
ขอจูบหน่อยสิ?
บรรยากาศในโถงตำหนักที่เต็มไปด้วยเสียงคนพูดคุยปนภาษานับไม่ถ้วน แสนยืนกอดอกอยู่กลางแถว พลางถอนหายใจยาวจนเกือบจะสบถออกมาแล้วด้วยความเบื่อหน่าย “ไอ้สัส…นี่กูมายืนรอคิวทำพาสปอร์ตแดนเทพหรือไงวะ” แต่ทันใดนั้น สายตาเขาก็สะดุดเข้ากับใครบางคน สตรีหนึ่งในชุดขาวบริสุทธิ์เดินผ่านฝูงชนมาอย่างสง่างาม แสงแดดลอดช่องกระทบผิวเธอจนดูสว่างราวเทพธิดา ใบหน้าเรียวสวย ตาคมอ่อนโยน แต่กลับซ่อนความเด็ดเดี่ยวไว้ในแววตา เครื่องประดับบนศีรษะสะท้อนแสงวิบวับเหมือนมงกุฎของสรวงสวรรค์ ทุกฝีเท้าที่นางก้าวผ่าน คนทั้งหลายต่างหลีกทางโดยไม่ต้องมีใครสั่ง
หัวใจเสือกอย่างแสนที่ไม่เคยยอมก้มหัวให้ใครกลับสะดุดวูบ ราวกับสมองสั่งให้เขาหุบปากหยาบที่พร้อมจะด่าพ่อล่อแม่ทุกเมื่อไปโดยไม่รู้ตัว แทนที่จะตะโกนด่าหรือทำท่ากวนตีนเหมือนเคย ริมฝีปากของแสนกลับเผยยิ้มทะเล้น ท่าทีเปลี่ยนเป็นสุภาพขึ้นมาทันตา “สวัสดีครับ…แสนครับ โสดครับ” คนรอบ ๆ ถึงกับเหลือบตามอง บางคนอ้าปากค้างที่เห็นเด็กช่างปทุมวันากหมากลับยืนยืดอกแนะนำตัวเหมือนสุภาพบุรุษในงานหมั้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มักใช้กับสาว ๆ แถวประตูดินตอนนี้กลับถูกโยนใส่เทพธิดาผู้สูงส่งตรงหน้าโดยไม่ลังเล
นางหาใช่ใครอื่นไม่ เทพซ่างกู่ หนึ่งในสัจจเทพทั้งสี่ ผู้เป็นถึง เทพประมุขแห่งสามพิภพ ผู้แบกรับชะตาโลกนับครั้งไม่ถ้วน และเป็นผู้ที่เลือกเองว่าจะพาวิญญาณจากโลกดั้งเดิมมาเกิดใหม่ในพิภพแห่งนี้เพื่อรับมือมหันตภัยครั้งใหม่ที่กำลังคืบคลาน
ดวงตาของซ่างกู่จับจ้องแสนเพียงเสี้ยวขณะ ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักอะไรบางอย่างในตัวเขา ท่าทางของนางสงบนิ่ง สมกับฐานะผู้กำหนดชะตาของสามพิภพ แต่ในใจนางก็อดแปลกใจไม่ได้ชายผู้นี้กลิ่นอายปะปนทั้งความเถื่อนหยาบโลนและไฟชีวิตแรงกล้า ราวกับเป็นตัวตนที่โลกนี้ไม่เคยมีมาก่อน
เทพซ่างกู่ปรายตามองแสนเพียงเสี้ยว ก่อนคิ้วเรียวงามจะขมวดเล็กน้อย เหมือนแปลกใจที่เจอสายตาแบบนั้นจากมนุษย์ในตำหนักแห่งเทพ นางไม่พูดอะไรนอกจากเอ่ยเสียงนุ่มแต่ทรงอำนาจ “ต่อไปคือเจ้า” ฝูงชนรอบข้างเงียบลงราวกับมีแรงกดจากสวรรค์ แสนยังยืนกอดอกเหมือนเดิม แต่ก็ต้องขยับตามเมื่อร่างงามในชุดขาวหมุนตัวเดินนำ เขามองรอบ ๆ อย่างงง ๆ พลางคิดในใจว่าต่อไปต้องมีการคัดเหี้ยอะไรสักอย่างก่อนจะส่งคนลงนรกแน่ ๆ
ระหว่างเดิน นางเอ่ยอย่างชัดถ้อย “เราคือ เทพประมุขอี๋เหอ หากมนุษย์เรียก ก็มักใช้ว่า สัจเทพอี๋เหอ…หรือ เทพซ่างกู่” เสียงนั้นอ่อนโยน แต่ทุกถ้อยคำแฝงพลังที่บ่งบอกถึงความสูงส่งเหนือสรรพชีวิต แสนชะงักไปครู่ ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวเขาไม่ได้นับถือเทพตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่พอเห็นคนตรงหน้าใกล้ ๆ แล้ว…ใจแม่งเริ่มไม่ค่อยมั่นคงนัก ใบหน้านั้นสวยแบบที่ไม่มีสาวแถวประตูดินคนไหนเทียบได้
เขายกยิ้มมุมปาก ก่อนปล่อยประโยคกวน ๆ ออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังเกินกว่าที่ควร “พี่สาว…สนใจไปจิบน้ำชากับผมไหมครับบบ” เสียงกระซิบซุบซิบจากคนในแถวดังขึ้นทันที บางคนตกใจ บางคนหัวเราะหึ ๆ เหมือนอยากดูว่าชะตาของไอ้มนุษย์ปากหมานี่จะเป็นยังไงต่อเมื่อมันไปเล่นลิ้นใส่ เทพประมุขแห่งสามพิภพ ต่อหน้าแบบนี้
ซ่างกู่เพียงปรายตามองมาที่แสน ริมฝีปากงามมิได้ขยับแม้จะได้ยินคำเชื้อเชิญไร้มารยาทนั้น นางเมินเสียโดยไม่คิดตอบ ทว่าปลายนิ้วเรียวขยับเพียงครั้งเดียว บรรยากาศรอบกายพลันเงียบวังเวงเสียงผู้คนที่ต่อคิวหายไปสิ้น เหลือเพียงโถงตำหนักอันกว้างใหญ่กับเงาร่างของนางและเขา แสนยืนกอดอก มองซ้ายมองขวาอย่างงง ๆ ก่อนสบถเบา “เชี่ย…นี่กูโดนลากเข้าห้องสอบปากคำเหรอ?” แต่ดวงตาคมก็ต้องชะงักเมื่อซ่างกู่ก้าวเข้าใกล้ กลิ่นลมปราณอุ่นนุ่มห่อหุ้มจนแทบลืมหายใจ
เสียงนางเอ่ยเรียบง่าย ทว่าทุกถ้อยคำดังก้องชัดเจนในอก “เจ้า…ตายไปจากโลกเดิมแล้ว” คำพูดนั้นหนักแน่นจนเหมือนแผ่นดินไหวในใจแสน เขาชะงักไปชั่ววูบ แต่ยังฝืนหัวเราะในลำคอ “เออก็จริงว่ะ…ซากตึกแม่งยังติดอยู่ในหัวอยู่เลย” ทว่านางมิได้หยุดเพียงนั้น ซ่างกู่ยกมือขึ้น พลันเบื้องหน้าก็เกิดเป็น ม่านภาพแสง ฉายเหตุการณ์ ตึกใหญ่ในกรุงเทพที่ถล่มลงมา เสียงกรีดร้อง เสียงปูนแตกกระจาย และร่างของแสนที่โดนบดขยี้จนมืดดับไปชั่วขณะ ภาพโศกนาฏกรรมโถมใส่เขาเหมือนพายุ
“เพียงแต่ชีวิตเจ้ามิได้ถึงฆาต” นางเอ่ยต่อ สายตาคมที่เปี่ยมด้วยบารมีทอดมองแสนตรง ๆ “หากนับตามชะตาและเส้นอายุขัย เจ้าควรยังไม่ตายเจ้าเพียงถูกพรากเพราะอุบัติเหตุ”
แสนยืนนิ่งไปชั่วครู่ สูบบุหรี่ค้างอยู่จนควันไหม้ก้นกรอง “เหี้ย…พี่พูดจริงดิ? แสดงว่าผมแม่งยังไม่ถึงเวลา แต่โดนตึกกดหัวก่อนอ่ะหรอ?” ซ่างกู่พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนนางกล่าวต่อ น้ำเสียงยังคงสงบแต่หนักด้วยชะตา “เพราะเหตุนี้…จึงมีข้อเสนอแก่เจ้าเป็นการถือกำเนิดใหม่ ในโลกที่ต่างออกไป เพื่อทำสิ่งที่มนุษย์จากโลกดั้งเดิมเท่านั้นพึงทำได้” ภาพม่านแสงส่องกระจายรอบโถง เผยให้เห็นโลกอีกใบขุนเขา ลำธาร เมืองที่เต็มไปด้วยพลังปราณ และเงาของภัยร้ายที่คืบคลานอยู่ในความมืด
ในโถงตำหนักอันโอ่อ่า เทพประมุขซ่างกู่ประทับบนบัลลังก์สูง แสงทองส่องรอบองค์ราวกับเวลาหยุดนิ่ง ดวงเนตรของนางทอดลงมาที่วิญญาณของแสน ราชสีห์ ผู้ยังยืนกอดอกมองขึ้นไปด้วยแววตาดื้อรั้น เสียงนางเอื้อนเอ่ยชัดถ้อย พลังแห่ง สัจเทพ ก้องสะท้อนทุกมุมตำหนัก “วิญญาณมนุษย์เอ๋ย เจ้าถูกพรากไปจากโลกเดิมก่อนกำหนดชะตา บัดนี้เจ้ามีสองทางเลือก… หนึ่ง เจ้าจะได้ชีวิตที่สอง เกิดใหม่ในโลกใบอื่นที่คล้ายคลึงโลกเดิม เพียงแต่เป็นยุคสมัยโบราณ หากเลือกเช่นนี้ เจ้าจะยังได้มีโอกาสลิ้มรสชีวิตอีกครั้ง สอง…หากเจ้าไม่ปรารถนา เจ้าจะไปสู่ปรโลกในบัดนี้”
เสียงเงียบกริบภายในโถง แสนหรี่ตาลง สูบบุหรี่ที่ไม่มีไฟ แต่ยังคีบไว้เป็นสัญลักษณ์ของความดื้อด้าน รอยยิ้มกวน ๆ แผ่วออกมา “ให้ผมเลือกว่าจะไปผับกาชาปองต่อ หรือไปลงนรกเลยใช่มั้ยล่ะ…”
ซ่างกู่ปรายตามองเขานิ่ง ราวกับไม่สะทกสะท้านต่อถ้อยคำหยาบคาย แล้วกล่าวต่อ “รู้ไว้เพียงเท่านี้ มนุษย์จากโลกดั้งเดิม มีศักยภาพที่จะเข้าถึง ลมปราณ ได้ง่ายกว่าผู้ใดในโลกนั้น นั่นคือเหตุผลที่เจ้าได้รับโอกาส” นางเลือกไม่พูดถึงสิ่งอื่น ไม่กล่าวถึงมหันตภัย ไม่กล่าวถึงภัยเงียบที่คืบคลาน…เพราะรู้ดีว่า หากเปิดเผยไปตอนนี้ ชายตรงหน้าที่ปากหมายิ่งกว่ามังกรคงหัวเราะเยาะแล้วปฏิเสธทุกสิ่งทันที
แสนยืนอึนไปนิด ก่อนหัวเราะหึในลำคอ “โลกจีนโบราณเรอะ? จะมีเหล้า มีหญิง มีบ่อนให้ผมเล่นปะล่ะ?” รอยยิ้มเจ้าชู้ผุดขึ้นบนใบหน้า “แต่ถ้าพี่สาวสวย ๆ อย่างพี่จะไปอยู่โลกนั้นด้วยกัน ผมก็ว่าน่าสนุกอยู่เหมือนกันนะ”
ซ่างกู่มิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงยกมือขึ้นอีกครั้ง ม่านแสงเบื้องหน้าเริ่มเปิดออกเผยเส้นทางสู่ชะตาใหม่ ดวงวิญญาณแสนสั่นสะท้านเมื่อแสงนั้นโอบล้อมร่าง เหมือนถูกดึงไปสู่ห้วงมิติที่ไร้จุดสิ้นสุด ซ่างกู่ประทับสายตานิ่งทอดลงมาที่แสน ก่อนที่สุรเสียงนุ่มแต่ทรงพลังจะก้องสะท้อนทั่วทั้งตำหนัก “โลกที่เจ้าจะไปนั้น…คือโลกในยุคราชวงศ์ฮั่น อาณาจักรที่ปฐมกษัตริย์ ฮั่นเกาจู่ ได้บุกเบิกและสถาปนาขึ้นบนแผ่นดินตะวันออก ตรงกับแผนที่จีนโบราณในโลกเดิมของเจ้า”
ม่านแสงเบื้องหน้าฉายภาพแผนที่กว้างใหญ่ ภูเขา ลำน้ำ แม่น้ำเหลืองคดเคี้ยว เมืองใหญ่กำแพงหินสูง และทุ่งราบอุดมสมบูรณ์ สลับกับพื้นที่รกร้างนอกเขตแดนที่ชนเผ่าป่าเถื่อนพำนัก ทั้งมิตรที่สามารถค้าขาย และศัตรูที่พร้อมจะเข่นฆ่า ส่วนฟากตะวันตกเป็นดินแดนสีดำหม่นดินแดนปีศาจ คล้ายเงายักษ์สวมหอกหอกสีโลหิต ทรงพลังจนเพียงภาพเงาก็ทำให้บรรยากาศหนักอึ้ง
“ยุคที่เจ้าจะไปเกิดนั้น เป็นรัชสมัยของ ฮั่นอู่ตี้ จักรพรรดิผู้ขยายแผ่นดินให้กว้างใหญ่ที่สุดแห่งราชวงศ์ฮั่น” ซ่างกู่กล่าวพลางก้าวลงจากบัลลังก์อย่างช้า ๆ “โลกใบนั้นมีทั้งความรุ่งเรือง ความโลภ และความโหดร้าย…เจ้าจะต้องเลือกว่าเจ้าจะมีชีวิตเช่นไร” นางยกมือขึ้น แสงสีทองประสานเป็นดวงแก้วเล็ก ๆ ลอยอยู่กลางอากาศ เสียงนางกังวานต่อ “เอาล่ะ…หากเจ้าตกลง ข้าจะประทาน พลังหนึ่งอย่าง ให้เจ้าเป็นการตอบแทนที่เจ้ายินยอมถือกำเนิดใหม่ พลังนี้จักเป็นเสมือนดั่งกุญแจ ที่จะเปิดทางชีวิตของเจ้าในโลกนั้น”
ดวงตาของซ่างกู่จ้องมองเขาแน่วแน่ “เลือกเสียเถิด ว่าจะเอาอะไร…แล้วชะตาของเจ้าจะถูกเขียนขึ้นใหม่ในโลกแห่งราชวงศ์ฮั่น”
แสนยกยิ้มกวน ๆ มองตรงไปยังซ่างกู่ ใบหน้าคมยังมีควันบุหรี่จาง ๆ คลอปาก “ถ้าผมจะขออย่างอื่นแทนได้มั้ยล่ะ…แค่พี่ยอม ผมตกลงทันทีเลย เอาปะล่ะ?” เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ไม่บอกด้วยซ้ำว่าจะขออะไร แต่แววตาที่ฉายออกมามันบอกหมดแล้วนี่ไม่ใช่การขอพรธรรมดา แต่มันคือการ หาทางจีบเทพประมุขผู้สูงส่ง ตรงหน้าอย่างโจ่งแจ้ง ในความเงียบสงบอันศักดิ์สิทธิ์ เทพประมุขสัจเทพอี๋เหอหรือเทะซ่างกู่เพียงมองเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง ไม่แสดงความหวั่นไหว ริมฝีปากอ่อนเอ่ยออกมาตามนิสัยของนาง “พรใดที่ข้าประทานได้ ย่อมต้องเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับชะตา ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เพ้อฝันเอาเอง”
ถ้อยคำสั้น ๆ แต่เย็นชัดเจน บ่งบอกว่านางไม่คิดปล่อยให้มนุษย์ปากหมาเบื้องล่างได้ก้าวล้ำเกินเส้น เทพประมุขยืนอยู่เหนือความรักเหนือราคะ การเสียสละของนางเพื่อพิภพทั้งสามทำให้นางไม่อาจเอนเอียงกับถ้อยคำใด ๆ ของแสนได้ง่าย ๆ อย่างไรก็ตาม แววตาของซ่างกู่ที่ทอดมองเขานั้นยังมีแววประหลาดใจซ่อนอยู่เล็กน้อย มนุษย์ตรงหน้ามิได้เกรงกลัว ไม่ได้สั่นสะท้านต่ออำนาจอันยิ่งใหญ่ หากกลับเลือกใช้รอยยิ้มและวาจากวนประสานสายตากับนางอย่างเท่าเทียม นี่คือสิ่งที่แตกต่างจากคนทั้งหลายที่เคยยืนอยู่เบื้องหน้าเธอ
ซ่างกู่ทอดพระเนตรมองแสนอย่างแน่วแน่ เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ยอมเลือกจริงจัง นางจึงเอ่ยวาจาดังก้องตำหนัก น้ำเสียงสงบแต่เต็มไปด้วยอำนาจ “เจ้าจงเลือกหนึ่ง…พรสวรรค์ที่จะกำหนดเส้นทางชีวิตใหม่ของเจ้า” เบื้องหน้าปรากฏม่านแสงเจ็ดสาย แต่ละสายแปรเปลี่ยนเป็นอักขระเรืองรอง พร้อมกับเสียงกังวานประกาศทีละพร
พรสวรรค์: เทพสงคราม ผู้ถือครองจะมีความแข็งแกร่งเกินกว่ามนุษย์ทั่วไป พลังกล้ามเนื้อและกำลังภายในเสมือนกองทัพหนึ่งคน
พรสวรรค์: เทพธิดาดอกท้อ ผู้ถือครองจะมีความงดงามเปล่งประกายกว่าคนทั่วไป งามจนเป็นอาวุธที่ชี้ชะตาผู้คนได้
พรสวรรค์: เทพโชคลาภ ผู้ถือครองจะมีโชคลาภเหนือชาวบ้าน การค้าการเสี่ยงโชคและวาสนาจะติดตามเสมอ
พรสวรรค์: จอมปราชญ์ ผู้ถือครองจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าผู้อื่น มองเห็นกลยุทธ์และทางออกในยามวิกฤติ
พรสวรรค์: หมอเทวดา ผู้ถือครองจะมีพรสวรรค์ด้านการรักษา โรคภัย พิษ บาดแผล ทั้งยังเข้าถึงสมุนไพรได้ลึกซึ้งยิ่ง
พรสวรรค์: เซียนกระบี่ ผู้ถือครองจะมีความช่ำชองในวิถีแห่งกระบี่ ลีลาเหนือมนุษย์สามัญ ปราดเปรียวและรุนแรง
พรสวรรค์: จิตวิญญาณแห่งทวน ผู้ถือครองจะเชี่ยวชาญในวิถีแห่งทวน อาวุธแห่งสนามรบ แข็งแกร่งดุจพายุ
แสงทั้งเจ็ดส่องสะท้อนในดวงตาของแสน ราชสีห์ ราวกับล่อตัวเลือกที่พร้อมจะเขียนอนาคตเขาใหม่ในโลกยุคราชวงศ์ฮั่น แต่ทว่าแสนกลับยืนกอดอก รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก ใบหน้าดูเหมือนจะกวนตีนเจ้าชู้ตามนิสัย แต่ในแววตากลับมีประกายบางอย่างที่ไม่ใช่แค่ไฟปรารถนา เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำชัดถ้อย “ถ้าผมบอกว่าผมยังไม่เลือก…ถ้าพี่ยังไม่ยอมบอกว่าสิ่งที่อยู่ในหัวผม มันทำได้ไหมล่ะ?” คำพูดนั้นเหมือนกับการโยนหินก้อนเล็กลงกลางสระน้ำ คลื่นสะท้อนพลังปราณบางเบากระเพื่อมในอากาศ เทพประมุขผู้สูงส่งเงียบไปชั่วอึดใจ ดวงตาที่เคยสงบนิ่งปราศจากความหวั่นไหวกลับวาวแสงเล็กน้อยราวกับนางเพิ่งมองเห็น “เงา” บางอย่างที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของชายผู้ยืนอยู่ตรงหน้า
นางมิได้ตอบด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้โต้ด้วยความอ่อนหวาน ทว่าด้วยสุรเสียงนิ่งเย็นสงบดังน้ำแข็ง “มนุษย์เอ๋ย…สิ่งที่เจ้าคิด มิใช่พรในบัญญัติที่ข้ากล่าวไป แต่ชะตาและเจตนาล้วนมีร่องรอยอยู่ในกระแสลมปราณ หากเจ้าต้องการให้ข้าตอบ…ก็จงกล้าพูดออกมาตามตรง” สายลมในโถงใหญ่พัดวูบ แสงทั้งเจ็ดพรสวรรค์ยังคงลอยรออยู่รอบตัวแสน ราวกับยั่วให้เขาเลือกทันที แต่คำของซ่างกู่ก็ดังชัดราวตีฆ้องในใจ “หากสิ่งนั้นคือสิ่งที่หัวใจเจ้าต้องการ…เจ้าจงเอื้อนเอ่ยด้วยปากของเจ้าเอง”
โถงตำหนักยังคงสว่างด้วยแสงพรสวรรค์ทั้งเจ็ดที่ลอยวนรอบตัวแสน ราชสีห์ เขายืนนิ่งชั่วครู่ ก่อนยกยิ้มเจ้าเล่ห์ เอ่ยออกมาแบบตรง ๆ ตามสไตล์
“ขอจูบหน่อยได้ไหมค้าบบบ” เสียงในโถงเงียบวูบ !!! เทพซ่างกู่ เทพประมุขผู้สูงส่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นจากบัลลังก์ งดงามสง่าดุจดั่งหงส์ขาว นางมิได้พูดอันใด เพียงหันกายหมายจะเดินหนีโดยไม่แม้จะปรายตามอง แสนรีบยกมือขึ้นหัวเราะหึ ๆ “ล้อเล่นค้าบบบ ใครมันจะขอจูบกับคนที่เพิ่งเจอกันล่ะ” ปากพูดไปอย่างนั้น แต่สายตาคมกลับจับจ้องแผ่นหลังนางแน่วแน่ ไม่ใช่แค่ความเจ้าชู้ แต่มันมีประกายบางอย่าง…เหมือนคนที่เฝ้ามองใครสักคนแล้วไม่อยากเห็นเขาเศร้าอีก
เขาพ่นลมหายใจออกเบา ๆ ก่อนพูดต่อ เสียงทุ้มต่ำแต่นุ่มกว่าที่เคย “เอางี้…ผมเลือกแล้ว ผมจะเป็น เซียนกระบี่” รอยยิ้มบางยังผุดอยู่ตรงมุมปาก ขณะที่เขาเอ่ยปิดท้าย “ไปรอบนี้ หวังว่าพี่จะไม่ทำตาเศร้าอีกนะ…เจอกันรอบหน้า” คำพูดนั้นก้องสะท้อนในโถงตำหนัก ดวงตาของซ่างกู่ที่เย็นสงบพลันสั่นไหววูบหนึ่ง เทพซ่างกู่ที่หันหลังจะจากไป กลับหยุดฝีเท้าลงเพียงชั่วลมหายใจ ราวกับถูกบางสิ่งในคำพูดของแสนดึงให้กลับมา นางเบือนหน้าเพียงน้อย ดวงเนตรที่เคยเย็นชากลับมีประกายบางอย่างซ่อนเร้น แล้วปลายนิ้วเรียวก็สะบัดเบา ๆ อากาศพลันแตกประกายเป็นเส้นแสง
“เจ้ามิใช่เพียงจะได้พรแห่งกระบี่…” สุรเสียงนางก้องกังวานดุจระฆังในห้วงเมฆ “…แต่ที่เจ้าจะไปเกิดนั้น จะเป็น สายเลือดโดยตรงแห่งราชสำนักฮั่น” ม่านแสงเบื้องหน้าฉายให้เห็นภาพวังหลวงแห่งราชวงศ์ฮั่นโอ่อ่า กำแพงมังกรทองทอดยาว บัลลังก์มังกรตั้งสง่า และเหนือสิ่งอื่นใดคือจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ฮั่นอู่ตี้ จักรพรรดิผู้ครองรัชสมัยรุ่งเรืองที่สุดแห่งราชวงศ์ฮั่น เสียงซ่างกู่สะท้อนต่อมา “เจ้าจะไปเกิดในฐานะ องค์ชายสายเลือดโดยตรงของฮั่นอู่ตี้ …”
แสนยืนนิ่งไปเสี้ยววินาที ควันบุหรี่ที่พ่นออกมาเหมือนหยุดกลางอากาศ ดวงตาคมมองภาพตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อเพราะเอาตรง ๆ ไม่เหลือเชื่อ รอยยิ้มกวนตีนยังคงมี แต่ข้างในหัวใจพลันสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัวจากเด็กช่างปากหมาไร้ที่ยืนในโลกเก่า…ตอนนี้เขากำลังจะได้กลายเป็นผู้สืบสายเลือดแห่งราชสำนัก ผู้ที่โลกทั้งใบต้องก้มหัวให้หรือไง บ้าน่า ทว่าทำไมซ่างกู่ต้องเลือกให้เขาไปเกิดเป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์? …นั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่แสนก็ไม่รู้ และเทพประมุขก็ไม่ยอมบอก
แสงทองพวยพุ่ง กลืนร่างวิญญาณเขาไปในมิติหมุนวนก่อนที่ร่างแสนจะถูกห้อมล้อมด้วยแสงกระบี่นับพันที่ฟาดวูบขึ้นสู่ฟ้า พลังใหม่หลอมรวมเข้าสู่วิญญาณของเขาอย่างรุนแรง เปิดฉากชีวิตใหม่ที่กำลังรอคอย

เลือก พรสวรรค์ : เซียนกระบี่
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [GOD-01] สัจเทพอี๋เหอ (ซ่างกู่)
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
(ผมมีโอกาสผมต้องลองใช้ 555+)