ป้อมฉีเหลียง

[คัดลอกลิงก์]

ป้อมฉีเหลียง

祁連堡

ป้อมฉีเหลียง
หลังชัยชนะอันเด็ดขาดของ ขุนพลฮั่วชวี่ปิ้ง เหนือเหล่าปีศาจมังกรดำในสมรภูมิฉีเหลียนซาน ป้อมปราการที่ถูกทิ้งร้างแห่งนี้ก็ได้ถูกชุบชีวิตขึ้นใหม่.. ตัวป้อมถูกสร้างขึ้นจากหินแกรนิตสีดำและดินแดงที่อัดแน่น แต่ละก้อนหินบอกเล่าเรื่องราวของบาดแผลจากสงคราม และกำแพงสูงตระหง่านก็กลายเป็นพยานแห่งความกล้าหาญในการสู้รบที่ยากจะลืมเลือน

ด้วยจำนวนทหารเพียง 800 นาย แต่สามารถเอาชนะข้าศึกที่มีถึง 3,000 ตนได้สำเร็จ
ป้อมปราการแห่งนี้จึงไม่ใช่แค่ที่มั่นทางยุทธศาสตร์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้

จากนั้น ป้อมปราการฉีเหลียนซานก็ได้กลายเป็นด่านหน้าสำคัญในการเปิดเส้นทางสู่ชิงไห่ และเป็นศูนย์กลางการพักเสบียงที่ช่วยหล่อเลี้ยงขวัญและกำลังใจของกองทัพ เปรียบดั่งหัวใจที่เต้นรัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจครั้งใหม่ ป้อมแห่งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงซากปรักหักพังของสงคราม แต่เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางแห่งการพิชิตที่กำลังจะมาถึง

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 6550 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-17 15:51
โพสต์ 2025-8-17 15:52:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด

จุดแลกรางวัล


ป้ายผลงานรบ
ป้ายผลงานรบ คือแผ่นโลหะสลักที่บรรจุเรื่องราวแห่งความกล้าหาญและความสำเร็จของทหารชั้นผู้น้อยในการรบแต่ละครั้ง มันมิใช่แค่เพียงของที่ระลึก หากแต่เป็นตราสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศที่ได้รับการรับรองจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง ในแต่ละครั้งที่ทหารแสดงความสามารถในสนามรบได้อย่างโดดเด่น แม่ทัพจะบันทึกผลงานของพวกเขาอย่างละเอียด แล้วส่งรายงานไปยังราชสำนักเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันถึงความภักดีและความสามารถ ป้ายนี้จึงเปรียบเสมือนใบเบิกทางที่เปิดประตูสู่อนาคตที่สดใส มอบโอกาสในการ เลื่อนยศและเลื่อนตำแหน่ง ให้สูงขึ้นกว่าทหารทั่วไป และยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงความกล้าหาญและความเสียสละที่พวกเขาได้มอบให้แก่ชาติบ้านเมือง ผู้ที่ครอบครองป้ายผลงานรบจะได้รับความเคารพนับถือจากเพื่อนร่วมรบและผู้คนในราชอาณาจักร และป้ายนี้ยังเป็นสิ่งย้ำเตือนถึงความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับเกียรติยศที่ได้รับมา
สามารถแลกได้สองแบบ ดังนี้
ใช้ 5 ผลงาน แลกเป็น 1 ป้ายผลงานรบ

ป้ายผลงาน
ป้ายคุณูปการทั่วไปที่จะให้ทหารนำมาแลกรางวัลในการศึก
แลกเปลี่ยน 1 ผลงาน = 100 ป้ายผลงาน

หงอนคู่ราชันย์
หงอนคู่ราชันย์ที่สั่งทำมาอย่างหรูหราและใช้ขนนกหายากไม่มีใครทราบว่าขนอะไร แต่ร่ำลือกันว่าเป็นหงส์เฟิ่งหวง หงอนที่เล่าขานเป็นตำนานว่าผู้สวมใส่หงอนนี้จะทำให้คนผู้นั้นมีพละกำลังแข็งแกร่งดุจพยัคฆ์ ล้มราชสีห์ พยัคฆ์ได้ด้วยมือเปล่า เหตุที่สวมใส่เพื่อสร้างความน่าเกรงขามแก่ผู้พบเห็น
ใช้ป้ายผลงาน: 100 ป้ายผลงาน
(ระดับ Level 100 | คุณภาพทอง)

ยุทธปัจจัยอาหาร
ยุทธปัจจัยอาหาร ข้าวเปลือก ต่าง ๆ ที่ทางราชสำนักจัดเตรียมให้ทหารที่สนใจเลี้ยงปากท้องตัวเองและครอบครัว
ประกอบด้วย: ข้าวสาลี 200, ข้าวเปลือก 200, เนื้อกวาง 200, เนื้อสัตว์ 200, ซี่โครงเป็ด 100, ซี่โครงไก่ 100, 
เนื้อเป็ดอูยา 200 (เลือกใบชา 1 ชนิด) 200 ใบชา
(สามารถฝากไว้กับกองทัพได้มาเบิกทีหลัง)
ใช้ป้ายผลงาน: 20 ป้ายผลงาน

แหวนดาราจรัส (ขอนิ้วอื่นได้ แต่ต้องเป็นนิ้วมือเท่านั้น)
แหวนดาราจรัส มีความเจิดจรัสด้วยเพชรกะรัตน้ำงาม คัดสรรจากแหล่งเจียระไนที่ดีที่สุด และประณีตที่สุด เล่ากันว่าเป็นแหวนวงพิเศษที่หลู่ปังสร้างขึ้นจากการใช้หินอุกกาบาตที่ตกจากฟากฟ้าในการสร้าง หลู่ปังสร้างขึ้นมาจำนวนหนึ่งให้ศิษย์ในสำนักของเขา เล่ากันว่าแหวนดาราจรัสมีความพิเศษในการเก็บสิ่งของเข้าห้วงมิติเฉพาะที่มีพื้นที่ด้านในแหวนคล้ายทรงลูกบาศก์ แต่ไม่สามารถเก็บสิ่งมีชีวิตเข้าไปได้ เก็บได้เพียงวัตถุที่ไร้จิตวิญญาณเท่านั้น [สามารถใช้ กล่องขยายลูกบาศก์ ในการขยายพื้นที่ห้วงมิติในแหวนได้]
ใช้ป้ายผลงาน: 150 ป้ายผลงาน
(ระดับ Level 30 | พื้นที่เก็บของ)

เสื้อเกราะหอคอยหิมะ
<font color="#c44003"><i><b>'ส่องสว่างดังแสงจันทรา ขาวพิสุทธิ์ดั่งหิมะบนยอดผา พิสูจน์ตนเป็นเรื่องของคนโง่เขลา สัจธรรมในโลกหล้าคือตำราชีวิตหน้าเดียว'</b></i></font> เสื้อเกราะอ่อนถักทอจากไหมฟ้ากรุยด้วยจนจิ้งจอกหิมะให้ความอบอุ่นในสภาพอากาศที่รุนแรง ความลงตัวของไหมหยกน้ำแข็งสีนิลเดินลวดลายทองคำ ประดับส่วนปกด้วยผ้าเกล็ดโมราสีบุษราคัมส่งเสริมให้ผู้สวมยิ่งรุ่มรวยสง่างาม ชุดเกราะนี้ถูกสั่งทำขึ้นพิเศษโดยหออาภรณ์สวรรรค์หลังการก่อตั้งของหอคอยหิมะด้วยความร่วมมือของหลิวซีเยี่ยน และตระกูลเซวียนหยวนแห่งสำนักถังเหมิน หอคอยหิมะนั้นเป็นองค์กรลึกลับที่มีคนได้ยินเพียงชื่อไม่มีใครทราบที่ตั้งอันแน่ชัด บ้างก็ว่าพวกเขาซ่อนตัวในแถบโยวโจวท่ามกลางแนวขุนเขา หรือตำแหน่งฐานที่มั่นคือนอกด่านเขตเขาหิมะ สิ่งเดียวที่ผู้คนทราบ นั่นคือพวกเขาทำการค้าโดยสืบเสาะข่าวสารและข้อมูลนำมาขายเป็นสินค้าเก็งกำไร คนของหอคอยหิมะทำงานร่วมกับพรรคกระยาจก มีสายข่าวอยู่ทั่วดินแดน ว่ากันว่าแม้แต่เรื่องที่บุตรของภรรยาข้างหมอนแท้จริงแล้วเป้นลูกของคนผู้นั้นหรือไม่ คนของหอคอยหิมะยังสามารถระบุได้
ใช้ป้ายผลงาน: 100 ป้ายผลงาน
(ระดับ Level 120 | คุณสมบัติทอง)

ผ้าคลุมหยกขจี
<font color="#115f38"><i><b>'ห่างบ้านไกลนับพันลี้ใจหวนคะนึงหา สุราต่างเมืองรึหวานเท่าแดนเกิด ผ่านสิบปีผู้คนเย้ยหยันข้าที่ไม่รู้จักปล่อยวาง ไร้ธงรวมแคว้นใจยังคงยึดมั่นมิคลาย’</i></b></font> เสื้อคลุมสีเขียวอ่อนถกจากไหมชิงฟาง ผ้าไหมหอมโบราณที่ร้อยแมลงไม่กล้ำกราย มีความทนทานต่อของมีคมด้วยใช้กรรมวิธีเสริมใยเหล็กระหวางปักลวดลาย ตัวปกเสื้อกรุยฉลุด้วยด้ายทองให้ความหรูหราและเพิ่มบารมีของผู้สวมใส่ บนอกเสื้อประดับอัญมณีตาแมวหายากทำให้เกิดเอกลักษณ์ทุกตัวเป็นหนึ่งไม่มีสอง ถูกสร้างขึ้นโดยช่างทอหลวงในวังฉู่เพื่อประทานให้แก่ขุนนางภักดีประจำแว่นแคว้น ผู้ที่สวมผ้าคลุมพระราชทานจะกลายเป็นบุคคลผู้เคารพรักและได้รับการนับหน้าถือตาจากราษฎร หากไปสถานกิจการหรืออยู่ในสถานที่ใดเหล่าชาวบ้านต่างบริการด้วยใจและปฎิเสธที่จะรับเงินทองจากขุนนางผู้สร้างคุณแก่บ้านเมือง ว่ากันว่าเหล่าผู้ที่รับราชการต่อฉู่หวางต่างก็ปรารถนาว่าครั้งหนึ่งตนจะได้สวมผ้าคลุมนี้เพื่อเป็นเกียรติศักดิ์ศรีแก่ครอบครัว ทว่าคนต้องการนั้นมีมากขณะที่ผ้าคลุมนี้ต้องผ่านกระบวนการพิเศษในรอบสิบปีสร้างได้เพียงตัวเดียวเท่านั้นจึงเกิดการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นระหว่างหมู่ขุนนาง
ใช้ป้ายผลงาน: 60 ป้ายผลงาน
(ระดับ Level 60 | คุณสมบัติม่วง)

ทวนจี๋คชสาร
จัดเป็นอาวุธยาวประเภททวนหรือหอกชนิดหนึ่ง เรียกว่า จี๋ มีลักษณะปลายยาวแหลม ด้านข้างตีโลหะเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวคล้ายง้าวเอาไว้ จึงใช้ทั้งแทงทั้งฟันได้ ตัวทวนนี้ออกแบบมามีน้ำหนักมากกว่าคนทั่วไป ประดับพู่ม่วงไว้ปลายทวนที่บ่งบอกถึงเกรดหายากในแผ่นดิน จวี้ซินได้ออกแบบมันมาใช้สำหรับจับถนัดมือเขาเพียงคนเดียว
ใช้ป้ายผลงาน: 50 ป้ายผลงาน
(ระดับ Level 50 | คุณภาพม่วง)

ทวนอสนีบาต
ทวนอสนีบาต เป็นทวนระดับสูงสุดที่อัพเกรดมาจากทวนยาว ถูกหลอมจากทองสัมฤทธิ์ (โลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก) และผ่านกรรมวิธีการอัพเกรดด้วยการเทผงสายทองลงในเตาหลอมระหว่างการโละและหลอมขึ้นใหม่ ก่อนนำไปแช่ไฟเป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 49 วัน ปลายทวนมีสองแฉกทำให้ใช้ฟาดซ้ายขวาได้เป็นอย่างดี แต่ก็ต้องแลกมากับการฝึกจนชำนาญจึงจะใช้ได้คล่อง
ใช้ป้ายผลงาน: 80 ป้ายผลงาน
(ระดับ Level 80 | คุณภาพทอง)

ง้าวกรีดนภา
ฟางเทียนฮว่าจี่ หรือ ทวนเสี้ยวพระจันทร์ หรือ ทวนกรีดนภา เป็นอาวุธทวนยาวที่ผสมผสานระหว่างอาวุธสองประเภท 'เกอ' และ 'จี่' เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ตัวด้ามพันขดมังกรจรดหาง ศาสตราวุธความยาว 3.6 เมตร ใช้เรี่ยวแรงมหาศาลในการตวัดให้อานุภาพทำลายล้างสูง ผู้ใช้ทวนนี้จำต้องมีความชำนาญอย่างยิ่งจึงจะสามารถสำแดงพลังออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทวนจันทร์เสี้ยวเป็นศาสตราวุธคู่ใจหลี่ปู้ โดยปลายแหลมของทวนสามารถใช้แทง ด้านข้างมีคมรูปคล้ายเสี้ยวพระจันทร์ใช้สำหรับฟาดฟัน
ใช้ป้ายผลงาน: 300 ป้ายผลงาน
(ระดับ Level 100 | คุณภาพแดง)

เตาพลังวิญญาณ (กลาง)
(เตาคุณสมบัติม่วง)
เตาพลังวิญญาณระดับกลางนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือธรรมดา แต่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกแห่งความจริงกับขุมพลังงานลี้ลับที่ซ่อนอยู่ในจักรวาล ตัวเตาสร้างจากหินแร่ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกดูดซับพลังงานปราณบริสุทธิ์นับพันปี ผิวหินมีลวดลายปราณที่ส่องประกายเรืองรองเป็นระยะ บ่งบอกถึงระดับพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ภายใน เมื่อผู้ฝึกฝนเข้าใกล้ เตาจะส่งคลื่นพลังงานที่สั่นสะเทือนไปทั่วร่าง ทำให้จิตใจสงบและร่างกายพร้อมสำหรับการดูดซับปราณระดับสูง การจุดไฟในเตานั้นไม่ใช่การใช้ไฟธรรมดา แต่เป็นการใช้ปราณของผู้ฝึกฝนเองในการกระตุ้นให้พลังงานภายในเตาตื่นขึ้น เปลวไฟที่ลุกโชนออกมาจึงไม่ใช่เปลวเพลิงที่ร้อนแรง หากแต่เป็นแสงสีครามที่ดูอบอุ่นและให้ความรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ การใช้เตาพลังวิญญาณนี้ ผู้ฝึกฝนจะสามารถกลั่นกรองพลังงานปราณได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พลังงานที่เคยเป็นสิ่งไร้รูปร่างจะถูกรวมตัวกันเป็นหยดน้ำค้างสีทองที่บรรจุแก่นแท้แห่งพลังเอาไว้ เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการก้าวข้ามขีดจำกัดและเข้าสู่มิติการฝึกฝนขั้นสูงต่อไป
ใช้ป้ายผลงาน: 80 ป้ายผลงาน

กระบี่ชิงหลาง
กระบี่ "ชิงหลาง" (清朗) หรือกระบี่แห่งความกระจ่างแจ้ง เป็นอาวุธที่สะท้อนความกล้าหาญและความบริสุทธิ์ของผู้ครอบครอง ตัวกระบี่ตีขึ้นจากโลหะศักดิ์สิทธิ์สีเงินบริสุทธิ์คล้ายแสงจันทร์ยามเต็มดวง ปลายกระบี่เรียวแหลมจนสามารถผ่าอากาศได้ไร้รอยต่อ ด้ามจับทำจากหยกขาวแกะสลักเป็นลวดลายเมฆพลิ้วไหวสลับกับเส้นสายสีเงินที่เปล่งประกาย พลังของกระบี่ชิงหลางอยู่ที่ความเที่ยงตรงและความบริสุทธิ์ เมื่อกวัดแกว่งจะเกิดเสียงที่ไพเราะและทิ้งร่องรอยแสงสีขาวไว้ในอากาศ สามารถใช้พลังปราณเพื่อชำระล้างสิ่งชั่วร้ายหรือสร้างเกราะป้องกันจากแสงได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีจิตใจเที่ยงธรรมและกล้าหาญในการต่อสู้กับความชั่วร้ายอย่างตรงไปตรงมา
<b>[สามารถทำเควสบางอย่างเพื่อเลื่อนระดับจนถึงระดับทองและแดงได้]</b>
ใช้ป้ายผลงาน: 300 ป้ายผลงาน
(ระดับ Level 70 | คุณภาพม่วง)

แหวนศิลาผสานปราณ
แหวนวงนี้มิได้สร้างขึ้นจากทองคำหรืออัญมณีล้ำค่า แต่ถูกหลอมรวมจากแร่พลังงานโบราณที่หายากยิ่ง มันถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือคัดสรรสำหรับผู้ที่เกิดมาโดยไร้ซึ่งพลังปราณในสายเลือด โดยจะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างกายหยาบของมนุษย์กับพลังงานปราณอันมหาศาลในธรรมชาติ ผู้ที่ได้รับเลือกให้สวมแหวนจะต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบอันท้าทาย แหวนจะเริ่มดูดซับพลังปราณจากรอบกายเข้ามาอย่างช้าๆ และค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับร่างกายของผู้สวมใส่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เจ็บปวดและต้องใช้ความอดทนสูงยิ่ง หากผู้สวมใส่สามารถทนทานต่อแรงปะทะของพลังงานที่ไม่คุ้นเคยได้ ร่างกายของพวกเขาจะถูกชำระล้างและหลอมรวมจนสามารถกักเก็บและควบคุมพลังปราณได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพลังที่ได้รับมาไม่ใช่พลังที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ผู้สวมใส่จึงไม่อาจถอดแหวนวงนี้ได้ตลอดไป เพราะหากถอดแหวนออก ร่างกายของพวกเขาจะสูญเสียสมดุลพลังงานและอาจได้รับอันตรายถึงชีวิตได้ แหวน "ศิลาผสานปราณ" จึงเป็นทั้งเครื่องมือแห่งโอกาสและพันธนาการ ที่มอบทั้งพลังและภาระอันหนักอึ้งให้กับผู้ที่ถูกเลือกโดยโชคชะตา (เขียนโรลเพลย์มอบแหวนให้ NPC ในปาร์ตี้ที่เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ NPC ระบบ และรอทำแบบฟอร์มในฐานะ NPC เพื่อรับบททดสอบอีเว้นท์ทดสอบการคัดสรรปราณ)
ใช้ป้ายผลงาน: 300 ป้ายผลงาน
(อุปกรณ์มอบให้ NPC ธรรมดาเพื่อทดสอบการรับปราณหลอมรวมสู่ร่างกาย)

สั่งทำอาวุธจากนายช่างกองทัพ
ชื่ออาวุธ:
คำอธิบายอาวุธ:
รูปภาพอาวุธ: 84x84 px
ใช้ป้ายผลงาน: 70 ป้ายผลงาน
(ระดับ Level 60 | คุณภาพม่วง)

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 4049 ไบต์และได้รับ 1 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-17 15:52
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x12
x20
x894
x2
x1
x50
x1
x1
x1
x1
x100
x2
x3
x10
x5
x2
x1
x4
x50
x50
x2
x20
x38
x20
x2
x2
x119
x140
x120
x50
x2
x9
x5
x2
x875
x4
x4
x30
x68
x196
x20
x100
x130
x13
x1
x4983
x4
x19
x5
x3
x200
x200
x300
x450
x1
x2
x28
x7
x6
x1
x1
x3
x600
x218
x200
x350
x500
x400
x500
x200
x500
x200
x500
x9
x2
x508
x3
x3
x3
x2
x8
x1
x19
โพสต์ 2025-8-21 00:41:52 | ดูโพสต์ทั้งหมด






วันที่ 20 ชีเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 
ยามเหม่าถึงยามเฉิน (เวลา 05.00 - 09.00 น.)


ซิ่วอิงสะดุ้งตื่นก่อนที่แสงทองของอรุณรุ่งจะทาบทามาถึงขุนเขาไกลลิบ ภายนอกม่านกระโจมผ้าฝ้ายเนื้อหยาบที่ปิดกั้นอากาศเย็นยามเช้าไว้ได้เพียงบางเบา เสียงขลุกขลักของเหล็กกระทบเหล็กและเสียงพูดคุยของเหล่าทหารที่ตื่นก่อนหน้านานแล้วดังลอดเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย นี่ไม่ใช่เสียงแห่งการศึก แต่เป็นเสียงแห่งการเริ่มต้นใหม่ เสียงอันหนักแน่นของการเริ่มเคลื่อนย้ายท่อนไม้และก้อนหินเพื่อฟื้นคืนชีวิตให้กับป้อมฉีเหลียงที่เสียหายจากการถูกยึดครองโดยปีศาจมานาน นางลืมตาขึ้นมองเพดานกระโจมที่ซีดจาง สูดอากาศเย็นเยียบเข้าปอดลึก ๆ และถอนหายใจออกมาเป็นไอสีขาวจาง ๆ เมื่อก่อนนางไม่เคยคิดว่าตนจะสามารถลุกจากที่นอนก่อนตะวันขึ้นได้ แต่ตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในกองทัพ ชีวิตของนางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากบุตรีขุนนางที่ไม่เคยต้องลำบากสวมแพรพรรณสวยงาม บัดนี้นางกลายเป็นหนึ่งในทหารกองทัพฮั่น เสื้อคลุมผ้าฝ้ายเนื้อหนาของทหารกลายเป็นเครื่องแต่งกายประจำวัน เมื่อก้าวออกจากกระโจม ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือกองทัพทหารฮั่นที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการทำงาน เหล่าทหารที่บาดเจ็บสาหัส บัดนี้หลายคนสามารถลุกขึ้นมาช่วยงานเบา ๆ ได้แล้ว ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและพลังงานที่เปี่ยมล้น ซิ่วอิงมองไปยังป้อมฉีเหลียงที่ตั้งตระหง่านอยู่ แม้จะยังมีหลายจุดที่เสียหาย แต่หากทำการบูรณะสำเร็จก็จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ยังไม่ทันที่ตะวันจะทอแสงแรงกล้าไปทั่วท้องฟ้า นางและทหารอีกหลายนายก็ถูกเรียกตัวไปยังกระโจมบัญชาการชั่วคราวของท่านแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้ง เมื่อไปถึงจึงได้รู้ว่านี่ไม่ใช่การเรียกมาเพื่อสั่งงาน หากแต่เป็นการเลื่อนขั้นอย่างเป็นทางการ แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งผู้เยาว์วัยแต่เปี่ยมด้วยปรีชาสามารถยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางกระโจม ซิ่วอิงยืนอยู่ท่ามกลางทหารอีกหลายนายที่ได้รับคำสั่งเรียกตัวมารวมกันในครั้งนี้ แต่ละคนล้วนมีสีหน้าตื่นเต้นและคาดหวัง ไม่เว้นแม้แต่นางเอง แม่ทัพฮั่วหรี่ตามองไปยังรายชื่อที่อยู่บนแผ่นกระดาษม้วนหนา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นกวาดสายตาคมกริบไปทั่วกระโจมราวกับจะสำรวจดวงวิญญาณของแต่ละคนให้ลึกถึงแก่น ซิ่วอิงรู้สึกได้ว่าหัวใจของนางเต้นถี่รัวขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม นางกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ยืนตัวตรงอย่างสง่างามที่สุดเท่าที่หญิงสาวผู้หนึ่งจะทำได้ เสียงประกาศชื่อทหารแต่ละนายดังขึ้นในความเงียบสลับกับเสียงเฮดังลั่นอย่างยินดีเมื่อทหารแต่ละนายได้รับยศตำแหน่งสูงขึ้น ทหารบางนายก้มลงคำนับด้วยความซาบซึ้งและภาคภูมิใจที่ได้รับเกียรติครั้งยิ่งใหญ่จากแม่ทัพผู้เก่งกาจเช่นนี้ ในที่สุดก็ถึงชื่อของนาง... "ทหารใหม่หรงซิ่วอิง! เลื่อนขั้นเป็นพลทหาร!" เสียงประกาศกึกก้องทำให้หัวใจของนางพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซิ่วอิงก้าวเข้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างสง่างามต่อหน้าแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้ง แม่ทัพหนุ่มก้มลงมองนางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม ก่อนจะยื่นชุดเกราะและหมวกเกราะพลทหารให้แก่นาง “เจ้าทำได้ดีมาก พลทหารซิ่วอิง” แม่ทัพฮั่วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ความกล้าหาญและความเสียสละของเจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าคู่ควรกับตำแหน่งนี้ จงรักษาความตั้งใจนี้ไว้ และจงภูมิใจในเส้นทางที่เจ้าได้เลือกเดิน” ซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาที่ลุ่มลึกของแม่ทัพ ก่อนจะก้มลงคำนับด้วยความเคารพอย่างสูงสุด “ข้าจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่และสุดความสามารถเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ” ซิ่วอิงรับชุดเกราะที่สลักเสลาอย่างประณีตและหมวกเกราะที่ดูแข็งแกร่งจากมือของท่านแม่ทัพ แผ่นเหล็กเย็นเฉียบกระทบกับฝ่ามือของนาง ปลุกความรู้สึกบางอย่างให้ตื่นขึ้นในจิตใจ ความรู้สึกภาคภูมิใจที่ไม่อาจบรรยายได้ นางกอดชุดเกราะนั้นไว้แนบอก ลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผยก่อนจะเดินกลับไปยังที่เดิมด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้า ท่ามกลางสายตาแสดงความยินดีจากเพื่อนทหาร นางรู้สึกเหมือนตนเองได้ก้าวข้ามผ่านบางสิ่งไปแล้วอย่างแท้จริง เมื่อซิ่วอิงก้าวออกจากกระโจมบัญชาการ แสงอาทิตย์แรกแห่งวันเพิ่งเริ่มแทรกตัวผ่านม่านหมอกจาง ๆ ฉาบไล้ขอบฟ้าให้เรืองรองสีทองอ่อน ทว่าหัวใจของนางกลับสว่างไสวเจิดจ้ากว่านั้นนัก เกราะเหล็กในอ้อมแขนหนักอึ้ง ทว่ากลับให้ความรู้สึกราวกับปีกที่พร้อมจะพานางทะยานขึ้นสู่ฟ้ากว้าง หลังจากที่นำทุกอย่างไปเก็บที่กระโจมพัก นางมุ่งหน้าสู่กำแพงป้อมด้านทิศตะวันตก ซึ่งยังมีซากหินถล่มและเสาไม้ที่หักพังรอการซ่อมแซมเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานหนักของวันต่อไป


เลื่อนยศจาก ทหารใหม่ เป็น พลทหาร
เงื่อนไข:
- มีระดับ 25
- ร่างกายฟิตแน่นและแข็งแรง VIT 30+ และ STR 20+
- ผ่านการสร้างผลงานในสนามรบ 1 ครั้ง (หรือผลงานอื่นเกี่ยวกับกองทัพ) - หลักฐาน
- มีป้ายผลงานมามอบให้เพื่อยืนยันเลื่อนตำแหน่ง 5 ป้าย

สวัสดิการ:
- ชุดเกราะและหมวกเกราะพลทหาร (คุณภาพน้ำเงิน)
- กล่องเก็บป้าย 1 กล่อง



@Admin 






แสดงความคิดเห็น

ส่ง PM ให้เรียบร้อยค่ะ  โพสต์ 2025-8-21 15:01
ไม่ได้ส่งข้อมูลหมวกกับชุดเกราะพลทหาร  โพสต์ 2025-8-21 12:18
โพสต์ 16859 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-21 00:41
โพสต์ 16,859 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 ความโหด จาก ยอดยุทธ์ผู้ล่า  โพสต์ 2025-8-21 00:41
โพสต์ 16,859 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 ความโหด จาก ปราณเพลิงสีชาด  โพสต์ 2025-8-21 00:41
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
แหวนดาราจรัส(2)
หงอนคู่ราชันย์
ง้าวกรีดนภา
แหวนดาราจรัส(D)
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x30
x10
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x4
x1
x142
x4
x133
x186
x200
x399
x684
x707
x4
x4
x8
x4
x5
x20
x4
x599
x2
x20
x12
x22
x6
x12
x17
x10
x38
x2
x687
x228
x438
x44
x531
x19
x14
x1
x19
x228
x1
x21
x10
x203
x3
x116
x37
x5
x63
x1
x2
x40
x1
x5
x2
x7
x6
x5
x6
x6
x17
x2
x2
x25
x15
x16
x2
x47
x6
x7
โพสต์ 2025-8-21 22:53:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด






วันที่ 20 ชีเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 
ยามซื่อถึงยามเซิน (เวลา 09.00 - 17.00 น.)


พระอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยต่ำลง ทาบทาประกายสีส้มแดงลงบนหมู่เมฆที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือขอบฟ้าไกล ภาพเบื้องหน้าซิ่วอิงคือแนวกำแพงป้อมปราการที่ทอดยาว อิฐแต่ละก้อนถูกกัดกร่อนด้วยกาลเวลาจนผุกร่อน หินบางส่วนแตกกะเทาะจนเผยให้เห็นรอยแยกขนาดใหญ่ที่พร้อมจะพังลงมาได้ทุกเมื่อ ลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดโชยมาเป็นระลอก กลิ่นไอดินแห้ง ๆ และฝุ่นผงฟุ้งกระจายเข้ามาในโพรงจมูก ซิ่วอิงปลดเครื่องมือช่างที่ผูกติดบ่าลงอย่างแผ่วเบา สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะก้าวเดินไปหาหินก้อนใหญ่ที่ต้องใช้สำหรับซ่อมแซมจุดที่เป็นรอยแยก ลำแขนเล็ก ๆ ของนางออกแรงดันหินนั้นอย่างเต็มที่ แต่ก้อนหินก็ยังคงแน่นิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทันใดนั้น เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูก็ดังขึ้นด้านหลัง “ข้าว่าหินก้อนนี้มันใหญ่ไปสำหรับลูกพี่นะ” นางหันกลับไปมอง พบว่าเป็นเกาเหยียนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเขาถูกแดดแผดเผาจนเกรียม ผมเผ้ามีฝุ่นเกาะประปรายแต่ดวงตาของเขายังคงสว่างไสวเหมือนเช่นเคย เขากระตุกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามาช่วยนางดันหินก้อนนั้นอย่างง่ายดาย “ยินดีด้วยกับการเลื่อนขั้นนะ ลูกพี่” เกาเหยียนเอ่ยขึ้นในขณะที่ยังคงออกแรงดันหินไปข้างหน้า “ข้าคิดอยู่แล้วว่าหากมีใครสักคนจะได้รับเกียรตินี้ คนผู้นั้นก็ต้องเป็นลูกพี่อย่างแน่นอน” “ขอบใจเจ้ามาก เหล่าเกา” ซิ่วอิงตอบรับพลางก้มลงมองพื้น “แล้วเจ้าเล่า? เหตุใดถึงได้มาอยู่ที่นี่?” “ก็เหมือนกับท่าน” เขากล่าวอย่างเรียบง่าย “ข้าถูกส่งมาที่นี่เพื่อซ่อมแซมป้อมปราการฝั่งตะวันตกเช่นกัน” ซิ่วอิงเงยหน้ามองเกาเหยียน เห็นคิ้วของเขาเลิกสูงขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มซุกซนที่มุมปาก "ข้าว่านะ ท่านไปขนอิฐตรงนั้นน่าจะเหมาะกว่าอย่างน้อยมันก็เบากว่าหินพวกนี้" เขาพูดพลางชี้ไปที่กองอิฐ นางไม่ปริปากโต้แย้ง ในขณะที่เกาเหยียนใช้กำลังกายอันแข็งแกร่งของเขาจัดการก้อนหินใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ลำแขนของเขาเกร็งแน่น เส้นเอ็นปูดโปนใต้ผิวหนังที่กร้านแดด บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในงานที่ต้องใช้พละกำลัง ซิ่วอิงจึงเดินไปยังกองอิฐที่ถูกกองไว้เป็นภูเขาเล็ก ๆ อิฐแต่ละก้อนมีรอยบิ่นและคราบดินแห้งเกาะติดอยู่ ซิ่วอิงเลือกอิฐที่ยังอยู่ในสภาพดีพอจะนำไปใช้งานได้ แล้วเริ่มแบกพวกมันกลับมาทีละหลาย ๆ ก้อน นางได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของตัวเองและเสียงหอบหายใจของเกาเหยียนที่กำลังขนก้อนหินก้อนใหญ่ไปยังจุดที่ต้องซ่อมแซม เสียงก้อนหินกระทบกันดังขึ้นเมื่อเกาเหยียนกลับมาพร้อมกับก้อนหินก้อนใหม่ ดวงตาของเขายังคงสว่างไสวราวกับประกายดาวในยามค่ำคืน "ลูกพี่ขนไปได้กี่ก้อนแล้ว?" เขาเอ่ยถามด้วยเสียงหอบเหนื่อย


ซิ่วอิงชี้ไปที่กองอิฐที่นางแบกมาวางไว้เป็นกองเล็ก ๆ


"ก็...พอสมควร" เกาเหยียนหัวเราะออกมาเบา ๆ "ดีเลย! งั้นข้าจะไปเอาน้ำมาให้ลูกพี่ดื่มก่อน" เขากล่าวพร้อมกับเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งให้ซิ่วอิงอยู่กับกองอิฐลำพัง หลังจากเกาเหยียนเดินจากไปเพื่อนำน้ำมาให้ ซิ่วอิงก็ยังคงก้มหน้าก้มตาแบกอิฐต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ กลิ่นดินที่แห้งกรังผสมกับกลิ่นหินเก่า ๆ ที่ถูกแดดแผดเผาจนร้อนอบอวลไปทั่วบริเวณ มือของนางหยิบจับก้อนอิฐขึ้นมาทีละสองสามก้อนแล้วจัดเรียงลงในตะกร้าสานที่วางอยู่ข้างตัว เสียงดัง ครืด...ครืด...จากการลากก้นตะกร้าไปบนพื้นหินบดบังเสียงอื่น ๆ รอบกายจนแทบจะหมดสิ้น ท่ามกลางความเงียบงันและเสียงฝีเท้าของตัวเอง ซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นมองตามแนวป้อมปราการที่ ทันใดนั้น สายตาของนางก็สะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่บนเชิงเทินด้านบน ชายผู้นั้นยืนนิ่งราวกับรูปสลัก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกบดบังด้วยเงาของอาคาร ทำให้มองไม่เห็นสีหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ซิ่วอิงก็จำได้ทันทีว่านั่นคือแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้ง ชายหนุ่มในชุดเกราะที่คุ้นตาของกองทัพฮั่นยืนพิงเชิงเทินอย่างไม่ระมัดระวังนัก สายลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดมาไม่ได้ทำให้ร่างกายเขาเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาจ้องมองออกไปยังทะเลทรายแห้งแล้งเบื้องหน้าที่เคยเป็นสมรภูมิรบครั้งใหญ่ ที่ซึ่งเลือดของทหารนับร้อยเคยหลั่งไหลเพื่อแลกกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ให้แก่แผ่นดิน ความสง่างามตามแบบฉบับแม่ทัพผู้เกรียงไกรยังคงฉายชัด ทว่าในท่าทางและแววตาที่มองออกไปนั้นกลับมีความรู้สึกบางอย่างแฝงอยู่...ความว่างเปล่าที่มิอาจเข้าถึงได้ ซิ่วอิงสังเกตเห็นว่ามุมปากของเขาที่เคยเหยียดยิ้มอย่างภาคภูมิในยามได้รับชัยชนะ กลับถูกลดระดับลงจนกลายเป็นเส้นตรงที่บ่งบอกถึงความรู้สึกอันหนักอึ้ง เส้นผมสีดำสนิทที่เคยถูกรวบอย่างเป็นระเบียบกลับมีบางส่วนที่หลุดรุ่ยออกมาจากมวยผม สั่นไหวตามแรงลมที่พัดผ่านมาเป็นระลอก ซิ่วอิงตัดสินใจที่จะไม่สนใจอาการของแม่ทัพหนุ่มและก้มลงหยิบอิฐต่อ ทว่าเพียงชั่วครู่เสียงไอแผ่วเบาก็ดังแว่วมาจากด้านบน เสียงไอนั้นแห้งผากและสั่นเครือ ราวกับชายผู้นั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นเอาไว้ไม่ให้เสียงดังเกินไป ทว่ามันก็ยังคงหลุดลอดออกมาให้ซิ่วอิงที่ยืนอยู่เบื้องล่างได้ยินชัดเจน นางวางตะกร้าอิฐลงกับพื้นอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะตัดสินใจเดินขึ้นบันไดหินที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อไปยังเชิงเทินที่เขาอยู่ บันไดหินแต่ละขั้นเย็นเฉียบและเต็มไปด้วยฝุ่นผงที่จับตัวหนา ซิ่วอิงค่อย ๆ ก้าวเดินขึ้นไปอย่างระมัดระวัง เสียงฝีเท้าของนางแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เมื่อขึ้นมาถึงด้านบน ซิ่วอิงก็เดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้น...จนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจของเขาที่ติดขัดอย่างชัดเจน ฮั่วชวี่ปิ้งยังคงยืนนิ่ง ไม่หันมามองนาง สายตาของเขาตรึงอยู่กับผืนทะเลทรายว่างเปล่าอันไร้จุดสิ้นสุดนั้น ร่างสูงโปร่งของแม่ทัพหนุ่มดูผอมบางลงกว่าที่นางเคยเห็น ท่าทีที่เคยเต็มไปด้วยความฮึกเหิมและเปี่ยมล้นด้วยพลังอำนาจในยามนำทัพ บัดนี้กลับดูอ่อนล้าและหม่นหมองอย่างประหลาด แสงอาทิตย์ยามเย็นที่สะท้อนจากโลหะของเกราะทำให้เห็นใบหน้าด้านที่หันมาได้ชัดเจนขึ้น มุมปากที่เคยเหยียดตรงบ่งบอกถึงความมุ่งมั่น บัดนี้กลับหุบลงเล็กน้อยราวกับมีสิ่งใดรบกวนจิตใจ กลิ่นคาวเลือดที่เคยติดตามชุดเกราะของเขาอย่างคุ้นเคย บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นฝุ่นดินและไอดินที่แห้งผาก นางตัดสินใจที่จะพูดออกไปในที่สุด แม้จะรู้ว่าการเข้าไปทักทายแม่ทัพใหญ่เช่นนี้อาจถือเป็นการรบกวนก็ตาม เสียงของนางจึงแผ่วเบาจนแทบจะกลืนหายไปกับเสียงลมที่พัดผ่าน “ท่านแม่ทัพสบายดีหรือไม่เจ้าคะ? ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยสบาย” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความจริงใจและแฝงไว้ด้วยความห่วงใย ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ร่างสูงโปร่งของแม่ทัพหนุ่มก็สะท้านขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ หันกลับมามองนางอย่างเชื่องช้า ดวงตาที่เคยคมกริบราวกับใบมีดกลับอ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อสบเข้ากับดวงตาของซิ่วอิง ความแข็งกร้าวที่เคยปกคลุมใบหน้าของเขาได้เลือนหายไป เผยให้เห็นถึงความอ่อนล้าและเจ็บปวดที่ซ่อนเร้นไว้ภายใต้ท่าทีอันสง่างาม “ข้าสบายดี” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่แห้งผากราวกับถูกแสงแดดแผดเผามาเนิ่นนาน “เพียงแต่คิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ เท่านั้นเอง” คำพูดของเขาแผ่วเบาจนต้องตั้งใจฟังอย่างมาก นางเห็นมุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่สามารถไปถึงดวงตาของเขาได้เลย ฮั่วชวี่ปิ้งเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีเมฆสีส้มแดงลอยอ้อยอิ่งอีกครั้ง ดวงตาของเขาวาววับราวกับกำลังนึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ห่างไกลออกไป นางเห็นหยาดเหงื่อเล็ก ๆ เกาะพราวอยู่ที่ไรผม และสังเกตเห็นว่าชายเสื้อเกราะของเขาถูกปลดออกเล็กน้อยเพื่อระบายความร้อน แต่ก็ยังดูไม่สบายตัวนัก ซิ่วอิงมองเห็นคราบน้ำตาแห้งกรังเล็ก ๆ ที่มุมตาของเขา นางพยายามหาคำพูดปลอบใจ แต่ก็ไม่อาจหาคำที่เหมาะสมได้ ในยุคสมัยที่ทหารไม่ควรแสดงความอ่อนแอออกมา ยิ่งเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับสมญานามว่า "ทวนเทพพยัคฆ์" ด้วยแล้ว การแสดงความรู้สึกออกมาเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ "เจ้า...กำลังทำอะไรอยู่ที่นี่หรือ?" เขาถาม พยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวของซิ่วอิง ราวกับว่าต้องการจะหาคำตอบจากตัวของนางเอง “ข้ามาซ่อมแซมป้อมปราการฝั่งนี้เจ้าค่ะ” ซิ่วอิงตอบอย่างเรียบง่าย นางยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก แต่สายตาของนางก็ยังคงมองไปที่แม่ทัพหนุ่มอย่างเป็นห่วง “อืม...ดีแล้ว” เขากล่าวเพียงสั้น ๆ และหันกลับไปยืนพิงเชิงเทินตามเดิม เสียงไอแห้ง ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นางเห็นว่าเขาใช้มือข้างหนึ่งปิดปากไว้ ราวกับพยายามที่จะกลั้นเสียงไอไม่ให้ออกมา ซิ่วอิงเห็นร่องรอยของความเจ็บปวดบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน ซิ่วอิงเอื้อมมือเข้าไปในย่ามเล็ก ๆ ที่ผูกไว้กับเอวของนาง ควานหาสิ่งที่ต้องการก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ สีขาวที่เปื้อนฝุ่นดินจากการทำงาน ถูกยื่นออกไปให้แก่เขาอย่างลังเล "ใช้ผ้าเช็ดหน้าของข้าก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ...อย่างน้อยก็เอาไว้ซับเหงื่อ" นางเอ่ยเสียงเบา ฮั่วชวี่ปิ้งหันมามองผ้าเช็ดหน้าในมือของซิ่วอิง...ผ้าผืนเล็ก ๆ ที่ดูเปื้อนและยับยู่ยี่ ราวกับเป็นตัวแทนของชีวิตที่ต้องทำงานหนัก เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ รับมันไว้ เขาคลี่ผ้าเช็ดหน้าออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะนำมันไปซับเหงื่อที่หน้าผากและริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง เมื่อซับเหงื่อและเช็ดปากเสร็จ ฮั่วชวี่ปิ้งก็คลี่ผ้าเช็ดหน้าออกแล้วมองมันอีกครั้ง ก่อนจะพับมันเก็บลงในชุดเกราะของเขาอย่างบรรจง เขาหันกลับมามองซิ่วอิงอีกครั้ง ดวงตาของเขาดูอ่อนโยนลงอย่างน่าประหลาด "ขอบใจเจ้ามาก" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ซิ่วอิงไม่ตอบอะไร นางเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยและยิ้มจาง ๆ ให้แก่เขา ก่อนจะถอยหลังกลับและเดินลงบันไดหินไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งให้ฮั่วชวี่ปิ้งยืนอยู่บนเชิงเทินเพียงลำพังกับแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที


บูรณะป้อมฉีเหลียง วันที่ 1


เควสปลดหัวใจ : เรือผีของคุณเอไอ (1)
ภารกิจ : สังเกตอาการของฮั่วชวี่ปิ้ง ทักทายด้วยความเป็นห่วง
ไอเท็มประกอบฉาก : ผ้าเช็ดหน้า (เปื้อนฝุ่นดิน)




@Admin 





แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 31533 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-21 22:53
โพสต์ 31,533 ไบต์และได้รับ +35 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 ความโหด จาก ยอดยุทธ์ผู้ล่า  โพสต์ 2025-8-21 22:53
โพสต์ 31,533 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 ความโหด จาก ปราณเพลิงสีชาด  โพสต์ 2025-8-21 22:53
โพสต์ 31,533 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 ความโหด จาก ยอดฝีมือ  โพสต์ 2025-8-21 22:53
โพสต์ 31,533 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-8-21 22:53
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
แหวนดาราจรัส(2)
หงอนคู่ราชันย์
ง้าวกรีดนภา
แหวนดาราจรัส(D)
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x30
x10
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x4
x1
x142
x4
x133
x186
x200
x399
x684
x707
x4
x4
x8
x4
x5
x20
x4
x599
x2
x20
x12
x22
x6
x12
x17
x10
x38
x2
x687
x228
x438
x44
x531
x19
x14
x1
x19
x228
x1
x21
x10
x203
x3
x116
x37
x5
x63
x1
x2
x40
x1
x5
x2
x7
x6
x5
x6
x6
x17
x2
x2
x25
x15
x16
x2
x47
x6
x7
โพสต์ 2025-8-22 23:03:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด






วันที่ 21 ชีเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 
ยามเฉินถึงยามอู่ (เวลา 07.00 - 13.00 น.)

แสงอรุณยามเช้าสาดส่องลงมาบนผืนทรายสีทองที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แสงสีทองอ่อน ๆ ต้องกับหินของป้อมปราการที่เพิ่งถูกนำมาซ่อมแซม ซิ่วอิงออกไปทำงานแต่เช้าตรู่เหมือนเช่นทุกวัน กลิ่นไอแห้งผากของทรายที่ถูกแดดแผดเผาเมื่อวันวานยังคงอบอวลอยู่ในอากาศ พร้อมกับกลิ่นควันจากการก่อไฟเพื่อต้มน้ำของเหล่าทหารที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือบริเวณค่ายพัก ซิ่วอิงวางตะกร้าสานลงข้างตัว ก่อนจะหันไปหยิบอุปกรณ์ที่ต้องใช้สำหรับบูรณะป้อม นางวางตะกร้าสานลงบนพื้นทรายแห้งผากที่ยังคงมีไอความร้อนจากตะวันเมื่อวันวานหลงเหลืออยู่ นางหยิบเกรียงไม้ที่ทำจากไม้พุทราเนื้อแข็งกับถุงผ้าใยหยาบที่บรรจุปูนสีน้ำตาลอ่อนซึ่งผสมจากดินเหนียว ทรายละเอียด และข้าวเหนียวที่ถูกเคี่ยวจนเหนียวข้น นางคุกเข่าลงอย่างระมัดระวังข้างร่องหินที่แตกกะเทาะบริเวณฐานของกำแพงชั้นใน รอยร้าวนั้นลึกและกว้างจนสามารถสอดนิ้วเข้าไปได้ หากปล่อยทิ้งไว้ย่อมส่งผลต่อความมั่นคงของป้อมปราการแห่งนี้อย่างแน่นอน เงาร่างของนางยาวเหยียดบนพื้นทรายเมื่อดวงตะวันเริ่มลอยสูงขึ้น เสียงเกรียงกระทบกับเนื้อหินดังกังวานเป็นจังหวะ นางเริ่มขูดเศษปูนเก่าที่แตกร่วนออกอย่างเบามือก่อนจะใช้ผ้าหมาดเช็ดทำความสะอาดบริเวณนั้นให้ปราศจากฝุ่น จากนั้นจึงค่อย ๆ ตักปูนที่เตรียมไว้ในถุงด้วยมืออีกข้าง ปูนเนื้อเหนียวข้นถูกปาดเข้าไปในรอยร้าวอย่างช้า ๆ ซิ่วอิงใช้เกรียงกดและปาดปูนให้เข้าไปในร่องลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปูนที่ถูกอัดแน่นจนล้นออกมาถูกปาดให้เรียบเสมอกับผิวหินดั้งเดิมอย่างประณีต ฝุ่นทรายเล็ก ๆ จากลมทะเลทรายที่เริ่มพัดพามาบางเบาเกาะจับผิวของนางพร้อมกับหยาดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามหน้าผาก กลิ่นหืนของดินเหนียวที่ผสมกับความหวานอ่อน ๆ ของข้าวเหนียวลอยอวลในอากาศ ปะปนกับกลิ่นควันจากเตาไฟและกลิ่นฉุนเล็กน้อยจากคราบไคลของเหล่าทหารที่กำลังซ้อมดาบปลายแหลมกันอยู่ไม่ไกลนัก เสียงตะโกนของนายทหารผู้ฝึกสอน ผสานกับเสียงกระทบกันของอาวุธและเสียงฝีเท้าที่กระทบกับพื้นทรายดังเป็นระยะราวกับเป็นท่วงทำนองประจำวันในดินแดนแห่งนี้ ซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นพักสายตาครู่หนึ่ง มองไปยังกำแพงที่ก่อขึ้นเป็นป้อมสูงใหญ่ที่มียอดธงทิวโบกสะบัดด้วยลมยามเช้า สีสันของธงแดงที่ถูกลมพัดปลิวไสวตัดกับสีเหลืองนวลของทรายและสีฟ้าอ่อนของท้องฟ้าได้อย่างเด่นชัด นางพักหายใจเพียงครู่ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่ออย่างไม่รีรอ ซิ่วอิงบรรจงปาดปูนเติมรอยร้าวที่เรียงรายกันอยู่หลายแห่งอย่างใจเย็น ความร้อนจากแสงแดดเริ่มแผดเผามากขึ้นจนรู้สึกแสบผิว อากาศที่เคยอบอวลด้วยความเย็นจากยามเช้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความแห้งผากที่ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ แต่ภารกิจในยามเช้าก็ต้องสำเร็จลุล่วงเสียก่อน มือของนางค่อย ๆ ปาดปูนอย่างบรรจงจนกระทั่งร่องรอยความเสียหายถูกเติมเต็มจนเกือบทั้งหมดเหลือไว้เพียงผิวหน้าที่ยังต้องรอให้แห้งสนิทเสียก่อนที่จะทำการตกแต่งขั้นสุดท้าย ความทุ่มเทของนางปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมในทุกตารางนิ้วของกำแพงที่ถูกซ่อมแซม ขณะที่นางกำลังง่วนอยู่กับการทำงาน ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นบนพื้นทรายอย่างแผ่วเบา เมื่อหันกลับไปก็พบว่าเป็นเหล่าเกาเหยียนที่เดินถือถ้วยน้ำมาให้ “มาแต่เช้าเลยนะลูกพี่” เขากล่าวพร้อมยื่นถ้วยน้ำที่ยังคงอุ่นอยู่เล็กน้อยให้นาง “ดื่มน้ำก่อนเถอะ” ซิ่วอิงรับถ้วยน้ำมาดื่มช้า ๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นกลุ่มทหารที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา “พวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ?” ซิ่วอิงเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา เหล่าเกาเหยียนหันไปมองตามสายตาของนาง ก่อนจะหันกลับมาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก “พวกเขากำลังพูดถึงท่านแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งน่ะ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ลดต่ำลง “ได้ข่าวมาว่าเมื่อคืนนี้ท่านไอหนักมากจนทหารรับใช้ต้องเรียกหมอมารักษา แต่เช้านี้ท่านก็ยังคงไปตรวจงานที่บริเวณค่ายพักม้าอยู่ดี...ไม่ยอมพักผ่อนเลย” คำพูดของเกาเหยียนทำให้ใจของซิ่วอิงกระตุกขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ภาพแม่ทัพหนุ่มที่ยืนไอแห้ง ๆ อยู่บนเชิงเทินเมื่อวันวานฉายชัดขึ้นมาในห้วงความคิด ใบหน้าของเขาซีดเซียวลงกว่าที่เคยเห็น เงามืดใต้ดวงตาที่บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า ซิ่วอิงรู้สึกถึงความกังวลที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ “เขาคงห่วงเรื่องการบูรณะป้อมฉีเหลียงน่ะ” เกาเหยียนกล่าวต่อราวกับรู้ว่าซิ่วอิงกำลังคิดอะไรอยู่ “ป้อมแห่งนี้มีความสำคัญมาก และท่านแม่ทัพก็อยากให้การซ่อมแซมเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันศัตรูในอนาคต...คงจะอยากให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด” ซิ่วอิงวางถ้วยดินเผาลงบนพื้นทรายอย่างเบามือ ละอองทรายสีทองเม็ดเล็ก ๆ กระเด็นขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะกลับคืนสู่ความสงบนิ่งเหมือนเดิม นางก้มหน้าลงมองอุปกรณ์สำหรับซ่อมแซมป้อมที่อยู่ตรงหน้า แต่ดวงตาของนางกลับไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดเลยนอกจากความว่างเปล่า ภาพของแม่ทัพฮั่วในชุดเกราะที่ยืนตระหง่านอยู่ที่เชิงเทินเมื่อวันวานยังคงแจ่มชัดในความทรงจำ แม้จะสวมเกราะเหล็กที่หนักอึ้ง แต่ท่วงท่าของเขากลับดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แสงตะวันที่สะท้อนบนเกราะเหล็กไม่สามารถกลบเกลื่อนความซีดเผือดบนใบหน้าของเขาได้เลย “ลูกพี่….” เสียงของเหล่าเกาเหยียนดึงนางกลับมาสู่ความเป็นจริง ซิ่วอิงขยับตัวอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเกาเหยียนด้วยสายตาที่แน่วแน่ “ข้าว่า…ข้าต้องไปที่กระโจมพยาบาลหน่อย” นางเอ่ยเสียงแผ่ว แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ เกาเหยียนมองนางด้วยความสงสัยแต่ก็พยักหน้าเข้าใจโดยไม่ต้องถามอะไรมากนัก ซิ่วอิงลุกขึ้นยืนปัดเศษทรายออกจากเสื้อผ้า แล้วก้าวเดินไปตามทางที่มุ่งหน้าไปยังกระโจมขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ลมร้อนพัดผ่านร่างของนาง นำพาเอาฝุ่นทรายปลิวมาปะทะกับใบหน้า แต่นางก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น ดวงตาของนางจดจ่ออยู่กับปลายทางเพียงอย่างเดียว เมื่อมาถึงกระโจมพยาบาลชั่วคราว กลิ่นสมุนไพรและกลิ่นฉุนของยาก็ลอยมาแตะจมูก ซิ่วอิงเดินเข้าไปหาหมอทหารวัยกลางคนที่กำลังนั่งจัดยาอยู่เบื้องหลังโต๊ะไม้ “ท่านหมอเจ้าคะ…พอจะมีตัวยาที่ช่วยบรรเทาอาการไอหรือหวัดบ้างหรือไม่?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล หมอทหารเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างพิจารณา ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “มีสิ…เป็นยาสมุนไพรต้ม มีฤทธิ์ร้อน ช่วยขับลมและรักษาอาการหวัด” เขาพูดพลางหยิบห่อยาขนาดเล็กที่ห่อด้วยผ้าหยาบออกมาจากถุงผ้าใบใหญ่ “เอาไปให้ใครหรือ?” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ซิ่วอิงลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ “เอาไปให้…คนรู้จักที่ทำงานหนักมากเกินไปเจ้าค่ะ” นางตอบเลี่ยง ๆ แล้วรับห่อยามาถือไว้ในมือ ก่อนจะโค้งศีรษะขอบคุณและเดินออกจากกระโจมไป เมื่ออยู่ในแสงแดดอีกครั้ง นางรู้สึกถึงความร้อนผ่าวของห่อยาในมือ นางกำมันแน่นราวกับว่าความอบอุ่นจากยานั้นจะสามารถส่งผ่านไปถึงอีกคนได้ ซิ่วอิงก้าวเดินผ่านค่ายพักที่พลุกพล่านด้วยทหารที่กำลังปฏิบัติภารกิจของตนเองอย่างขะมักเขม้นไปยังบริเวณที่ตั้งของเตาไฟชั่วคราว นางวางห่อยาลงบนพื้นทรายข้างตัวอย่างเบามือ แล้วเริ่มก่อไฟด้วยเศษไม้แห้งที่หามาได้จากรอบ ๆ เตา ความร้อนจากไฟที่ลุกโชนสะท้อนบนใบหน้าของนางที่เริ่มมีหยาดเหงื่อผุดขึ้น นางจัดการนำห่อยาใส่ลงในหม้อดินเผาขนาดเล็กที่วางอยู่บนเตา เติมน้ำสะอาดลงไปจนท่วม จากนั้นจึงใช้กิ่งไม้คนเบา ๆ ให้ตัวยาจมลงไปในน้ำ กลิ่นสมุนไพรที่เคยแห้งสนิทเริ่มเปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมชื้นที่ค่อย ๆ เข้มข้นขึ้นตามอุณหภูมิของน้ำที่สูงขึ้น ไอความร้อนที่ลอยขึ้นจากหม้อทำให้ใบหน้าของนางรู้สึกอบอุ่น ซิ่วอิงคอยสังเกตการณ์ต้มยาอย่างเงียบเชียบ ปล่อยให้ความร้อนทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ กลิ่นที่คุ้นเคยในยามที่มารดาเคยวางยาต้มให้ดื่มเมื่อครั้งนางป่วยไข้ในวัยเยาว์นั้นหวนคืนมาอีกครั้ง ปลุกให้ความรู้สึกห่วงใยและกังวลภายในใจของนางเด่นชัดยิ่งขึ้น เมื่อเห็นว่าตัวยาเข้าที่แล้ว นางจึงใช้ผ้าห่อหุ้มหม้อดินเผาอย่างระมัดระวัง แล้วเทน้ำสมุนไพรสีน้ำตาลเข้มลงในถ้วยดินเผาอีกใบหนึ่ง กลิ่นฉุนของยาต้มลอยขึ้นแตะจมูก ซิ่วอิงใช้มือโบกเหนือปากถ้วยเบา ๆ เพื่อไล่ไอร้อนออกไป พยายามทำให้ยาเย็นลงพอที่จะดื่มได้โดยไม่ลวกปาก เมื่อยาเย็นลงจนได้ที่ ซิ่วอิงจึงกำถ้วยยาในมือแน่น แล้วออกเดินไปยังกระโจมใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางค่าย ไม่บ่อยนักที่นางจะมีโอกาสได้ย่างกรายเข้ามาในเขตที่พักของผู้บังคับบัญชาเช่นนี้ทำให้รู้สึกประหม่าเล็กน้อย ทว่าความตั้งใจที่แน่วแน่ก็ทำให้นางก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง ก้าวเดินแต่ละก้าวของนางทำให้เกิดเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาบนผืนทรายแห้งผากที่ยังคงอบอวลด้วยไอความร้อนจากตะวันเมื่อวันวาน กลิ่นดินเหนียวและกลิ่นของสมุนไพรลอยอวลในอากาศ ปะปนกับกลิ่นควันจากการก่อไฟเพื่อต้มน้ำของเหล่าทหารที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือบริเวณค่ายพัก เบื้องหน้าของกระโจมใหญ่ สองทหารยามที่ยืนเฝ้าประตูชำเลืองมองซิ่วอิงอย่างสงสัย เมื่อเห็นว่านางเป็นเพียงพลทหารธรรมดาในชุดที่เปื้อนฝุ่นจากการทำงาน พวกเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามแต่อย่างใด นางหยุดยืนลงเบื้องหน้า แล้วกล่าวออกไปอย่างนอบน้อมแต่หนักแน่นว่า "ท่านทั้งสอง ข้ามาขอพบท่านแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งเจ้าค่ะ" ทหารยามคนหนึ่งทำท่าจะปฏิเสธ ทว่าเสียงไอแห้ง ๆ จากภายในกระโจมก็ดังขึ้นเสียก่อน และตามมาด้วยเสียงห้าวแต่แหบพร่าของแม่ทัพหนุ่มที่กล่าวว่า "ให้นางเข้ามา" ซิ่วอิงโค้งคำนับทหารยามทั้งสอง แล้วก้าวเข้าไปในกระโจม กลิ่นสมุนไพรฉุนและกลิ่นผ้าใหม่ลอยอบอวลไปทั่วภายในกระโจมที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางทหาร บนโต๊ะไม้มีแผนที่และเอกสารวางซ้อนกันเป็นตั้งสูง ดวงตาของนางกวาดมองไปทั่ว ก่อนจะหยุดลงที่ร่างของแม่ทัพหนุ่มในชุดเกราะที่สวมเพียงเสื้อตัวในนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ แม้จะนั่งอยู่ แต่ความสูงใหญ่ของเขาก็ทำให้รู้สึกถึงอำนาจที่แผ่ออกมา เขาพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคมกริบเหลือบมองมาที่นาง แต่ก็เป็นเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันไปจ้องมองแผนที่บนโต๊ะอย่างครุ่นคิด ซิ่วอิงเดินเข้าไปหาเขาอย่างช้า ๆ ก่อนจะวางถ้วยยาลงบนโต๊ะข้างแผนที่อย่างเบามือ น้ำเสียงของนางแผ่วเบาแต่ชัดเจน "ข้าได้ข่าวว่าท่านไม่สบาย...นี่คือยาแก้หวัดที่ข้าไปขอมาจากท่านหมอเจ้าค่ะ" ฮั่วชวี่ปิ้งเงยหน้าขึ้นมองซิ่วอิงอย่างเต็มตา ดวงตาของเขามีแววเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวลงกว่าที่เคยเห็นเล็กน้อย เขามองถ้วยยาที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะรับมันไปดื่ม "ข้าไม่เป็นอะไร แค่ไอเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องรบกวน" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ลดต่ำลง ปฏิเสธการรับยาอย่างสุภาพ ซิ่วอิงยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของนางไม่ได้ละไปจากใบหน้าของเขา นางมองเห็นความเหนื่อยล้าที่ปกปิดไว้ได้ไม่มิด และนั่นก็ทำให้ความกังวลของนางเพิ่มมากขึ้น นางก้าวเข้าไปใกล้โต๊ะอีกเล็กน้อย มองเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างตรงไปตรงมา "ท่านแม่ทัพ...อย่าได้ปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ ท่านทำงานหนักเกินไปและร่างกายของท่านย่อมไม่อาจทนทานได้ตลอดไป" เสียงของนางแฝงความห่วงใยอย่างจริงใจ "โปรดดื่มยานี้เถิด...เพื่อสุขภาพของท่านเอง" ฮั่วชวี่ปิ้งจ้องมองเข้าไปในดวงตาของนางอย่างพิจารณา และในแววตาที่แน่วแน่ของนาง เขาไม่ได้เห็นเพียงความห่วงใย แต่ยังเห็นความทุ่มเทและความมุ่งมั่น แววตาที่ไร้ซึ่งเลศนัยและเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจนั้นทำให้ใจของเขาอ่อนลงอย่างไม่น่าเชื่อ เขายื่นมือออกไปหยิบถ้วยยาขึ้นมาถือไว้ในมือ ไอความร้อนจากถ้วยแผ่มาถึงปลายนิ้วของเขา เขาเงยหน้ามองซิ่วอิงอีกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ จิบยาต้มสีเข้มลงไปจนหมดในครั้งเดียว "ขอบใจเจ้ามาก พลทหารหรง" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าที่เคยเป็น แล้ววางถ้วยเปล่าลงบนโต๊ะข้างแผนที่อย่างแผ่วเบา กลิ่นสมุนไพรยังคงหอมติดอยู่บนริมฝีปากของเขา นางมองถ้วยยาที่ว่างเปล่าด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะโค้งคำนับให้เขาแล้วถอยออกมา ทันทีที่ซิ่วอิงถอยออกมาจากกระโจมใหญ่และรับไอร้อนจากแสงตะวันที่เริ่มแรงขึ้นอีกครั้ง นางก็หันกลับไปโค้งคำนับทหารยามทั้งสองอย่างนอบน้อมเป็นการกล่าวลา ก่อนจะเดินกลับไปยังบริเวณป้อมปราการที่ตนเองได้ทิ้งงานค้างไว้ เส้นทางที่เดินกลับนั้นดูเหมือนจะสั้นลงกว่าขามาที่ใจของนางเต็มไปด้วยความกังวลและลังเล ภายในใจของนางตอนนี้รู้สึกเบาสบายอย่างประหลาด ความตึงเครียดที่เคยเกาะกุมจิตใจได้คลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เมื่อได้เห็นกับตาตนเองว่าท่านแม่ทัพยอมดื่มยาที่นางนำไปให้จนหมดสิ้น และคำขอบคุณที่แสนอ่อนโยนที่หลุดออกมาจากปากของท่านแม่ทัพก็ทำให้ใจของซิ่วอิงรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด นางเดินไปตามทางเดินที่ลาดไปด้วยทรายสีทองละเอียด เงาของร่างนางที่ทอดยาวบนพื้นทรายเต้นระริกไปตามจังหวะก้าวเดิน กลิ่นไอของทรายที่ถูกแดดแผดเผาเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ปะปนกับกลิ่นคาวเหงื่อของเหล่าทหารที่กำลังกลับจากการซ้อมอาวุธในช่วงเช้า ซิ่วอิงหลีกทางให้เหล่าทหารที่เดินสวนมาเป็นระยะ ๆ ใบหน้าของนางประดับไปด้วยรอยยิ้มจาง ๆ เมื่อเดินผ่านไปแต่ละคน ดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่เกรียงไม้ที่วางอยู่ข้างตะกร้าสานบนพื้นทราย นางตั้งใจที่จะทำให้งานบูรณะป้อมในวันนี้เสร็จสิ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่นางจะสามารถกลับมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้และเริ่มต้นทำงานส่วนอื่นได้ทันที

บูรณะป้อมฉีเหลียง วันที่ 2


เควสปลดหัวใจ : เรือผีของคุณเอไอ (2)
ภารกิจ :นำยาแก้หวัดที่ได้จากหมอหลวงมาให้ฮั่วชวี่ปิ้ง (ขอแก้เป็นหมอทหารเพื่อให้ตรงบริบท)

ไอเท็มประกอบฉาก : ถ้วยยาเปล่า





@Admin 





แสดงความคิดเห็น

ก่อนคุณจะเห็นภาพหลอน หญิงสาวคนเดียวกันที่เธอเคยเห็นที่หัวซานคนนั้นกำลังยืนตีเหล็กถือค้อน ก่อนกระพริบตามองดีๆ เป็นทหารช่างเหล็กคนหนึ่ง  โพสต์ 2025-8-23 02:07
โพสต์ 37499 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-22 23:03
โพสต์ 37,499 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก หมวกเกราะพลทหาร  โพสต์ 2025-8-22 23:03
โพสต์ 37,499 ไบต์และได้รับ +35 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 ความโหด จาก ยอดยุทธ์ผู้ล่า  โพสต์ 2025-8-22 23:03
โพสต์ 37,499 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 ความโหด จาก ปราณเพลิงสีชาด  โพสต์ 2025-8-22 23:03
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
แหวนดาราจรัส(2)
หงอนคู่ราชันย์
ง้าวกรีดนภา
แหวนดาราจรัส(D)
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x30
x10
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x4
x1
x142
x4
x133
x186
x200
x399
x684
x707
x4
x4
x8
x4
x5
x20
x4
x599
x2
x20
x12
x22
x6
x12
x17
x10
x38
x2
x687
x228
x438
x44
x531
x19
x14
x1
x19
x228
x1
x21
x10
x203
x3
x116
x37
x5
x63
x1
x2
x40
x1
x5
x2
x7
x6
x5
x6
x6
x17
x2
x2
x25
x15
x16
x2
x47
x6
x7
โพสต์ 2025-8-23 23:38:38 | ดูโพสต์ทั้งหมด






วันที่ 22 ชีเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 
ยามเฉินถึงยามเซิน (เวลา 07.00 - 17.00 น.)

แสงตะวันยามเช้าทอประกายเรืองรองเหนือยอดเขาที่เรียงรายอยู่ลิบตา สีทองอ่อน ๆ สาดส่องลงมาต้องกับกำแพงดินและอิฐของป้อมปราการฉีเหลียง ทำให้สีน้ำตาลหม่นดูอบอุ่นและมีชีวิตชีวาขึ้นมา ซิ่วอิงลุกขึ้นจากที่นอนในกระโจมที่ยังคงอบอวลไปด้วยไอความชื้นของยามค่ำคืน ใบหน้าที่ยังคงรู้สึกเหนียวเหนอะหนะจากการนอนหลับพักผ่อนท่ามกลางอากาศแห้งผากไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นของนางลดลงเลยแม้แต่น้อย แต่ในหัวของนางก็ยังคงมีภาพของหญิงสาวผมแดงที่ถือค้อนลอยวนเวียนอยู่ ภาพนั้นดูชัดเจนเสียจนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ถึงกระนั้นนางก็พยายามอย่างยิ่งที่จะสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป เรื่องประหลาดในยามวิกาลย่อมไม่อาจสำคัญไปกว่าภารกิจที่อยู่ตรงหน้าได้ นางก้มลงหยิบเสื้อผ้าชุดเดิมที่เปื้อนฝุ่นและปูนจากเมื่อวานขึ้นมาสวมใส่ บริเวณชายเสื้อขาดรุ่ยจากการทำงานที่หนักหน่วง นางได้แต่คิดในใจว่าหากท่านพ่อรู้เข้าว่าชีวิตของนางปัจจุบันเป็นเช่นไรเขาคงจะต้องโมโหเป็นแน่ ซิ่วอิงก้าวออกจากกระโจมช้า ๆ กลิ่นไอของทรายที่ถูกแดดเผาเมื่อวันวานยังคงอบอวลอยู่ในอากาศ ปะปนกับกลิ่นควันจากการก่อไฟเพื่อต้มน้ำของเหล่าทหารที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือบริเวณค่ายพัก นางสูดอากาศเข้าเต็มปอด และเดินตรงไปยังป้อมปราการที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อไปถึงบริเวณกำแพง นางเห็นปูนที่ตนเองบรรจงปาดไว้เมื่อวานนี้แห้งสนิทดีแล้ว ผิวปูนสีน้ำตาลอ่อนที่ผสมจากดินเหนียวและข้าวเหนียวที่ถูกเคี่ยวจนเหนียวข้นนั้นเกาะแน่นกับเนื้อหินได้อย่างแข็งแรง ดูเรียบเนียนเสมอกันดีแล้ว นางคุกเข่าลงข้างตะกร้าสานใบเดิมที่ยังคงวางอยู่ที่เดิม หยิบอุปกรณ์สำหรับตกแต่งขั้นสุดท้ายขึ้นมา ซึ่งก็คือเกรียงเหล็กแบนสำหรับขูดส่วนเกิน และผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เพื่อเช็ดทำความสะอาด ซิ่วอิงเริ่มลงมือทำงานอย่างบรรจงอีกครั้ง นางใช้เกรียงเหล็กค่อย ๆ ขูดเศษปูนเล็ก ๆ ที่ล้นออกมาอย่างระมัดระวัง เสียงโลหะกระทบกับเนื้อปูนดังเป็นจังหวะเนิบช้าและสม่ำเสมอ เป็นท่วงทำนองที่บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจ นางค่อย ๆ ทำไปทีละน้อย จากนั้นจึงใช้ผ้าหมาดเช็ดตามไปเพื่อให้พื้นผิวของปูนที่แห้งแล้วนั้นดูเรียบเนียนและกลมกลืนไปกับเนื้อหินเก่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความอดทนและความละเอียดอ่อนของนางปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมในทุก ๆ ตารางนิ้วของกำแพงที่ถูกซ่อมแซม ฝุ่นปูนสีน้ำตาลอ่อนปลิวว่อนเล็กน้อยเมื่อต้องกับลมยามเช้าที่เริ่มพัดมาเบา ๆ เกาะจับอยู่ตามไรผมและเสื้อผ้าของนาง ในขณะที่ซิ่วอิงกำลังจดจ่ออยู่กับงานที่ทำอย่างพิถีพิถันนั้นเอง ชามกระเบื้องเคลือบสีน้ำตาลใบหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้านาง นางเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณ ก็พบกับใบหน้าของเกาเหยียนที่คุ้นเคยกำลังยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร "กินเสียก่อนเถอะลูกพี่" เกาเหยียนเอ่ย "ข้ารู้ว่าวันนี้ต้องเหนื่อยมากกว่าทุกวันแน่" กลิ่นหอมกรุ่นของโจ๊กข้าวฟ่างลอยแตะจมูก ซิ่วอิงรับชามมาไว้ในมือ ไออุ่นจากโจ๊กที่ยังคงคุกรุ่นทำให้ความหนาวเย็นจากยามเช้าที่เริ่มจางลงไปบ้างแล้วกลับมาเป็นที่รับรู้ได้อีกครั้ง นางยังไม่ทันได้เอ่ยขอบคุณ เกาเหยียนก็ส่งช้อนไม้มาให้พร้อมกับพยักหน้าให้ "ขอบใจเจ้ามาก" ซิ่วอิงกล่าวเบา ๆ ก่อนจะก้มลงมองชามโจ๊กในมือ แต่แล้วสายตาของนางก็เหลือบไปเห็นร่างของชายหนุ่มร่างสูงผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่นางทำงานอยู่ เขาคือแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งนั่นเอง ซิ่วอิงจำได้ทันทีว่าเมื่อวานนี้นางได้นำยาที่เตรียมมาให้เขาทานเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่ดูเหมือนจะเรื้อรัง การได้เห็นเขายืนหยัดอยู่ ณ จุดนั้นตั้งแต่รุ่งสางก็เพียงพอที่จะทำให้นางรู้ได้ว่าอาการของเขาน่าจะดีขึ้นบ้างแล้วจริง ๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงทำงานหนักเกินไปอยู่ดี สายตาของฮั่วชวี่ปิ้งกวาดมองไปทั่วบริเวณป้อมปราการที่กำลังอยู่ในช่วงบูรณะ ใบหน้าของเขาแม้จะดูเรียบเฉย แต่แววตาที่ฉายออกมานั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ทุกอิริยาบถของเขายังคงเปี่ยมไปด้วยพลังและบารมีราวกับไม่มีอะไรสามารถสั่นคลอนเขาได้เลย แต่ซิ่วอิงก็ยังคงเป็นห่วงในสุขภาพของเขาอยู่ดี ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของซิ่วอิงอย่างฉับพลัน นางเงยหน้าขึ้นมองเกาเหยียนที่กำลังจะเดินจากไป "เหล่าเกา เจ้าช่วยไปทำในส่วนของข้าต่อได้หรือไม่?" นางกล่าวขึ้น "ข้ามีเรื่องที่จะต้องไปทำ" เกาเหยียนลังเลใจอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นของซิ่วอิง เขาก็พยักหน้าตอบรับ ชามข้าวถูกส่งต่อให้เกาเหยียนพร้อมกับช้อนไม้ นางเดินตรงไปหาฮั่วชวี่ปิ้งด้วยความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยมในใจ นางตั้งใจที่จะเสนอตัวช่วยเหลือเขาในงานที่หนักกว่าเดิม รวมถึงการดูแลเรื่องอาหารการกินและน้ำดื่มเพื่อช่วยให้เขามีพลังงานและกำลังในการทำงานอย่างต่อเนื่อง เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ เขาก็หันมามองนางช้า ๆ แววตาที่เฉียบคมและทรงพลังนั้นจ้องมองมาที่นางอย่างพิจารณา ซิ่วอิงไม่หลบสายตา นางเดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างสงบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “คาราวะท่านแม่ทัพ” นางกล่าวขึ้นพร้อมคุกเข่าทำความเคารพ


"เจ้ามีธุระอะไร พลทหารหรง?" เขาเอ่ยถามขึ้น ซิ่วอิงเม้มปากเล็กน้อยอย่างพิจารณาก่อนจะตัดสินใจพูดสิ่งที่ตนเองคิดออกไปในที่สุด “ข้า...อยากขออาสาช่วยแบ่งเบาภาระของท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” ฮั่วชวี่ปิ้งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แบ่งเบาภาระ?” เขาทวนคำ เสียงทุ้มนิ่งแต่แฝงแววไม่เข้าใจนัก “ใช่เจ้าค่ะ” ซิ่วอิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดต่อ “ข้าต้องการช่วยทำงานที่หนักกว่าที่เคยรับผิดชอบ รวมถึงจะดูแลเรื่องอาหารการกินและน้ำดื่มให้ท่านโดยเฉพาะ ข้าสังเกตว่าท่านไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอ และมักลืมแม้แต่จะรับประทานอาหาร หากไม่มีผู้ใดคอยเตือนหรือจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพของท่านที่ย่ำแย่ในตอนนี้นะเจ้าคะ” แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งนิ่งไปเล็กน้อย เขาก้มลงมองหญิงสาวตรงหน้าที่แม้ใบหน้าเปรอะฝุ่นและเสื้อผ้าเปื้อนปูนซีเมนต์ แต่ในดวงตาของนางกลับเปล่งประกายด้วยความจริงใจและแน่วแน่ “ไม่จำเป็นหรอก ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น” เขาตอบเสียงเรียบ “การงานเหล่านี้ ข้าทำได้ด้วยตัวเอง ไม่ควรปล่อยให้ทหารหญิงอย่างเจ้าต้องมารับภาระเกินหน้าที่” “แต่หากท่านแม่ทัพหมดเรี่ยวแรงลงกลางทางล่ะเจ้าคะ?” ซิ่วอิงเงยหน้ามองเขา “ข้าไม่ได้คิดว่าท่านอ่อนแอ ตรงกันข้าม ข้ารู้ว่าท่านเข้มแข็งกว่าทุกคนในค่ายนี้เสียอีก แต่เพราะข้ารู้เช่นนั้น ข้าจึงอยากช่วย เพราะหากท่านล้มลง คนอื่นทั้งหมดที่อยู่ใต้บัญชาของท่านก็จะล้มตาม” คำพูดของนางทำให้แววตาของฮั่วชวี่ปิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ใช่ความโกรธหรือไม่พอใจ หากแต่เป็นความครุ่นคิดที่ฉายชัดในดวงตา “อีกอย่าง…” ซิ่วอิงพูดต่อ “ข้าก็ไม่ได้ไร้ค่าเสียทีเดียว การได้ช่วยงานเบื้องหน้าและดูแลเบื้องหลังก็ถือเป็นเกียรติสำหรับข้า หากข้าทำให้ท่านใช้พลังไปกับสิ่งสำคัญที่สุดได้มากขึ้น ข้าก็ยินดีจะทำหน้าที่นี้เจ้าค่ะ” ฮั่วชวี่ปิ้งเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “เจ้าดื้อดึงยิ่งนัก พลทหารหรง” เขากล่าวเบา ๆ คล้ายตำหนิแต่แฝงด้วยความเอ็นดู ฮั่วชวี่ปิ้งมองใบหน้าของซิ่วอิงอยู่อีกครู่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเงียบสงบอย่างที่นาน ๆ ครั้งจะมีให้เห็น ท่ามกลางพายุความรับผิดชอบในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่และแรงกดดันจากทุกทิศทาง การมีคนที่กล้าก้าวเข้ามาอย่างไม่หวาดหวั่นเช่นนี้…นับว่าเป็นสิ่งหายาก เขาหันกลับไปมองแนวกำแพงที่ยังไม่แล้วเสร็จ สายลมเช้าเย็นเยือกพัดกระทบชายเสื้อคลุมที่สะบัดเบา ๆ ตามแรงลม ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงแววจริงจัง “เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า” เขากล่าวโดยไม่หันกลับมา “แต่ข้าจะไม่ผ่อนงานให้…เจ้าจะต้องรับผิดชอบให้ไหว” “เจ้าค่ะ!” ซิ่วอิงตอบรับในทันที ราวกับรอคำตอบนี้มานาน ฮั่วชวี่ปิ้งสังเกตเห็นความตั้งใจของซิ่วอิงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน นางไม่ได้เพียงแค่ยืนรอคำสั่ง แต่เดินตามเขาไปทุกแห่ง ตรวจตราแนวกำแพงที่ยังไม่แล้วเสร็จ ตรวจสอบการจัดเวรยามของทหาร และจดรายละเอียดทุกอย่างเงียบ ๆ อย่างมีระเบียบโดยไม่ต้องให้สั่งซ้ำ แม้นางจะเพิ่งทำงานก่อปูนมาตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ก็ยังคงยืนหยัดทำหน้าที่ใหม่ได้อย่างไม่ลดทอน นอกเหนือจากหน้าที่การจดบันทึกคำสั่งและการสื่อสารระหว่างหน่วยต่าง ๆ แล้ว ซิ่วอิงยังเฝ้าสังเกตสภาพร่างกายของแม่ทัพหนุ่มที่แม้จะไม่แสดงอาการอะไรออกมาชัดเจน แต่ก็ยังมีอาการไอเบา ๆ แทรกมาเป็นระยะตั้งแต่รุ่งเช้า อากาศยามเช้าที่หนาวแห้ง บวกกับความเหนื่อยล้าสะสมจากการทำงานติดต่อกันหลายวัน ทำให้ซิ่วอิงแน่ใจว่าเขายังไม่หายดีจากไข้ที่เป็นเมื่อวาน ช่วงสายของวันนั้น ขณะที่ฮั่วชวี่ปิ้งกำลังยืนกางแผนผังแนวป้องกันใหม่บริเวณทิศตะวันตกที่ต้องบูรณะเพิ่มเติม ซิ่วอิงกลับมาพร้อมชามข้าวฟ่างต้มใส่ขิง และน้ำอุ่นที่ปรุงด้วยสมุนไพรพื้นบ้านซึ่งช่วยบรรเทาอาการไอและขับเหงื่อ นางไม่ได้กล่าวอะไรมาก เพียงแต่วางสิ่งของลงตรงหน้าเขาอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดขึ้นเรียบ ๆ “ท่านแม่ทัพควรกินเสียก่อนนะเจ้าคะ น้ำขิงช่วยให้หายใจโล่งขึ้น และข้าวฟ่างต้มจะช่วยให้อบอุ่นจากภายใน” ฮั่วชวี่ปิ้งมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไม่เป็นอะไรมาก แค่ไอนิดหน่อยเท่านั้น” “ข้ารู้เจ้าค่ะ” ซิ่วอิงตอบ “แต่ข้าว่านิดหน่อยนั่นกินเวลาไปทั้งสัปดาห์แล้ว หากยังไม่พักบ้าง อาการอาจไม่เล็กน้อยอีกต่อไปนะเจ้าคะ” คำพูดนั้นไม่ใช่คำตำหนิ หากแต่เต็มไปด้วยความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แม่ทัพหนุ่มเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมารับน้ำอุ่นจากนาง และรับชามข้าวฟ่างต้มร้อน ๆ มาจากซิ่วอิงโดยไม่ปริปากพูดอะไรอีก ดวงตาเรียบนิ่งของเขาก้มลงมองชามในมือนิ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ตักขึ้นมาชิมคำแรก กลิ่นหอมอ่อนของขิงผสานกับรสจืดแต่ชวนอบอุ่นของข้าวฟ่างทำให้รู้สึกโล่งจมูกและผ่อนคลายจากความตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว เขากินต่อไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยท่วงท่าที่คงความสง่างามตามแบบฉบับนายทัพ แม้จะเป็นเพียงการตักอาหารเข้าปาก แต่ก็ยังเต็มไปด้วยระเบียบวินัยและความนิ่งขรึมแบบที่ไม่อาจละสายตาได้ง่าย ๆ เมื่อเขากินจนหมดแล้ว เขาวางชามเปล่าไว้ด้านข้าง จากนั้นหันกลับมาทางซิ่วอิงทันทีด้วยสายตาแน่วแน่ ราวกับทันทีที่กลืนคำสุดท้ายลงคอ ความเป็นผู้นำและภาระหน้าที่ก็กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง “แนวป้องกันด้านทิศเหนือที่อยู่หลังเนินทรายยังไม่ได้ประเมินระดับพื้นดินใหม่” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ขณะสายตาไปหยุดอยู่ที่แผนผังอีกแผ่น “เจ้าไปตรวจสภาพพื้นที่ แล้วบันทึกค่าระดับความลาดชันมาให้ข้าให้ครบ ทั้งสี่จุดหลัก” ซิ่วอิงสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ตอบรับทันที “เจ้าค่ะ!” นางรีบก้มลงจะหยิบพู่กันขึ้นมาจดตามความเคยชิน ทว่าทันทีที่นิ้วเรียวของนางออกแรงกดลงบนพู่กันไม้ด้ามเดิม เสียงกร็อบเบา ๆ ก็ดังขึ้นในมือ ด้ามพู่กันหักคามืออย่างน่าเศร้า ขนแปรงที่เคยแผ่เรียบอย่างเป็นระเบียบก็หลุดร่วงออกมาเล็กน้อย พร้อมกับหยาดหมึกหยดหนึ่งที่กระเด็นลงบนปลายชายเสื้อของนาง ซิ่วอิงเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนจะยกมันขึ้นมาดูด้วยสีหน้าเหมือนจะพูดคำขอโทษออกมาในวินาทีนั้น แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งก็ยื่นพู่กันด้ามหนึ่งจากในอกเสื้อของเขามาให้ ด้ามพู่กันทำมาจากไม้สีเข้มแข็งแรง เรียบลื่นไร้รอยตำหนิ ปลายขนเรียวแหลมแน่นหนา สมกับเป็นของใช้ส่วนตัวของแม่ทัพใหญ่ผู้รอบคอบ ซิ่วอิงมองมันอย่างตกตะลึงเล็กน้อย แต่ไม่กล้ารับทันที “เอาไปใช้” เขากล่าวเรียบ ๆ ไม่มองหน้านาง “ของเก่าเจ้าก็หมดอายุขัยมันแล้ว พู่กันด้ามนี้แข็งแรงกว่ามากนัก ควรใช้งานให้คุ้ม” “ขอบคุณท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงพยักหน้ารับ จากนั้นนางก็กลับไปนั่งลงข้างแผ่นผ้า เริ่มจดรายละเอียดคำสั่งลงไปโดยไม่เอ่ยคำใดอีก ฮั่วชวี่ปิ้งหันหลังกลับไปยังแนวป้องกันที่กำลังก่อสร้างต่ออย่างไม่ชักช้า ความเงียบระหว่างทั้งสองไม่ได้ชวนอึดอัด หากแต่เป็นความเข้าใจที่ไม่ต้องอธิบาย ไม่มีแม้แต่บทสนทนาใดเพิ่มเติม มีเพียงความรับผิดชอบที่กางอยู่เบื้องหน้าพวกเขา และความเคารพในหน้าที่ของกันและกันอย่างมั่นคง ในยามที่กำแพงยังไม่แล้วเสร็จ หน้าที่ของพวกเขาก็ยังไม่จบเช่นกัน…



บูรณะป้อมฉีเหลียง วันที่ 3

-จบเควสปลดล็อกหัวใจ-
เควสปลดหัวใจ : เรือผีของคุณเอไอ (3)
ภารกิจ : อาสาช่วยงานที่หนักกว่าเดิม และนำอาหารและน้ำดื่มมาให้ฮั่วชวี่ปิ้ง

รางวัลหลัก : พู่กันเขียนอักษร (ของฮั่วชวี่ปิ้ง) - คำอธิบาย: พู่กันที่ฮั่วชวี่ปิ้งใช้เขียนอักษร แสดงถึงความเฉลียวฉลาดและความสามารถของเขา




@Admin 




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 35349 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-23 23:38
โพสต์ 35,349 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก หมวกเกราะพลทหาร  โพสต์ 2025-8-23 23:38
โพสต์ 35,349 ไบต์และได้รับ +35 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 ความโหด จาก ยอดยุทธ์ผู้ล่า  โพสต์ 2025-8-23 23:38
โพสต์ 35,349 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 ความโหด จาก ปราณเพลิงสีชาด  โพสต์ 2025-8-23 23:38
โพสต์ 35,349 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 ความโหด จาก ยอดฝีมือ  โพสต์ 2025-8-23 23:38
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
แหวนดาราจรัส(2)
หงอนคู่ราชันย์
ง้าวกรีดนภา
แหวนดาราจรัส(D)
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x30
x10
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x4
x1
x142
x4
x133
x186
x200
x399
x684
x707
x4
x4
x8
x4
x5
x20
x4
x599
x2
x20
x12
x22
x6
x12
x17
x10
x38
x2
x687
x228
x438
x44
x531
x19
x14
x1
x19
x228
x1
x21
x10
x203
x3
x116
x37
x5
x63
x1
x2
x40
x1
x5
x2
x7
x6
x5
x6
x6
x17
x2
x2
x25
x15
x16
x2
x47
x6
x7
โพสต์ 2025-8-24 22:14:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด






วันที่ 23 ชีเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 
ยามเฉินถึงยามยามโหย่ว (เวลา 07.00 - 19.00 น.)

ยามรุ่งสางของวันใหม่ แสงทองทอจับท้องฟ้าเป็นริ้วสีส้มอ่อน ค่ายทหารฉีเหลียงยังคงตื่นตัวตั้งแต่ไก่โห่ เสียงตะโกนสั่งงานของนายทหารสลับกับเสียงเกรียงเหล็กกระทบปูนดังมาจากกำแพงป้อมปราการอย่างต่อเนื่อง ซิ่วอิงอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น นางบรรจงปาดปูนลงบนรอยแยกของกำแพงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เสื้อผ้าของนางเปื้อนฝุ่นจนแทบเป็นสีเดียวกับปูนที่ใช้ แต่ดวงตาของนางกลับเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่น จากที่เคยทำงานแค่ซ่อมแซมกำแพงไม่กี่ส่วน ตอนนี้นางได้รับผิดชอบงานที่หนักหนากว่าเดิมมากนัก ทั้งขนหินก้อนใหญ่มาเสริมแนวฐานที่ทรุดตัว ผสมปูนในปริมาณที่มากขึ้น และปีนป่ายขึ้นไปบนนั่งร้านเพื่อซ่อมแซมส่วนที่อยู่สูงขึ้นไปจากพื้นดิน นางทำทุกอย่างอย่างไม่ย่อท้อ หวังเพียงให้แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งได้มีเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้นบ้างแม้เพียงเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลดงานของตนลงไปทั้งหมดตามที่นางหวัง แต่การที่เขาเลิกยืนเฝ้าดูงานก่อสร้างตั้งแต่เช้าตรู่เหมือนเมื่อก่อนก็ถือเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งที่น่าชื่นใจ เมื่อวานนี้เขาออกไปตรวจการณ์นอกค่าย และหลังจากกลับมาเขาก็มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ส่วนงานที่เหลือนั้นถูกมอบหมายให้ซิ่วอิงดูแล ซึ่งนางก็ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างไม่มีที่ติ ดวงตะวันค่อย ๆ ทอแสงแรงกล้าขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อยามสายคล้อยลง แสงแดดสีทองก็แผดเผาจนกลายเป็นสีขาวเจิดจ้าจับตาทุกผู้คน ไอร้อนระอุจากพื้นดินและกำแพงป้อมปราการที่ถูกอบด้วยแสงตะวันทำเอาเหงื่อของเหล่าทหารที่ทำงานอย่างหนักไหลอาบไปทั่วร่างกาย แต่ซิ่วอิงกลับไม่ใส่ใจ นางยังคงบรรจงปาดปูนลงบนกำแพงอย่างแน่วแน่และระมัดระวัง จนรอยร้าวที่เคยเป็นเส้นยาวและน่าหวาดหวั่นเริ่มเลือนหายไปภายใต้ชั้นปูนที่หนาแน่น นางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายออกมาจากไรผม กลิ่นคาวฝุ่นและดินปนเปกันจนเกาะแน่นไปทั่วเสื้อผ้า แต่นางก็มิได้ใส่ใจ สิ่งที่นางจดจ่ออยู่มีเพียงแค่งานตรงหน้า ภาพกำแพงที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์ปรากฏขึ้นในใจของนางอย่างชัดเจน ราวกับว่ากำแพงนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางต้องการให้เป็นไปได้ในโลกนี้ เมื่อใกล้จะถึงยามบ่าย ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีอีกครั้ง จากสีขาวเจิดจ้าก็กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม เสียงก้องกังวานของเกรียงเหล็กกระทบกับกำแพงป้อมปราการนั้นค่อย ๆ แผ่วลงไป แต่การทำงานของซิ่วอิงยังคงดำเนินต่อไป นางรับถังปูนจากเหล่าทหารหนุ่มที่ทำงานอยู่ด้านล่างอย่างระมัดระวัง ก่อนจะตักปูนขึ้นมาแล้วบรรจงปาดลงบนรอยร้าวของกำแพงอีกครั้ง สายตาของนางที่จับจ้องอยู่กับงานตรงหน้านั้นไม่เคยหวั่นไหว แม้ว่าดวงอาทิตย์จะเริ่มคล้อยต่ำลงและแสงสุดท้ายของวันกำลังจะลับขอบฟ้าไปในไม่ช้า นางทำเช่นนั้นไปเรื่อย ๆ อย่างเงียบ ๆ เพียงลำพังท่ามกลางความเงียบงันที่เริ่มเข้ามาแทนที่เสียงจอแจของค่ายทหารที่เริ่มเงียบลง แสงสุดท้ายของวันทอประกายกระทบเส้นผมที่พันกันยุ่งเหยิงของนาง เสื้อผ้าสีน้ำตาลที่เคยสะอาดสะอ้านถูกปกคลุมด้วยคราบฝุ่นและปูนจนเป็นสีเดียวกับกำแพง นางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยจากหน้าผากอีกครั้ง ก่อนจะบรรจงปาดปูนส่วนสุดท้ายลงไปอย่างประณีตราวกับวาดภาพ ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความพึงพอใจเมื่อมองเห็นกำแพงส่วนที่เคยทรุดโทรมกลับมาแข็งแรงสมบูรณ์อีกครั้ง หลังจากใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันอยู่กับงานนี้เพียงลำพัง นางลูบกำแพงเบา ๆ ราวกับจะกล่าวขอบคุณที่มันยืนหยัดมาอย่างยาวนาน ก่อนจะถอยหลังลงจากนั่งร้านอย่างเชื่องช้า แต่ท่วงท่ากลับคล่องแคล่วเกินกว่าที่ร่างกายจะแสดงออกมา เมื่อเท้าแตะลงบนพื้นดินอีกครั้ง ซิ่วอิงเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีอีกครั้ง พลันเสียงท้องร้องก็ดังขึ้นเตือนให้นางรู้ว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว นางเดินไปยังกองพลาธิการอย่างไม่รีบร้อน บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยทหารที่ต่างพากันมาเข้าแถวรับอาหาร เสียงพูดคุยและหัวเราะดังระงมไปทั่วบริเวณ แม้ว่าอาหารจะเรียบง่ายเพียงแค่ข้าวต้มกับผักดอง แต่สีหน้าของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสุขที่ได้พักผ่อน ซิ่วอิงหลังจากได้กินอาหารของตนเสร็จ ก็รีบรับอาหารในส่วนของแม่ทัพฮั่วเดินไปยังกระโจมของผู้บัญชาการตามที่เคยลั่นวาจาไว้กับเขา ซิ่วอิงเดินถืออาหารมาถึงหน้ากระโจมใหญ่ พลันนึกถึงคำพูดที่เคยบอกกับเขาว่านางจะดูแลเรื่องอาหารให้จนกว่าเขาจะหายดี นางเปิดผ้าม่านเข้าไปภายใน กระโจมนั้นแอบรกเล็กน้อย มีกลิ่นหอมจาง ๆ ของเครื่องหอมลอยอบอวลอยู่ทั่วบริเวณ ฮั่วชวี่ปิ้งนั่งอยู่บนแท่นไม้ที่ปูด้วยหนังเสือ สวมเสื้อคลุมสีเข้มที่หลวมกว่าตัวเล็กน้อย บนโต๊ะข้างกายมีกองเอกสารและแผนที่กองพะเนินอยู่ แสงตะเกียงน้ำมันส่องสว่างกระทบใบหน้าของเขา ทำให้เห็นเค้าโครงหน้าหวานที่ดูอ่อนล้าจากการทำงานมาทั้งวัน ซิ่วอิงวางถาดอาหารลงบนโต๊ะไม้ที่ว่างอยู่ใกล้ ๆ อย่างเงียบเชียบ "เรียนท่านแม่ทัพ วันนี้ข้าเอาไก่ขอทานมาให้ท่าน" นางเอ่ยเสียงเบา "มารดาของข้าเคยบอกว่าเวลาป่วยก็ต้องกินไก่เพราะมันดีต่อสุขภาพยามเจ็บป่วย..." ฮั่วชวี่ปิ้งเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร "เจ้าเองก็เพิ่งเลิกงานไม่ใช่หรือ แล้วทำไมไม่รีบไปพักผ่อน" เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สายตาของเขากวาดมองไปทั่วทั้งร่างกายของนางที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นและปูน "ดูสภาพเจ้าสิ เหมือนเพิ่งออกมาจากกองทราย" ซิ่วอิงยิ้มตอบ พลางใช้มือเช็ดคราบเปื้อนบนใบหน้าออกอย่างลวก ๆ "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้ายังแข็งแรงอยู่" นางว่า ก่อนจะเดินไปที่มุมหนึ่งของกระโจม "ในระหว่างที่ท่านแม่ทัพรับประทานอาหาร ข้าขอทำความสะอาดกระโจมให้ท่านนะเจ้าคะ ดูท่าท่านคงยุ่งจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง" ฮั่วชวี่ปิ้งยังไม่ทันได้ตอบ นางก็เริ่มปัดกวาดไปทั่วกระโจมแล้ว มือเรียวของนางหยิบไม้กวาดที่มุมกระโจมขึ้นมา ก่อนจะเริ่มกวาดฝุ่นและเศษดินที่พื้นอย่างเบามือ แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดโต๊ะและแท่นไม้จนสะอาดหมดจด ทุกการกระทำดูคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติราวกับว่าการดูแลสิ่งของเหล่านี้เป็นหน้าที่ของนางมานานแล้ว ฮั่วชวี่ปิ้งมองดูซิ่วอิงทำความสะอาดอย่างเงียบ ๆ พลางแกะไก่ขอทานออกแล้วค่อย ๆ ฉีกเนื้อกินอย่างสุภาพ เขาสังเกตเห็นว่าซิ่วอิงกำลังจัดเรียงกองเอกสารของเขาให้เป็นระเบียบ นางจัดหมวดหมู่เอกสารแต่ละกองอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งที่เขามิได้สั่งให้ทำ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าซิ่วอิงยังคงมีความอ่อนโยนและใส่ใจในการดูแลของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้เพราะเคยเห็นเพียงมุมของการทำงานหนักในค่ายทหาร เขาเลิกคิ้วมองนางที่กำลังใช้ผ้าเช็ดฝุ่นที่เกาะตามแผ่นไม้ปักธงอย่างเงียบงัน... "พลทหารหรง เจ้าทำอะไรน่ะ?" เขาถามเสียงทุ้มต่ำ ขณะที่จ้องมองการกระทำของนางอย่างพินิจพิจารณา ซิ่วอิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขา นางหันกลับมามองฮั่วชวี่ปิ้งที่นั่งอยู่บนแท่นไม้ มือยังคงถือเนื้อไก่อยู่ แต่สายตาของเขากลับจ้องมาที่การกระทำของนางอย่างพินิจพิเคราะห์ แสงจากตะเกียงน้ำมันส่องสว่างกระทบใบหน้าของเขา ทำให้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม "ก็...ทำความสะอาดกระโจมให้ท่านไงเจ้าคะ" นางตอบด้วยน้ำเสียงที่ลดลงเล็กน้อย พลางชูผ้าที่ใช้เช็ดฝุ่นขึ้นมาให้เขาดู "มันรกมากเลยนะเจ้าคะ ฝุ่นเต็มไปหมดเลย" ฮั่วชวี่ปิ้งวางเนื้อไก่ที่ยังกินไม่หมดลงบนจาน แล้วลุกขึ้นยืนช้า ๆ เขาก้าวเดินมาหานางอย่างเงียบ ๆ จนซิ่วอิงต้องถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว "แต่ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้า" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ "แค่งานบูรณะพวกนั้นก็หนักเกินไปสำหรับเจ้าแล้ว ยังต้องมาทำความสะอาดอะไรที่นี่อีก" "แต่ว่า..." ซิ่วอิงพยายามหาคำแก้ตัว "ข้าเห็นว่าท่านแม่ทัพทำงานหนักมากจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง" นางหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดต่อ "ข้าอยากให้ท่านได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เพราะท่านมีหน้าที่สำคัญยิ่งกว่าการดูแลเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้นี่เจ้าคะ" ฮั่วชวี่ปิ้งนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เขามองเข้าไปในดวงตาของซิ่วอิงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วก้มหน้าลงมองไก่ขอทานบนโต๊ะ "ขอบคุณ" เขาเอ่ยเสียงเบา "แต่เจ้าเองก็ทำงานหนักมาทั้งวันแล้ว ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว" "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ" นางยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ข้ายังทำไหว" "นี่เป็นคำสั่งของแม่ทัพ…" ฮั่วชวี่ปิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจที่ไม่อาจโต้แย้งได้ "งานที่เจ้าทำในวันนี้มันเกินกว่าที่ร่างกายของเจ้าจะรับไหวแล้ว พรุ่งนี้เจ้าต้องทำงานในส่วนที่เบากว่านี้" เขาใช้ปลายนิ้วชี้ไปที่ประตูทางออกอย่างช้า ๆ "ตอนนี้ถึงเวลาพักผ่อนของเจ้าแล้ว กลับไปได้แล้ว" ซิ่วอิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงช้า ๆ ด้วยความจำยอม "เจ้าค่ะ..." นางเดินถอยหลังออกมาอย่างช้า ๆ มือเรียวยกขึ้นโค้งคำนับให้เขาอย่างนอบน้อม ก่อนจะหมุนตัวหันหลังให้ฮั่วชวี่ปิ้งแล้วเดินออกไปจากกระโจมอย่างเงียบ ๆ เมื่อผ้าม่านปิดลง บรรยากาศภายในกระโจมก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง เหลือไว้เพียงแสงตะเกียงน้ำมันที่ส่องสว่างกระทบกองเอกสารและแผนที่บนโต๊ะ



บูรณะป้อมฉีเหลียง วันที่ 4 [NPC-18] มอบ ไก่ขอทาน และ ชาหวงซานเหมาเฟิง ให้ ฮั่ว ชวี่ปิ้ง +25 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดทอง + ชา/สุราเกรดทอง (+15) อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5 โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +15 โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม



@Admin 





แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 80 โพสต์ 2025-8-24 22:51
โพสต์ 27051 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-24 22:14
โพสต์ 27,051 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก หมวกเกราะพลทหาร  โพสต์ 2025-8-24 22:14
โพสต์ 27,051 ไบต์และได้รับ +20 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 ความโหด จาก ยอดยุทธ์ผู้ล่า  โพสต์ 2025-8-24 22:14
โพสต์ 27,051 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 ความโหด จาก ปราณเพลิงสีชาด  โพสต์ 2025-8-24 22:14
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
แหวนดาราจรัส(2)
หงอนคู่ราชันย์
ง้าวกรีดนภา
แหวนดาราจรัส(D)
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x30
x10
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x4
x1
x142
x4
x133
x186
x200
x399
x684
x707
x4
x4
x8
x4
x5
x20
x4
x599
x2
x20
x12
x22
x6
x12
x17
x10
x38
x2
x687
x228
x438
x44
x531
x19
x14
x1
x19
x228
x1
x21
x10
x203
x3
x116
x37
x5
x63
x1
x2
x40
x1
x5
x2
x7
x6
x5
x6
x6
x17
x2
x2
x25
x15
x16
x2
x47
x6
x7
โพสต์ 2025-8-25 22:56:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด






วันที่ 24 ชีเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 
ยามเหม่าถึงยามยามโหย่ว (เวลา 05.00 - 19.00 น.)

ยามรุ่งสางของวันใหม่ ซิ่วอิงตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกที่ปวดเมื่อยไปทั่วสรรพางค์กาย แต่ไม่นานนักความปวดเมื่อยนั้นก็เลือนหายไปเมื่อนึกถึงงานที่ได้รับมอบหมายในวันนี้ นางสวมเสื้อผ้าที่สะอาดกว่าเดิม แล้วเดินไปยังกองพลาธิการเพื่อรับข้าวต้มยามเช้าเช่นเดียวกับเหล่าทหารคนอื่น ๆ เสียงจอแจของค่ายทหารดังขึ้นอีกครั้ง เหล่าทหารที่ตื่นแต่เช้าต่างพากันมาเข้าแถวเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานในวันนี้ ดวงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า แต่แสงสีเงินยวงก็เริ่มทอประกายออกมาจากเบื้องหลังเทือกเขาไกลลิบ ซิ่วอิงก้าวเดินไปยังป้อมปราการฉีเหลียงอย่างมุ่งมั่น แต่วันนี้นางไม่ได้ไปรวมกลุ่มกับเหล่าทหารที่กำลังเริ่มงานซ่อมแซมกำแพง นางเดินอ้อมไปที่ด้านหลังของป้อมปราการ ซึ่งเป็นส่วนที่เคยทรุดโทรมจนแทบจะกลายเป็นกองซากปรักหักพัง วันนี้ซิ่วอิงได้รับมอบหมายให้บูรณะแนวฐานของป้อมปราการซึ่งเป็นงานที่เบากว่าการซ่อมแซมกำแพงด้านหน้ามากนัก แต่งานนี้ก็ต้องใช้ความประณีตและความใส่ใจไม่แพ้กัน นางเริ่มจากการเก็บกวาดซากหินและเศษดินที่หลงเหลืออยู่จากงานเมื่อวานนี้ ก่อนจะเริ่มขนหินก้อนเล็ก ๆ มาเสริมแนวฐานที่ทรุดตัว นางบรรจงวางหินแต่ละก้อนลงไปอย่างระมัดระวัง เพื่อให้แต่ละก้อนยึดเกาะกันได้อย่างมั่นคงและเป็นระเบียบเรียบร้อย ดวงตะวันค่อย ๆ ทอแสงแรงกล้าขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อยามสายคล้อยลง แสงแดดสีทองก็แผดเผาจนกลายเป็นสีขาวเจิดจ้าจับตาทุกผู้คน ไอร้อนระอุจากพื้นดินและป้อมปราการที่ถูกอบด้วยแสงตะวันทำเอาเหงื่อของซิ่วอิงไหลอาบไปทั่วร่างกาย แต่นางก็ไม่ใส่ใจ นางยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปเรื่อย ๆ มือเรียวของนางจับจอบขุดดินอย่างคล่องแคล่ว พลางโกยดินขึ้นมาผสมกับปูนแล้วเทลงบนรอยแยกของแนวฐานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เสื้อผ้าของนางเปื้อนฝุ่นจนแทบเป็นสีเดียวกับดินที่ใช้ แต่ดวงตาของนางกลับเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่น ภาพแนวฐานที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์ปรากฏขึ้นในใจของนางอย่างชัดเจน ราวกับว่าแนวฐานนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางต้องการให้เป็นไปได้ในโลกนี้ นางทำเช่นนั้นไปเรื่อย ๆ อย่างเงียบ ๆ เพียงลำพังท่ามกลางความเงียบงันที่เริ่มเข้ามาแทนที่เสียงจอแจของค่ายทหารที่เริ่มเงียบลง เมื่อใกล้จะถึงยามบ่าย ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีอีกครั้ง จากสีขาวเจิดจ้าก็กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม เสียงก้องกังวานของจอบกระทบกับพื้นดินนั้นค่อย ๆ แผ่วลงไป แต่การทำงานของซิ่วอิงยังคงดำเนินต่อไป นางจัดเรียงหินก้อนสุดท้ายลงไปบนแนวฐานอย่างประณีต ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความพึงพอใจเมื่อมองเห็นแนวฐานที่เคยทรุดโทรมกลับมาแข็งแรงสมบูรณ์อีกครั้ง หลังจากใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันอยู่กับงานนี้เพียงลำพัง นางลูบแนวฐานเบา ๆ ราวกับจะกล่าวขอบคุณที่มันยืนหยัดมาอย่างยาวนาน ยามสนธยามาเยือนอีกครั้ง แสงสีส้มแดงฉาบไล้อยู่บนฟากฟ้าเป็นริ้วยาว ก่อนจะค่อยๆ จางลงจนเหลือเพียงแสงทึม ๆ เสียงตะโกนโหวกเหวกของเหล่าทหารที่กลับจากงานในหน้าที่ดังประสานกันขึ้นอีกครั้งเป็นระยะ ๆ คลอเคล้าไปกับกลิ่นอายของฝุ่นดินที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ซิ่วอิงมองเห็นร่างเงาของพวกเขาเคลื่อนไหวอยู่ห่าง ๆ ราวกับฝูงมดที่กำลังเดินกลับรัง นางวางจอบและเกรียงสำหรับฉาบปูนลงอย่างแผ่วเบาแล้วยืนขึ้นยืดเส้นยืดสายหลังจากใช้เวลากับงานบูรณะแนวฐานของป้อมปราการมาเกือบทั้งวัน เสื้อผ้าของนางที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสีน้ำตาลอ่อนตอนนี้กลายเป็นสีเดียวกับดินที่ติดอยู่จนมองไม่เห็นสีเดิม เส้นผมบางส่วนหลุดลุ่ยลงมาปรกใบหน้าที่เลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นดิน แต่รอยยิ้มบาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนางเมื่อเห็นแนวฐานของป้อมปราการที่ถูกบูรณะจนกลับมาแข็งแรงมั่นคงอีกครั้ง นางมองสำรวจงานที่ทำด้วยความภาคภูมิใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามรอยเท้าของเหล่าทหารคนอื่นที่กำลังมุ่งหน้าไปยังกองพลาธิการเพื่อรับอาหารเย็น กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งอยู่ในอากาศตั้งแต่ไกล ๆ ซิ่วอิงเดินตามกลิ่นนั้นไปจนถึงกองพลาธิการ ที่เป็นกระโจมชั่วคราวขนาดใหญ่ เสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คนดังอยู่ภายใน นางเดินเข้าไปต่อแถวรับอาหารในหม้อดินขนาดใหญ่ ซึ่งในวันนี้เป็นข้าวต้มเหลว ๆ ที่มีเพียงผักแห้งและเนื้อสัตว์ไม่กี่ชิ้นลอยอยู่ เกลือเล็กน้อยที่ใส่ลงไปทำให้รสชาติของมันไม่จืดชืดจนเกินไปนัก นางรับชามข้าวต้มมาถือไว้ในมือ ก่อนจะมองหาที่นั่งท่ามกลางเหล่าทหารที่จับกลุ่มพูดคุยกันอย่างออกรส สายตาของนางกวาดไปทั่วจนพบกับร่างของเกาเหยียนที่กำลังนั่งอยู่ลำพัง ห่างจากกลุ่มทหารคนอื่นไม่มากนัก เกาเหยียนพยักหน้าให้นางเป็นเชิงเรียก ซิ่วอิงจึงเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ เขาบนพื้นทราย “วันนี้ทำไมกลับช้าล่ะลูกพี่” เกาเหยียนเอ่ยถามพลางตักข้าวต้มเข้าปาก “ข้าเพิ่งทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ” ซิ่วอิงตอบพลางเป่าข้าวต้มในชามให้เย็นลง “งานของท่านวันนี้เบาเสียยิ่งกว่างานของพวกเราเสียอีก น่าจะเสร็จตั้งนานแล้วมิใช่หรือ?” เกาเหยียนเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย “ข้าเห็นท่านก้มหน้าก้มตาอยู่กับกองหินพวกนั้นจนกระทั่งยามเย็นคล้อยลงไปเกือบหมดแล้ว” “ก็ข้าอยากทำให้งานออกมาดีที่สุดนี่นา” ซิ่วอิงยิ้มบาง ๆ เกาเหยียนส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ ก่อนจะก้มลงตักข้าวต้มในชามของตนเองขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ เสียงพูดคุยของเหล่าทหารคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้างค่อย ๆ เงียบลงไปเมื่อแต่ละคนต่างมุ่งความสนใจไปที่อาหารในชามของตนเอง จนกระทั่งเหลือเพียงเสียงตักข้าวต้มและเสียงกระทบกันของชามดินเท่านั้น ซิ่วอิงกำลังจะตักข้าวต้มเข้าปาก แต่ทันใดนั้นเอง ภาพของท่านแม่ทัพฮั่วผู้แข็งแกร่งก็แวบขึ้นมาในหัวของนางอย่างฉับพลัน นางนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยังไม่ได้เอาอาหารเย็นไปให้ท่านแม่ทัพเลย ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย นางวางชามข้าวต้มลงกับพื้นอย่างรวดเร็วพลางทำท่าจะลุกขึ้น “อ้าว…ลูกพี่จะไปไหน?” เกาเหยียนถามขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของนาง “ข้าลืมไปเลยว่าถึงเวลาอาหารเย็นของท่านแม่ทัพแล้ว” เกาเหยียนหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ “โธ่ ลูกพี่! ทำไมถึงได้เป็นห่วงเป็นใยเรื่องอาหารการกินของท่านแม่ทัพมากขนาดนี้กันเล่า” เขายิ้มอย่างมีเลศนัย “หรือว่า…ท่านคิดอะไรกับท่านแม่ทัพเข้าแล้วจริง ๆ” ซิ่วอิงรีบส่ายหน้าอย่างแรงจนเส้นผมที่หลุดลุ่ยลงมาปรกใบหน้ายิ่งพันกันยุ่งเหยิงไปใหญ่ “จะบ้าเรอะ! ข้ากับท่านแม่ทัพไม่มีอะไรทั้งนั้น!” “เช่นนั้นข้าคงเข้าใจผิดไปเอง” เกาเหยียนกล่าวเสียงเรียบ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายังคงไม่เลือนหายไป “หรือว่า…” “หรือว่าอะไร?” ซิ่วอิงเลิกคิ้วถามด้วยความไม่เข้าใจ เกาเหยียนหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วมองตรงมายังนางอย่างพินิจ “หรือว่าคนที่ท่านมีใจให้จะเป็นคุณชายคนนั้นต่างหาก…” สิ้นคำของเกาเหยียน ซิ่วอิงก็สะดุ้งเฮือก ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ใบหน้าซีดเผือดลงทันทีราวกับถูกตบด้วยฝ่ามืออย่างแรง นางจ้องมองเกาเหยียนอย่างไม่เชื่อหู “คุณชาย...คุณชายไหน!!!” “ก็คุณชายที่ท่านเพ้อถึงเมื่อครั้งที่ท่านเมาแอ๋ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะนั่นอย่างไรเล่า” เกาเหยียนกล่าวพลางระบายยิ้มขบขัน “ท่านดื่มเหล้าไปหลายไห เมาจนไม่ได้สติ แถมยังไปทุบอกท่านแม่บอกใจร้าย ๆ อะไรสักอย่างด้วย กว่าข้าจะดึงตัวท่านออกมาจากท่านแม่ทัพได้ก็ทำเอาข้าปวดหัวไปหมดเลยเชียว” “เจ้า! เจ้าพูดอะไรออกมา! อ๊าาาาา!!” ซิ่วอิงร้องเสียงหลงพร้อมกับยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างราวกับไม่อยากได้ยินเรื่องน่าอับอายเช่นนั้นอีกแล้ว นางสะบัดศีรษะไปมาอย่างรุนแรงจนเส้นผมที่หลุดลุ่ยอยู่แล้วยิ่งยุ่งเหยิงกว่าเก่า “เจ้า! เจ้าอย่าพูดอะไรแบบนั้นออกมาอีกนะ!” แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของนางอย่างฉับพลัน ใบหน้าที่ซีดเผือดเมื่อครู่กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง นางหันขวับกลับไปจ้องหน้าเกาเหยียนอย่างเอาเรื่อง “ขะ…ข้าทำแบบนั้นจริงเหรอ?” เกาเหยียนเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกขัน “ก็จริงสิ! ท่านเมาจนไม่ได้สติ แถมยังร้องเรียกหา ‘คุณชาย’ อะไรของท่านอยู่ตลอดเวลา ไม่พอ…ท่านยังไปทุบอกท่านแม่ทัพฮั่วแล้วพูดว่า คนใจร้าย ๆ อะไรสักอย่างด้วย” ทันทีที่ได้ยินคำยืนยันจากเกาเหยียน ซิ่วอิงก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังจะพังทลายลงตรงหน้า ใบหน้าของนางขาวซีดราวกับคนตาย ดวงตาเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจและอับอายอย่างถึงที่สุด “ตายแล้ว! ตายแล้ว! ตายแล้ว! ทำไมเจ้าเพิ่งมาบอกข้าตอนนี้! ทำไมไม่บอกข้าตั้งแต่ตอนนั้น!” “ข้าแค่เห็นว่ามันตลกดีแล้วท่านแม่ทัพก็ดูไม่ได้ถือสาเอาความอะไร ข้าก็เลยปล่อยเรื่องเงียบไป” เกาเหยียนยักไหล่ด้วยท่าทีสบาย ๆ ซิ่วอิงรู้สึกราวกับมีใครเอาก้อนหินหนัก ๆ มาทุบเข้าที่ศีรษะ นางอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้น ๆ จากตรงนี้ อยากจะหารูมุดดินหนีความอับอายนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด นางรีบลุกขึ้นพรวดพราดราวกับมีแรงผลักดันมหาศาล กำชามข้าวต้มในมือแน่น ก่อนจะตรงดิ่งไปรับอาหารส่วนของท่านแม่ทัพที่กองพลาธิการโดยไม่พูดอะไรต่อ แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังกระโจมบัญชาการของเขาทันที เกาเหยียนมองตามหลังนางไปอย่างงุนงง “อ้าว! ลูกพี่จะไปไหนแล้วเล่า! จะไม่กินข้าวแล้วหรือ!” แต่ซิ่วอิงไม่ได้ยินเสียงของเขาแล้ว นางมีเพียงเป้าหมายเดียวในตอนนี้คือการไปขอโทษท่านแม่ทัพฮั่วให้เร็วที่สุด นางจะไม่ยอมให้ความผิดพลาดที่น่าอับอายนี้ติดค้างอยู่ในใจของนางอีกต่อไป! ท่ามกลางความเงียบสงบยามค่ำคืน ซิ่วอิงมาถึงกระโจมบัญชาการของแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งด้วยความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง นางทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง กลิ่นหอมของอาหารและสมุนไพรลอยอบอวลไปทั่วกระโจม บรรยากาศภายในกระโจมดูเรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยความสง่างามตามแบบฉบับของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ แผนที่ขนาดใหญ่หลายแผ่นถูกกางอยู่บนโต๊ะทำงาน มีแสงไฟจากโคมไฟน้ำมันส่องสว่างอยู่ด้านข้าง แม่ทัพฮั่วในชุดเสื้อคลุมสีเข้มกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราฉบับหนึ่งอย่างตั้งใจ ซิ่วอิงเดินเข้าไปหาเขาอย่างแผ่วเบา นางวางชามบะหมี่ฉีซานร้อน ๆ และถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะข้าง ๆ แผนที่อย่างเงียบกริบ บะหมี่มีเส้นเหนียวนุ่มในน้ำซุปสีแดงเข้มที่โรยหน้าด้วยเนื้อสัตว์หั่นชิ้นเล็ก ๆ และผักต่าง ๆ กลิ่นหอมฉุนของน้ำส้มสายชูและพริกทำให้กลิ่นหอมของมันยิ่งน่าลิ้มลองเข้าไปอีก แม่ทัพฮั่วเงยหน้าขึ้นจากกองตำรา ดวงตาของเขาจับจ้องมาที่บะหมี่และน้ำชาที่นางนำมาให้ ก่อนจะมองมาที่ซิ่วอิงที่ยืนนิ่งอยู่ข้างโต๊ะด้วยความสงสัย “มีอันใดอีก” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ ๆ คำถามของเขาทำให้ซิ่วอิงรู้สึกร้อนรน นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตัดสินใจทำในสิ่งที่นางคิดว่าถูกต้องที่สุดในตอนนี้ นางทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างรวดเร็ว เสียงกระแทกของหัวเข่ากับพื้นดังขึ้นเบา ๆ นางก้มศีรษะลงจนหน้าผากเกือบจะแตะพื้น กล่าวเสียงสั่นเครือด้วยความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้น “ขะ…ข้าขออภัยท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ!” แม่ทัพฮั่วชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขาจ้องมองร่างที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าอย่างงุนงง “ขะ…ข้าขออภัยเรื่องที่ข้าเมาแล้วพูดจาล่วงเกินท่านไปในคืนวันนั้น…คืนที่เลี้ยงฉลองชัยชนะเจ้าค่ะ…ข้าเมาหนักมากจนจำอะไรไม่ได้เลย” ซิ่วอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างแท้จริง “ข้าไม่ควรทำกิริยาเช่นนั้นกับท่านแม่ทัพเลยเจ้าค่ะ…ได้โปรด…ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ” ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทั้งกระโจม มีเพียงเสียงลมหายใจอันหนักอึ้งของซิ่วอิงเท่านั้นที่ดังขึ้น แม่ทัพฮั่วมองนางด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา “ลุกขึ้นเถอะ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ๆ ซิ่วอิงไม่ยอมเงยหน้าขึ้น นางยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่เช่นนั้น “หากท่านแม่ทัพไม่ยกโทษให้ ข้าก็จะไม่ลุกขึ้นเจ้าค่ะ” แม่ทัพฮั่วถอนหายใจออกมาอย่างเบา ๆ “ข้าไม่ถือสาคนเมาหรอก” เขาเว้นช่วงไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ซิ่วอิงจับใจความไม่ได้ “เจ้าจะไปมีปัญหากับใคร นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของข้า” เมื่อได้ยินดังนั้น ซิ่วอิงก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของนางกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง นางประสานมือคารวะอีกครั้งพลางกล่าวเสียงดังฟังชัด “จริงหรือเจ้าคะ! ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่ใจกว้าง! ข้าซาบซึ้งในความเมตตาของท่านยิ่งนักเจ้าค่ะ!” แม่ทัพฮั่วมองท่าทีดีใจจนออกนอกหน้าของนางอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะหยิบบะหมี่ขึ้นมาชิมหนึ่งคำ แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม “แต่ระวังหน่อย…การไปสนิทสนมกับขุนนางใหญ่มากเกินไป คนอาจจะมองว่าเจ้าเล่นเส้นสายได้” คำเตือนของเขาทำให้ซิ่วอิงถึงกับชะงักงัน นางพยักหน้ารับอย่างงง ๆ ในใจพลางคิดทบทวนว่าที่ผ่านมานางเคยสนิทสนมกับขุนนางใหญ่ที่ไหนบ้าง แต่นางก็นึกไม่ออกเลยสักคน จะมีก็แต่ท่านแม่ทัพฮั่วที่นางได้ใกล้ชิดมากที่สุดแล้ว แต่เขาก็ไม่น่าจะหมายถึงตัวเองนี่นา…ด้วยความสับสนและความสงสัย นางจึงทำได้เพียงก้มศีรษะลงคารวะเขาอีกครั้ง “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ ข้าขอลา” เมื่อกล่าวจบ นางก็รีบหันหลังแล้วเดินออกจากกระโจมไปอย่างรวดเร็ว




บูรณะป้อมฉีเหลียง วันที่ 5 [NPC-18] มอบ บะหมี่ฉีซาน และ ชาขาวเข็มเงิน ให้ ฮั่ว ชวี่ปิ้ง +25 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดทอง + ชา/สุราเกรดทอง (+15) อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5 โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +15 โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม



@Admin 





แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 80 โพสต์ 2025-8-26 13:39
โพสต์ 37372 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-25 22:56
โพสต์ 37,372 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก หมวกเกราะพลทหาร  โพสต์ 2025-8-25 22:56
โพสต์ 37,372 ไบต์และได้รับ +35 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 ความโหด จาก ยอดยุทธ์ผู้ล่า  โพสต์ 2025-8-25 22:56
โพสต์ 37,372 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 ความโหด จาก ปราณเพลิงสีชาด  โพสต์ 2025-8-25 22:56
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
แหวนดาราจรัส(2)
หงอนคู่ราชันย์
ง้าวกรีดนภา
แหวนดาราจรัส(D)
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x30
x10
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x4
x1
x142
x4
x133
x186
x200
x399
x684
x707
x4
x4
x8
x4
x5
x20
x4
x599
x2
x20
x12
x22
x6
x12
x17
x10
x38
x2
x687
x228
x438
x44
x531
x19
x14
x1
x19
x228
x1
x21
x10
x203
x3
x116
x37
x5
x63
x1
x2
x40
x1
x5
x2
x7
x6
x5
x6
x6
x17
x2
x2
x25
x15
x16
x2
x47
x6
x7
โพสต์ 2025-8-26 21:56:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด






วันที่ 25 ชีเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 
ยามเฉินถึงยามเซิน (เวลา 07.00 - 17.00 น.)

หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น ซิ่วอิงก็ตื่นขึ้นมาในยามรุ่งสางของวันถัดไปพร้อมกับความรู้สึกที่เบาโหวงในใจอย่างน่าประหลาดใจ ราวกับว่าความอับอายที่เคยหนักอึ้งเมื่อคืนได้เลือนหายไปพร้อมกับความมืดมิดของราตรี นางสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่ผ่านการซักจนสะอาดแล้ว แล้วเดินไปยังกองพลาธิการเพื่อรับข้าวต้มยามเช้าเช่นเดียวกับเหล่าทหารคนอื่น ๆ อีกครั้ง กลิ่นหอมจาง ๆ ของข้าวต้มลอยอบอวลไปทั่วค่าย บรรยากาศเงียบสงบกว่าวันก่อนมากนัก เพราะเหล่าทหารส่วนใหญ่ยังคงหลับใหลอยู่ ซิ่วอิงมุ่งตรงไปยังป้อมปราการฉีเหลียง ดวงตะวันเริ่มทอแสงสีทองอ่อน ๆ จากขอบฟ้า รังสีแห่งความอบอุ่นสาดส่องลงมาต้องกับตัวนางจนทำให้รู้สึกสบายกายไปทั่วทั้งสรรพางค์ ป้อมปราการที่เคยดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเมื่อคืนกลับดูอ่อนโยนลงยามต้องแสงอรุณ นางเดินอ้อมไปทางด้านหลังของป้อมปราการเช่นเดียวกับเมื่อวาน ซึ่งเป็นส่วนที่เคยทรุดโทรมจนแทบจะกลายเป็นกองซากปรักหักพัง วันนี้ซิ่วอิงได้รับมอบหมายให้บูรณะกำแพงด้านในของป้อมปราการ ซึ่งงานนี้แตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง หากการบูรณะแนวฐานต้องใช้ความประณีตและความใส่ใจ งานบูรณะกำแพงนี้กลับต้องใช้กำลังกายและความอดทน นางเริ่มจากการนำหินก้อนใหญ่มาเรียงซ้อนกันเป็นฐานรากของกำแพง แต่ละก้อนมีน้ำหนักมากจนนางต้องออกแรงยกด้วยสองมือและแบกด้วยกำลังทั้งหมดที่มี นางหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะออกแรงยกหินขึ้นมาอย่างช้า ๆ เส้นเอ็นที่แขนและไหล่ปูดโปนขึ้นมาอย่างชัดเจน นางเดินตรงไปยังตำแหน่งที่ต้องวางหินก้อนนั้นลงอย่างมั่นคง เมื่อวางหินลงบนพื้นแล้ว นางก็ใช้เกรียงฉาบปูนตักเอาดินผสมปูนที่เตรียมไว้ แล้วโบกไปตามรอยต่อของก้อนหินอย่างคล่องแคล่ว ความเงียบสงบเข้าปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ มีเพียงเสียงจอบที่กระทบกับก้อนหินและเสียงฉาบปูนเท่านั้นที่ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ เริ่มผุดขึ้นบนหน้าผากของนาง เมื่อดวงตะวันเริ่มคล้อยสูงขึ้น แสงแดดอันร้อนแรงก็แผดเผาลงมายังร่างของนางจนเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แม้ร่างกายจะอ่อนล้า แต่ดวงตาของนางกลับเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่น นางก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ หินก้อนแล้วก้อนเล่าถูกจัดวางลงอย่างมั่นคง กำแพงที่เคยพังทลายก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ทำงานอยู่นั้น ภาพในวัยเด็กของซิ่วอิงก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดอย่างชัดเจน ท่านแม่ของนางเคยสอนให้นางเรียนรู้งานบ้านงานเรือน เช่น การเย็บปักถักร้อย การจัดดอกไม้ หรือแม้แต่การชงชา แต่ถึงจะได้รับการสั่งสอนมาอย่างดีแค่ไหน ซิ่วอิงกลับไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เลยแม้แต่น้อย นางเย็บผ้าได้ไม่เรียบร้อย ปักดอกไม้ก็ไม่สวยงาม ส่วนเรื่องการจัดดอกไม้ก็ยิ่งไปกันใหญ่ นางจัดกิ่งไม้ดอกไม้ออกมาได้อย่างไร้รูปแบบจนท่านแม่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจเสมอมา นางเป็นเพียงบุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองเล็ก ๆ แต่เรื่องที่ควรจะทำได้อย่างหญิงสาวทั่วไปในยุคนี้ นางกลับไม่ถนัดเลยสักอย่าง ยังดีที่การชงชายังนับว่าใช้ได้ แต่เมื่อเป็นเรื่องการแบกหินโบกปูนเช่นนี้ นางกลับทำได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด นางแบกหินก้อนใหญ่ขึ้นมาได้อย่างสบายๆ แม้จะรู้สึกเมื่อยล้าแต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนัก นางใช้จอบขุดดินและผสมปูนได้อย่างเชี่ยวชาญราวกับช่างปูนมืออาชีพ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สตรีควรจะทำได้ด้วยซ้ำไป ซิ่วอิงมองมือของตนเองที่เลอะไปด้วยดินและปูน สองมือที่ครั้งหนึ่งเคยบอบบางและเนียนนุ่ม ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยรอยขูดขีดและรอยด้าน นางไม่เคยคิดมาก่อนว่ามือที่เคยใช้จับพู่กันและถ้วยชาจะสามารถทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ แต่มันกลับเป็นเช่นนั้นจริง ๆ นางอดที่จะยิ้มบาง ๆ ออกมาไม่ได้ นางรู้สึกภูมิใจในตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังความเงียบงันที่ถูกคลุมด้วยเสียงของลมและเสียงทำงาน ก้อนหินก้อนสุดท้ายก็ถูกวางลงอย่างแน่นหนา ซิ่วอิงปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาจากหน้าผาก ดวงตาคมกริบเหลือบมองผลงานที่ตนเองสร้างขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ กำแพงด้านในของป้อมปราการที่เคยเป็นเพียงซากปรักหักพังยามนี้กลับกลายเป็นกำแพงที่แข็งแรงและมั่นคงอีกครั้ง นางยืดตัวขึ้นคลายความเมื่อยล้า พลางคิดอย่างขบขันว่า “สงสัยชาติที่แล้วข้าคงเป็นกรรมกรแบกหามกระมัง” ขณะที่ซิ่วอิงกำลังขำขันกับความคิดของตัวเองอยู่นั้น เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นด้านหลังก็ทำให้นางหันกลับไปมอง เจ้าหมาสามหัวเดินมาหยุดอยู่ข้างกายมันส่งเสียงครางต่ำ ๆ ก่อนจะใช้จมูกดันเข้าที่มือของนางราวกับต้องการจะบอกว่า ‘ข้ามาช่วยเจ้าทำงานแล้ว’ ซิ่วอิงก้มลงลูบหัวมันด้วยความเอ็นดู นางยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะชี้ไปยังกองหินที่ยังเหลืออยู่ "เจ้ามาช่วยข้าจริง ๆ หรือ?" ราวกับเข้าใจคำพูดของนาง เจ้าหมาสามหัวก็เดินเข้าไปในกองหินแล้วคาบก้อนหินขนาดพอเหมาะออกมาด้วยปากของมัน มันวางหินลงบนพื้นอย่างเบามือ แล้วหันกลับไปคาบก้อนใหม่ออกมาอีกตัวแล้วตัวเล่า การทำงานของเจ้าหมาสามหัวช่างเป็นระเบียบและคล่องแคล่วเกินกว่าที่สัตว์ตัวใดจะทำได้ มันคาบก้อนหินขนาดใหญ่และหนักจนน่าตกใจได้อย่างง่ายดาย แล้วนำมาวางเรียงซ้อนกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ เสียงหอบหายใจของมันดังสลับกับเสียงของหินที่กระทบกันเป็นระยะ ซิ่วอิงมองภาพนั้นด้วยความประหลาดใจและหัวใจที่พองโต นางใช้เวลาเพียงไม่นานในการฉาบปูนและเก็บรายละเอียดต่าง ๆ บนกำแพงอีกด้านจนมันเสร็จสมบูรณ์ แสงแดดยามบ่ายเริ่มอ่อนแสงลงยามเมื่อกำแพงทั้งหมดถูกบูรณะจนเสร็จสิ้น ซิ่วอิงยืนพิงกำแพงที่สร้างขึ้นใหม่ด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า แต่เต็มไปด้วยความสุขและภาคภูมิใจในตัวเอง นางหันไปมองเจ้าหมาสามหัวที่กำลังนอนหอบอยู่ข้าง ๆ พลางยิ้มขอบคุณ "วันนี้ข้าต้องขอบใจเจ้ามากจริง ๆ ถ้าไม่มีเจ้า งานคงไม่เสร็จเร็วขนาดนี้" เจ้าหมาสามหัวลุกขึ้นมาแล้วใช้หัวทั้งสามดันเข้าที่มือของซิ่วอิงราวกับต้องการจะปลอบโยน ความเหนื่อยล้าที่มีอยู่ก่อนหน้ามลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซิ่วอิงลูบหัวของมันเบา ๆ แล้วเดินไปยังลำธารใกล้ ๆ เพื่อล้างมือที่เปื้อนไปด้วยดินและปูนออกอย่างช้า ๆ มือที่เคยขาวสะอาดบัดนี้เต็มไปด้วยรอยแผลเล็ก ๆ และด้านหนา แต่ก็ดูแข็งแรงและงดงามในแบบที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง หลังทำความสะอาดมือและใบหน้าจนสะอาดหมดจดแล้ว ซิ่วอิงก็เดินกลับมายังที่ที่เจ้าหมาสามหัวนอนพักอยู่ แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องต้องร่างของทั้งคู่เป็นเงายาวบนพื้นดินที่ยังคงมีเศษหินและฝุ่นผงอยู่ทั่วไป เจ้าหมาสามหัวเห็นซิ่วอิงเดินมาก็ลุกขึ้นยืน มันเดินไปที่กองพลาธิการแล้วคาบแป้งทอดและเนื้อตากแห้งขนาดเล็กออกมา แล้ววางลงตรงหน้าซิ่วอิง ซิ่วอิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าหมาสามหัวนั้นสามารถเข้าใจความรู้สึกและทำอะไรอย่างการไปหาอาหารมาให้ได้ ซิ่วอิงหยิบแป้งทอดขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วส่งให้เจ้าหมาสามหัวหนึ่งชิ้น ทั้งคู่กัดกินอาหารที่แห้งและแข็งกระด้างนั้นอย่างเงียบ ๆ แม้รสชาติของอาหารจะไร้ซึ่งความหวานหรือรสชาติใด ๆ แต่ความอิ่มท้องที่ได้รับจากอาหารตรงหน้าก็ทำให้ความเหนื่อยล้าจากการทำงานในวันนี้มลายหายไปจนหมดสิ้น ราวกับว่าความเหนื่อยยากที่ผ่านมาตลอดทั้งวันนั้น เป็นเพียงเพื่อรอคอยอาหารอันแสนเรียบง่ายตรงหน้าก็ไม่ปาน ซิ่วอิงรู้สึกราวกับได้ลิ้มรสความสุขอย่างเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิตที่เป็นคุณหนูตระกูลขุนนางของนางเลย เจ้าหมาสามหัวเหลือบตามามองซิ่วอิงอย่างอ่อนโยน มันใช้หัวทั้งสามดันซิ่วอิงเบา ๆ อย่างปลอบโยน ซิ่วอิงยิ้มบาง ๆ แล้วลูบหัวมันด้วยความรักใคร่ นางวางแป้งทอดและเนื้อตากแห้งที่เหลือลงในตะกร้าแล้ววางลงบนพื้นอย่างเบามือ แล้วพยุงร่างของเจ้าหมาสามหัวที่อ่อนเพลียจากการทำงานหนักกลับไปที่กระโจมที่พัก



บูรณะป้อมฉีเหลียง วันที่ 6

@Admin 






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 21957 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-26 21:56
โพสต์ 21,957 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก หมวกเกราะพลทหาร  โพสต์ 2025-8-26 21:56
โพสต์ 21,957 ไบต์และได้รับ +20 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 ความโหด จาก ยอดยุทธ์ผู้ล่า  โพสต์ 2025-8-26 21:56
โพสต์ 21,957 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 ความโหด จาก ปราณเพลิงสีชาด  โพสต์ 2025-8-26 21:56
โพสต์ 21,957 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 ความโหด จาก ยอดฝีมือ  โพสต์ 2025-8-26 21:56
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
แหวนดาราจรัส(2)
หงอนคู่ราชันย์
ง้าวกรีดนภา
แหวนดาราจรัส(D)
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x30
x10
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x4
x1
x142
x4
x133
x186
x200
x399
x684
x707
x4
x4
x8
x4
x5
x20
x4
x599
x2
x20
x12
x22
x6
x12
x17
x10
x38
x2
x687
x228
x438
x44
x531
x19
x14
x1
x19
x228
x1
x21
x10
x203
x3
x116
x37
x5
x63
x1
x2
x40
x1
x5
x2
x7
x6
x5
x6
x6
x17
x2
x2
x25
x15
x16
x2
x47
x6
x7
โพสต์ 2025-8-27 16:18:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด






วันที่ 26 ชีเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 
ยามเหม่าถึงยามเซิน (เวลา 05.00 - 17.00 น.)

ความเย็นเยียบของยามเช้าตรู่ในทะเลทรายแผ่ซ่านเข้าสู่กระดูก สิ้นสุดรัตติกาลอันยาวนานที่ดาวพร่างพรายเต็มท้องนภา พร้อมกับการมาเยือนของแสงสีทองอร่ามที่ค่อย ๆ ทอประกายขึ้นเหนือขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ซิ่วอิงตื่นขึ้นก่อนแสงอรุณจะสาดส่องด้วยซ้ำ แม้ร่างกายจะยังคงอ่อนล้าจากงานหนักเมื่อวาน แต่มือที่เต็มไปด้วยรอยขูดขีดก็ทำให้จิตใจของนางกลับมาเบิกบานอย่างประหลาดใจ นางลุกขึ้นนั่งพิงผนังกระโจมที่ทำจากหนังแพะอย่างเชื่องช้า สูดกลิ่นอายของทรายที่ถูกความชื้นจากน้ำค้างเย็นจัดเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่ ก่อนจะหันไปมองสุนัขสามหัวที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ข้างกาย เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของมันทำให้ซิ่วอิงรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก นางเอื้อมมือไปลูบขนของมันเบา ๆ เป็นเชิงปลุก เพียงชั่วครู่ ดวงตาคมกริบของสุนัขหัวกลางก็ค่อย ๆ ลืมขึ้นช้า ๆ ตามมาด้วยดวงตาอีกสองคู่ที่กระพริบอย่างงัวเงีย เมื่อเห็นว่าเป็นซิ่วอิง พวกมันก็ยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับใช้หัวทั้งสามดันเข้าที่มือของนางอย่างออดอ้อน ซิ่วอิงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลูบหัวมันด้วยความเอ็นดู "วันนี้พวกเราต้องไปทำงานกันแต่เช้าตรู่ เจ้าเองก็ต้องไปช่วยข้านะ" สิ้นคำพูด ร่างกายที่ง่วงงุนของสุนัขสามหัวก็กลับมากระฉับกระเฉงขึ้นทันที มันวิ่งออกไปนอกกระโจมเพื่อกินอาหารเช้าที่พวกทหารเตรียมไว้ก่อนจะรีบกลับมาหาซิ่วอิงอีกครั้ง เมื่อเดินออกมาจากกระโจม ซิ่วอิงก็มองเห็นภาพเบื้องหน้าที่ค่อย ๆ สว่างขึ้น ทรายสีทองสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามรุ่งสางเป็นประกายระยิบระยับ แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลทราย แต่ลมที่พัดผ่านมากลับไม่ได้ร้อนระอุ หากแต่เป็นลมหนาวที่หอบเอาความแห้งแล้งมาด้วย เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะทำให้นางต้องหันไปมอง ทหารจำนวนหนึ่งกำลังเดินสวนกับนางด้วยสีหน้าอิดโรย ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำบ่งบอกถึงการตรากตรำทำงานตลอดทั้งคืน ซิ่วอิงได้แต่ก้มหน้าลงเป็นเชิงคำนับก่อนจะเดินต่อไปยังกองพลาธิการเพื่อรับข้าวต้มยามเช้าเช่นเคย บรรยากาศภายในค่ายทหารยามนี้คึกคักกว่าเมื่อวานมากนัก เสียงเจื้อยแจ้วของทหารที่พูดคุยกันอย่างไม่ถือตัว ทำให้ซิ่วอิงรู้สึกราวกับได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน (เพราะแบบที่มีมันไม่ใช่แบบนี้) หลังอิ่มจากอาหารเช้า ซิ่วอิงก็รีบมุ่งตรงไปยังป้อมปราการฉีเหลียงตามคำสั่งที่ได้รับมาเมื่อคืนนี้ ที่ทางเข้าป้อมปราการทหารจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนจะถูกเรียกมาใหม่ กำลังตรวจตราความเรียบร้อยอยู่เป็นระยะ บรรยากาศภายในป้อมปราการค่อนข้างเงียบงัน มีเพียงเสียงนกที่บินผ่านไปมาให้ความรู้สึกวังเวงอย่างน่าประหลาดใจ ระหว่างที่นางกำลังเดินสำรวจความเสียหายอยู่ภายในกำแพงก็พลันมองเห็นภาพของบุรุษร่างสูงใหญ่นั่งอยู่บนแท่นหินสีดำสนิทราวกับเป็นส่วนหนึ่งของหินก้อนนั้น เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ จึงได้พบว่าเขาคือแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้ง ซิ่วอิงรีบแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม "คารวะท่านแม่ทัพ" แม่ทัพฮั่วไม่ได้หันมามองซิ่วอิงด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีเมฆสีขาวลอยอยู่เหนือศีรษะเท่านั้นา "มาพอดีเลยพลทหารหรง" สิ้นคำกล่าว เขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยความสง่างาม ใบหน้าหวานของแม่ทัพฮั่วไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ แต่ดวงตาคมกริบราวกับพญาอินทรีของเขากลับส่องประกายอันน่าเกรงขาม "ข้าได้ยินจากนายกองมาว่าฝีมือของเจ้าไม่เลว และจัดการงานในส่วนของเจ้าเสร็จไปแล้วเมื่อวานซึ่งเร็วกว่าที่ข้าได้คาดไว้ ข้าจึงคิดว่าเจ้าเหมาะสมที่จะรับงานที่สำคัญกว่านี้" เขามองซิ่วอิงอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วจึงหันไปมองกำแพงที่ยังคงเหลือเพียงเสาหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เพียงไม่กี่ต้น "ส่วนที่เราจะบูรณะต่อไปคือส่วนของกำแพงด้านนี้ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักเมื่อครั้งที่ปีศาจมังกรดำที่อาศัยอยู่ที่นี่ กำแพงที่เจ้าเห็นอยู่นั้นเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยปกป้องชิงไห่จากภัยคุกคามในอนาคตได้ และเจ้าคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับผิดชอบงานนี้" หลังจากแม่ทัพหนุ่มกล่าวจบ เขาก็เงียบไปชั่วครู่ ดวงตาคมกริบเหลือบมองนางอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจแต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่น "ข้ารู้ดีว่าการฟื้นฟูซากปรักหักพังแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ข้าก็มั่นใจในตัวเจ้า" ซิ่วอิงน้อมรับคำสั่งด้วยความแปลกใจเล็ก ๆ นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าชีวิตของนางจะมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่ได้รับความไว้วางใจจากแม่ทัพผู้เก่งกาจถึงเพียงนี้ ในขณะที่กำลังยืนจมอยู่กับความคิดของตนเอง เสียงของแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งก็ดังขึ้นอีกครั้ง "ไปทำงานได้แล้ว" คำสั้น ๆ นั้นทำให้นางได้สติ นางคารวะและรีบไปเริ่มงานของตน ซิ่วอิงคารวะแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งอีกครั้งด้วยความนอบน้อม ก่อนจะหันหลังกลับอย่างเงียบงัน นางเดินไปที่กองวัสดุก่อสร้างที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ยืนอยู่ เหล่าทหารที่ประจำการอยู่ก่อนแล้วต่างก็พากันหยุดพักชั่วคราวเพื่อรอรับคำสั่งต่อไป เมื่อเห็นนางเดินเข้าไป พวกเขาก็พากันลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าสงสัย แต่เมื่อซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นไปสบตาด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ทุกคนก็กลับไปทำหน้าที่ของตนเองอย่างขะมักเขม้น ไม่มีใครเอ่ยปากถาม ไม่มีใครส่งเสียงพูดคุย นอกเหนือจากเสียงขุดดิน เสียงค้อนทุบหิน และเสียงตะโกนสั่งงานที่ดังขึ้นเป็นระยะ เสียงก้อนหินกระทบกันดังกังวานเป็นจังหวะต่อเนื่องทั่วทั้งบริเวณที่กำลังถูกบูรณะ ซิ่วอิงมองภาพเบื้องหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ พลทหารหลายคนกำลังช่วยกันแบกเสาหินขนาดใหญ่ที่หลงเหลือจากซากปรักหักพังขึ้นรถเข็นเพื่อเคลื่อนย้ายออกไป บางคนใช้พลั่วขุดดินลงไปอย่างลึกเพื่อเตรียมรากฐานสำหรับกำแพงใหม่ ขณะที่บางส่วนก็กำลังขนทรายและปูนที่ผสมจากปูนขาวและทรายในอัตราส่วนที่เหมาะสมเพื่อก่ออิฐ ทุกคนต่างทำงานอย่างแข็งขันภายใต้แสงแดดที่เริ่มร้อนระอุของยามสาย แม้จะรู้สึกอ่อนล้า แต่ไม่มีใครปริปากบ่น เพราะภาพของแม่ทัพหนุ่มที่ยืนตระหง่านอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขากำลังทำงานก็เป็นแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่ซิ่วอิงกำลังเดินสำรวจความคืบหน้าอย่างละเอียด ดวงตาของนางพลันเหลือบไปเห็นเงาตัวหนึ่งกำลังวิ่งมาหาด้วยความรวดเร็ว มันคือเจ้าสุนัขสามหัวของนางนั่นเอง ทันทีที่มาถึงเจ้าหมาก็ใช้หัวกลางของมันคาบถังน้ำขนาดเล็กมาให้ซิ่วอิงอย่างเบามือ น้ำเย็นจากภาชนะที่มันนำมาทำให้ซิ่วอิงรู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย นางยิ้มให้มันด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ก่อนจะใช้มือที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินลูบหัวของมันเบา ๆ เป็นเชิงขอบคุณ เจ้าสุนัขสามหัวกระดิกหางอย่างร่าเริง มันวิ่งไปรอบ ๆ กองหินราวกับจะช่วยสำรวจความเสียหายให้เจ้านาย เวลาล่วงเลยไปจนเกือบถึงยามเที่ยง เสียงท้องร้องที่ดังมาจากหลายทิศทางทำให้ซิ่วอิงต้องมองหาทางออก เจ้าสุนัขสามหัวที่ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศ ก็วิ่งนำหน้านางไปยังจุดที่พลทหารกำลังพักผ่อนเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน กลิ่นหอมของข้าวต้มและเนื้อตุ๋นลอยมาตามสายลมยั่วยวนให้ทุกคนที่กำลังทำงานหิวโหยยิ่งขึ้นไปอีก ซิ่วอิงเดินเข้าไปรับชามข้าวต้มและนั่งลงข้าง ๆ เจ้าสุนัขสามหัวของนางโดยมีพลทหารคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบ หลายคนไม่ได้เอ่ยปากพูดคุยกัน แต่บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยมิตรภาพทำให้ซิ่วอิงรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ยามบ่ายมาเยือนพร้อมกับแสงแดดที่ร้อนแรงขึ้นกว่าเดิม เสียงค้อนทุบหินดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงสั่งงานก็ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ เจ้าสุนัขสามหัวของซิ่วอิงก็ดูเหมือนจะเข้าใจหน้าที่ของมันเป็นอย่างดี หัวซ้ายของมันคอยคาบก้อนหินเล็ก ๆ ที่เหมาะกับการนำไปถมช่องว่างของกำแพง ขณะที่หัวขวาคาบถังน้ำขนาดเล็กที่บรรจุปูนผสมเพื่อนำไปวางไว้ในจุดที่พลทหารกำลังก่ออิฐ และหัวกลางของมันก็ใช้ปากคุ้ยเขี่ยสิ่งของที่หลงเหลืออยู่ในกองซากปรักหักพังราวกับเป็นผู้ช่วยสี่ขาที่แสนรู้ของซิ่วอิง ทุกการเคลื่อนไหวของมันเป็นไปอย่างคล่องแคล่วและแม่นยำจนซิ่วอิงและพลทหารคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกประหลาดใจ ในที่สุด ดวงอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยต่ำลง ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีครามสดใสก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อน ๆ เสียงค้อนที่เคยดังก้องก็เงียบสงบลง บรรยากาศที่เคยคึกคักก็กลับมาเงียบสงบอย่างน่าประหลาด มีเพียงซิ่วอิงและเจ้าสุนัขสามหัวของนางเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่กลางลานกว้าง ซิ่วอิงมองไปที่กำแพงที่ก่อขึ้นใหม่ด้วยความภาคภูมิใจ กำแพงที่ยังคงมีรอยเปื้อนปูนขาวเป็นหย่อม ๆ ถูกก่อขึ้นเป็นชั้น ๆ อย่างแข็งแรงและมั่นคง นางรู้สึกราวกับได้สร้างชีวิตใหม่ให้กับสถานที่แห่งนี้ ยามเย็นมาถึงพร้อมกับลมที่พัดผ่านมาอย่างอ่อนโยน ซิ่วอิงจัดแจงเก็บของใช้ที่จำเป็น ก่อนจะหอบหิ้วบางสิ่งบางอย่างที่มีน้ำหนักพอสมควรไปยังกระโจมบัญชาการของแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้ง นางเดินเข้าไปในกระโจมอย่างเงียบงัน ภาพเบื้องหน้าที่เห็นคือแม่ทัพหนุ่มกำลังยืนอยู่หน้าแผนที่ขนาดใหญ่ที่ถูกกางไว้บนโต๊ะไม้ แสงเทียนสลัว ๆ ทำให้ใบหน้าของเขาดูคมคายขึ้นกว่าปกติ แววตาที่จ้องมองแผนที่นั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น "คารวะท่านแม่ทัพ" ซิ่วอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและนอบน้อม แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งหันกลับมามองนางอย่างช้า ๆ แววตาของเขาไม่ได้แสดงออกถึงความประหลาดใจแม้แต่น้อย ราวกับรู้ดีว่านางจะต้องมาหาเขาในยามนี้ ซิ่วอิงวางถาดไม้ซึ่งมีไก่แช่เหล้าและสุราอีกหนึ่งไห นางค่อย ๆ หยิบชามเนื้อไก่แช่เหล้าออกมาอย่างระมัดระวัง แล้ววางลงบนโต๊ะข้าง ๆ แผนที่โดยมีสุราหนึ่งไหตั้งอยู่เคียงข้าง "ข้าได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพทำงานหนักตลอดทั้งวัน ทั้งดูแลการบูรณะกำแพงและคิดค้นกลยุทธ์การรบเพื่อป้องกันชายแดนที่เปราะบางนี้ ข้าจึงได้เตรียมอาหารบำรุงมาให้ท่านเจ้าค่ะ" ยามนั้นแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งจ้องมองเนื้อไก่ในชามที่วางบนโต๊ะไม้ด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนจะเหลือบมองซิ่วอิงแล้วมองกลับไปยังแผนที่อีกครั้งหนึ่ง ปลายนิ้วเรียวยาวของเขาค่อย ๆ แตะลงบนหมึกสีแดงที่จุดเอาไว้บนแผนที่อย่างเชื่องช้า แสงเทียนที่ริบหรี่สะท้อนอยู่ในดวงตาคมกริบของเขาอย่างลึกล้ำราวกับห้วงน้ำที่ไม่อาจหยั่งถึงได้ “ขอบใจเจ้ามาก” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ แต่กลับแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดาได้ นางรับรู้ได้ถึงความเหนื่อยล้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางที่สง่างามนั้น ซิ่วอิงผงกศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะถอยหลังออกมายืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่เบื้องหน้าของแม่ทัพ “ส่วนของกำแพงด้านหน้าป้อมปราการที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก พลทหารทั้งหมดได้ทำการรื้อถอนและเตรียมรากฐานสำหรับกำแพงใหม่แล้วเจ้าค่ะ ทหารที่พอจะมีความรู้ในเรื่องของการก่อสร้างก็ทำการผสมปูนขาวกับทรายในอัตราส่วนที่เหมาะสมเพื่อใช้ในวันพรุ่งนี้ และเจ้าสุนัขของข้าก็...ได้ช่วยในการคัดแยกหินที่เหมาะกับการก่อสร้างเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” คำบรรยายของนางไหลออกมาอย่างลื่นไหลและชัดเจน ราวกับได้จัดเรียงความคิดทั้งหมดเอาไว้ในสมองก่อนที่จะเอ่ยออกมา แววตาของแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งจ้องมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ แต่ริมฝีปากบางเฉียบของเขากลับนิ่งสนิทไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก “พลทหารทุกคนทำงานอย่างขยันขันแข็ง พวกเขาไม่ได้ปริปากบ่นถึงความยากลำบากเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขาอาจจะต้องการการพักผ่อนมากกว่านี้เจ้าค่ะ” ซิ่วอิงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมเล็กน้อย นางรู้ดีว่าแม่ทัพฮั่วห่วงใยไพร่พลของเขาเพียงใด แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วพยักหน้าเล็กน้อยราวกับจะรับคำ เขาเหลือบมองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงนอกกระโจม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจอีกครั้ง “ดีมากพลทหารหรง วันนี้เจ้าเองก็เหนื่อยมามากแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ” ซิ่วอิงคารวะแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งด้วยความนอบน้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ นางหันหลังกลับอย่างเงียบงัน พร้อมกับความรู้สึกที่หลากหลายในใจ หญิงสาวเดินออกมาจากกระโจมบัญชาการอย่างเชื่องช้า ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวันเริ่มแผ่ซ่านเข้ามาในร่างกายของนาง เมื่อเดินมาถึงกระโจมของตน ซิ่วอิงก็มองเห็นเจ้าสุนัขสามหัวของนางกำลังนอนขดตัวอย่างสงบอยู่ข้าที่นอน เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ ๆ มันก็ส่งเสียงครางแผ่วเบาราวกับกำลังรอคอยการกลับมาของเจ้านาย นางทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ มันอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเอนตัวพิงลงบนที่นอนแข็ง ๆ หลับตาลงอย่างสงบ...เพื่อรอรับวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง



บูรณะป้อมฉีเหลียง วันที่ 7 [NPC-18] มอบ ไก่แช่เหล้า และ สุราเบญจมาศ ให้ ฮั่ว ชวี่ปิ้ง +20 ความสัมพันธ์อาหารเกรดม่วง + ชา/สุราเกรดม่วง (+10) อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20 โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

@Admin 




แสดงความคิดเห็น

หัวใจตันแล้ว   โพสต์ 2025-8-27 16:21
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 40 โพสต์ 2025-8-27 16:21
โพสต์ 34136 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-27 16:18
โพสต์ 34,136 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก หมวกเกราะพลทหาร  โพสต์ 2025-8-27 16:18
โพสต์ 34,136 ไบต์และได้รับ +35 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 ความโหด จาก ยอดยุทธ์ผู้ล่า  โพสต์ 2025-8-27 16:18
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
แหวนดาราจรัส(2)
หงอนคู่ราชันย์
ง้าวกรีดนภา
แหวนดาราจรัส(D)
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x30
x10
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x4
x1
x142
x4
x133
x186
x200
x399
x684
x707
x4
x4
x8
x4
x5
x20
x4
x599
x2
x20
x12
x22
x6
x12
x17
x10
x38
x2
x687
x228
x438
x44
x531
x19
x14
x1
x19
x228
x1
x21
x10
x203
x3
x116
x37
x5
x63
x1
x2
x40
x1
x5
x2
x7
x6
x5
x6
x6
x17
x2
x2
x25
x15
x16
x2
x47
x6
x7
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้