซ่างกวนฝูมี่’ นางฟ้าน้อยขวัญใจชาวประชาลั่วหยางที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ปัจจุบันอีกฝ่ายก็.. ยังอยูในลั่วหยางนี่ ?

“ สำนักศึกษาแห่งนี้เป็นสำนักศึกษาสตรี รายชื่อวิชาไม่แย่ ชื่อเสียงก็ค่อนข้างดี ตั้งอยู่ในลั่วหยาง เดินทางได้สะดวกนัก เสี่ยวหรั่น.. เจ้า ลองไปร่ำเรียนที่นั่นดูหน่อยดีหรือไม่? ”

ชั่วอึดใจแห่งความเงียบเสมือนมีกระดิ่งร้องเตือนภัยดังลั่นอยู่ในใจตลอดเวลา เนตรนางหงส์สบมองใบหน้าคมคายครู่หนึ่งก่อนจะหลุบสายตาลงมองผิวน้ำชาสีอ่อนที่ใสจนเห็นก้นถ้วย ดรุณีหยกใช้เวลาครุ่นคิดคำตอบช้า ๆ ไม่เร่งรีบหรือเร่งรัดจนกระทั่งควานหาวิธีการตอบรับที่ตรงใจจึงได้ยอมเปิดปากพูด “ อาจารย์ที่เคยสอนข้าในจวน… ไม่ถูกใจพวกท่านอย่างนั้นหรือ ”

“ ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น ” ชางหรงส่ายหน้าปฏิเสธ พี่ชายคนงามเงียบไปอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะวางท่าทางระมัดระวังที่ดูขัดตาเหล่านั้นลงและกลับมาเป็น ‘พี่ชายรองผู้จริงจัง’ อีกครั้ง “ ท่านอาจารย์สุ่ยที่สอนเจ้านับว่าเป็นผู้มากฝีมือโดยแท้ แต่ที่ผ่านมาเจ้าร่ำเรียนโดยลำพัง ไม่มีเพื่อนคู่คิด ไม่มีคนวัยเดียวกันให้ปรึกษา ถึงแม้ข้าจะพยายามใช้ตนเองเพื่อทดแทน แต่เส้นแบ่งของชายหญิงกว้างใหญ่นัก พี่ชายรู้ว่าหลายครั้งเจ้าก็มีเรื่องลำบากใจที่อยากปรึกษาสตรีด้วยกัน ”

ความจริงใจของเขาซื่อตรงและเรียบง่าย ความรับผิดชอบของการเติบโตเดิมทีก็หนักอึ้งมากพออยู่แล้ว ยิ่งผนวกรวมเข้ากับหน้าที่ของการเป็นพี่ชายหากเขาจะทรุดลงในสักวันนางก็ไม่แปลกใจ ทว่าในยามนี้ สุภาพชนเปี่ยมปัญญา ท่วงท่าองอาจสูงศักดิ์ หว่างคิ้วดุจกระบี่ของเขานอกจากความรู้สึกผิดแล้วกลับไม่มีร่องรอยอื่น แล้วจะให้นางมองข้ามความหวังดีของเขาได้อย่างไร

“ เข้าใจแล้ว ”

“ สำนักศึกษาสตรีที่ท่านว่า ข้าจะไป



“ ลู่ชางหรง เจ้ามันคนน่าชังนัก !! ”

เสียงด่าทอดังขึ้นหน้าหอสูงแปดชั้นที่แขวนป้ายไว้ว่า ‘ชุนหลันฉี’ ที่ด้านล่างเป็นคุณชายไม่ทราบนามท่านหนึ่งที่ป่าวประกาศไปทั่วว่าต้องการจะสู่ขอคุณหนูสามของตระกูลลู่ ทว่าในวันนี้เมื่อได้พบหน้าคนในครอบครัวฝ่ายหญิงกลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยโดยไม่แม้แต่จะพิจารณา มิหนำซ้ำ พี่ชายเขี้ยวลากดินของคนงามกลับหิ้วคอเสื้อเขาออกมา ทั้งยังใช้เท้าถีบก้นให้หน้าถลาออกนอกประตูจนล้มคว่ำอยู่หน้าหอ เรียกได้ว่าอับอายจนไม่รู้จะอายยังไง ได้แต่ตะโกนด่าสาดเสียเทเสียใส่เพื่อระบายแค้นไปพลาง ๆ

ส่วนด้านคนที่ถูกด่าก็ก้าวฉับ ๆ กลับขึ้นมาบนห้องรับรองที่ชั้นสอง พลางกวาดสายตามองคนในครอบครัวที่หันมามองเขาเป็นตาเดียว

“ ทำไมพวกท่านมองข้าเช่นนั้น? ”

ลู่หลงซานและลู่ฟูเหรินต่างก็พากันเบนสายตากลับไปสนใจสิ่งอื่น มีเพียงโฉมสะคราญภายใต้ชุดขาวราวม่านเมฆเท่านั้นที่ยังคงเฝ้ามองชายหนุ่ม ‘ ไป๋หรั่น ’ ในวัย 14 ปี คือผู้งามชดช้อยตามอุดมคติความงามของลัทธิเต๋าที่ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์จวงจื่อโดยถ่องแท้ ไม่ว่าจะเป็นโฉมหน้าที่ทำให้แม้กระทั่งมัจฉายังต้องดำดิ่งหนี รอยยิ้มที่ทำให้หมู่ปักษาจำต้องหลีกทางให้ รวมไปถึงเงาร่างอรชรอ่อนช้อยที่ทำให้ฝูงกวางแตกกระเจิง ขอเพียงใช้ความงามนี้ให้เป็น เกรงว่าแม้แต่คนทั้งโลกคงสามารถยอมสยบแด่นางได้

“ ท่านทำอะไรลงไปกันแน่ .. ” ทันทีที่ร่างของผู้เป็นพี่ชายทิ้งกายลงนั่งข้าง ๆ ไป๋หรั่นก็เร่งเอียงกายเข้าไปกระซิบถามด้วยความสนใจ

“ ข้าถีบเขา ”

พรวด !

หนนี้ไม่ใช่ฝีไม้ลายมือการพ่นน้ำชาของลู่ชางหรง แต่กลับเป็นนายท่านใหญ่แห่งหอชุนหลันฉีที่ตะลึงลานกับความใจกล้าของบุตรชาย “ ชางหรง นี่เจ้า .. เจ้า ! ”

“ เจ้านั่นทำมาเป็นพูดว่าสักวันข้าต้องเรียกเขาว่าน้องเขย เหอะ สำคัญตัวมาจากไหนไม่ทราบ หน้าตาอย่างกับงูดินแล้วยังมาทำเป็นกำแหงใส่ ข้าไม่ทุบให้ตายก็นับว่าปราณีมากแล้ว ” เมื่อได้ฟังคำตอบ ผู้เป็นบิดาก็แทบจะลมจับ ผิดกับลูกสาวลูกชายทั้งสองที่คนหนึ่งเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจส่วนอีกคนยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทว่าบรรยากาศด้านนอกกลับร้อนแรงยิ่งนัก เสียงก่นด่าของคุณชายแปลกหน้าผู้นั้นยังคงดังสะนั่นขึ้นมาจนถึงชั้นสามของหอสูงที่พวกเขาใช้เพื่อรับรองแขกสำคัญ แต่ละคำฟังมาก ๆ เข้าก็ชวนให้คิ้วกระตุก

ท้ายที่สุดชายผู้ชำนาญด้านการต่อสู้เช่นชางหรงก็ลุกขึ้นเดินอาด ๆ ไปเปิดหน้าต่างพร้อมกับชะโงกหน้าออกไป

“ เหย ! เจ้าหน้าโง่ ครอบครัวฝ่ายหญิงปฏิเสธเทียบหมั้นแล้วยังมาตะโกนด่ารังควานพี่น้องของนางอีก เจ้านี่จริง ๆ เลย มารยาทไม่มีแล้วยังโง่เง่าไม่เบา ทำแบบนี้คิดว่าน้องสาวข้าจะมอบใจให้กับคนที่ว่าร้ายคนในครอบครัวหรืออย่างไร คนอย่างเจ้าอาศัยแค่ได้ยินคำลืออ้างเกี่ยวกับความงามของน้องสาวข้าก็วิ่งพล่านมาสู่ขอเหมือนหมาที่พ่อแม่ลืมล่ามไว้กับจวน นางชอบสิ่งใด เป็นคนเช่นไร สนใจสิ่งไหน ถามเจ้าไปตอบไม่ได้สักอย่าง แล้วปากมาบอกชอบนางอย่างนั้น ชอบนางอย่างนี้ อวดอ้างบารมีจะให้นางได้สุขสบาย เพ่ย! ต่อให้โลกถล่มฟ้าทลาย ตลอดชาตินี้ต่อให้หรั่นเอ๋อร์ไม่แต่งงาน สกุลลู่ก็ยังสามารถเลี้ยงดูได้ ! กาฝากหน้าโง่แบบเจ้า ไสหัวไป !!!!!! ”

ไป… ไป.. ไป.. ไป….

เสียงตะโกนดุจคำรามของลู่ชางหรงสั่นสะเทือนไปทั่วลั่วหยาง ชั่วขณะหนึ่งราวกับว่าโลกทั้งใบหยุดเคลื่อนและพร้อมใจกับเงียบงันเป็นเป็นตอบรับโอวาทของคุณชายรองแห่งหอชุนหลันฉีที่โผล่หน้ามาจากหน้าต่างห้องรับรองชั้นสอง ไม่ว่าผู้ใดที่ได้ฟัง ต่อให้คิดอยากจะด่ากลับว่า ‘ เจ้าสิที่หน้าโง่ ’ ก็คงไม่สามารถทำได้ เพราะผู้ที่กล้าประกาศกร้าวด้วยวาจาสะนั่นฟ้าสะเทือนดินนี้เป็นถึงชายรูปงามอันดับต้น ๆ แห่งลั่วหยางที่หญิงสาวถึงกับขนานนามให้เขาว่า ‘ยาพิษ’ เบื้องหน้าสตรีอาศัยแค่ภาพลักษณ์และหน้าตาเรียบนิ่งของเขาก็เพียงพอที่จะดึงดูดคนให้เข้าหา ต่อมาเมื่อได้อยู่ใกล้ก็พลันรับรู้ถึงกลิ่นหอมหวานซึ่งมาจากมารยาทและการถนอมสตรีอย่างพอดี ก่อนจะจบลงด้วยการที่สตรีเหล่านั้นยินยอมดื่มยาพิษนี้โดยหวังว่าจะมีสักครั้งที่พวกนางวางเดิมพันได้ถูกต้องและเป็นฝ่ายคว้าหัวใจของเขามา

ทว่าในความเป็นจริงแล้วลู่ชางหรงไม่ใช่ยาพิษ เขาคือดอกสุ่ยเซียนงอกงามกลางทะเลทรายที่มีแต่กระบองเพชร มีแต่ผู้ที่เติบโตมาอย่างผ่าเหล่าผ่ากอเท่านั้นถึงจะเข้าใจความยากลำบากของการสร้างเนื้อสร้างตัวในแต่ละขั้นว่าต้องผ่านอะไร เผชิญหน้าสิ่งไหน จึงไม่แปลกหากความเชื่อมั่นใน ‘รัก’ จะต่ำเตี้ยเสียจนแทบไม่มี

การได้เห็นชายรูปงามยื่นหน้าออกมาตะโกนด่าสร้างความสะเทือนขวัญให้แก่คุณชายท่านนั้นเป็นอย่างมาก คล้อยหลังเมื่อบานหน้าต่างปิดลง ไร้ซึ่งเงาร่างของยาพิษแห่งลั่วหยาง คุณชายคนนั้นก็ทรุดกายลงอย่างเหม่อลอยพร้อมเสียงดังเซ็งแซ่ที่กระจายตัวกันอย่างว่องไว ‘ เมื่อวันก่อนก็พึ่งไล่ไปคน วันนี้ไล่ไปอีกคน โอ๊ย คุณชายรอง ฝีไม้ลายมือของการไล่ว่าที่น้องเขยของท่านดังกระฉ่อนไปทั่วลั่วหยางแถมยังมีทีท่าจะขจรไปไกลถึงยันนอกเมืองแล้ว ! ’

แน่นอนว่าภายนอกคึกคักเพียงไหน มีหรือคนในจะไม่รู้ ลู่ชางหรงทิ้งคราบผู้คว้าชัยจากสงครามน้ำลายกลายมาเป็นสุภาพชนที่แสร้งทำเป็นกระแอ่มพลางยกมือขึ้นแตะลำคอช้า ๆ

“ ใช้เสียงมากไป ลำบากจริง ๆ ท่านพ่อ ช่วงนี้งดรับแขกสักสองสามวันเถิด ข้าไล่ไม่ไหวแล้ว ”

“ สุภาพชนรู้หลักคุณธรรม(จือเหริน) ลู่จือเหริน เจ้าคิดว่าข้าตั้งนามรองไปส่ง ๆ อย่างนั้นเรอะ !! ”ลู่หลงซานโกรธจนหน้ามืด นิ้วกร้านที่ชี้มาทางบุตรชายสั่นแล้วสั่นอีก ยังดีที่มีฟูเหรินคอยช่วยประคอง ไม่อย่างนั้นระหว่างพ่อลูกคงได้มีการเปิดประลองขึ้นสักที

“ ท่านกล้าพูดเรื่องคุณธรรมกับข้า แต่ไม่กล้าพูดกับเขา? เตี่ย ไม่ใช่ว่าท่านเป็นผู้ที่ให้ข้าคอยคัดคัมภีร์เต๋าอยู่ตลอดหรอกหรือ หลักคุณธรรมข้าย่อมทราบ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าท่องให้ท่านฟัง ท่านจะได้วางใจ มา ๆ ท่านนั่งก่อน ”

“ ลู่จือเหริน ! เจ้า เจ้า ..!! ” เพื่อที่จะให้สามีได้สงบใจ หลี่ซือลูบแผ่นหลังของสามีพลางส่งสัญญาณให้เด็ก ๆ ออกจากห้องไปก่อน ด้านลูกที่แสนประเสริฐเห็นมารดาออกหน้าจัดการให้ก็พากันสับเท้าออกจากห้องไปอย่างไว ทิ้งให้สองผู้ปกครองได้ใช้เวลาปลอบใจที่มีลูก ‘แสบสัน’ เกินไปสักหน่อย..

“ เป็นอย่างไร เจ้าว่าพี่ชายทำดีหรือไม่ ”

หลังจากประตูปิดลง ลู่ชางหรงหันมาถามหน้าด้วยสีหน้ากรุ่มกริ่มที่สตรีทั่วทั้งลั่วหยางหมายตาอยากจะได้รับสักครั้งในชีวิต ทว่าผู้ที่ได้พบเห็นแง่มุมนี้ของเขาอย่างใกล้ชิดกลับมีเพียงแค่นางผู้เป็นน้องสาวเท่านั้น ยังไม่รวมกับคำถามพิลึกพิลั่นที่หากใครมาเห็นคงอดไม่ได้ที่จะโพล่งถามว่านึกอย่างไรเอาคำถามที่ดูร้ายกาจนี้มาใช้กับน้องสาวที่เปรียบได้ดั่งผ้าขาว

แต่ใครมันจะไปนึกกัน ว่าคำตอบที่ออกจากปากเสี่ยวไป๋หรั่นผู้แสนใจดีคนนั้นกลับเป็นคำว่า

“ พูดได้ดี ”



ปิ่นหยกงามตา โฉมสะคราญงามเมือง
ใบหน้าราวจันทร์ฉายหลบซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าขาวโปร่งบาง

ลู่ไป๋หรั่นในวัยสิบห้าปีเติบใหญ่ท่ามกลางการบ่มเพาะที่เลิศล้ำ ด้านกิริยามารยาทล้วนมีไม่ขาดตก ด้านกิตติศัพท์ทางหน้าตาก็ถือว่าไม่มีตก ความงามของไป๋หรั่นเปรียบได้ดั่งต้นไม้ที่ค่อย ๆ โตขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีท่าทีจะหยุดยั้งโดยง่าย ปัจจุบันนางมีสหายอยู่ไม่กี่คน เรียกให้ถูกก็สมควรเป็นคำว่าจำนวนเทียบเท่าหยิบมือ

เทพธิดาขับขาน ซ่างกวนฝูมี่

พหูสูตรน้อย เว่ยเจียเหลียนฮวา

โฉมสะคราญบงการใจ เลี่ยงชิงหรู

แต่ละนามที่พูดมานับได้ว่ามาแทนพี่ชายที่หนีหน้าไปไกล

“ ที่ตอนนั้นคะยั้นคะยอให้เข้าสำนักศึกษาเพราะตัวเองจะหายหน้านี่เอง.. ”

“ หืม เมื่อครู่น้องไป๋หรั่นได้กล่าวอันใดหรือไม่? ”

เสียงทุ้มไม่คุ้นหูกับใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย ยามนี้ไม่มีลู่ชางหรงคอยเป็นก้างชิ้นใหญ่ขวางทางเหล่าคุณชายน้อยใหญ่ อีกทั้งลู่ไป๋หรั่นก็อยู่ในวัยที่เหมาะสมกับการแต่งงาน จึงไม่แปลกที่แทบทุกอาทิตย์จะมีคนแปลกหน้าแวะเวียนกันมาเชื้อเชิญให้นางไปเที่ยวชมเมืองด้วยกันกับพวกเขา หากจะถามว่าทำไมต้องการเป็นเที่ยวชมเมือง? ก็ต้องย้อนไปหลังจากการประกาศกร้าวที่แสนขึงขังของลู่ชางหรงที่ต่อมาอีกฝ่ายร่ายเงื่อนไขยาวเหยียดในการจะสมัครมาเป็นลูกเขยหอชุนหลันฉี เท่าที่นางจำได้คร่าว ๆ เหมือนว่าจะมี.. พาเสี่ยวหรั่นเที่ยวชมเมือง อะไรนี่อยู่ด้วย ดรุณีหยกคิดได้ไม่เท่าไหร่ก็ลอบยิ้มใต้ผ้าแพรขาว “ อ่า.. ข้ากล่าวว่าดอกยวี่จินเซียงบานหนนี้งดงามนัก ปกติแล้วชางหรงเกอชอบสตรีที่ทัดดอกยวี่จินเซียงไว้บนมวยผม คุณชายจ้าว ข้ารบกวนท่านช่วยเด็ดยวี่จินเซียงสักดอกได้หรือไม่เจ้าคะ? ”

“ แต่ตอนนี้ใต้เท้าลู่… ”

คำที่ตั้งใจจะบอกว่าพี่ชายคนดีของสาวงามไม่อยู่จำต้องเก็บกลืนลงคอ เมื่อสองตานางหงส์พรมพร่างลงบนร่างเขา

“ เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเด็ดมาให้ น้องไป๋หรั่นรอสักประเดี๋ยว ข้าจะเลือกดอกที่งามที่สุดอย่างแน่นอน ” คุณชายจ้าวราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ในใจ เห็นน้องนางอยากได้ของประดับสวย ๆ งาม ๆ ต่อให้ต้องใช้แรงเฟ้นหาก็พร้อมทุ่ม โดยหารู้ไม่ว่าคล้อยหลังยามที่มัวแต่ก้มหน้าดูดอกไม้ หญิงงามที่ตนหมายปองกลับผินกายเดินจากไปอย่างเงียบงัน

“ คุณหนูสาม แล้วคุณชายจ้าว.. ”

“ ให้เขาอยู่ที่นั่นไปอีกสักพักเถิด ” ยามเมื่อเทพธิดาจำแลงแผลงศรปักใจคนก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ถ้าเช่นนั้นยามที่หักศรนั้นทิ้งก็อย่าได้มีใครที่สังเกตเห็นถึงรอยแผลเหล่านั้นเลย ไป๋หรั่นหลุบตาลงมองสองมืออ่อนนุ่มที่ขึ้นระเรือสีแดง “ ไห่อิง ร่ม ”

ร่มกระดาษสีแดงเรียบไร้ลวดลายถูกส่งจนถึงมือ “ กลับไปบอกอาเหนียงว่าคุณชายจ้าวยังไม่ใช่คนที่เราตามหา แล้วก็.. เจ้าช่วยไปวานผู้ดูแลสวนหลังจากนี้อีกสักครึ่งเค่อให้แจ้งคุณชายจ้าวว่าข้ากลับจวนแล้ว ” ไป๋หรั่นกางร่มออกก่อนจะผินหน้ากลับไปมองสาวใช้ที่ค่อมศีรษะรับคำอย่างรู้งาน

“ ข้าจะไปแถวกำแพงเมือง หากไม่กลับถึงจวนภายในหนึ่งชั่วยาม ก็ให้ทำตามที่เห็นสมควร ”

“ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจะจัดการตามที่ท่านสั่ง ”

ไป๋หรั่นพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะก้าวเดินออกไป เดินออกไปตามเส้นทางสายหลักของเมืองที่ผู้คนคับคั่ง ทว่าคนที่โดดเด่นในอาภรณ์ขาวและร่มสีแดงชาดกลับมีแค่เพียงผู้เดียว



เสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับเคียงมากับเสียงล้อบดถนนดิน เจี้ยนหยวนศก ปีที่ 10 ลู่ไป๋หรั่นอายุได้สิบเจ็ดหนาว นับว่าเป็นสตรีที่ใกล้จะเลยวัยแต่งงานอย่างเห็นได้ชัด ทีแรกอาเตี่ยอาเหนียงต่างก็เป็นกังวล ส่วนลู่ชางหรงที่ย้ายถิ่นฐานไปอาศัยที่เมืองหลวงก็คล้ายว่าจะสบายใจกับการที่ได้เห็นน้องสาวอยู่เฝ้าเรือนเพียงลำพังจึงนิยมส่งจดหมายตอบโต้กันเป็นระยะเวลาอาทิตย์ต่ออาทิตย์ เว้นก็แต่ของอาทิตย์นี้ที่มีความพิเศษอยู่ไม่น้อย

ไป๋หรั่นคำนวนเวลามาเป็นอย่างดี ช่วงเช้าของวันนี้จะเป็นวันที่ลู่ชางหรงได้รับจดหมายที่ด้านในมีเนื้อความสะเทือนโลกสะเทือนดิน ส่วนบ่ายของวันนี้จะเป็นช่วงเวลาที่นางได้มาเยือน ‘ฉางอัน’ ครั้งแรกในรอบสิบปี

“ คุณหนู ด้านหน้าเป็นประตูเมืองแล้วเจ้าค่ะ ! ”

เจ้าของเสียงสดใสพร้อมสีหน้าตื่นตาตื่นใจนั้นคือ ‘ไห่อิง’ สาวรับใช้ที่อยู่กับนางมาตั้งแต่สองปีก่อนยามนี้กลายมาเป็นสาวใช้ส่วนตัวที่ถูกเลือกให้ติดตามมายังฉางอัน ไป๋หรั่นชื่นชอบในความว่าง่ายรู้ความไม่พูดเยอะ ไม่กระโตกกระตากของอีกฝ่าย แต่หากจะต้องไปใช้ชีวิตภายใต้รั้วแดงอันยิ่งใหญ่ เกรงว่าทั้งนางและไห่อิงคงจะต้อง ‘ร่ำเรียน’ กันอีกมาก

“ หนึ่งปีมานี้คุณชายรองไม่กลับลั่วหยางเลย คุณหนูท่านกล่าวว่าคำนวนระยะเวลาส่งจดหมายเป็นอย่างดี ถ้าเช่นนั้นวันนี้เขาจะมารับท่านหรือไม่เจ้าคะ ? ”

“ มาสิ ต้องมาแน่ ” นางยกยิ้ม “ คนอย่างเขา.. เห็นจดหมายนั้นแล้วไม่มีทางนั่งติดที่อย่างแน่นอน ”



ครึ่งเค่อต่อมาก็เป็นดังเช่นที่นางว่าไว้

รถม้าตระกูลลู่มีผู้กระทำอุกอาจบุกรุกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวทำเอาสาวใช้น้อยหวีดร้องเสียงหลง ทว่าผู้บุกรุกนี้กลับมาพร้อมเสียงคำรามลั่น “ ลู่ไป๋หรั่น !!!! ” ร่างสูงเพรียวของชายใบหน้าคมคายผู้หนึ่งแทรกเข้ามาภายในตัวรถม้าอย่างว่องไว สังเกตเอาจากเสียงหอบหายใจและหยาดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามกรอบหน้า ดูท่าคงจะ ‘นั่งไม่ติด’ อย่างที่นางคิดไว้จริง ๆ

“ ชางหรงเ—- ”

“ จดหมายนี่มันอะไร ” กระดาษแผ่นหนึ่งร่วงลงบนตักนาง แน่นอนว่านั่นคือจดหมายที่นางเป็นฝ่ายเขียนตอบเขาในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื้อความด้านในประกอบไปด้วยความเป็นไปในแต่ละวัน ก่อนจะจบท้ายด้วยการบอกกล่าวเรื่องสำคัญอีกหนึ่งประโยค

‘ อาเตี่ยอาเหนียงจะส่งข้าเข้าวังในการคัดเลือกพระสนมในรอบที่กำลังจะมาถึง ยามที่ท่านมีจดหมายฉบับนี้ในมือ คงเป็นวันที่ข้าถึงประตูเมืองฉางอันแล้ว หากไม่มีเรื่องใดผิดพลาดไว้ข้าค่อยไปเยี่ยมท่านจวน ’

“ เข้าวัง? ใครให้เจ้าเข้า ข้าไม่ให้ หันรถกลับเดี๋ยวนี้ ! ”

“ ขับต่อไป ”

“ ไป๋หรั่น นี่เจ้า ! ”

ลู่ชางหรงแทบจะคำรามอยู่รอมร่อ ผิดกับดรุณีหยกที่ผ่อนลมหายใจออกจากริมฝีปาก พร้อมกับพูดสามคำ

“ โองการฟ้า ”

ทันใดนั้นราวกับมีฟ้าผ่าลงตรงกลางใจ

ลู่ชางหรงเบิกตากว้าง ชายงามผู้นั้นนิ่งงันราวหยกสลัก เขารู้ดีว่าอะไรคือโองการฟ้า สำหรับไป๋หรั่นมันคือคำทำนายของพระอาจารย์ประจำตัวที่ช่วยชี้เส้นทางมาให้นางนับแต่ยังเด็ก แต่สำหรับลู่ชางหรงมันคือจดหมายจากมือของ ‘ลู่อวี้หราน’ ที่มาในทุก ๆ ครึ่งปี

“ จมโคลมตมไปคนเดียวก็พอแล้ว ทำไมต้องลากนางลงไปกับเจ้าด้วย ! ” ชางหรงเงยหน้าขึ้นฟ้าและก่นด่าเสียงเบา เด็กน้อยอมมืออย่างเขามีหรือจะคาดเดาความต้องการของอวี้หรานที่ได้ชื่อว่าลึกล้ำมาตั้งแต่ยังเยาว์ ที่ผ่านมาเขาทราบตื้นลึกหนาบางของเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้รู้ตัวคนที่ชัดเจน “ บ้าจริง.. คิดอะไรอยู่กันแน่ ”

ทั้ง ๆ ที่สมควรจะหวาดกลัว ‘อำนาจ’ แต่กลับส่งบุตรสาวไปหา ‘อำนาจ’ ไม่เข้าใจเลยสักนิด..

“ พี่ชาย เรื่องนี้เปลี่ยนไม่ได้ ” น้ำเสียงเรียบละมุนของไป๋หรั่นเป็นราวกับน้ำหยดหนึ่งที่หยดลงบนถ่านกรุ่นร้อน นางวางมือลงบนไหล่เขา บีบบ่าแกร่งนั้นเบา ๆ “ โองการฟ้าเขียนมาเพียงสองคำว่า เข้าวัง แต่ไม่ได้ระบุให้ข้าต้องถวายตัวหรือถวายหัวให้กับใคร ชางหรงเกอ ท่านวางใจ ”

“ น้องสาวท่านเป็นคนฉลาด ”

“ อย่างน้อยก็คงไม่ตายอนาถจนเกินไป ”



รางวัล: เงินติดตัวจากพ่อแม่ 50 ตำลึงทอง , 3000 อีแปะ ,
ห่อสัมภาระ 1 ห่อ , กระเป๋าเดินทาง 1 ใบ , +30 EXP






แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2024-7-9 22:19
โพสต์ 93863 ไบต์และได้รับ 54 EXP!  โพสต์ 2024-7-9 21:31
โพสต์ 93,863 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก น่ารัก  โพสต์ 2024-7-9 21:31

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงทอง +50 เหรียญอู่จู +3000 ย่อ เหตุผล
Watcher + 50 + 3000

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณจิ้งจอกสวรรค์(ไม้)
เสน่ห์ฟ้าประทาน
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x2
x6
x5
x2
x4
x8
x2
x4
x1
x11
x10
x3
x4
x16
x3
x5
x4
x1
x7
x6
x4
x11
x4
x1
โพสต์ 2024-7-14 19:17:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด




ถักร้อยชะตาทอภูษามงคล
-1-




ยามดาราจุติเหนือฝากฟ้าไกล ห้วงทำนองปิติศานต์แซ่ซ้องสดุดี จงหยวนศกปีที่ 4 วันที่เก้า เดือนเก้า ปรากฎวิถีมงคลครั้งใหญ่ลัดผ่านนภาถูกจารึกในนาม ‘ธิดาคนเล็กเจ้ากรมคลัง ซ่างกวนฝูมี่’ นับจากวันนั้นเมื่อเสียงทาริกาน้อยขับขานนครลั่วหยางค้นพบเทพธิดานำโชค ท่ามกลางกระแสวังวนอำนาจและความไร้เมตตาแห่งธรรมชาติมีเพียงจวนสกุลซ่างกวนร่มเย็นผาสุขอยุ่รอดมาได้ในทุกมรสุมอย่างแท้จริง

หากกล่าวถึงคนในตระกูลซ่างกวนแห่งลั่วหยางอันดับแรกผู้คนจะนึกถึงเจ้ากรมคลังเลือดเหล็ก ‘ซ่างกวน ซีโหลว’ ผู้ทำการสิ่งใดยึดหลัก ‘กล้าหาญ เถรตรง ความถูกต้องย่อมมาก่อน’ แม้หัวดีสอบได้ปั่งเหยี่ยนวิสัยยอมหักไม่ยอมงอในวัยหนุ่มเลือดร้อนออกหน้าแทนประชาชนจนเข้าออกตารางเป็นว่าเล่น ผิวเผินคล้ายใต้เท้าซ่างกวนนี้เอาชีวิตรอดท่ามกลางท้องพระโรงได้ยาก แต่ด้วยสิ่งนี้เองที่ไปเข้าพระเนตรพระกรรณฮั่นจิ่งตี้ครั้นเจ้ากรมคลังคนเก่าฉ้อราษฎ์บังหลวงกับงบประมาณแผ่นดิน ซ่างกวนซีโหลวดำรงตำแหน่งได้พิสูจน์ผลงานตนเองตลอดระยะเวลานับสามสิบปี เหตุการณ์ที่สร้างวีรกรรมเป็นที่จดจำคือคำที่เขากล้าทูลรายงานตามตรงว่า ‘ต้นธารทุกสายคือขุนเขาน้อยใหญ่ เงินคลังมาจากภาษีประชาชนเมื่อถึงคราวทุกข์เข็ญย่อมต้องกลับคืนเพื่อช่วยเหลือประชาชน หากวันใดไร้ซึ่งขุนเขาคิดมองหาลำธาร ไร้แรงสนับสนุนจากผู้คน ยังสำคัญด้วยหรือว่ามีแว่นแคว้นไปเพื่อผู้ใด’ ถ้อยคำเป็นที่โจษจันนี้ของใต้เท้าซ่างกวนทำให้เขาเป็นทั้งที่รักของชาวบ้านและที่ชังของเหล่าขุนนางดีแต่พูด การที่เป้าศรเคลื่อนที่ยังสร้างคุณงามความดีต่อไปได้มาจากแรงสนับสนุนฝั่งบ้านภรรยาเห็กเจ็ดส่วน ซ่างกวนฟูเหริน ‘ไป๋หลี่ เสวียนอี’ ธิดาแม่ทัพไป๋หลี่ผู้เฒ่าจากตระกูลที่คอยพิทักษ์พรมแดนเหลียงโจวมารุ่นสุ่รุ่น นางคือตำนานที่มีชีวิตจากการเป็นขุนพลหญิงผู้ใช้การคงอยู่ของตนพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าสตรีหาได้มีดีแค่ปักผ้า เลี้ยงลูก เชื่อฟังสามี ‘ ใช่ว่ามีเพียงบุรุษสามารถสลักคำ รู้รักษ์ภักดี พลีชีพเพื่อบ้านเมือง ขอเพียงมีสิ่งที่ใจเชื่อมั่นจะปกป้อง สตรีก็กุมศาสตราก้าวสู่สมรภูมิได้เช่นกัน’ เสวียนอีต่างจากขุนพลตราตั้งทั่วไปนางเคยใช้ชีวิตในสนามรบของจริงร่วมกับบิดาพบเห็นโลกมามาก วิสัยทัศน์ย่อมแตกต่างจากกุลสตรีในห้องหอนั่นอาจเป็นเหตุผลให้นางอบรมเลี้ยงดูบุตรธิดาทั้งสามอย่างเปิดกว้าง บิดาเถรตรงมั่นในคุณธรรม มารดาแข็งแกร่งกล้าหาญ ภายใต้การหล่อหลอมของสองสามีภรรยาชาวลั่วหยางใครกล้าพูดว่าทายาทของพวกเขามิใช่ยอดคน บุตรชายคนโต ‘ซ่างกวน ซีเหยียน’ ว่ากันว่าเขาเคาะพิมพ์บิดาออกมาคล้ายคลึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการสอบไล่ได้ระดับทั่นฮวาหรือดีกรีความวาจาคมมีดหัวใจเถรตรง สิ่งที่สมุหราชเลขาผู้นี้ทำกลับสั่งสมชื่อเสียงในทางที่ดีกว่าบิดาอยู่มากโข ต่างจากพระสหายคนอื่นของหวงตี้เขาไม่ต้องการตำแหน่งอำนวยการสั่งสมอำนาจและเลือกจะเป็น ‘ผู้สังเกตการณ์ที่มีจุดประสงค์ไม่เอนเอียง’ เวลาเก้าปีท่ามกลางห่าธนูไร้รูปในท้องพระโรงเป็นเรื่องลึกลับที่ไม่เคยมีใครแสดงตนเป็นศัตรูกับเทพพันหน้าผู้นี้เลยสักราย ‘ข้าไม่แย้งว่าการคาดเดาจิตใจมนุษย์เป็นเรื่องยาก หากรู้จักควบคุมอารมณ์ความรู้สึกผู้คนกลับเป็นหลักการที่มีประโยชน์ยิ่ง’ หากหล่าวว่าบุรุษตระกูลซ่างกวนจิตใจซับซ้อนเข้าใจยาก เช่นนั้นให้มองที่ทายาทสตรีในจวนพวกเขาคุณหนูใหญ่ ‘ซ่างกวน ฝูฮ่วน’ กำเนิดมาพร้อมพละกำลังแกร่งกล้าเกินชายยังอ่านอักษรไม่คล่องมือก็ฝึกฝนธนู นางปฎิเสธเข็มด้าย ปฎิเสธการฟ้อนรำ วิ่งโร่ไปรับใช้แม่ทัพเฒ่าสร้างผลงานศึกติดยศประดับพู่เหล็กและกล้าพูดว่าตนเติบโตในค่ายอย่างภาคภูมิ แขนทั้งสองกอดอาชาพันธุ์ดีมีรอยยิ้มเมื่อได้ประลองยุทธ์กับผู้แข้งแกร่งเท่านั้น ชาติพยัคฆ์ไม่เคยมีลูกเป็นสุนัขต่างจากพี่ใหญ่ผู้คลี่คลายสถานการณ์ด้วยปัญญา ฝูฮ่วนยึดหลักกำลังคือทางออกชิงลงมือค่อยรายงาน มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าพวกปากบอนที่ไปล่วงเกินตระกูลซ่างกวนเจ็ดในสิบมีสารรูปกลับมาชนิดบิดามารดาจดจำหน้าไม่ได้ล้วนเป็นฝีมือของเสือสาวผู้นี้นั่นเอง ‘ข้าโหดร้าย..? ข้าจะเป็นเงามืดตามล่าวิญญาณเจ้าในทุกค่ำคืน เป็นมัจจุราชกระหายเสียงคร่ำครวญทรมาน เมื่อความสุขที่เจ้ารู้จักทั้งมวลแปรเป็นความทุกข์ตรม ชื่อของข้าจะปรากฎในทุกความกลัวที่เจ้าสัมผัสได้จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ พูดสิ แค่คำว่าโหดร้ายเท่านั้นเองหรือ?’ ระดับความผ่อนปรนของคนตระกูลซ่างกวนนับว่าใจกว้างดั่งสาครเทียบกับตระกูลขุนนางทรงอำนาจบ้านอื่น ยกเว้นเพียงแต่เรื่องเดียวเท่านั้นที่คนในจวนไม่ว่าผู้อาวุโสตลอดจนบ่าวไพร่ยึดถือร่วมกันโทษหนักสังหารคนตายยังสามารถให้อภัยแต่หากไปแตะถูก ‘คนผู้นั้น’ หากปรารถนาภูเขาดาบทะเลเพลิงก็ใช่ว่าจวนซ่างกวนเนรมิตรนรกบนดินให้มิได้ นางคือใคร ? ผู้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงคลื่นอารมณ์คนทั้งจวนได้เพียงแค่ถ้อยคำเดียว นางทำสิ่งใด ? ผู้ที่สร้างประเพณีไร้ลายลักษณ์อักษรให้ชาวเมืองลั่วหยางในทุกเทศกาลสำคัญ ข่าวลือ เสียงเล่าอ้าง คำชื่นชมรวมไปถึงความสงสัยสนใจจำนวนมากมุ่งไปยัง ‘ซ่างกวน ฝูมี่’ ธิดาคนเล็กในเจ้ากรมคลัง สิบห้าปีก่อนชาวลั่วหยางเป็นพยานในดาราสุกสกาวร่วงหล่นลัดฟ้าประกายแสงสสุดท้ายวูบหล่นที่ใดพวกเขาต่างรับรู้ สิบปีก่อนการได้ฟัง ‘ปิติทำนองแห่งลั่วหยาง’ กลายมาเป็นประเพณีที่ทุกบ้านต้องดั้นด้นหาทางไปฟังเสมือนการขอพรที่เห็นผลทันใจ หากสุ่มชาวเมืองขึ้นมาสอบถามว่า ‘เทพธิดาขับขาน’ ของพวกเขาคือใครหกในสิบจะไม่ยอมปริปาก เว้นเสียแต่คนผู้นั้นสนิทสนมเชื่อท่านจนหมดใจจึงประสานมือไปทิศจวนซ่างกวนด้วยความซาบซึ้งในแววตา ‘หากความสามารถเพียงเล็กน้อยของฝูมี่สามารถสร้างรอยยิ้มแก่ทุกท่านได้.. โปรดให้ข้าได้ขับขาน’ คุณหนูสามคือการดำรงอยู่ที่เต็มไปด้วยความพิศวงอย่างแท้จริง ต่างจากผู้ที่มีเรื่องเล่าติดตัวรายอื่นนางมิได้เก็บตัวรึถือสันโดษขนาดนั้น ท่ามกลางผู้คนคับคั่งตัวตนของเด็กสาวยิ่งโดดเด่น ฝูมี่ชื่นชอบเทศกาลยังปรากฎตัวในทุกงานสังสรรค์และการกุศลด้วยมีมิตรสหายไม่น้อยทั้งโฉมงามสกุลลู่ ลู่ไป๋หรั่นที่ไม่ว่าปรากฎตัวที่ใดก็ตกเป็นเป็าสายตาผู้คน หรือแม้แต่สหายร่วมสำนักศึกษาอย่าง เว่ยเจียเหลียนฮวา ธิดาเจ้ากรมโยธา ที่ขึ้นชื่อเรื่องไหวพริบฉับไวก็เป็นสหายที่คุ้นเคยไปมาหาสู่กันอย่างดี


ว่ากันว่าร้านรวงใดก็ตามที่รองเท้าผ้าปักของคุณหนูสามผู้นี้ก้าวเข้าไป ร้านนั้นจะกลายเป็นที่นิยมไปตลอดสามเดือน หากเป็นผู้คนที่บังเอิญได้พบรึสนทนาต่อหน้าล้วนมีเรื่องดีเกิดขึ้นในชีวิตอย่างลึกลับและหาคำตอบไม่ได้ นอกจากน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์และอุปนิสัยชอบช่วยเหลือผู้คนที่กำลังลำบาก ชาวบ้านเชื่อกันอย่างไม่มีมูลอีกว่าตราบใดที่คุณหนูซ่างกวนลำดับสามยังอยู่ในเมืองพวกเขเาก็จะรอดพ้นเภทภัยเคราะห์ร้ายหนักหนาไปได้ ช่วงที่คุณหนูสามเดินทางไปเยี่ยมเยียนพี่ชายพี่สาวที่ฉางอันสีหน้าชาวเมืองถึงหมองลงครึ่งส่วน แน่นอนว่ามีคนที่เห็นค้านกับข่าวลือว่าเหลวไหลไร้สาระล้วนเป็นคนที่ไม่เคยได้สัมผัสด้วยตนเอง ภายนอกจวนเลื่องลือถึงตัวนางอย่างไร เทพธิดาขับขานผู้นั้นก็มิได้ลำพองหรือถือดีในชื่อเสียงนอกกาย เพราะเป็นลูกหลงที่อายุรุ่นลูกของเหล่าพี่น้อง นางจึงได้รับความเอ็นดูจากทุกคนในครอบครัวเดิมทีสามารถปารถนาได้ทั้งเดือนดาว เด็กสาวกลับต้องการเพียงคนทานข้าวด้วยในทุกวัน บิดาเป็นขุนนางเลือดเหล็กนอกบ้านพออยู่ในบ้านคือสามีที่คล้อยตามภรรยา ซ่างกวนฟูเหรินเป็นกังวลว่าบุตรสาวอาจหัวอ่อนจนถูกคนเอาเปรียบเมื่อเติบใหญ่จึงคอยประกบไม่ห่าง


ไม่น้อยหน้าฝูฮ่วนที่พ้นช่วงทำศึกก็กลับไปอุ้มน้องสาวมาฝึกวิชาคราวละนานๆ ด้านราชเลขาซีเหยียนเองก็ขึ้นชื่อเรื่องทั้งรักทั้งหวงน้องสาวคนเล็กจนใช้วันลากลับบ้านไป ‘พักผ่อนจิตใจ’ เต็มกำหนดในทุกเดือน

ผิวเผินชีวิตของฝูมี่ตลอด 15 ปีไร้เรื่องกังวลมีครอบครัวคอยปกป้อง เป็นที่เอ็นดูรักใคร่ของเหล่าญาติมิตรชาวเมือง น้อยคนจะรู้ว่านั่นเพียงระรอกเหนือผิวน้ำยากจะหยั่งถึงสถานการณ์ภายใน ชะตาของนางผู้สวมศิริต่างภูษาใช้ว่า ‘โชค’ ที่เข้ามาจะมีแต่เรื่องมงคลไปเสียหมด การที่คนทั้งจวนปกป้องเด็กน้อยอย่างแน่นหนาจนเกินพอดีให้กล้าวย้อนคือราว 10 ปีในอดีต พรเสียงสวรรค์ประทาน โชควาสนาไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าอย่างใดก็ตามล้วนเป็นดาบสองคม ดึงดูดผู้ที่ชื่นชม ใช้ว่าจำกัดอยู่ที่ความสนใจจากเผ่าพันธ์เดียวกันเสมอไป ห้าขวบเมื่อพูดจาฉะฉานรู้ความ ฝูมี่ค่อยทราบว่าท่านน้าสวมเกราะทหารที่อยู่บ้านข้างๆ คอยเล่าเรื่องสนุกสนานให้นางฟังนั้นเสียชีวิตไปแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อน หลังจากหนแรกผ่านไปเรื่องราวเช่นนี้มีอีกมาก จะชายชราสอนตกปลาข้างคูน้ำ พี่สาวคณะนางรำที่แต่งหน้าเพียงครึ่งเดียว หรือแม้แต่อาจารย์ที่สัญญากับนางว่าจะช่วยสอนตนแต่งบทกวี วิญญาณคนปกติ วิญญาณปีศาจ รึวิญญาณอาฆาตหลังพยายามอธิบายนับครั้งไม่ถ้วนก็มีเพียงเด็กน้อยที่มองเห็นและสื่อสารกับพวกเขาได้ หลายครั้งที่ตนแยกแยะคนเป็นกับวิญญาณไม่ออกและกังวลว่าจะทำให้คนรอบข้างเป็นห่วง หลังเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่และทุกคนรอดปลอดภัยมาได้ ฝูมี่เลือกเก็บเรื่องนี้เอาไว้กับตนเองเพื่อครอบครัว ตอ่ให้นางเห็นก็จะเลี่ยงไม่พูดคุยกับพวกเขาเว้นแต่อยู่ลำพัง ฝูมี่คิดว่าตนสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ดี หรืออย่างน้อยการมีสัมผัสต่อสิ่งที่มองไม่เห็นรับมือกับวิญญาณก็ไม่ใช่เรื่องแย่ที่สุดสำหรับตน.. จากจากรึกทมิฬม้วนแรกถูกส่งเข้าจวนซ่างกวนเสมือนการเล่นตลกของคนเสียสติผ่านมาหลายปีทุกคืนเดือนดับครอบครัวของนางก็มีเรื่องให้กลัดกลุ้มใจ ข้อความในจารึกและของกำนัลถูกส่งมาไม่ขาดตก สมบัติล้ำค่า อาภรณ์ประดับมุกราตรี แม้แต่ปิ่นกระดูกปีศาจมัจฉาแต่ละชิ้นมีค่าควรเมืองราวยืนยันเจตนาของเจ้าของสานส์ปริศนาว่า ‘เจ้าสาวผู้ล้ำค่า’ ไม่พ้นเป็นนาง สานส์จารึกหยกทมิฬไฟผลาญไม่ไหม้ ตกน้ำก็กลับคืนที่เดิม สมบัติกำนัลไร้ที่ส่งกลับ ตระกูลซ่างกวนนำทุกสิ่งที่เป็นดั่งคำสาปนี้มอบหมายให้เหล่านักพรตเลื่องชื่อจัดการ ในหนึ่งปีแทบจะสังเวยตบะนักพรตไปหนึ่งคน นักปราบปีศาจและชาวยุทธ์จำนวนมากได้รับการว่าจ้างให้ตามหาตัวการสุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวมาตลอด ดุจเมล็ดพันธุ์หยั่งรากร้ายรอวันเติบโตอายุได้สิบปีนกน้อยผู้ขับขานก็ได้รู้จักกับความหวาดกลัวอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกผ่าน ‘ฝันร้าย’ เงามืดของใครสักคนคอยฉุดรั้งนางออกจากแสงสว่าง พร่ำเพรียกหาว่าวันหนึ่งจะน้ำเสียง ร่างกาย วิญญาณ หรือแม้แต่ทุกสิ่งทุกอย่างของเด็กสาวจะต้องเป็นของมัน เจ้าของเสียงปริศนาเล่นกับจิตใจและความหวาดหวั่นว่าต่อให้หนีไปที่ใดก็เปล่าประโยชน์ ไม่มีใครหน้าไหนช่วยนางได้ ฝันร้ายเริ่มขึ้นจากเดือนละครั้งและถี่ขึ้นเมื่อถึงวัยปักปิ่น เด็กสาวไม่กล้าปิดตา หวาดกลัวที่จะหลับใหล ฝันร้ายรังควานไล่ล่าจนทรมานนางจนสุขภาพทรุดโทรม ยามที่ดวงวิญญาณถูกกัดกร่อนจากความหวาดกลัวและวิตกกังวลในทุกค่ำคืน ทานได้น้อย นอนได้น้อย เดิมทีคนเราจะหมดอาลัยตายอยากสารรูปดูไม่เป็นผู้เป็นคน สำหรับฝูมี่แล้วแม้กลัวภัยที่ตามไล่ล่าทว่านางห่วงใยคนรอบตัวมากยิ่งกว่า เด็กสาวเก็บซ่อนเรื่องนี้ไว้จนถึงที่สุดไม่ปริปากออกมาเพื่อครอบครัวเป็นกังวลภายนอกยังคงโฉมเทพธิดาขับขานผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนแต้มใบหน้า ร่างกายที่ทรุดโทรมลงจากการอดนอนในยามค่ำคืนขับเสริมความบอบบางน่าทนุถนอมขึ้นอีกขั้น เวลาสามปีเต็มที่อดทนได้เป็นอย่างดี.. จนสุดท้ายร่างกายเล็กๆ ก็ไม่สามารถฝืนรับไหวอีกต่อไป รัชฉกเจี้ยนหยวนที่ 9 หลังส่งห้วงทำนองได้เพียงครึ่งบทเพลงในเทศกาลฉงหยาง ย่างก้าวของนางซวนเซท่ามกลางความตื่นตระหนกของผู้คนร่างของเทพธิดาขับขานผู้นั้นก็ฟุบลงกลางเวทีใหญ่ ร้อนถึงสหายแซ่ลู่ของพี่ชายต้องปีนขึ้นไปพาตัวกลับจวน ฟูเหรินซ่างกวนขึ้นเขาด้วยตนเองไปตามหมอเทวดามารักษา ยื้อแย่งชีวิตคนอยู่กับยมบาลสามคืนธิดาคนเล็กค่อยฟื้นคืนสติด้วยดวงตาทั้งสองที่มีแต่ความว่างเปล่า หลังเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาฝูมี่ไม่ใช่เด็กขี้แยเจ้าน้ำตา แต่ในวันนั้นเสียงร่ำไห้ของนางราวกับคนสูญสิ้นทุกความกล้าที่มีในตัว ร่ำไห้จนผู้ฟังสะเทือนไปถึงวิญญาณ ร่ำไห้จนสองตาแห้งเหือดกลายเป็นสีเลือด ร่ำไห้จนพี่ชายพี่สาวทั้งสองทำสิ่งใดไม่ถูกนอกจากระบายอารมณ์กับผนังกำแพงจนพรุนไปทั้งสองด้าน ร่ำไห้เสียจนหมดเรี่ยวแรงสิ้นสติไปอีกครั้งและเป็นครั้งนี้เองที่คนในจวนบรรลุถึงความโกรธาเดือดดาลเป็นครั้งแรกที่พวกเขาอยู่ข้างๆ ช่วยอะไรนางไม่ได้เลย ลูกหญิงของข้า น้องสาวของพวกเขา คุณหนูเล็กของพวกเรา กำลังตัวสั่นและหวาดกลัว! หวาดกลัวทั้งๆ ที่อยู่ภายในบ้านของนาง อยู่ในพื้นที่ได้รับการปกป้องอย่างสูงสุดและมันไม่ควรเกิดเรื่องเช่นนี้ ! จดหมายนับสิบฉบับถูกส่งออกจากลั่วหยางภายในราตรีเดียว รายชื่อผู้รับแต่ละนามล้วนเป็นตำแหน่งรึตัวตนที่ผู้คนไม่กล้าล่วงเกิน ไม่บังอาจอาจล่วงเกิน ทุกฉบับมีเนื้อความไปในทำนองเดียวกันถึงเป้าประสงค์ขอความช่วยเหลือ บุญคุณ ความแค้น หนี้ชีวิต แม้แต่คำมั่นสัญญาที่ถูกสั่งสมมานานนับสามรุ่นทั้งหมดทั้งมวลเพื่อ ‘ช่วยนาง’ นับจากราตรีฉงหยางเป็นเวลาหนึ่งแีเต็ม ‘ซ่างกวน ฝูมี่’ เทพธิดาขับขานไม่ปรากฎกายในงานสังคม ระดับความปลอดภัยของจวนเจ้ากรมคลังถูกยกขึ้นเป็นระแวดระวังสูงสุด ผู้มีความสามารถทั้งบุ๋นบู๊เข้าออกจวนในระดับเสี่ยงโทษซ่องสุมกำลังพล หาไม่ว่าคุณชายใหญ่ซีเหยียนเป็นคนใกล้ชิดหวงตี้คงประสบปัญหาใหญ่ไปแล้ว ทุ่มเทกำลังทรัพย์ สูญกำลังคนไปนับไม่ถ้วนก็ยังทำได้เพียงบรรเทาแค่ชั่วคราว ซ่างกวนฟูเหรินที่รับฟังคำแนะนำของผู้สูงส่งนิรนามทำการตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้ง บุตรชายคนโตถูกเรียกตัวกลับลั่วหยางเพื่อภารกิจสำคัญคุ้มกันน้องสาวออกเดินทาง หนึ่งปีผ่านไปเมื่อนางย่างเท้าออกจากจวนอีกครั้งกลับปรากฎใบหน้าภายใต้หน้ากากทองคำ ไม่มีใครรึผู้ใดได้ยลโฉมเทพธิดาขับขานผู้นี้อีก ปริศนานับไม่ถ้วนก่อเกิดในใจผู้คนเมื่อเสียงเล่าลือขจรไปไกลคนในตระกูลกลับปิดประตูจวนและผนึกปากแน่นสนิทถึงเรื่องราวของคุณหนูสาม ซ่างกวนซีเหยียนมองรถม้าที่ถูกเตรียมการมาด้วยความละเอียดใส่ใจอย่างดี ฝูมี่ยืนส่งยิ้มอ่อนใจปลอบเสียงร่ำไห้ของสาวใช้ที่ไม่มีโอกาสติดตามคุณหนูผู้เป็นดั่งประกายแสงของพวกเขาดังระงม สายลมพัดดอกไห่ถังปลิดปลิวตกลงเหนือใหล่บาง ‘อดทนสองปีเท่านั้น แม่รอเจ้าที่จวนซ่างกวน’ เสียงของผู้เป็นมารดาเน้นย้ำคนในอ้อมกอด คนทั้งสองจากไปทั้งแบบนั้นซ่างกวนฟูเหรินมองส่งจนรถม้าลับสายตามุ่งหน้าสู่นครหลวงฉางอัน




รางวัล: เงินติดตัวจากพ่อแม่ 50 ตำลึงทอง , 3000 อีแปะ , ห่อสัมภาระ 1 ห่อ , กระเป๋าเดินทาง 1 ใบ , +30 EXP (แนบท้ายโรล)










แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2024-7-14 19:33
โพสต์ 41254 ไบต์และได้รับ 24 EXP!  โพสต์ 2024-7-14 19:17
โพสต์ 41,254 ไบต์และได้รับ +3 EXP +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก เอ้อหู  โพสต์ 2024-7-14 19:17
โพสต์ 41,254 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2024-7-14 19:17
โพสต์ 41,254 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก หน้ากากอำพรางภูต  โพสต์ 2024-7-14 19:17

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงทอง +50 เหรียญอู่จู +3000 ย่อ เหตุผล
Watcher + 50 + 3000

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก
พู่กันคัดอักษร
แหวนดาราจรัส(D)
ชุดฉิงโหรว(เจียยวี่)
กระบี่คู่สลักจันทรา
ลาภลอย
หน้ากากอำพรางภูต
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x10
x20
x20
x3
x90
x110
x2
x2
x120
x10
x1
x1
x1
x1
x30
x4
x20
x5
x5
x2
x13
x1
x4
x2
x2
x4
x29
x7
x1
x30
x5
x22
x8
x3
x2
x5
x6
x1
x1
โพสต์ 2024-7-29 13:41:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 29 เดือน 07 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา 14.20  น




โจวจินใช้เวลาซักพัก หลังจากที่เตรียมตัว เตรียมของอุปกรณ์คุ้มกันเขาก็เดินมาที่ ประตูทิศใต้และตามหากลุ่มพ่อค้าที่ทำการว่าจ้าง


ใช้เวลาไม่นานชายหนุ่มก็เจอ พ่อค้า กับคนงานอีก 2 คน พร้อมกับรถมาอีก 1 คันไว้สำหรับเก็บสินค้าชายหนุ่มจึงเข้าไปติดต่อทันที


"สวัสดียามบ่ายขอรับ ข้าโจวจิน พ่อค้าจอมยุทธ์ ที่รับภารกิจคุ้มกับการเก็บวัสดุ ที่เทือกเขาฉินหลิงขอรับ" โจวจิน คารวะและกล่าวไปทักทายไปยังพ่อค้าท่านนั้น


"ยินดีๆ อาตี๋เอ้่ย งั้นเราจะไปกันเลยไหม แต่อันดับแรก เจ้าลองเอ่ยแผนมาซิว่าจะคุ้มกันพวกเรายังไง ตอนนี้มีข้า คนงาน 2 คนกับ รถมาอีก 1 คัน เก็บสินค้าเต็มคันรถม้าก็พอ" พ่อค้าท่าทางใจดีเอ่ยถามโจวจิน


"เราจะขับ รถม้าไปเรื่อยๆ ข้าก็จะเดินคุ้มกันอยู่รอบๆ ขอรับ หรือถ้าท่านจะให้ข้าขับรถม้าให้ก็ได้เหมือนกัน พอถึงจุดที่ท่านจะเก็บเกี่ยววัสดุ ข้าก็อยากให้ท่านเก็บวัสดุ ไม่ไกลจากรถม้ามาก ถ้ามีอะไรอย่างน้อยข้าจะได้วิ่งเข้าไปช่วยคุ้มกัน และ กำจัดปัญหานั้นขอรับ" โจวจินกล่าวแผนคร่าวๆ


พ่อค้าฟังก็รู้สึกว่าแผนนี้พอใช้ได้ ถึงจะดูไม่รัดกุมรอบคอบ แต่ถ้าเจ้าหนุ่มนี่ มีฝีมือจริงก็ไม่มีปัญหา


หลังจากที่ได้ฟังแผนของช่ายหนุ่ม พ่อค้าจึงสั่งออกเดินทางไปที่เถือกเขาฉินหลิงทันที

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 4273 ไบต์และได้รับ 1 EXP!  โพสต์ 2024-7-29 13:41
โพสต์ 4,273 ไบต์และได้รับ +2 ความชั่ว +3 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-7-29 13:41
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2
โพสต์ 2024-7-29 18:40:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 29 เดือน 07 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา 18.00  น ณ ประตูเมืองทิศใต้


"อาตี๋นี่ เก่งกว่าที่อี๊วคิดนะเนี่ย ตลอดจนนำพวกข้ารอดกลับมาได้ ลื้อนี่เก่งจริงๆ" พ่อค้ากล่าวชมโจวจิน


"อ่ะ นี่รางวัลของเจ้า" พ่อค้ายื่นรางวัลให้โจวจิน


"ครั้งหน้ามาใหม่ด้วยนะ ข้าลงบันทึกให้แล้วว่างานเจ้าเสร็จแล้ว เจ้าสามารถไปรับงานอื่นต่อได้เลย" พ่อค้ากล่าวกับโจวจิน


"ขอบคุณมากขอรับ" โจวจินโค้งคำนับให้พ่อค้า พลางคิดว่า ณ เทือกเขา ฉินหลิง เขายังไม่ได้ลองเจอกับปีศาจเเพนด้าเลย เขาอยากลองวัดฝีมือว่าเขากับปีศาจเเพนด้าใครที่จะเก่งกว่ากัน และ เขาได้ยินว่า ปีศาจแพนด้านั้นเป็นนักหมักสุราโดยตรง ถ้าลาได้ สมาคมการค้าจิน น่าจะได้ สินค้าหลักในการค้าขาย


----------------------------------------------------


- รางวัลงาน: +60 พลังใจ, 15 ตำลึงทอง ,
+55 EXP และ +50 ค่าคุณธรรม , 30 ความโหด
ได้รับ: ขนมเฉียวกั่ว 2 ลูก และ สุราเบญจมาศ 1 กา

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ +30 ความโหด โพสต์ 2024-7-29 18:49
คุณได้รับ +50 คุณธรรม โพสต์ 2024-7-29 18:49
คุณได้รับ 55 EXP โพสต์ 2024-7-29 18:49
โพสต์ 3157 ไบต์และได้รับ 1 EXP!  โพสต์ 2024-7-29 18:40
โพสต์ 3,157 ไบต์และได้รับ +2 ความชั่ว +3 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-7-29 18:40

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +60 ตำลึงทอง +15 ย่อ เหตุผล
Watcher + 60 + 15

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2

3

กระทู้

122

ตอบกลับ

3259

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2168
ตำลึงทอง
110
ตำลึงเงิน
441
เหรียญอู่จู
15357
STR
66+13
INT
65+0
LUK
0+5
POW
50+0
CHA
15+0
VIT
13+5
คุณธรรม
2314
ความชั่ว
1069
ความโหด
2532
โพสต์ 2024-8-4 22:41:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด




@Admin


CHAPTER 17.7

วันที่ยี่สิบแปดเดือนเจ็ดแห่งรัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบ
วันพุธ เวลา 14.00 น.


หลงเยวี่ยเพิ่งเคยมาที่ประตูทางทิศใต้ ‘หมิงเต๋อ’ ช่างเป็นประตูที่ห้าวหาญดุดัน จนอดมองหลายครั้งไม่ได้… ที่หน้าประตูเมืองมีกลุ่มพ่อค้ากลุ่มหนึ่งอยู่พวกเขาเตรียมตัวสำหรับออกหาสิ่งของอย่างเต็มขั้น จอบ เสียม กระบุงสำหรับใส่ของ และเกวียนอย่างครบครัน ครั้นเห็นสตรีส่วนอาภรณ์สีสบายตาสวมหมวกคลุมปิดบังใบหน้า เดินมาเพียงคำพังก็คิดว่า ‘จะไปรอดแน่เหรอวะ’ อยู่ในใจ แต่เห็นแก่รังสีอันน่าครั่นคร้ามที่แผ่ออกมา— ราวๆ ว่าหลงเยวี่ยอาจจะตบพ่อค้ากลุ่มนี้ได้ พวกเขาเลยเลือกจะไม่พูดออกมา

นางแสดงแผ่นกระดาษรับภารกิจให้หัวหน้าพ่อค้าดู พลางเอ่ย “ข้าคือผู้รับหน้าที่รับผิดชอบพาพวกเจ้าไปที่ป่าฉินหลิง ที่ฉินหลิงบางทีก็มีโจรป่า บางทีก็มีปีศาจออกอาละวาด”

“เส้นทางไม่ค่อยปลอดภัย พวกเจ้าก็จงติดตามข้าอย่าให้ห่าง ข้าตัวคนเดียวย่อมดูแลปกป้องได้ไม่ทั่วถึง”

นางตวัดนัยน์ตามองพ่อค้าร่วมสิบคนที่ยืนออกันอยู่ พลันคิดว่า พวกเขาคงรวมเงินกันเพื่อออกรางวัลภารกิจแน่ๆ วันนี้ดูแล้วดวงของนาง ดีเยี่ยมจริงๆ

นางแขวนกระบี่คู่เหน็บไว้ข้างเอว สวมมีดสั้นและถุงมือ ท่วงท่าและดูไม่ยี่หระต่ออันตรายใดๆ แม้จะเป็นเพียงแผ่นหลังอันบอบบาง ทว่ามองอีกคราก็ดูน่าพึ่งพาเหลือแสน หารู้ไม่ว่าในความคิดของนางตอนนี้กลับปลอดโปร่งเป็นที่สุด



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 6059 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2024-8-4 22:41
โพสต์ 6,059 ไบต์และได้รับ +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก บาดเจ็บสาหัส  โพสต์ 2024-8-4 22:41
โพสต์ 6,059 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2024-8-4 22:41
โพสต์ 6,059 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก กระบี่คู่สลักจันทรา  โพสต์ 2024-8-4 22:41
โพสต์ 6,059 ไบต์และได้รับ +2 ความชั่ว +3 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-8-4 22:41
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
นักสู้
บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก
บาดเจ็บสาหัส
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินเฉิน(เหม่ยเหริน)
ผีผา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x1
x18
x3
x3
x7
x8
x2
x3
x4
x4
x1
x2
x3
x5
x1
x3
x18
x1
x5
x3
x1
x1
x5
โพสต์ 2024-8-7 10:31:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 4 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา  9.20 น ประตูทิศใต้




"อ่ะ สวัสดีจขอรับท่านพ่อค้าข้าโจวจินเองขอรับ" โจวจินกล่าวทักทายพ่อค้า


"เจ้าเองเหรอมารับภารกิจคุ้มกันล่ะซิ แผนเดินนะข้าเข้าใจแล้ว" พ่อค้าพยักหน้าหงึกๆ ประนึงเริ่มสนิทกันแล้ว


"ขึ้นรถม้ามาซิ ไปถึงเทือกเขาฉินหลิงเจ้าค่อยลงมาคุ้มกัน"พ่อค้ากล่าวอย่างใจกว้าง


โจวจินพยักหน้าหงึกๆ และขึ้นรถม้าไป

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 2604 ไบต์และได้รับ 1 EXP!  โพสต์ 2024-8-7 10:31
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2
โพสต์ 2024-8-7 10:53:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 4 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา  12.00 น ประตูทิศใต้


"ถึงเมืองแล้ว วันนี้ค่อนข้างเร็วเลย พวกท่านเก็บของป่ากันเก่งมากว่างๆสอนข้าทีได้ไหม" โจวจินกล่าวถามกลุ่มพ่อค้า


"มันเป็นความลับทางวิชาชีพน่ะ พ่อหนุ่มไม่ได้หรอก เอานี่ รางวัลของเจ้า เจ้ายังมือดีและเก่งมากเหมือนเดิมเลยเจ้าหนุ่ม" พ่อค้าหลังจากที่เข้ามาที่ประตูก็มีท่าทีผ่อนคลายไม่เครียดเหมือนตอนเดินทาง


พ่อค้ายื่นรางวัลให้ชายหนุ่ม


"โอ้ ขอบคุณมาก สมาคมพ่อค้าท่านขอให้กิจการเจริญรุ่งเรือง" โจวจินที่รับของมาก็คารวะงกๆ


----------------------------------------------------


- รางวัลงาน: +60 พลังใจ, 15 ตำลึงทอง ,
+55 EXP และ +50 ค่าคุณธรรม , 30 ความโหด
ได้รับ: ขนมเฉียวกั่ว 2 ลูก และ สุราเบญจมาศ 1 กา




@Admin


แสดงความคิดเห็น

ขอสุรา กับ ขนมด้วยนะเเอดดด  โพสต์ 2024-8-7 11:59
คุณได้รับ +50 คุณธรรม +30 ความโหด โพสต์ 2024-8-7 11:35
คุณได้รับ 55 EXP โพสต์ 2024-8-7 11:34
โพสต์ 3303 ไบต์และได้รับ 1 EXP!  โพสต์ 2024-8-7 10:53
โพสต์ 3,303 ไบต์และได้รับ +2 ความชั่ว +3 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-8-7 10:53

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +60 ตำลึงทอง +15 ย่อ เหตุผล
Watcher + 60 + 15

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2

3

กระทู้

122

ตอบกลับ

3259

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2168
ตำลึงทอง
110
ตำลึงเงิน
441
เหรียญอู่จู
15357
STR
66+13
INT
65+0
LUK
0+5
POW
50+0
CHA
15+0
VIT
13+5
คุณธรรม
2314
ความชั่ว
1069
ความโหด
2532
โพสต์ 2024-8-11 14:21:49 | ดูโพสต์ทั้งหมด




.จบแล้วฮรืออออ จบแล้วววว @Admin


CHAPTER 17.16
วันที่ยี่สิบแปดเดือนแปดแห่งรัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบ
วันพุธ เวลา 20.00 น.


ผ่านมาถึงครึ่งวันดวงจันทร์โผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว


รอบด้านมืดสนิทจนต้องอาศัยโคมไฟช่วยนำทาง สายลมฤดูร้อนโหมพัดแรงครู่หนึ่งเปลวไฟก็ไหววูบสร้างความกังวลเล็กๆ ขึ้นในหัวใจ ขบวนพ่อค้าที่เมื่อเที่ยงวันเป็นเพียงคนตัวเปล่า บัดนี้มีห่อเสบียงและตะกร้าบรรจุสิ่งของอยู่เต็มหลัง


มองเผินๆ คล้ายคาราวานที่จะเอาของไปขายในเมือง


เมื่อมาถึงประตูทางทิศใต้ พวกเขาก็ประสานมือคารวะมาทางหลงเยวี่ย กล่าวหน้ายิ้มว่า “อวี้ถู เพราะคราวนี้มีเจ้าข้าถึงได้ของป่ามามากมาย ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ”


“หยกที่ถ้ำหมินเถียนปิงมีของล้ำค่ามากมาย หากไม่มีเจ้ายังจะหาหยกพวกนี้มาแต่ไหน”


หลงเยวี่ยเลิกคิ้ว คำขอบคุณได้รับก็ดีไม่ได้รับก็ช่างเถอะ— นางรับภารกิจนี้ก็แค่ต้องการระบายอารมณ์ นางพลันแค่นเสียง “ข้ารับงานเพราะค่าจ้าง พวกเจ้าคงมิได้มีเจตนาบิดพลิ้วกระมัง”


“แหม…เรื่องเงินน่ะอย่างไรก็ต้องให้อยู่แล้ว” หัวหน้ากองคาราวานเอ่ยพลางมอบเงินจำนวน 15 ตำลึงทองให้แก่หลงเยวี่ย “พวกข้าเป็นเพียงกลุ่มพ่อค้าเล็กๆ เงินจำนวนนี้มากจริงๆ ต้องรวมกลุ่มกันมา เวลานี้ไม่คิดเสียดายแล้ว หยกที่เจ้าพาไปเอา ต่อให้ขายเป็นหยกเนื้อดิบก็ได้ราคามากมาย เงินทองเหล่านี้แทนคำขอบคุณแล้วจริงๆ”


“อ้อ… ยังมีสุราดอกเบญจมาศ” แม่เฒ่านางหนึ่งเอ่ยขึ้นบาง แม้กล่าวว่าเป็นแม่เฒ่าก็อายุราวๆ 40 ปีเท่านั้น “เมื่อตอนไปที่ถ้ำมีคนนำเหล้าไปฝังไว้หลายไห พวกเราแบ่งปันกันแล้วยังเหลืออีกมาก เหล้าไหนี้เจ้ารับแทนสินน้ำใจของข้าเถิด”


หลงเยวี่ยเอ่ยคำว่า “ดียิ่ง!” สีหน้าเบิกบานยื่งกว่าตอนรับทองเสียอีก


“พี่สาว ท่านแม่ข้าทำขนมเฉียนกั๋วอร่อยมากๆ เมื่อตอนเที่ยงข้ากินไปแล้วยังเหลืออีก 2 ห่อ ขอบคุณที่ท่าช่วยชีวิตข้าจากปีศาจไก่ดำรับไปด้วยเถิด” เด็กน้อยไม่ประสา อายุไม่มากก็ต้องติดตามครอบครัวไปทำงาน เจอไก่ดำธรรมดาก็เข้าใจว่าเป็นปีศาจร้าย กระนั้นยังเปี่ยมด้วยน้ำใจและคุณธรรมมอบของให้นางตอบแทนเช่นนี้


มารดาเห็นเช่นนั้นก็หน้าเสีย “ม่อเอ๋อร์—” นางเอ่ยเสียงดุ ก่อนจะหันมาทางหลงเยวี่ย “ขอแม่นางอวี้ถูอย่าได้เห็นว่านี่เป็นของเหลือ”


“ม่อเอ๋อร์มีน้ำใจ ข้าย่อมรับน้ำใจ” หลงเยวี่ยเอ่ยพลางรับของมา สีหน้าสดใสยินดี “ภารกิจของข้าเสร็จสิ้นแล้ว พวกเจ้าอย่างมั่วแต่พูดร่ำไร อีกไม่นานประตูเมืองก็จะปิดแล้ว รีบกลับไปเสีย”


“อ้อ—-” ขบวนพ่อค้าส่งเสียงยาว ก่อนจะเร่งกลับเข้าเมืองไป


รางวัลงาน: +60 พลังใจ, 15 ตำลึงทอง , +55 EXP และ +50 ค่าคุณธรรม , 30 ความโหด

ได้รับ: ขนมเฉียวกั่ว 2 ลูก และ สุราเบญจมาศ 1 กา




แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ +50 คุณธรรม +30 ความโหด โพสต์ 2024-8-11 17:32
คุณได้รับ 55 EXP โพสต์ 2024-8-11 17:32
ในที่สุดก็จบสักที.เหม่อ  โพสต์ 2024-8-11 14:32
โพสต์ 21755 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2024-8-11 14:21
โพสต์ 21,755 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +8 ความโหด จาก บาดเจ็บสาหัส  โพสต์ 2024-8-11 14:21

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +60 ตำลึงทอง +15 ย่อ เหตุผล
Watcher + 60 + 15

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
นักสู้
บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก
บาดเจ็บสาหัส
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินเฉิน(เหม่ยเหริน)
ผีผา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x1
x18
x3
x3
x7
x8
x2
x3
x4
x4
x1
x2
x3
x5
x1
x3
x18
x1
x5
x3
x1
x1
x5

1

กระทู้

39

ตอบกลับ

5166

เครดิต

เสาหลักพวกพ้อง

พลังน้ำใจ
4927
ตำลึงทอง
45
ตำลึงเงิน
477
เหรียญอู่จู
11886
STR
25+15
INT
30+0
LUK
30+20
POW
20+0
CHA
0+0
VIT
15+12
คุณธรรม
878
ความชั่ว
0
ความโหด
542
โพสต์ 2024-8-20 11:14:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด






วันที่ 15 เดือน 8 เจี้ยนหยวนศกที่ 10

เวลา 08.30



ชายหนุ่มรับงานคุ้มกันพ่อค้า จึงเดินทางมายังสถานที่นัดพบ ‘ประตูเมืองทิศใต้’ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยฉิน เรื่องนั้นถือเป็นความรู้รอบตัวสิ่งที่สำคัญกว่า เขากวาดสายตามองหาเจ้าของคนที่เป็นนายจ้าง


ทันทีที่สายตาเบนหันไปเจอกับกลุ่มพ่อค้าคาราวาน ที่มีเกวียนสินค้าและม้าลากรถ หลงเสวียนเข้าไปหา “ข้ามาจากสมาคมจอมยุทธ์”


หนึ่งในพ่อค้าถึงกับต้องยกมือขยี้ตา ราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตา บุคลิกที่ดูสง่าทุกการกระทำ มีความเป็นคุณชายมากกว่าเป็นจอมยุทธ์ “ใช่เจ้าแน่นะ” เขาถามอีกทีเพื่อความชัวร์


“เป็นข้าเอง” น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับพลางกอดอก “มาวางแผนกันเลยดีหรือไม่”


“เอ่อ… ดี ๆ” 


“ข้าจะเป็นคนขี่ม้านำ ส่วนพวกเจ้าก็นั่งอยู่ในเกวียน โดยที่ข้าจัดส่งสัญญาณ” หลงเสวียนสาธิตส่งสัญญาณด้วยการปรบมือ “ถ้าปรบมือรัว ๆ หมายถึงอันตราย พวกเจ้าห้ามออกมาเด็ดขาด แล้วถ้าปรบมือ 3 ครั้งเท่ากับปลอดภัย”


"งั้นไปเลยล่ะกัน" พ่อค้ากล่าว


"อืม"










แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 10475 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-8-20 11:14
โพสต์ 10,475 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)  โพสต์ 2024-8-20 11:14
โพสต์ 10,475 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2024-8-20 11:14
โพสต์ 10,475 ไบต์และได้รับ +3 ความชั่ว +5 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2024-8-20 11:14
โพสต์ 10,475 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม +3 ความชั่ว +5 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2024-8-20 11:14
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ผู้มีบุญ
มีดแล่เนื้อ
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
ง้าวปีศาจปลา
หมวกไผ่ผ้าคลุม
พัดคุณชาย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x12
x16
x1
x4
x2
x4
x2
x17
x54
x5
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้