คืนที่ห้า เดือนเจ็ดของจงหยวนศก ปีที่สอง พายุฝนห่าใหญ่ซัดใส่โดยไร้คำบอกกล่าวเช่นเดียวกับการกำเนิดของเด็กสาวอันเป็นที่รักยิ่ง น่าเสียดายนักที่ชะตาชีวิตของสาวน้อยผู้นี้ไม่อาจนับได้ว่าเรียบง่าย เด็กน้อยคลอดออกมาระหว่างการเดินทางครั้งสำคัญที่เดิมพันกันด้วยชีวิต ดังนั้นเมื่อคลอดแล้วแทนที่จะได้พักผ่อน นางก็ถูกมารดาหอบหิ้วแนบอกแล้วเดินทางไกลนับพันลี้ขอบชายทะเลกลับมาสู่แดนจงหยวนอันเป็นถิ่นกำเนิดของคนที่พลัดพรากไปไกลจนไร้ทางหวนคืน
ชั่วขณะแรกที่‘ลู่อวี้หราน’ ได้เห็นหอชุนหลันฉี น้ำตาของนางพลันไหลอาบแก้ม
จะค่ำคืนหนาวเหน็บ หรือการเดินทางอันบากบั่นตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เพียงแค่ได้เห็นบ้านเกิด ในใจก็รู้สึกราวกับตื่นขึ้นจากฝันร้ายอันยาวนาน โคมไฟแห่งหอชุนหลันฉีไม่เคยมอดดับเช่นเดียวกับความรุ่งเรืองที่จะไม่มีวันจางหาย แสงสว่างอันเรืองรองนี้จุดประกายความหวังของนางให้ลุกโชน ‘ หากเป็นที่นี่.. อย่างไรก็คงสามารถปกป้อง ‘นาง’ จากวังวนดำมืดทั้งปวงได้ ’
‘ลู่อวี้หราน’ เปลี่ยนไปมากจากความทรงจำของคนในครอบครัว
จากสาวงามชดช้อยท่าทางก๋ากั่นมั่นใจ กลายมาเป็นหญิงสาวซูบผอมอ่อนแรงทั้งยังเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายโศกเศร้าประหนึ่งถูหมีป่าที่ชอกช้ำโดยไร้คนสนใจ วินาทีแรกที่ทั้งบ้านได้พบหน้ากันอีกครั้ง แม้แต่น้องชายที่เห็นนางมาแล้วในทุกสถานการณ์ยังไม่อยากที่จะเชื่อว่าคนตรงหน้านี้คือพี่สาวที่หายตัวไปถึงสองปีเต็ม
สองปี .. ระยะเวลาสองปีสามารถทำให้คนเปลี่ยนไปได้มากแค่ไหน เกรงว่าคงจะมีแต่อวี้หรานที่รู้
“ ลูกแม่.. เจ้า ”
ลู่ฟูเหรินกล่าวทั้งน้ำตา ส่วนบิดาก็จดจ้องบนตัวนางด้วยความตกตะลึง ทางด้านน้องชายนั้น นางเห็นเขาลอบกำหมัดพลางเบือนใบหน้าหนี ทุกการกระทำเหล่านี้ล้วนเงียบงันแต่กลับดังที่สุดภายในใจของผู้หวนคืน
“ สองปีมานี้เป็นเพราะลูกไม่เชื่อฟัง ทำให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องลำบาก วันนี้ลูกมีโอกาสกลับมา ยินดีรับโทษฐานที่ทำให้บุพการีเป็นกังวล แต่กระนั้นเห็นแก่ที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน ท่านพ่อท่านแม่โปรดรับการคารวะขอขมาจากลูกด้วย ”
สองเข่าของนางสัมผัสอยู่กับพื้น อวี้หรานคุกเข่าอย่างมั่นคงด้วยร่างกายที่บอบบางราวปุยเมฆ ชั่วขณะที่นางกำลังหมอบกายลง สัมผัสแกร่งจากมือสาก ๆ ของน้องชายก็คว้าเข้าที่ไหล่พร้อมเสียงตบโต๊ะดังปัง
“ เจ้าเห็นคนแซ่ลู่เป็นพวกใจไม้ไส้ระกำหรืออย่างไร !! ลูกสาวข้าหายหน้าไปสองปี ติดต่อไม่ได้ ร่องรอยไม่มี กลับมาอีกทีก็หอบลูกมาพร้อมสภาพเช่นนี้ ลู่อวี้หราน เจ้าเห็นพ่อเป็นคนเลวร้ายถึงขนาดนั้นเชียว? ”
ตลอดมาลู่หลงซานเป็นพ่อค้าที่เด็ดขาด เวลาชีวิตล้วนทุ่มเทไปกับการสร้างรากฐานการค้าและการทำงานเพื่อที่จะให้คนในครอบครัวได้มีชีวิตมั่นคง ทำให้ความผูกพันฉันพ่อลูกไม่นับว่าแน่นแฟ้น ในสายตานาง ท่านพ่อคือชายผู้เดียวที่สามารถแยกงานเป็นงาน ความรู้สึกเป็นความรู้สึก ผิดกับนางที่อุตส่าห์ได้รับการสั่งสอนจากเขา แต่ก็ไม่อาจก้าวตามเส้นทางที่ผู้เป็นบิดากรุยเอาไว้ให้
“ ข้า.. ”
“ ไม่ต้องพูดแล้ว ลุกขึ้น ” ชางหรงกล่าวแทนบิดาที่อยู่ในวัยชราแล้วยังปากหนักพลางเข้ามาประคองหญิงสาวที่งุนงงให้ลุกขึ้น ขณะนั้นอวี้หรานรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก น้องชายที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยยามนี้เติบใหญ่พอจะเป็นที่กำบังให้กับนาง เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็ตัดสินใจเบนสายตากลับไปหมายจะดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคนรอบตัวชัด ๆ สักหน อวี้หรานเห็น.. ปอยผมหลายเส้นของบิดากลายเป็นสีขาวทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงวัย นางเห็นริ้วรอยบนใบหน้าของหญิงสาววัยกลางคน
ที่แท้ไม่ได้มีเพียงนางที่เปลี่ยนไป ,
ที่แท้.. กาลเวลาล้วนโหดร้ายต่อมวลมนุษย์
…
“ ทำแบบนี้จะดีแน่หรือ ”
เด็กชายวัยสิบหนาวกล่าวกับนางในขณะที่กำลังก้มลงเก็บเสื้อผ้า
“ ดี ทำแบบนี้ย่อมดีแน่นอน ”
อวี้หรานตอบกลับพร้อมรอยยิ้มขมขื่น มือข้างหนึ่งขยับตบลงบนฟูกนอนเพื่อเรียกให้น้องชายขยับเข้ามาใกล้ “ เจ้าจะกลายเป็นพี่ชาย มีน้องสาวที่น่ารักหนึ่งคน ดังนั้นต้องเลี้ยงนางให้ดี อ่อนโยนต่อนางให้มาก จะมาทำตัวดื้อรั้นเหมือนตอนอยู่กับข้าไม่ได้ ” กลุ่มผมสีเข้มของชางหรงฟูฟ่องขึ้นด้วยฝีมือของผู้เป็นพี่สาว หากเป็นช่วงเวลาปกติเด็กน้อยของนางจะต้องออกปากบ่นพร้อมยื่นปากล่างออกมาเล็กน้อยชวนให้รู้สึกอย่างบีบเค้นไปเรื่อย ๆ ทว่ายามนี้ เด็กน้อยของนางกลับรู้ความขึ้นมาก แทนที่เขาจะโวยวาย ชางหรงกลับจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง
“ แต่อันที่จริงแล้วข้าควรท่านอาของนาง ”
คำพูดชัดถ้อยชัดคำที่ต้องการจะเป็น ‘ท่านอา’ เมื่อออกมาจากปากของเด็กวัยสิบหนาว นับว่าน่าเอ็นดูเกินกว่าที่นางคาดไว้มาก อวี้หรานหัวเราะเบา ๆ นางใช้นิ้วดันหน้าผากของชางหรงจนตัวเด็กชายโยกไปด้านหลัง “ หากเป็นท่านอา นั่นหมายความว่าเจ้าแก่แล้ว รีบร้อนไปทำไมกัน? ”
“ ไม่ นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าแก่ ”
“ แต่นั่นหมายความว่าข้ามีพี่สาวคนหนึ่ง ”
“ … ”
“ พี่สาวที่ให้กำเนิดนางฟ้าตัวน้อย ”
วาจานี้ของชางหรงทำให้นางชาวาบไปทั้งตัว ใบหน้างามนิ่งค้างด้วยความตกตะลึง ในฐานะพี่น้อง ถึงการกระทำของนางจะฟังดูคล้ายการผลักภาระแต่ถึงอย่างนั้นอวี้หรานก็เลือกที่จะฝากฝังบางสิ่งไว้กับชางหรงเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงรู้ดี.. รู้ดีว่านางจำเป็นต้องจากไปอีกครั้ง และคงไม่มีวันได้กลับมาอีก
“ พี่สาว อย่างน้อย ๆ นางก็สมควรได้รู้ว่ามารดาแท้ ๆ ของตัวเองเป็นใคร ”
“ ชางหรง ยังไม่ทันข้ามวัน เจ้าก็จำที่ข้ากำชับไม่ได้แล้วเหรอ? ”
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น ลู่ชางหรงก็เม้มปาก เด็กชายตัวน้อยกดใบหน้าลงด้วยความจนใจ
“ ทางเดียวที่นางจะปลอดภัย คือการไม่รับรู้ถึงข้า ”
ใครก็ตามที่มีชะตาได้ตั้งครรภ์ หากคลอดสำเร็จ ร้อยทั้งร้อยก็คงไม่มีใครอยากทิ้งลูกไปอย่างไร้ความรับผิดชอบ อวี้หรานไม่ใช่มารดาตัวร้ายที่ตัดใจทิ้งบุตรสาวเพราะเกลียดชัง แต่นางเป็นมารดาที่ยินยอมปล่อยลูกน้อยออกจากอกเพื่อความปลอดภัยของอีกฝ่าย แม้ว่าในใจจะเจ็บปวดราวกับถูกคว้านเนื้อออกไปก็ตาม
ตลอดหนึ่งวันที่นางได้กลับมาใช้ชีวิตเช่น ‘นายหญิงน้อยแห่งหอชุนหลันฉี’ นั้นงดงามราวกับฝัน
ทว่าตอนจบของฝันนี้ นับว่าโหดร้ายอยู่มากทีเดียว
ภายในคืนที่เงียบสะงัด เถ้าแก่ลู่และภรรยาหลับไปนานแล้ว มีก็แต่เหล่าทายาทที่ยังคงลืมตาตื่นสำหรับการร่ำลาครั้งสุดท้าย ตอนนี้อวี้หรานแต่งกายทะมัดทะแมงราวกับพวกเด็กผู้ชายเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทางต่อจากนี้ ผิดจากลู่ชางหรงที่สวมคราบคุณชายน้อยออกมาส่งพี่สาวพร้อมด้วยทารกในอ้อมแขน
“ จะไม่ตั้งนามให้นางจริง ๆ หรือ.. ”
คำถามของเขาทำให้หญิงสาวที่โน้มลงเย้าแหย่ธิดาน้อยนิ่งงัน “ ข้าอยากให้เจ้าเป็นคนตั้ง ” ส่วนคำตอบของนางก็ทำให้เขาหยุดชะงักเช่นกัน อวี้หรานโน้มลงจูบหน้าผากลูกน้อยอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเงยขึ้นจูบหน้าผากน้องชายผู้แสนเก่งกาจของเธอ ทุกการกระทำล้วนปฏิบัติไปอย่างเงียบเชียบ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความห่วงหาอาทรเป็นอย่างยิ่ง
นายหญิงน้อยแห่งหอชุนหลันฉีละทิ้งฐานะที่เกรียงไกร กลับไปสู่การเป็นคนพเนจรที่ต้องร่อนเรไกลนับพันลี้อย่างโดดเดียว ระหว่างที่นางเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนหลังม้า กลับมีเด็กชายพูดขึ้นอย่างลื่นไหลประหนึ่งว่าสถานการณ์นี้เป็นเพียงการจากลาชั่วคราว
“ ไป๋หรั่น ” เขาพูด “ นางจะมีนามว่าไป๋หรั่น ”
อักษรสองตัวที่เมื่อนำมาวางต่อกันแล้วมีความหมายว่า ‘ย้อมขาว’ คือนามของทารกน้อยในอ้อมแขน
“ ท่านกล่าวว่าอีกครึ่งหนึ่งของนางมีสายเลือดของคนที่จิตใจดำมืด อีกทั้งยังกล่าวว่าชะตาชีวิตของนางต่อจากนี้ไปไม่อาจเรียกได้ว่าสงบสุข ถ้าเช่นนั้นข้าจะย้อมเลือดในตัวนางให้กลายเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ปัดเป่าเภทภัยร้ายให้หมดสิ้น ” ลู่ชางหรงในเวลานี้สงบนิ่งเป็นอย่างมาก สองตาหงส์ของเด็กชายฉายประกายความมุ่งมั่นที่หาได้ยาก แต่กระนั้นก็ยังมีการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถหลุดรอดไปจากสายตาของอวี้หรานได้ ชางหรงน้อยของนางกระชับอ้อมแขนที่โอบอุ้มทารกจนเห็นได้ชัดว่าปลายนิ้วของเขาสั่น เช่นเดียวกับหัวใจนางที่กระตุกวูบไปพร้อม ๆ กัน
“ ไป๋หรั่น.. ลู่ไป๋หรั่น.. ย้อมหยกขาว.. ” อวี้หรานพึมพัมกับตัวเองภายใต้ความเงียบงันก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ ชื่อดี เป็นชื่อที่ดีมาก ” โฉมงามระบายยิ้มอ่อนหวานหมายจะส่งให้รอยยิ้มนี้ประทับอยู่ในใจผู้ที่พบเห็นไปอีกช้านาน “ ชางหรง อาชาง.. เด็กน้อยของพี่ อย่ากังวลมากนักเลย ใต้หล้ากว้างใหญ่ ในสักมุมหนึ่ง.. พี่สาวจะคอยเฝ้ามองเจ้าเสมอ จากนี้ไปฝากลูกสาวข้าด้วย ” เช่นเดียวกับสายลมที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เงาร่างของอวี้หรานเลือนหายไปจากสายตา ทิ้งไว้เพียงภาพจำของแผ่นหลังบนม้าตัวใหญ่ที่ดูหนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
ชางหรงเหม่อลอยอยู่แบบนั้นได้ราว ๆ หนึ่งถ้วยชาก็กลับมารู้สึกตัว
เด็กชายก้มหน้าลงมอง ‘หลานสาว’ ที่ต่อจากนี้จะต้องเรียกว่าเป็น ‘น้องสาว’ ด้วยสายตาอ่อนโยนเป็นอย่างมาก “ เสี่ยวหรั่น อย่าเสียใจไปเลย ท่านแม่ของเจ้ารักเจ้ามาก ข้าเองก็เช่นกัน ” พี่ชายหน้าใหม่ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนงาม ก่อนจะก้มลงใช้หน้าผากแนบกับหน้าผากเล็ก ๆ ที่ดูแล้วคงจะมีขนาดเทียบได้กับครึ่งฝ่ามือของเขา
“ ต่อจากนี้ท่านอาจะปกป้องเจ้าเอง ”
“ เสี่ยวหรั่นอย่าได้น้อยใจไปเลยนะ ”
เวลาสิบปีผ่านไปราวกับฝันหนึ่งตื่น ทั่วทั้งลั่วหยางไม่หลงเหลือข่าวคราวความฉงนใจเกี่ยวกับที่มาที่ไปอันแสนลึกลับของ ‘ลู่ไป๋หรั่น’ ผู้เป็นทายาทคนเล็กสุดของครอบครัวคหบดีที่แสนยิ่งใหญ่ประจำลั่วหยางอีกต่อไป ทว่าสิ่งที่มาแทนที่การคาดเดาไปเรื่อยเหล่านั้น กลับเป็นความสนใจที่ชาวเมืองมีให้กับการเจริญเติบโตของ ‘หยกน้อยแห่งชุนหลันฉี’ ที่ฉายแววความเป็นโฉมสะคราญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวัน
“ ชางหรง ๆ น้องสาวเจ้าจะม—- ”
“ หุบปาก ”
เช่นเดียวกันกับกิตติศัพท์ลื่อลั่นถึงความงามน่าถนอมของลู่ไป๋หรั่น
ชื่อเสียงเรื่องความหวงน้องสาวของ ‘ลู่ชางหรง’ ก็ถือเป็นที่ประจักษ์อย่างมากเช่นกัน
“ เสี่ยวหรั่นไม่มา และไม่มีทางมา เจ้าเลิกฝันไปได้เลย ”
“ ท่านว่าใครไม่มา ? ”
เสียงพ่นน้ำชาดังขึ้นพร้อมด้วยความชุ่มชื้นที่กระจายทั่วหน้าสหายของผู้เป็นพี่ชาย ไป๋หรั่นชำเลืองตามองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการอุทานของคุณชายหลวนที่หน้าบูดเบี้ยว ใบหน้าแข็งค้างของชางหรง หรือแม้แต่ท่าทีตกใจของเสี่ยวเอ้อร์ที่นำทางนางมายังโต๊ะนั่งของทั้งสองภายในโรงน้ำชา คนงามน้อยกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ เจ้ามาทำไม ”
“ อาเหนียงให้มารับท่าน คุณหนูสวีมาถึงลั่วหยางแล้ว ”
“ เหอะ.. ใครจะไปอยากเจอผู้หญิงที่เอาแต่รบเร้าให้ข้าส่งจดหมายหานางทุกวันกัน ”
ท่าทางไม่พอใจของลู่ชางหรงช่วยขับส่งองคาพยพหล่อร้ายให้เฉิดฉันขึ้นไปได้อีกหนึ่งระดับ เดิมทีพี่ชายคนนี้ของนางก็งามสง่าราวกับรูปสลักหยก ยามนี้เมื่อได้เห็นเขาใช้ริมฝีปากแดงฉ่ำเหยียดยิ้มหยันต่อหน้าผู้คน นางยังพลันนึกไปถึงคำพูดหนึ่งที่เคยมีคนถึงลู่ชางหรง
เหมือนว่าจะเป็น..
อาศัยใบหน้านี้ ต่อให้จะยิ้มเหยียดหยันใต้หล้าเช่นใด ก็ยังมีคนยินดีแย่งกันจุมพิตเขา
“ คุณชายหลวน หนนี้เป็นพี่ชายข้าทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว ”
คนงามน้อยกล่าวอย่างเกรงใจกับสหายของพี่ชายพร้อมด้วยรอยยิ้มหวานละมุนที่ทำเอาคนมองถึงกับเผลอเคลิ้มตามโดยไม่ทันตั้งตัว แต่แล้วความนุ่มนวลที่ประทับลงในใจของคุณชายหลวนก็พลันต้องหยุดชะงัก เมื่อกลายเป็นว่าเด็กน้อยคนงามหยิบผ้าขึ้นมาซับมุมปากของชางหรงที่ไม่แม้แต่จะเปื้อนหยดน้ำเลยด้วยซ้ำ
“ น้องไป๋หรั่—- เอื๊อก.. ”
คำเรียกสนิทสนมถูกกลืนลงคอแทบทันควันเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงสายตาพิฆาตของคนหวงน้องอันดับหนึ่งแห่งลั่วหยาง
“ ข้าหมายถึง.. คุณหนูลู่ ไม่ใช่ว่าผ้าเช็ดหน้านั่นสมควรที่จะ.. ”
“ เจ้ากล้า ? ”
“ ไม่กล้า ! ข้าก็แค่ ข้า.. โอ๊ย ช่างมันเถอะ เจ้าน่ะรีบไสหัวไปไดัแล้ว ไม่ใช่ว่ามีคุณหนูสวีอะไรนั่นรออยู่หรือไง ไป ๆ ” ในเมื่อสู้ไม่ได้ รีบไล่เสียก็จบ คุณชายหลวนลอบปาดเหงื่ออยูในใจพลางมองตามหลังร่างสหายและน้องสาวของอีกฝ่ายที่พากันเดินประคบประหงมไปอย่างดี ทว่าก่อนที่จะเห็นสองคนนั้นจากไปไกลจนลับสายตา หลวนเฟิ่งเฉียวกลับเห็นน้องสาวสหายหันกลับมาช้า ๆ
ด้วยท่วงท่ากิริยาอ่อนหวานตามฉบับหญิงในห้องหอพร้อมด้วยหนึ่งรอยยิ้มแสนเรียบง่ายที่แม้จะยังไม่คล้ายสาวงามวัยบานสะพรั่งแต่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในความงามที่น่าจับตามอง ประหนึ่งต้นไม้แรกเกิด ยังจำเป็นต้องเฝ้าติดตามผลลัพธ์ในอนาคตว่าจะงดงามได้ถึงเพียงไหน ทว่าปัจจุบันอาศัยแค่วัยเพียงสิบหนาวก็สามารถสรรสร้างสีหน้าที่ดูงามพิลาสล้ำราวกับเทพธิดาได้เสียแล้ว
“ ตาย ตาย.. ลู่ชางหรง คนอย่างเจ้าต้องได้ตามหวงน้องสาวไปอีกทั้งชาติแน่ ”
…
“ ไปยิ้มให้มันทำไม ”
“ ช่วยประสานรอยร้าวระหว่างสหายแทนท่านอย่างไรเล่า ” ดรุณีหยกหัวเราะขบขันอยู่เพียงลำพังในขณะที่พี่ชายร่วมสายเลือดกำลังปลดเชือกผูกม้า “ คุณชายหลวนน่าสงสารยิ่งนัก ท่านพ่นน้ำชาใส่หน้าเขาแล้วยังจากมาอย่างเฉยชาอีก พี่ชาย สหายดี ๆ แบบนี้ข้าเห็นว่าท่านสมควรรักษาเขาไว้ให้นาน ”
“ เพราะน้อยนักที่จะมีใครปล่อยพี่ชายคนดีของข้ามาแบบง่าย ๆ โดยไม่ตะโกนด่าตามหลัง ” ขณะที่พูดไปตัวนางก็ถูกยกลอยขึ้นนั่งบนหลังม้าด้วยฝีมือของพี่ชายคนดีผู้นั้น ตามปกติ ระยะทางจากโรงน้ำชาไปจนถึงหอชุนหลันฉีไม่นับว่าไกล อีกฝ่ายเลยมักจะทำเพียงแค่จูงม้าเดินไปตามถนนสายหลักของเมือง แต่ว่าหนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ร่างสูงสง่าเหวี่ยงตัวขึ้นม้าซ้อนหลังนางไว้พลางขยับมือดึงบังเหียนคล้ายเตรียมพร้อมจะควบม้าไปไกล
“ … ชางหรงเกอ (พี่ชางหรง) ท่านขึ้นมาทำไม ”
“ พาหนี ”
“ อะไรนะ ? ”
“ พี่ชายเจ้าไม่อยากพบหน้าสวีซิน ในฐานะที่อาเหนียงให้เจ้าเป็นผู้มารายงาน ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะใช้เจ้าเป็นตัวประกันหนีการพบปะครั้งนี้เสีย ” ว่าจบชายรูปงามที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายก็กระตุกยิ้มมีเลศนัย “ สวีซินมาครั้งนี้ต้องพาคุณชายสวีอะไรนั่นมาด้วยแน่ ข้าไม่ชอบมัน ไหน ๆ เราสองพี่น้องก็ว่างพอดี เสี่ยวหรั่น พี่ชายจะพาเจ้าไปชมลานบุปผานอกเมือง ”
คนอย่างลู่ชางหรงนะเหรอจะคิดอยากพาน้องสาวไปชมบุปผานอกเมือง?
โอ๊ย พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกล่ะสิไม่ว่า ทำไมฟ้าต้องส่งพี่ชายตัวแสบแบบนี้มาให้นางด้วย !
ไป๋หรั่นในวัยสิบสามปีกำลังเบื่อเป็นอย่างมาก
หลายวันมานี้มีแขกมามายมาเยือนทั้งในฐานะลูกค้า และฐานะผู้ที่หมายจะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลในแบบที่ไม่เหลือหน้า หากทีแรกขอนางไม่ได้ ก็จะเริ่มเอ่ยปากเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามถึงพี่ชาย จนสุดท้ายก็ถูกไล่ออกไปตามระเบียบ ดังนั้นเพื่อที่จะไม่ต้องไปทนเห็นภาพซ้ำ ๆ เดิม ๆ ชางหรงจึงบอกให้นางพักอยู่แต่ในห้อง
สองตาของดรุณีหยกกวาดมองไปรอบกาย เรือนนอนของนางเปลี่ยนไปในทุกปี ใช่ว่าความเปลี่ยนแปลงนี้มาจากความต้องการของนาง แต่รู้ตัวอีกทีทั้งอาเหนียงและอาเตี่ยต่างก็ยัดเหยียดให้นางต้องยอมรับกับ ‘ความเปลี่ยนแปลง’ กะทันหันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน การเปลี่ยนผ่านเหล่านั้นมีมากกระทั่งนางเริ่มที่จะจดจำไม่ได้แล้วว่าเดิมทีตนเองนั้นเริ่มต้นมาจากตรงไหน เช่นเดียวกับห้องนี้ที่เปลี่ยนไปเท่าใด..
โฉมงามยามสงบนิ่งคนก็ว่าโศกเศร้าคือเรื่องที่นางเผชิญอยู่ในทุกวัน ไป๋หรั่นทราบดีว่าในขณะนี้ชื่อเสียงเรียงนามเรื่องความงดงามภายในลั่วหยางนอกจากนางแล้วยังมี ‘เลี่ยงชิงหรู’ ที่ตีขนาบข้างกันมา ต่างก็ตรงที่ว่าคนหนึ่งคือ ‘เทพธิดาจำแลง’ ส่วนอีกคนคือ ‘โฉมสะคราญบงการใจ’
ไป๋หรั่นเคยพบคุณหนูเลี่ยงมาก่อน ความงามของอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในรูปแบบของตัวเองเช่นเดียวกับนางที่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทว่าชาวบ้านขี้สงสัยอย่างไรก็ขี้สงสัยอยู่อย่างนั้น นับวันคำถามไร้สาระอย่างเช่นเจ้าว่าระหว่างเทพธิดาจำแลง ลู่ไป๋หรั่น กับโฉมงามบงการใจ เลี่ยงชิงหรู ใครสวยกว่ากันก็ยิ่งแพร่กระจาย เดิมทีไป๋หรั่นหาได้ชิงชังการเปรียบเทียบ แต่หากใช้การเปรียบเทียบในกรณีที่อาจสร้างความบาดหมางใจให้กับผู้อื่น เช่นนั้นก็คงนับได้ว่าเป็นสิ่งที่นางชิงชังได้อยู่บ้าง
ในขณะที่นางกำลังลำบากใจว่าอาจจะเผลอสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัวเพราะขี้ปากชาวบ้าน บรรดาคนในครอบครัวกลับคิดไปกันว่า สตรีในห้องหออย่างเสี่ยวหรั่นกำลังเศร้าโศกที่ไม่อาจตอบรับเทียบหมั้นจากผู้ใดได้ ร้อนไปจนถึงลู่ชางหรงที่จำต้องปรี่ไปปรึกษาสหายเพื่อหาทางเยียวยาใจให้กับน้องสาวจนได้ข้อสรุปมาหนึ่งหนทาง
เสียงกระแอมดังขึ้นทีสองทีหน้าประตูเรือน “ เสี่ยวหรั่น พี่ชายเข้าไปด้านในได้หรือไม่ ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของเรือน ทว่ากลับมีเสียงบมีเสียงขยับตัวที่ใกล้เข้ามา พร้อมด้วยบานประตูที่ถูกดึงให้เปิดออก ลู่ไป๋หรั่นช้อนตาขึ้นมองผู้มาเยือนด้วยสายตาสงบ พักหลังมานี้นางออกจากจวนน้อยลงทุกที ทั้งยังปฏิบัติตัวด้วยความระมัดระวังจนอีกนิดคงสามารถกล่าวว่าเป็น ‘จันทร์เพ็ญนวลกระจ่าง’ งดงามน่ามอง ทว่าเฉิดฉันเย็นเยียบจนถึงที่สุด
“ กลับมาแล้วหรือ? ” นางถาม “ กลับมาแล้ว ” เขาพยักหน้าตอบ
ลู่ชางหรงที่สมควรจะอยู่เมืองหลวงยามนี้กลับมาปรากฏตัวต่อหน้านาง ตั้งแต่ก่อนช่วงที่ฮั่นอู่ตี้จะขึ้นครองราชย์ หลังการที่ลู่ชางหรงกลายเป็นตัวแทนในการส่งมอบยอดศาสตราชิ้นหนึ่งให้กับจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน นับจากนั้นเขาก็เหมือนจะเป็นพวกชีพจรติดเท้าที่อยู่กับบ้านนาน ๆ ไม่ได้ แต่กลับพบเห็นได้บ่อยยิ่งที่เมืองหลวงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลั่วหยาง หลายปีมานี้แม้ภายนอกของพี่ชายจะดูเปลี่ยนไปไม่มากแต่ไป๋หรั่นกลับทราบดีถึงความผึงผายของอีกฝ่ายที่เพิ่มขึ้นทีละน้อย ท่าทางฐานะ ‘พระสหายขององค์จักรพรรดิ’ จะไม่ใช่สิ่งที่เป็นกันได้ง่าย ๆ ไป๋หรั่นเบี่ยงตัวหลบให้ผู้มาเยือนได้ก้าวเข้ามาภายในเรือนหลังน้อย พร้อมกันนั้นเองที่หางตาของนงคราญก็สังเกตเห็นเงาการเคลื่อนไหวที่ด้านนอกกำลังตั้งท่าราวกับจะแอบฟัง .. เนตรนางหงส์หรี่ลงอย่างพิจารณา ดูท่าครั้งนี้คงมีเรื่องสำคัญให้ต้องหารือกันอีกแล้ว
“ เสี่ยวหรั่น เจ้าอยู่แบบนี้.. หนักใจหรือไม่ ? ”
ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ได้ไม่เท่าไหร่ สีหน้าของคนเป็นพี่ชายก็พลันหนักอึ้ง ดูเอาจากท่าทีที่คอยถามอย่างระมัดระวังไม่สมกับเป็นยอดคุณชายปากตลาดของชางหรงทำเอานางขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ด้านพี่ชายที่คอยเฝ้าสังเกตสังกาสีหน้าคนเป็นน้องสาวเห็นอย่างนั้นก็รีบปัดมือพัลวันแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างระมัดระวัง
“ คือแบบนี้ ..ช่วงนี้พี่ชายได้ยินซีเหยียนพูดถึงสำนักศึกษาที่หนึ่ง ”
ออ.. ปรึกษาคุณชายซ่างกวนมาแล้วเสียด้วย
เห็นอีกฝ่ายกล่าวไปถึง ‘ซ่างกวน ซีเหยียน’ สมุหราชเลขาประจำพระองค์ที่เคยพบกันมา นางก็พลันนึกไปถึงน้องสาวคนเล็กของคุณชายท่านนั้นที่มีชื่อเสียงโดดเด่นทัดเทียบกันมาอย่าง ‘เทพธิดาขับขาน • ซ่างกวนฝูมี่’ นางฟ้าน้อยขวัญใจชาวประชาลั่วหยางที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ปัจจุบันอีกฝ่ายก็.. ยังอยูในลั่วหยางนี่ ?
“ สำนักศึกษาแห่งนี้เป็นสำนักศึกษาสตรี รายชื่อวิชาไม่แย่ ชื่อเสียงก็ค่อนข้างดี ตั้งอยู่ในลั่วหยาง เดินทางได้สะดวกนัก เสี่ยวหรั่น.. เจ้า ลองไปร่ำเรียนที่นั่นดูหน่อยดีหรือไม่? ”
ชั่วอึดใจแห่งความเงียบเสมือนมีกระดิ่งร้องเตือนภัยดังลั่นอยู่ในใจตลอดเวลา เนตรนางหงส์สบมองใบหน้าคมคายครู่หนึ่งก่อนจะหลุบสายตาลงมองผิวน้ำชาสีอ่อนที่ใสจนเห็นก้นถ้วย ดรุณีหยกใช้เวลาครุ่นคิดคำตอบช้า ๆ ไม่เร่งรีบหรือเร่งรัดจนกระทั่งควานหาวิธีการตอบรับที่ตรงใจจึงได้ยอมเปิดปากพูด “ อาจารย์ที่เคยสอนข้าในจวน… ไม่ถูกใจพวกท่านอย่างนั้นหรือ ”
“ ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น ” ชางหรงส่ายหน้าปฏิเสธ พี่ชายคนงามเงียบไปอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะวางท่าทางระมัดระวังที่ดูขัดตาเหล่านั้นลงและกลับมาเป็น ‘พี่ชายรองผู้จริงจัง’ อีกครั้ง “ ท่านอาจารย์สุ่ยที่สอนเจ้านับว่าเป็นผู้มากฝีมือโดยแท้ แต่ที่ผ่านมาเจ้าร่ำเรียนโดยลำพัง ไม่มีเพื่อนคู่คิด ไม่มีคนวัยเดียวกันให้ปรึกษา ถึงแม้ข้าจะพยายามใช้ตนเองเพื่อทดแทน แต่เส้นแบ่งของชายหญิงกว้างใหญ่นัก พี่ชายรู้ว่าหลายครั้งเจ้าก็มีเรื่องลำบากใจที่อยากปรึกษาสตรีด้วยกัน ”
ความจริงใจของเขาซื่อตรงและเรียบง่าย ความรับผิดชอบของการเติบโตเดิมทีก็หนักอึ้งมากพออยู่แล้ว ยิ่งผนวกรวมเข้ากับหน้าที่ของการเป็นพี่ชายหากเขาจะทรุดลงในสักวันนางก็ไม่แปลกใจ ทว่าในยามนี้ สุภาพชนเปี่ยมปัญญา ท่วงท่าองอาจสูงศักดิ์ หว่างคิ้วดุจกระบี่ของเขานอกจากความรู้สึกผิดแล้วกลับไม่มีร่องรอยอื่น แล้วจะให้นางมองข้ามความหวังดีของเขาได้อย่างไร
“ เข้าใจแล้ว ”
“ สำนักศึกษาสตรีที่ท่านว่า ข้าจะไป ”
“ ลู่ชางหรง เจ้ามันคนน่าชังนัก !! ”
เสียงด่าทอดังขึ้นหน้าหอสูงแปดชั้นที่แขวนป้ายไว้ว่า ‘ชุนหลันฉี’ ที่ด้านล่างเป็นคุณชายไม่ทราบนามท่านหนึ่งที่ป่าวประกาศไปทั่วว่าต้องการจะสู่ขอคุณหนูสามของตระกูลลู่ ทว่าในวันนี้เมื่อได้พบหน้าคนในครอบครัวฝ่ายหญิงกลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยโดยไม่แม้แต่จะพิจารณา มิหนำซ้ำ พี่ชายเขี้ยวลากดินของคนงามกลับหิ้วคอเสื้อเขาออกมา ทั้งยังใช้เท้าถีบก้นให้หน้าถลาออกนอกประตูจนล้มคว่ำอยู่หน้าหอ เรียกได้ว่าอับอายจนไม่รู้จะอายยังไง ได้แต่ตะโกนด่าสาดเสียเทเสียใส่เพื่อระบายแค้นไปพลาง ๆ
ส่วนด้านคนที่ถูกด่าก็ก้าวฉับ ๆ กลับขึ้นมาบนห้องรับรองที่ชั้นสอง พลางกวาดสายตามองคนในครอบครัวที่หันมามองเขาเป็นตาเดียว
“ ทำไมพวกท่านมองข้าเช่นนั้น? ”
ลู่หลงซานและลู่ฟูเหรินต่างก็พากันเบนสายตากลับไปสนใจสิ่งอื่น มีเพียงโฉมสะคราญภายใต้ชุดขาวราวม่านเมฆเท่านั้นที่ยังคงเฝ้ามองชายหนุ่ม ‘ ไป๋หรั่น ’ ในวัย 14 ปี คือผู้งามชดช้อยตามอุดมคติความงามของลัทธิเต๋าที่ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์จวงจื่อโดยถ่องแท้ ไม่ว่าจะเป็นโฉมหน้าที่ทำให้แม้กระทั่งมัจฉายังต้องดำดิ่งหนี รอยยิ้มที่ทำให้หมู่ปักษาจำต้องหลีกทางให้ รวมไปถึงเงาร่างอรชรอ่อนช้อยที่ทำให้ฝูงกวางแตกกระเจิง ขอเพียงใช้ความงามนี้ให้เป็น เกรงว่าแม้แต่คนทั้งโลกคงสามารถยอมสยบแด่นางได้
“ ท่านทำอะไรลงไปกันแน่ .. ” ทันทีที่ร่างของผู้เป็นพี่ชายทิ้งกายลงนั่งข้าง ๆ ไป๋หรั่นก็เร่งเอียงกายเข้าไปกระซิบถามด้วยความสนใจ
“ ข้าถีบเขา ”
พรวด !
หนนี้ไม่ใช่ฝีไม้ลายมือการพ่นน้ำชาของลู่ชางหรง แต่กลับเป็นนายท่านใหญ่แห่งหอชุนหลันฉีที่ตะลึงลานกับความใจกล้าของบุตรชาย “ ชางหรง นี่เจ้า .. เจ้า ! ”
“ เจ้านั่นทำมาเป็นพูดว่าสักวันข้าต้องเรียกเขาว่าน้องเขย เหอะ สำคัญตัวมาจากไหนไม่ทราบ หน้าตาอย่างกับงูดินแล้วยังมาทำเป็นกำแหงใส่ ข้าไม่ทุบให้ตายก็นับว่าปราณีมากแล้ว ” เมื่อได้ฟังคำตอบ ผู้เป็นบิดาก็แทบจะลมจับ ผิดกับลูกสาวลูกชายทั้งสองที่คนหนึ่งเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจส่วนอีกคนยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทว่าบรรยากาศด้านนอกกลับร้อนแรงยิ่งนัก เสียงก่นด่าของคุณชายแปลกหน้าผู้นั้นยังคงดังสะนั่นขึ้นมาจนถึงชั้นสามของหอสูงที่พวกเขาใช้เพื่อรับรองแขกสำคัญ แต่ละคำฟังมาก ๆ เข้าก็ชวนให้คิ้วกระตุก
ท้ายที่สุดชายผู้ชำนาญด้านการต่อสู้เช่นชางหรงก็ลุกขึ้นเดินอาด ๆ ไปเปิดหน้าต่างพร้อมกับชะโงกหน้าออกไป
“ เหย ! เจ้าหน้าโง่ ครอบครัวฝ่ายหญิงปฏิเสธเทียบหมั้นแล้วยังมาตะโกนด่ารังควานพี่น้องของนางอีก เจ้านี่จริง ๆ เลย มารยาทไม่มีแล้วยังโง่เง่าไม่เบา ทำแบบนี้คิดว่าน้องสาวข้าจะมอบใจให้กับคนที่ว่าร้ายคนในครอบครัวหรืออย่างไร คนอย่างเจ้าอาศัยแค่ได้ยินคำลืออ้างเกี่ยวกับความงามของน้องสาวข้าก็วิ่งพล่านมาสู่ขอเหมือนหมาที่พ่อแม่ลืมล่ามไว้กับจวน นางชอบสิ่งใด เป็นคนเช่นไร สนใจสิ่งไหน ถามเจ้าไปตอบไม่ได้สักอย่าง แล้วปากมาบอกชอบนางอย่างนั้น ชอบนางอย่างนี้ อวดอ้างบารมีจะให้นางได้สุขสบาย เพ่ย! ต่อให้โลกถล่มฟ้าทลาย ตลอดชาตินี้ต่อให้หรั่นเอ๋อร์ไม่แต่งงาน สกุลลู่ก็ยังสามารถเลี้ยงดูได้ ! กาฝากหน้าโง่แบบเจ้า ไสหัวไป !!!!!! ”
ไป… ไป.. ไป.. ไป….
เสียงตะโกนดุจคำรามของลู่ชางหรงสั่นสะเทือนไปทั่วลั่วหยาง ชั่วขณะหนึ่งราวกับว่าโลกทั้งใบหยุดเคลื่อนและพร้อมใจกับเงียบงันเป็นเป็นตอบรับโอวาทของคุณชายรองแห่งหอชุนหลันฉีที่โผล่หน้ามาจากหน้าต่างห้องรับรองชั้นสอง ไม่ว่าผู้ใดที่ได้ฟัง ต่อให้คิดอยากจะด่ากลับว่า ‘ เจ้าสิที่หน้าโง่ ’ ก็คงไม่สามารถทำได้ เพราะผู้ที่กล้าประกาศกร้าวด้วยวาจาสะนั่นฟ้าสะเทือนดินนี้เป็นถึงชายรูปงามอันดับต้น ๆ แห่งลั่วหยางที่หญิงสาวถึงกับขนานนามให้เขาว่า ‘ยาพิษ’ เบื้องหน้าสตรีอาศัยแค่ภาพลักษณ์และหน้าตาเรียบนิ่งของเขาก็เพียงพอที่จะดึงดูดคนให้เข้าหา ต่อมาเมื่อได้อยู่ใกล้ก็พลันรับรู้ถึงกลิ่นหอมหวานซึ่งมาจากมารยาทและการถนอมสตรีอย่างพอดี ก่อนจะจบลงด้วยการที่สตรีเหล่านั้นยินยอมดื่มยาพิษนี้โดยหวังว่าจะมีสักครั้งที่พวกนางวางเดิมพันได้ถูกต้องและเป็นฝ่ายคว้าหัวใจของเขามา
ทว่าในความเป็นจริงแล้วลู่ชางหรงไม่ใช่ยาพิษ เขาคือดอกสุ่ยเซียนงอกงามกลางทะเลทรายที่มีแต่กระบองเพชร มีแต่ผู้ที่เติบโตมาอย่างผ่าเหล่าผ่ากอเท่านั้นถึงจะเข้าใจความยากลำบากของการสร้างเนื้อสร้างตัวในแต่ละขั้นว่าต้องผ่านอะไร เผชิญหน้าสิ่งไหน จึงไม่แปลกหากความเชื่อมั่นใน ‘รัก’ จะต่ำเตี้ยเสียจนแทบไม่มี
การได้เห็นชายรูปงามยื่นหน้าออกมาตะโกนด่าสร้างความสะเทือนขวัญให้แก่คุณชายท่านนั้นเป็นอย่างมาก คล้อยหลังเมื่อบานหน้าต่างปิดลง ไร้ซึ่งเงาร่างของยาพิษแห่งลั่วหยาง คุณชายคนนั้นก็ทรุดกายลงอย่างเหม่อลอยพร้อมเสียงดังเซ็งแซ่ที่กระจายตัวกันอย่างว่องไว ‘ เมื่อวันก่อนก็พึ่งไล่ไปคน วันนี้ไล่ไปอีกคน โอ๊ย คุณชายรอง ฝีไม้ลายมือของการไล่ว่าที่น้องเขยของท่านดังกระฉ่อนไปทั่วลั่วหยางแถมยังมีทีท่าจะขจรไปไกลถึงยันนอกเมืองแล้ว ! ’
แน่นอนว่าภายนอกคึกคักเพียงไหน มีหรือคนในจะไม่รู้ ลู่ชางหรงทิ้งคราบผู้คว้าชัยจากสงครามน้ำลายกลายมาเป็นสุภาพชนที่แสร้งทำเป็นกระแอ่มพลางยกมือขึ้นแตะลำคอช้า ๆ
“ ใช้เสียงมากไป ลำบากจริง ๆ ท่านพ่อ ช่วงนี้งดรับแขกสักสองสามวันเถิด ข้าไล่ไม่ไหวแล้ว ”
“ สุภาพชนรู้หลักคุณธรรม(จือเหริน) ลู่จือเหริน เจ้าคิดว่าข้าตั้งนามรองไปส่ง ๆ อย่างนั้นเรอะ !! ”ลู่หลงซานโกรธจนหน้ามืด นิ้วกร้านที่ชี้มาทางบุตรชายสั่นแล้วสั่นอีก ยังดีที่มีฟูเหรินคอยช่วยประคอง ไม่อย่างนั้นระหว่างพ่อลูกคงได้มีการเปิดประลองขึ้นสักที
“ ท่านกล้าพูดเรื่องคุณธรรมกับข้า แต่ไม่กล้าพูดกับเขา? เตี่ย ไม่ใช่ว่าท่านเป็นผู้ที่ให้ข้าคอยคัดคัมภีร์เต๋าอยู่ตลอดหรอกหรือ หลักคุณธรรมข้าย่อมทราบ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าท่องให้ท่านฟัง ท่านจะได้วางใจ มา ๆ ท่านนั่งก่อน ”
“ ลู่จือเหริน ! เจ้า เจ้า ..!! ” เพื่อที่จะให้สามีได้สงบใจ หลี่ซือลูบแผ่นหลังของสามีพลางส่งสัญญาณให้เด็ก ๆ ออกจากห้องไปก่อน ด้านลูกที่แสนประเสริฐเห็นมารดาออกหน้าจัดการให้ก็พากันสับเท้าออกจากห้องไปอย่างไว ทิ้งให้สองผู้ปกครองได้ใช้เวลาปลอบใจที่มีลูก ‘แสบสัน’ เกินไปสักหน่อย..
“ เป็นอย่างไร เจ้าว่าพี่ชายทำดีหรือไม่ ”
หลังจากประตูปิดลง ลู่ชางหรงหันมาถามหน้าด้วยสีหน้ากรุ่มกริ่มที่สตรีทั่วทั้งลั่วหยางหมายตาอยากจะได้รับสักครั้งในชีวิต ทว่าผู้ที่ได้พบเห็นแง่มุมนี้ของเขาอย่างใกล้ชิดกลับมีเพียงแค่นางผู้เป็นน้องสาวเท่านั้น ยังไม่รวมกับคำถามพิลึกพิลั่นที่หากใครมาเห็นคงอดไม่ได้ที่จะโพล่งถามว่านึกอย่างไรเอาคำถามที่ดูร้ายกาจนี้มาใช้กับน้องสาวที่เปรียบได้ดั่งผ้าขาว
แต่ใครมันจะไปนึกกัน ว่าคำตอบที่ออกจากปากเสี่ยวไป๋หรั่นผู้แสนใจดีคนนั้นกลับเป็นคำว่า
“ พูดได้ดี ”
…
ปิ่นหยกงามตา โฉมสะคราญงามเมือง
ใบหน้าราวจันทร์ฉายหลบซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าขาวโปร่งบาง
ลู่ไป๋หรั่นในวัยสิบห้าปีเติบใหญ่ท่ามกลางการบ่มเพาะที่เลิศล้ำ ด้านกิริยามารยาทล้วนมีไม่ขาดตก ด้านกิตติศัพท์ทางหน้าตาก็ถือว่าไม่มีตก ความงามของไป๋หรั่นเปรียบได้ดั่งต้นไม้ที่ค่อย ๆ โตขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีท่าทีจะหยุดยั้งโดยง่าย ปัจจุบันนางมีสหายอยู่ไม่กี่คน เรียกให้ถูกก็สมควรเป็นคำว่าจำนวนเทียบเท่าหยิบมือ
เทพธิดาขับขาน ซ่างกวนฝูมี่
พหูสูตรน้อย เว่ยเจียเหลียนฮวา
โฉมสะคราญบงการใจ เลี่ยงชิงหรู
แต่ละนามที่พูดมานับได้ว่ามาแทนพี่ชายที่หนีหน้าไปไกล
“ ที่ตอนนั้นคะยั้นคะยอให้เข้าสำนักศึกษาเพราะตัวเองจะหายหน้านี่เอง.. ”
“ หืม เมื่อครู่น้องไป๋หรั่นได้กล่าวอันใดหรือไม่? ”
เสียงทุ้มไม่คุ้นหูกับใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย ยามนี้ไม่มีลู่ชางหรงคอยเป็นก้างชิ้นใหญ่ขวางทางเหล่าคุณชายน้อยใหญ่ อีกทั้งลู่ไป๋หรั่นก็อยู่ในวัยที่เหมาะสมกับการแต่งงาน จึงไม่แปลกที่แทบทุกอาทิตย์จะมีคนแปลกหน้าแวะเวียนกันมาเชื้อเชิญให้นางไปเที่ยวชมเมืองด้วยกันกับพวกเขา หากจะถามว่าทำไมต้องการเป็นเที่ยวชมเมือง? ก็ต้องย้อนไปหลังจากการประกาศกร้าวที่แสนขึงขังของลู่ชางหรงที่ต่อมาอีกฝ่ายร่ายเงื่อนไขยาวเหยียดในการจะสมัครมาเป็นลูกเขยหอชุนหลันฉี เท่าที่นางจำได้คร่าว ๆ เหมือนว่าจะมี.. พาเสี่ยวหรั่นเที่ยวชมเมือง อะไรนี่อยู่ด้วย ดรุณีหยกคิดได้ไม่เท่าไหร่ก็ลอบยิ้มใต้ผ้าแพรขาว “ อ่า.. ข้ากล่าวว่าดอกยวี่จินเซียงบานหนนี้งดงามนัก ปกติแล้วชางหรงเกอชอบสตรีที่ทัดดอกยวี่จินเซียงไว้บนมวยผม คุณชายจ้าว ข้ารบกวนท่านช่วยเด็ดยวี่จินเซียงสักดอกได้หรือไม่เจ้าคะ? ”
“ แต่ตอนนี้ใต้เท้าลู่… ”
คำที่ตั้งใจจะบอกว่าพี่ชายคนดีของสาวงามไม่อยู่จำต้องเก็บกลืนลงคอ เมื่อสองตานางหงส์พรมพร่างลงบนร่างเขา
“ เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเด็ดมาให้ น้องไป๋หรั่นรอสักประเดี๋ยว ข้าจะเลือกดอกที่งามที่สุดอย่างแน่นอน ” คุณชายจ้าวราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ในใจ เห็นน้องนางอยากได้ของประดับสวย ๆ งาม ๆ ต่อให้ต้องใช้แรงเฟ้นหาก็พร้อมทุ่ม โดยหารู้ไม่ว่าคล้อยหลังยามที่มัวแต่ก้มหน้าดูดอกไม้ หญิงงามที่ตนหมายปองกลับผินกายเดินจากไปอย่างเงียบงัน
“ คุณหนูสาม แล้วคุณชายจ้าว.. ”
“ ให้เขาอยู่ที่นั่นไปอีกสักพักเถิด ” ยามเมื่อเทพธิดาจำแลงแผลงศรปักใจคนก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ถ้าเช่นนั้นยามที่หักศรนั้นทิ้งก็อย่าได้มีใครที่สังเกตเห็นถึงรอยแผลเหล่านั้นเลย ไป๋หรั่นหลุบตาลงมองสองมืออ่อนนุ่มที่ขึ้นระเรือสีแดง “ ไห่อิง ร่ม ”
ร่มกระดาษสีแดงเรียบไร้ลวดลายถูกส่งจนถึงมือ “ กลับไปบอกอาเหนียงว่าคุณชายจ้าวยังไม่ใช่คนที่เราตามหา แล้วก็.. เจ้าช่วยไปวานผู้ดูแลสวนหลังจากนี้อีกสักครึ่งเค่อให้แจ้งคุณชายจ้าวว่าข้ากลับจวนแล้ว ” ไป๋หรั่นกางร่มออกก่อนจะผินหน้ากลับไปมองสาวใช้ที่ค่อมศีรษะรับคำอย่างรู้งาน
“ ข้าจะไปแถวกำแพงเมือง หากไม่กลับถึงจวนภายในหนึ่งชั่วยาม ก็ให้ทำตามที่เห็นสมควร ”
“ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจะจัดการตามที่ท่านสั่ง ”
ไป๋หรั่นพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะก้าวเดินออกไป เดินออกไปตามเส้นทางสายหลักของเมืองที่ผู้คนคับคั่ง ทว่าคนที่โดดเด่นในอาภรณ์ขาวและร่มสีแดงชาดกลับมีแค่เพียงผู้เดียว
เสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับเคียงมากับเสียงล้อบดถนนดิน เจี้ยนหยวนศก ปีที่ 10 ลู่ไป๋หรั่นอายุได้สิบเจ็ดหนาว นับว่าเป็นสตรีที่ใกล้จะเลยวัยแต่งงานอย่างเห็นได้ชัด ทีแรกอาเตี่ยอาเหนียงต่างก็เป็นกังวล ส่วนลู่ชางหรงที่ย้ายถิ่นฐานไปอาศัยที่เมืองหลวงก็คล้ายว่าจะสบายใจกับการที่ได้เห็นน้องสาวอยู่เฝ้าเรือนเพียงลำพังจึงนิยมส่งจดหมายตอบโต้กันเป็นระยะเวลาอาทิตย์ต่ออาทิตย์ เว้นก็แต่ของอาทิตย์นี้ที่มีความพิเศษอยู่ไม่น้อย
ไป๋หรั่นคำนวนเวลามาเป็นอย่างดี ช่วงเช้าของวันนี้จะเป็นวันที่ลู่ชางหรงได้รับจดหมายที่ด้านในมีเนื้อความสะเทือนโลกสะเทือนดิน ส่วนบ่ายของวันนี้จะเป็นช่วงเวลาที่นางได้มาเยือน ‘ฉางอัน’ ครั้งแรกในรอบสิบปี
“ คุณหนู ด้านหน้าเป็นประตูเมืองแล้วเจ้าค่ะ ! ”
เจ้าของเสียงสดใสพร้อมสีหน้าตื่นตาตื่นใจนั้นคือ ‘ไห่อิง’ สาวรับใช้ที่อยู่กับนางมาตั้งแต่สองปีก่อนยามนี้กลายมาเป็นสาวใช้ส่วนตัวที่ถูกเลือกให้ติดตามมายังฉางอัน ไป๋หรั่นชื่นชอบในความว่าง่ายรู้ความไม่พูดเยอะ ไม่กระโตกกระตากของอีกฝ่าย แต่หากจะต้องไปใช้ชีวิตภายใต้รั้วแดงอันยิ่งใหญ่ เกรงว่าทั้งนางและไห่อิงคงจะต้อง ‘ร่ำเรียน’ กันอีกมาก
“ หนึ่งปีมานี้คุณชายรองไม่กลับลั่วหยางเลย คุณหนูท่านกล่าวว่าคำนวนระยะเวลาส่งจดหมายเป็นอย่างดี ถ้าเช่นนั้นวันนี้เขาจะมารับท่านหรือไม่เจ้าคะ ? ”
“ มาสิ ต้องมาแน่ ” นางยกยิ้ม “ คนอย่างเขา.. เห็นจดหมายนั้นแล้วไม่มีทางนั่งติดที่อย่างแน่นอน ”
…
ครึ่งเค่อต่อมาก็เป็นดังเช่นที่นางว่าไว้
รถม้าตระกูลลู่มีผู้กระทำอุกอาจบุกรุกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวทำเอาสาวใช้น้อยหวีดร้องเสียงหลง ทว่าผู้บุกรุกนี้กลับมาพร้อมเสียงคำรามลั่น “ ลู่ไป๋หรั่น !!!! ” ร่างสูงเพรียวของชายใบหน้าคมคายผู้หนึ่งแทรกเข้ามาภายในตัวรถม้าอย่างว่องไว สังเกตเอาจากเสียงหอบหายใจและหยาดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามกรอบหน้า ดูท่าคงจะ ‘นั่งไม่ติด’ อย่างที่นางคิดไว้จริง ๆ
“ ชางหรงเ—- ”
“ จดหมายนี่มันอะไร ” กระดาษแผ่นหนึ่งร่วงลงบนตักนาง แน่นอนว่านั่นคือจดหมายที่นางเป็นฝ่ายเขียนตอบเขาในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื้อความด้านในประกอบไปด้วยความเป็นไปในแต่ละวัน ก่อนจะจบท้ายด้วยการบอกกล่าวเรื่องสำคัญอีกหนึ่งประโยค
‘ อาเตี่ยอาเหนียงจะส่งข้าเข้าวังในการคัดเลือกพระสนมในรอบที่กำลังจะมาถึง ยามที่ท่านมีจดหมายฉบับนี้ในมือ คงเป็นวันที่ข้าถึงประตูเมืองฉางอันแล้ว หากไม่มีเรื่องใดผิดพลาดไว้ข้าค่อยไปเยี่ยมท่านจวน ’
“ เข้าวัง? ใครให้เจ้าเข้า ข้าไม่ให้ หันรถกลับเดี๋ยวนี้ ! ”
“ ขับต่อไป ”
“ ไป๋หรั่น นี่เจ้า ! ”
ลู่ชางหรงแทบจะคำรามอยู่รอมร่อ ผิดกับดรุณีหยกที่ผ่อนลมหายใจออกจากริมฝีปาก พร้อมกับพูดสามคำ
“ โองการฟ้า ”
ทันใดนั้นราวกับมีฟ้าผ่าลงตรงกลางใจ
ลู่ชางหรงเบิกตากว้าง ชายงามผู้นั้นนิ่งงันราวหยกสลัก เขารู้ดีว่าอะไรคือโองการฟ้า สำหรับไป๋หรั่นมันคือคำทำนายของพระอาจารย์ประจำตัวที่ช่วยชี้เส้นทางมาให้นางนับแต่ยังเด็ก แต่สำหรับลู่ชางหรงมันคือจดหมายจากมือของ ‘ลู่อวี้หราน’ ที่มาในทุก ๆ ครึ่งปี
“ จมโคลมตมไปคนเดียวก็พอแล้ว ทำไมต้องลากนางลงไปกับเจ้าด้วย ! ” ชางหรงเงยหน้าขึ้นฟ้าและก่นด่าเสียงเบา เด็กน้อยอมมืออย่างเขามีหรือจะคาดเดาความต้องการของอวี้หรานที่ได้ชื่อว่าลึกล้ำมาตั้งแต่ยังเยาว์ ที่ผ่านมาเขาทราบตื้นลึกหนาบางของเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้รู้ตัวคนที่ชัดเจน “ บ้าจริง.. คิดอะไรอยู่กันแน่ ”
ทั้ง ๆ ที่สมควรจะหวาดกลัว ‘อำนาจ’ แต่กลับส่งบุตรสาวไปหา ‘อำนาจ’ ไม่เข้าใจเลยสักนิด..
“ พี่ชาย เรื่องนี้เปลี่ยนไม่ได้ ” น้ำเสียงเรียบละมุนของไป๋หรั่นเป็นราวกับน้ำหยดหนึ่งที่หยดลงบนถ่านกรุ่นร้อน นางวางมือลงบนไหล่เขา บีบบ่าแกร่งนั้นเบา ๆ “ โองการฟ้าเขียนมาเพียงสองคำว่า เข้าวัง แต่ไม่ได้ระบุให้ข้าต้องถวายตัวหรือถวายหัวให้กับใคร ชางหรงเกอ ท่านวางใจ ”
“ น้องสาวท่านเป็นคนฉลาด ”
“ อย่างน้อยก็คงไม่ตายอนาถจนเกินไป ”
รางวัล: เงินติดตัวจากพ่อแม่ 50 ตำลึงทอง , 3000 อีแปะ ,
ห่อสัมภาระ 1 ห่อ , กระเป๋าเดินทาง 1 ใบ , +30 EXP