เจ้าของ: LinYa

[บันทึกการเดินทาง] : ความจริงแท้

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-8-3 21:25:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 03 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามซวี ณ เมืองซินเอี๋ย มณฑลจิงโจว มณฑลจักรวรรดิต้าฮั่น


สะพานฉางป่านเฉียวทอดตัวอยู่กลางหมอกที่ลอยคลอคลุ้งเหนือแม่น้ำเย่ เงาสะพานหินโค้งสะท้อนกับผิวน้ำราวกับภาพในฝัน ทั้งสองฝั่งมีต้นไม้ใหญ่ยืนเรียงราวเฝ้ามองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แสงจันทร์ยามค่ำส่องกระทบทำให้สะพานหินโบราณดูเก่าแก่และเย็นเยียบยิ่งขึ้น หลินหยาก้าวเท้าขึ้นสู่สะพานอย่างระแวดระวัง เสียงฝีเท้าเบาบางดัง กรอบ…กรอบ บนพื้นหินที่เก่าแก่จนชื้นด้วยไอน้ำ นางขมวดคิ้ว ดวงตาหวานกวาดมองรอบตัวทุกทิศ ทุกอย่างนิ่งเกินไป มีเพียงเสียงจิ้งหรีดกับลมอ่อนที่พัดผ่าน


เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่เดินเคียงข้างก็ชูหูสูง ขนหลังตั้งเล็กน้อย ดวงตากลมมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นตัวเต็มที่ ทว่ามันก็ตอบเสียงแผ่ว “ข้าไม่เห็นอะไรเลยขอรับ…ทุกอย่างเงียบสนิท” หลินหยากัดริมฝีปาก ยกมือกอดอก มองไปยังปลายสะพานที่ทอดสู่ความมืดอีกฟากหนึ่ง ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ หรือ?


นางหันไปมองเจ้าหมาน้อยในความมืด ใบหน้าหวานฉายแววหงุดหงิดเล็กน้อย “หรือว่า…ข้าโดนปั่นหัวกันนะ? อุตส่าห์รีบมาแทบสลบ…” เซียนเฉ่าก็ทำหน้ามึน ๆ ขมวดคิ้วแบบหมา มันเอียงหัวเล็กน้อยแล้วถอนหายใจ ฟู่ว์ “ดูเหมือนจะใช่ขอรับ…เสียงที่เรียกมาไม่มีแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”


หลินหยาหันไปมองรอบ ๆ อีกครั้ง ความเย็นของลมทำให้เส้นผมปลิวสยายเล็กน้อย บรรยากาศเหมือนปกติ แต่นางกลับรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งซ่อนตัวอยู่ลึกในความเงียบนี้ หญิงสาวพ่นลมหายใจยาว “ให้ตายสิ…ข้าไม่ชอบความเงียบแบบนี้เลย มันน่าสงสัยเกินไป” ดวงตาหวานจับจ้องไปที่ใจกลางสะพานแม้จะไร้สิ่งผิดปกติ แต่นางก็สัมผัสได้ถึงแรงบางอย่างที่กำลังรอคอยจะเผยตัวออกมา


ภายใต้แสงจันทร์ยามยามซวี ลมที่เคยสงบกลับเย็นยะเยียบขึ้นในฉับพลัน ขณะหลินหยายืนอยู่กลางสะพานฉางป่านเฉียวอย่างนิ่งงัน เสียงแมลงเงียบลงราวกับทั้งป่าเงี่ยหูฟังบางสิ่ง 


ทันใดนั้นเองเสียงกระซิบก็สะท้อนขึ้นภายในหัวของหลินหยาอีกครั้ง “มาสิ…ตามลำพัง…เดินขึ้นไปที่เนินเขาด้านขวา ข้าอยู่ที่นั่น…ข้ากับเจ้า…เพียงสองเรา” น้ำเสียงนั้นแผ่วเบา ทว่าสอดลึกเข้าไปในกระดูกสันหลัง นุ่มนวลแต่เยือกเย็น คล้ายจะหวานลวงแต่ก็จริงใจอย่างประหลาด หลินหยาเบิกตากว้างเล็กน้อย ริมฝีปากขยับน้อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว นางหันไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งอยู่ใกล้เท้า เหมือนกำลังเฝ้ารอคำสั่งหรือท่าทีใด ๆ จากเจ้านาย แต่…


เจ้าหมาน้อยกลับไม่ขยับ ดวงตาของมันยังไร้ความสงสัยใด ๆ เหมือน…มันไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย


หลินหยาเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจของนางเต้นถี่เป็นจังหวะ ปลายนิ้วเย็นชืด นางพ่นลมหายใจยาว หันกลับไปมองสะพานอย่างช้า ๆ เสียงนี้อีกแล้ว…แน่ชัดแล้วล่ะ…เขาพูดกับข้าเพียงผู้เดียว…


นางเงยหน้าขึ้นมองขอบฟ้าเหนือเนินฝั่งขวาของสะพาน เห็นเป็นเงาเงียบของเนินเขาเล็ก ๆ ที่มีทางเดินลัดเลาะขึ้นไปตามไหล่เขา มืดมิด เงียบงัน ไม่มีแม้แต่เสียงใบไม้ไหว “ข้ากับเจ้า…เพียงสองเรา…” ถ้อยคำยังสะท้อนซ้ำในหัวนางราวกับลมหายใจของใครสักคนกระซิบข้างหู


หลินหยายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปทางเจ้าเซียนเฉ่า มือเรียววางลงบนหัวมันเบา ๆ ลูบช้า ๆ “เจ้า…รออยู่ตรงนี้นะเซียนเฉ่า” เจ้าหมาน้อยเงยหน้าขึ้นดวงตาสั่นเล็กน้อย “คุณหนูหลิน…แต่?”


“ไม่มีอะไรหรอก” นางยิ้มบาง ดวงตาหวานเศร้าลึก “ข้าจะเดินไปดูตรงนั้นนิดเดียว ถ้าไม่เกินไปนัก ข้าจะกลับมา…แต่ห้ามตามมา เข้าใจไหม?” เซียนเฉ่าพยายามส่งกลิ่นดมรอบ ๆ แต่ไม่มีสิ่งผิดปกติ มันจึงพยักหน้าเบา ๆ แม้จะยังดูไม่สบายใจนัก


หลินหยานางหันกลับเดินก้าวอย่างเงียบงันไปตามแนวป่าข้างสะพาน เส้นทางเล็ก ๆ บนเนินเขาฝั่งขวาท่ามกลางความมืดเย็น และสายหมอกที่เริ่มคลอเคลีย เสียงกระซิบดังอีกครั้งในหัวของนาง…นุ่มนวล เย้ายวน และน่ากลัวอย่างประหลาด “ดีมาก…มาเถิด เด็กน้อย ข้ารอเจ้าอยู่…”


หลินหยาก้าวขึ้นตามทางหินแคบ ๆ ที่คดเคี้ยวรอบไหล่เนิน เข่าของนางเริ่มรู้สึกตึงจากการปีนป่าย ดวงใจเต้นแรงแต่ไม่ใช่เพราะเหนื่อยแต่เป็นเพราะแรงกดดันที่แผ่ซ่านอยู่ทั่วอากาศ ความเงียบเย็นยะเยือกปกคลุมจนแม้แต่เสียงลมหายใจของตัวเองก็ดังก้องในหู เมื่อถึงจุดสูงสุดของเนิน หมอกขาวหนาปกคลุมพื้นที่รอบด้าน ราวกับตัดนางออกจากโลกทั้งใบ ข้างหน้าในหมอกนั้นมีเงาร่างของใครบางคนยืนอยู่ เขาสวมอาภรณ์ยาวสีแดงสดที่โบกสะบัดในสายลมหมอก ร่างสูงสง่าผึ่งผาย ผมดำยาวสลวยร่วงลงแผ่นหลังยาวเกินเอว สะท้อนแสงจันทร์ให้ประกายเงาวาวเย็นยะเยือก ผมของเขางดงามราวกับเส้นไหมสีดำที่ถูกชโลมด้วยน้ำค้างยามราตรี หลินหยาหยุดเท้าโดยไม่รู้ตัว ดวงตาหวานเบิกกว้างเล็กน้อย ขนที่ต้นคอลุกซู่ ความรู้สึกในอกสั่นระริก เขา…ไม่เหมือนมนุษย์เลย


ร่างนั้นยืนหันหลังให้นาง เงียบงัน ราวกับรูปสลักท่ามกลางหมอก ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีลมหายใจ แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากแผ่นหลังนั้นมากพอจะทำให้หลินหยาแทบหยุดหายใจ สายลมเย็นพัดผ่าน หมอกเบาบางลงเล็กน้อย เผยให้เห็นแผ่นหลังของเขาที่เปื้อนลวดลายบางอย่างคล้ายผ้าปักทองที่เรืองรองลาง ๆ เส้นผมดำสะบัดแผ่วเมื่อสายลมพัด ใต้แสงจันทร์เขาช่างดู...งดงามราวกับปีศาจผู้ล่อลวง หรือเทพที่ตกจากสวรรค์ 


เสียงกระซิบที่เรียกนางมาตลอดเงียบไปแล้ว ทว่าหลินหยากลับสัมผัสได้ว่ามันอยู่ตรงนี้ อยู่ในตัวบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ปลายนิ้วของนางกำขลุ่ยแน่น ความรู้สึกประหลาดไหลวนในอก ทั้งหวาดกลัว ทั้งอยากรู้ ทั้งสั่นไหว นางสูดลมหายใจ พยายามกลืนความหวั่นใจลงคอ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว


“ท่าน…คือใครกันเจ้าคะ? เรียกข้ามาที่นี่ทำไม?”


ชายในอาภรณ์สีแดงยังไม่หันมา แต่แผ่นหลังนั้นขยับเล็กน้อย คล้ายรับรู้ถึงการปรากฏตัวของนาง และในวินาทีนั้น ลมรอบกายก็หยุดพัด โลกเหมือนหยุดหมุน ราวกับทุกสรรพสิ่งกำลังรอฟังคำตอบของเขา หัวของเขาเชิดขึ้นเหมือนดมกลิ่นอะไรบางอย่างที่ติดกายของหลินหยาอย่างเงียบงันในสายลม





@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ก็คือว่าาา ชุดแดงแล้วใจสั่นอ่ะค่ะ 555 หันกลับมาผมไฮไลท์แดงด้วยฉันจะฮาให้

รางวัล: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

(ดูต่อใน PM มันยาว)  โพสต์ 2025-8-3 22:03
เยว่เหล่าหันมาทักทายคุณ ก่อนเชิญคุณนั่งลง ดูเหมือนคุณจะได้เห็นความทรงจำของคนโบราณแล้วสินะ  โพสต์ 2025-8-3 22:02
โพสต์ 35184 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-3 21:25
โพสต์ 35,184 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-3 21:25
โพสต์ 35,184 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-3 21:25
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-4 07:10:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 03 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามซวี ณ เมืองซินเอี๋ย มณฑลจิงโจว มณฑลจักรวรรดิต้าฮั่น

หมอกที่โอบล้อมอยู่รอบเนินค่อย ๆ เบาบางลง เผยให้เห็นใบหน้าคมสันของบุรุษในอาภรณ์สีแดงที่ยืนอยู่ เขาค่อย ๆ หันกลับมาใบหน้างดงามสงบนิ่ง ดวงตาลึกล้ำดั่งรัตติกาลจับจ้องมาทางหลินหยาพร้อมรอยยิ้มที่ยากจะเดาความคิด เส้นผมยาวสีดำสนิทสยายพลิ้วในสายลมเย็นเยียบ หลินหยาถอนหายใจพรืดทันทีที่เห็นชัด “ท่าน…เยว่เหล่า?” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยทั้งความตกใจและความหงุดหงิดปน ๆ กัน องค์เทพเยว่เหล่าหัวเราะในลำคอเบา ๆ พลางเอียงคอมองนางด้วยสายตาสุขุมเยือกเย็นแต่แฝงแววหยอกล้อ “ดวงตาของเจ้ายังจับได้แม่นยำเหมือนเดิมนะ หลินหยา”


หลินหยาเท้าเอว มองเขาแบบไม่ปลื้ม “ปกติท่านจะสวมชุดขาวนี่เจ้าคะ รอบนี้แต่งชุดแดงมาทำไมกันเจ้าคะ? เล่นเอาข้าตกใจหมด นึกว่าเจอปีศาจหรือเทพมารอะไรสักอย่างเสียแล้ว” เยว่เหล่ามุมปากยกยิ้มบาง ๆ ดวงตาเป็นประกายล้อเลียนน้อย ๆ “เจ้าดูอารมณ์ไม่ดีเลยนะ ข้าพึ่งสังเกต…เวลาข้าเรียกเจ้ามาทีไร เจ้าก็มักจะทำหน้าเช่นนี้ทุกครั้ง”


หลินหยากรอกตาใส่เขาเต็ม ๆ แต่ก็ยังคงย่อตัวคำนับด้วยความเคารพ “ข้าเคารพท่านอยู่หรอกนะ แต่ที่เรียกข้ามาตอนกลางคืนแบบนี้ มันทำเอาใจข้าจะหลุดไปหลายรอบแล้ว” องค์เทพหัวเราะเบา ๆ อีกครั้ง ร่างสูงก้าวช้า ๆ เข้ามาใกล้นาง สายตาสุขุมเหมือนกำลังอ่านใจหลินหยา “ข้าเรียกเจ้ามาเพราะมีเรื่องสำคัญ หลินหยา เจ้าอย่าลืม…ข้าไม่ได้ปรากฏตัวโดยไร้เหตุผล”


หลินหยาพ่นลมหายใจ ปลายเสียงงอน ๆ “ก็พูดมาสิเจ้าคะ เรื่องสำคัญอะไร คราวนี้ไม่ใช่จะมาผูกด้ายแดงให้ใครอีกนะเจ้าคะ…อีกอย่างที่ข้าดูอารมณ์เสียเพราะมีเสียงบอกว่าให้มาช่วยนั้นแหละเจ้าค่ะ…ข้าตกอกตกใจหมดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นเรื่องร้ายกับใครหรือเปล่า” 


องค์เทพเยว่เหล่าที่เงียบฟังนางมาตลอดพยักหน้าอย่างแผ่วเบา ปลายผ้าคลุมสีแดงเข้มพริ้วสะบัดไปตามแรงลมกลางเนิน เส้นผมยาวของเขาสยายเล็กน้อยราวกับสายไหมต้องแสงจันทร์ ดวงตาลึกสงบหันกลับมาจ้องหญิงสาวเบื้องหน้าอย่างไม่เร่งเร้า “ก็อยากให้เจ้าช่วยจริง ๆ นั่นแหละ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น หลินหยาที่เพิ่งหายใจคล่องขึ้นก็ตวัดสายตามองอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงประชดอย่างไม่จริงจัง “ทีแรกข้าก็นึกว่าใครกำลังโดนจับไปทรมานเสียอีก...ท่านลองเป็นข้าไหมเจ้าคะ อยู่ดี ๆ ก็ได้ยินเสียงกระซิบแหบพร่าซ้ำ ๆ ว่า ช่วยข้า ถี่เสียจนข้าต้องนั่งรถม้าเหาะจากเมืองว่านมาเมืองนี้แทบไม่หยุดหายใจ ใจแทบจะหลุดออกมานอกอก!”


เยว่เหล่าหัวเราะแผ่ว ๆ ในลำคอ รอยยิ้มบางพาดอยู่ตรงมุมปากของเขา นิ่งสงบ แต่มุมตาแลดูเย้าแหย่เป็นครั้งคราว “อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีน้ำใจ ข้าถึงเรียกเจ้ามา…ที่แห่งนี้” แต่เมื่อเขาเอ่ยคำถามต่อไป น้ำเสียงกลับเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น “ดูเหมือนเจ้า...จะได้เห็นความทรงจำบางอย่างของคนโบราณแล้วสินะ?”


หลินหยาขมวดคิ้วทันที มือที่ถือขลุ่ยกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย นางหันกลับไปสบตาเขาด้วยแววสับสน “คนโบราณไหนหรือเจ้าคะ? สนมลั่วซาน...หรือว่า...” นางชะงัก เสียงแผ่วเบาจากลำคอพร่าลงในตอนท้าย “หรือคนแปลกหน้าสตรีสองคนที่ข้าเห็นใน...โลกเดิมที่ข้าจากมา”


เยว่เหล่าลอบถอนหายใจแผ่ว ริมฝีปากเม้มแน่นเล็กน้อยก่อนจะคลายออก มือหนึ่งไพล่หลัง ดวงตาทอดมองไปยังแสงจันทร์เหนือแม่น้ำเย่ด้านล่างอย่างครุ่นคิด “โลกที่เจ้าจากมา…ใช่” เขาเอ่ยเสียงเรียบแต่สะเทือนใจราวกับกล่าวถึงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หลินหยาหายใจชะงักเล็กน้อย นางมองเขาเหมือนต้องการให้เขาอธิบายต่อ เยว่เหล่าหันกลับมามองนางตรง ๆ “เจ้าจำได้ไม่หมดหรอก บางสิ่งยังถูกปิดผนึกไว้ตามเจตนาของดวงชะตา แต่ทุกครั้งที่เจ้าสัมผัสกับความจริง..ความทรงจำของเจ้าก็จะถูกคลี่ออกทีละน้อย”


นางนิ่งไปราวกับหัวใจถูกสะกิด บางอย่างในอกมันปวดหน่วง ไม่ใช่เพราะอดีตในต้าฮั่น...แต่เป็นอดีตที่อยู่ไกลกว่านั้น เยว่เหล่าก้าวเข้ามาใกล้อีกเพียงครึ่งก้าว น้ำเสียงของเขาแม้จะอ่อนโยน แต่กลับชัดเจนราวกับสายลมจากสวรรค์ “เจ้าคือผู้ข้ามภพ ไม่ใช่แค่ข้ามเวลา...และความทรงจำในโลกนั้นไม่ใช่ภาพลวง”  เงาสะพานเบื้องล่างทอดยาวบนพื้นน้ำในยามราตรี ขณะที่หลินหยานิ่งเงียบอยู่เพียงครู่...หัวใจของนางเริ่มเต้นเร็วขึ้นอีกครั้ง บางสิ่งที่นางเคยหลงลืม กำลังค่อย ๆ คืนกลับมาอย่างเงียบงัน


หลินหยายืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ…ข้ารู้ดีว่าเรื่องเหล่านั้นไม่ใช่ภาพฝัน” แววตาหวานหม่นแสงลงเล็กน้อย ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางแต่นั่นเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเศร้า ความทรงจำที่ซ้อนทับสองโลกในหัวทำให้เธอหายใจติดขัด นางพยายามมาตลอดที่จะหนีจากมันเพราะไม่อยากจมลงไปกับความจริงที่เจ็บปวดเหล่านั้น “มันเหมือนนิยายใช่ไหมเจ้าคะ? แต่ถ้ามองในมุมคนที่อยู่ในนั้น…คนที่ตายไปแล้ว ไม่มีทางจะกลับมาได้อีก” หลินหยาพูดช้า ๆ ดวงตาไหวระริก ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ราวกับจะสลัดความหนักอึ้งในอก


องค์เทพเยว่เหล่ามองเธออย่างเงียบ ๆ แววตานั้นลึกซึ้งดั่งกาลเวลา ไม่เอ่ยปลอบโยน แต่สายตานั้นเต็มไปด้วยความเข้าใจลึกซึ้งที่ไม่จำเป็นต้องมีคำพูด เขาขยับมือตามเชื้อเชิญให้เธอหันไปมองด้านข้างมีโต๊ะไม้โบราณตั้งอยู่ท่ามกลางหมอก บนโต๊ะมีสุรากู่หลางวางไว้ในไหเซรามิกงดงาม กับถ้วยสุราสามใบที่รออยู่แล้ว


“มานั่งสิหลินหยา” เยว่เหล่ากล่าวเสียงนุ่มเย็น “เจ้ามาไกล ข้าจะเลี้ยงสุรารับรอง”


หลินหยามองโต๊ะนั้นด้วยความแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมก้าวตามไปนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามองค์เทพ อากาศรอบตัวเย็นแต่แฝงความสบายราวกับปกป้องเธอจากทุกสิ่งที่อยู่ภายนอก เยว่เหล่านั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างสง่างาม เขาเอื้อมมือรินสุรากู่หลางจากไหใส่ถ้วยให้เธอก่อน แล้วจึงรินให้ถ้วยของใครไม่รู้แล้วจบท้ายด้วยของตัวเอง กลิ่นหอมหวานเจือควันของสุรากระจายออกมาอ้อยอิ่งในอากาศ “สุรากู่หลางนี้…เก็บบ่มมาหลายร้อยปี” เขาเอ่ยเบา ๆ “มันไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อดื่ม แต่เพื่อให้ผู้ดื่มได้พูดสิ่งที่เก็บไว้ในใจ”


หลินหยารับถ้วยมาจิบ กลิ่นสุราหอมหวานราวน้ำผึ้งแต่แฝงความร้อนแรงเมื่อไหลลงคอ ทำให้หัวใจของเธออุ่นขึ้นอย่างประหลาด เธอพ่นลมหายใจบางเบา “มันหวานเจ้าค่ะ…แต่ก็ขม”


องค์เทพยิ้มบาง ดวงตานิ่งสงบ “เช่นเดียวกับความจริงและความรัก หลินหยา มันไม่เคยมีสิ่งใดที่หวานอย่างเดียว หรือขมอย่างเดียว” เยว่เหล่ามองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน ปราศจากคำพูดปลอบใด ๆ เพราะเขารู้ สตรีตรงหน้าต้องการเพียงผู้ฟังที่เข้าใจเท่านั้น แสงจันทร์ทอดลงบนโต๊ะไม้ หมอกขาวล้อมรอบพวกเขา กลิ่นสุรากู่หลางลอยคลอในอากาศ และบทสนทนาที่จะรับรู้เรื่องราวก็กำลังจะมาถึง “คืนนี้เราจะคุยกันยาว ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้”


องค์เทพเยว่เหล่าหันหน้าขึ้น ดวงตาเยือกเย็นแต่แฝงไว้ด้วยประกายบางอย่างที่หาได้ยากนักจากเทพผู้เงียบขรึมเช่นเขา ริมฝีปากที่เคยมั่นคงคล้ายสั่นไหวในห้วงอารมณ์ที่ไม่เปิดเผย เขานิ่งไปนานจนหลินหยาคิดว่าเขาจะไม่พูด ทว่าในที่สุด เยว่เหล่าก็ยกสุราจอกหนึ่งขึ้นช้า ๆ แล้วเทรินลงบนพื้นหินตรงหน้าด้วยท่าทีเคารพอย่างยิ่ง เสียงสุราที่สาดรินกระทบพื้นดังเบา ๆ ราวกับสายน้ำหลั่งริน แต่ในใจของหลินหยาเสียงนั้นกลับดังกึกก้อง


“แด่สหายผู้จากไป…” เยว่เหล่าเอ่ยเบา ๆ แต่ลมหายใจของเขานั้นลึกกว่าทุกคราที่นางเคยได้ยิน หลินหยานั่งนิ่ง มององค์เทพที่เธอคุ้นเคยในฐานะผู้นำทางแห่งรัก ผูกด้ายแดงให้คู่รักมายาวนานอย่างสงบนิ่งเสมอ…บัดนี้กลับคล้ายมีอะไรบางอย่างที่เขากดทับไว้มากเกินไป นางจ้องหน้าเขาเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “ท่าน…มีบางอย่างอยากพูดใช่ไหมเจ้าคะ?”


เยว่เหล่าเงียบ ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักทุกคำในใจ หลินหยายังคงสบตาเขา “ไม่ใช่แค่เรื่องของข้า…” เขากล่าวในที่สุด เสียงของเขานุ่มลึกแต่สั่นเล็กน้อย “แต่เป็นเรื่องของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น…ของโลกหลายใบที่เชื่อมโยงกันด้วยโชคชะตาและการหลั่งเลือด” เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า แม้จะไม่มีดวงดาว แต่หลินหยากลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง องค์เทพเยว่เหล่านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยกสายตาขึ้นจ้องท้องฟ้าค่ำที่ไร้ดาว ดวงตาคมสงบของเขาฉายแววเจ็บปวดลึกเกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการได้ ราวกับกำลังมองเห็นสิ่งที่หลินหยาไม่อาจสัมผัสได้ ความทรงจำของกาลเวลาที่ผ่านไปนับหมื่นปี


“เจ้ารู้หรือไม่…ว่าโลกใบนี้ถือกำเนิดมาเช่นไร?” เสียงของเยว่เหล่าดังขึ้นอย่างแผ่ว ทว่าทุกคำเต็มไปด้วยน้ำหนักที่สะท้อนก้องในหัวใจของหลินหยา หลินหยาสูดลมหายใจ นางไม่ตอบ เพียงจ้องเขาอย่างรอฟัง เยว่เหล่าหลับตาแผ่วเหมือนกำลังเรียบเรียงความทรงจำ ก่อนเอ่ยช้า ๆ “โลกใบนี้…ไม่ใช่โลกแรก และไม่ใช่โลกเดียว มันคือ ปราการสุดท้าย ของมนุษยชาติ ที่เหล่าเทพโบราณและเหล่าสัจเทพร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้น หลังจากภัยร้ายครั้งหนึ่งได้กวาดล้างทุกสรรพสิ่งจนเหลือเพียงธุลี” เสียงของเขาสั่นไหวเพียงเล็กน้อยเมื่อกล่าวต่อ “ภัยครั้งนั้น…มาจากเผ่าปีศาจซึ่งมิใช่เพียงสิ่งชั่วร้ายธรรมดา แต่คือเงามืดของจักรวาลที่ไม่มีวันดับ พวกมันเผาผลาญโลกเก่า ล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์จนสิ้น ทุกทวีปแตกสลายเป็นผุยผง แม้แต่เหล่าเทพก็สิ้นชีพไปมากมาย”


หลินหยาเบิกตากว้าง หัวใจนางสั่นไหวอย่างรุนแรง ภาพในจินตนาการราวกับเห็นแผ่นดินแตก น้ำทะเลเดือด ท้องฟ้าแดงฉาน เยว่เหล่าหันกลับมามองนาง ดวงตาลึกซึ้งจนเหมือนจะมองทะลุถึงวิญญาณ “เทพีไกอา…ผู้เป็นมารดาแห่งพิภพ ได้ทิ้ง เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต ไว้กับสองสิ่งสุดท้ายช่างกู่และเทพีหนี่วา เพื่อให้พวกเขาสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ และก่อเติมโลกสีเขียวให้กลับมา” เขาหยุดไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “เพื่อป้องกันหายนะอีกครั้ง พวกเขาแยกแผ่นดินออกเป็นสองฝั่ง แดนตะวันออกสำหรับมนุษย์ ส่วนแดนตะวันตก…คือดินแดนของปีศาจ ม่านพลังสุดท้ายที่เหล่าเทพโบราณร่วมกันสร้างกั้นขวางพวกมันไว้”


ดวงตาของเยว่เหล่าฉายแสงวาวราวกับไฟเผาในก้นบึ้งของความทรงจำ “ในตอนนี้พวกปีศาจยังไม่อาจรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของเราได้มาก พวกมันทำได้เพียงแอบลักลอบผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ในม่านพลังที่เริ่มอ่อนแรง…” เขาถอนหายใจยาว ร่างสูงสง่างามค่อย ๆ แหงนหน้ามองฟ้าราตรีที่ไร้ดาว แต่ในสายตาของเขาราวกับกำลังมองหาดวงอาทิตย์ที่หายไปนานแสนนาน


“ม่านพลัง…มันกำลังเสื่อมสลายทีละน้อย” เสียงของเยว่เหล่าลดต่ำลงแฝงความเจ็บปวด “วันหนึ่งสักวันมันอาจแตกสลาย และหายนะจะหวนกลับมาอีกครั้ง” หลินหยากำมือแน่น นางรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่วิ่งผ่านสันหลัง ไม่ใช่เพราะอากาศ แต่เพราะเรื่องที่ได้ยินนั้นเกินกว่าจะรับง่าย ๆ ดวงตาหวานสั่นระริกเมื่อเห็นแววเจ็บปวดในดวงตาของเทพผู้สูงศักดิ์ เจ็บปวดที่ราวกับแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า


แววตาขององค์เทพเยว่เหล่าลึกลงราวกับกำลังจมหายไปในกาลเวลาที่หลินหยามองไม่เห็น เสียงถอนหายใจแผ่วราวกับสายลมหนาวพัดผ่านกิ่งไม้ดังขึ้น ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงต่ำลึกและเต็มไปด้วยร่องรอยของความเศร้า “นับจากเทพโบราณทั้งหลายลาลับไป ข้าก็ไม่ค่อยได้สุมสิงกับเหล่าเทพในพิภพเซียนอีกเลย…” เยว่เหล่าเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้ดวงอาทิตย์ สายตานั้นแสนเว้าวอนแต่กลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า “พวกเขาหยิ่งผยองเกินไป และเพราะพวกเขาไม่ใส่ใจโลกนี้…จึงทำให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า”


เขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเหลือบตามองหลินหยาอย่างเศร้าสร้อย “เจ้ารู้หรือไม่…ที่แห่งนี้ เคยเป็นสถานที่ที่ข้ากับสหายผู้หนึ่ง…เคยร่วมดื่มสุรา ท่องบทกลอน และหัวเราะไปด้วยกัน”


หลินหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ทันใดนั้น เยว่เหล่าโบกมือแผ่วหนึ่ง ภาพรอบตัวนางก็แปรเปลี่ยนไป โลกหม่นมัวพลันกลายเป็นภาพแห่งอดีตเมื่อหลายล้านปีก่อน แสงอาทิตย์สาดทองอบอุ่นบนสะพานและเนินหิน ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มล้อมรอบ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆขาวที่ลอยละล่อง ตรงกลางเนินนั้น มีชายสองคนยืนเคียงกัน คนหนึ่งหล่อเหลางดงามราวเทพบุตรที่ถูกสลักขึ้นจากแสงสุริยา ผมสีทองอร่ามสะท้อนกับแสงอาทิตย์ แววตาคมเฉียบเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขาหัวเราะอย่างสดใส ขณะที่ยกไหสุราขึ้นดื่ม อีกคนคือเยว่เหล่าในวัยที่ดูอ่อนกว่าเล็กน้อย แววตายามนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่างแห่งมิตรภาพ ทั้งสองชนจอกหัวเราะไปพร้อมกัน เสียงบทกลอนที่เปล่งก้องในหุบเขาดังแว่วในหูของหลินหยาอย่างแผ่วไกล


ภาพนั้นงดงามเหลือเกินจนหลินหยาหายใจไม่ทั่วท้อง



หลินหยานิ่งงันไปชั่วครู่ หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอก ภาพนิมิตนั้นชัดเจนเกินไปดวงตาสีทองดุจพระอาทิตย์ของชายหนุ่มผู้เป็นสหายของเยว่เหล่า สายตานั้นทั้งอบอุ่น ทั้งดุดัน และเต็มไปด้วยพลังชีวิตที่ทำให้นางลืมหายใจไปชั่วขณะ ในห้วงวินาทีนั้น หลินหยารู้สึกได้ว่าเขาเห็นนางจริง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ภาพในอดีต เขากำลังมองนางอยู่ ดวงตาของนางและเขาสบเข้าหากัน แต่เป็นการรับรู้ที่เชื่อมโยงกันผ่านกาลเวลา


หัวใจของนางสั่นสะท้าน นางรีบสะบัดศีรษะเบา ๆ เพื่อสลัดความรู้สึกหนักอึ้งที่ถาโถมเข้ามา ก่อนเงยหน้าขึ้นกลับมามององค์เทพเยว่เหล่าอีกครั้ง ใบหน้าของนางซีดนิด ๆ ดวงตาไหวระริกคล้ายเพิ่งผ่านประสบการณ์ที่เกินจะอธิบาย นางพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เหมือนปลดปล่อยบางสิ่งที่เก็บกดไว้ในอก สองมือกำแน่นเพื่อกดความสั่นไหวในใจไม่ให้แสดงออกมากเกินไป


เยว่เหล่ามองหลินหยาอย่างเงียบงัน ดวงตาลึกของเขามีประกายที่บอกได้ว่าเขารู้ทุกอย่าง รู้ว่าหัวใจของนางกำลังสั่นเพราะสิ่งที่ได้เห็น รู้ว่าความรู้สึกบางอย่างได้ก่อตัวขึ้นในวิญญาณของเธอโดยไม่ทันตั้งตัว


แล้วภาพอดีตก็เลือนหายกลับมาเป็นความมืดของค่ำคืนปัจจุบัน ดวงจันทร์ทอดแสงหม่น เยว่เหล่ายืนนิ่ง น้ำเสียงของเขาต่ำลงอย่างร้าวราน “ตั้งแต่เขาจากไป…ข้าก็ไม่เคยเจอสหายคนไหนที่เหมือนเขาอีกเลย” ความเจ็บปวดแผ่ซ่านจากน้ำเสียงขององค์เทพจนหลินหยารู้สึกหน่วงในอก นางเพียงนั่งนิ่ง ไม่เอ่ยคำใด เพราะรู้ว่าคำพูดปลอบใด ๆ ในยามนี้…ไม่มีค่าเท่ากับการเงียบฟังอย่างเข้าใจ


“เจ้ารู้สึกใช่หรือไม่…” เยว่เหล่าเอ่ยช้า ๆ น้ำเสียงนั้นสงบแต่เต็มไปด้วยความหมาย “ดวงตาของเขา…เชื่อมกับเจ้าได้ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี”


หลินหยากัดริมฝีปาก พยายามหาคำตอบ แต่กลับพูดออกมาเพียงเสียงเบาแทบกระซิบ “ข้า…ไม่รู้…ข้าแค่…” องค์เทพเยว่เหล่าหลับตาลงเล็กน้อย แววตาเมื่อเปิดขึ้นกลับนิ่งลึกดั่งกาลเวลา “ไม่ต้องปฏิเสธ เจ้ารู้สึก…เพราะเขาไม่ใช่เพียงอดีต” คำพูดนั้นทำให้หลินหยานิ่งงันอีกครั้ง ความรู้สึกบางอย่างที่แสนหนักอึ้งในอกยังคงค้างอยู่ ไม่ใช่เพียงเพราะความงามหรือความน่าเกรงขามของชายคนนั้นในนิมิต แต่เพราะสายตาที่เขาส่งมาหานาง…ราวกับจะบอกว่าเราจะได้พบกันอีกหรือ…เราเคยพบกันมาแล้ว


เยว่เหล่ามองหลินหยานิ่ง ๆ รอยยิ้มบางประดับอยู่บนใบหน้าของเขา แต่ในแววตานั้นมีทั้งความเอ็นดูและความเศร้าลึกที่บอกไม่ถูก “เจ้ารู้หรือไม่…” เขาเอ่ยเสียงนุ่มแผ่ว “ยามข้ามองเจ้า ข้าเห็นเงาของเขาในตัวเจ้าเหลือเกิน เด็กน้อย” หลินหยาส่ายหน้าอย่างแรง ริมฝีปากสั่นน้อย ๆ “ไม่มีทางหรอกเจ้าค่ะ…เขากับข้าเป็นคนละโลก เป็นสิ่งที่ไม่อาจเกี่ยวข้องกันได้” เสียงของนางสั่นพร่าเต็มไปด้วยความสับสนราวกับอยากหนีจากสิ่งที่หัวใจตัวเองกำลังยอมรับ เยว่เหล่าไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ เพียงแค่ยิ้มบางคล้ายผู้ใหญ่ที่เข้าใจเด็กดื้อแล้วปล่อยให้พูดตามใจ สายตาของเขากลับลึกลงเหมือนอ่านใจนางได้หมดทุกถ้อยคำที่ไม่ได้พูด


จากนั้นเขาเอื้อมมือไปเบื้องข้างและหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมา ขวดโหลแก้วใสขนาดเล็กที่ภายในมี หิ่งห้อยตัวหนึ่ง เรืองแสงอุ่นอ่อนคล้ายแสงดาวที่ถูกเก็บไว้ในแก้วใส หิ่งห้อยนั้นกระพริบแสงเบา ๆ เป็นจังหวะราวกับมีชีวิตจิตใจของตัวเอง แสงมันสะท้อนบนใบหน้าของหลินหยาจนตานางสว่างวาบด้วยความแปลกใจ


เยว่เหล่ายื่นขวดโหลนั้นให้หลินหยา มือของเขานิ่งสง่า “จงเก็บสิ่งนี้ไว้กับตัว…เมื่อเจ้ามาถึงซุยหยาง ใช้มัน หิ่งห้อยนี้จะบินนำทางเจ้าไปยังหมู่บ้านน้ำค้างพรายที่เจ้ากำลังค้นหา” หลินหยารับขวดโหลอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าจะแตกร้าว แสงอุ่นจากหิ่งห้อยภายในสะท้อนในดวงตานางอย่างแผ่วเบา องค์เทพเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราวกระซิบ “มันจะพาเจ้าไปยังทางที่ถูกต้อง…แม้เส้นทางนั้นจะเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ และอาจมีความลวงรออยู่ก็ตาม จงเชื่อในมัน และเชื่อในหัวใจของเจ้าเอง”


หลินหยากอดขวดโหลไว้แนบอก พยักหน้ารับช้า ๆ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนที่บรรยายไม่ได้ ขอบคุณที่ออกมาจากริมฝีปากนางเสียงแผ่ว “ขอบคุณเจ้าค่ะ…ท่านเยว่เหล่า”


มืออันสง่างามของเยว่เหล่าลูบศีรษะของหลินหยาอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นอุ่นละมุนราวกับสายลมยามเช้าที่โอบกอดยอดหญ้า แววตาของเขาขณะมองนางเต็มไปด้วยความเอ็นดูและความลึกซึ้งที่ยากจะบรรยาย ดวงตาของหลินหยาหลุบต่ำ มองพื้นดินที่เงียบงันใต้เท้า ความรู้สึกหนักอึ้งกดทับอยู่ในอกของนาง เธอสูดลมหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงสั่นพร่า “สถานที่แห่งนี้…เป็นที่สำคัญของท่านกับสหายสินะเจ้าคะ…” เยว่เหล่ามิได้ตอบทันที เพียงส่งยิ้มจาง ๆ ที่แฝงความเศร้าลึก รอยยิ้มที่คนมองแล้วหัวใจบีบแน่นโดยไม่รู้ตัว


หลินหยากำขวดโหลหิ่งห้อยแน่น พลางเอ่ยเสียงแผ่ว “…เทพก็มีวันที่ต้องแตกดับสินะเจ้าคะ มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน…ข้า…ขอโทษ ที่ช่วยอะไรท่านไม่ได้เลยนะเจ้าคะ” คำพูดนั้นเปล่งออกมาจากใจจริง นางรู้สึกได้ถึงความเดียวดายที่เยว่เหล่าปิดซ่อนอยู่ใต้ท่าทีสุขุมของเขา ความรู้สึกที่ไม่ต่างจากมนุษย์เลยแม้แต่น้อย


เยว่เหล่าหลับตาชั่วขณะ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งแต่แฝงความอบอุ่น “เด็กน้อย…เจ้าช่วยข้าแล้ว เพียงเพราะเจ้ารับฟัง และก้าวเดินต่อในเส้นทางที่ข้าบอก แม้เทพจะมีวันแตกดับ แต่สิ่งที่เหลือไว้…คือความทรงจำและความหมายที่ไม่เคยจางหาย” องค์เทพเพียงยิ้มบางอีกครั้ง ก่อนแสงร่างของเขาจะเริ่มจางหายไปในสายลมยามค่ำ ทิ้งไว้เพียงคำพูดสุดท้ายที่ก้องอยู่ในหัวของหลินหยา


“เจ้ามีเส้นด้ายที่แม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจมองเห็นปลายทางได้…จงตามมันไปเด็กน้อย”


เมื่อเขากล่าวจบ ลมยามค่ำก็พัดแผ่วราวกับตอบรับ ดวงตะวันในอดีตเหมือนจะฉายแสงในความทรงจำของเขาอีกครั้ง ก่อนร่างของเยว่เหล่าจะค่อย ๆ เลือนหายไปท่ามกลางหมู่หมอก ทิ้งไว้เพียงแสงเรืองรองจากหิ่งห้อยในขวดโหลที่หลินหยากอดไว้แนบอก แสงนั้นคล้ายกับสัญญาเล็ก ๆ ที่จะส่องทางนางต่อไป 





@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เหมือนแอดรู้สเป็คผู้ชายเรา อ่าวรุ่ยเผิงงี้ ลูคัสงี้ เห่ออ ถ้ามีเวอร์นอนด้วยฉันตายแน่
เดี๋ยวจะเอาโรลนี้เอาไว้ปลดเทพเยว่เหล่า 8 ดวง 555 
มาขนาดนี้แล้วความทรงจำต้องกลับมาสักอย่างแล้วไหมง๊า 5555

รางวัล: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

ปลดล็อกความทรงจำ (PM)  โพสต์ 2025-8-4 12:35
โพสต์ 85783 ไบต์และได้รับ 64 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-4 07:10
โพสต์ 85,783 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-4 07:10
โพสต์ 85,783 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-4 07:10
โพสต์ 85,783 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-4 07:10
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-4 22:10:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 04 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า ณ เมืองซินเอี๋ย มณฑลจิงโจว - ยามไห่ ณ เมืองซีผิง มณฑลยวี่โจว จักรวรรดิต้าฮั่น


แสงตะวันแรกของวันเพิ่งส่องลอดหมู่หมอกจาง ๆ แห่งเมืองซินเอี๋ยออกมาอย่างเงียบงัน รถม้าที่หลินหยานั่งเริ่มเคลื่อนตัวออกจากประตูเมือง กงล้อบดกับพื้นทางส่งเสียงกรอบแกรบคล้ายกล่อมความคิดที่วุ่นวายของนางให้ยิ่งสับสน หญิงสาวนั่งพิงแผ่นหลังเบาะไม้เก่าอย่างเหนื่อยล้า แม้สายตาจะทอดออกไปยังทิวทัศน์ข้างทางที่มีต้นไม้เขียวคลี่ใบรับแสงอ่อนยามรุ่งอรุณ แต่วิญญาณของนางกลับเหมือนไม่อยู่ที่นี่…มันหล่นหายไปในห้วงความคิดอันลึกซึ้งที่ยากจะไขให้กระจ่าง


หลินหยาก้มลงมองเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่นอนขดอย่างสงบอยู่บนตัก ขนมันนุ่มราวกับกำมะหยี่ ลมหายใจเบา ๆ ของมันทำให้นางรู้สึกถึงความอบอุ่นเล็กน้อย หลินหยายกมือลูบหัวมันเงียบ ๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเศร้าซ่อนลึก นางเอ่ยพึมพำราวกับพูดกับตัวเอง "เจ้าก็เหนื่อยใช่ไหม…ข้าก็ด้วย" ความทรงจำทั้งหมดที่ผ่านมาหลั่งไหลเข้ามาในหัว นางไม้ที่ล่อลวง, องค์เทพเยว่เหล่าผู้แบกความเจ็บปวดของอดีตกาล, ดวงตาสีทองที่สบตากับนางในห้วงนิมิตราวกับกำลังเชื่อมวิญญาณ ทั้งหมดนั้นกลายเป็นภาพซ้อนทับที่บีบหัวใจให้สั่นไหว


รถม้าเคลื่อนต่อไปอย่างช้า ๆ บนเส้นทางที่ทอดยาวไร้สิ้นสุด เสียงม้าเหยาะฝีเท้ากับเสียงล้อบดถนนคือเสียงเดียวที่อยู่ท่ามกลางความเงียบงัน นางรู้ดีว่าจากเมืองซินเอี๋ยไปยังเมืองซีผิงนั้นต้องนั่งรถม้าทั้งวัน ยาวนานพอให้จมอยู่กับความคิดที่สับสนและคำถามที่ไม่อาจหาคำตอบ หลินหยาพ่นลมหายใจแผ่ว ดวงตาเงยขึ้นมองฟ้าสีซีด ยามเช้าที่ควรสดใสกลับเหมือนมีม่านหมอกคลุมทับในใจนางเอง นางไม่รู้ว่าจิตใจของตนตอนนี้หล่นไปที่ไหน อาจจะหล่นไปยังอดีต อาจหล่นไปหาความจริงที่นางยังไม่เข้าใจ หรืออาจหล่นไปหาบุรุษที่นางคิดถึงสุดหัวใจ


ไม่ทราบได้…เพียงรู้ว่า ทุกลมหายใจในตอนนี้คือการก้าวต่อบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยปริศนาและโชคชะตาที่รออยู่เบื้องหน้า


หลินหยานั่งนิ่งพิงเบาะไม้ของรถม้า ความเมื่อยล้าที่แทรกอยู่ในกายและหัวใจทำให้เธอพ่นลมหายใจยาวราวกับต้องการปลดเปลื้องทุกสิ่งที่กดทับอยู่ในอก แสงแดดยามเช้าอ่อนส่องลอดผ้าม่านรถม้าเข้ามาเป็นริ้วสว่างคลอเคลียผิวแก้มขาวของนาง อบอุ่นแต่ไม่แสบตา เสียงล้อรถบดไปกับพื้นทางกลายเป็นจังหวะกล่อมใจให้เธอผ่อนคลายทีละน้อย หลินหยาค่อย ๆ หลับตาลง ปล่อยให้ทุกภาพรอบตัวเลือนหาย กลิ่นดินชื้นจากหมอกยามเช้า กลิ่นหญ้าที่เริ่มแห้งรับฤดูใบไม้ร่วง และกลิ่นไม้จากตัวรถที่เก่าแต่ยังอบอวลด้วยความเงียบสงบ ล้วนหลอมรวมกันเป็นบรรยากาศที่พาเธอล่องลอย


เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่นอนอยู่บนตักก็ขยับเล็กน้อย ส่งเสียงหายใจแผ่ว ๆ ราวกับมันเองก็กำลังฝันดีอยู่ ความอบอุ่นของมันทำให้หลินหยารู้สึกเหมือนมีเพื่อนร่วมทางที่ซื่อสัตย์คอยอยู่เคียงข้างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น


ในห้วงแห่งการเคลิ้มหลับนั้น หลินหยารู้สึกเหมือนทุกสิ่งกำลังไหลห่างออกไป ทั้งความเจ็บปวด ความหวั่นไหว และความคิดถึงที่กัดกินหัวใจ นางปล่อยให้ลมพัดพาเสี้ยวใจของตนไปสู่ที่ไกลแสนไกล ให้ความเหนื่อยล้าถูกกล่อมด้วยธรรมชาติ จนในที่สุด…หลินหยาก็หลับใหลไปท่ามกลางเสียงล้อรถม้าที่ค่อย ๆ ห่างหายไปจากสติ…


!!! 


และเมื่อเธอตื่นขึ้น  หลินหยานั่งหอบเบา ๆ พลางกอดอกตัวเองเพื่อปรับจังหวะลมหายใจ ร่างกายของนางเย็นเฉียบราวกับเพิ่งกลับมาจากอีกโลกหนึ่ง ขณะที่จิตใจสั่นคลอนจากภาพฝันที่ชัดเจนเกินกว่าจะเรียกว่าความฝัน ดวงตาของนางมองออกไปยังสายหมอกที่ทอดยาวสุดขอบทาง เธอพึมพำเบา ๆ "โลกนี้...ซับซ้อนเกินไปจริง ๆ" เสียงล้อเกวียนบดกับดินถนนอย่างช้า ๆ กลางแสงอ่อนของรุ่งอรุณไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลย


เซียนเฉ่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เงยหน้าขึ้นมามองเจ้านายด้วยดวงตากลมโต เต็มไปด้วยความห่วงใย มันขยับเข้ามาซุกใกล้ ๆ มือเล็กของมันแตะบนแขนของหลินหยาราวกับจะบอกว่า “ข้าอยู่ตรงนี้” น้ำเสียงของมันนุ่มนวลแต่ชัดเจน "คุณหนูหลิน...ท่านฝันร้ายหรือขอรับ? ข้าไม่เคยเห็นท่านหน้าซีดเผือกถึงเพียงนี้มาก่อน" 


หลินหยาหันไปมองเซียนเฉ่า แววตาสับสนแต่ก็อบอุ่นที่มีเจ้าหมาน้อยอยู่เคียงข้าง นางส่ายหัวเบา ๆ "มันไม่ใช่ฝันหรอก...หรือบางทีอาจเป็นฝันก็ได้ แต่ทุกอย่างที่ข้าเห็นมันเหมือนจริงเหลือเกิน เซียนเฉ่า...เจ้ารู้ไหม? มีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เรารู้...ซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่ง" นางหันหน้ากลับไปมองเส้นทางที่ทอดยาวออกไป ดวงตาคู่งามส่องประกายแฝงความเศร้าปนความมุ่งมั่น "เทพ...ปีศาจ...สัจเทพ...อดีตที่ตามหลอกหลอน...ทุกสิ่งที่ข้าเห็น มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ โลกนี้กำลังรออะไรบางอย่าง...และข้า...ก็เป็นส่วนหนึ่งของมันกับอีกหลาย ๆ คน"


เซียนเฉ่ากระดิกหูเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง "ไม่ว่าโลกนี้จะซับซ้อนเพียงใด ข้าจะอยู่กับคุณหนูหลินเสมอขอรับ ต่อให้ต้องเจอกับสิ่งที่น่ากลัวเพียงใด ข้าก็จะกัดมันให้แหลก" คำพูดนั้นทำให้หลินหยาหลุดยิ้มบาง ๆ ความอบอุ่นแผ่วเบาคลี่คลุมหัวใจที่สั่นไหวของนาง แม้ทุกอย่างที่กำลังรออยู่ข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความลี้ลับและอันตราย แต่หลินหยาก็รู้แล้วว่านางไม่ได้เผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง


รถม้ายังคงเคลื่อนไปข้างหน้า เส้นทางสู่เมืองซีผิงเริ่มปรากฏลาง ๆ ในสายหมอก และการเดินทางครั้งใหม่...เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น


เสียงล้อรถม้ายังคงกลิ้งไปตามทางดินที่ทอดยาวตัดผ่านหมอกจางของเช้าวันใหม่ หลินหยากอดเจ้าหมาน้อยแน่นในอก ราวกับกำลังยึดมันเป็นที่พึ่งพิงหนึ่งเดียวในยามที่หัวใจเต็มไปด้วยความสับสน ดวงตาของนางทอดมองไปยังขอบฟ้า แต่แววตานั้นไม่ได้มองสิ่งตรงหน้า กลับล่องลอยไปในห้วงความคิดที่พันกันเป็นปม "ข้าไม่เคยอยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวยิ่งใหญ่ใด ๆ เลย..." เสียงของหลินหยาแผ่วเบาราวกับกระซิบกับสายลม "ข้าอยากมีชีวิตเรียบง่าย เป็นแค่สตรีธรรมดา ที่ได้กินของอร่อย ได้หัวเราะ ได้ใช้ชีวิตไปอย่างสงบสุข...แต่โชคชะตากลับเล่นตลกกับข้า ทำไมมันถึงน่ากังวลถึงเพียงนี้"


ลมหายใจหนักหน่วงหลุดออกมาจากริมฝีปากของนาง ราวกับแบกอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครมองเห็นได้ เซียนเฉ่าในอ้อมแขนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเลียหลังมือเจ้านายแผ่ว ๆ น้ำเสียงของมันอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็น "คุณหนูหลิน...บางครั้งโชคชะตาไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล่ามเรานะขอรับ แต่มันอาจถูกส่งมาเพื่อให้เรารู้ว่าเรามีค่ามากพอที่จะเผชิญกับมัน"


หลินหยาหลุบตาลงมองเจ้าเซียนเฉ่าที่ซุกตัวนิ่งอย่างว่าง่ายในอกของนาง รอยยิ้มจาง ๆ คลี่ขึ้นบนใบหน้าอย่างอ่อนแรง "เจ้าช่างพูดคมคายนักเซียนเฉ่า หนีได้หรือไม่...ข้าเองก็ไม่รู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าแน่ใจ...คือไม่ว่ามันจะนำพาข้าไปสู่หายนะหรือปาฏิหาริย์ ข้าก็จะเดินไปด้วยตัวเอง" ลมเช้าที่พัดผ่านหน้าต่างรถม้าเย็นเฉียบ ราวกับเตือนนางว่าทุกย่างก้าวจากนี้ไม่อาจหันหลังกลับได้อีก แต่ในดวงตาของหลินหยาเริ่มปรากฏประกายแข็งกร้าวเล็ก ๆ ความกลัวและความหนักอึ้งยังคงอยู่ ทว่าความมุ่งมั่นเริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ ไม่ว่าสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าจะเป็นอะไรก็ตาม…


แสงแดดบ่ายคล้อยส่องกระทบผิวน้ำของลำธารจนเกิดประกายระยิบระยับเหมือนเกล็ดแก้ว ลมอ่อน ๆ พัดกลิ่นหญ้าและกลิ่นน้ำใสเย็นเข้ามาปะทะแก้มนวลของหลินหยา นางยืนอยู่ริมน้ำ ปล่อยให้สายน้ำไหลเอื่อยสะท้อนเงาของตัวเองที่ดูหม่นเศร้าในยามนี้ หญิงสาวถอนหายใจเบา ๆ ราวกับปลดปล่อยบางสิ่งที่กดทับในอก แม้จะปลดออกได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น เจ้าเซียนเฉ่าตัวน้อยวิ่งวนไปมาอย่างร่าเริง มันกระโดดลงไปไล่ต้อนผีเสื้อตัวหนึ่งที่บินอ้อยอิ่งใกล้ริมตลิ่ง ก่อนหันกลับมามองเจ้านายด้วยดวงตาใสแป๋วที่เต็มไปด้วยความห่วงใย เหมือนจะถามว่า “คุณหนูหลิน ยังไม่ดีขึ้นหรือขอรับ?” หลินหยาย่อตัวลง ยกมือเกลี่ยขนมันเบา ๆ พลางยิ้มบางที่แทบมองไม่เห็น


“เจ้ารู้ไหม เซียนเฉ่า...บางทีข้าก็อยากเป็นสัตว์เช่นอย่างเจ้า ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องกังวลกับอดีตหรืออนาคต แค่กิน เล่น และนอนอยู่ข้างคนที่รักก็พอ” เสียงของนางแผ่วเบา ละมุนละไม แต่ก็เจือด้วยความปวดร้าวที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึก เซียนเฉ่าหมุนตัวหนึ่งรอบแล้วนั่งลงข้างเธอ มันซุกหัวเล็ก ๆ เข้ากับมือของหลินหยาอย่างเงียบงัน ราวกับบอกว่า “แม้จะไม่เข้าใจทุกอย่าง แต่ข้าจะอยู่ข้างท่านเสมอขอรับ”


หลินหยามองลำธารอีกครั้ง สายน้ำยังคงไหลไม่หยุด เหมือนเวลาที่ไม่เคยรอใคร นางยกมือขึ้นตักน้ำขึ้นมาล้างใบหน้า ความเย็นเฉียบของน้ำชำระความขุ่นมัวออกจากหัวใจเพียงเล็กน้อย ก่อนนางจะพึมพำกับตัวเอง “ไม่เป็นไร...ข้าจะผ่านมันไปได้” จากนั้นหญิงสาวก็นั่งลงบนหินริมน้ำ ปล่อยให้ความเงียบและเสียงธรรมชาติกล่อมจิตใจให้สงบลงทีละน้อย แม้ความเศร้าและความหนักอึ้งจะยังคงอยู่ แต่ในแววตาของหลินหยามีประกายเล็ก ๆ ของความเข้มแข็งที่เริ่มกลับมาอีกครั้ง


ใต้เงาไม้ใหญ่ริมลำธาร สายลมยามบ่ายเพิ่งจะลูบไล้เส้นผมของหญิงสาวไปไม่นาน ทันใดนั้นเอง...ผิวน้ำก็พล่านเป็นระลอกคลื่นอย่างน่าประหลาด เสียงซ่าเบา ๆ ดังขึ้นก่อนที่บางสิ่งจะโผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำอย่างเงียบเชียบ แต่ทว่า...กระหายและร้ายกาจ ปีศาจปลาทั้งสี่ตนโผล่พ้นผิวน้ำพร้อมกัน ผิวหนังของมันลื่นมันวาวด้วยเมือก เหงือกขยับหอบหายใจดุจสัตว์ล่าเหยื่อ กลิ่นคาวเลือดลอยปะปนมากับกลิ่นดินชื้น สายตาแหลมคมของพวกมันจ้องมาที่หลินหยาและเรือนร่างอ่อนนุ่มอย่างหิวกระหายโดยเฉพาะยามเมื่อเธออยู่เพียงลำพังใกล้สายน้ำ


หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะปรายตามองพวกมันด้วยสีหน้าเหนื่อยใจปนเอือมระอา "อีกแล้วเรอะ...บัดซบเอ๊ย ไอ้พวกปีศาจปลาโรคจิต" นางกวาดตามองไปรอบตัวอย่างระมัดระวัง แม้มีสารถีหนุ่มยืนอยู่ไม่ไกลนัก แต่นางไม่อาจให้เขาเห็นว่าเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่านั้นคือปีศาจสุนัขสามหัวจากแดนอื่น เธอจึงเอื้อมมือไปแตะขลุ่ยไม้ที่เหน็บไว้ข้างเอว ก่อนจะดึงขึ้นมาแนบริมฝีปากอย่างเงียบงัน


"เจ้าห้ามแปลงร่างเด็ดขาดนะเซียนเฉ่า อยู่เฉย ๆ" หลินหยากระซิบผ่านซี่ฟันโดยไม่หันไปมอง เสียงขลุ่ยเริ่มเปล่งออกมาในชั่วพริบตาแรกที่ลมจากปอดไหลผ่าน ท่วงทำนองแรกคือเสียงเรียบเนิบคล้ายลมหายใจของสายหมอก ก่อนที่มันจะค่อย ๆ สั่นระรัวขึ้นเรื่อย ๆ เปลี่ยนเป็นท่วงทำนองกดดัน กระชับ หนักแน่น ราวกับจะเรียกพลังของแผ่นดินและสายลมเข้ามารวมในบทเพลงนั้น


เสียงขลุ่ยที่หลินหยานำขึ้นเป่าดังสะท้อนก้องไปทั่วริมน้ำ ท่วงทำนองแรกอ่อนโยนเหมือนสายลมยามเย็น แต่เพียงครู่เดียวก็แฝงไปด้วยแรงปราณที่แผ่ซ่านทั่วบริเวณ ดุจสายฟ้าในฤดูฝนที่ฟาดฟันกลางท้องฟ้า ท่วงทำนองนั้นแทงทะลุเข้าไปในโสตของปีศาจปลาทั้งสี่ราวกับหอกแหลมคมที่บาดลึกเข้าสู่จิตวิญญาณของพวกมัน เงาดำคล้ายหางและครีบกระพือขึ้นจากผิวน้ำ เสียงกระแทกน้ำดัง ซ่า! พวกมันพุ่งขึ้นจากลำธาร เผยร่างครึ่งคนครึ่งปลาที่มีกลิ่นคาวเน่าฉุน สายตาหื่นกระหายจับจ้องหลินหยาเป็นเป้าหมาย พวกมันคำรามแหลมสูงจนใบไม้สั่น แต่แล้วเสียงขลุ่ยของนางกลับทวีความรุนแรงขึ้น กลายเป็นท่วงทำนองที่บิดเกลียวราวกับกระแสน้ำวนบังคับ


ปราณเสียงที่แฝงอยู่ในขลุ่ยทำให้ปีศาจปลาทั้งสี่เริ่มชะงัก ร่างกายของพวกมันสั่นสะท้านราวกับถูกพันธนาการด้วยเส้นด้ายที่มองไม่เห็น หลินหยาก้าวเท้าไปข้างหน้า ลมหายใจเย็นเฉียบ มือเรียวเคลื่อนไหวเป่าขลุ่ยต่อไป เสียงนั้นกลายเป็นดั่งคลื่นทะเลที่เชี่ยวกราก กวาดล้างสิ่งโสมมที่คิดจะล่วงเกินเธอ ปีศาจปลาตัวหนึ่งพยายามจะฝืนพุ่งเข้าหาเธอ แต่มันกลับถูกคลื่นปราณเสียงกระแทกกระเด็นไปกระแทกโขดหิน เลือดสีคล้ำกระเซ็น ขณะที่อีกสามตัวกรีดร้องลั่นเหมือนถูกเผาจากข้างใน ปั้ง! ท่วงทำนองสุดท้ายถูกเป่าออกมาเป็นเสียงแหลมสูงฉีกฟ้า พลังนั้นรุนแรงพอจะทำให้ร่างของปีศาจปลาทั้งสี่แตกสลายกลายเป็นหมอกคาวที่จางหายไปในอากาศ


เสียงขลุ่ยหยุดลง เหลือเพียงเสียงลำธารที่กลับสู่ความเงียบสงบ หลินหยาลดขลุ่ยลงจากริมฝีปาก พ่นลมหายใจออกช้า ๆ แม้หน้าจะซีดนิด ๆ จากการใช้พลังเกินขีดจำกัด แต่ดวงตาของเธอกลับนิ่งเรียบ ร่างของปีศาจที่เหลือเป็นเศษซากเพียงเล็กน้อยหล่นอยู่ในน้ำ เซียนเฉ่ารีบวิ่งมาข้างกาย ซุกหัวเล็ก ๆ เข้ากับเธออย่างห่วงใย ในขณะที่สารถีหนุ่มมองจากระยะไกลด้วยสายตาตะลึงงัน เขาเห็นเพียงหญิงสาวที่ยืนเป่าขลุ่ยท่ามกลางหมอกน้ำค้างและเงาสะท้อนของแสงอาทิตย์บนผิวน้ำ ภาพนั้นราวกับเทพธิดาแห่งเสียงดนตรีในตำนาน หลินหยามองไปทางสารถีแล้วส่งยิ้มบาง ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ไปเก็บกวาดเศษซากพวกมันซะ เซียนเฉ่า” นางพูดเสียงเรียบ ทั้งที่ในอกเต้นแรง นี่คืออีกครั้งที่นางต้องเลือกระหว่างความลับกับชีวิต และนางก็เลือกปกป้องทั้งสองเอาไว้ "ข้า...เป็นแค่แม่ค้าธรรมดาแท้ ๆ เหนื่อยจะตายชัก" หลินหยาอดพึมพำไม่ได้ พลางสะบัดปลายชายผ้าแล้วเดินไปหยิบกิ่งไม้ หญิงสาวยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ราวกับนี่เป็นเพียงอีกวันหนึ่งในชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยของ ‘หญิงสาวผู้ไม่เคยเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา’ อย่างแท้จริง


เสียงล้อรถม้าเริ่มดังขึ้นอีกครั้งเมื่อออกจากริมลำธาร ม้าเดินย่ำไปบนทางดินที่ทอดผ่านทุ่งหญ้า กลิ่นฝุ่นเบาบางปะปนกับกลิ่นใบไม้แห้งลอยเข้ามาทางหน้าต่าง หลินหยาก้าวขึ้นรถม้าแล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง เสื้อคลุมของนางตกลงบนตัก เส้นผมยาวพลิ้วไหวตามแรงลมที่ลอดเข้ามา สารถีหนุ่มหันมายิ้มอย่างจริงใจ “แม่นางเป่าขลุ่ยเก่งยิ่งนัก ข้ายังขนลุกไม่หาย เสียงนั้น...เหมือนจะขับไล่สิ่งอัปมงคลไปหมดเลย”


หลินหยายกมือปิดปากหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเรียวหวานหันไปสบสายตาเขาเพียงแวบ “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เสียงของเธออ่อนล้าแต่เต็มไปด้วยความสุภาพ จากนั้นก็พ่นลมหายใจยาวเหมือนพยายามจะปลดปล่อยความกดดันที่สะสมมา เจ้าเซียนเฉ่าวิ่งตามขึ้นมาพร้อมเสียงเล็บกระทบพื้นไม้เบา ๆ มันกระโดดขึ้นตักหลินหยาแล้วขดตัวกลมอย่างว่าง่าย หญิงสาวก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ ความอบอุ่นจากขนของมันทำให้หัวใจของเธอสงบลงชั่วคราว


นางพิงแผ่นหลังกับเบาะ มองออกไปนอกหน้าต่างที่เห็นทิวทัศน์ไกลสุดสายตา ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ แสงสีทองอาบทุ่งหญ้าและเส้นทางดินอย่างงดงาม หากเป็นสตรีธรรมดา นี่คงเป็นการเดินทางที่น่ารื่นรมย์ แต่สำหรับหลินหยา...ทุกก้าวของการเดินทางคือการก้าวเข้าสู่เงามืดของโชคชะตาที่เธอไม่อาจหลีกหนีได้ “แค่ปลายทางก็เหนื่อยพอแล้ว…” นางพึมพำกับตัวเอง ดวงตาคู่สวยหลุบลง เผยความเหนื่อยใจที่ไม่อาจปิดบังได้


เจ้าเซียนเฉ่าเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะเลียหลังมือของหลินหยาเบา ๆ เหมือนจะปลอบโยน ไม่ว่าทุกอย่างจะยากเพียงใด...ข้าจะอยู่กับท่านขอรับ


หญิงสาวคลี่ยิ้มจาง ๆ พลางพ่นลมหายใจอีกครั้ง รถม้าก็ยังคงมุ่งหน้าไปข้างหน้า ทิ้งทุกสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไว้เบื้องหลัง ขณะที่เส้นทางสู่เมืองซีผิงเริ่มปรากฏลาง ๆ อยู่ในเงาอาทิตย์ยามเย็น


ฟ้าค่ำแล้ว เมืองซีผิงในยามราตรีถูกคลุมด้วยแสงโคมไฟที่ส่องแสงสลัว ๆ ตามแนวถนนหินเก่าแก่ เสียงผู้คนบางตา มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดเอาใบไม้แห้งปลิวกระทบพื้นดังกรอบแกรบ หลินหยาก้าวเดินไปตามทางด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง แต่ในใจเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทั้งวัน เจ้าเซียนเฉ่าเดินเคียงข้าง นิสัยติดหรูทำให้มันก้าวอย่างระวังไม่ให้ขนสวยเปื้อนฝุ่น ขณะเดียวกันก็เชิดหัวดมกลิ่นไปทั่วราวกับเจ้าของเมือง นัยน์ตาสามารถจ้องตรวจตราทุกเงามืดโดยไม่หวั่นเกรง


หลินหยาหยุดที่มุมถนนแห่งหนึ่ง ด้านข้างมีพ่อค้าหาบเร่ที่กำลังเก็บของลงรถเข็น เธอจึงเดินเข้าไปถามอย่างสุภาพ “ท่านพ่อค้า ขอโทษที่รบกวน เมืองแห่งนี้พอจะมีโรงเตี๊ยมเปิดพักบ้างหรือไม่เจ้าคะ?” ชายผู้นั้นหันมามองก่อนจะยิ้มบาง ๆ และชี้นิ้วไปทางถนนอีกสาย “ตรงไปข้างหน้านั่นแหละ แม่นาง เดินไปจนเห็นป้ายไม้ที่แกะสลักรูปโคมไฟ จะเจอโรงเตี๊ยมชุนฮวา โรงเตี๊ยมเดียวในเมืองนี้ที่ยังเปิดอยู่กลางดึกเช่นนี้”


“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลินหยาพนมมือคำนับเล็กน้อยก่อนเดินตามทางที่ถูกชี้ไป


เมื่อมาถึงตรอกที่บอก เธอเห็นป้ายไม้แกะสลักลายโคมไฟเก่า ๆ แสงจากโคมกระดาษสีเหลืองที่แขวนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมส่องสว่างเพียงพอให้รู้ว่ามีคนอาศัยอยู่ข้างใน กลิ่นหอมจาง ๆ ของเหล้าและซุปเดือดลอยมาตามลม บ่งบอกว่ามีลูกค้าอยู่บ้าง หลินหยาพ่นลมหายใจยาวเหมือนจะปลดภาระจากบ่า “ในที่สุด...ก็เจอสักที” นางก้มมองเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่เดินอย่างองอาจเข้าไปก่อนราวกับเป็นเจ้าของสถานที่ “ไปกันเถอะเซียนเฉ่า คืนนี้เราจะได้นอนเตียงอุ่น ๆ เสียที” พูดจบ หลินหยาก็ผลักประตูไม้เข้าไปสู่บรรยากาศอบอุ่นของโรงเตี๊ยมยามค่ำ ที่ภายในมีกลิ่นไม้เก่าและกลิ่นอาหารลอยอบอวลต้อนรับนักเดินทางอย่างเธอ


ภายในโรงเตี๊ยมชุนฮวายามค่ำคืนอบอวลไปด้วยกลิ่นอาหารจาง ๆ และไออุ่นจากเตาถ่าน เสียงหัวเราะจากโต๊ะใกล้เคียงดังเป็นระยะ แต่ก็ไม่ถึงกับพลุกพล่านจนอึดอัด บรรยากาศโดยรวมดูเก่าแต่สะอาด เงียบพอสำหรับคนที่ต้องการพักผ่อนอย่างแท้จริง หลินหยาก้าวตรงไปยังโต๊ะไม้เคลือบน้ำมันที่มีชายหนุ่มในชุดเสี่ยวเอ้อร์ยืนอยู่ เขาดูเป็นคนอัธยาศัยดี หน้าตาซื่อ ๆ สวมผ้าคาดหน้าผากสีหม่น มีคราบแป้งติดอยู่มุมแขนเสื้ออย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกว่าเพิ่งช่วยงานครัวมาหมาด ๆ


“ข้าต้องการห้องพักสักห้อง...จะได้หรือไม่เจ้าคะ?” หลินหยาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สีหน้าของนางแม้จะอ่อนล้า แต่ยังคงรักษาความสง่างามอย่างไม่เสื่อมคลาย เสี่ยวเอ้อร์ชายหนุ่มในชุดผ้าฝ้ายสีซีดเงยหน้าขึ้นยิ้มต้อนรับอย่างเป็นมิตร เขากวาดตามองหลินหยาพร้อมกับเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่เดินเชิดหน้าอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะตอบเสียงนอบน้อม “ได้สิขอรับ แม่นางมาถึงเมืองซีผิงดึกดื่นเช่นนี้คงเหน็ดเหนื่อยมาก ห้องพักยังว่างอยู่หนึ่งห้องพอดี...ค่าห้องห้าตำลึงเงิน รวมอาหารเช้าด้วยนะขอรับ” หลินหยาพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะหยิบเงินออกมาจากแหวนดาราจรัส ส่งให้เสี่ยวเอ้อร์โดยไม่พูดอะไรมาก ชายหนุ่มรับเงินอย่างตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นแหวนที่สวยหรูเกินกว่าคนธรรมดาจะครอบครองได้ แต่ก็รีบก้มหน้าเก็บซ่อนสีหน้างง ๆ ของตน หน้าตาเสี่ยวเอ้อร์ดูประหลาดใจเล็กน้อยที่ลูกค้าสตรีหน้าตาดีเช่นนี้กลับพูดจาสุภาพยิ่งกว่าแม่นางผู้ดีทั้งเมือง 


“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลินหยาพูดเรียบง่าย ก่อนเงยหน้าถามต่อด้วยน้ำเสียงนุ่ม “อีกอย่าง...หากข้าจะเป่าขลุ่ยเบา ๆ ในห้อง จะเป็นการรบกวนหรือไม่เจ้าคะ?”


เสี่ยวเอ้อร์รีบส่ายหัวยิ้มกว้างรีบส่ายหน้าแล้วตอบด้วยน้ำเสียงซื่อ ๆ “ไม่รบกวนหรอกขอรับแม่นาง ตราบใดที่ไม่เป่าแข่งกับกลองศึกกลางค่ำกลางคืน ห้องของแม่นางอยู่ชั้นสองปลายระเบียง ค่อนข้างเงียบ ไม่มีใครอยู่ห้องข้าง ๆ ด้วย ท่านเป่าได้ตามสบายเลยขอรับ” ได้ยินเช่นนั้น หลินหยาก็ระบายยิ้มบาง ขอบคุณเขาอีกครั้ง เสี่ยวเอ้อร์พานางและเจ้าเซียนเฉ่าขึ้นไปยังห้องพักชั้นบนที่อยู่ปลายทางเดินไม้เก่า ๆ ห้องเล็กแต่สะอาด มีเตียงไม้ปูฟูกผ้าฝ้ายสีขาวเรียบ ๆ และโต๊ะเล็กหนึ่งตัว ใต้แสงโคมไฟน้ำมันอุ่น ๆ บรรยากาศดูเงียบสงบพอที่จะพักกายพักใจได้


“แม่นางพักผ่อนให้เต็มที่นะขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์กล่าวพร้อมยกมือคำนับก่อนปิดประตูห้องเบา ๆ ทิ้งให้หลินหยาอยู่กับความเงียบ


หญิงสาววางของที่จำเป็นลงบนโต๊ะ ก่อนจะมองเจ้าหมาน้อยที่กระโดดขึ้นไปนั่งบนฟูกอย่างหรูหรา นางหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วถอดผ้าคลุมออก ยืดไหล่หนึ่งทีพลางนั่งลงข้างเตียงแล้วมองสำรวจรอบห้อง ห้องพักชั้นสองของโรงเตี๊ยมชุนฮวานั้นตกแต่งเรียบง่ายแต่กว้างพอควร พื้นไม้ขัดจนมันวาวส่งกลิ่นไม้เก่าอ่อน ๆ ผสมกับกลิ่นสมุนไพรที่ลอยมาจากมุมอ่างน้ำที่ตั้งอยู่ในซอกเล็ก ๆ มีฉากไม้กั้นบาง ๆ เพื่อความเป็นส่วนตัว อ่างน้ำทำจากไม้สนเคลือบมัน ห่อหุ้มด้วยไอร้อนที่ระเหยจาง ๆ พร้อมกลิ่นสมุนไพรหอมเย็น ละมุนจนคลายความเหนื่อยล้าได้เพียงแค่สูดดม


หลินหยาที่นั่งลงข้างเตียงเธอมีลมหายใจแผ่วราวกับคลายพันธนาการ นางเริ่มปลดกระดุมเสื้อคลุมทีละเม็ด เผยผิวขาวละมุนที่สะท้อนกับแสงตะเกียงอุ่น ๆ เสียงผ้าสีอ่อนลื่นไถลลงกับพื้นเบา ๆ ดังแผ่ว หลินหยาหันไปมองอ่างน้ำที่มีควันบาง ๆ ลอยคลอขึ้นมา ดวงตาหวานของนางฉายแววพึงใจ “แหม...ราคานี้เกินไปนะเนี้ย…มีอ่างด้วยอ่ะ” นางพึมพำกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ “อยู่ฉางอันค่าห้องตั้ง 30 ตำลึงเงิน ข้าจ่ายเพราะอยากจะเปื่อยอยู่ในอ่างนี่แหละ” เจ้าเซียนเฉ่าก็ยังคงนอนกลิ้งข้างเบาะนอนชั้นดีของมัน เหยียดตัวหาวอย่างสบายอารมณ์ แต่หูเล็ก ๆ ยังคงกระดิกเฝ้าระวังเงียบ ๆ


หญิงสาวค่อย ๆ ก้าวเท้าเปลือยเปล่าไปยังอ่างไม้ กลิ่นสมุนไพรในน้ำยิ่งชัดเจนขึ้น นางค่อย ๆ ก้าวลงทีละขั้น ปล่อยให้น้ำอุ่นโอบกอดตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงลำตัว เมื่อร่างบอบบางจมลงไปในน้ำ ความร้อนซ่านก็ไหลกระจายไปทั่วทุกอณูผิว หลินหยาหลับตาพริ้ม ปล่อยให้ร่างกายและจิตใจคลายไปกับความอบอุ่น “อา...สวรรค์แท้ ๆ” เสียงพึมพำของนางแผ่วเบาราวกับบทสวดของความสุขสงบ เธอเอนพิงขอบอ่าง ปล่อยให้เส้นผมยาวสยายลอยไปกับผิวน้ำ ร่างทั้งร่างค่อย ๆ คลายความตึงเครียดเหมือนจะละลายไปกับน้ำอุ่น ใบหน้าที่เมื่อครู่เคร่งเครียดกลับผ่อนคลายลง ดวงตาหลับสนิทยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนเรียวปากสีธรรมชาติ


คืนนี้...ข้าจะได้พักจริง ๆ สักครั้ง


เซียนเฉ่าเดินมาแหมะลงข้างอ่างไม้ ขนฟูนุ่มของมันสะท้อนแสงตะเกียงดูน่าฟัดเสียจนหลินหยาหลุดหัวเราะเบา ๆ หญิงสาวยกคิ้วพลางเอียงหน้ามองมัน ดวงตาคู่หวานหยดเต็มไปด้วยแววขี้เล่นปนเหนื่อยล้า นางยื่นปลายนิ้วเรียวไปแตะจมูกเล็กของมันเบา ๆ ทำเอาเจ้าหมาน้อยกระดิกหูด้วยท่าทีสง่างามสมเป็นหมาติดหรู “เจ้าลืมแล้วหรือว่า ข้าตั้งใจจะจับเจ้าอาบน้ำสักทีเมื่อมาพักโรงเตี๊ยม” หลินหยายิ้มมุมปาก น้ำอุ่นคลออยู่รอบไหล่ของนางทำให้บรรยากาศผ่อนคลายยิ่งขึ้น


เซียนเฉ่ากระพริบตาปริบ ๆ ก่อนตอบเสียงนุ่มที่มีท่าทีขี้อ้อนปนถือตัว “ข้าอยากอาบน้ำหอม ๆ เท่านั้นนะขอรับ น้ำสมุนไพรนี่ก็หอมใช้ได้...แต่อย่าทำให้ขนของข้าพันกันเด็ดขาดนะขอรับ” หลินหยาหัวเราะคิกพลางใช้ปลายนิ้วแตะจมูกมันอีกครั้ง “โอ้โห เจ้าหมาเอาแต่ใจเอ๊ย…อ่างนี่ก็อุ่นหอมพอจะกล่อมเจ้าหลับได้อยู่หรอกนะ”


เซียนเฉ่าหันหน้าหนีเล็กน้อยแต่หางแกว่งไปมาอย่างพึงใจ “ถ้าแม่นางหลินจะอาบกับข้า ข้าก็ไม่ขัดนะขอรับ” น้ำเสียงมันเหมือนแกล้งหยอกให้เจ้าของหัวเราะ หญิงสาวหลุดหัวเราะออกมาดังขึ้น พลางส่ายหัว “เจ้านี่นะ…ถ้าเแกกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ฉันจะขำใส่เลย…เจ้าหมาลามก…เดี๋ยวข้าแช่เสร็จแล้วค่อยจัดให้ จะฟอกขนให้นุ่มฟูสุด ๆ เลยดีไหม” เซียนเฉ่าทำตาวาว หัวกระดิกแรงราวกับเด็กดีได้ของเล่นใหม่ ขณะที่หลินหยายิ้มหวานอย่างเหนื่อยล้าแต่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น อ่างน้ำสมุนไพรยังคงโอบกอดร่างของนาง ส่วนเจ้าหมาน้อยก็นั่งเฝ้าอย่างซื่อสัตย์รอเวลาของมันด้วยท่าทีแสนเอาใจ


หลังจากแช่ตัวจนน้ำในอ่างใหญ่เริ่มเย็นลง หลินหยาก็ลุกขึ้นช้า ๆ น้ำอุ่นหยดแหมะจากปลายเส้นผมและแผ่นหลัง นางหยิบผ้าเช็ดตัวเนื้อนุ่มที่พับเรียบร้อยไว้บนขอบฉากไม้มาพันกายอย่างทะนุถนอม ก่อนจะเทน้ำอุ่นลงในอ่างไม้อีกใบที่อยู่ถัดไป เป็นอ่างขนาดเล็กพอเหมาะสำหรับสุนัขตัวหนึ่ง... “เอาล่ะ เจ้าหมาติดหรู ถึงคราวเจ้าบ้างแล้ว” หลินหยาหรี่ตามองเซียนเฉ่าที่แหมะตัวรออย่างมีมาด แม้ปากจะไม่พูด แต่หางที่กระดิกเบา ๆ นั้นบ่งบอกว่ามันรู้ตัวดีว่ากำลังจะได้รับสิ่งที่ใจปรารถนา


นางก้มลงช้อนตัวเซียนเฉ่าขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ร่างนุ่ม ๆ ของมันขดตัวอย่างว่าง่าย ขณะที่หลินหยาค่อย ๆ วางมันลงในอ่างน้ำอุ่น กลิ่นสมุนไพรหอมละมุนลอยขึ้นอีกครั้ง เซียนเฉ่านั่งอย่างว่าง่าย แต่ท่าทีเหมือนรู้ว่ากำลังจะได้บริการหรู เลยยืดคอทำตัวสง่างามเป็นพิเศษ หลินหยาหัวเราะคิก ก่อนจะตักน้ำอุ่นราดเบา ๆ บนขนของมัน กลิ่นสมุนไพรหอมจาง ๆ กระจายไปทั่วห้อง “น้ำอุณหภูมิกำลังดี...เจ้าน่าจะพอใจ” นางเอ่ยเสียงนุ่ม มือเรียวเริ่มวักน้ำลูบลงบนหลังมัน แล้วหยิบฟองสบู่สมุนไพรที่เตรียมไว้ขัดขนของมันอย่างเบามือ


มือเรียวของนางขัดขนให้เจ้าหมาน้อยอย่างตั้งใจ นิ้วลูบคลึงไปตามแนวสันหลัง นวดเบา ๆ ตรงบ่าและขาเล็ก ๆ ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความทะนุถนอม “โอ้ ขนเจ้านี่นุ่มชะมัด…ข้าสปอยเจ้าเกินไปหรือเปล่านะ?” เซียนเฉ่าหลับตาเอนตัวให้เธอขัดตามซอกขา แผ่นหลัง ลำคอ แม้กระทั่งใต้คาง มันยอมให้นางขัดฟอกได้ทุกจุดโดยไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย น้ำเสียงพึงพอใจดัง “อื้ม...ตรงนั้น…เบา ๆ…อา ใช่เลยขอรับ…” เซียนเฉ่าหลับตาพริ้มปล่อยเสียงครางแผ่ว ๆ อย่างฟินสุดชีวิต “อืม…นี่แหละ ชีวิตของสุภาพบุรุษผู้ดี…คุณหนูหลินท่านช่างเข้าใจข้ายิ่งนัก”


หลินหยาหัวเราะคิก เสียงนุ่มละมุนราวสายลมฤดูใบไม้ผลิ “โอ้โห แกนี่มันสุนัขหรือองค์ชายจากราชวังบักกิงแฮมวะคะ” หลังจากอาบน้ำและนวดขนจนมันฟูฟ่องทั้งตัว หลินหยาก็ยกมันขึ้นมาเช็ดตัวด้วยผ้าอีกผืน ฟูมฟักราวกับลูกน้อยในอ้อมแขน แล้วอุ้มเจ้าหมาตัวเปียกขึ้นไปวางบนเบาะขนนุ่มข้างเตียง นางใช้ผ้าขนหนูขัดวนที่บริเวณบั้นท้ายของมันเบา ๆ อย่างเอ็นดู แล้วนวดคลึงตามกล้ามเนื้อที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน พลางซับขนมันให้แห้งด้วยผ้าขนหนูหนานุ่ม จากนั้นจึงใช้หวีไม้ไผ่สางขนจนเรียบฟูเหมือนปุยนุ่น นางยังไม่ลืมนวดเบา ๆ ตรงข้างคอและใต้คางให้มันเคลิ้มเพิ่มเป็นพิเศษ


เซียนเฉ่าขดตัวกลิ้งไปมาอย่างฟินจัด หางสะบัดเบา ๆ เหมือนกำลังขอบคุณ “คุณหนูหลิน...นี่มันสวรรค์ของสุนัขแท้ ๆ ขอรับ...” มันครางอย่างซื่อสัตย์ หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนโยนวางมือลงบนหัวของมันอย่างแผ่วเบา “ก็บอกแล้วไง ว่าข้าสปอยคนของข้าเสมอ” แสงตะเกียงในห้องยังคงสว่างจาง ๆ และในยามที่โลกภายนอกเงียบสงัด ความอบอุ่นเล็ก ๆ ระหว่างหญิงสาวกับเจ้าหมาน้อยแสนรัก...ก็เพียงพอให้หัวใจที่เหนื่อยล้ารู้สึกว่า คืนนี้…ข้าน่าจะฝันดีได้บ้างเสียที


จากนั้นหลินหยาก็โดนเจ้าหมาขอให้เป่าขลุ่ยให้หน่อย หลินหยาหลุดหัวเราะเบา ๆ พลางยกมือขึ้นลูบหัวเจ้าหมาน้อยที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จจนขนฟูฟ่องราวกับเมฆขาวบนสรวงสวรรค์ “ขอเสียงขลุ่ยกล่อมนอนงั้นรึเซียนเฉ่า?” เสียงของนางแฝงรอยยิ้มระคนเหนื่อยหน่ายใจเล็กน้อย แต่แววตามีเพียงความอ่อนโยนเต็มเปี่ยม “งั้นรอข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะเจ้าหมาตัวดี” นางลุกขึ้นจากขอบเตียง เดินไปทางฉากกั้นไม้ที่มุมห้อง พร้อมพึมพำกับตัวเอง “ให้ตายสิ ชุดนอนผ้าฝ้ายหนา ๆ พวกนี้มันน่าหงุดหงิดชะมัด…คันก็คัน เหมือนใส่ผ้ากระสอบ” มือเรียวของนางปลดผ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางเบ้ปากหน่อย ๆ อย่างไม่ปิดบังอารมณ์


ความจำที่ฟื้นคืนมาในช่วงหลังความทรงจำของหญิงสาวจากอีกโลกหนึ่งทำให้นางรู้ตัวดีว่า...รสนิยมของนางไม่เคยอยู่ในขอบเขตของความเรียบร้อยแบบโลกนี้เอาเสียเลย เสื้อผ้าชุดนอนที่หลินหยาคุ้นเคยคือเนื้อผ้าบางเบา แนบตัว หรือไม่ก็ไม่มีเสียเลยสักชิ้นด้วยซ้ำ “เอาเถอะ...ไว้มีเวลาจะตัดผ้าเองให้มันได้อย่างใจ ข้าไม่ใช่คุณหนูสูงศักดิ์ในวังเสียหน่อยใครจะมาเห็นตอนเรานอนวะ” เสียงพึมพำลอดออกมาพร้อมเสียงผ้าสะบัดเบา ๆ หลินหยาเลือกสวมชุดนอนที่เรียบที่สุดที่เธอพกติดตัวมา เป็นชุดผ้าเนื้อดี ตัดเรียบ แต่บางพอให้รู้สึกเหมือนไม่ได้สวมอะไร อาจจะไม่ได้ตามเทรนด์อาณาจักรต้าฮั่นสักเท่าไร แต่...มันคือความสบายที่แท้จริง


พอเดินออกมาจากฉากกั้น ผมยาวที่ยังหมาดเล็กน้อยก็ถูกรวบหลวม ๆ ไว้ด้านข้าง ร่างที่ปรากฏคือหญิงสาวผู้สะท้อนภาพของอิสระ และความขี้เกียจในเวลาเดียวกัน มือข้างหนึ่งถือขลุ่ยไว้หลวม ๆ อีกข้างยกขึ้นปิดปากหาวเล็กน้อย เจ้าเซียนเฉ่าเงยหน้าขึ้นจากเบาะนอนของมัน หูตั้ง ดวงตาเป็นประกายทันทีราวกับรู้ว่าเจ้าของกำลังจะทำตามสัญญา


หลินหยาเดินกลับมานั่งที่เดิมบนเตียง แสงตะเกียงสีนวลทอดเงาร่างของเธอบนพื้นไม้ หญิงสาวหยิบขลุ่ยขึ้นมาแนบริมฝีปาก สูดลมหายใจลึก แล้วปล่อยเสียงแรกของท่วงทำนองที่อ่อนโยนออกมา ราวกับสายลมที่พัดผ่านม่านไม้ไผ่ในยามราตรี เสียงขลุ่ยของหลินหยาค่อย ๆ ไหลไปตามอารมณ์ เป็นเพลงกล่อมที่ไม่มีชื่อ ไม่ได้มาจากตำราใด แต่งขึ้นในวินาทีนั้น…เพื่อเจ้าหมาตัวหนึ่ง และเพื่อหัวใจของหญิงสาวผู้เหนื่อยล้า คืนนี้...ไม่มีฝันร้าย ไม่มีเสียงกระซิบ ไม่มีนางไม้ ไม่มีปีศาจปลา มีเพียงเสียงขลุ่ย และลมหายใจของสหายข้างกายที่ยังคงอยู่…เท่านั้นเอง


เสียงขลุ่ยของหลินหยาล่องลอยช้า ๆ ไปกับอากาศในห้องพัก เสียงนั้นไม่ดังเกินไปแต่กลับซึมลึกในทุกอณูรอบตัว ราวกับเส้นด้ายโปร่งที่คอยสานความสงบเข้ากับหัวใจ นางปล่อยให้นิ้วเรียวไหลไปตามรูขลุ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ละโน้ตที่เกิดขึ้นเหมือนชำระล้างความหนักอึ้งที่เธอเก็บมาตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นภาพจากหุบเขากระเรียน ความทรงจำของสนมลั่วซาน หรือดวงตาสีทองของเทพในอดีตกาล ทุกอย่างค่อย ๆ ถูกละลายออกไปพร้อมกับเสียงเพลง หญิงสาวเอนหลังพิงกับเสาไม้ข้างเตียง แสงตะเกียงส่องให้เห็นเส้นผมยาวที่สยายระพื้น บางเส้นสะท้อนประกายเหมือนแพรไหมต้องแสง ดาวนอกหน้าต่างเริ่มพราวระยับราวกับตั้งใจฟังบทเพลงของเธอ ท่วงทำนองกลายเป็นสายลมที่ไหลพัดอยู่ในห้อง ทำให้บรรยากาศอบอุ่นและชวนฝันอย่างบอกไม่ถูก


หลินหยายิ้มบาง ๆ ให้กับตัวเอง แม้หัวใจจะเจ็บและเหนื่อยล้า แต่บทเพลงนี้ก็ทำให้เธอรู้ว่า...เธอยังมีที่ยืนในโลกนี้ ยังมีปลายทางที่ต้องไปให้ถึง เมืองซุยหยางยังรออยู่เบื้องหน้า


เมื่อโน้ตสุดท้ายจางหายไป หญิงสาวค่อย ๆ ลดขลุ่ยลงบนตัก เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเจ้าเซียนเฉ่าที่ขดตัวอยู่บนเบาะนุ่มข้างเตียงทำให้เธอรู้ว่ามันหลับไปนานแล้ว มันนอนอย่างสงบ ร่างเล็ก ๆ กระเพื่อมตามจังหวะหายใจ หูและหางกระดิกเล็กน้อยราวกับกำลังฝันดี หลินหยามองมันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เธอยกมือลูบหัวมันแผ่ว ๆ เพื่อไม่ให้ตื่น เสียงหัวใจเธอเต้นช้าลงอย่างสงบเช่นกัน


หลินหยาหยิบตำราหนังสือเก่าเล่มนั้นขึ้นมาวางบนตักด้วยความเคารพเหมือนกำลังสัมผัสสมบัติล้ำค่า แม้ปกหนังสีหม่นจะเก่าไปตามกาลเวลา แต่เพราะความเก่ากลับทำให้มันดูทรงคุณค่ามากขึ้น นางลูบปลายนิ้วเบา ๆ ตามรอยลายของฝีเย็บและรอยขีดข่วนที่ปรากฏอยู่ ก่อนจะค่อย ๆ เปิดไปทีละหน้า เสียงกระดาษแผ่วเบาเหมือนกำลังรำพึงเล่าความลับให้คนที่คู่ควรได้ฟัง ตัวอักษรบนกระดาษเป็นลายมือที่บรรจงเขียนอย่างเรียบร้อย ทุกคำสะท้อนถึงความตั้งใจและหัวใจของผู้เขียน เสี่ยวจ้าวจื่อได้ใช้เวลาหลายปีจดบันทึกความรู้ที่สั่งสมจากขันทีเฒ่าเติ้งลงในทุกบรรทัด เหมือนกับฝากลมหายใจสุดท้ายของอาจารย์ผู้ล่วงลับไว้ในตัวอักษรเหล่านี้


ภายในบันทึกเต็มไปด้วยสูตรอาหารอันเลิศรสของวังหลวง ไม่ใช่แค่เพียงส่วนผสมและขั้นตอนการปรุงเท่านั้น แต่รวมไปถึง “ปรัชญา” ของการทำอาหาร การเลือกวัตถุดิบที่ต้องสดจนแทบจะยังคงวิญญาณของธรรมชาติอยู่ การหั่นที่ต้องแม่นยำจนได้ขนาดเท่ากันทุกชิ้นเหมือนงานศิลป์ และที่สำคัญที่สุดคือ “ไฟ” ซึ่งเสี่ยวจ้าวจื่อบรรยายว่าเป็นหัวใจของอาหารที่แท้จริง


ไฟแรงไปเพียงลมหายใจเดียว ความหวานในเนื้อจะถูกเผาผลาญ

ไฟอ่อนเกินไป ความหอมละมุนจะไม่ถูกปลุกขึ้นมาจากก้นหม้อ

ทุกย่อหน้ามีความหมาย ทุกคำคือคำสั่งสอนของขันทีเฒ่าเติ้งที่สืบทอดมาด้วยความลับและความรักในศิลปะแห่งอาหาร


หลินหยาก้มหน้าลงอ่านไปทีละบรรทัดอย่างตั้งใจ นางรู้ดีว่าตำรานี้ไม่ได้มีไว้แค่ให้ท่องจำ แต่ต้องเรียนรู้และสัมผัสมันด้วยใจ ลมหายใจของนางค่อย ๆ สงบลงเมื่อจมเข้าสู่โลกของคำสอนในหน้ากระดาษ นางจดจำเคล็ดลับการควบคุมไฟในเตาไม้แบบวังหลวง การทำซุปใสให้คงความหวานโดยไม่ใช้เครื่องปรุงเกินจำเป็น และสูตรที่เน้นการดึงรสชาติแท้ ๆ ของวัตถุดิบออกมา


หญิงสาวพลิกหน้ากระดาษช้า ๆ ในแต่ละหน้ามีรอยด่างที่เหมือนคราบน้ำมันหรือซุป ซึ่งเป็นหลักฐานว่าตำราเล่มนี้ผ่านการใช้งานจริงมานับครั้งไม่ถ้วน หลินหยายิ้มบาง ๆ เพราะเธอรู้สึกเหมือนได้ใกล้ชิดกับเสี่ยวจ้าวจื่อมากขึ้นในทุกตัวอักษร เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “เสี่ยวจ้าวจื่อ เจ้าคงจะตั้งใจฝากความรู้พวกนี้ไว้กับผู้ที่คู่ควรจริง ๆ …ข้าจะไม่ทำให้เสียชื่อ” นางวางตำราลงข้างหมอน พิงหลังกับเตียง เงยหน้ามองเพดานห้องที่ส่องสว่างด้วยแสงตะเกียงนวลอ่อน แสงนั้นกระทบใบหน้าหวานที่ฉายแววตั้งมั่น หลินหยารู้ดีว่า ในทุกการเดินทาง ทุกการต่อสู้ ทุกจานอาหารที่เธอทำ ล้วนมีคนสองคนขันทีเฒ่าเติ้งและเสี่ยวจ้าวจื่อที่เฝ้ามองและส่งพลังให้เธออยู่เสมอ






@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

ความชำนาญศาสตร์การดนตรี - ยอดคีตศิลป์
บรรเลงดนตรีให้กับเหล่าสัตว์อสูรแข็งแกร่งขึ้นได้ (พวกเขาจะได้รับ +2 Point)
ตนเองจะมีตบะเพิ่มพูนขึ้นเช่นเดียวกัน (+15 ตบะฝึกฝน)

อื่น ๆ: ผมอยากจะกรี๊ดดดด อ๊าาาาาา
ศึกษา ซุปใสใบหลิว (3/4)

รางวัล: 
ปีศาจปลา : ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ) - ได้รับแล้ว
และอัตราออก ง้าวปีศาจปลา คุณภาพน้ำเงิน Level 20 = ? = เกลือ
(เลขไบต์หลักสุดท้ายออก 9 หากมีบัพผู้มีบุญเพิ่มอัตราเป็น เลข 9 / 0 / 5)

สรุปรางวัลที่ได้: +15 ตบะฝึกฝน, สัตว์เลี้ยงได้รับ +2 Point

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 134697 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-4 22:10
โพสต์ 134,697 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-4 22:10
โพสต์ 134,697 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-4 22:10
โพสต์ 134,697 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-4 22:10
โพสต์ 134,697 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-4 22:10

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +15 ย่อ เหตุผล
Watcher + 15

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-5 21:27:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 05 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า ณ เมืองซีผิง มณฑลยวี่โจว จักรวรรดิต้าฮั่น - ยามเซิน ณ เมืองซู มณฑลซูโจว จักรวรรดิต้าฮั่น


ยามเหม่าแสงอรุณแรกของเมืองซีผิงค่อย ๆ ลอบลอดผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาในห้องพักที่ยังคงอบอวลไปด้วยไออุ่นของค่ำคืน หลินหยาลืมตาตื่นช้า ๆ ขยับกายลุกขึ้นจากเตียงอย่างเกียจคร้าน เส้นผมยาวสลวยกระจายไปตามไหล่ นางยกมือขึ้นขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะสูดลมหายใจลึก ร่างกายอ่อนเพลียจากการเดินทางเมื่อวานเหมือนได้ชุบชีวิตขึ้นมาใหม่เพราะการพักผ่อนที่เพียงพอ หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปล้างหน้าแปรงฟัน น้ำเย็นใสที่ชโลมใบหน้าทำให้ดวงตาคมหวานของนางสดใสขึ้นทันที นางเช็ดหน้าให้แห้ง จัดผมให้เข้าที่ จากนั้นจึงสวมชุดเดินทางตามปกติเรียบง่ายคล่องตัว แต่ยังคงความงามสะอาดสดใสแบบที่เป็นตัวของเธอ


เมื่อจัดการกับตัวเองเสร็จ หลินหยาก็ก้าวกลับมาหาเจ้าเซียนเฉ่าที่ขดตัวอยู่บนเบาะหรูใกล้เตียง มันนอนหลับอย่างมีความสุขจนขนฟูฟ่องไปทั้งตัว ร่างเล็กนั้นหายใจช้า ๆ ตามจังหวะความฝัน หลินหยามองแล้วอดไม่ได้ที่จะระบายยิ้มเอ็นดู นางคุกเข่าลง ยกมือขึ้นลูบหัวมันเบา ๆ ก่อนเอ่ยเสียงนุ่ม “เซียนเฉ่า…ตื่นได้แล้วนะเจ้าหมาขี้เซา”


เจ้าน้อยขยับหู กระดิกหางเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย หลินหยาหัวเราะคิกกับท่าทางนั้น “ข้าว่า…ข้าคงต้องประดิษฐ์แปรงฟันสำหรับเจ้าสักอันแล้วล่ะนะ จะได้ไม่มีกลิ่นปากหมาเวลามาเลียหน้าข้า” นางพูดพลางจิ้มจมูกมันเบา ๆ เซียนเฉ่าหาวหวอดแล้วเชิดหน้าทำท่าภูมิฐานประหนึ่งว่าตนหอมอยู่แล้วโดยธรรมชาติ หลินหยาหันไปมองโต๊ะเล็กตรงมุมห้องที่มีขนมและเครื่องดื่มเตรียมไว้เล็กน้อย นางเอียงคอมองก่อนจะพึมพำ “ว่าแต่…โรงเตี๊ยมที่นี่มีอาหารเช้าให้นี่หน่า?” ดวงตาของนางเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดถึงอาหารร้อน ๆ ยามเช้า เธอหันไปบอกเซียนเฉ่า “งั้นเราไปกินกันก่อนเถอะนะ เติมพลังให้เต็มท้องแล้วค่อยออกเดินทางต่อ”


เจ้าหมาน้อยกระดิกหางแรงขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าอาหาร แถมทำท่าลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเปิดประตูออกไปสู่โถงโรงเตี๊ยมที่เริ่มคึกคักด้วยกลิ่นอาหารหอมกรุ่น รอคอยการเริ่มต้นวันใหม่ของนักเดินทางเช่นเธอ


กลิ่นอาหารเช้าที่โรงเตี๊ยมลอยคลุ้งไปทั่วทั้งโถง ไอน้ำจากโจ๊กข้าวหอมกรุ่นและกลิ่นซุปกระดูกเข้มข้นคลุกเคล้ากับกลิ่นไก่ย่างจนทำให้ท้องร้องเบา ๆ หลินหยาที่ก้าวลงมาจากชั้นสองค่อย ๆ เดินผ่านนักเดินทางคนอื่นที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ นางมองหามุมอาหารที่ทางโรงเตี๊ยมจัดไว้แล้วก็พบว่ามีโต๊ะเรียงรายวางอาหารพื้นบ้านมีทั้งโจ๊กข้าวเหนียวโรยหมูสับ แป้งทอดร้อน ๆ และเนื้อไก่ย่างจนหนังกรอบทองส่งกลิ่นหอม นางก้าวไปเลือกอาหารอย่างใจเย็น หยิบชามโจ๊กหนึ่งชาม ซดน้ำซุปเล็กน้อยให้คลายความหนาวในท้องก่อนจะตักข้าวสวยร้อนใส่จาน จากนั้นก็หยิบไก่ย่างสะโพกและน่องที่ชิ้นโตอวบอิ่มมาวางบนจานตัวเองอีกหน่อย


เมื่อเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะไม้ซึ่งอยู่มุมเงียบ ๆ ของโถงโรงเตี๊ยม นางค่อย ๆ ฉีกสะโพกไก่และน่องไก่ออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะวางใส่ในชามอาหารของเซียนเฉ่าโดยเฉพาะ แล้วเลื่อนชามนั้นไปตรงหน้ามัน “เอ้า…ของเจ้า อร่อยที่สุดแล้วนะ” เจ้าหมาน้อยรีบยื่นหัวมาดม กลิ่นไก่ย่างหอมลอยกระแทกจมูก มันกระดิกหางแรงอย่างดีใจแล้วกินอย่างสงบแต่ดูหรูราวกับหมาผู้ดีสมกับนิสัยติดหรูของมัน หลินหยาหัวเราะเบา ๆ “นี่ข้าสปอยเจ้าจนเสียหมาไปแล้วจริง ๆ”


หญิงสาวค่อย ๆ นั่งลงทานอาหารของตนเอง รสชาติเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความอุ่นใจในเช้าวันนี้ ระหว่างที่นางตักข้าวเข้าปากก็เหลือบมองเจ้าหมาน้อยที่กินอย่างเอร็ดอร่อย ความสุขเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เธอรู้สึกเบาขึ้นแม้ในใจจะยังมีเรื่องหนักหน่วงก็ตาม สายตาของหลินหยาหันออกไปนอกหน้าต่าง โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งอยู่ริมถนนที่มุ่งสู่ทิศเหนือ เมืองซูในเขตซูโจวนั้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม หากเร่งเดินทางก็คงถึงในช่วงเย็น ๆ หรือพลบค่ำ นางยกมือขึ้นเท้าคางนึกในใจ อีกเส้นทาง อีกบททดสอบที่รออยู่เบื้องหน้า…


นางหันกลับมากินต่อจนหมดจาน ลุกขึ้นลูบหัวเซียนเฉ่า “กินเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ วันนี้เรามีปลายทางใหม่ต้องไปถึง” เสียงของนางแฝงด้วยความตั้งใจอันเงียบสงบ ก่อนที่ทั้งหญิงสาวและหมาน้อยจะเตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง


ตลาดท่าเช่ารถม้าของเมืองซีผิงเช้านี้คึกคักกว่าปกติ เสียงม้าร้องและเสียงล้อไม้บดกับพื้นดังระงมไปทั่ว หลินหยาก้าวเข้าไปในเขตลานที่มีรถม้าจอดเรียงรายอยู่ แต่แทบทุกคันที่มีขนาดพอเหมาะกลับถูกเช่าออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่รถม้าขนาดใหญ่หรูหราตกแต่งด้วยผ้าไหมลายเมฆทองและหลังคาลวดลายมังกรเท่านั้นที่ยังยืนตระหง่านอยู่ หญิงสาวกัดฟันแน่นเมื่อได้ยินราคาจากสารถีหนุ่ม มันแพงกว่าปกติหลายเท่าตัว! แถมสารถียังพูดหน้าตาย “นี่คือรถม้าหรูครับคุณหนู เดินทางสบายรวดเร็ว รับรองว่าถึงเมืองซูในเวลาครึ่งวัน ไม่สะเทือนหลัง ไม่เจ็บก้นเลยขอรับ”


หลินหยามองหน้าสารถีด้วยสายตาคมกริบ แล้วหันไปสบตาเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่ทำหน้าย่นเหมือนกำลังคิดตาม แม่ง...ระยะทางแค่ร้อยกว่าลี้ จะขูดเงินกันไปถึงไหน!


นางพ่นลมหายใจแรง กำหมัดแน่นข้างลำตัว “ถ้าจะให้ข้าจ่ายราคาเต็มนี่ก็โหดไปหน่อยนะเจ้าคะ...” พลางมองไปรอบ ๆ หวังว่าจะเจอใครสักคนที่กำลังจะไปทางเดียวกันจะได้ช่วยหารค่ารถม้า เสียงคนพูดคุยดังแว่วมาจากอีกมุมของท่าเช่า สายตาของหลินหยาก็เหลือบไปเห็นกลุ่มพ่อค้าหนุ่มสองคนที่กำลังต่อรองราคากับสารถีคันอื่น แต่สีหน้าพวกเขาก็ไม่ต่างจากเธอ เต็มไปด้วยความเซ็งที่ค่ารถม้ามันแพงหูฉี่ หนึ่งในนั้นเงยหน้ามองหลินหยาพอดี ดวงตาสอดรู้สอดเห็นวาววับขึ้น “แม่นางก็มุ่งไปเมืองซูหรือไม่? พวกเราก็เช่นกัน…แต่ราคานี่ช่าง…”


หลินหยาระบายยิ้มเล็กน้อยในใจ เอาล่ะ นี่อาจจะเป็นโชคดีของเรา นางก้าวเข้าไปยกคิ้วอย่างมั่นใจ “เช่นนั้นพวกเรามาหารค่ารถม้ากันไหมเจ้าคะ? ข้าเองก็ไม่อยากโดนฟันราคาเกินเหตุ” เซียนเฉ่าที่อยู่ข้าง ๆ กระดิกหางขึ้นอย่างเห็นด้วย มันหันไปเห่าเบา ๆ เหมือนประกาศว่า เอาเลยเจ้านาย จัดไป!


เสียงล้อรถม้าเริ่มเคลื่อนไปตามถนนสายหลักของเมืองซีผิง พลางลากเอากลิ่นหอมของผ้าไหมใหม่จากผ้าม่านรถม้าและกลิ่นหญ้าสดจากแผงหญ้าที่ปูในล้อข้างในมาด้วย บรรยากาศภายในคันหรูเต็มไปด้วยความนุ่มสบาย เบาะหนานุ่มหุ้มกำมะหยี่สีเข้มทำให้ทุกการนั่งยิ่งกว่าการเดินทางชาวบ้านทั่วไป หลินหยานั่งเรียบร้อย พลางเหลือบมองชายหนุ่มสองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกัน ทั้งคู่ดูมีท่าทีสนิทสนมกันตั้งแต่แรก พบว่าพวกเขาน่าจะเป็นเพื่อนร่วมทางกันมานาน คนหนึ่งมีรูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาคมเข้มคล้ายพ่อค้าหรือชาวเมืองที่ช่ำชอง ส่วนอีกคนตัวเล็กกว่าเล็กน้อย ผิวคล้ำแดด ใบหน้ามีรอยยิ้มขี้เล่น ดูจะเป็นคนร่าเริงอยู่ไม่น้อย


ชายร่างสูงเอ่ยขึ้นก่อน “แม่นาง ข้าชื่อหลี่เหวิน เป็นพ่อค้าเครื่องหอมจากแดนเหนือ นี่สหายของข้า เจาเฟิง พ่อค้าสมุนไพรพเนจร เรามีธุระไปยังเมืองซูพอดี” น้ำเสียงสุภาพแต่แฝงความจริงใจ ส่วนเจาเฟิงยิ้มกว้าง พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “ดีใจที่ได้ร่วมทางกับแม่นางนะขอรับ ระหว่างทางคงไม่เหงาแล้ว”


หลินหยาระบายยิ้มบางพลางตอบกลับอย่างนุ่มนวล “ข้าชื่อหลินหยาเจ้าค่ะ เป็นแม่ค้าจากฉางอัน ร้านเล็ก ๆ ของข้าอาจไม่มีชื่อเสียงมากนัก แต่ข้ากำลังเดินทางไปยังเมืองซูเพื่อธุระส่วนตัว” น้ำเสียงของนางอ่อนหวานแต่ฟังแล้วมั่นใจในตัวเอง เมื่อเห็นเจาเฟิงก้มมองเจ้าหมาน้อยที่นั่งแหมะบนตักของหลินหยาด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางจึงยกยิ้มแล้วลูบหัวมันเบา ๆ “นี่คือเซียนเฉ่าเจ้าค่ะ เพื่อนร่วมทางของข้า”


เจ้าหมาน้อยเงยหน้าขึ้น มองพ่อค้าทั้งสองด้วยท่าทางผู้ดีแสนภูมิฐานเหมือนรู้ตัวว่ากำลังถูกแนะนำ มันกระดิกหางเล็กน้อยแล้วเห่าตอบเบา ๆ “บ๊อก” ราวกับทักทาย พ่อค้าทั้งสองถึงกับหัวเราะออกมา เจาเฟิงพูดขึ้น “เจ้าหมานี้ช่างดูน่าเกรงขามแต่ก็น่ารักในเวลาเดียวกัน” หลินหยายิ้มบางอย่างภาคภูมิใจ นางลูบหัวเซียนเฉ่าอีกครั้ง “ใช่เจ้าค่ะ เขาอาจจะตัวเล็ก…แต่ความสามารถของเขาไม่น้อยหน้าใครเลยเจ้าค่ะ” การแนะนำตัวที่เรียบง่ายนี้ทำให้บรรยากาศในรถม้าผ่อนคลายลง และเสียงล้อที่บดกับถนนก็เริ่มกลายเป็นจังหวะที่กล่อมให้ทุกคนพร้อมจะเริ่มต้นการเดินทางอันยาวไกลสู่เมืองซูอย่างราบรื่น


การเดินทางผ่านทุ่งหญ้าและป่าโปร่งเป็นไปอย่างราบเรียบ แสงแดดยามสายส่องลอดผ้าม่านรถม้าเข้ามาเป็นลายเส้นสีทอง หลินหยาเอนตัวพิงเบาะกำมะหยี่อย่างผ่อนคลาย แต่ในแววตากลับฉายแสงว้าวุ่นราง ๆ บางครั้งก็มองออกไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังคิดอะไรลึกซึ้งที่ไม่มีใครเข้าถึงได้


หลี่เหวิน พ่อค้าหนุ่มผู้ช่างสังเกตเงียบ ๆ มองหญิงสาวตรงหน้าผ่านหางตา เขาไม่พูดอะไร แต่ในใจเต็มไปด้วยคำถาม เส้นผมของนาง…เขาสังเกตว่ามันไม่เป็นระเบียบอย่างคนที่เพิ่งตัดใหม่และปล่อยให้ยาวตามธรรมชาติ แตกต่างจากสตรีชาวฮั่นส่วนใหญ่ที่มักเก็บผมเรียบร้อยและรักษาความยาวเป็นสัญลักษณ์ของกุลสตรี แต่นางกลับมีผมที่ฟุ้งสยาย พลิ้วไหวเหมือนสายลมฤดูใบไม้ร่วง และบางเส้นก็ชี้อย่างดื้อดึงเหมือนเจ้าของ ไม่เพียงเท่านั้น หลี่เหวินสังเกตท่าทางของหลินหยา นางนั่งอย่างไม่เกรงใจใครนัก ท่าทีไม่เสแสร้งจะเรียกว่ามีความนุ่มนวลก็มี แต่แฝงด้วยความมั่นใจแบบที่ไม่ค่อยเห็นในหญิงสาวบ้านดีทั่วไป โดยเฉพาะรอยยิ้มที่ยามปรากฏขึ้นมันไม่ใช่รอยยิ้มของคนที่เคยถูกขีดกรอบ หากแต่เป็นของคนที่เคยเผชิญสิ่งมากมายและเลือกจะหัวเราะเย้ยต่อโชคชะตา


เจาเฟิงที่นั่งข้าง ๆ กลับเป็นคนเปิดบทสนทนาก่อนด้วยน้ำเสียงร่าเริง “แม่นางหลิน…ข้าว่าเจ้ามีท่วงท่าที่ดูต่างจากสตรีที่ข้าเคยพบ ข้าชื่นชมในความกล้าเดินทางเพียงลำพังกับหมาน้อยตัวหนึ่งนัก”


หลินหยาหันไปยิ้มมุมปาก ดวงตาหวานกระทบกับแสงแดดระยิบ “บางครั้งสตรีก็ไม่ได้ต้องอาศัยใครคุ้มครองตลอดไปหรอกเจ้าคะ ข้าแค่เลือกเส้นทางของตัวเองเท่านั้น” คำตอบนั้นทำให้หลี่เหวินยิ่งสงสัยมากขึ้น หญิงสาวคนนี้…นางไม่ได้เป็นเพียงแม่ค้าธรรมดาแน่ แต่เขาเลือกจะเก็บคำถามไว้ในใจ เพราะจากที่เห็น แม่ค้าผู้นี้คงไม่เปิดเผยเรื่องของตนกับใครง่าย ๆ


เซียนเฉ่าที่นอนขดอยู่บนตักของหลินหยาลืมตาขึ้นเล็กน้อย เหมือนจะรับรู้ถึงสายตาที่กำลังจับจ้องเจ้านายของมัน มันแยกเขี้ยวยิ้มเล็กน้อยคล้ายเตือนเงียบ ๆ ว่า อย่าคิดเกินเลยกับนาง…ไม่งั้นเจอข้ากัดแน่ขอรับ ทำเอาหลินหยาเผลอหัวเราะในลำคอแล้วลูบหัวเจ้าหมาน้อยเบา ๆ คล้ายบอกมันว่า ไม่เป็นไรหรอก เจ้าก็ช่างระวังตัวไปนะ


รถม้าหรูยังคงเคลื่อนตัวไปอย่างมั่นคง ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบปนความสงสัยที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของผู้ร่วมทางทั้งสองคน เสียงล้อรถม้ายังคงบดกับดินอย่างสม่ำเสมอ แต่บรรยากาศภายในกลับเต็มไปด้วยความเกร็งเงียบ หลี่เหวินกับเจาเฟิงแอบชำเลืองมองหลินหยาเป็นระยะ ๆ ทุกครั้งที่นางหันหน้าไปมองทิวทัศน์ พวกเขาจะสบตากันเหมือนกำลังคิดหาคำพูดดี ๆ มาชวนคุย ทว่า…ทันทีที่สายตาพวกเขาเหลือบไปนานเกินควร เซียนเฉ่าที่ขดตัวอยู่บนตักของนางก็เงยหน้าขึ้น แยกเขี้ยวเล็ก ๆ พร้อมส่งเสียงคำรามในลำคอ กรรร์… เตือนอย่างชัดเจนว่า อย่าแม้แต่จะคิดมาใกล้เจ้านายของข้านะ!


ทั้งสองหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย หัวเราะแห้ง ๆ แล้วหันไปมองวิวด้านนอกแทน ทำเหมือนว่าไม่ได้จ้องอะไรเมื่อครู่ เจาเฟิงกระซิบกับหลี่เหวินเบา ๆ “เจ้าหมาตัวนี้…ทำไมเหมือนมีจิตวิญญาณนักเลงปกป้องคนรักเลยวะ” ส่วนหลี่เหวินก็ส่ายหัวขำ ๆ แต่ไม่กล้าพูดต่อ


หลินหยาที่เห็นพฤติกรรมเจ้าหมาน้อยก็อดถอนหายใจไม่ได้ นางเอื้อมมือเกาหัวมันเบา ๆ เสียงหวานเอ่ยตำหนิแบบเอ็นดู “เซียนเฉ่า…เจ้าจะขู่คนไปทั่วแบบนี้ไม่ได้นะ มันเป็นนิสัยที่ไม่ดีเลย” เซียนเฉ่าหลุบตาแล้วหงายหน้าขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่า ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด ข้าแค่ปกป้องท่านนี่หน่า มันซุกหัวเข้ากับฝ่ามือนางอย่างเงียบ ๆ หางกระดิกไปมาแต่แอบเหล่ตาไปทางสองพ่อค้าไม่หยุด ราวกับประกาศอาณาเขต นางคือเจ้านายของข้า ใครแตะ…เจอดีแน่


หลินหยาหลุดหัวเราะเบา ๆ พลางบ่นกับมันเสียงแผ่ว “หวงอะไรขนาดนั้นกัน เจ้าไม่ได้หวงแค่ตัวเองใช่ไหม…เจ้าหวงแทนเขาคนนั้นหรือเปล่า” เจ้าหมาน้อยส่งเสียงคราง ฮึม เบา ๆ คล้ายตอบรับแต่ก็ไม่ยอมละท่าทีหวงก้าง หลินหยายิ้มมุมปาก รู้ดีว่าหมาน้อยของนางไม่ใช่หมาธรรมดา มันเหมือนมีหัวใจที่รับรู้ความในใจของนางอย่างถ่องแท้ และนั่นยิ่งทำให้การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่นปนขำขันในแบบที่หลินหยาเท่านั้นที่เข้าใจ


แสงแดดยามเที่ยงส่องลอดผ่านยอดไม้ที่เรียงรายริมทาง รถม้าจอดพักข้างลำธารเล็ก ๆ ที่น้ำใสไหลเอื่อย หลินหยาก้าวลงจากรถม้า สูดลมหายใจลึก ๆ ให้ร่างกายได้คลายเมื่อยหลังจากนั่งมานาน นางก้าวยืดเส้นยืดสายช้า ๆ สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดปะทะแก้มอ่อน ดวงตาคมหวานของนางทอดมองวิวธรรมชาติที่ทอดยาวไกลสุดสายตา ข้าง ๆ นั้นเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่ากระโดดโลดเต้น ไล่ผีเสื้อและวิ่งวนไปมาราวกับเด็กซน สองพ่อค้าหนุ่มที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ ลังเลเล็กน้อยก่อนที่เจาเฟิงจะรวบรวมความกล้าหยิบห่ออาหารที่พวกเขาเตรียมไว้เดินเข้ามา “แม่นางหลินหยา…พวกข้าเตรียมอาหารกลางวันไว้บ้าง จะรับสักหน่อยหรือไม่?” น้ำเสียงสุภาพปนเกรงใจชัดเจน หลี่เหวินที่ตามมาข้าง ๆ ก็ยิ้มบาง ๆ แสดงความเห็นด้วย


หลินหยาหันมามอง ยกยิ้มอ่อนด้วยแววตาขอบคุณ “ขอบคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอร่วมด้วยแล้วกันนะเจ้าคะ” นางนั่งลงข้าง ๆ พวกเขาอย่างไม่ถือตัว รับแผ่นแป้งบางจากมือเจาเฟิง ก่อนจะหยิบหมูเค็มผัดยอดผักที่ส่งกลิ่นหอมขึ้นมาวางบนแผ่นแป้งอย่างคล่องแคล่ว พับครึ่งแล้วกัดเบา ๆ รสเค็มกำลังดีของหมูเค็มตัดกับความหวานกรอบของยอดผัก กลิ่นควันกระทะและเครื่องปรุงเรียบง่ายกลับทำให้รสชาติกลมกล่อมเกินคาด หลินหยาหลับตาชั่วครู่ ลิ้มรสแล้วพยักหน้ายิ้ม “อร่อยนะเนี้ย…ฝีมือใครหรือเจ้าคะ?”


เจาเฟิงหัวเราะเก้อ ๆ ยกมือเกาแก้ม “ฝีมือข้าเอง…ดีใจที่แม่นางชอบ”


ขณะที่นางกิน เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าก็มานั่งจ้องด้วยสายตาแป๋ว ๆ หลินหยาหยิบเนื้อหมูชิ้นเล็ก ๆ ที่หั่นเรียบร้อยให้มันหนึ่งคำ เซียนเฉ่ากินอย่างสุภาพชนสมกับเป็นหมาติดหรู หางสะบัดเบา ๆ ด้วยความพอใจ ทำเอาสองหนุ่มที่มองอยู่เผลอยิ้มตามกับความน่ารักนั้น หลินหยามองบรรยากาศรอบตัว ขณะเคี้ยวช้า ๆ แล้วพ่นลมหายใจโล่งอก อย่างน้อยช่วงเวลานี้…ก็สงบดีเหลือเกิน


น้ำเย็นใสของลำธารสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ ขณะหลินหยากำลังล้างมืออย่างสบายใจ แต่เพียงพริบตาเดียว ผิวน้ำกลับกระเพื่อมรุนแรงอย่างผิดปกติ ฟองน้ำผุดพร่างพร้อมกับเงาดำที่เลื้อยเคลื่อนไหวอยู่ใต้น้ำอย่างรวดเร็ว ร่างปีศาจปลาสี่ตนโผล่ขึ้นพร้อมเสียงคำรามแหลม พวกมันมีร่างกายกึ่งมนุษย์กึ่งปลา เกล็ดสีเขียวหม่นแวววาวด้วยคราบสกปรก ดวงตาเต็มไปด้วยความกระหายและราคะ มันแยกเขี้ยวเลนสกปรก มองหลินหยาด้วยสายตาเหมือนจะกลืนกิน


หลี่เหวินกับเจาเฟิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว มือทั้งคู่คว้ากระบี่ของตนขึ้นมา ดวงตาหวาดระแวงเต็มที่ พวกเขาไม่ใช่นักรบฝีมือเยี่ยม แต่ก็ไม่คิดจะยอมตายง่าย ๆ “แม่นางถอยไป!” เจาเฟิงตะโกน เตรียมป้องกันหลินหยาจากเงามรณะที่พุ่งขึ้นมาจากน้ำ


หลินหยายืนสงบอยู่ข้างหลัง ยกมือกุมหน้าผากพลางถอนหายใจยาว “ให้ตายสิ…ข้าเจอเจ้าพวกปีศาจปลาได้ทุกวันจริง ๆ หรือเนี่ย? จะมากี่ครั้งก็ไม่เบื่อหรือไงนะ...” น้ำเสียงนางเต็มไปด้วยความรำคาญมากกว่าหวาดกลัว เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าก้าวออกมายืนหน้าหลินหยา ดวงตาทั้งคู่ของมันส่องแสงกร้าวคำรามต่ำในลำคอ กรรร์… ก่อนที่ร่างเล็กจะสั่นสะท้าน กล้ามเนื้อปูดขึ้น เส้นขนพอง ตัวขยายใหญ่และในพริบตาก็กลายเป็นสุนัขปีศาจสามหัวที่แผ่รังสีข่มขวัญอย่างรุนแรง สามขมับคำรามพร้อมกันจนสะท้านลำธาร


ปีศาจปลาสี่ตัวหยุดชะงักไปชั่วครู่ด้วยความตกใจ ทว่าความกระหายเนื้อสตรีทำให้มันพุ่งเข้ามาโดยไม่คิดชีวิต หลินหยาเหลือบมองอย่างเย็นชา ดึงขลุ่ยออกมาจากแหวนแล้วเป่าเสียงแรกพุ่งเป็นลมคมกริบตัดผ่านอากาศ เสียงขลุ่ยของนางแหลมสูง ลื่นไหลราวสายลมแฝงพลังสะกด ปีศาจปลาทั้งสี่ชะงักเคลื่อนไหวเชื่องช้า ขณะที่เซียนเฉ่าพุ่งโจนไปดั่งพายุ ร่างสามหัวฉีกกระชากพวกมันทีละตัว เลือดสีคล้ำสาดกระเซ็นบนผิวน้ำ ดวงตาปีศาจปลาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวก่อนร่างมันจะถูกกัดจนขาดกระจุย


เสียงขลุ่ยหยุดลงพร้อมกับเสียงกระแทกสุดท้ายของร่างปีศาจที่ล้มตาย หลินหยาหยุดเป่าแล้วหันไปมองสองหนุ่มที่ยืนนิ่ง อ้าปากค้าง กระบี่ในมือแทบหลุดด้วยความตกตะลึง นางปัดผมเบา ๆ พูดเสียงราบเรียบ “หมดธุระแล้วสินะ... เจ้าเซียนเฉ่า ฝังมันซะเถอะ ข้าเบื่อจะเห็นเลือดพวกมันแล้ว” เซียนเฉ่ากลับร่างหมาน้อยตามคำสั่ง กัดลากซากพวกปีศาจไปไกลอย่างเชื่อฟัง ทิ้งสองพ่อค้าให้ยืนตัวแข็งกับภาพที่เห็น ก่อนที่หลินหยาจะปรายตามองพวกเขาและยิ้มมุมปาก “จะยืนแข็งเป็นหินอีกนานไหมล่ะนั้นเจ้าคะ? เรากลับไปกินข้าวต่อเถอะเจ้าค่ะ”


สองหนุ่มเลยคุยกัน “แม่นางไม่ใช่แม่ค้าธรรมดาหรือเปล่าเนี้ย แล้วเจ้าหมาน้อยนั้นก็ไม่ใช่หมาธรรมดาจริง ๆ ด้วยสินะขอรับ แม่นางเองก็เก่งมากด้วย” หลินหยาหัวเราะออกมาน้อย ๆ ดวงตาหวานใสเป็นประกายราวกับแซวโชคชะตาตนเอง “ข้าเริ่มจะชินแล้วล่ะเจ้าค่ะ เหมือนปีศาจปลาเห็นหน้าข้าเป็นอาหารเลิศรส ไม่รู้เพราะเหตุใด ถึงได้ตามมาหาเรื่องทุกที่” นางพูดพลางยกมือปัดผมที่ปลิวไปตามลม ใบหน้ามีรอยยิ้มสบาย ๆ ราวกับเพิ่งจัดการพวกมันไปอย่างง่ายดาย


เจาเฟิงและหลี่เหวินยังคงยืนอึ้งกับสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความทึ่ง เจาเฟิงเอ่ยเสียงตื่น “แม่นางหลิน…พวกข้าเพิ่งเคยเห็นคนที่จัดการปีศาจปลาได้รวดเร็วขนาดนี้ ข้าคิดว่าแค่พวกมันตัวเดียวก็ลำบากแล้ว แต่นี่ตั้งสี่ตัว…”


หลินหยาส่ายหัว ยกยิ้มอ่อน “ท่านกำลังชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าแค่มีเจ้าเซียนเฉ่ากับขลุ่ยเท่านั้น หากไม่มีสองสิ่งนี้ ข้าก็คงแย่ไปนานแล้วล่ะเจ้าค่ะ” 


หลี่เหวินที่ฟังเงียบ ๆ มาตลอดก็ยกคิ้วขึ้น ก่อนจะหัวเราะเบา “สำหรับข้าแค่รอดจากปีศาจไก่ได้ก็หืดขึ้นคอแล้ว... ข้าบอกเลยว่าพวกมันไม่ธรรมดาเหมือนกัน ตัวใหญ่เท่าคน แถมวิ่งเร็วอย่างกับลม พวกข้าต้องหนีหัวซุกหัวซุน” เจาเฟิงพยักหน้าเสริม “ไม่ใช่แค่ปีศาจไก่หรอกนะ ครั้งหนึ่งพวกข้าเคยเจอปีศาจหอยที่หมู่บ้านชายทะเล พวกมันแอบคลานขึ้นฝั่งกลางดึก ล่อผู้ชายตัวโตไปในเปลือกแล้วกลืนทั้งเป็น โชคดีที่วันนั้นมีชาวประมงช่วยไว้ทัน”


หลินหยาหัวเราะเสียงใส “ปีศาจหอยเนี่ยนะเจ้าคะ? ข้าฟังแล้วขนลุกแทนเลยเจ้าค่ะคงน่าจะเหม็นเมือกของพวกมันน่าดู” นางยกมือแตะคาง ครุ่นคิดขำ ๆ หลินหยาหัวเราะคิกลูบหัวเซียนเฉ่าที่กลับมานั่งเฝ้าเงียบ ๆ “พวกเราคงมีชะตากรรมคล้ายกันแล้วล่ะ…ต่างฝ่ายต่างโดนปีศาจจ้องเล่นงานเสมอนะเจ้าคะ” เจาเฟิงกับหลี่เหวินหัวเราะแห้ง ๆ ตอบกลับ ก่อนทั้งหมดจะเริ่มเดินกลับไปที่รถม้าเพื่อเตรียมออกเดินทางต่อ หลินหยาก้าวขึ้นรถพร้อมเซียนเฉ่าที่กระโดดขึ้นตัก ขณะที่สองหนุ่มยังแอบเหลือบมองเธอด้วยความนับถือ นี่ไม่ใช่แค่แม่ค้าธรรมดาแล้วจริง ๆ…


รถม้าสั่นคลอนเบา ๆ ตามจังหวะล้อที่บดไปกับดินกรวด หลินหยายังคงนั่งพิงผนังรถ มือลูบขนนุ่มของเซียนเฉ่าที่ขดตัวบนตักนางอย่างสงบ ดวงตาคมหวานทอดมองออกไปยังทิวทัศน์ที่เลื่อนไปเรื่อย ๆ เบื้องนอก มีเพียงเสียงสายลมพัดคลอเคลียและเสียงล้อหมุนเป็นจังหวะช้า ๆ คล้ายจะกล่อมใจให้เงียบลง


แม้ริมฝีปากของหลินหยาจะคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อพบว่าถูกจับจ้องจากสองหนุ่มที่นั่งตรงข้าม แต่นั่นก็เป็นเพียงรอยยิ้มอ่อนที่แฝงความเหนื่อยล้า ใบหน้าขาวซีดเล็กน้อยเหมือนคนที่ฝืนกายฝืนใจอยู่ในที ความเจ็บปวดและพิษที่หลบซ่อนในร่างกายยังคงกัดกินอย่างแผ่วเบาแต่ไม่เคยหยุด นางไม่อยากให้ใครเป็นห่วง จึงเลือกเงียบเสีย ดั่งสตรีที่เข้มแข็งต่อสายตาโลก เจาเฟิงและหลี่เหวินหันสบตากันเงียบ ๆ ไม่กล้าเอ่ยถามแม้สักคำ พวกเขาเพียงมองแวบหนึ่ง แล้วเบือนหน้ากลับไปยังทางเบื้องหน้า ใจกลับพร่ำคิดว่า นางคงมีเรื่องมากมายเกินจะเล่า...


แสงแดดยามบ่ายคล้อยสาดลอดเข้ามาในรถม้า ตกกระทบกับเส้นผมสีดำของหลินหยาที่สะท้อนเป็นประกายเจือเศร้า นางเพียงถอนหายใจยาว ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับวิวภูเขาและป่าไม้ด้านนอก ราวกับโลกทั้งใบหลุดออกจากการควบคุมของนางไปแล้ว เหลือเพียงเธอผู้ที่ยังต้องก้าวเดินต่อไปในเส้นทางโชคชะตาอันไร้ปลายทาง…


แสงแดดยามบ่ายทอดเงาลงบนถนนหินกรวดของเมืองซู กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกไม้ป่ากับกลิ่นฝุ่นที่อบอวลในอากาศปะปนกัน หลินหยาก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างามแม้จะอ่อนล้า ดวงตาหวานทอดมองรอบ ๆ เมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไปมาอย่างคึกคัก ทั้งเสียงแม่ค้าร้องขายของและเสียงกงล้อไม้ที่ดังลั่นไปทั่ว


พ่อค้าหนุ่มทั้งสองเจาเฟิงและหลี่เหวินก้าวลงตามหลัง หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ พวกเขามองหลินหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความนับถือและความประทับใจ เพราะระหว่างทางที่ผ่านมา เธอไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตพวกเขาจากปีศาจ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่โอบอ้อมอารีและมุ่งมั่นเกินกว่าหญิงสาวใดจะมีได้


หลินหยาคลี่ยิ้มบาง ๆ แม้ดวงหน้าแฝงร่องรอยความเหนื่อยล้า เธอประสานมือคำนับเบา “ข้าต้องขอบคุณท่านทั้งสองที่ร่วมทางกับข้าในครั้งนี้นะเจ้าคะ หากวันใดพวกท่านผ่านไปยังฉางอัน เชิญไปที่ร้านเซียงเฉินเสี่ยวพู้ ร้านขายสมุนไพรและเครื่องหอมของข้า ข้าจะเลี้ยงน้ำชาดี ๆ ต้อนรับอย่างเต็มที่”


เจาเฟิงยิ้มอบอุ่น พลางตอบเสียงจริงใจ “แม่นางหลิน หากมีโอกาสข้าจะไปเยี่ยมแน่นอน” ส่วนหลี่เหวินเพียงพยักหน้ารับแต่แววตาบอกชัดถึงความรู้สึกขอบคุณที่ล้นหัวใจ


เซียนเฉ่าที่อยู่ข้างกายเจ้าของก็ยืดอกขึ้นอย่างสง่า ราวกับประกาศให้โลกรู้ว่าตนคือผู้พิทักษ์ของนางผู้สูงค่า


เมื่อร่ำลาจบ หลินหยาก้าวออกไปยังถนนสายหลักของเมืองซู ฝีเท้าของเธอนิ่งแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เบื้องหน้าเป็นเส้นทางใหม่ที่กำลังจะเริ่ม และไม่ว่ามันจะเต็มไปด้วยความลับหรืออันตรายเพียงใด หญิงสาวก็พร้อมจะก้าวเดินต่อไป โดยมีสายลมใบไม้ร่วงและแสงแดดที่อุ่นระเรื่อเป็นพยานในทุกย่างก้าวของนาง…


ตลาดของเมืองซูในยามบ่ายคล้อยคึกคักไปด้วยเสียงเจรจาต่อรอง กลิ่นอาหารหอมฉุย และสีสันของพ่อค้าแม่ขายที่เรียงรายสองฝั่งถนน หลินหยาสวมผ้าคลุมบางเบาสีเรียบปกปิดความโดดเด่น เดินเคียงไปกับเจ้าเซียนเฉ่าที่ก้าวอย่างองอาจราวกับเจ้าหมาผู้ดีจากจวนสูงศักดิ์ นางกวาดตามองแผงขายสมุนไพร เครื่องเทศ แหวน กระบอกน้ำ และอาหารแห้งทีละร้าน ก่อนจะซื้อของจำเป็นอย่างพวกเนื้อเค็ม แป้งข้าว ห่อชาแห้ง และสมุนไพรที่ช่วยฟื้นพลังงาน นางยังแอบซื้อขนมให้เซียนเฉ่าหนึ่งห่อแม้เจ้าหมาน้อยจะแค่เลียปากยามเห็น


ระหว่างเดินเลือกซื้อของคนขายผักตรงหัวมุมตลาดกำลังคุยกับลูกค้าเรื่องข่าวใหญ่จากเมืองหลวงฉางอัน “ได้ยินหรือยัง? ฉางซานเซียนหวางจะแต่งงานกำหนดงานภายในเดือนนี้แหละ เร็ว ๆ นี้เลย!” เสียงนั้นลอดเข้าหูหลินหยาจนเธอชะงักฝีเท้า ดวงตาที่มักแจ่มใสกลับหม่นลงเล็กน้อย


เซียนเฉ่าเหลือบตามองเจ้านาย มันเหมือนจะรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ หลินหยาจึงพ่นลมหายใจเบา ๆ ขณะหยิบผลไม้เปรี้ยวหวานจากแผงมาวางในตะกร้า “ข่าวแต่งงานน่ะเซียนเฉ่า…ไม่ใช่ของเขา แต่เป็นขององค์ชายฉางซาน ถึงอย่างนั้น ข้าก็อดคิดถึงท่านหลิวอันไม่ได้เลย” เสียงนางแผ่วราวกระซิบ ใบหน้าอ่อนหวานคลี่ยิ้มเศร้า “ข้าปฏิเสธเขา…เขาคงเจ็บปวดมากแน่ ๆ และข้าเองก็…” นางก้มหน้าลูบหัวเซียนเฉ่า “…เจ็บไม่แพ้กัน ความรักนี่มันวุ่นวายนัก เจ้าว่ามั้ย”


เซียนเฉ่าเงยหน้ามองด้วยดวงตาใสซื่อก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพนุ่มนวลตามแบบฉบับ “ความรักไม่เคยง่ายดายขอรับคุณหนู แต่มันก็งดงามเพราะเช่นนั้น” หลินหยาหัวเราะในลำคอเบา ๆ เดินต่อไปท่ามกลางกลิ่นผลไม้สุกและเสียงผู้คนที่ยังวุ่นวายไม่สิ้นสุด มือเรียวกำถุงผ้าสินค้าแน่นขึ้นราวกับรวบรวมกำลังใจให้ตัวเอง เพราะไม่ว่าหัวใจจะเจ็บแค่ไหนเส้นทางข้างหน้ายังต้องเดินต่อไป…


โรงเตี๊ยมกลางเมืองซูที่หลินหยาเลือกพักนั้นแม้จะไม่ได้หรูหราโอ่อ่าเหมือนที่พักในฉางอัน ทว่าเมื่อมองจากภายนอกโครงสร้างไม้เนื้อแข็งหลังคากระเบื้องโบราณ และซุ้มประตูที่มีป้ายเขียนด้วยพู่กันว่าเหอฮวาเจวี๋ย ก็พอจะรับรู้ได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีระดับและใส่ใจในความเป็นส่วนตัวของแขกผู้มาเยือน หญิงสาวผลักประตูเข้าไปในยามที่แสงแดดยามเย็นทอดตัวอ่อนละมุนผ่านบานหน้าต่างกระดาษข้าว เสี่ยวเอ้อร์ชายวัยราวยี่สิบที่ยืนประจำโต๊ะหน้าล็อบบี้เงยหน้าขึ้นเห็นนางก็รีบยกมือคำนับทันที


“เรียนแม่นางประสงค์ห้องพักหรือขอรับ?”


“ข้าขอห้องพักหนึ่งห้องเจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ยเสียงนุ่มขณะดวงตากวาดมองไปรอบโรงเตี๊ยมอย่างเงียบงัน “มีห้องที่มีอ่างแช่น้ำส่วนตัวหรือไม่เจ้าคะ? ขอแบบเงียบสงบและอยู่ชั้นบนจะยิ่งดีเจ้าค่ะ” เสี่ยวเอ้อร์รีบพยักหน้ารับคำ “มีขอรับ เป็นห้องชั้นสอง ด้านในสุด เงียบสงบไม่ถูกรบกวนแน่นอนขอรับ และมีอ่างอาบน้ำอุ่นให้พร้อม แม่นางประสงค์จะพักกี่คืนหรือขอรับ?”


“หนึ่งคืนเจ้าค่ะ” หลินหยาบอกอีกฝ่ายแบบสุภาพ


เสี่ยวเอ้อร์ที่โรงเตี๊ยมเงยหน้ามองหลินหยาพร้อมรอยยิ้มรับแขก “ได้ขอรับคุณหนู งั้นเป็นห้องพักชั้นสองเป็นห้องเดี่ยวเงียบสงบด้านในสุด พร้อมอ่างแช่น้ำเติมสมุนไพรกลิ่นหอมอ่อน ๆ ให้ด้วย ราคา…ยี่สิบตำลึงเงินขอรับ” หลินหยาพยักหน้าช้า ๆ และส่งถุงเงินออกไปโดยไม่ต่อรอง “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางพูดเรียบง่ายก่อนเดินตามเสี่ยวเอ้อร์ขึ้นบันไดไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบา ๆ ทุกย่างก้าว เมื่อเปิดประตูเข้าไป กลิ่นหอมของสมุนไพรและไออุ่นจาง ๆ ต้อนรับเธอทันที ห้องพักตกแต่งด้วยไม้สนเก่าแก่ ผ้าม่านสีงาช้างพลิ้วเบาในสายลมจากหน้าต่างเล็กที่เปิดไว้


เจ้าเซียนเฉ่าก้าวเข้ามาตรวจตราห้องด้วยจมูกกระดิก สูดกลิ่นสำรวจมุมต่าง ๆ อย่างเจ้าของบ้าน “ห้องนี้ผ่านขอรับคุณหนูหลิน” มันสรุปอย่างภูมิฐาน ทำให้หลินหยาหัวเราะออกมาเบา ๆ เธอวางสัมภาระทั้งหมดลงบนโต๊ะไม้เตี้ย มองไปยังอ่างแช่น้ำที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องซึ่งมีไอน้ำลอยระเหยขึ้นปกคลุม กลิ่นสมุนไพรจาง ๆ ชวนให้ร่างกายผ่อนคลายราวกับจะปลดปล่อยความเหนื่อยล้าทั้งหมด หลินหยาพ่นลมหายใจยาว คลายผ้าโพกศีรษะและเสื้อคลุมออกจากร่างก่อนจะหันไปลูบหัวเซียนเฉ่าเบา ๆ “คืนนี้เราจะได้พักกันที่นี่นะ”


เจ้าหมาน้อยกระดิกหางตอบอย่างพอใจ แล้วไปนอนขดตัวบนเบาะนุ่มที่เตรียมไว้ให้ ส่วนหลินหยาก้าวเท้าไปยังอ่างไม้ อุณหภูมิของน้ำอุ่นพอดีจนไอร้อนเกาะผิวแก้ม เมื่อร่างบอบบางจุ่มลงไป ความเมื่อยล้าที่สะสมมาหลายวันค่อย ๆ เลือนหาย เธอเอนหลังพิงขอบอ่าง หลับตาฟังเสียงน้ำกระทบเบา ๆ กับผิวไม้ ราวกับโลกทั้งใบหยุดเคลื่อนไหวในชั่วขณะนี้ ในห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจของเจ้านายและสัตว์เลี้ยงที่สอดประสานกันอย่างสงบสุข หลินหยาคิดในใจคืนนี้เธอจะให้ร่างกายได้พักเต็มที่ เพื่อวันพรุ่งที่เส้นทางสู่หมู่บ้านน้ำค้างพรายยังรอคอยอยู่…


หลังจากนั้นหลินหยาก็เปลี่ยนเสื้อผ้านั่งบนเตียงไม้เรียบง่ายที่ปูด้วยผ้าสีอ่อน กลิ่นสมุนไพรจากการแช่น้ำยังติดผิวกายอบอวลชวนให้รู้สึกสบายยิ่งขึ้น นางหยิบตำราสมุดบันทึกของเสี่ยวจ้าวจื่อที่มุมปกเริ่มชำรุดเล็กน้อยจากการใช้งาน แต่กระดาษด้านในกลับยังถูกเก็บรักษาอย่างดี ลายมือที่ประณีตเรียงเป็นเส้นทางแห่งศาสตร์การครัวหลวงโบราณ แค่เปิดหน้ากระดาษก็เหมือนเสียงกระซิบของอาจารย์เฒ่าเติ้งผู้ล่วงลับดังขึ้นมาข้างหูแม้ว่าเธอจะไม่เคยได้ยินเสียงของเขาก็ตาม


สูตรซุปกระดูกใสใบหลิวเล่มนี้ละเอียดนัก ตั้งแต่การเลือกกระดูกหมูหรือกระดูกไก่ที่ต้องสดใหม่ ไม่มีกลิ่นสาบแม้แต่น้อย วิธีการล้างกระดูกด้วยน้ำเกลืออุ่นและขิงสด เพื่อขจัดคราบเลือดและกลิ่นคาว จากนั้นต้องเคี่ยวด้วยไฟอ่อนนานถึงสามชั่วยาม เติมเกลือเพียงหยิบมือเพื่อดึงรสแท้ของกระดูกออกมา ใบหลิวต้องเป็นใบอ่อนที่เพิ่งเด็ดจากต้นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เมื่อใส่ลงไปในหม้อช่วงท้ายของการเคี่ยว กลิ่นหอมเย็นชื่นของใบจะช่วยกลบกลิ่นคาวและเพิ่มความสดชื่นให้ซุปใสกลมกล่อม


หลินหยาลากนิ้วไปตามตัวอักษรทีละบรรทัด ราวกับกลั่นกรองเคล็ดวิชาเข้าจิตวิญญาณตนเอง เธอระบายยิ้มบางเบาแค่คิดว่าพรุ่งนี้จะได้ลองทำเมนูนี้ในที่พักระหว่างทาง ใจของนางก็ตื่นเต้นขึ้นมาลอบ ๆ ความสุขของหลินหยาไม่ได้มาจากสิ่งใหญ่โต หากแต่มาจากการได้เรียนรู้และสร้างรสชาติที่ดีให้ตนเองและเพื่อนร่วมทาง เสียงหายใจสม่ำเสมอของเซียนเฉ่าดังแผ่ว ๆ จากเบาะนุ่มราคาแพงที่มันนอนเหยียดยาวอย่างสบาย ขนสีดำเงาของมันสะท้อนแสงตะเกียงที่ส่องจากหัวเตียงดูอุ่นตา หลินหยามองมันแล้วยิ้มขัน “นอนเหมือนเจ้าของร้านหมูปิ้งที่ได้เงินล้านจริง ๆ นะเจ้า” นางพึมพำแผ่วเบา ก่อนก้มหน้ากลับไปอ่านตำราต่อ


ภายนอกหน้าต่างท้องฟ้าเริ่มกลืนสีส้มของยามสนธยาเป็นม่วงเข้ม ดาวดวงแรกส่องประกายขึ้นไกล ๆ เสียงเมืองซูที่คึกคักเริ่มซาลง เหลือเพียงเสียงลมพัดผ่านผ้าม่านและเสียงพลิกหน้ากระดาษของตำรา ทุกอย่างดูสงบจนเวลาเหมือนจะหยุดเดิน…คืนนี้ หลินหยาจะได้ซึมซับทุกอักษรจากตำราเล่มนี้ให้เต็มที่ ก่อนวันพรุ่งนี้ที่การเดินทางครั้งใหม่รอคอยอยู่ข้างหน้า


หลินหยาที่กำลังจดจ่อกับตำราอาหารในมือถึงกับชะงักนิ้วค้างไปกลางอากาศเมื่อพื้นไม้ใต้เท้าเริ่มสั่นสะเทือนเบา ๆ เป็นจังหวะคล้ายกับใครบางคนกำลังทำอะไรบางอย่างแรง ๆ อยู่ใกล้ ๆ นางหรี่ตาลง ฟังเงียบ ๆ ก็ยังคิดว่าอาจเป็นใครทำของตกหรือเคลื่อนเฟอร์นิเจอร์ แต่ไม่นานเสียงนั้นกลับชัดเจนขึ้น…


"อื๊อ… อ๊ะ… เบา… เบาหน่อยสิเจ้าคะ…" เสียงครางสตรีแผ่วพร่าดังลอดผ่านผนังไม้เก่า ๆ มาถึงห้องของหลินหยา แทบไม่ต้องเดาเลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นข้างห้องนั้น นางเบิกตากว้าง หน้าเริ่มร้อนผ่าวจนต้องเอามือปิดหน้าผากพลางกัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ “นี่มัน…โรงเตี๊ยมนะโว้ย! ไม่ใช่หอนางโลมสักหน่อย!” หลินหยาก่นพึมพำเสียงต่ำ แก้มแดงจัดอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงเตียงไม้กระแทกกับผนังดัง กึก ๆ ๆ ราวกับจะทะลุเข้ามาในห้องของนางทุกขณะ


เจ้าเซียนเฉ่าที่นอนสบายถึงกับเงยหน้ามามองเจ้านายตาปริบ ๆ หูตั้งเหมือนจะงงว่าทำไมพื้นมันสั่นและเสียงมันครางพิสดารอะไรขนาดนั้น มันกระดิกหูไปมาแล้วทำหน้าเหม็นเบื่อสุดขีด ก่อนจะหันไปนอนขดต่ออย่างรำคาญ หลินหยาเอาผ้าห่มมาคลุมหัวตัวเองแน่น ทำท่าเหมือนไม่อยากได้ยินแต่ก็ยังได้ยินเต็มสองหู เสียงยิ่งชัด! นางกัดฟันกรอด พยายามจะอ่านตำราต่อแต่ทุกตัวอักษรมันเต้นระบำในหัวเหมือนมีใครไปกวน “โอ๊ย… ข้าจะบ้าตาย! คิดว่าที่นี่เป็นโรงแรมม่านรูดหรือไงกันเนี่ย!!”


เสียงครางยังดังต่อเนื่อง…แถมมีจังหวะเร่งเร้าขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนยั่วประสาทให้หลินหยามากขึ้นทุกที จนหญิงสาวเอาผ้าห่มมาปิดหูตัวเองแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง พลางพ่นลมหายใจแรงอย่างหงุดหงิดและเขินอายไปพร้อมกัน ความคิดในหัววุ่นวายปนเปกันหมด คืนนี้จะได้พักผ่อนสงบ ๆ ไหมวะเนี่ย!?


หนึ่งชั่วโมงเกือบสองชั่วโมงผ่านไป ความอดทนของหลินหยาก็แทบจะหลุดออกจากร่างทุกครั้งที่เสียงครวญครางแหลมสูงสลับเสียงหอบกระเส่าของบุรุษเล็ดลอดมาจากผนังไม้ที่บางราวกับกระดาษ เสียงเตียงกระแทกจังหวะถี่ ๆ กึก กึก กึก! ราวกับตั้งใจยั่วโมโหคนห้องข้าง ๆ ให้คลุ้มคลั่ง หลินหยานอนพลิกไปพลิกมาบนเตียง ใบหน้าของนางแดงจัดจนเหมือนจะระเบิด หูร้อนผ่าว หัวใจเต้นแรงไม่รู้เพราะอารมณ์โกรธหรือความเขิน นางกัดหมอนฟาดลงกับที่นอนเบา ๆ พร้อมบ่นผ่านไรฟัน “ให้ตายเถอะ! จะเอากันให้ทะลุผนังเลยหรือไงกันวะ!?”


เจ้าเซียนเฉ่าที่เดิมทีนอนหลับสบายก็เริ่มรำคาญ มันลุกขึ้นมาขู่ในลำคอ กรรร์… พลางหันไปทางผนังจะบอกว่า "จะหยุดได้หรือยัง!?" ก่อนจะหันกลับมานอนซุกพุงเจ้านายตัวเองอย่างหงุดหงิด


หลินหยาเอามือปิดหน้า ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วส่ายหัวแรง ๆ ความคิดในหัวตอนนี้ช่างเลอะเทอะเต็มไปด้วยภาพและเสียงที่ไม่ควรมี “โอ๊ยยยย…คืนนี้กูจะนอนไม่ได้แล้วแน่ ๆ ฟังไปก็เหมือนกำลังฟังหนังสดฟรี…รสนิยมพวกนั้นมันโคตรบ้าบอ จะทนทำท่าอะไรขนาดนั้น! นี่มันโรงเตี๊ยมนะโว้ย! ไม่ใช่ม่านรูดเถื่อน!” เสียงครวญยังดังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนเหมือนจะท้าทายความอดทนของหญิงสาวให้ขาดสะบั้นลงในทุกวินาที หลินหยากรอกตาแรงจนแทบจะหลุดจากเบ้า “อาาา…คืนนี้คงต้องนอนฟังพวกมันแสดงละครเวทีไปยันสว่างแน่ ๆ …” นางพึมพำอย่างปลงตก พลางเอาหมอนกดหูแน่นแล้วมุดใต้ผ้าห่มด้วยสีหน้าแดงก่ำปนขุ่นเคืองเต็มพิกัด






@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ไม่มีอีเว้นท์ ผมก็เสกอะไรแปลก ๆ ให้ตัวเองนอนฟังหนังสดแม่งเลย คงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก
ศึกษา ซุปใสใบหลิว (4/4)

รางวัล: 
ปีศาจปลา : ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ) - ได้รับแล้ว
และอัตราออก ง้าวปีศาจปลา คุณภาพน้ำเงิน Level 20 = 4 = เกลือ
(เลขไบต์หลักสุดท้ายออก 9 หากมีบัพผู้มีบุญเพิ่มอัตราเป็น เลข 9 / 0 / 5)

สรุปรางวัลที่ได้: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

โรลถัดไปเริ่มลงมือลองทำซุปใบหลิวได้เลย พร้อมวิเคราะห์วัตถุดิบ  โพสต์ 2025-8-5 23:07
โพสต์ 146014 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-5 21:27
โพสต์ 146,014 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-5 21:27
โพสต์ 146,014 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-5 21:27
โพสต์ 146,014 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-5 21:27
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-6 21:39:19 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-6 21:41

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 06 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า ณ เมืองซู มณฑลซูโจว - ณ เมือง ซุยหยาง มณฑลยวี่โจว จักรวรรดิต้าฮั่น


แสงแรกของยามเหม่าแทรกผ่านบานหน้าต่างไม้บานเล็กเข้ามาในห้องพักที่ยังอบอวลไปด้วยไออุ่นของเช้าวันใหม่ หลินหยาลืมตาขึ้น ดวงตาคู่สวยแดงเรื่อเพราะเมื่อคืนแทบจะไม่ได้นอน ความทรมานจากเสียงครวญครางที่ลากยาวจนถึงยามจื่อทำให้ทั้งร่างทั้งใจเหนื่อยล้าจนแทบขาดใจ นางกรอกตาแน่นอย่างหงุดหงิดระคนอับอายกับความวุ่นวายที่ได้รับโดยไม่เต็มใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจแรงเพื่อขับไล่ความหงุดหงิดเหล่านั้นออกไป หญิงสาวลุกขึ้นยืนจากเตียงพร้อมกับบิดขี้เกียจเล็กน้อย ร่างบางก้าวฉับ ๆ ไปหยิบชุดเดินทางที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน สวมมันอย่างรวดเร็วและเรียบร้อยในเวลาไม่นาน ความเร่งรีบฉายชัดบนใบหน้า นางไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว วันนี้จะต้องไปถึงเมืองซุยหยางให้ได้ ไม่ว่าจะต้องพยายามแค่ไหนก็ตาม


เมื่อจัดการกับตัวเองเสร็จ หลินหยาก็หันไปมองเจ้าหมาน้อยที่ยังคงขดตัวหลับอยู่บนเบาะหรูข้างเตียง ขนฟูของมันสะท้อนแสงเช้าอย่างนุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ นางก้าวไปนั่งยอง ๆ ข้างมันแล้วยกมือขึ้นเกาหัวเบา ๆ “เซียนเฉ่า…ตื่นได้แล้วนะ เราต้องรีบออกเดินทางแล้วล่ะ” น้ำเสียงแม้จะเหนื่อยแต่ก็ยังเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เจ้าหมาน้อยงัวเงียลืมตาขึ้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายเช้าเหมือนเพชรเม็ดเล็ก มันอ้าปากหาว เผยเขี้ยวเล็ก ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วส่ายตัวสะบัดขนจนฟูราวกับพึ่งออกจากอ่างสปาหรู “ขอรับคุณหนู…ข้าพร้อมแล้ว” เสียงมันงัวเงียแต่ก็เต็มไปด้วยความภักดี


หลินหยาหัวเราะน้อย ๆ พลางลูบหัวมันอีกครั้ง “ดีมาก เจ้าต้องช่วยข้าในวันนี้ด้วยนะ” จากนั้นก็สะพายกระเป๋า เก็บตำราของเสี่ยวจ้าวจื่อและของใช้ที่เหลือทั้งหมดเข้าแหวนดาราจรัสจนเรียบร้อย แล้วเปิดประตูห้องออกไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำอาบเมื่อคืนที่ยังลอยคลุ้งอยู่จาง ๆ


เมื่อออกจากโรงเตี๊ยม สายลมเช้าพัดผ่านใบหน้า หลินหยาสูดหายใจลึกเหมือนจะปลุกความสดชื่นขึ้นมาใหม่ ก่อนจะก้าวเท้าออกไปสู่ท่าเช่ารถม้า จุดหมายต่อไปเมืองซุยหยางที่รออยู่ข้างหน้า แม้ร่างจะเหนื่อยล้า แต่แววตาของนางกลับเปล่งประกายมุ่งมั่น พร้อมจะฝ่าฟันทุกอุปสรรคที่กำลังรออยู่บนเส้นทางนี้


หลินหยาก้าวเท้าเร่งฝีสู่ท่าเช่ารถม้าพร้อมเจ้าหมาน้อยที่วิ่งตามต้อย ๆ ข้างขา ลมยามเช้าพัดกรูไล่ไอหมอกคลอเมืองซูไปทีละน้อย ทำให้ภาพท้องถนนเริ่มชัดเจนขึ้น แม้ร้านค้าจะยังไม่เปิดเต็มที่ แต่อากาศก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของซาลาเปาและชาที่พ่อค้าเร่ตั้งแผงในยามเช้าตรู่ นางเหลือบตามองแผงผักที่กำลังถูกขนลงเกวียนอย่างครุ่นคิด ก่อนจะพ่นลมหายใจเบา ๆ เพระาตอนแรกอยากจะซื้อของสักหน่อย “ช่างเถอะ…เราคงไปหาซื้อวัตถุดิบที่เมืองซุยหยางทีเดียวแล้วกันนะเซียนเฉ่า เช้านี้ตลาดยังไม่พร้อมเลย”


เจ้าหมาน้อยแง้มปากตอบอย่างเรียบง่าย “ข้าก็ว่างั้นล่ะขอรับ คุณหนูจะได้ไม่ต้องเสียเวลา”


เมื่อถึงท่าเช่ารถม้า หลินหยากวาดตามองรอบ ๆ ทันที ที่นี่คึกคักกว่าที่คิด นักเดินทางบางส่วนกำลังเจรจาราคากับสารถี บางส่วนก็จัดของขึ้นรถเพื่อเตรียมออกเดินทาง หญิงสาวมุ่งตรงไปยังจุดรับจอง ดวงตาคมหวานมองหาสารถีที่ดูไว้ใจได้และรถม้าที่ไม่โทรมเกินไป เพราะนางไม่อยากทนทรมานไปกับการนั่งโยกตลอดทางในสภาพเหนื่อยล้าเช่นนี้


ข้ามองหารถม้าที่ไปเมืองซุยหยาง…ขอแบบที่เร็วที่สุด และถ้าเป็นไปได้ขอให้สบายหน่อยนะเจ้าคะ” หลินหยาพูดเสียงเรียบแต่ชัดเจน


สารถีวัยกลางคนที่ยืนพิงเสารถหันมามองพลางเลิกคิ้ว เขากวาดตามองหญิงสาวกับสุนัขตัวเล็กที่ดูจะนิสัยติดหรูหรากว่าหมาทั่วไป แล้วหัวเราะเบา ๆ “เร็วที่สุดกับสบายที่สุดเหรอ แม่นางมีสายตาเลือกของเก่งเหมือนกันนะ รถม้าที่เร็วสุดตอนนี้เหลือแค่คันที่ใช้ม้าพันธุ์ชั้นดี แต่ราคาก็สูงหน่อย” หลินหยาพับแขนกอดอก ยกคิ้วพลางยิ้มจาง ๆ “ข้าไม่ได้ขอถูกสักหน่อยนี่เจ้าคะ แค่พาข้าไปถึงเร็วและไม่กระแทกกระทั้นจนตับไหลพอแล้ว”


“ตกลง…แม่นางมีเงินจ่าย ก็ขึ้นมาได้เลย” สารถีหัวเราะในลำคอ


หลินหยาจ่ายเงินเต็มจำนวนอย่างไม่ลังเล แถมยังให้เพิ่มเล็กน้อยเพื่อความมั่นใจว่าสารถีจะขับด้วยความใส่ใจเต็มที่ ก่อนหันไปก้มบอกเจ้าหมาน้อย “ขึ้นรถม้าเถอะเซียนเฉ่า วันนี้เราจะเดินทางอย่างสบาย ๆ หน่อย เพราะเมื่อคืนข้าแทบไม่ได้หลับตา” เซียนเฉ่ากระโดดขึ้นรถม้าอย่างสง่างามราวกับเจ้าชายหมา ส่วนหลินหยาก็ก้าวตามขึ้นไป นั่งพิงเบาะอย่างสบาย เมื่อสารถีขึ้นประจำที่แล้วฟาดแส้เบา ๆ ม้าสีงามสองตัวก็ควบออกตัว รถม้าหรูแล่นฉิวไปตามถนนที่เริ่มตื่นจากความเงียบของรุ่งอรุณ


หลินหยาเอนตัวหลับตา หย่อนใจลงในความนุ่มของเบาะพลางพึมพำเบา ๆ “คราวนี้…ขอให้ข้าได้นอนจริง ๆ สักทีเถอะ” ข้างตัวเซียนเฉ่าเองก็ม้วนตัวขดพิงตักเจ้านายอย่างเคย เสียงกีบม้าดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอพานางเข้าสู่ห้วงนิทราที่เฝ้ารอมาตลอดคืน


รถม้าคันหรูเคลื่อนตัวไปตามถนนดินสีหม่นของเขตซูโจว ล้อไม้บดกับพื้นหินเป็นจังหวะโยกเบา ๆ จนกลายเป็นเสียงกล่อมเรื่อย ๆ หลินหยาค่อย ๆ ล้มตัวลงบนเบาะ พาดแขนไปตามหมอนข้าง พริ้มตาปิดลงอย่างช้า ๆ แม้แรงสั่นสะเทือนจะทำให้ร่างกายโยกไปมานิดหน่อย แต่นั่นไม่อาจต้านความง่วงที่ท่วมท้นมาจากคืนที่แสนยาวนานได้เลย กลิ่นหอมจาง ๆ ของเครื่องหอมที่ติดปลายเสื้อคลุมของเธอคล้ายจะช่วยให้หลับง่ายขึ้น ลมหายใจอุ่นสม่ำเสมอของหญิงสาวพัดขนละเอียดของเจ้าเซียนเฉ่าที่ซุกอยู่ข้างตัวมันคอยขยับหูฟังทุกเสียงระหว่างทาง ดวงตาสีเข้มของมันวาววับสลับระหว่างปิดตาเคลิ้มและลืมขึ้นทุกครั้งที่ล้อรถกระแทกก้อนหินหรือมีเสียงกิ่งไม้หักจากพุ่มไม้ข้างทาง มันยืดคอเล็ก ๆ ของตนออกมาเช็กทุกทิศทางอย่างระวัง ช่างเป็นผู้พิทักษ์แสนจงรัก


สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้ามาทางช่องหน้าต่างรถม้า ลูบไล้แก้มขาวซีดของหลินหยาอย่างแผ่วเบา นางขยับตัวเล็กน้อยเมื่อฝันบางอย่างแล่นเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ตื่น เจ้าเซียนเฉ่าลอบเหลือบมองเจ้านายแล้วขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนได้ยินเสียงหัวใจของเธอที่เต้นเป็นจังหวะช้า ๆ รถม้ายังคงเคลื่อนผ่านทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากถนนลาดราบเข้าสู่พื้นที่ราบสูงที่เต็มไปด้วยป่าไม้ เสียงนกป่าร้องก้องเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบสงบ


เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ในความนิ่งนั้น เซียนเฉ่าขยับตัวเงียบ ๆ ยามที่ได้กลิ่นปีศาจแผ่วบางจากลมเหนือ แต่มันเพียงขู่ในลำคอให้สิ่งนั้นถอยห่าง ก่อนจะเอนตัวลงอีกครั้ง แนบชิดร่างของหลินหยาเพื่อปกป้องจนกว่านางจะตื่นขึ้นมาอย่างปลอดภัย ความอบอุ่นของเจ้าหมาน้อยกับเสียงกีบม้าที่คงเส้นคงวา ทำให้การเดินทางครั้งนี้ช่างสงบกว่าครั้งไหน ๆ


แต่แล้ว…รถม้าที่วิ่งลัดเลาะตามเส้นทางป่าลึกต้องชะงักกึก เสียงกีบม้ากระทบกับพื้นดินจนฝุ่นฟุ้งขึ้น ลมพัดผ่านใบไม้ดังสวบไสวเมื่อร่างสูงใหญ่ของปีศาจนักรบเป็ดปรากฏตัวเบื้องหน้า ลำตัวหุ้มเกราะเหล็กเงาวับสะท้อนแสงแดดยามเช้า ร่างสง่างามยืนหยัดมั่นคงราวภูผา หงอนสีแดงเพลิงพลิ้วไหวตามแรงลม ดวงตาเย็นเฉียบประหนึ่งน้ำแข็งในหุบเหวแต่แฝงแสงไฟแห่งความดุดันที่พร้อมจะแผดเผาได้ทุกเมื่อ มันยกหอกยาวขึ้นกระแทกพื้นดินเสียงดังสนั่น ปึง! เสียงนั้นสะเทือนเข้ากระดูกของสารถีจนหน้าซีดเผือด เซียนเฉ่ากระโจนลงจากตักหลินหยาในทันที ดวงตาของมันวาววับขณะฟันขาวแยกเขี้ยวรับกับแรงกดดันที่พุ่งเข้ามา


ปีศาจนักรบเป็ดเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบคล้ายกระแสน้ำในฤดูหนาว "ผู้ใดกล้าล่วงล้ำแดนดินของพวกเรา? ถนนลัดเส้นนี้อยู่ภายใต้พันธสัญญาของการแบ่งแยกดินแดน ผู้ที่ก้าวย่างเข้ามาต้องชำระค่าผ่านทาง…ไม่เช่นนั้น จะได้ชิมรสความโหดเหี้ยมของข้า"


หลินหยาที่พึ่งโดนปลุกให้ตื่นเงยหน้ามองนกนักรบตัวสูงที่ขวางทาง ดวงตาสีหวานสั่นไหวด้วยความตื่นตัว แต่มือของนางกลับค่อย ๆ เลื่อนไปที่ขลุ่ยประจำกาย เธอพ่นลมหายใจเย็นเฉียบพลางเอ่ยเสียงแผ่วแต่ชัดเจน "เราไม่คิดบุกรุกอาณาเขตของท่านหรอกนะ แต่หากคิดจะขวาง ข้าก็จะไม่ยอมถอย"


ปีศาจนักรบเป็ดไม่ตอบแต่ยกหอกขึ้นตั้งฉากกับร่าง พร้อมจ้องด้วยสายตานิ่งเฉย ราวกับทดสอบใจของผู้บุกรุกทุกคนที่กล้าท้าทายกฎเก่าแก่ เซียนเฉ่าก้าวมาข้างหน้า แผงขนตั้งชัน ร่างเล็กของมันกลับแผ่พลังดุร้ายราวสัตว์ป่า นักรบเป็ดพลันหัวเราะเสียงต่ำออกมา "กล้าดีนัก...เช่นนั้น พิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าพวกเจ้า สมควรมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่หรือไม่!" สายลมรอบตัวพลันพัดแรงขึ้น ดินฝุ่นฟุ้งกระจายเป็นวงกว้างเมื่อปีศาจนักรบเป็ดก้าวเข้ามาอย่างหนักแน่น ทุกฝีก้าวเต็มไปด้วยพลังที่พร้อมจะสั่นสะเทือนทั้งผืนป่า


“แม่ง..” เสียงของหลินหยาแทบจะกลืนหายไปในเสียงลมหอบแรกของยามเช้า หากแต่โทสะในน้ำเสียงของนางกลับดังสะท้อนราวระฆังศักดิ์สิทธิ์ที่ตีกลางวัด 


ร่างเล็กในชุดเดินทางตัวยับย่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนนกกระจอกตกบ่อน้ำร้อน นัยน์ตาหวานแดงเรื่อยังไม่สร่างจากความฝัน แต่นั่นแหละ คือสิ่งที่อันตรายที่สุด นางยืนขึ้น มือหนึ่งคว้าขลุ่ยประจำกายขึ้นมาทันทีด้วยท่าทีรำคาญสุดขีด ปากสวยขบฟันแน่นอย่างคนกำลังง่วงแต่โดนลากออกมาจากฝันหวาน แล้วยังต้องมาเผชิญหน้ากับเป็ดยักษ์ใส่เกราะสแตนเลสอีกตัวในเช้าวันนี้ “เวรเอ๊ย…” นางพึมพำอย่างหัวเสียก่อนจะพ่นลมหายใจฟึดใหญ่ แล้วจ้องหน้าปีศาจเป็ดที่ทำหน้าเหมือนกำลังท่องบทสวดประจำตระกูลนักรบ


“แกฟังนะ!!” เสียงหลินหยาดังลั่นขึ้นมาท่ามกลางหมอกบางยามเช้า เสียงนั้นฟาดเปรี้ยงเหมือนปลายแส้ฟาดลงบนผิวหญ้า “เมื่อคืนข้านอนไม่หลับ! เสียงคู่รักข้างห้องมันจัดกันก็ไม่ได้หยุดจนถึงยามจื่อ แถมพอจะนอนได้ก็ฝันประหลาดอีก ตื่นมาก็ยังไม่ทันได้กินข้าวเช้า แล้วนี่อะไร!? เป็ดยักษ์ขวางรถม้า!?”


เซียนเฉ่าที่ตอนแรกยังยืนเก๊กอยู่ข้าง ๆ ถึงกับยกเท้าหน้าขึ้นปิดหน้าอย่างอายแทน ขณะที่สารถีก็หลบไปแอบหลังล้อรถ เผื่อจะไม่โดนลูกหลง


หลินหยายกขลุ่ยขึ้นแนบริมฝีปาก แล้วเป่ามันด้วยอารมณ์บูดสุดขีด เสียงแรกพุ่งออกไปดุจลูกศรเวทสะบั้นพลังปราณ ตัดผ่านม่านหมอกและแทงเข้ากลางคิ้วของนักรบเป็ดเสียง ปั่ก! ปีศาจนักรบเป็ดที่ตั้งท่าจะร่ายมนต์เรียกพรรคพวกยังไม่ทันกางท่า ก็ต้องหงายเงิบไปสามก้าว หอกที่ถืออยู่แทบร่วงออกจากมือ “อึก…เสียงขลุ่ยนี่มัน…!” มันร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแต่แทบกลืนคำสุดท้ายลงคอ


“เอาเลยเซียนเฉ่า! ถีบแม่ง!!” หลินหยาออกคำสั่งลั่นขณะที่ไม่หยุดเป่า ราวกับกำลังบรรเลงเพลงขับไล่เป็ดประจำชาติ เจ้าหมาน้อยวิ่งปรื๋อออกไปเร็วพอ ๆ กับลูกศรจากคันธนู เท้าเล็กกระโดดเตะเป็ดนักรบจนหงายหลังตูดจ้ำเบ้า เสียง “แอ่ก!” ดังก้องไปทั้งหุบเขา


หลินหยาเป่าจบท่อนสุดท้ายแล้วเอาขลุ่ยฟาดกับมืออย่างผู้หญิงที่ไม่กลัวใครในสามโลก “กลายเป็นเป็ดย่างซะเถอะ!! ข้ายังมีซอสบ๊วยอยู่ในแหวน อย่าให้ต้องใช้!!” นั้นคือทำสุดท้ายก่อนที่ปีศาจเป็ดจะสูขิตในวันที่ดือ… RIP


หลินหยานั่งกอดอกแน่น ขมวดคิ้วจนแทบเป็นปม ดวงตาหวานวาวโรจน์ราวกับกำลังจะเผาไหม้รถม้าให้มอดคาเส้นทางไปเสียให้ได้ ขาของนางไขว่ห้างกระดิกปลายเท้าแรง ๆ จนพื้นไม้กระแทกดัง ตึก ตึก ตึก เป็นจังหวะบ่งบอกอารมณ์หงุดหงิดขั้นสุด เสียงพ่นลมหายใจของหลินหยาดังก้องไปทั้งคันรถม้า “ให้ตายเถอะ…เช้า ๆ ก็ไม่ได้พัก นอนต่อก็ไม่ได้นอน แล้วดันมีก้อนขนฟูเกราะเหล็กมาขวางอีก!” เซียนเฉ่าที่ลากซากเป็ดไปฝังแล้วกลับมานั่งมุมข้างเจ้าของทำตัวเงียบสนิท ขดตัวเป็นก้อนเหมือนหมาขอโทษที่เกิดมาเป็นหมา เพราะรู้ดีว่าตอนนี้เจ้านายอารมณ์คุกรุ่นจนไม่ควรไปแหย่เล่นแม้แต่นิดเดียว มันเพียงแค่ยกสายตามองหลินหยาแวบหนึ่งแล้วหลบตาเหมือนจะบอกว่า ข้าจะไม่กวนท่านแน่นอนขอรับ…


รถม้าเริ่มเดินทางอีกครั้งมันโยกไปตามถนนดินที่ลัดเลาะผ่านป่าละเมาะ เสียงเกวียนดังเอี๊ยดอ๊าด แต่บรรยากาศภายในรถกลับตึงเครียดราวกับสนามรบ สารถีที่นั่งด้านหน้าก็แอบกลืนน้ำลายเพราะสัมผัสได้ถึงไอควันพุ่งออกมาจากด้านหลัง เขายกมือขึ้นเกาศีรษะเบา ๆ แล้วพึมพำกับม้า “อย่าแหย่เส้นทางให้กระแทกแรงนะเพื่อน…ไม่งั้นพวกเราคงโดนเธอปาหม้อซุปใส่หัวแน่”


หลินหยายกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแรง ๆ เหมือนจะสลัดความหงุดหงิดแต่กลับพ่นลมหายใจแรงกว่าเดิม “ให้มันได้อย่างนี้สิ…” นางบ่นกับตัวเองเสียงหงุดหงิด แล้วเอนหัวพิงกำแพงรถม้า ปิดตาลงพยายามจะหลับชดเชย ทว่ามือก็ยังจับขลุ่ยแน่น ราวกับพร้อมจะลุกขึ้นไปเป่าล้างบางใครก็ตามที่กล้าโผล่มาอีก เซียนเฉ่าขยับมาซุกตักเจ้าของเบา ๆ เหมือนจะปลอบใจ หลินหยาเหลือบตามองมันก่อนจะยกมือเกาหัวสามทีแรง ๆ “แกนี่นะ…ยังดีที่อยู่กับข้า” แล้วนางก็ถอนหายใจยาวอีกครั้ง ดวงตาหลุบลงอย่างเหนื่อยล้า อารมณ์คุกรุ่นยังคงอยู่เต็มขั้ว แต่ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบสงบ เมื่อรถม้าพาพวกเขาเคลื่อนตัวไปสู่เมืองซุยหยางต่อไป…


เสียงล้อรถม้ากระทบพื้นถนนเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับบทกล่อมเด็กธรรมชาติ เสียงนั้นประสานกับเสียงลมพัดใบไม้ที่เสียดสีกันเป็นคลื่นคล้ายท่วงทำนองอันนุ่มนวล หลินหยาเอนกายไปด้านข้าง ปล่อยตัวทิ้งน้ำหนักลงบนเบาะเก่า ๆ ที่อุ่นเพราะแดดอ่อน ๆ จากยามสาย ดวงตาคู่หวานปิดสนิท ขนตาสั่นระริกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้าสู่ห้วงฝันลึกที่ไม่มีสิ่งใดรบกวน แม้รถม้าจะโยกไหวบ้างในบางจังหวะ แต่ก็ไม่มีแรงพอจะปลุกนางจากนิทรา ใบหน้าขาวเนียนที่ปกติเต็มไปด้วยความสดใส บัดนี้กลับดูสงบเย็นราวกับสายน้ำที่ไร้ระลอก ท่ามกลางความเงียบในรถมีเพียงเสียงลมหายใจเบา ๆ ของหลินหยาที่บ่งบอกว่านางหลับสนิท ร่างกายนอนขดเล็กน้อยในท่าที่สบายที่สุด แขนข้างหนึ่งวางพาดเหนือหน้าท้อง ขณะที่มืออีกข้างยังคงจับขลุ่ยแน่นราวกับเป็นของสำคัญที่ไม่อาจปล่อยจากตัวได้


เซียนเฉ่ามองเจ้านายตนเองที่หลับลึก มันขดตัวแนบข้างเธอเหมือนเฝ้าไม่ห่าง ดวงตาสามคู่ที่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบงัน เต็มไปด้วยความระวังภัยในขณะที่เจ้าของมันกำลังพักผ่อน โลกภายนอกอาจจะเต็มไปด้วยปีศาจและความอันตราย แต่สำหรับหมาน้อยตัวนี้ ตอนที่หลินหยาหลับคือเวลาที่มันจะปกป้องเธอเต็มกำลัง


ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากน้ำเงินสดสู่ขาวจางบ่งบอกเวลาที่เปลี่ยนผ่าน เมฆหมอกคลอเคลียยอดเขาไกล ๆ ถนนทอดยาวผ่านทุ่งหญ้าและเนินเขาเขียวขจี ทุกสิ่งดูเหมือนหยุดชั่วขณะ เพื่อให้นางได้พักผ่อนหลังผ่านความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจมาหลายวัน รถม้ายังคงแล่นไปอย่างมั่นคง และในยามที่แดดยามสายส่องลอดเข้ามาเป็นลำผ่านม่านผ้าเก่าแหว่ง กลับทำให้ร่างของหลินหยายิ่งดูอ่อนโยน สงบ และน่าเอ็นดูราวกับนางคือสตรีที่โลกทั้งใบอยากจะปกป้องในห้วงเวลาอันเปราะบางนี้…


แต่แล้วระหว่างที่รถม้ากำลังขี่ผ่านข้ามทางสะพานของการข้ามลำธารเล็กสียงน้ำกระเพื่อมใต้สะพานดังขึ้นเบา ๆ ก่อนจะกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้ท้องน้ำปั่นป่วนเป็นคลื่น ปีศาจปลาสี่ตัวโผล่ขึ้นมาจากผืนน้ำ ดวงตาหื่นกระหายแวววาวสะท้อนแสงแดดยามสาย ร่างกายลื่นมันคล้ายเกล็ดสีหม่น ผิวคล้ำเป็นเงา กล้ามเนื้อบิดเกร็งพร้อมกระโจนขึ้นมาจากผิวน้ำในพริบตา


เสียงน้ำสาดดัง "ฉ่า!" อย่างรุนแรง เมื่อมันพุ่งขึ้นเกาะล้อรถม้าและท่อนขาม้า ดึงกระชากราวกับจะลากทุกสิ่งลงไปในความลึก สารถีหนุ่มสะดุ้งเฮือก ร้องตะโกนลั่นด้วยความตกใจ พยายามดึงบังเหียนคุมม้าให้ไม่แตกตื่น แต่ม้าขาวที่ถูกมันกัดกำลังดิ้นสุดแรงหวังหนีจากคมเขี้ยว


เจ้าเซียนเฉ่าที่ขดตัวข้างหลินหยากระโจนออกมาทันที เสียงเห่าต่ำก้องลั่นสะพาน ดวงตาสามคู่เรืองแสงในจิตนั้นเยียบเย็น ก่อนร่างเล็กจะขยายแปรเปลี่ยนเป็นสุนัขปีศาจสามหัวอันเกรียงไกรในพริบตา ขนดำสนิทแผ่ประกายราวเหล็กกล้า แต่ละหัวคำรามอย่างเกรี้ยวกราด น้ำเสียงสะท้านไปทั้งสะพาน เสียงคำรามนั้นราวกับประกาศสงครามกับปีศาจปลาทั้งสี่ ปีศาจปลาพุ่งใส่มันในขณะที่อีกสองตัวยังคงกัดรั้งม้าไว้ เซียนเฉ่าใช้ความเร็วเหนือธรรมชาติกระโจนตวัดกรงเล็บเฉือนร่างหนึ่งในนั้นเป็นริ้วเลือด กระโจนอีกครั้งฟาดหัวอีกตัวให้กระเด็นตกน้ำ เสียงน้ำสาดกระเซ็นสูงราวฝนโปรย


ขณะเดียวกันหลินหยาที่หลับลึกยังคงไม่ได้ขยับ ใบหน้านางสงบนิ่งราวไม่รับรู้ถึงความโกลาหสที่เกิดขึ้นรอบตัว มือน้อยยังคงกอดขลุ่ยแน่นราวกับเป็นเครื่องรางสำคัญ เซียนเฉ่าเหลือบมองเจ้านายจากหางตาในระหว่างต่อสู้ มันคำรามต่ำพร้อมกัดปีศาจปลาที่เหลือด้วยแรงอาฆาต ฟาดพลังปราณมืดเข้าใส่จนร่างปลาตัวนั้นระเบิดเป็นเศษเนื้อที่กระจายไปทั่วสะพาน เลือดคาวปนกลิ่นน้ำจืดคละคลุ้งในอากาศ ปีศาจปลาที่เหลือเพียงตัวเดียวหันหลังหนีตะกายกลับลงน้ำไปอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งไว้เพียงคราบเลือดและเศษเนื้อที่ลอยกระจายอยู่บนผิวน้ำ เซียนเฉ่าคำรามส่งท้าย ไล่มันให้หายลับไปในห้วงน้ำลึก ก่อนร่างมหึมาจะค่อย ๆ หดกลับเป็นเจ้าหมาน้อยเช่นเดิม หายใจหอบแต่ยังคงยืนระวังภัยข้างรถม้า


สารถีวัยกลางคนตัวสั่นไปทั้งร่าง มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตื่นตะลึง เหงื่อไหลทั่วใบหน้า ส่วนหลินหยา…นางยังคงนอนนิ่งอยู่ในรถ ดวงตาปิดสนิท ดั่งมิรู้เลยว่าเพียงไม่กี่อึดใจที่ผ่านมา ความตายได้เฉียดเข้ามาใกล้เพียงปลายเส้นผม…


เซียนเฉ่าหันมองม้าที่ขาเปื้อนเลือดและบาดแผลฉกรรจ์ มันสะบัดหูร้องหอบเหนื่อย ไม่อาจลากรถต่อไปได้แม้เพียงก้าวเดียว เจ้าหมาน้อยเลียเลือดที่ขาของมันอย่างเห็นใจ ก่อนกลับมาจ้องสารถีหนุ่ม ดวงตาของมันส่งสัญญาณชัดเจน ม้านี้หมดแรงแล้ว เราต้องทำอะไรสักอย่าง สารถีวัยกลางคนยืนตัวแข็ง ใบหน้าเคร่งเครียดเหมือนคนแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า เขาเหลือบไปมองในรถม้า เห็นหลินหยาที่นอนคุดคู้ ใบหน้าซีดเผือกแผ่วเบาราวกับกำลังหนีจากฝันร้ายยังไม่พ้น ใต้ตานางคล้ำเล็กน้อยจากการอดนอนเมื่อคืน สายตาของสารถีเต็มไปด้วยความกลัว กลัวว่าถ้าหลินหยาตื่นขึ้นมาพบปัญหานี้ นางคงจะอารมณ์เสียถึงขีดสุด


เซียนเฉ่าเดินวนรอบรถม้าเงียบ ๆ แล้วหันกลับมาจ้องตาสารถี แววตาสามคู่นั้นเย็นเฉียบและจริงจัง ราวกับจะบอกว่า “อย่าแม้แต่จะปลุกนางในตอนนี้นะ ไม่งั้นเจ้าตายก่อนม้าแน่” สารถีวัยกลางคนเลยกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขากระซิบกับตัวเองเบา ๆ “เราต้องรอคนมาช่วย…หรือไม่ก็หาทางซ่อมล้อ เปลี่ยนม้าให้ได้ก่อนที่แม่นางจะตื่นขึ้นมา” ลมหนาวฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านสะพาน เสียงแม่น้ำเย่กระทบหินดังซู่ซ่า ทั้งสอง หมาปีศาจและชายสารถียืนอยู่ในความเงียบที่เต็มไปด้วยความกดดัน พวกเขาต่างคิดหาทางแก้ไขเพื่อไม่ให้สตรีที่หลับอยู่ในรถม้านั้นตื่นขึ้นมาแล้วระเบิดอารมณ์ใส่ใครบางคน…หรือใส่ทุกคนที่อยู่ตรงหน้า


ระหว่างการหยุดม้าเพราะม้าหยุดนานเกินไปหลินหยาเลยเกือบตื่น แต่ทว่ามีคนขี่ม้าตัวใหญ่มาก่อนพอดี ม้าศึกตัวใหญ่หยุดลงตรงหน้าสะพาน เสียงกระทบพื้นหินดัง กระทืบ! ก้องไปทั่วบรรยากาศ กลิ่นเหล็กจากเกราะและเสียงกระดิ่งเบา ๆ จากสายบังเหียนทำให้ทุกสายตาหันไปมอง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนอานสูงนั้นรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างประดุจภูผา ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยความสงบเย็นแต่แฝงไว้ด้วยรังสีของผู้มีประสบการณ์ในสนามรบ เขากระโดดลงจากหลังม้าในท่วงท่าสง่างาม เกราะหนังสีเข้มประดับด้วยแผ่นโลหะเงาวับสะท้อนแสงอาทิตย์ที่ลอดเมฆยามเช้า สายตาคมกริบของเขากวาดมองม้าที่ล้มขาเจ็บอยู่ข้างสะพาน ก่อนหันมาสบกับสารถีวัยกลางคนที่ยืนตัวสั่น


“เกิดอะไรขึ้นที่นี่” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาดังก้องคล้ายคำสั่งมากกว่าคำถาม


สารถีรีบก้มศีรษะ รายงานเสียงสั่น “ท่านชาย…ปีศาจปลามันโจมตีม้าเจ้าข้า…ทำให้มันเดินต่อไม่ได้ เรากำลังคิดหาทางอยู่ขอรับ” ดวงตาคมสีดำสนิทของชายหนุ่มเหลือบไปยังม้าบาดเจ็บ เขาคุกเข่าลงข้าง ๆ สัตว์ตัวนั้น มือใหญ่ลูบแผงคอที่สั่นระริกก่อนตรวจบาดแผลด้วยความชำนาญ ท่าทางของเขามั่นคงและสงบนิ่งจนม้าก็คล้ายจะยอมให้สัมผัส


“แผลไม่ลึกนักหรอกจากที่ดู แต่เลือดเสียไปเยอะ” เขาพึมพำ ก่อนหยิบยาสมุนไพรแห้งและแผ่นผ้ามาจากถุงข้างอานม้าของตนเอง เริ่มทำแผลอย่างคล่องแคล่วราวกับเคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน เซียนเฉ่ามองชายแปลกหน้าด้วยสายตาประเมิน แต่มันไม่ได้แยกเขี้ยวหรือขู่ กลับแค่เฝ้ามองเงียบ ๆ ดวงตาสามคู่เต็มไปด้วยความระแวดระวังและสงสัยในเวลาเดียวกัน


เมื่อทำแผลเสร็จ ชายหนุ่มเงยหน้ามองรถม้า สายตาเฉียบดุดันชำเลืองไปยังผ้าม่านที่ปิดสนิท ด้านใน หลินหยายังคงนอนขดตัวหลับสนิท เส้นผมยาวกระจายบนหมอน ริมฝีปากเม้มเบา ๆ ราวกับคนกำลังฝันบางอย่าง


“มีคนเจ็บอีกไหม” เขาถาม สายตายังคงไม่ละไปจากรถม้า


สารถีส่ายหัวทันที “ไม่มีขอรับ…เพียงแต่ว่าแม่นางด้านในหลับอยู่ และ…ข้าไม่อยากให้แม่นางตื่นในสภาพนี้” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้ถามต่อ เขาเพียงยิ้มบาง ๆ “เช่นนั้น ข้าจะช่วยลากรถม้าให้ไปถึงเมืองด้านหน้าเอง เมืองซุยหยางใช่ไหม?” สิ้นคำ เขาหันไปควบม้าศึกของตนเองผูกกับรถม้าแทนม้าที่บาดเจ็บ แล้วขึ้นคร่อมอาน ดึงบังเหียนมั่นคง ฟึ่บ! ม้าศึกแผดเสียงร้อง ฮี่! พร้อมก้าวลากรถม้าอย่างมั่นคงราวกับมันไม่รู้จักคำว่าล้า


สารถีถอนหายใจโล่งอก ส่วนเซียนเฉ่าก็มองตามชายหนุ่มผู้มาใหม่ พลันหันกลับมามองเจ้านายตัวเองที่ยังหลับสนิท มันพึมพำในใจ โชคดีนะที่เจอคนแบบนี้ ไม่งั้นถ้าคุณหนูหลินตื่นมาในสภาพมีปัญหาอีกครั้ง…ข้าคงได้เก็บศพสารถีไปก่อนแน่ ๆ


หลังจากนั้นหลินหยาก็ตื่นขึ้นนางขยี้ตาพลางยันตัวขึ้นจากเบาะนุ่ม ดวงตายังปรือด้วยความง่วงงุน เธอเหลือบเห็นแสงแดดยามสายลอดเข้ามาในรถม้า ก่อนจะรับรู้ถึงแรงสั่นไหวที่เปลี่ยนไปก้าวของม้าที่ลากรถในตอนนี้หนักแน่น มั่นคงกว่าเดิม และเธอก็เห็นผ่านม่านบาง ๆ ว่ามีบุรุษแปลกหน้าขี่ม้าอยู่ด้านหน้าแทนที่สารถีเดิม เธอหันไปมองเซียนเฉ่าที่นั่งเฝ้าเธออยู่ ดวงตาของมันส่ายไปมาเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจเหมือนคนแก่ “คุณหนู…ขอรับ ช่วงที่ท่านหลับ ปีศาจปลามันโผล่มาอีกแล้ว ม้าของสารถีโดนทำร้ายจนเดินต่อไม่ได้ เรากำลังจะคิดหาทางกันอยู่ แต่พอดีมีชายหนุ่มขี่ม้าศึกผ่านมา เขาช่วยทำแผลให้ม้า แล้วก็ลากรถของเราแทน”


หลินหยายกุมขมับ พลางพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้ออออ…แค่ฉันนอนหลับจริง ๆ นี่มันเรื่องเยอะอะไรขนาดนี้กันนะ” เธอปรายตามองเจ้าหมาน้อยที่เล่าอย่างละเอียดราวกับกำลังเขียนพงศาวดารให้เธอฟัง จากนั้นจึงยกมือเกาหัวตัวเองที่ฟูราวกับรังนกเหลือบมองคนด้านนอกก็เห็นสารถีวัยกลางคนทำหน้าแปลก ๆ “แล้วทำไมสารถีคนนั้นต้องทำหน้าซีดเหมือนจะตายเมื่อเห็นข้าตื่นด้วยล่ะ…” หลินหยาถามเสียงเบา ใบหน้าของเธอยังคงง่วงงุนแต่มุมปากคล้ายจะยิ้ม


เซียนเฉ่ากระดิกหู ก่อนตอบเสียงเรียบ “เพราะคุณหนูหลินเวลาอารมณ์เสีย…น่ากลัวกว่าปีศาจปลาขอรับ” 


คำตอบนั้นทำให้หลินหยาชะงักไปครู่ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ออกมา ทั้งที่น้ำเสียงฟังดูเหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจให้ใครกลัวเลยสักหน่อย…” เธอส่ายหัวน้อย ๆ แล้วเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าหมาน้อยที่ซุกอยู่ใกล้ตัว “บอกเขาด้วยนะว่า ข้าไม่ได้จะกินใครหรอก…นอกจากปีศาจปลาน่ะนะ” เธอกระซิบเหนื่อย ๆ พลางเอนตัวกลับไปกับพนักเบาะอย่างเกียจคร้าน สายตาของเธอเลื่อนผ่านม่านบางไปยังแผ่นหลังของชายแปลกหน้าที่ควบม้าอย่างมั่นคงด้านหน้าในเงียบงัน ใจเธอแอบกระตุกเล็กน้อยกับภาพนั้น ก่อนจะปล่อยความคิดให้ไหลไปตามเสียงล้อที่บดกับพื้นดินของถนนอีกครั้ง


หลินหยายกแขนเรียวอุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้นมาวางไว้บนตักอย่างแผ่วเบา ขนสีดำมันขลับและกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากการอาบน้ำเมื่อวานก่อนทำให้สัมผัสของมันนุ่มละมุนราวกับกำมะหยี่ ดวงตากลมโตของเซียนเฉ่าเงยขึ้นมองนางอย่างซื่อสัตย์ ในแววตานั้นมีทั้งความกังวลและความห่วงใยที่ไม่ต้องเอ่ยคำพูดก็รับรู้ได้ หญิงสาวยกมือลูบหัวมันช้า ๆ ไล่ตามแนวใบหูเล็กที่กระดิกตอบรับทุกการสัมผัส ริมฝีปากนางขยับพูดเสียงเบาจนแทบจะกลายเป็นเพียงกระซิบในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงล้อรถม้าและสายลม 


"ขอโทษที่ทำให้กลัวนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจอารมณ์เสีย แต่เพราะไม่ได้พักแล้วมันเหนื่อยน่ะ" เสียงของนางแผ่วสั่นคลอด้วยความรู้สึกผิดที่จริงใจ ใบหน้าสวยซบลงกับขนของเจ้าหมาน้อยชั่วครู่ ราวกับกำลังขอให้มันให้อภัย "ข้าเลยเผลอไปนิดหน่อย สงสัยต้องไปขอโทษคุณสารถีด้วยเหมือนกัน" คำพูดจบลงพร้อมกับลมหายใจเฮือกใหญ่ที่ถูกปล่อยออกมา ความเหนื่อยล้าในอกเหมือนถูกระบายออกไปพร้อมลมที่พ่นออกมา ดวงตาของหลินหยาหลุบต่ำขณะลูบหัวมันต่ออย่างอ่อนโยน เซียนเฉ่าขยับตัวซุกเข้าหาอ้อมแขนของนางมากขึ้น ส่งเสียงครางเบา ๆ อย่างปลอบใจผู้เป็นนาย ท่ามกลางบรรยากาศในรถม้าที่โยกเบา ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านผ้าม่านบาง ตกกระทบแก้มซีดของหลินหยา เธอยิ้มจาง ๆ ให้กับหมาน้อยในอ้อมแขน...รอยยิ้มที่แม้จะอ่อนแรง แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น


เจ้าหมาน้อยในอ้อมแขนหลินหยาเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายของมัน ดวงตากลมโตสีดำสนิทเต็มไปด้วยประกายวาวใสราวกับเด็กที่กำลังฟังนิทานก่อนนอน มันส่งเสียงครางเบา ๆ "หงืด..." ก่อนจะซุกหัวลงบนอกเธอ ราวกับจะบอกว่า ‘ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ข้าไม่กลัวเลย’ ขนอุ่น ๆ ของมันสัมผัสกับฝ่ามือของหลินหยา ทำให้นางค่อย ๆ คลายลมหายใจที่อัดแน่นในอกออกมา ราวกับความเหนื่อยอ่อนทั้งหลายถูกดูดกลืนไปกับความนุ่มนิ่มของเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยนี้


“เจ้าเซียนเฉ่า...” หลินหยาพึมพำเรียกชื่อมันเสียงเบา ปลายนิ้วของเธอไล้ตามแนวโหนกคิ้วและใบหูเล็ก ๆ ที่กระดิกไปมาอย่างขี้เล่น ทั้งที่หลับตาพริ้ม “เจ้ารู้ไหม...ข้าคงผ่านอะไรหลายอย่างไม่ไหวเลย ถ้าไม่มีเจ้าอยู่ข้าง ๆ นี่แหละ” เสียงล้อรถม้าเบา ๆ คลอเป็นฉากหลัง แสงแดดยามสายกรองผ่านม่านหน้าต่างตกลงมาบนใบหน้าของนางที่ยังมีร่องรอยความเหนื่อยล้า ทว่าตอนนี้แววตาของหลินหยาอ่อนโยนและสงบลงอย่างช้า ๆ


เจ้าหมาน้อยลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย แล้วใช้ขาหน้าดันอกหลินหยาเบา ๆ ก่อนจะเลียแก้มนางอย่างปลอบโยนหนึ่งที แล้ววางหน้าแนบอกนางอย่างเต็มใจ...เหมือนจะบอกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันจะอยู่ตรงนี้เสมอ หลินหยาพ่นลมหายใจอีกครั้งแล้วหลุดหัวเราะในลำคออย่างอ่อนล้า "...เจ้าหมาน้อยน่าตีเอาเสียจริง" แต่เธอก็กอดมันแน่นขึ้นอีกนิด


รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวผ่านประตูเมืองซุยหยาง ท่ามกลางสายลมยามสายที่พัดเอื่อยส่งกลิ่นหอมอ่อนของดินชื้นจากลุ่มน้ำรอบเมือง เสียงกงล้อบดกับพื้นดินส่งเสียงดังสม่ำเสมอ หลินหยาที่นั่งเอนหลังกับพนักรถม้าเงียบ ๆ เหมือนคนยังไม่ฟื้นจากความเหนื่อยล้า ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อรับรู้ว่ารถม้าเริ่มชะลอความเร็ว ดวงตาคมหวานทอดมองออกไปนอกม่านที่เปิดออกเพียงเล็กน้อย เมืองซุยหยางปรากฏต่อสายตา นางมองเห็นหลังคากระเบื้องสีเทาเรียงรายท่ามกลางหมอกบางและเงาไม้ ปล่องควันจากบ้านเรือนค่อย ๆ ลอยขึ้นสูงผสมกับอากาศเย็นยามเช้า ถนนสายหลักปูด้วยหินเก่าแก่คดโค้งไปตามทิศทางลุ่มน้ำ พ่อค้าแม่ค้าบางคนเริ่มตั้งร้าน กลิ่นหอมของแป้งทอดและชาสมุนไพรลอยมาตามลม ข้างทางมีทั้งชาวบ้านสวมชุดผ้าฝ้ายสีหม่นและนักเดินทางที่ขี่ม้าผ่านไปมาอย่างเร่งรีบ


หลินหยาเอนตัวเล็กน้อย มองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาที่ไม่ได้เฉื่อยชาแต่เต็มไปด้วยการสังเกต ริมฝีปากคลี่ยิ้มจาง ก่อนจะกรอกตาขึ้นเล็กน้อยเหมือนคนที่กำลังชั่งใจไม่ใช่เพราะเบื่อหน่าย หากแต่เป็นการเหลือบมองสำรวจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเมืองที่เธอกำลังจะเหยียบย่างเข้าสู่ ความเงียบสงบที่แฝงกลิ่นลี้ลับยิ่งทำให้บรรยากาศดูมีเสน่ห์


เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าขยับตัวขึ้นมานั่งบนตักของเธอ มองออกไปนอกม่านด้วยท่าทีสงสัย ดวงตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้น หลินหยาลูบหัวมันเบา ๆ พลางพึมพำกับตัวเอง "ซุยหยาง...เมืองที่ลมพัดเงียบเกินไปแบบนี้ มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่" น้ำเสียงเรียบแต่แฝงความตื่นเต้นและความระแวดระวังในเวลาเดียวกัน รถม้าหยุดลงตรงลานกว้างด้านหน้าตลาดหลัก เสียงสารถีตะโกนเรียกลูกค้าและเสียงม้าสะบัดหัวดังก้องไปทั่ว 


หลินหยาก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างามแม้ในชุดเดินทางที่เต็มไปด้วยฝุ่นทาง ดวงตาหวานคมทอดมองไปยังสารถีที่ยืนลูบคอม้าด้วยสีหน้ากังวล นางก้าวเข้าไปหาเขา ยื่นถุงเงินในมือเล็กออกไป "ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องลำบากนะเจ้าคะ ม้าก็ได้รับบาดเจ็บเพราะข้าเป็นเหตุ โปรดรับเงินนี้ไว้เพื่อพามันไปรักษาเถิด" น้ำเสียงของนางนุ่มลึกแต่หนักแน่นพอที่จะทำให้สารถีซาบซึ้ง เขายกมือคำนับรับพร้อมเอ่ยคำขอบคุณไม่ขาดปาก จากนั้นหลินหยาหันกายไปยังชายหนุ่มปริศนาที่ขี่ม้าสีดำตัวใหญ่ เงาร่างสูงในอาภรณ์นักเดินทางสีเข้มตัดกับผ้าคลุมสะบัดไปตามแรงลมเย็น ดวงตาของเขาคมดุราวกับนักรบผู้ผ่านศึกนับครั้งไม่ถ้วน แม้ท่าทีจะเงียบสงบ แต่มันแฝงไปด้วยแรงกดดันที่ยากจะมองข้าม หลินหยาขบเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะก้มคำนับเขาอย่างสุภาพ ดวงตาคลอประกายจริงใจ


"ข้าต้องขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือข้าในยามคับขัน หากไม่มีท่าน ข้าและรถม้าอาจไปไม่ถึงเมืองซุยหยางได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้" น้ำเสียงของนางอ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ส่งตรงถึงใจชายผู้นั้น


ชายหนุ่มบนหลังม้าเงียบไปชั่วครู่ เขามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพินิจ เหมือนอยากเอ่ยอะไรแต่กลับเลือกเพียงพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำพูด สายตาคมนั้นบอกทุกอย่างแทนเสียง ขณะม้าของเขาสะบัดแผงคอพลางกระทืบพื้นเบา ๆ ลมเย็นของเมืองซุยหยางพัดผ่าน ใบผมดำขลับของหลินหยาปลิวไปตามแรงลม ท่ามกลางสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมาโดยไม่รู้เลยว่าการพบพานระหว่างสตรีกับชายหนุ่มลึกลับตรงนี้จะเป็นโชคชะตาหรือไม่อย่างไร


หลินหยาก้าวเดินไปตามถนนหินกรวดของเมืองซุยหยาง เจ้าเซียนเฉ่าก้าวตามข้างขาเหมือนเงา ร่างเล็กสีดำมันปลาบวิ่งหางกระดิกอย่างเริงร่า ขณะที่ผู้คนในตลาดหันมามองสตรีแปลกหน้าผู้มีท่วงท่าสง่างามกับหมาน้อยที่ดูเหมือนเจ้าชายหมาในร่างจิ๋ว เสียงพ่อค้าแม่ค้าขายของดังระงมทั่วตลาด กลิ่นสมุนไพร ผักสด และเนื้อสัตว์คลุ้งไปทั่วอากาศ เธอเดินตรงไปยังร้านขายเนื้อ เลือกซี่โครงไก่และเนื้อสะโพกไก่ที่เนื้อแน่นไร้กลิ่นคาว เจ้าของร้านรีบหั่นและห่อให้ด้วยรอยยิ้มเพราะเห็นได้ว่าลูกค้าคนนี้มีรสนิยมการเลือกของดี ต่อด้วยร้านขายกระดูกหมู หลินหยาชี้ขอกระดูกเล้งที่มีไขกระดูกฉ่ำ ๆ พอดี จะได้หอมกรุ่นเมื่อเคี่ยว


ถัดไปเธอแวะร้านสมุนไพรและผักแห้งเลือกเห็ดหอมคุณภาพเยี่ยม หอมใหญ่หัวโต ขิงแก่กลิ่นฉุนพอดี และเห็ดหูหนูขาวที่ชุ่มน้ำแม้จะตากแห้งไว้แล้ว นอกจากนี้ยังเลือกเก๋ากี้ พุทราแห้งที่มีสีแดงสด ดอกเบญจมาศสีทองหรือดอกเก็กฮวย ฃกลิ่นหอมละมุน ยามใส่ในน้ำซุปจะคลายความหวานอ่อน ๆ ออกมาอย่างน่าหลงใหล


หลินหยากวาดตาซื้อเหล้าเหลืองหนึ่งไหสำหรับปรุงรสให้กลมกล่อม และงากับพริกไทยเม็ดที่บดใหม่ ๆ กลิ่นหอมแรง เธอยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นตะกร้าใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบจนเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าต้องกระดิกหางมองด้วยความดีใจ “ซื้อเยอะเหมือนกันนะเนี้ย…” หลินหยาบ่นกับตัวเองพลางยกมือจัดตะกร้าให้มั่นคง ก่อนจะจ่ายเงินและหันหลังกลับมองตลาดที่ยังคงคึกคัก ยามสายของเมืองซุยหยางเริ่มสดใสขึ้น และหัวใจของนางก็เหมือนมีแรงขับเคลื่อนใหม่สำหรับสิ่งที่กำลังจะรออยู่เบื้องหน้า…


หลินหยาจัดแจงเก็บวัตถุดิบทั้งหมดที่ซื้อมาไว้ในแหวนดาราจรัส แสงสว่างจาง ๆ ส่องประกายวูบหนึ่งก่อนจะหายไป เหลือเพียงความว่างเปล่าในตะกร้าที่เธอถือมา จากนั้นหญิงสาวก็ก้าวเดินช้า ๆ ออกจากตลาดกลางเมืองซุยหยาง อากาศยามสายคลอด้วยกลิ่นหอมของเครื่องเทศและสมุนไพรลอยอยู่ในลม คนพลุกพล่านเดินสวนกันไปมา แต่หลินหยากลับเดินอย่างนิ่งสงบในชุดที่เรียบง่าย ผมดำสลวยสะบัดตามจังหวะฝีเท้า ข้างกายมีเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่ก้าวเคียงราวกับเป็นเงา 


เมื่อเดินไปได้สักพัก สายตาของนางสะดุดกับแม่ค้าสูงวัยผู้หนึ่งที่กำลังจัดเรียงผักสดบนแผงไม้เก่า ๆ ผักเขียวชอุ่มสะท้อนแดดอ่อนยามเช้า ดูแล้วสะอาดสะอ้าน หลินหยาจึงหยุดยืนต่อหน้าแม่ค้า ยกมือประสานเล็กน้อยพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “ท่านป้าเจ้าคะ ข้าขอรบกวนถามหน่อยได้หรือไม่ ที่นี่มีโรงเตี๊ยมดี ๆ เงียบสงบ คนไม่เยอะบ้างไหมเจ้าคะ? ราคาไม่สำคัญเท่าความสงบหรอก”


แม่ค้าหันมามองหลินหยา พลางยิ้มบาง ๆ ดวงตาเปี่ยมด้วยความเป็นมิตร นางใช้ผ้าขาวเช็ดมือที่เปื้อนดินเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “มีสิจ๊ะแม่นาง ถ้าอยากพักเงียบ ๆ ไม่พลุกพล่าน ข้าแนะนำโรงเตี๊ยมซิงหนานนะ อยู่สุดซอยนั้น” นางชี้นิ้วไปทางซอยแคบที่ทอดยาวออกไปด้านข้างตลาด “โรงเตี๊ยมนั้นเก่าแก่หน่อย แต่สะอาดและสงบ ขึ้นชื่อว่าเป็นที่พักของคนเดินทางที่อยากหลีกหนีความวุ่นวาย ราคาก็สูงหน่อย แต่ดูจากท่าทางแม่นาง คงไม่ใช่ปัญหาล่ะสิ”


หลินหยายิ้มหวาน รับคำด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงใจ “ขอบคุณท่านป้ามากเจ้าค่ะ” ก่อนจะก้มหัวเล็กน้อยเป็นการคำนับ ขณะเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าก็เห่าเบา ๆ ราวกับขอบคุณเช่นกัน


เมื่อได้รับคำแนะนำแล้ว หลินหยาจึงก้าวเดินไปตามทางที่ถูกชี้ ซอยนั้นเงียบกว่าตลาดนัก พื้นไม้ของบ้านเรือนสองข้างทางส่งกลิ่นเก่าที่ชวนรู้สึกสงบ โคมกระดาษสีแดงแขวนเรียงรายเป็นระยะ ทำให้บรรยากาศอบอุ่นแฝงความโบราณ เจ้าหมาน้อยวิ่งนำเล็กน้อย ดมกลิ่นตามทางเหมือนสำรวจอาณาเขตของตนเอง ขณะที่หลินหยามองไปข้างหน้า สายตาเธอเริ่มเห็นอาคารไม้สองชั้นตั้งตระหง่านอยู่สุดซอย ภายนอกเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ กลิ่นไม้หอมอ่อน ๆ ลอยมาตามสายลม โรงเตี๊ยมซิงหนานปรากฏในสายตาเป็นอาคารไม้สองชั้น สถาปัตยกรรมเรียบง่ายแต่แฝงความเก่าแก่ มีโคมไฟแดงแขวนอยู่หน้าประตู ส่องแสงอบอุ่นยามกลางวัน หลินหยาผลักประตูไม้เข้าไป กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยมากระทบจมูก ทำให้บรรยากาศสงบลงทันตา


เสี่ยวเอ้อร์สาววรีบวิ่งมาต้อนรับ โค้งตัวพร้อมถามเสียงสุภาพ "แม่นางต้องการห้องพักหรือเจ้าคะ? โรงเตี๊ยมของเราสะอาดเงียบ มีห้องส่วนตัวหลายระดับให้เลือก" หลินหยาสบตาเขา ยิ้มมุมปากเล็ก ๆ "ข้าต้องการห้องที่ดีที่สุดที่ที่นี่มีเจ้าค่ะ ราคาเท่าไรข้าไม่เกี่ยง ขอให้สงบและมีอ่างแช่น้ำด้วยก็จะยิ่งดีนัก"


เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ รีบตอบทันที "มีเจ้าค่ะ! ห้องชั้นบนสุด มองเห็นวิวแม่น้ำเงียบสงบ ราคา 40 ตำลึงเงินต่อคืนเจ้าค่ะ"


"เช่นนั้นจัดให้ข้าได้เลยเจ้าค่ะ" หลินหยาพยักหน้าพร้อมหยิบเงินจ่ายทันทีโดยไม่ลังเล ทำเอาเสี่ยวเอ้อร์เบิกตากว้าง ก่อนก้มคำนับแล้วนำทางนางและเจ้าหมาน้อยขึ้นไปยังห้องพักชั้นบนสุดที่เงียบสงบตามคำขอ


หลินหยาเดินขึ้นบันไดไม้สู่ชั้นสองของโรงเตี๊ยมซิงหนานหลังจากที่พนักงานหญิงพามาส่งถึงหน้าห้อง กลิ่นหอมของไม้เก่าและน้ำชาที่ลอยออกมาจากห้องโถงชั้นล่างทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ห้องพักที่ได้เป็นห้องมุม มีหน้าต่างบานกว้างมองออกไปเห็นลำธารสายเล็กที่ไหลเอื่อยอยู่เบื้องหลังโรงเตี๊ยม ภายในห้องสะอาด เงียบสงบตามที่เธอต้องการ เตียงไม้คลุมด้วยผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย ข้างเตียงมีอ่างน้ำและโต๊ะเล็กสำหรับวางของ ข้าง ๆ นั้นเจ้าเซียนเฉ่าวิ่งมาวนแล้วกระโดดขึ้นเบาะสำรวจห้องอย่างชอบใจ เมื่อหลินหยาเก็บสัมภาระและตรวจสอบห้องเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันไปทางพนักงานหญิงที่ยังยืนรออยู่ เธอเอ่ยอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าอยากรบกวนขอใช้ครัวของโรงเตี๊ยมสักหน่อยได้ไหมเจ้าคะ? ข้าจะจ่ายค่าบริการเพิ่มตามที่เห็นสมควร ข้าเพียงแค่จะเคี่ยวน้ำซุป ใช้เวลานานหน่อย แต่จะไม่ทำให้ลำบากหรอกเจ้าค่ะ”


พนักงานหญิงมองหลินหยาด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อยก่อนยิ้มบาง ๆ “แม่นางช่างสุภาพเสียจริง เรื่องนั้นไม่ยากหรอกเจ้าค่ะ ครัวของเรามักเปิดให้แขกที่อยากทำอาหารเองเป็นบางครั้ง ยิ่งหากแม่นางจ่ายเพิ่มตามที่ว่า ไม่มีปัญหาเลยเจ้าค่ะ”


“ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้าสัญญาจะไม่ทำให้ครัวของท่านสกปรกแน่นอน” หลินหยายิ้มตอบ ขอบคุณอย่างจริงใจ


เมื่อได้คำตอบที่ต้องการ นางจึงยกตะกร้าวัตถุดิบจากแหวนดาราจรัสออกมาจัดเตรียมไว้ทันที วางเรียงซี่โครงไก่ กระดูกหมู ขิง หอมใหญ่ ใบหลิวอ่อน ๆ เห็ดหอม เห็ดหูหนูขาว เก๋ากี้ พุทราแห้ง ดอกเบญจมาศ และเครื่องปรุงทั้งหลายลงบนผ้าอย่างเป็นระเบียบ กลิ่นสมุนไพรเริ่มอบอวลแม้ยังไม่ได้ลงหม้อ เซียนเฉ่ามองวัตถุดิบแล้วทำตาวาว ราวกับรู้ว่าอาหารคืนนี้จะต้องหอมอร่อยกว่าที่เคย


พนักงานหญิงพาหลินหยาไปยังครัวด้านหลังซึ่งเป็นครัวไม้กว้าง โล่งโปร่ง มีเตาไฟดินเผาเรียงรายพร้อมหม้อดินเคลือบตั้งอยู่ หลินหยาวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะไม้ยาว เธอถลกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยแล้วสูดหายใจลึก เตรียมลงมือรังสรรค์น้ำซุปใสใบหลิวตามตำราของเสี่ยวจ้าวจื่อ กลิ่นแรกของขิงและหอมใหญ่ที่เธอลงไปเจียวในหม้อไฟทำให้ทั้งครัวอบอวลด้วยกลิ่นอุ่นหอมที่ชวนให้คนแถวนั้นเหลียวมองด้วยความอยากรู้


หลินหยายืนอยู่หน้าเตาดินเผาที่ไฟอ่อนส่องแสงวาวสีส้มอุ่น ลมเย็นยามค่ำพัดผ่านหน้าต่างไม้ทำให้เปลวไฟไหวระริก เธอสูดหายใจลึกแล้วเริ่มลงมือทำตามตำราที่จดจำได้ขึ้นใจ


ขั้นตอนแรกเธอล้างซี่โครงไก่และกระดูกหมูด้วยน้ำร้อน ลวกเพื่อลดกลิ่นคาว กลิ่นไอร้อนลอยขึ้นพร้อมไอหมอกบาง ๆ ก่อนหลินหยาจะเทน้ำลวกทิ้งอย่างใจเย็น นำซี่โครงไก่ เนื้อกระดูกหมู ขิงแก่บุบ และหอมใหญ่หั่นครึ่งลงในหม้อใหญ่ ใส่น้ำสะอาดสองลิตรแล้วค่อย ๆ วางหม้อลงบนเตาดิน เสียงน้ำเดือดปุด ๆ ดังเบา ๆ ในยามที่เธอลดไฟให้กลายเป็นไฟอ่อน น้ำซุปค่อย ๆ เคี่ยว กลิ่นหอมอบอุ่นของขิงและหอมใหญ่ผสมเข้ากับกลิ่นเนื้อกระดูกที่ค่อย ๆ ปล่อยความหวานตามธรรมชาติออกมา หลินหยาคอยช้อนฟองที่ลอยขึ้นมาเรื่อย ๆ ในน้ำซุป เพื่อให้คงความใสไว้ เธอไม่คนมันเด็ดขาด ปล่อยให้ทุกอย่างค่อย ๆ กลั่นรสด้วยกาลเวลา


ขั้นต่อมาในขณะที่น้ำซุปเคี่ยว หลินหยาหันไปล้างใบหลิวอ่อน ๆ ในชามน้ำเย็น มือเรียวเลือกเฉพาะยอดใบสดที่อ่อนนุ่ม ตัดก้านแข็งทิ้งอย่างละเอียด เธอวางไว้บนผ้าสะอาดให้สะเด็ดน้ำ เห็ดหอมและเห็ดหูหนูขาวถูกแช่น้ำจนนุ่ม เธอฉีกเห็ดหูหนูขาวเป็นชิ้นเล็ก ส่วนเห็ดหอมก็ใช้มีดบั้งลายสวยงามราวกลีบดอกไม้ พุทราแห้งถูกล้างและคว้านเมล็ดออก เก๋ากี้และดอกเบญจมาศล้างผ่านน้ำเร็ว ๆ เพื่อรักษากลิ่นหอมอ่อน พอเตรียมวัตถุดิบเสร็จ หลินหยานำเนื้อไก่ส่วนสะโพกมาต้มรอบแรกเพื่อลดกลิ่นคาว จากนั้นต้มรอบที่สองในน้ำซุปที่เคี่ยวไว้ให้เนื้อไก่ดูดซึมรสชาติหอมหวานของน้ำซุปอย่างเต็มที่


ต่อไปคือขั้นที่สาม หลายชั่วยามผ่านไป หลินหยากรองน้ำซุปด้วยผ้าขาวบาง น้ำซุปใสเป็นประกายสีทองนวลคล้ายอำพัน เธอเทกลับลงหม้อ เติมน้ำแช่เห็ดหอมเพื่อเพิ่มความหอมเข้มลงไปด้วย แล้วใส่เห็ดหอม เห็ดหูหนูขาว พุทราแห้ง และเก๋ากี้ เคี่ยวต่ออีกสิบกว่านาที กลิ่นหวานหอมสมุนไพรคลุ้งทั่วครัว จากนั้นเธอใส่เนื้อไก่ที่ซึมซับรสน้ำซุปจนเปื่อยนุ่ม และโปรยดอกเบญจมาศที่เตรียมไว้ ปรุงด้วยเหล้าเหลืองเพียงหยด น้ำมันงาเล็กน้อย และเกลือพอดี เสียงซุปเดือดปุด ๆ กลายเป็นท่วงทำนองที่กล่อมหัวใจเธอ


และสุดท้ายจะต้องปิดท้ายด้วยความหอม เมื่อทุกอย่างพร้อมหลินหยาดับไฟ แล้วหยิบใบหลิวอ่อนใส่ลงไปทันที กลิ่นหอมเขียวอ่อนลอยขึ้นทันตา เธอปิดฝาหม้อ ทิ้งไว้หนึ่งนาที ให้ไอน้ำร้อนอบจนใบหลิวสุกหอมพอดี เมื่อเปิดฝาออกกลิ่นหอมละมุนของซุปใสใบหลิวฟุ้งกระจาย ความใสของน้ำซุปสะท้อนแสงไฟอุ่น ๆ เห็ดและสมุนไพรลอยเรียงงามราวภาพวาด หลินหยามองผลงานของตัวเองด้วยรอยยิ้มบาง ๆ เธอตักซุปใส่ถ้วยดินชามเล็ก ชิมคำแรก…รสหวานกลมกล่อมละมุนลิ้น ความเหนื่อยล้าทั้งหมดราวถูกปลดเปลื้อง


ข้าง ๆ เจ้าเซียนเฉ่าเลียปากจ้องถ้วยของตัวเองตาเป็นประกาย นางยกชามให้มันก่อนที่มันจะกินด้วยความฟินสมใจ นี่แหละ ซุปใบหลิวที่ทั้งหอม ทั้งอร่อย และเต็มไปด้วยความใส่ใจของหลินหยา









วัตถุดิบของซุปใสใบหลิว

ส่วนของ น้ำซุป

ซี่โครงไก่, เนื้อสัตว์, ขิง, หอมใหญ่, เกลือ, น้ำเปล่า 

ส่วนของเครื่องหอมและวัตถุดิบพิเศษ

ใบหลิว, เห็ดหอม, เห็ดหูหนูขาว, เก๋ากี้, พุทราแห้ง, ดอกเบญจมาศ, เหล้าเหลือง, งา

ส่วนของ เครื่องตกแต่ง

ซี่โครงไก่, พริกไทย, ใบหลิว


สูตรอาหาร

ขั้นตอนที่ 1 เคี่ยวน้ำซุปใส

ล้างซี่โคร่งไก่และเนื้อสัตว์(กระดูกหมู)ด้วยน้ำร้อน ลวกทิ้งเพื่อลดกลิ่นคาว

ใส่ซี่โคร่งไก่ เนื้อสัตว์(กระดูกหมู) ขิงแก่บุบ หอมใหญ่หั่นครึ่ง และน้ำ 2 ลิตรในหม้อใหญ่

เคี่ยวด้วยไฟอ่อน 2-3 ชั่วโมงให้เนื้อเปื่อย คอยช้อนฟองออกให้น้ำซุปใสและห้ามคนเด็ดขาด


ขั้นตอนที่ 2 เตรียมเครื่องสมุนไพรและผัก

ล้างใบหลิวให้สะอาด ตัดก้านแข็งออก เลือกเฉพาะยอดใบสดเท่านั้น 

นำเห็ดหอม, เห็ดหูหนูขาว แช่น้ำจนนุ่ม ฉีกเป็นชิ้นเล็ก เห็นหอมให้บั่งให้สวยงามตามชอบ

นำพุทธราแห้งล้างและคว้านเมล็ดด้านในออก เก๋ากี้และดอกเบญจมาศล้างผ่านน้ำเร็ว ๆ 

น้ำเนื้อไก่ส่วนสะโพกมาต้มสองรอบ รอบแรกต้มลดกลิ่นคาว รอบที่สองนำน้ำซุปที่เคี่ยวไว้มาต้มให้สุกให้รสชาติเข้าเนื้อไก่


ขั้นตอนที่ 3 ปรุงซุป

กรองน้ำซุปให้ใสด้วยผ้าขาวบาง ใส่กลับหม้อ เต็มน้ำแช่เห็ดหอม

ใส่เห็ดหอม เห็ดหูหนูขาว พุทราแห้งและเก๋ากี้ เคี่ยวต่ออีก 10 นาที

เติมเนื้อไก่ที่เตรียมไว้ ดอกเบญจมาศ ปรุงด้วยเหล้าเหลือง น้ำมันงา(งา) และเกลือ


ขั้นตอนที่ 4 

ดับไฟให้เรียบร้อย แล้วใส่ใบหลิวอ่อนลงไปทันที เพื่อรักษาความหอมและสีเขียวอ่อนของใบ

ปิดฝาหม้อ 1 นาที ให้ไอน้ำร้อนอบจนใบหลิวสุกหอมพอดี 



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เป็นแค่เป็ดแท้ ๆ หมั่นไส้!

รางวัล: 

ปีศาจปลา : ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): ได้รับแล้ว
และอัตราออก ง้าวปีศาจปลา คุณภาพน้ำเงิน Level 20 = 4 = เกลือ
(เลขไบต์หลักสุดท้ายออก 9 หากมีบัพผู้มีบุญเพิ่มอัตราเป็น เลข 9 / 0 / 5)

ปีศาจนักรบเป็ด : ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ) : ได้รับแล้ว
(หากมีสถานะวาสนาเซียน และ LUK 100 จะมีโอกาสดรอป x2)
ได้รับ เนื้อเป็ดอูยา 4 ชิ้น

(สุ่ม 1 ชิ้น) ไข่ปีศาจเป็ด, หอกจันทราสนธยา, เกราะแห่งพายุเงียบ (สุ่มไงง่ะ?)

สรุปรางวัลที่ได้: เนื้อเป็ดอูยา 4 ชิ้น

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

เพียงแต่ของที่ระบุสุ่ม 1 ชิ้นจะไม่ได้เอฟเฟกต์ LUK คูณสอง  โพสต์ 2025-8-6 22:26
(สุ่ม 1 ชิ้น) ไข่ปีศาจเป็ด, หอกจันทราสนธยา, เกราะแห่งพายุเงียบ (สุ่มไงง่ะ?) ก็อยู่ในระบบนั่นละ ถ้าไม่ได้เนื้อก็ได้พวกนั้นแทน  โพสต์ 2025-8-6 22:26
โพสต์ 176214 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-6 21:39
โพสต์ 176,214 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-6 21:39
โพสต์ 176,214 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-6 21:39
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-7 22:16:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-7 22:21

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 07 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า - ยามไห่ ณ เมืองซุยหยาง มณฑลยวี่โจว - ณ หมู่บ้านน้ำค้างพราย เมืองซุยหยาง มณฑลยวี่โจว จักรวรรดิต้าฮั่น

Part.1 หมู่บ้านน้ำค้างพราย


ยามเหม่า… แสงแรกแห่งรุ่งอรุณเพิ่งแตะขอบไม้ระแนงบานหน้าต่างที่พาดทอดเงาเงียบสงบลงบนพื้นห้อง หลินหยาในชุดนอนสีอ่อนที่หลวมสบายพลิกตัวเบา ๆ บนฟูกหนานุ่มก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาคมหวานเหม่อมองเพดานไม้เหนือหัวที่เงียบงัน... เสียงนกร้องปลายกิ่งดังแว่วมาไกล ๆ นางพ่นลมหายใจออกเบา ๆ ราวกับถอนความเหนื่อยล้าของเมื่อวานที่หลอมรวมเข้ากับกลิ่นหอมของไม้หอมที่ลอยอบอวลอยู่จาง ๆ ในห้อง “ฮ้าววววว…” เสียงหาวเบา ๆ ที่ฟังดูเหมือนเสียงแมวขี้เกียจนั่นเล็ดลอดออกจากริมฝีปากแดงอมชมพูน้อย ๆ ของหลินหยา ขณะนางยันกายลุกขึ้นช้า ๆ ผมยาวปล่อยสยายหล่นคลอเคลียไหล่ ผมสีน้ำตาลเข้มนั้นชี้ฟูเล็กน้อยจากการนอนหลับ หญิงสาวหยิบหวีไม้ขึ้นมาสางมันลวก ๆ ให้พออยู่ทรง ก่อนจะเดินไปล้างหน้าแปรงฟันอย่างเชื่องช้า แต่แววตากลับจริงจัง วันนี้มีภารกิจอีกแล้วและเป้าหมายถัดไปคือ… หมู่บ้านน้ำค้างพราย


ทันทีที่เสร็จธุระส่วนตัว เธอก็เดินกลับมาที่เตียง มองเห็นเจ้าเซียนเฉ่าที่นอนตะแคงขดตัวอยู่บนเบาะขนสัตว์หนานุ่ม ริมฝีปากน้อย ๆ ของมันขยับเหมือนละเมอ "อุ๊บ… เซียนเฉ่า…" น่ารักเสียจนหลินหยาเผลอยิ้มมุมปาก นางนั่งยอง ๆ ลงข้างมัน ใช้ปลายนิ้วแตะหน้าผากมนเบา ๆ “ตื่นได้แล้ว เจ้าหมาน้อยของฉัน” น้ำเสียงหวานห้าวปนหงุดหงิดเล็กน้อยจากการตื่นเช้า แต่ก็อ่อนโยนในคราเดียวกัน “วันนี้เราจะไปหมู่บ้านน้ำค้างพรายกัน ต้องรีบหน่อยนะ ขี้เกียจตื่นนัก เดี๋ยวจ้าโยนเจ้าลงอ่างน้ำหรอก”


เซียนเฉ่าลืมตาปริบ ๆ แล้วกลอกตากลับอย่างเชื่องช้า ก่อนจะงับเบา ๆ ที่แขนเสื้อของหลินหยาเหมือนงอแง นางหัวเราะเบา ๆ แล้วลูบหัวมันด้วยความเอ็นดู 


“รีบลุกไปล้างหน้าเถอะ ฉันไม่อยากสาย เดี๋ยวก็เหมือนสมัยก่อนหรอกที่ไปถึงตลาดเช้าไม่ทัน ขิงดี ๆ มักหมดก่อนเสมอ” พูดพลางคว้าชุดเดินทางสีขาวสะอาดเรียบง่ายมาสวมทับอย่างคล่องแคล่ว ขยับสายคาดเอวให้เข้ารูปแล้วจัดผ้าคลุมบาง ๆ ให้เรียบร้อย


เมื่อเจ้าหมาน้อยลุกขึ้นมาแล้ว หญิงสาวก็เดินไปจัดของหน้ากระจกไม้ ลูบแหวนดาราจรัสที่นิ้วกลางเบา ๆ เพื่อเตรียมหยิบอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการเดินทาง ระหว่างนั้นเธอก็กระซิบกับตัวเองเบา ๆ “หมู่บ้านน้ำค้างพราย... ชื่อเพราะอย่างแต่ แต่หวังว่าจะไม่มีอะไร ‘พราย’ อย่างที่ชื่อบอกหรอกนะ” นางว่าแล้วก็เดินออกจากห้องอย่างเงียบ ๆ พร้อมเจ้าเซียนเฉ่าที่เดินตามหลังอย่างว่องไวหางสะบัดเบา ๆ ราวกับพร้อมสำหรับการผจญภัยอีกครั้งในดินแดนที่ยังไม่รู้จัก...ยามเหม่าเริ่มต้นแล้ว และหลินหยาก็พร้อมเผชิญทุกสิ่งที่โลกนี้มีจะส่งมาทักทายอีกครั้ง


เส้นทางจากเมืองซุยหยางทอดตัวออกไปยังตะวันออกเฉียงเหนือช้า ๆ ราวกับริ้วผ้าทอลายที่พาดยาวอยู่เบื้องหน้า หลินหยาในชุดเรียบสบายสำหรับเดินทาง มัดผมหางม้าหลวม ๆ เปิดเผยต้นคอขาวผ่องที่เปียกชื้นเล็กน้อยจากไอหมอกยามเช้า สะพายกระเป๋าใบเล็กไว้ข้างตัว รัดขลุ่ยแน่นกับสายคาดเอว และแน่นอน… ขวดโหลใบใสที่มีหิ่งห้อยล่องลอยแผ่วเบาอยู่ภายในก็ถูกห่อด้วยผ้ากำมะหยี่เก่า ๆ ห้อยต่องแต่งอยู่ข้างอกใต้ผ้าคลุมยาว


แสงแดดยามเช้ากระทบละอองหมอกเหนือทุ่งโล่ง มวลอากาศเย็นสบายแต่ไม่ถึงกับหนาว อุ่นพอให้รู้สึกว่าร่างกายยังมีชีวิต หลินหยาเดินไปบนทางดินแน่นที่ยังพอมีรอยล้อเกวียนจากชาวบ้านทิ้งไว้เป็นแนวให้อ้างอิง ท่ามกลางเสียงนกร้อง เสียงแมลงตะโพน และเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของเจ้าเซียนเฉ่าที่เดินอยู่ด้านหน้าอย่างเชื่องช้า “หาวววววววว” หญิงสาวลากเสียงหาวขณะสะบัดไหล่ไปมาคลายเส้น แผ่นหลังที่อุ้มความง่วงมาทั้งคืนเริ่มผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย “ขอบใจนะ เซียนเฉ่า ที่คอยดูแลฉันตลอดทาง… แม้จะขู่คนไปทั่ว แต่เจ้าก็ยังน่ารักอยู่ดี” นางพูดกับเจ้าหมาน้อยที่หูผงกขึ้นเมื่อได้ยินชื่อของตนเอง มันหันมาสะบัดหางแว้บหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็กลับไปดมพุ่มหญ้าข้างทางต่อ


ระหว่างเดินหลินหยาก็เอื้อมมือแตะขวดโหลที่แขวนอยู่เบา ๆ แสงเรืองในนั้นแม้จะสลัวในยามกลางวัน แต่ก็ยังอบอุ่นอย่างประหลาด นางพึมพำเสียงเบา “ท่านเทพเยว่เหล่าคงตั้งใจมอบให้ฉันจริง ๆ สินะ... อย่างน้อยครั้งนี้ก็คงไม่หลง”


เสียงฝีเท้าบนดินแห้งกรังและกลิ่นแดดผสมกลิ่นหญ้าฝุ่นดินคือเพื่อนร่วมทางตลอดช่วงสาย สองเท้าของหลินหยาก้าวยาว ๆ อย่างมั่นคง แต่มิได้เร่งร้อน นางเพียงเดินให้ได้จังหวะที่ไม่เหนื่อย และได้มีเวลาให้ใจคิดเรื่องอื่นบ้าง ทิวทัศน์สองข้างทางค่อย ๆ เปลี่ยนจากทุ่งโล่งสู่แนวต้นไม้เตี้ย ๆ สลับกับเนินเขาต่ำ ๆ และแอ่งน้ำตื้นสีใสที่สะท้อนฟ้าเหมือนกระจก ดวงตาคมหวานเหลือบมองไปทั่ว สังเกตทิศทางของเงาต้นไม้กับทิศแสงแดดเพื่อให้แน่ใจว่ายังอยู่ในเส้นทางที่แม่ม่ายคนนั้นเคยบอกไว้ "ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านต้นหลิวคู่ ผ่านลำธารไหลใสเย็น แล้วเดินขึ้นสันเขาเตี้ย ๆ ไปเรื่อย ๆ… จนกว่าจะพบทางแยกเล็ก ๆ" นางท่องซ้ำในใจ เสียงปีกแมลงสีเงินข้างใบหู เสียงลมหวีดหวิวผ่านช่องระหว่างต้นไม้ และเสียงใจที่เต้นช้า ๆ สม่ำเสมอ... ทั้งหมดหลอมรวมเป็นเพลงเดินทางประจำวันของหลินหยา


“คงถึงตอนเย็นแหละมั้ง…ถ้าไม่หลงนะ” เธอบ่นพลางกรอกตาอย่างเป็นนิสัย แล้วก็ยกมือลูบหน้าผากที่เริ่มชื้นเหงื่อเบา ๆ "ขออย่าให้เจอพวกปีศาจปลาหลุดมาอีกเลยเถอะ…" แล้วหญิงสาวแห่งแคว้นฮั่นผู้มีหัวใจหนักแน่นเกินคำว่าสตรีก็ยังคงก้าวเดินต่อไป มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านน้ำค้างพรายต่อไป


คำพูดของหญิงม่ายผู้มีกลิ่นดอกไม้แห้งประจำกายยังคงลอยวนอยู่ในห้วงความคิดของหลินหยาอย่างเงียบงัน… "หมู่บ้านน้ำค้างพรายอยู่ริมธารในหุบลึก เส้นทางแคบ หมอกหนา ยามค่ำมืดสนิท อย่าเดินผิดทาง เดินตรงไปจนถึงสะพานไม้เก่า แล้วต้องเลือกทางขวาเสมอ ห้ามไปทางซ้ายเด็ดขาด...แล้วก็จะมีอีกสะพานระวังปีศาจไว้ให้ดี" หลินหยาท่องในใจราวกับคาถาเพื่อกันตนเองเผลอลืม เพราะคำว่า ‘ไม่มีวันกลับ’ ของอีกฝ่ายในตอนนั้น มันไม่ใช่แค่คำขู่ แต่มีอะไรบางอย่างอยู่ในน้ำเสียงนั้นที่ทำให้สันหลังของเธอเย็นวาบ แม้อากาศในยามเช้าจะอบอุ่นเพียงใดก็ตาม


หญิงสาวเดินไปตามทางที่เริ่มคดเคี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากเนินราบเป็นพื้นป่าที่ชื้นและหนาทึบมากขึ้น กอไม้เตี้ย ๆ และเถาวัลย์พันเกี่ยวตลอดทางจนต้องใช้ไม้เท้าเขี่ยออกบ้างบางครั้ง ฝีเท้าของหลินหยาเริ่มหนักขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงมั่นคง เจ้าเซียนเฉ่าเดินตามเธอไม่ห่าง บางครั้งก็วิ่งนำหน้าหยุดดมกลิ่นดินกลิ่นใบไม้แล้วก็วิ่งกลับมาเหมือนกำลังตรวจสอบเส้นทาง ยิ่งเข้าใกล้จุดตัดที่หญิงม่ายพูดถึง อากาศก็เริ่มเปลี่ยน ความเย็นที่ไม่ใช่แค่ลมจากภูเขาแต่มาจากความชื้นหนึบอึนปะปนกับหมอกสีเงินที่เริ่มก่อตัวคลอเคลียพื้น แม้จะยังไม่ถึงยามบ่าย ทว่าความสว่างกลับลดลงเรื่อย ๆ แสงอาทิตย์ถูกบังด้วยหมู่ไม้ใหญ่และหมอกที่เกาะเหนือยอดไม้ชั้นล่างราวม่านบางพลิ้ว


และในที่สุด... หลินหยาก็มาหยุดยืนเบื้องหน้าสะพานไม้เก่า ท่อนไม้ที่เรียงต่อกันมีตะไคร่เขียวเกาะบาง ๆ บางส่วนผุพัง บางแผ่นเปียกน้ำจนเป็นสีเข้ม ความเงียบของป่ารอบข้างทำให้แม้แต่เสียงน้ำไหลจากลำธารด้านล่างยังได้ยินชัดราวเสียงกระซิบ "ถึงแล้วสินะ..." หลินหยาก้มลงมองสะพานและลำธารด้านล่าง ดวงตาหวานซึ้งของเธอกรอกขึ้นมาช้า ๆ มองสองฝั่งของทางแยกที่รออยู่หลังสะพานนั้น


"อย่าเลือกทางซ้ายเด็ดขาด..." เสียงของหญิงม่ายดังขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง และเมื่อเธอก้าวข้ามสะพานไม้ไปช้า ๆ จนเท้าเหยียบลงอีกฝั่งเรียบร้อย หลินหยาก็หยุดยืนตรงจุดแยกสองทางนั้น ทางซ้ายมีเงาไม้ปกคลุมแน่นหนา แม้สายลมยังไม่กล้าเล็ดลอดเข้าไป เงียบ...จนได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นชัดเจน ทางขวานั้นเบาบางกว่า และที่สำคัญคือ มีเสียงน้ำไหลแผ่วเบาอย่างต่อเนื่อง ดังมาจากเบื้องลึก… แม้หมอกจะหนาบดบังทัศนวิสัย แต่เสียงนั้นชัดเจนเหมือนเสียงเพลงที่คุ้นเคย


“ไม่ต้องคิดแล้วล่ะ...” หลินหยาเอ่ยเบา ๆ กับตัวเอง จากนั้นก็หันไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งลงมองเธออยู่ หางมันกระดิกเล็กน้อยเหมือนจะบอก "ข้าก็รู้ว่าคุณหนูหลินจะเลือกทางไหนอยู่แล้วขอรับ" หญิงสาวยิ้มมุมปาก ก่อนจะก้าวเข้าสู่เส้นทางด้านขวา มือขวาของเธอจับขวดโหลหิ่งห้อยไว้แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว มันเริ่มส่องแสงนุ่มนวลขึ้นมาเรื่อย ๆ แม้ไม่ได้เปิดฝา นั่นแสดงว่าพลังบางอย่างเริ่มรับรู้ถึงเขตแดนของหมู่บ้านน้ำค้างพรายแล้ว “อย่าให้เป็นหมู่บ้านผีสิงล่ะกัน...” หลินหยาพึมพำ แล้วเดินเข้าไปในม่านหมอกที่หนาทึบราวม่านน้ำแห่งกาลเวลา เส้นทางที่ไม่มีในแผนที่ เส้นทางของความลี้ลับ เส้นทางที่มีแต่เสียงน้ำไหลคอยนำทาง... และเรื่องราวใหม่ที่รอเธออยู่เบื้องหน้า


"ข้างหน้าอีกนิดเดียวก็จะเข้าเขตที่ลึกที่สุดของป่าราบแล้วนะคุณหนูหลิน" เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าเอ่ยเสียงขรึมตามลักษณะของมันขณะเดินนำหน้าไปในป่าหมอกที่เต็มไปด้วยกลิ่นมอส เปลือกไม้เปียก และความเย็นชื้นซึ่งเกาะตามปลายเส้นผมของหญิงสาวเบา ๆ ทุกย่างก้าวของพวกเขาบนพื้นป่านั้นแทบไม่มีเสียง เพราะชั้นใบไม้หนาทึบกลบเสียงฝีเท้าราวกับกลืนพวกเขาเข้าไปในโพรงของป่าลึก หลินหยากระชับเสื้อคลุมแน่นขึ้นเพราะแม้จะไม่หนาวจัด แต่ความชื้นของป่าก็ทำให้อุณหภูมิลดลงเรื่อย ๆ ในมือของเธอยังถือโหลหิ่งห้อยไว้ ดวงแสงสีเหลืองอ่อนภายในกระพริบเบา ๆ ราวกับหัวใจที่ยังเต้นช้าแต่มั่นคง


"คุณหนูหลินคิดว่าจะได้พบอะไรในหมู่บ้านนั้นกันขอรับ?" เสียงของเจ้าหมาน้อยเอ่ยขึ้นแผ่ว ๆ ทั้งที่ยังไม่หันกลับมา มันเหมือนรู้ว่าเจ้านายกำลังครุ่นคิดถึงอะไรอยู่บ้าง แม้เจ้าหมาน้อยจะทำตัวขี้หวง จอมโวยวายใส่คนอื่นไปทั่ว แต่มันก็เป็นผู้ฟังที่ดีเสมอเวลาหลินหยานิ่งเงียบแบบนี้


หญิงสาวเบนสายตามองไปทางด้านข้าง ใบหน้าหวานงดงามสะอาดสะอ้านแม้ผ่านการเดินทางมาไกล ดวงตาของนางมีประกายคล้ายกำลังพิจารณาอะไรบางอย่างในความมืดหมอกเบื้องหน้า "ข้าคิดว่า...บางทีอาจไม่ใช่แค่หมู่บ้านธรรมดา" หลินหยาพูดเสียงเรียบ ริมฝีปากแดงอ่อนขยับช้า ๆ ตามจังหวะการเดิน "หญิงม่ายที่เมืองว่านบอกว่านางเกิดที่หมู่บ้านนั้น และยังเล่าว่าที่นั่นเคยเป็นที่อยู่ของสนมลั่วซาน...สนมผู้ที่ตายเร็ว ตายในวันที่ควรได้เสวยสุข...สนมคนนั้นเคยกลั่นแกล้งจางกงกง กลั่นแกล้งมาก...มากจนกระทั่งต้องถูกกล่าวถึงจากปากคนที่ตายไปแล้ว" เสียงของหลินหยาติดจะเย็นเล็กน้อย ก่อนจะกลายเป็นนิ่งเฉยเหมือนเคย ริมฝีปากนางเหยียดยิ้มจาง ๆ คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ใช่


"จะมีใครเอ่ยชื่อคนคนนั้นทั้งที่ตายไปแล้วด้วยเสียงเศร้าได้ขนาดนั้น หากไม่ได้รู้สึกผิด?" เธอพ่นลมหายใจเบา ๆ ปลายนิ้วข้างหนึ่งลูบไปตามฝาโหลหิ่งห้อยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ยามใกล้พ้นขอบฟ้า ต้นไม้ริมทางทอดเงายาวบนผืนดินสีอำพันที่ชื้นเย็นจากหมอกเช้าตรู่ หลินหยาเดินอย่างสบายใจแต่ก็พูดตลอดทางบนทางป่าแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงหรีดหริ่งเรไรใต้เรือนใบ พุ่มไม้สองข้างทางดูสงบเกินกว่าจะไว้ใจได้ ความเย็นของลมยามเช้าปะทะผิวแก้มขาวจัดของนางจนสีเลือดจาง ๆ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นชมพูระเรื่อ ผมน้ำตาลเข้มจนเกือบดำขลับถูกรวบครึ่งศีรษะไว้เรียบร้อย แต่ปอยเส้นบางสายยังปลิวสะบัดอ้อยอิ่งด้วยแรงลมบาง ๆ ที่พัดพาเอากลิ่นใบไม้ชื้นโชยผ่านปลายจมูก


"การที่ใครสักคนต้องตายอย่างรวดเร็วเกินธรรมชาติ บางครั้งก็ไม่เป็นเรื่องบังเอิญหรอก" นางเอ่ยต่อเสียงแผ่ว "โดยเฉพาะเมื่อต้องมีชื่อ ‘จางกงกง’ พัวพันอยู่ด้วยแบบนี้...ก็คงมีเบื้องหลังที่หนาแน่นยิ่งกว่าผ้าม่านชั้นในของตำหนักหลวงเสียอีก" น้ำเสียงนางราบเรียบ แต่ข้างในกลับเดือดดาลไม่ใช่ด้วยโทสะ หากแต่เป็น ความสับสนที่ยังหาทางออกไม่ได้


หญิงสาวไม่พูดถึงความรู้สึกตนเองต่อชื่อ ‘จางกงกง’ เพราะมันไม่จำเป็นต้องพูด มันลึกเกินจะเอื้อนเอ่ย หลินหยารู้ดีว่าตนเองไม่ได้ลืมว่าเขาเป็นคนเลว แต่เธอก็ไม่ลืมเหมือนกันว่าครั้งหนึ่งเคยรู้สึก...อบอุ่นแค่ไหนในอ้อมแขนปลอม ๆ ของเขา "ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าสนมลั่วซานที่นางว่า...เป็นคนแบบไหนกันแน่ ถึงได้กล้าแกล้งเขาในวังหลวงโดยไม่กลัวตาย หรืออาจจะเป็นคนแบบเดียวกับข้า…ก็ได้" หลินหยาหัวเราะเบา ๆ กลั้วในลำคอ ไม่รู้ว่าแฝงความถากถางหรือความเจ็บปวดกันแน่ เจ้าเซียนเฉ่าไม่พูดอะไร มันเดินเข้ามาใกล้ ๆ แล้วแนบตัวเบา ๆ ข้างขาของเธอคล้ายจะบอกว่า ไม่ว่าเธอจะคิดอะไร มันก็ยังอยู่ตรงนี้เสมอ


หลินหยาก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ ขณะสายตายังจับจ้องไปที่เส้นทางแคบข้างหน้า "ไปเถอะ เราคงยังมีเรื่องรออยู่ที่นั่นอีกเยอะนักเซียนเฉ่า" เสียงของนางเย็นลงเล็กน้อย "ไม่ใช่แค่เรื่องของสนมลั่วซานหรอก...แต่คงเป็นเรื่องของ จางกงกงคนนั้น ที่ยังคงตามหลอกหลอนแม้กระทั่งนอกฉางอัน..." แล้วฝีเท้าก็พาเธอก้าวลึกเข้าสู่ป่าราบ หมอกบางเริ่มขึงม่านเหนือยอดหญ้า สะพานไม้อีกอันยังอยู่อีกไม่ไกล เบื้องหน้าคือทางแยกที่อาจนำไปสู่เหวลึก...หรือความจริงที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกเลย


แสงแดดยามสายร่วงโรยผ่านม่านใบของไม้สูงริมทาง เส้นทางสู่หมู่บ้านน้ำค้างพรายทอดตัวเป็นแนวยาวแคบ ลาดขึ้นเบา ๆ คล้ายจะหลบสายตาของโลก หลินหยาเดินอย่างเงียบงันฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็ว ท่วงท่ามั่นคงสง่างาม แม้จะมีเพียงชุดเดินทางสีอ่อนกับผ้าคลุมกันฝุ่น แต่กลับดูโดดเด่นราวหยาดน้ำค้างที่หล่นบนกลีบดอกไม้ในยามรุ่งสาง นางยกมือขึ้นเล็กน้อย นิ้วเรียวสวยที่เย็นเฉียบจากลมป่าขยับแผ่วเบา พลางหรี่ตาลงมองวงแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วกลางข้างขวา… แหวนดาราจรัส เจิดจรัสเยี่ยงดวงดาวในคืนฟ้ามืด แม้ไม่อยู่ใต้แสงเทียนก็ตาม


คราวแรกที่นางพบมัน…เป็นวันที่เธอจะออกเดินทางไปฉางอันมันโดนส่งมาในตอนเช้าก่อนที่เธอจะรู้ว่าจะออกไปเสียอีก แหวนวงนี้ไม่ได้วางขายในตลาด ไม่แม้แต่จะหลุดเข้าตลาดมือสอง ของอย่างนี้…คนธรรมดาหาไม่ได้หรอก แม้แต่นางเองก็ยังไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มันมาในห้วงยามที่หัวใจเจ็บที่สุด วันที่ต้องออกจากฉางอันเพียงลำพัง "วันนั้น…" หลินหยากระซิบกับตนเองแผ่วเบา ขณะมือข้างนั้นไล้นิ้วโป้งบนผิวแหวนเบา ๆ ความเย็นของอัญมณีสั่นสะเทือนบางสิ่งในใจ


จางกงกง…ท่านไม่ได้มาพบข้าในวันนั้น


คำพูดที่ไม่เคยพูดออกไปเสียที ถูกเก็บกลืนในความเงียบเสมอมา ทั้งที่นางเฝ้ารอเขา เฝ้าฝันว่าจะมีแม้เพียงเงาของเขาปรากฏ ณ ศาลาจื่อเถิงฮวา ทว่า…สิ่งที่มีเพียงลมฝน และแหวนวงหนึ่งในห่อผ้าซึ่งวางนิ่งอยู่หน้าบ้านหลังเล็ก ไม่มีจดหมาย ไม่มีคำลา ไม่มีคำอธิบายใด นอกจากแหวนวงนี้ที่เปล่งประกายจาง ๆ คล้ายจะพูดกับนางว่า จำไว้ ว่าข้ายังอยู่…เสมอ


แต่ ‘เขา’ นั้น ก็เย็นชาราวหลุมฝังศพ ไม่เคยสาดแสงอุ่นกลับมาสักครั้ง


เจ้าเซียนเฉ่าหันหน้ากลับมาหา คล้ายจะเห็นว่านางชะงักไปเล็กน้อย หางของมันกระดิกเบา ๆ สีหน้าแฝงความเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงเรียก หลินหยาสูดลมหายใจเข้าลึก หันหน้าไปสบตาเจ้าหมาตัวน้อยของเธอ พลางระบายยิ้มบาง ๆ "ไม่เป็นไร ข้าแค่คิดอะไรนิดหน่อย" เสียงเธอแผ่วเบา "ไปต่อกันเถอะ ใกล้จะถึงสะพานไม้อันต่อไปแล้ว..." แหวนดาราจรัสที่สวมแน่นบนนิ้วมือข้างขวายังคงเปล่งแสงจาง ๆ อยู่ใต้แขนเสื้อผ้าหยาบ ทว่าเบื้องหลังแสงนั้น มีทั้งความผูกพันที่ไม่เอื้อนเอ่ย…และความเจ็บปวดที่เก็บเงียบไว้จนกลายเป็นรอยแผลลึกที่ยากลบเลือน บางที...สิ่งที่นางจะพบในหมู่บ้านน้ำค้างพราย ไม่ใช่แค่เบื้องหลังของสนมลั่วซาน แต่คือความจริงบางอย่างที่ถูกฝังไว้ใต้เงามืดของ ‘เขา’ ผู้ที่เลือกจะจากไป...พร้อมกับความเงียบงันในใจของนาง


ท้องฟ้าในยามสายของดินแดนลึกซุยหยางยังคงถูกแต่งแต้มด้วยหมอกสีเงินจางระยิบระยับที่ลอยละเลียดปกคลุมเหนือพงไพร เบื้องหน้าของหลินหยาเป็นสะพานไม้เก่าแก่ทอดข้ามแม่น้ำกว้าง กระแสน้ำขุ่นคลั่กเบื้องล่างไหลเชี่ยวด้วยแรงของฤดูกาลที่ผลัดเปลี่ยนจากปลายฤดูร้อนสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง เสาไม้ผุกร่อนบางช่วงขาดเป็นร่อง เถาวัลย์พันเกี่ยวขึ้นมาอย่างน่าหวาดเสียวในยามที่ปลายรองเท้าผ้าปักลวดลายของหญิงสาวเหยียบลงไปอย่างระมัดระวัง


เซียนเฉ่าเดินตามมาเงียบ ๆ ขนตั้งชันตั้งแต่เหยียบสะพานเช่นกัน ราวกับสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง "เดินดี ๆ ล่ะเจ้าหมาตัวเล็ก ไม่งั้นตกลงไปแล้วห้ามให้ข้าตามเก็บนะ" หลินหยาเอ่ยเบา ๆ ในลำคอ ขณะมือนั้นก็ยกขึ้นดึงชายเสื้อคลุมให้แน่นขึ้นนิด รู้สึกถึงแรงลมเย็นเฉียบที่พัดวูบขึ้นจากเบื้องล่างจนชายผ้าเธอสะบัดเบา ๆ อย่างน่าหวาด


แต่ยังไม่ทันจะก้าวข้ามไปถึงครึ่งสะพาน…


"ฉ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!"


เสียงน้ำแตกกระจายดังสนั่นคล้ายมีสัตว์ยักษ์พุ่งทะลุผิวน้ำขึ้นมาอย่างรุนแรง แรงสะเทือนทำเอาสะพานไม้สั่นสะเทือนเหมือนจะหัก หลินหยายืนนิ่งครู่หนึ่ง แต่ดวงตากลับเยือกเย็น...คุ้นเคยเสียจนน่าตกใจ "อย่าบอกนะว่า..." นางพึมพำในลำคอ ใบหน้าเครียดขึงขณะขยับมือไพล่ไปแตะแผ่นขลุ่ยที่เหน็บเอว "...ปีศาจปลานรกพวกนั้นอีกแล้ว?" 


เสียงคำรามปนเสียงแหลมของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ดังขึ้นไม่ทันให้ได้สงสัยนาน ร่างของสัตว์ประหลาดรูปร่างอัปลักษณ์คล้ายปลาขนาดมหึมาแต่มีแขนขายาวเฟื้อยและฟันแหลมคมทะลวงขึ้นจากแม่น้ำ มันทั้งสี่พุ่งออกจากผิวน้ำฟาดครีบใส่เสาสะพานจนไม้หักเสียงดัง "กร๊อบ!" ร่างหนึ่งพุ่งเข้าใกล้หลินหยาอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาสีขาวขุ่นฉายแววหิวกระหายและราวกับคลุ้มคลั่งด้วยกลิ่นกายของหญิงสาว "แค่คิดจะลากฉันลงไปแกก็ผิดแล้ว...แต่คิดจะกินฉันกับลากไปน้ำด้วยเนี่ย…" หลินหยาแสยะยิ้ม ดวงตาสีน้่ำตาลมะพร้าวอ่อนลึกล้ำวาวโรจน์ขึ้นมาทันทีที่ความร้อนแล่นขึ้นบนแผ่นอก "ไปตายซะเถอะ ไอ้ปลาหื่นกาม!"


ปลายนิ้วกระตุกเส้นขลุ่ยออกมาราวกับควงดาบ ฉับพลันร่างบางพลิกตัวหลบการโจมตีของปีศาจตัวแรกที่พุ่งมา แล้วกระแทกด้ามขลุ่ยใส่เบ้าตามันด้วยแรงถ่วงเต็มแขนเสียง "เพียะ!" 


"นี่มันวันบ้าอะไรกันนักวะ!! ทำไมเจอปีศาจปลาทุกที่!! แม่งเอ๊ยยยย!!" เธอตะโกนลั่นไปกับเสียงลม สะพายขลุ่ยกลับหลังแล้วจับพลิกออกมาอีกทีพร้อมปลดกระดิ่งเงินที่คล้องแขนข้างหนึ่ง ติ๊ง...ติ๊ง...ติ๊ง...เสียงกระดิ่งนั้นเป็นดั่งสัญญาณตื่นปีศาจ...เซียนเฉ่าเองก็คำรามต่ำ ร่างของมันเปล่งแสงเล็กน้อยที่ดวงตาก่อนจะพุ่งเข้าใส่ปีศาจอีกตัวอย่างแม่นยำ มันกัดเข้าที่ข้อเท้าของปีศาจปลาตัวหนึ่งเต็มแรงจนมันเซเสียหลักลงกลับสู่แม่น้ำ 


"แหวนดาราจรัส...เปิดคลัง!!" เสียงของเธอดังก้องในหัวก่อนจะปรากฏหม้อเคลือบทรงสูงลอยออกมาจากแสงพร่างพลันจากวงแหวน  ไม่ใช่เพื่อทำอาหาร แต่เป็นอาวุธ!! "ดูสิ...ขนาดหม้อซุปยังพร้อมสู้กว่าแกเลย" หลินหยาเหวี่ยงหม้อเคลือบเข้าใส่หน้าปีศาจตัวสุดท้ายจนกระเด็นกระแทกเสาสะพานเสียง "โครม!"


"จะให้ตื่นทุกครั้งก็พูดกันดี ๆ สิ...ไม่ใช่เล่นเกมลากไปสำเร็จความหื่นทุกที เฮอะ" เซียนเฉ่าหอบเบา ๆ พลางเดินมาแอบด้านหลังขาเธอ


ใต้แสงแดดอ่อนช่วงสายที่สาดลอดผ่านยอดไม้สูงเบื้องหลัง หยดน้ำเกาะพราวบนผิวสะพานไม้เก่าและกลิ่นคาวเลือดสดผสมกลิ่นปลายังฟุ้งอยู่จาง ๆ บนลำไม้ที่เพิ่งถูกปีศาจปลาสี่ตัวโจมตีไปเมื่อครู่ ทว่าบัดนี้เงาร่างอัปลักษณ์ทั้งสี่กลับนอนแน่นิ่งแนบพื้นสะพานโดยไร้ซึ่งลมหายใจ หลินหยายืนอยู่เหนือพวกมัน สีหน้าไม่ได้บึ้งตึงแต่กลับนิ่งเย็นอย่างน่าประหลาด นางยกขลุ่ยขึ้นเคาะบนฝ่ามือเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า "จะมาทำให้ฉันเหนื่อยฟรี ๆ เหรอ? ฝันไปเถอะ พวกปลาหื่น" หญิงสาวทรุดตัวลงคุกเข่าข้างซากปีศาจปลาตัวหนึ่ง นิ้วเรียวยาวเปื้อนรอยน้ำเลือดสีคล้ำในทันทีขณะใช้ปลายมีดเล็กจากในแหวนดาราจรัสเฉือนผิวเนื้ออันเหนียวหยาบของมันอย่างคุ้นเคย เสียง ฉึบ...ฉึบ... ดังเบา ๆ ขณะที่เธอผ่าลงไปถึงช่องท้อง กรีดอย่างระมัดระวัง ราวกับเชฟผู้ช่ำชองกำลังแล่เนื้อสดให้ได้ความสมบูรณ์ที่สุดโดยไม่ทำให้กระเพาะแตกระเบิดกลิ่นคาวเสียก่อน


"เมือกของมันยังอุ่นอยู่เลย...น่าจะมีค่าทางสมุนไพรพอตัวนะ" เธอพึมพำ มือหนึ่งหยิบขวดเล็กออกจากแหวน แล้วใช้มีดขูดเมือกมันวาวจากข้างแก้มและแผ่นหลังปีศาจปลาลงใส่อย่างปราณีตจนเต็มครึ่งขวด "กระเพาะปลาก็พอใช้ได้..." เธอใช้ปลายมีดแหวะอวัยวะภายใน ขยับเล็มเยื่อบางส่วนออกแล้วควักกระเพาะปลาที่ยังคงเด้งดึ๋งอยู่มาอย่างแม่นยำ แล้วใส่ในห่อสมุนไพรที่เตรียมไว้


"ปลาเก๋า...ปลากระพง...หึ ถึงเป็นปีศาจก็มีสายพันธุ์ให้ดูเหมือนกันสินะ" หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างขำ ๆ ยามที่เห็นเกล็ดสีน้ำตาลแดงของปลาตัวหนึ่ง กับลายสีขาวแซมเงินของอีกตัวในบรรดาปีศาจปลาทั้งสี่ นางตัดเนื้อส่วนสันแล่แยกเป็นชิ้น ๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะห่อไว้ในกระดาษน้ำมันแห้งบรรจุเข้าแหวนดาราจรัสต่อทันที เจ้าเซียนเฉ่าซึ่งยืนรออยู่นานด้านหลังส่งเสียงครางเบา ๆ คล้ายประท้วงนิดหน่อยเพราะรู้ว่าตัวเองต้องทำงานแล้วสินะ


"ไปสิ...เอาพวกมันไปฝังข้างลำธารให้เรียบร้อย อย่าให้กลิ่นเหลือเดี๋ยวจะเรียกตัวอื่นมาอีกล่ะ" หลินหยาเอ่ยโดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ ขณะใช้ผ้าขาวบางเช็ดคราบเลือดที่นิ้วมือออกอย่างละเมียดละไม เซียนเฉ่าคาบชายผ้าตัวเองแล้วครางตอบก่อนจะออกแรงลากซากปีศาจปลาทีละตัวอย่างขยันขันแข็งไปยังริมน้ำ นางเองก็ลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นชายเสื้อ คลี่ผ้าเช็ดมือแล้วสูดลมหายใจยาว "สุดท้าย...ก็ได้ของที่อยากได้จนได้นั่นแหละน่า"


หลินหยายกมือขึ้นดูนิ้วกลางที่สวมแหวนดาราจรัสไว้อัญมณีเจิดจรัสบนนั้นสะท้อนแสงแดดวาววับราวกับมันเองกำลังพอใจในของใหม่ที่มันได้กลืนเก็บไว้ในห้วงมิติ "หวังว่ามันจะทำซุปดี ๆ ได้ล่ะนะ...เพราะฉันเหนื่อยกับปลาพวกนี้จริง ๆ ให้ตายสิ" นางเอ่ยเบา ๆ แล้วหันหลังกลับไปมองเส้นทางเบื้องหน้า ที่เริ่มมืดมัวด้วยเงาไม้ครึ้มของป่าหลังสะพาน ก่อนจะย่างเท้าเดินต่อไป…โดยที่ยังไม่มีใครรู้ว่าปีศาจตัวต่อไปจะมาในรูปแบบไหนกันแน่






@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

พรสวรรค์ : ดาวนำโชค (ทอง)
(วันละครั้ง) มีโอกาสที่จะพัฒนาค่าประสบการณ์ให้คนในกลุ่มที่ร่วมเดินทาง ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ +20 EXP เมื่อสุ่มได้เลขไบต์ (0 / 2 / 4 / 6 / 8 / 9)  = ได้รับค่าประสบการณ์
เพิ่มสถานะ สวรรค์อำนวยพร (เพิ่มโชค+15 LUK) แก่เพื่อนร่วมเดินทาง เป็นระยะเวลา 7 วัน เมื่อสุ่มได้เลขไบต์ (1/ 3 / 5 / 7)
(ใช่ครับ ผมพึ่งรู้ว่ามีอะไรแบบนี้ด้วย ลืมสนิท--)

อื่น ๆ: ต้องหั่นโรลอีกแล้วนะครับ เห่ออออออ

รางวัล: 
ปีศาจนักรบเป็ด : ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ) : ได้รับแล้ว
(หากมีสถานะวาสนาเซียน และ LUK 100 จะมีโอกาสดรอป x2)
ได้รับ เนื้อเป็ดอูยา 3 ชิ้น = 3x2 = 6 ชิ้น
 (ทำไม๊รอบก่อนมันไม่ได้ x2 เนื้อเป็ด 4 ชิ้นเอาม๊าาา)

สรุปรางวัลที่ได้: เนื้อเป็ดอูยา 3 ชิ้น, พัฒนาค่าประสบการณ์กลุ่มร่วมเดินทาง +20 EXP

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

เพื่อนปาร์ตี้คุณบาดเจ็บหลังจากสามโรลนี้ งดต่อสู้สักพัก พักฟื้น 15 วัน จากนี้คุณลุยเดี่ยว------------  โพสต์ 2025-8-7 23:41
คุณได้รับ 20 EXP โพสต์ 2025-8-7 23:33
โพสต์ 107750 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-7 22:16
โพสต์ 107,750 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-7 22:16
โพสต์ 107,750 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-7 22:16
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-7 22:18:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 07 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า - ยามไห่ ณ เมืองซุยหยาง มณฑลยวี่โจว - ณ หมู่บ้านน้ำค้างพราย เมืองซุยหยาง มณฑลยวี่โจว จักรวรรดิต้าฮั่น

Part.2 หมู่บ้านน้ำค้างพราย


กลางป่าราบอันสงัด เส้นทางที่ทอดยาวเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัวในม่านหมอกบาง ๆ ที่ลอยเรี่ยคลุมพื้นดิน ปลายใบหญ้าเปียกชื้นด้วยหยดน้ำค้างที่ยังไม่ระเหยไปกับแสงอาทิตย์ยามสาย หลินหยาก้าวเดินไปตามหลังเจ้าเซียนเฉ่าอย่างสม่ำเสมอ ฝ่าเท้าที่เหยียบลงบนทางดินนุ่มทำให้เกิดเสียงดังแผ่วเบา ในอกของหญิงสาวเต้นด้วยความสงบนิ่ง แม้ภายนอกดูคล้ายไร้กังวล แต่สายตากลับจับจ้องไปยังทุกฝั่งทางอย่างมีสติ "ถึงเวลาแล้วล่ะมั้ง..." นางพึมพำเบา ๆ


เมื่อสัมผัสได้ว่าหมอกเบื้องหน้าเริ่มข้นขึ้นจนคล้ายม่านขาวโปร่งที่บดบังเส้นทางแทบหมดสิ้น หลินหยาก็ชะลอก้าวเดินของตนเอง หยิบขวดโหลเล็ก ๆ ออกจากแขนเสื้ออย่างทะนุถนอม ภายในบรรจุหิ่งห้อยตัวโตที่ปล่อยแสงระยิบเรื่ออยู่ตลอดเวลา นางคลี่ยิ้มบางเมื่อแสงสว่างนั้นสัมผัสฝ่ามือ "องค์เทพเยว่เหล่า…ข้าหวังว่าจะไม่ทำของท่านหล่นกลางทางนะ" นางเอ่ยเบา ๆ เหมือนพูดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจ ก่อนจะปลดจุกไม้ไผ่ที่ปิดปากขวดออก แสงสีทองนวลสว่างไหววูบขึ้นเล็กน้อย หิ่งห้อยตัวนั้นพลันกระพือปีกออกจากขวดด้วยท่วงท่าสง่างาม มันบินวนรอบตัวหญิงสาวหนึ่งรอบ ก่อนจะหยุดลอยค้างอยู่เบื้องหน้า…ดวงตากลมโตของมันมีแววเข้าใจและรับรู้ราวกับสิ่งมีชีวิตชาญฉลาด


หลินหยาชำเลืองมองอย่างพินิจ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนนุ่มแฝงความจริงใจ “นำทางข้าไปหมู่บ้านน้ำค้างพรายทีนะ” หิ่งห้อยตัวนั้นสั่นปีกเบา ๆ ราวกับตอบรับ จากนั้นมันก็เปล่งแสงเจิดขึ้นอีกเล็กน้อย ก่อนจะเคลื่อนไหวเป็นทางโค้งนำหน้าไปในม่านหมอก


หลินหยาไม่รอช้า ก้าวตามไปทันที เส้นผมยาวสะบัดไหวตามแรงลมอ่อนที่พัดสวนทาง นางก้มมองเจ้าเซียนเฉ่าที่เดินเคียงข้าง พยักหน้าเบา ๆ ให้มัน “ถ้าเจ้าหลง ข้าก็หลงด้วย เข้าใจไหมเซียนเฉ่า?” เซียนเฉ่าหูตกก่อนจะสะบัดหัวเบา ๆ แล้วเดินเคียงข้างอย่างเชื่อมั่น


หญิงสาวย่างเท้าตามแสงของหิ่งห้อยไปในเส้นทางอันเลือนรางที่ไม่อาจเห็นปลายทาง ม่านหมอกเริ่มทึบลงเรื่อย ๆ กลบเสียงของธรรมชาติโดยรอบจนกลายเป็นความเงียบที่วังเวง…แต่ภายในดวงตาของนางยังคงเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นเพราะถึงแม้จะมีเพียงแสงเล็ก ๆ นำทางในความมืด...แต่ก็ยังดีกว่าไร้แสงเสียเลย


ในยามบ่ายคล้อยที่แสงอาทิตย์สาดลงมากระทบละอองหมอกบาง ๆ ริมต้นหญ้า กลางหุบเขาอันเงียบงัน ไร้เสียงฝูงนก ไร้เสียงลมพัด ทว่ามีเพียงเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังเดินตามหลังแสงสว่างของหิ่งห้อยเรืองรอง และร่างหมาน้อยที่วิ่งนำไปข้างหน้าเจื้อยแจ้ว หลินหยาขยับรั้งสาบเสื้อคลุมที่เริ่มเปียกชื้นไปด้วยละอองน้ำ แล้วหยีตาลงเพราะแสงที่สะท้อนกลับจากม่านหมอกสีเงิน มองเห็นภาพราง ๆ ของบางสิ่งเบื้องหน้า เป็นแสงสะท้อนเลือนรางของธารน้ำสายหนึ่งที่ไหลเอื่อยรินท่ามกลางซอกเขา...ข้างฝั่งธารนั้นมีเงาไม้เตี้ยราง ๆ กับเรือนหลังเล็กแทรกตัวอยู่ในหมอกจาง ๆ หลังแล้วหลังเล่า ไม่มีเสียงวุ่นวาย ไม่มีป้ายชื่อหมู่บ้าน ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าของผู้คน ทว่า...กลับให้ความรู้สึกเหมือนมีสายตานับสิบจับจ้องอยู่ในความเงียบ


ริมฝีปากของหลินหยาแย้มคลี่ยิ้มเล็กน้อย คล้ายจะรู้ทันกับความลี้ลับตรงหน้า เธอก้มมองเซียนเฉ่าที่เดินวนไปวนมาอยู่ข้างเท้าแล้วส่งเสียงหงิงเบา ๆ คล้ายรับรู้ว่าถึงแล้ว "ดูท่าจะเป็นที่นี่จริง ๆ แล้วล่ะ เซียนเฉ่า..." หญิงสาวกล่าวแผ่วเบา ดวงตากวาดมองไปทั่วรอบบริเวณด้วยความระแวดระวังแต่ไม่หวาดกลัว เบื้องหน้าตรงนั้นของพวกเขาคือ หมู่บ้านริมธารที่ตั้งซ่อนตัวอยู่ในหุบลึกของภูเขาบ้านเรือนเป็นไม้โบราณมุงด้วยหญ้าคา มีทางเดินไม้ที่ทอดเลียบธารน้ำ และสะพานเตี้ยเล็ก ๆ ที่ทอดผ่านฝั่งเหนือฝั่งใต้ ตัวหมู่บ้านโอบล้อมด้วยต้นหลิวโบราณที่ยืนต้นอย่างเงียบงันเหนือหมอก เหมือนเฝ้าดูโลกนี้มาเนิ่นนานกว่าผู้ใด


หมอกน้ำค้างบางเบาลอยคลุ้งตัดกับแสงแดดอ่อน ๆ จนเกิดเป็นเงาสะท้อนระยิบ คล้ายอัญมณีแห่งสายหมอก บรรยากาศนิ่งงันและเงียบสงบราวกับสถานที่นี้หลุดออกมาจากอีกภพหนึ่ง "หมู่บ้านน้ำค้างพราย..." หลินหยากระซิบออกมาแผ่วเบา ราวกับไม่อยากให้คำพูดของตนดังไปถึงวิญญาณที่อาจสิงสถิตอยู่ ดวงตาหวานนั้นฉายแววคาดเดาไม่ออก ไม่รู้ว่าระหว่างความตื่นเต้นหรือความระแวง...หรือทั้งสองอย่างในคราวเดียวกัน


มือข้างหนึ่งของหลินหยาลูบหัวเจ้าหิ่งห้อยที่บินวนกลับมารอบไหล่เธออีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ "ขอบคุณเจ้ามาก เจ้านำทางข้ามาได้จริง ๆ ด้วย เจ้าตัวเล็ก" หิ่งห้อยเปล่งแสงระยิบสว่างวูบหนึ่ง เหมือนตอบรับแล้วค่อย ๆ บินลอยหายไปในม่านหมอก ขณะนั้นเอง เสียงกระดิ่งลมที่ผูกอยู่กับหน้าต่างไม้หลังหนึ่งพลันกระทบกันเบา ๆ คล้ายต้อนรับแขกจากแดนไกลที่ไม่ได้พบพานมานานหลายปี... หลินหยาขยับปลายเท้า…ก่อนจะเริ่มก้าวเข้าไปสู่หมู่บ้านที่ซ่อนความลับเอาไว้นั้นอย่างเงียบงัน


หมอกขาวลอยกรุ่นปกคลุมเบื้องหน้าอย่างเนิ่นนาบ คล้ายม่านบาง ๆ ของอีกภพที่กำลังตวัดรอการเปิดเผย ทว่า...ไม่ทันที่หลินหยาจะได้ย่างเท้าเข้าสู่หมู่บ้านที่เงียบสงบราวภาพฝันนั้น สิ่งหนึ่งกลับโผล่ออกมายืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดัง “ตึง…ตึง…ตึง…” พร้อมกลิ่นควันไฟอ่อน ๆ และแรงอาฆาตบางเบาที่ระบายออกมากับลมหายใจ


เบื้องหน้าหลินหยา...ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น


เป็ดตัวมหึมาสูงระดับอกมนุษย์ แต่งกายด้วยชุดเกราะสำริดลายมังกร บนหัวมีหมวกเหล็กแหลมปลายแต่งพู่สีแดงสดสะบัดไหวตามลม ถือทวนยาวลายฟ้าคำรณ มือหนาเป็นพังผืดแต่แฝงพลังที่ไม่อาจดูแคลน ดวงตากลมดำฉายแววดุดันราวกับผ่านสงครามพันปีมาแล้วทั้งยังยืนนิ่งราวกับรูปสลัก "ข้า…นายกองทหารเป็ดที่สาม" เสียงของมันดังออกมาจากจะงอยปากเป็ดที่แน่นสนิท แต่กระหึ่มเข้าไปในห้วงสมองของผู้ฟังโดยไม่ผ่านลำคอ "ไม่มีผู้ใด…ไม่ว่าจะเทพ มาร หรือมนุษย์…จะก้าวผ่านข้ามประตูหมู่บ้านน้ำค้างพรายได้ หากยังไม่ข้ามข้าไป"


หลินหยาหยุดฝีเท้าอยู่แค่ไม่กี่ก้าวห่าง เธอเอียงคอ เหลือบตาขึ้นแล้วกรอกตาอย่างหนักหน่วงราวกับจะพลิกท้องฟ้า ก่อนจะพ่นลมหายใจออกอย่างเบื่อหน่าย “นี่มันวันอะไรของข้าวะเนี่ย…เดินทางเหนื่อยก็เหนื่อย จะมาเยือนหมู่บ้านที่คนแนะนำมาก็มีเป็ด…ใช่ เป็ด มายืนอ้างตนเป็นทหารแล้วยังจะมาขวางอีก” นางปรายตามองบนแล้วพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “หรือพลังดึงดูดปีศาจของข้า…มันจะเริ่มทำงานอีกแล้ว?”


เจ้าหมาเซียนเฉ่าข้างตัวหงอยคอต่ำ ไม่กล้าหอนแม้แต่นิดเดียว หิ่งห้อยที่เคยนำทางก็บินตีวงวน ๆ เหมือนจะรีบหนีกลับขึ้นฟ้า หลินหยาหยิบขลุ่ยออกมาจากแถบเอว แสงจากแหวนดาราจรัสแวบขึ้นเสี้ยววินาทีก่อนจะดับไป เธอมองเป็ดนั่นอย่างเย็นชา แล้วถามเสียงเรียบ "จะเอายังไง? ต้องให้ข้าเป่าขลุ่ยให้เจ้ารำ หรือจะให้ข้าเอาน้ำมันราดแล้วปิ้งกินกรอบ ๆ ?"


ปีศาจเป็ดยังคงยืนอย่างมั่นคง แม้จะไม่ขยับ แต่ปลายทวนของมันเริ่มสั่นเล็กน้อย “หากอยากผ่าน…จงข้ามศพข้าไปก่อน!”


"ฮึ..." หลินหยาหัวเราะหึในลำคอ ยักไหล่ “ดี! งั้นอย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าเตรียมพินัยกรรมไว้ล่ะกัน” สายตานางกะพริบฉับเดียว ขลุ่ยไม้หอมจู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นประกายสีเงินในมือ มืออีกข้างสะบัดแขนเสื้อปลิว ไล่ละอองหมอกรอบตัวสลายวูบ แรงกดดันจากสาวร่างบางพุ่งขึ้นราวกับคลื่นพายุกลางลำธาร! สายลมเงียบงันก่อนการปะทะฉับพลันและทหารเป็ด…แม้จะเป็นนักรบผู้มีหัวใจดุจเหล็กกล้า วิญญาณราวพายุ แต่หลินหยานั้น…คือพายุกลางฤดูหนาวที่ไม่ถามคำตอบใดก่อนตบหน้าเรียกสติ


ภายใต้ม่านหมอกสีเทาขาวที่ลอยคลุมแน่นราวกับผืนผ้าแห่งความลับในหุบเขา เสียงขลุ่ยไม้หอมของหลินหยาแปรเปลี่ยนเป็นเสียงฉีกลม เสียงกระทบโลหะดังก้องสะท้อนไปทั่วลำธาร และเสียงตะโกนร้องอ๊ากแตกพร่าของทหารเป็ดก็ดังกระหึ่มฟ้าราวกับเสียงแห่งศึกที่กึกก้องในสงครามโบราณ


หลินหยาตวัดขลุ่ยในมืออย่างรวดเร็ว ใช้มันฟาดสะบัดราวแส้พิรุณอัสนี แม้ขลุ่ยจะเป็นเครื่องเป่า แต่ในมือของหญิงสาวกลับเป็นอาวุธอันเฉียบคมยิ่งกว่าคมดาบ ท่ามกลางแรงปะทะและเสียงหอบหายใจของแม่ทัพเป็ด เธอกระโดดพริบตาเดียวขึ้นมายืนบนทวนของมันอย่างเบาโหยง ท่าทางไม่ต่างจากการยืนบนขอนไม้ในสระบัวแล้วเหยียบบัวไม่จม "อย่ามาทำเป็นแน่ทั้งที่เป็นแค่เป็ด!!" เธอตะโกนใส่หน้าเป็ดอย่างเหลืออด พลางฟาดสันขลุ่ยลงตรงกระหม่อมเป็ดด้วยเสียงดัง ป๊าบ! เสียงนั้นดังก้องราวกับตีหม้อ


ทหารเป็ดไม่ยอมง่าย ๆ มันตวัดทวนขึ้นมาปัดแรงโจมตีของหลินหยาแล้วพลิกตัวใช้จะงอยปากงับหวังจะกระชากแขนเธอให้ล้ม เธอกระตุกข้อมือเบี่ยงตัวหลบแล้วฟาดขากลางลำตัวเป็ดอย่างไร้เยื่อใย เสียง "อ๊าก!" ของมันดังลั่นอีกครั้งตามมาด้วยเสียงเหล็กกระแทกพื้นดังสนั่น


เซียนเฉ่าที่นั่งอยู่บนโขดหินข้างสะพานหาวแล้วเลียขาตัวเองอย่างหมาหรูที่ไร้ความรับผิดชอบต่อสถานการณ์ มันส่งสายตาว่างเปล่าไปยังสนามรบแล้วบ่นอุบกับตัวเอง "คุณหนูหลิน…ท่านนี่ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง"


ฝุ่นควันฟุ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เงาของหลินหยาจะย่างก้าวออกมาจากม่านหมอก ขลุ่ยในมือนางมีคราบเลือดไหลริน...ไม่รู้ของใคร และใบหน้าสาวดูเย็นชาหลังการสังหาร เหมือนคนที่ไม่ได้หิวข้าว แต่หิวชัยชนะ ทหารเป็ดนอนแน่นิ่งอยู่กลางพื้น ตัวเปรอะเปื้อนเลือด ปีกหัก ดวงตากลมดำพร่ามัว ปากสั่นระริก แต่ยังร้องขอความเมตตาเสียงแผ่วทั้งที่กำลังจะขาดใจ…


“…เจ้ามันบ้าระห่ำ…”


หลินหยาก้มลงไปมองมันด้วยใบหน้าที่ไร้รอยยิ้ม ก่อนจะยักไหล่ "หึ อยากเป็นเป็ดย่างเองนะ ใครบอกให้ยืนขวางข้ากันล่ะ?" หลังจากพูดจบมันก็สู่ขิตในวันที่ดือเสียแล้ว เธอก้มลงเก็บขนมาหนึ่งกระจุก แล้วก็จัดการชำแหละเนื้อเป็ดด้วย หยิบเข้าแหวนดาราจรัสเรียบร้อย แล้วพ่นลมหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย “ซวยตั้งแต่เช้ายันเย็นอีกละ…วันนี้ข้าจะได้กินข้าวมั้ยวะเนี่ย” ว่าแล้วนางก็เดินกลับไปหาเซียนเฉ่าที่นอนเลียอุ้งเท้าเหมือนแมว แล้วเตะเบา ๆ เข้าให้ “ตื่นได้ละ ไปต่อ” เจ้าหมาน้อยสะดุ้ง ก่อนจะลุกเดินตามนางเหมือนราชสุนัขจอมเย่อหยิ่งที่ไม่ยอมให้ใครเห็นว่าเมื่อครู่ตัวเองนอนหลับน้ำลายไหล หมอกยังหนาแน่น แสงจากหิ่งห้อยนำทางค่อย ๆ ลอยออกไปข้างหน้าอีกครั้ง...หมู่บ้านน้ำค้างพรายกำลังรออยู่ตรงหน้า


ลมเย็นเฉื่อยเฉื่อยพัดลอดม่านหมอกผ่านใบหลิวที่ไหวระริกจนเกิดเสียงแผ่วเหมือนกระซิบจากอดีตกาล หลินหยาย่างเท้าก้าวแรกเข้าเขตหมู่บ้านในหุบลึก สายตาคมหวานแต่เย็นชามองไปรอบ ๆ อย่างระวัง เธอหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าสะพานไม้ที่นำสู่บ้านหลังแรก ลมหายใจที่เป่าผ่านริมฝีปากแดงระเรื่อนั้นสั่นไหวเล็กน้อยไม่ใช่เพราะกลัว หากแต่เพราะที่นี่...เงียบจนเกินไป บ้านเรือนทำจากไม้เก่าและดินเหนียวเรียงตัวประปรายในแนวลาดของหุบเขา มีสวนเล็ก ๆ และบ่อน้ำกลางหมู่บ้านที่สะท้อนเงาฟ้าอย่างนิ่งงัน ไม่มีเสียงเด็กเล่น ไม่มีเสียงแม่ค้า ไม่มีควันจากเตาไฟ ราวกับทั้งหมู่บ้านถูกแช่แข็งไว้ในห้วงเวลา และในวินาทีนั้น เสียงฝีเท้าก็ปรากฏจากเบื้องหน้า เป็นชายหญิงร่างผอมสองสามคนในเสื้อผ้าสีจืดซีด สายตาพวกเขามืดหม่นและเปื้อนความระแวดระวัง พอเห็นหลินหยาพร้อมกับเจ้าหมาเซียนเฉ่าตัวน้อยเดินเข้ามา ท่าทางพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที


"แม่นางมาทำไมที่นี่?" ชายคนหนึ่งถาม น้ำเสียงแข็งอย่างไม่ต้อนรับ ดวงตาจ้องจับผิด


หลินหยาขมวดคิ้วแน่น เธอไม่ได้แสดงอารมณ์ใดนอกจากความสงบเยือกเย็นที่คล้ายจะเยาะเย้ยความวุ่นวายของโลก "สวัสดีเจ้าค่ะ ข้ามาที่นี่ตามคำบอกของสตรีนามว่าลั่วซานเจ้าค่ะ" เสียงนางราบเรียบ ทว่าแววตากลับเร้นความเข้มแข็งไม่แปรเปลี่ยน ทันทีที่นามนั้นเอื้อนเอ่ยออกมา สีหน้าท่าทางของคนเหล่านั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดวงตากลมโตเบิกโพลง ใบหน้าสงสัยหนักกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ หนึ่งในหญิงชราเฒ่าผิวเหี่ยวย่นที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้านใกล้ ๆ ถึงกับมือไม้สั่น ปากพึมพำเบา ๆ ว่า 


“ชื่อของนาง...ไม่ได้ถูกเอ่ยมานานนักแล้ว” ผู้เฒ่าอีกคนที่มีผมสีขาวหมดทั้งศีรษะเดินเข้ามาช้า ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นอย่างช้า ๆ เหมือนจะห้ามคนอื่นไม่ให้พูดต่อ จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างแผ่วเบา “ตามข้ามาสิแม่นาง...หากเจ้าคือคนที่นางบอกให้มาที่นี่จริง ก็คงจะต้องเห็นด้วยตาตนเองเสียก่อน”


หลินหยาไม่พูดอะไรอีก นางเพียงพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินตามไปอย่างสงบ แม้ข้างในใจจะเต้นด้วยความตื่นเต้นแผ่ว ๆ ก็ตาม เซียนเฉ่าวิ่งไปข้างหน้ากระดิกหาง เหมือนจะลืมความหรูหราและความงอแงของตนไปชั่วคราว


ทางเดินที่คนเฒ่าพานางไปนั้นไม่ใช่ทางหลักของหมู่บ้าน แต่เป็นทางเดินแคบที่เลี้ยวเลาะขึ้นไปยังเชิงเขา ลัดเลาะผ่านแมกไม้และต้นไม้ที่มีหยดน้ำเกาะเหมือนหยาดค้างค่ำ พวกเขาพาไปยังเนินเขาด้านหลังหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานของหมู่บ้าน สุสานนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่หรูหราหากแต่เงียบสงบและลึกลับ หลุมฝังศพเรียงรายเป็นแนวยาว พุ่มไม้และดอกไม้ป่าเติบโตท่ามกลางหลุมเหล่านั้น เสียงลมหวิวพัดผ่านทำให้ป้ายไม้เล็ก ๆ ที่ปักชื่อสั่นไหวคล้ายจะกระซิบอะไรสักอย่างในหูของหลินหยา “นั่นคือหลุมศพของนางลั่วซาน” ผู้เฒ่ากล่าวเบา ๆ แล้วชี้ไปที่หลุมหนึ่งที่ตั้งอยู่แยกจากหลุมอื่นเล็กน้อย ถูกโอบล้อมด้วยพุ่มดอกไม้สีฟ้าอ่อนที่เบ่งบานท่ามกลางความหนาวเย็น


หลินหยาเดินเข้าไปใกล้ เธอมองชื่อที่ถูกจารึกไว้บนป้ายไม้เก่า ก่อนจะยืนนิ่งอยู่นาน พลางสูดลมหายใจเข้าอย่างช้า ๆ แล้วพึมพำในใจ "ท่านมีเรื่องอะไรที่อยากให้ข้ารู้กันแน่เจ้าคะ พระสนมลั่วซาน" ...บรรยากาศสงบเงียบลงชั่วขณะ มีเพียงเสียงสายลมและใบไม้ที่ไหวกระซิบ กับเงาหญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่หน้าแผ่นป้ายไม้เล็ก ๆ ท่ามกลางหมอกยามสายของหมู่บ้านน้ำค้างพราย…


ผู้เฒ่าผู้พามาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย คล้ายเจ้าของเสียงก็แก่ไปตามกาลเวลาและความลับของหมู่บ้านที่ไม่เคยพูดออกจากริมฝีปากใครมานานแสนนาน "หากแม่นางเป็นคนรู้จักนาง...ก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ นางจากไปนานแล้ว" เขากล่าวจบแล้วหลีกทางอย่างสุภาพ ก่อนจะค่อย ๆ ถอยร่นไปยืนห่างออกไปใต้ร่มไม้ ทิ้งให้หลินหยายืนอยู่เพียงลำพังตรงหน้าหลุมศพที่ถูกวางตัวอย่างเงียบงันบนยอดหญ้าชื้นน้ำค้าง


ลมหายใจของหลินหยาแผ่วเบา เธอยืนนิ่งมองแผ่นป้ายไม้นั้นอย่างเงียบงันชั่วครู่ ขนตายาวสะท้อนแสงเช้าแนบชิดเปลือกตา ก่อนที่เจ้าหญิงแห่งหุบเขาจะทิ้งตัวลงนั่งยองข้างหลุมศพอย่างเงียบ ๆ ชายแขนเสื้อสะอาดปัดหญ้าเบา ๆ ข้างแผ่นป้ายที่เริ่มโรยกร่อนด้วยกาลเวลา เจ้าหมาเซียนเฉ่าก็นั่งเคียงข้างอย่างสงบ แปลกประหลาดนักที่คราวนี้มันไม่ส่งเสียง ไม่งอแง ไม่บ่น ไม่เห่า ราวกับสัมผัสได้ถึงความอึดอัดเงียบงันระหว่างความตายและความทรงจำที่กำลังแล่นเข้ามาในแววตาของหลินหยา


แผ่นป้ายนั้นไม่ได้หรูหราเป็นเพียงไม้เก่าที่ยังคงกลิ่นดินชื้น แต่สิ่งที่สลักไว้กลับแปลกตา มีอักษรเล็ก ๆ ตัวหวัดแน่นหนาเต็มแทบทั้งป้าย ราวกับใครบางคนพยายามระบายความอัดอั้นไว้จนล้นหลาม


―――――

...ข้า...ผู้มีนามว่า “ลั่วซาน” สนมผู้ไร้ผู้จดจำ ผู้ไม่แม้แต่จะได้หลับใหลใต้เงาของผู้เป็นใหญ่…เพียงหวังให้ใครสักคนอ่านคำของข้าในภพหน้า


ข้าเคยหัวเราะในวันที่เห็นเด็กชายคนนั้นร้องไห้

ข้าเคยยืนดูเขาคลานเข่ากวาดพื้นห้องเย็นเฉียบด้วยมือเปล่าจนเล็บถลอก

ข้าเคยสั่งให้เขาไปเก็บกลีบโบตั๋นในคืนที่ฝนตก เพื่อแลกกับขนมปังแผ่นเล็ก ๆ

ข้าเคยข่มขืนศักดิ์ศรีเขา ด้วยคำเยาะเย้ยสั้น ๆ เพียงเพราะข้า...อยากให้ใครสักคนย่ำยีแทนที่ฝ่าบาทไม่มองข้าอีกต่อไป


ข้าไม่เคยรู้สึกผิดในตอนนั้น


ข้าคิดเพียงว่าการทรมานผู้อื่น คือหนทางเดียวที่จะเตือนว่า “ข้ายังมีอำนาจ”

แต่ในคืนสุดท้าย...ข้าฝันเห็นเขามองข้าด้วยแววตาไม่กลัวและไม่เจ็บ เป็นเพียงความว่างเปล่าที่ลึกจนข้าตกใจ ว่ามันจะบั่นคอข้าได้จนขาดสะบั่น


และข้าก็ไม่ตื่นอีกเลย


ข้าทิ้งร่างไว้ ณ หมู่บ้านแห่งนี้ ให้ร่องรอยความผิดยังฝังแน่นอยู่ในเนื้อดิน ให้ดอกไม้ที่ขึ้นบนนั้น...ดูดซับน้ำตาของเด็กคนนั้นแทนข้า …หากมีใครได้อ่านสิ่งนี้ ขอจงจดจำไว้ ว่าผู้คนที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเจ้า...บางทีก็เคยเป็นเพียงแค่คนที่ไม่มีใครรัก

―――――


หลินหยานิ่งฟังความเงียบของลมที่ไหลผ่าน เหมือนเสียงคำสารภาพเหล่านั้นกำลังสะท้อนอยู่ในอากาศรอบตัว ขนตาของเธอสั่นไหวก่อนเปลือกตาจะปิดลงอีกครั้ง ลมหายใจที่ถูกพ่นออกมาเบา ๆ นั้นไม่ได้แฝงความรังเกียจหรือโทสะ มีเพียงความรู้สึกที่ไม่สามารถนิยามได้ว่าเห็นใจหรือไม่ เธอยกมือแตะปลายป้ายสุสานเบา ๆ ด้วยปลายนิ้วเรียวยาว ก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบา


"สุดท้ายท่านก็ยอมรับเองว่าตนเองทำเขาเจ็บปวดมากแค่ไหน..."


แววตาหลินหยาเศร้าเล็กน้อยปนระคนโกรธระคนเวทนา แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ลมเย็นพัดชายเสื้อของเธอแผ่วพลิ้ว เจ้าหมาเซียนเฉ่าหันไปมองก่อนจะเดินตามเงาของหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังหันหลังให้หลุมศพผู้สารภาพบาป และเดินกลับไปสู่หมอกเบื้องหน้าโดยไม่หันกลับมาอีกเลย


ผู้เฒ่าเงียบงันราวกับยืนรอจังหวะ เขาเดินเข้าหาหลินหยาช้า ๆ เมื่อเห็นนางถอยเท้าออกจากหลุมศพ ไม่กล่าวอะไรสักคำถึงสีหน้าของนาง หรือความอัดแน่นในดวงตาคู่นั้น เพียงแค่ก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงแหบพร่าตามวัย “หากแม่นางเคารพเสร็จแล้ว...ข้าจะพาเจ้าไปที่อยู่สุดท้ายของนาง” หลินหยาไม่ตอบอะไร เธอพยักหน้านิดหนึ่งแทนคำพูด ดวงตายังคงวาววับคล้ายยังครุ่นคิดบางสิ่ง ท่ามกลางลมหายใจของหมอกที่ค่อย ๆ คลี่คลุมบริเวณรอบสุสานอย่างเชื่องช้า


ผู้เฒ่าพาเดินลัดเลาะไปตามทางแคบ ๆ ข้างสุสาน ด้านหนึ่งเป็นแนวพุ่มไม้เตี้ยชื้นน้ำ ส่วนอีกด้านทอดลงสู่ธารเล็กเบื้องล่าง มีเสียงน้ำไหลเอื่อยดังระลอกเบา หญิงสาวก้าวตามโดยมีเจ้าหมาเซียนเฉ่าตัวน้อยกระดิกหางตามมาติด ๆ มันไม่ได้ส่งเสียง ไม่เห่า ไม่ทำท่าเล่นซน เพียงแต่เดินแนบขานางนิ่ง ๆ อย่างเข้าใจโดยสัญชาตญาณว่าตอนนี้ควรเงียบ กระท่อมหลังนั้นโผล่พ้นพุ่มไม้ขึ้นมาอย่างเงียบงัน ตั้งอยู่ริมเชิงเขาใต้ต้นไม้สูงใหญ่ หน้าต่างที่มีไม้ระแนงลู่ลมอยู่ครึ่งหนึ่ง พื้นฝาเริ่มเปื่อยผุด้วยอายุขัยที่นานหลายสิบปี ประตูไม้บานเล็กแง้มอยู่เล็กน้อยคล้ายรอใครสักคนกลับมา แม้ไม่มีใครกลับมานานนักแล้ว


หลินหยาหยุดยืนอยู่หน้าประตู สายตากวาดมองทั่วบริเวณอย่างแผ่วเบา ก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าสู่ภายในตัวกระท่อมที่มืดสลัวด้วยแสงธรรมชาติจากช่องเล็ก ๆ ระหว่างผนังไม้ ภายในมีเพียงเสื่อฟางที่ยังหลงเหลือ เคียงกับตู้ไม้เตี้ยและกล่องเครื่องหอมที่ถูกปิดทับด้วยฝุ่นหนา เตียงไม้ที่เคยประดับด้วยม่านลูกไม้สีซีดจนเหลือเพียงเงาจาง ๆ ของความหรูหราในอดีต บนผนังมีพัดขนนกแขวนอยู่หนึ่งอัน แบบที่ในวังเคยใช้กันในหมู่สนมฝ่ายใน หลินหยาเดินสำรวจอย่างเงียบ ๆ แววตาไม่กล่าวหา ไม่ประนาม แต่ก็ไม่ได้เต็มไปด้วยเมตตา


เธอรู้ดี...ที่แห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของหญิงผู้หนึ่ง ผู้เคยมีอำนาจเหนือชีวิตใครบางคนและผู้ที่ต้องมาตายลงอย่างโดดเดี่ยวในหมู่บ้านลับตาเช่นนี้ กลิ่นเก่าของไม้เปื่อยปะปนกับกลิ่นน้ำค้าง เธอสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออกช้า ๆ ก่อนเอ่ยเบา ๆ ไม่แน่ใจว่าให้ตัวเองหรือผู้เฝ้ามองอยู่ในที่ไกลแสนไกล “แม้แต่กระท่อมยังดูเศร้าเลยนะเจ้าคะ...พระสนมลั่วซาน” เธอก้มลงลูบขนน้องหมาที่นั่งเฝ้าเงียบ ๆ ข้างตัว


ข้างในกระท่อมที่เงียบงันจนแม้แต่เสียงลมที่ลอดผ่านช่องไม้ยังดังฟังชัด หลินหยายืนอยู่เพียงลำพังกลางแสงจางของยามเย็นที่เล็ดรอดเข้ามาผ่านช่องไม้แคบ ๆ เสมือนม่านฝุ่นแห่งอดีตกำลังห่มคลุมรอบกาย "นางเคยอยู่แค่ที่นี่แหละ ตามสบายนะแม่นางข้าขอตัวก่อน" เสียงฝีเท้าของผู้เฒ่าที่พานางมาดับลงไปแล้ว เหลือเพียงร่างของหญิงสาวและเจ้าหมาตัวน้อยที่ยืนฟังเงียบ ๆ ข้างเท้า


หลินหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ความรู้สึกบางอย่างพลุ่งพล่านขึ้นในอกคล้ายลมหายใจที่ถูกสะกิดให้เร่งจังหวะโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ เธอเริ่มเดินสำรวจช้า ๆ ปลายนิ้วไล้ไปตามฝาไม้เก่าผุ ลากผ่านร่องรอยความทรงจำเก่าเก็บจนไปหยุดตรงมุมหนึ่งของกระท่อม...ซอกมืดใต้ตู้เครื่องหอมที่ฝุ่นจับจนกลายเป็นชั้นหนา เซียนเฉ่าหยุดเลียขนทันทีที่นางก้มลง ดวงตาเจ้าหมาเบิกกว้างจดจ้องพร้อมกับเงี่ยหูฟัง


หลินหยาค่อย ๆ เอื้อมมือล้วงเข้าไปในซอกนั้น ลมหายใจแผ่วเบากระเพื่อม พอปลายนิ้วสัมผัสอะไรบางอย่าง เป็นกล่องไม้ขนาดพอดีฝ่ามือหุ้มด้วยผ้าสีเทาที่ซีดจางเหมือนผ่านกาลเวลามานับสิบปี เมื่อเปิดกล่องออก บันทึกเล่มบางก็ปรากฏต่อสายตา กระดาษในเล่มเหลืองกรอบ แต่ลายมือยังคงชัดเจนเป็นระเบียบ เธอรู้ทันทีว่าไม่ใช่ลายมือของหญิงชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นลายมือที่เคยถูกฝึกมาอย่างดีในวังหลวง หลินหยาเปิดหน้าแรก ดวงตาเรียวยาวกวาดอ่านถ้อยคำอย่างแผ่วเบา  แววตาเคลื่อนไหวช้า ๆ ทีละวรรค


‘วันที่...ข้าไม่อาจจำได้ ข้าหลงลืมวันเวลาไปหมดแล้ว นับแต่ข้าออกจากวัง ข้าเคยคิดว่าชีวิตที่ได้เป็นพระสนมคือยอดปรารถนาแห่งสตรี แต่ไม่เลย...ข้ารู้สึกว่างเปล่า และในค่ำคืนนั้น...ข้าได้พบเขา’


หลินหยาขมวดคิ้วทันทีที่อ่านถึงบรรทัดนั้น ดวงตาเริ่มขยับเร็วขึ้น แววตาเปลี่ยนจากสงบเป็นระวัง สงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก


‘เขาไม่ใช่มนุษย์ แม้จะปรากฏกายเหมือนหนึ่งในพวกเรา เขามีเส้นผมสีเงินสง่า ยาวสลวยราวเส้นไหม ผิวกายขาวดุจหิมะ ดวงเนตรนั้น...เจิดจ้าดั่งแสงสุริยะ หากเขาไม่ใช่เทพ ข้าก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร’


หลินหยาเม้มริมฝีปากแน่น หน้าอกขยับเบา ๆ พร้อมกับความร้อนวูบหนึ่งแล่นผ่านต้นคอเธอ


‘ก่อนหน้านั้นเขาก็แสดงให้ข้าเห็นว่าในโลกนี้ยังมีพลังอื่นที่ข้าเอื้อมถึง แต่ก่อนข้าเป็นสนมตัวเล็กแต่ก็...เปลี่ยน ข้ากลายเป็นคนที่กล้าทรมานใครบางคน แม้ในใจข้าจะรู้ดีว่ามันผิด แต่ข้าไม่อาจหยุดได้ เขาบอกว่าสิ่งนี้มันคือการล้างบาปของข้า การระบายอารมณ์คือความเป็นอิสระและได้ใช้อำนาจในสายตาของข้า’


หลินหยาหยุดอ่านตรงนั้น ลมหายใจเธอสะท้านวูบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เจ้าหมาเซียนเฉ่าค่อย ๆ โผล่หัวเข้ามาใกล้เอาคางพาดตักเธออย่างปลอบใจ หญิงสาวหลุบตาลง ดวงหน้าแน่นิ่ง มือกำขอบบันทึกแน่นขึ้นทีละน้อย


‘ไม่ใช่แค่ข้า...เด็กคนนั้นที่ข้าทำร้าย ข้าคิดว่าเขาก็อาจ...เคยเจอผู้ชายคนนั้นเช่นกัน’


บันทึกเล่มนี้อาจไม่ใช่แค่คำสารภาพของหญิงคนหนึ่ง...แต่มันกำลังพานางไปยังเบื้องหลังบางอย่าง ที่ทั้งจางกงกง...และเธอเอง อาจมีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่าที่คิด ภายในห้องเงียบงันของกระท่อมไม้ผุพัง เสียงกระดาษถูกพลิกเบา ๆ ดังแทรกไปในบรรยากาศที่อวลกลิ่นฝุ่นเก่า ราวกับเสียงของอดีตที่ยังหายใจ หลินหยาไม่รู้ตัวเลยว่าตนเผลอกำลังกัดริมฝีปากแน่นตั้งแต่เมื่อใด…เธอกำลังอ่านต่อไป โดยไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของตนเอง บรรทัดต่อมาของบันทึก…อักษรบรรจงเรียงไว้อย่างละเมียดละไม สีหมึกจางลงไปบ้างด้วยกาลเวลา แต่แต่ละคำยังคงเฉียบคมบาดใจยิ่งกว่าเข็ม


‘คืนหนึ่งในวังหลัง เขามาอีกแล้ว ท่านเทพองค์นั้นผู้มีเส้นผมสีเงินราวสายฟ้าในราตรี ดั่งดวงอาทิตย์ท่ามกลางม่านหมอก เขาไม่เคยบอกชื่อข้า แต่ข้ารู้…เขาไม่ใช่เทพแห่งความเมตตา แต่เป็นเทพแห่งชะตา เขาบอกว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีเงา และเด็กคนนั้น…จางกงกง…คือเงาที่ทุกคนทิ้งไว้เบื้องหลัง’


หลินหยาเบิกตาเล็กน้อยขณะนิ้วชี้แตะริมบันทึก เสียงในหัวเธอแว่วกังวานคล้ายจะได้ยินสุ้มเสียงของสนมผู้นั้นเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเวทนาและความละอาย


‘ข้าจำไม่ได้แล้วว่าหัวเราะเยาะเขาครั้งแรกตอนไหน บางที…อาจเป็นตอนที่ข้าเห็นเขาคลานลุกจากพื้นด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น บางที…อาจเป็นวันที่ข้าสั่งให้เขาไปล้างเลือดสุนัขด้วยมือเปล่า ข้าคิดว่ามันตลก น่าขัน ข้าคิดว่า…นั้นมันก็แค่เด็กผู้ชายที่ต่ำต้อย แต่เทพองค์นั้นบอกข้าว่า …จางกงกง ไม่เคยได้รับแม้แต่ความรักจากพ่อแท้ ๆ ไม่เคยได้ยินคำชมจากใครสักคน เขาโตมาในความเยียบเย็นยิ่งกว่าห้องพระโอสถในฤดูเหมันต์ โตมาด้วยคำดูถูกที่ตอกลึกจนกลายเป็นเนื้อเดียวกับเลือด’


บรรยากาศรอบตัวหลินหยาราวกับหยุดหมุน ทุกคำที่ปรากฏต่อสายตานางเหมือนบีบคั้นกล้ามเนื้อในอกให้สั่นระริก


‘ข้าเคยถามเขาเล่น ๆ ว่า ‘เจ้าคิดว่าจะมีคนรักหรือไง’ เขาไม่ตอบ เพียงแต่ยิ้มบาง ๆ และหันหลังให้ ข้ารู้สึกแปลกใจ แต่ไม่ได้ใส่ใจนักในตอนนั้น ท่านเทพกล่าวว่า เด็กคนนั้น...เขาเพียงต้องการ มือที่เอื้อมมาแตะไหล่เขาอย่างอ่อนโยน เพียงต้องการ แววตาใครสักคนที่ไม่มองเขาด้วยความรังเกียจหรือหวาดกลัว อยู่เคียงกายเขา เพียงต้องการให้ใครสักคน…บอกเขาว่า เจ้ามีค่า เจ้าเป็นมนุษย์ เจ้ามีหัวใจ จากคนที่รักเขารักจริง ๆ โดยไม่มีเงื่อนไข’


หลินหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ความร้อนวูบหนึ่งไหลซึมขึ้นในตาโดยไม่รู้ตัว นางกัดฟันแน่น ข่มใจไม่ให้น้ำใสไหลลงมา


‘ข้าอยากขอโทษเขา แต่ในวันที่ข้ารู้ตัว…ข้าก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดมันอีกแล้ว เพราะเขากลายเป็นคนที่ข้าไม่รู้จักอีกต่อไป เขากลายเป็นอสูร เป็นปีศาจร้ายลึกน่ากลัว โหดเหี้ยมอำมหิต และข้าคือหนึ่งในผู้ที่สร้างอสูรตนนั้นขึ้นมา’


หลินหยาหลุบตาลง ลมหายใจขาดช่วง เธอกอดบันทึกเล่มนั้นแนบอกไว้แน่น ความเจ็บแสบที่ไม่อาจเอ่ยออกมาทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจอย่างช้า ๆ นางหลงรักเขา คนที่สวมหน้ากากมายาหลอกนางแต่เขาก็หลอกทุกคน รวมถึง…ตัวของเขาเองด้วย “ท่าน…ต้องการแค่ใครสักคนที่รักท่านจริง ๆ งั้นเหรอ…” นางพึมพำเบา ๆ ในน้ำเสียงแหบพร่า หากนั่นคือเรื่องจริง นางก็ไม่รู้เลย…ว่าใจของตนควรทำเช่นไรอีกแล้ว…หากต้องการความรักถึงเพียงนั้น แล้วทำไมถึงต้องทำเรื่องโหดร้ายกับนางถึงเพียงนั้นกันนะ…


อาา…ใช่แล้ว เพราะเขาไม่รู้จักความรักอย่างไรล่ะ เพราะว่าจากงกงตั้งแต่เกิดมาก็คงไม่เคยได้รับมันจริง ๆ ด้วยซ้ำไป


กระแสลมหอบเอากลิ่นฝนเก่าจางจางจากผืนป่าที่ล้อมรอบหุบเขา ราวกับบอกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ล้วนถูกฝังไว้ใต้ดินลึกแห่งความทรงจำ หลินหยายืนนิ่งอยู่หน้ากองเอกสารที่เธอเพิ่งเปิด ลายมือโบราณบนกระดาษสีขาวซีดแต้มคราบน้ำตาเล็ก ๆ จางอยู่มุมแผ่นกระดาษ บันทึกของสตรีนามลั่วซานถูกวางอยู่บนโต๊ะไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่นผงและรอยกัดแทะของแมลง หญิงสาวค่อย ๆ ยกมันขึ้นแนบอกอย่างแผ่วเบา เธอไม่รู้ว่าความร้อนที่เอ่อคลอขึ้นในดวงตาของตนคือเพราะอะไร แต่มันล้นแน่นและอึดอัดจนเธอแทบกลั้นหายใจ


เสียงของลั่วซานยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอประโยคหนึ่งที่กล่าวไว้ในบันทึกยังฝังแน่นอยู่ในใจ


‘เด็กคนนั้นเพียงต้องการการเอาใจใส่ ความอบอุ่นจากคนรัก’


เพียงเท่านั้น หัวใจของหลินหยาก็ไหวสะเทือนรุนแรง เธอจำไม่ได้แล้วว่าตนเองหลงรักผู้ชายคนนั้นตั้งแต่เมื่อใด อาจเป็นเพราะเขาหล่อเหลา อาจเป็นเพราะเขาปกป้องเธอจากสิ่งที่เธอไม่ทันตั้งตัว อาจเป็นเพราะเขาปลอมตัวแล้วใช้ท่าทีของความสุภาพเอาใจใส่ของท่านชายห่าวหมิงมาหลอกเธอ หรือบางที... อาจเพราะเขาเป็นคนเดียวที่มองเห็นความเศร้าที่เธอซ่อนไว้ลึกที่สุดโดยไม่พูดอะไรสักคำ


แต่ความจริงคือเขาหลอกเธอ เขาสวมหน้ากากมาโดยตลอด และตอนนี้...แม้หน้ากากนั้นจะร่วงหล่น เธอก็ยังไม่อาจห้ามใจตัวเองไม่ให้หวั่นไหวกับเงาที่เห็นอยู่เบื้องหลัง


“ท่านไม่ได้ต้องการอำนาจขนาดนั้น...ท่านแค่ไม่อยากถูกเหยียบย่ำอีกใช่ไหม…เพราะหากท่านมีอำนาจก็จะไม่มีใครทำอะไรท่านได้สินะ ความแค้นของท่านมันฝังรากลึกลงไปในดวงใจท่านแล้วสินะ...จางกงกง” เสียงเธอสั่นเครือขณะพูดออกมาเบา ๆ ดั่งกระซิบให้ฟังเพียงตัวเอง ดวงตาของหลินหยาเบนมองออกไปทางหน้าต่างของกระท่อมที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์ เธอเห็นภาพลางเลือนของเด็กชายผู้หนึ่งในชุดขาดวิ่น นั่งกอดเข่าอยู่มุมห้อง ร่างผอมแห้ง ผมเผ้ารุงรังเต็มไปด้วยรอยช้ำตามแขนขาหลังจากถูกทรมาร และแววตานั้น...แววตาที่ไม่มีความคาดหวังหลงเหลืออีกแล้วในโลกใบนี้


ภาพหลอกหลอนนั้นหายวับไปในพริบตา แต่ทิ้งไว้ซึ่งร่องรอยบางอย่างในใจเธอ หลินหยาเม้มริมฝีปากแน่น ข่มความรู้สึกขื่นขมที่อัดแน่นอยู่ในอกจนหัวใจหน่วงหนักราวกับจมอยู่ใต้น้ำ


เธอหันไปมองข้างตัวเจ้าหมาเซียนเฉ่านั่งนิ่งเงียบ ดวงตาของมันทอดมองเธออย่างเข้าใจ แม้จะไม่ได้เอ่ยคำใด แต่เพียงสายตานั้นก็เหมือนกำลังบอกว่า คุณหนูหลินเริ่มเข้าใจเขาแล้วใช่ไหมขอรับ


บางที...นางอาจจะไม่ได้เดินทางมาเพื่อรู้ความจริงของลั่วซานเพียงอย่างเดียว

บางที...นี่อาจเป็นการเดินทางที่พาเธอมองเห็น 'เขา' อีกครั้งในมุมที่มนุษย์คนหนึ่งควรถูกเข้าใจ

และบางที...นางอาจจะไม่อภัยเขา

แต่บางทีนางอาจจะยอม รักเขา ต่อ

แม้จะรู้ว่ามันโง่

แม้จะรู้ว่ามันอันตราย

แม้จะรู้ว่ามันไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้วก็ตาม


หลินหยาพบอีกหน้าแผ่นกระดาษบางที่เต็มไปด้วยลายมือหวัดที่แสดงออกถึงความรีบร้อนของผู้เขียนถูกคลี่ออกช้า ๆ ท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายที่ลอดผ่านร่องหลังคากระท่อมอันทรุดโทรม หลินหยาเลือกนั่งลงตรงแคร่ไม้ที่มีเสื่อเก่าขาด ๆ วางอยู่ หญิงสาววางบันทึกลงบนตัก ลูบมืออย่างเบามือราวกับกลัวว่ากระดาษนั้นจะแตกสลายได้ในพริบตา ก่อนสายตาจะไล่อ่านตัวอักษรด้วยหัวใจที่เริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อย ๆ


‘…แม้ไท่จื่อจะดีกับเขา ดีกว่าทุกคนในวังหลวงที่พร้อมเฉือนศักดิ์ศรีของขันทีอย่างเขาให้เหลือเพียงเศษเสี้ยว แต่นั่นกลับทำให้เขาเข้าใจได้ว่า เหตุผลที่พระองค์ดีกับเขา ก็เพียงเพราะต้องการ 'มีด' มีดที่เชื่องพอจะฟาดฟันสัตว์เดรัจฉานตามคำสั่ง มีดที่ไม่มีเสียงร้องไห้ มีดที่ไม่มีหัวใจ พระองค์ต้องการมีดล่าสัตว์เดรัชฉานที่ไม่ต้องถึงขั้นใช้มีดฆ่าโคถึก’


ตัวหนังสือในบันทึกนั้นเริ่มบิดเบี้ยวเมื่อหยาดน้ำอุ่นไหลซึมออกจากดวงตาของหลินหยาโดยไม่ทันรู้ตัว หญิงสาวกะพริบตาถี่ พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไม่ใช่เพราะอ่อนแอแต่เพราะหัวใจเธอมันเจ็บร้าวเสียจนแทบระเบิด บันทึกยังกล่าวต่อไป ราวกับเสียงกระซิบจากผู้ตายที่ยังไม่สิ้นใจในมโนสำนึก


‘ความเมตตาที่ไท่จื่อมีให้เขานั้นแท้จริงแล้วเป็นของจริง ไม่มีข้อสงสัย ไม่มีเสแสร้ง ทว่า…ความเมตตานั้นเองที่ถูกห่อหุ้มด้วยภาระอันหนักอึ้ง ภาระของราชวงศ์ ภาระของผู้เป็นองค์รัชทายาท ความคาดหวังที่ต้องการให้เขากลายเป็นผู้แบกบาปให้สังคม เป็นมือที่หยิบยื่นความตายโดยไร้คำถาม เป็นเบี้ยหมากที่พร้อมเคลื่อนเพื่อชัยชนะ ไม่ใช่คนในครอบครัว’


หลินหยากัดริมฝีปากแน่น ขณะดวงตาคู่คมไหววูบด้วยความเข้าใจที่แผ่ซ่านขึ้นมาอย่างช้า ๆ ราวกับหมอกที่ค่อย ๆ คลุมทิวเขา เธอไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจเลยว่าภายใต้รอยยิ้มของเขา ใต้ท่าทีเยือกเย็น สุขุม และจงรักภักดีอย่างเคร่งขรึม…มันคือบาดแผลลึกที่ไม่มีวันสมานได้อีก "เพราะงั้นท่านถึงสร้างกำแพงลวงตา...สร้างอสูรในเงาให้คนหวาดกลัว...เพื่อไม่มีใครกล้าก้าวเข้ามาทำร้ายท่านได้อีก" หลินหยาเอ่ยพึมพำ ริมฝีปากสั่นไหว ดวงตาเต็มไปด้วยความเวทนาและสำนึกร้าวลึกที่แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มก่อตัวตั้งแต่เมื่อไร


มือของนางกำบันทึกแน่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปล่อยออกอย่างระวังเหมือนกลัวทำลายสิ่งสำคัญ เธอหลับตา สูดลมหายใจลึก คิดถึงใบหน้าของชายผู้หนึ่งที่เคยเข้ามาใกล้เธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของนางเต้นแรง แต่เบื้องหลังนั้น…คือเงาอันมืดดำที่สั่นคลอนศรัทธา


“ข้าเกลียดเขา...แต่ข้ากลับสงสารเขามากยิ่งกว่าใคร หัวใจข้าช่างบ้าบอยิ่งนักมันทั้งโง่ ทั้งไม่เรียนรู้ เจ็บจำไว้ให้ใจเจ้าจำ ตอกให้ย้ำให้จำฝังใจถึงเพียงนี้ยังไม่หยุดคิดถึงอีกหรือ” เธอพึมพำอีกครั้ง เสียงเบาแต่หนักแน่นดั่งสาบาน หญิงสาวไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะจบลงอย่างไร แต่สิ่งที่แน่นอนคือ…หลินหยาจะไม่มองเขาในแบบเดิมอีกต่อไป ไม่ใช่เพียงแค่ศัตรู ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ลวงหลอก แต่คือ มนุษย์ผู้หนึ่ง ที่เจ็บปวดมาตลอดชีวิต


และเธอ…จะไม่มีวันลืมสิ่งนี้เลย ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเขากับนางจะพังทลาย หรือกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านในประวัติศาสตร์ก็ตาม


หลินหยาลุกขึ้นช้า ๆ หลังจากหลับตาแนบแผ่นอกสำนึกกับบันทึกสุดท้ายของหญิงผู้ล่วงลับ นางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดร่องรอยหยาดน้ำตาแน่นิ่งโดยไม่กล่าวสิ่งใด ภายในกระท่อมหลังเก่านั้นไร้แม้แต่เสียงลม แสงแดดนวลที่ลอดผ่านช่องฝาไม้เก่าฉายทาบผ่านเรือนผมของหญิงสาวเป็นประกายสีทองอ่อนระเรื่อ แต่ทว่าในชั่วขณะนั้นเองในห้วงพริบตาเดียวที่ราวกับโลกหยุดหมุนเสี้ยวแสงหนึ่งก็แทรกซึมเข้ามาอย่างไม่บอกกล่าว


แสงสีทองอบอุ่นเรืองรอง ปรากฏกลางห้องราวกับสุริยันได้ตกกระทบพื้นดินโดยไร้การเตือน รัศมีนั้นไม่เจิดจ้าจนแสบตา แต่กลับพร่าเลือนดั่งภาพฝันที่สั่นไหวในเงาจันทร์ยามสายน้ำสะท้อนเงา…แสงนั้นเรียงตัวเป็นรูปเค้า ก่อนจะประสานขึ้นเป็นร่างของใครคนหนึ่งคนที่หลินหยาไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกครั้ง


ร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดนักรบสีดำสนิทปักด้วยลายสีแดงดั่งเปลวเพลิง เส้นผมยาวถูกรวบสูงด้วยเชือกหนังสีเข้มตามแบบบุรุษกล้า เขาสวมหน้ากากครึ่งหน้าที่ปกปิดใบหน้าเพียงด้านบน เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากที่เม้มแน่นนิ่งสนิทและแนวคางเรียวคมประหนึ่งสลักด้วยหยกดำชั้นดี ทุกย่างก้าวของเขาผ่านเข้ามาในแสงนั้นอย่างไร้น้ำเสียงใด ๆ เพียงเสียงรองเท้าแตะพื้นไม้กระท่อมแผ่วเบา…คล้ายฝัน…คล้ายจริง และแม้จะมองเห็นเพียงด้านข้าง…แต่หลินหยาก็รู้ดีว่าร่างนั้นคือใคร


"จางกงกง?…" นางพึมพำเสียงแผ่ว ขยับถอยครึ่งก้าว ราวกับกลัวภาพตรงหน้าจะมลายไปกับแสงที่รายล้อม


แต่ไม่ เขาไม่ได้หายไป


ชายหนุ่มคนนั้นมองตรงไปข้างหน้า ไม่ใช่ทางหลินหยา หากแต่เป็นจุดใดในอนาคตอันไกลโพ้น แววตาทะลุหน้ากากที่ปกปิดนั้นแข็งกร้าว เย็นเยียบ เต็มไปด้วยจิตแน่วแน่ ความเคลื่อนไหวของเขามิใช่ภาพความทรงจำ ไม่ใช่เงาอดีต หากแต่เป็นภาพปัจจุบัน…เป็นสิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่ ณ เวลานั้น เวลานี้แหละ… "เขากำลังเดินทาง…ไม่ใช่ในฉางอัน…แต่ไปที่อื่น…" หลินหยากระซิบกับตนเอง สายตาไล่มองภาพเบื้องหน้า


แล้วทันใดนั้นเอง ภาพแวดล้อมก็เผยให้เห็นหลังฉาก เป็นภาพของป่ารกชัฏที่ห่มคลุมด้วยหมอก สีของพรรณไม้เปลี่ยนไปตามภูมิประเทศอย่างชัดเจน ก้อนศิลาใหญ่ประดับไปด้วยลวดลายแกะสลักจาง ๆ รูปอสรพิษม้วนเกลียวรอบเสาศิลาสูง และเบื้องหน้า…คือประตูไม้ที่ผุพังแต่ยังคงมีผ้ายันต์แปะเต็มบาน บางส่วนมีสัญลักษณ์ของมังกรน้ำสีฟ้าอ่อนเลือนราง และตัวอักษรคำว่า “จิ้งอวิ๋น” สลักไว้ตรงขื่อ


ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋น?


หลินหยาเผลอกัดริมฝีปากตนเองขณะสายตาแน่วแน่เต็มไปด้วยความสับสนระคนตกตะลึง มือของนางกำแผ่นบันทึกแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว หากจางกงกงมุ่งหน้าไปที่ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋นจริง เขาต้องการอะไรกันแน่? การไถ่บาป? การล้างแค้น? หรือคำตอบของบางสิ่งที่โลกไม่เคยให้เขามาก่อน? และหากทางนั้น…เป็นเส้นทางที่จะพาเขาดิ่งลึกลงในความมืดมิดมากกว่าที่เคยกันล่ะ… นางจะยังรักเขาอยู่หรือไม่? หรือจะต้องหยุดเขาเสียก่อนที่บางสิ่งจะไม่อาจย้อนกลับมาได้อีก?


ดวงตาของหลินหยาเริ่มสั่นไหว ร่างชายหนุ่มที่ยังคงก้าวไปข้างหน้าในแสงทองนั้นค่อย ๆ จางหายไป เหลือเพียงกลิ่นอายของรังสีอาฆาตบางเบา กับเงาร่างที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของนางตลอดไปทั้งในฐานะศัตรู คนลวงโลก…และใครบางคนที่นางเคยเผลอรักไปอย่างโง่งมจนหมดใจ


หลินหยายืนนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงอ่อนที่เล็ดลอดเข้ามาทางช่องไม้ผุพังในกระท่อมเงียบสงัดแห่งนั้น นางจ้องมองฝ่าความว่างเปล่าที่ภาพของเขาเพิ่งจะจางหายไปเมื่อครู่ ราวกับหัวใจยังติดค้างอยู่ที่เสี้ยวแสงสุดท้ายนั้น ไม่ต่างจากวิญญาณที่เผลอติดอยู่กลางเส้นแบ่งระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ริมฝีปากนางเม้มแน่น ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีวนจนสับสน มึนงง หญิงสาวยกมือลูบหน้าเบา ๆ ราวกับจะดึงตนเองกลับมาสู่ความเป็นจริง แล้วมองต่ำลงไปยังแผ่นบันทึกในมืออีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นเปล่งแสงแปลกประหลาดขึ้นมาในคราเดียว ไม่ใช่เพียงแค่สงสัย หากแต่ปะปนด้วยความเจ็บหน่วง ความคิดถึง และโทษทัณฑ์ที่ไม่ได้เอ่ยเป็นถ้อยคำ


"เขาจะไปที่ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋น…ทำไมล่ะ…" เสียงของหลินหยาหลุดรอดจากลำคอแผ่วเบา "เขาเป็นจงฉางชื่อ เป็นขันที…ตำแหน่งสูงลิบ เขาควรอยู่ในวังนี่นา…อยู่กับฮ่องเต้ อยู่ในฉางอัน…" นางขยับก้าวไปช้า ๆ ในห้อง กระซิบกับตัวเองราวกับกำลังไขปริศนาในใจ


"แต่เขาไม่ได้อยู่ที่นั่น…แม้แต่ในวันที่…เขาควรจะมาเจอข้า…" นางชะงัก กัดฟันแน่นขณะภาพวันนั้นผุดขึ้นในหัว วันที่นางรออยู่ที่ศาลาจื่อเถิงฮวา เพียงเพื่อบอกลาเขา แม้จิตใจจะบาดเจ็บแต่ก็ยังหวัง…หวังว่าจะมีสักคำ สักเหตุผลที่เขาจะเอ่ยออกมา แต่สิ่งที่ได้รับกลับคือความว่างเปล่า และผลไม้เปรี้ยวหวานที่เขาเคยแกล้งหยิบยื่นให้อย่างจงใจจะปั่นหัวนางเล่น ๆ


หลินหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตานั้นสั่นระรัว ใจเต้นรัวเสียยิ่งกว่ากลองรบในสมรภูมิรบ นางไม่แน่ใจว่านั่นคืออารมณ์แบบไหน ความโกรธ ความกลัว หรือความโหยหา เสียงหัวใจมันไม่เคยดังขนาดนี้เลยตั้งแต่นางจากฉางอันมา


“หรือว่า…เขาก็ไม่ได้อยู่ที่ฉางอันเหมือนกันในวันนั้น…” ถ้อยคำนั้นหลุดออกมาด้วยเสียงแผ่วบางเสียงของความหวังที่อาจเล็กน้อยเกินไป แต่ก็พอจะทำให้หัวใจนางยังมีแรงเต้นต่อได้ นางยกมือข้างขวาขึ้นดูแหวนดาราจรัสที่ยังสวมอยู่ที่นิ้วกลาง เพชรกะรัตที่ส่องประกายเจิดจ้าอย่างเงียบงันราวกับบอกว่า…เจ้าต้องเลือกแล้ว หลินหยาไม่ใช่หญิงสาวที่เคยกลัวการเดินทางอีกต่อไป ไม่ใช่แม้แต่คนเดิมที่เคยสั่นสะท้านเพียงได้ยินชื่อ จางกงกง อีกต่อไปเช่นกัน


"เอาไงดี…ข้าต้องไปหาเขาไหม…" นางเอ่ยถามตัวเองเสียงเบา แต่คำตอบกลับมาอย่างชัดเจนเสียจนไม่ต้องรอฟังจากผู้ใด นางไม่สามารถทนอยู่นิ่ง ๆ ได้อีก เพราะหากเขากำลังพาตนเองสู่เส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน หากเขากำลังจะก้าวลึกลงไปในความมืดที่อาจกลืนกินทุกสิ่ง แม้แต่วิญญาณที่ยังมีเศษเสี้ยวแสงหลงเหลือ


…นางจะต้องไป จะไปหยุดเขาจะไปถามให้ได้ว่าทุกสิ่งคืออะไร จะไปพูดในสิ่งที่ครั้งนั้นไม่เคยพูดเลย…แม้แต่น้อย


หลินหยาหยิบแผ่นบันทึกเก็บเข้าห้วงแหวน พยักหน้าเรียกเซียนเฉ่าที่ยังงีบอยู่มุมห้อง แล้วเปิดประตูกระท่อมออกด้วยใบหน้าแน่วแน่ราวกับผู้กล้าที่จะเผชิญโลกเพื่อมุ่งหน้าสู่ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋น…เพื่อพบเขาอีกครั้ง ไม่ใช่ในฐานะศัตรู ไม่ใช่ในฐานะเหยื่อ


แต่ในฐานะหลินหยา…คนที่ครั้งหนึ่งเคยรักเขาอย่างโง่งม และตอนนี้…ยังไม่อาจเลิกรักได้เลยแม้แต่นิดเดียว





@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

พรสวรรค์ : ดาวนำโชค (ทอง)
(วันละครั้ง) มีโอกาสที่จะพัฒนาค่าประสบการณ์ให้คนในกลุ่มที่ร่วมเดินทาง ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ +20 EXP เมื่อสุ่มได้เลขไบต์ (0 / 2 / 4 / 6 / 8 / 9) 
เพิ่มสถานะ สวรรค์อำนวยพร (เพิ่มโชค+15 LUK) แก่เพื่อนร่วมเดินทาง เป็นระยะเวลา 7 วัน เมื่อสุ่มได้เลขไบต์ (1/ 3 / 5 / 7)
(ใช่ครับ ผมพึ่งรู้ว่ามีอะไรแบบนี้ด้วย ลืมสนิท--)

อื่น ๆ: มาหั่นอันที่ 2 ครับ

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ 2025-8-7 23:45
โพสต์ 176203 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-7 22:18
โพสต์ 176,203 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-7 22:18
โพสต์ 176,203 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-7 22:18
โพสต์ 176,203 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-7 22:18
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-8 20:29:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 08 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า ณ เมืองซุยหยาง มณฑลยวี่โจว - ยามไห่ เมืองอู๋เหยียน มณฑลเอียนโจว จักรวรรดิต้าฮั่น


ยามเช้าตรู่ของซุยหยางยังคงคลุมด้วยไอหมอกบางจากแม่น้ำด้านตะวันออก แสงอาทิตย์เพิ่งจะลอดผ่านยอดหลังคากระเบื้องสีหม่นของโรงเตี๊ยมที่หลินหยาพักอยู่ กลิ่นชาร้อนและโจ๊กข้าวฟ่างที่เจ้าของโรงเตี๊ยมกำลังต้มลอยคลุ้ง แต่หญิงสาวกลับไม่รู้สึกหิวเท่าไรนัก เพราะสายตานางมัวแต่จับจ้องไปยังร่างเล็ก ๆ ข้างเตียง เจ้าหมาเซียนเฉ่าที่ปกติจะตื่นง่ายแต่วันนี้กลับยังนอนขดตัวอยู่ตรงมุมฟูก ขนสีดำนวลที่เคยฟูราวปุยเมฆยามกลางคืนกลับแบนลงเล็กน้อยราวกับไร้แรงจะพองตัว ดวงตาคู่กลมปิดสนิท หูที่เคยกระดิกตามเสียงกลับนิ่งสนิทจนหลินหยารู้สึกแปลกใจ นางย่อตัวลงนั่งข้างมัน เอื้อมมือแตะหัวน้อย ๆ นั้นอย่างระมัดระวัง ความอุ่นจากฝ่ามือบอกนางได้ทันทีว่าร่างนี้ร้อนกว่าปกติ


"เซียนเฉ่า…เจ้าเป็นอะไรไปหรือ" น้ำเสียงหลินหยาแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความกังวล


เจ้าหมาน้อยขยับตัวนิดเดียวแล้วลืมตาขึ้นเพียงครึ่ง ดวงตาที่ปกติใสวาวคล้ายกระจกแก้วกลับหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด มันขยับริมฝีปากตอบเสียงอ่อย "อาจเพราะการต่อสู้เมื่อวานขอรับ…พลังของข้าถูกใช้ไปมากกว่าที่คิดมากเลยขอรับ ข้าไม่มีแรงเลย" หลินหยาขมวดคิ้วทันที ภาพการต่อสู้กับแม่ทัพเป็ดเมื่อวานยังแจ่มชัด ทั้งแรงปะทะและไอสังหารที่รุมเร้าจนต้องใช้พลังไม่น้อย นางลูบหัวมันเบา ๆ "เจ้าทนไหวหรือไม่ ที่นี่มีหมอหมาไหมวะ? เรียกอะไรนะ...สัตวแพทย์?? ถ้าเจ้ายังเดินทางต่อไม่ไหว เราพักต่ออีกสักวันก็ได้"


เซียนเฉ่าส่ายหัวช้า ๆ "ไม่จำเป็นขอรับคุณหนูหลิน…เพียงขอเวลาให้ร่างกายฟื้นเล็กน้อย ข้ายังพอไปกับท่านได้" คำตอบนั้นทำให้หลินหยาทั้งโล่งใจและหนักใจในเวลาเดียวกัน นางมองมันนิ่ง ๆ พลางถอนหายใจ เจ้านี่ต่อให้จะล้มลงก็ยังดื้อจะตามไปด้วยเสมอ เหมือนกับ…ใครบางคนที่นางเคยรู้จักไม่มีผิด


หลินหยามองใบหน้ากลม ๆ ของเจ้าเซียนเฉ่าแล้วถอนหายใจแรงราวกับจะพ่นเอาความกังวลออกจากอก แต่ก็ทำไม่ได้เสียที นางค่อย ๆ สอดแขนเข้าใต้ลำตัวมัน ยกมันขึ้นมาแนบอกอย่างระมัดระวัง รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่เบาเกินกว่าปกติ และแรงตอบสนองที่แผ่วลงจนหัวใจนางหดเกร็ง "เซียนเฉ่า…ข้าไม่อยากให้เจ้าฝืนลำบาก" เสียงของนางอ่อนนุ่มแต่แฝงความจริงจัง "เจ้ากลับฉางอันไปรอข้าที่ร้านค้าของข้าก่อนไหม? ท่านชายไป๋รักสัตว์ เขาดูแลเจ้าได้ดีกว่าข้าในยามนี้แน่" นางคิดภาพออกชัดร้านค้าของตนเองที่ท่านชายไป๋ดูแลท่มีกลิ่นสมุนไพรและชาอุ่นที่ผ่อนคลาย ด้านหลังมีลานเล็ก ๆ ให้สัตว์ได้พักผ่อน และเขาก็ใจดีต่อสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ เสมอ หากเซียนเฉ่าอยู่ที่นั่นก็คงปลอดภัยและฟื้นตัวได้เร็ว


แต่เจ้าเซียนเฉ่ากลับเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่หม่นหมองยังคงมีแววดื้อรั้นแฝงอยู่ มันส่ายหัวแรงกว่าที่นางคาดไว้ ขยับอุ้งเท้าหน้าพาดลงบนอกเสื้อหลินหยาแล้วเอ่ยเสียงแผ่วแต่หนักแน่น "ไม่ขอรับ ไม่เอา…ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านเดินทางลำพัง ไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหน ข้าก็จะไปกับท่านขอรับคุณหนูหลิน"


หลินหยานิ่งไปครู่หนึ่ง มุมปากนางกระตุกเล็ก ๆ อย่างปนขมขื่น ทั้งสงสารและเอ็นดูในความดื้อด้านนี้ยิ่งนัก นางก้มหน้ามองมันใกล้ ๆ กระซิบราวกับกลัวว่าลมเช้าจะพัดพาคำพูดหายไป "เจ้ามันดื้อเหมือนใครบางคนจริง ๆ…" ในใจนางรู้ดีว่าการดื้อแบบนี้ทำให้ทั้งโกรธ ทั้งรัก และสุดท้ายก็ทำให้ยอมทุกครั้งพลางขยับตัวอุ้มมันไว้ในอ้อมแขนตนเอง


หลินหยาหยุดฝีเท้ากะทันหัน ราวกับความคิดบางอย่างแล่นวาบขึ้นมาในหัว ดวงตาคมหวานเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะลดมองเจ้าเซียนเฉ่าที่อยู่ในอ้อมแขน สีหน้าเหมือนคนตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว นางสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยเสียงจริงจังแต่นุ่มนวล "เช่นนั้น…เอาตบะของข้าไปแล้วกัน อย่างน้อย แม้เจ้าจะยังกลับร่างปีศาจสุนัขสามหัวไม่ได้ แต่ก็น่าจะมีแรงและกำลังมากขึ้นพอให้ร่างเจ้าหมาตัวน้อยนี่ฟื้นตัวตามปกติ…ใช่หรือไม่"


ทันทีที่ประโยคนั้นหลุดจากริมฝีปาก เจ้าเซียนเฉ่าก็เหมือนถูกฟ้าผ่า หูที่ตกลงเพราะความเหนื่อยล้ากระดิกขึ้นแทบจะตั้งชัน ดวงตาที่หม่นหมองเมื่อครู่กลับทอประกายตื่นเต้นราวเด็กที่ได้ยินว่าจะเลี้ยงขนมโปรด ใบหน้าเล็ก ๆ ของมันชัดเจนว่าพยายามกลั้นยิ้มแต่ก็ทำไม่สำเร็จ "จริงหรือขอรับ…?!" เสียงมันสั่นน้อย ๆ ทั้งเพราะความตื่นเต้นและความหิวโหยในคราวเดียวกัน ตบะของหลินหยานั้นหอมหวานและอุดมด้วยพลังยิ่งกว่าผลไม้สวรรค์หวานหอม ทั้งยังอบอุ่นและนุ่มละมุนในรสชาติ จนแม้แต่ปีศาจเก่าแก่ก็ยากจะหักห้ามใจ ยิ่งสำหรับเซียนเฉ่านี่คือของหายากที่นาน ๆ จะได้ลิ้มสักครั้ง


หลินหยามองมันแล้วหัวเราะในลำคอเบา ๆ แววตาอ่อนโยนปนขี้แกล้ง "ดูเจ้าดีใจเหมือนข้าจะป้อนเนื้อเป็ดอบน้ำผึ้งเสียอย่างนั้น" เซียนเฉ่าเผลอกระดิกหางแรงอย่างลืมตัว ก่อนรีบเก็บอาการ แต่ปลายหางก็ยังส่ายไปมาด้วยความตื่นเต้นไม่หยุด มันโน้มตัวเข้ามาใกล้ แววตาฉายชัดทั้งความซาบซึ้งและความอยากกินอย่างที่สุด


ในใจมันคิดเพียงว่าวันนี้โชคดีเกินไปแล้ว


หลินหยาเดินไปนั่งบนเตียงไม้เตี้ยในห้องพักของโรงเตี๊ยมอย่างเงียบงัน มือบางยังประคองเจ้าเซียนเฉ่าไว้ในอ้อมแขนเหมือนกลัวว่ามันจะเจ็บหรือตกลงไป ดวงตาคมหวานทอดมองมันครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ยกมืออีกข้างลูบหัวนุ่ม ๆ อย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วไล้ผ่านขนละเอียดราวแพรไหมช้า ๆ เพื่อให้มันรู้สึกผ่อนคลาย หญิงสาวค่อย ๆ หลับตาลงอย่างมีสมาธิ ลมหายใจเรียบสงบ จากนั้นจึงเริ่มเปิดกระแสพลังในร่าง ตบะอุ่นละมุนไหลเอื่อยจากกลางอกผ่านปลายนิ้วเข้าสู่ร่างเล็ก ๆ ในอ้อมแขนเหมือนสายน้ำอุ่นที่แผ่วไหว ทว่าพลังที่หลั่งไหลนั้นกลับมากมายเกินกว่าปีศาจตัวเล็กจะคาดคิด เพราะหลินหยานั้นครอบครองตบะหนาแน่นและแข็งแกร่งอย่างเหลือเฟือ


เซียนเฉ่าที่นอนอยู่บนตักแทบหรี่ตาลงด้วยความเคลิบเคลิ้ม แววตาเป็นประกายเหมือนกำลังกินของอร่อยที่สุดในโลก เสียงครางพึงพอใจเบา ๆ หลุดออกจากลำคออย่างห้ามไม่อยู่ พลังที่มันได้รับไม่เพียงเติมเต็มบาดแผล แต่ยังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายทำให้ขนฟูขึ้นราวกับเพิ่งสระด้วยน้ำพุสวรรค์


เมื่อกระบวนการสิ้นสุด ร่างเล็ก ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นจากตักทันที ราวกับพลังที่อัดแน่นอยู่ภายในกำลังเรียกร้องให้ขยับ มันกระดิกหางรัว ๆ ก่อนจะวิ่งปร๊าดไปรอบห้องเหมือนลูกศรดีดออกจากคันธนู สี่ขาเล็กตะกุยพื้นดังตั้บ ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ หลินหยาที่นั่งมองก็หลุดหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า “นี่ข้าให้ตบะเจ้า…หรือให้ยาม้ากันแน่?” นางพึมพำ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโล่งใจที่เห็นมันมีแรงอีกครั้ง


เจ้าเซียนเฉ่าวิ่งวนรอบห้องด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ปลายลิ้นสีชมพูแลบออกมาอย่างอารมณ์ดี ขณะเห่าหอบสั้น ๆ ด้วยความตื่นเต้น “อร่อยขอรับ! อร่อยมาก! แถมข้ารู้สึกแข็งแกร่งขึ้นด้วย แม้ตอนนี้ยังกลับร่างปีศาจสุนัขสามหัวไม่ได้ แต่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสุนัขธรรมดาที่มีแรงเหลือเฟือ!” มันหันมาพูดกับหลินหยาด้วยเสียงร่าเริง ตากลมเป็นประกาย ก่อนจะพุ่งไปไล่กัดปลายชายเสื้อของนางเล่นราวกับลูกหมาที่เพิ่งหายป่วยเต็มที่


หลินหยาถอนหายใจ พลางยกมือผลักหัวมันเบา ๆ ให้ถอยออก “เล่นพอแล้วเซียนเฉ่า ไปเตรียมของกันเถอะ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ ก่อนจะหันไปจัดสัมภาระ ใส่สมุนไพร เครื่องใช้จำเป็น และอาหารแห้งลงในย่ามอย่างเป็นระเบียบ แล้วใส่ในแหวนดาราจรกัส ความคิดในหัววางเป้าหมายชัดเจน วันนี้ต้องออกเดินทางไปยังเมืองถัดไปให้ได้ ก่อนที่ฟ้าจะร้อนเกินไปสำหรับการเดินทาง เจ้าเซียนเฉ่าแม้จะอยากเล่นต่อ แต่เมื่อเห็นหลินหยากำลังเตรียมของ มันก็ยอมมานั่งเฝ้าข้างเท้าของนาง หางยังแกว่งไปมาไม่หยุด ราวกับรออย่างอดทนว่าจะได้ออกผจญภัยกันอีกครั้ง


ยามเช้าของเมืองซุยหยางยังคลอไปด้วยกลิ่นหมอกบางและไอแดดอุ่นแรกวัน เสียงกีบม้าและล้อไม้จากท่ารถเช่าดังสลับกับเสียงพ่อค้าเร่เรียกลูกค้า หลินหยาก้าวออกมาจากโรงเตี๊ยมด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่แววตาซ่อนความตั้งใจจะเดินทางไกล มือบางยังปรับสายกระเป๋าเล็กตรงเอวให้กระชับแนบไหล่ ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปยังท่ารถม้าด้วยจังหวะก้าวที่มั่นคง แต่พอไปถึง กลับพบว่าบรรยากาศตรงนั้นต่างไปจากที่เคย… ผู้คนมุงอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ พูดคุยกันอย่างวิตก บางคนทำหน้าถอดใจ บางคนยืนเถียงกับคนขับรถม้าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ


หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนขยับเข้าไปใกล้แล้วได้ยินชัดว่ามีปัญหาใหญ่ เส้นทางตรงสู่เมืองหานตาน เขตจี้โจวถูกปิดโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่เพราะแค่ทหารตั้งด่าน แต่เพราะก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน เกิดพายุฤดูร้อนรุนแรงซัดป่าภูเขาในเส้นทางหลักจนดินถล่มทับทางเกือบครึ่งแนว หินก้อนใหญ่กับต้นไม้หักโค่นปิดเส้นทางแน่นหนา ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข่าวลือถึงปีศาจเร่ร่อนที่โผล่มากลางป่า คอยซุ่มโจมตีผู้ที่ฝ่าทางเข้าไป ทหารและเจ้าหน้าที่กำลังเร่งเคลียร์พื้นที่ แต่ไม่มีใครกล้ารับปากว่าจะเสร็จภายในไม่กี่วัน


หลินหยาฟังจนจบ ใบหน้าสวยนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจยาวอย่างเงียบ ๆ เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าที่กำลังเริ่มมีเมฆลอยบาง ลมหอบกลิ่นดินชื้นจากพายุครั้งก่อนมาปะทะผิว ความคิดเริ่มหมุนวน จะรอให้ทางเปิดก็ดูไม่เข้าท่า อ้อมไปเส้นทางอื่นก็เสียเวลาและแรงมาก แต่การฝืนเข้าไปทางป่าที่ถูกปิดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งถ้าปีศาจที่ว่ามีอยู่จริง…ก็อาจจะต้องเสี่ยงเกินควร ดวงตาคมหวานไหววูบไปมา ขณะปลายนิ้วไล้สัมผัสขอบแหวนดาราจรัสที่นิ้วกลางข้างขวาโดยไม่รู้ตัว เหมือนกำลังชั่งน้ำหนักว่าจะเดิมพันกับเส้นทางไหนต่อดี…


หลินหยายืนมองแผนที่เส้นทางที่ติดอยู่ข้างป้ายท่ารถม้า พลางคิดเงียบ ๆ แต่ก็ถูกเสียงเล็ก ๆ ของเจ้าเซียนเฉ่าข้างตัวเรียกสติกลับมา เจ้าหมาปีศาจในร่างลูกหมาน้อยเงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยแววตาจริงจังผิดจากนิสัยติดหรูปกติ “คุณหนูหลินลองถามสารถีดูก่อนหรือไม่ขอรับ” น้ำเสียงมันฟังดูไม่ต่างจากผู้ช่วยติดตามที่ห่วงใยเจ้านายเต็มที่  ก่อนที่หลินหยาจะเข้าใจดีนางเดินทางไปถามสารถีสักคนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “สวัสดีเจ้าค่ะท่านสารถี เห็นว่าเส้นทางไปเมืองหานตานปิดแล้วตอนนี้…ไปที่เมืองอะไรได้บ้างหรือเจ้าคะ?” 


สารถีวัยกลางคนที่กำลังนั่งเช็ดบังเหียนอยู่เงยหน้ามองหลินหยา ก่อนจะขยับหมวกฟางขึ้นนิด พลางตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าจะไปจากซุยหยางตอนนี้ เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดก็คือมุ่งไปเมืองอู๋เหยียน เขตเอียนโจวขอรับ จากที่นั่นท่านก็รอดูอีกทีได้ว่าทางไปเมืองอื่นจะเปิดเมื่อไร เส้นทางอื่นถ้าฝืนไปตอนนี้ก็มีแต่จะลำบาก แถมอาจต้องไปเจอกับพวกปีศาจป่า”


หลินหยาที่ฟังอยู่เงียบ ๆ ค่อย ๆ พยักหน้า นัยน์ตาคมหวานไหววูบอย่างครุ่นคิด “อู๋เหยียน…ก็ได้ เช่นนั้นเอาแบบนี้แหละนะ เช่นนั้นข้ามีความประสงค์ไปเมืองอู๋เหยียนเจ้าค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่มีความหนักแน่นในคำตัดสินใจ ดวงตาเหลือบมองเจ้าเซียนเฉ่าที่กระดิกหางเบา ๆ เหมือนจะโล่งใจ ก่อนเธอจะขยับมือแตะกระเป๋าและบอกสารถี “ท่านช่วยจัดรถม้าให้ข้ากับสหายตัวน้อยนี่ได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากจะออกเดินทางตอนนี้เลย” สารถียิ้มบางพลางผงกหัว “ได้ขอรับ แม่นางเช่นนั้นรอสักครู่ รถม้าจะพร้อมออกเดินทางในไม่ช้า” เสียงฝีเท้าคนกับม้าคลอไปกับบรรยากาศเช้าตรู่ ขณะที่หลินหยากับเจ้าเซียนเฉ่าเตรียมตัวก้าวออกจากซุยหยางไปสู่เส้นทางใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะพาไปเจออะไรข้างหน้า…


สารถีที่เพิ่งตรวจเช็กบังเหียนกับล้อเสร็จหันมาพยักหน้าให้เป็นสัญญาณว่ารถม้าพร้อมแล้ว เสียงม้าสูดลมหายใจฟืดฟาดกับเสียงเหล็กเกือกม้ากระทบพื้นดังเบา ๆ คลอไปกับไอเย็นยามเช้า หลินหยาขยับกายช้า ๆ ราวกับไม่อยากเร่งรีบ ทั้งที่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เธอเผลอถอนหายใจยาวอย่างขุ่นเคืองกับโชคชะตา ทำไมทุกเส้นทางต้องเต็มไปด้วยอุปสรรคเช่นนี้กันนะ ขอเพียงอย่าให้การเดินทางครั้งนี้กินเวลามากเกินไปด้วยเถอะ ความคิดนั้นยังวนอยู่ในหัวแม้ขาเรียวก้าวขึ้นบันไดเล็ก ๆ สู่รถม้า พื้นไม้สั่นไหวเล็กน้อยตามแรงเหยียบ เธอใช้มือหนึ่งยกชายกระโปรงขึ้นให้พ้นเกะกะ อีกมืออุ้มร่างอุ่นนุ่มของเจ้าเซียนเฉ่าแนบอกอย่างทะนุถนอม เจ้าหมาน้อยเงยหน้ามองเธอด้วยแววตาใสแจ๋วราวกับกำลังบอกว่าไม่ต้องห่วงมัน แต่หลินหยาก็ยังไม่วางใจ


เมื่อก้าวเข้ามานั่งในรถม้า เธอค่อย ๆ จัดท่านั่งให้มั่นคง ก่อนจะวางเจ้าเซียนเฉ่าลงบนตัก แขนเรียวโอบมันหลวม ๆ แล้วใช้ปลายนิ้วลูบหัวมันเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ ขนสั้นนุ่มอุ่นใต้ฝ่ามือและเสียงหายใจสม่ำเสมอของมันช่วยให้ใจที่ตึงเครียดคลายลงเล็กน้อย เธอปล่อยให้ตัวเองนั่งเงียบ ๆ ฟังเสียงล้อไม้เริ่มหมุนและเสียงเกือกม้าตีจังหวะ บอกว่าการเดินทางครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นอีกแล้ว…


ล้อรถม้ากลิ้งครืดไปตามถนนลูกรัง เสียงโคลงเคลงสม่ำเสมอทำให้บรรยากาศภายในรถดูเงียบสงัดเสียจนแม้แต่เสียงลมหายใจของเจ้าเซียนเฉ่าก็ชัดเจน ทว่าความเงียบนี้กลับถูกเจ้าเจ้าของขนฟูทำลายลง มันเงยหน้าขึ้นจากตักหลินหยา เหยียดตัวเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือหยอก “คุณหนูหลิน…หลังจากนี้คิดว่าจะไปที่ไหนต่อหรือขอรับ” เหมือนตั้งใจจะลากเธอออกจากความคิดที่กำลังกดทับอยู่ในใจ หลินหยาหันมามองมันด้วยหางตา ก่อนถอนหายใจเบา ๆ แล้วตอบเสียงเรียบแต่แฝงความครุ่นคิด “ไม่รู้สิ…เมืองอู๋เหยียนอยู่ในเขตเอียนโจว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะมุ่งหน้าขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือได้ เพื่อไปถึงเมืองหานตาน” นางเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะมีอุปสรรคอะไรดักรออยู่อีกหรือไม่”


เซียนเฉ่าเอนตัวลงนอนข้าง ๆ ตักเธอ พลางเหลือบตามองอย่างขี้เล่น “อุปสรรคมีหรือไม่มี ข้าก็อยู่ข้างท่านนะขอรับ” มันพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ ราวกับเรื่องการเดินทางที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงเป็นเพียงการเดินเล่นในลานบ้าน หลินหยาก้มมองมันนิดหนึ่ง มุมปากกระตุกขึ้นอย่างเล็กน้อยแม้สีหน้ายังคงสงบ เธอยกมือขึ้นลูบหัวมันอีกครั้ง ปล่อยให้เสียงเกือกม้าและลมเย็นยามเช้าพัดผ่านราวเป็นเพื่อนร่วมทางเงียบ ๆ ที่คอยเคียงข้างทั้งคู่ไปตลอดเส้นทาง


ภายในรถม้าสีหม่นที่โยกไหวไปตามจังหวะล้อบดไปบนทางดินเปียกชื้นจากฝนเมื่อคืน กลิ่นหญ้าสดและดินชื้นคลุ้งแผ่วลอยเข้ามาทางบานหน้าต่างเล็ก ๆ ที่เปิดค้างไว้ ลมเช้าพัดอ่อน ๆ ปะทะใบหน้าหลินหยา ชวนให้เส้นผมยาวสีดำขลับพลิ้วไหวระไปตามแรงลม หญิงสาวเอนหลังพิงเบาะเก่า ๆ ของรถม้า มือหนึ่งยังคงลูบหัวเจ้าเซียนเฉ่าที่ซุกตัวนอนเหยียดยาวอยู่บนตักของนาง ร่างเล็ก ๆ ของมันอุ่นอย่างน่าเอ็นดู จนรู้สึกคล้ายหมอนข้างมีชีวิตที่ขี้เกียจและติดหรูในเวลาเดียวกัน


"คุณหนูหลิน… ข้าคิดว่ารถม้านี่น่าจะวิ่งได้ถึงเมืองอู๋เหยียนภายในบ่ายแก่ ๆ จนเกือบเย็นเลยกระมังขอรับ" เสียงเซียนเฉ่าดังขึ้น ขณะที่มันหาววอดและเลียปากอย่างขี้เกียจ หลินหยาก้มมองมันเล็กน้อย พลางหัวเราะจาง ๆ 


"หวังว่าคราวนี้เราจะไม่เจอปีศาจหรือสะพานพังอีกนะ ข้าเริ่มไม่แน่ใจว่าข้ากำลังเดินทางไปหาใคร หรือโชคชะตากำลังพาข้าไปลองดีกันถึงได้เจอปีศาจทุกวันขนาดนี้ โรคปีศาจตามติดท่าทางจะเป็นจริงดังเจ้าว่า" นางกล่าวพลางเกลี่ยขนบริเวณคอของมันอย่างเผลอใจ เจ้าเซียนเฉ่าหรี่ตาลงราวกับกำลังเพลินกับสัมผัส "ถึงจะเจอ ข้าก็อยู่ปกป้องท่านได้แล้วนะ" มันตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจผิดกับเมื่อเช้า ทำเอาหลินหยาหันมามองอย่างเอ็นดูและแฝงรอยขำ 


"พูดไปเถอะเจ้าตัวเล็กที่ยังกลับร่างหมาสามหัวไม่ได้ ที่เจ้าแข็งแรงนั่นเพราะเจ้าเพิ่งกินตบะของข้าเข้าไปต่างหาก อย่าทำตัวเป็นวีรบุรุษนักเลย ข้ารู้ว่าเจ้าขี้เกียจ"


ภายนอกรถม้า เสียงกีบม้าสะท้อนก้องไปตามเส้นทางที่ค่อย ๆ ลาดขึ้นเล็กน้อยผ่านเนินเตี้ย สารถีที่นั่งอยู่ด้านหน้ากำลังฮัมเพลงพื้นบ้านเบา ๆ ให้จังหวะสม่ำเสมอ เสียงนั้นผสมกับเสียงลมและกลิ่นไม้สนจากข้างทางที่เริ่มโอบล้อมทั้งสองฝั่งถนน ภายในรถม้า หลินหยายกมือดึงผ้าคลุมไหล่ให้กระชับขึ้น เพราะความเย็นจากลมเช้าทำให้ผิวเนียนของนางรู้สึกสั่นเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบตามองออกไปนอกหน้าต่าง มองเห็นสายหมอกบาง ๆ คลี่คลุมไกลสุดสายตา แสงตะวันเช้าสีทองอ่อนกำลังลอดผ่านหมอกลงมาราวกับม่านบางที่เปิดรับแสงสวรรค์


"คุณหนูหลิน" เสียงเซียนเฉ่าขัดความคิด 


นางก้มมองมันอีกครั้ง "หืม?" มันเงยหน้าขึ้นมา ดวงตากลมใสฉายประกายซุกซน "ข้าสงสัย… ท่านคิดจะตามหาท่านจางกงกงจริง ๆ หรือขอรับ?" คำถามนั้นทำให้หลินหยาชะงัก ปลายนิ้วที่กำลังลูบหัวมันหยุดนิ่งชั่วครู่ ก่อนจะยกยิ้มบาง ๆ ที่ซ่อนทั้งความลังเลและความปวดร้าว 


"ข้ายังไม่รู้… แต่บางครั้ง การไม่รู้ก็ทำให้หัวใจข้าเดินทางได้ง่ายกว่า" นางตอบเสียงแผ่ว ราวกับกำลังพูดกับตัวเองมากกว่าตอบมัน ภายในรถม้าที่โยกไหวไปตามเส้นทางคดเคี้ยว หลินหยานั่งพิงฝาด้านใน ดวงตาสีเข้มทอดมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังมองไกลเกินกว่าภูเขาและหมอกข้างทางจะบังไว้ได้ ลมหายใจยาวและหนักดังลอดออกจากริมฝีปากนาง ก่อนที่เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าจะขยับตัวเงยหน้ามอง นางเอ่ยเสียงต่ำแต่หนักแน่น "ข้าไม่รู้… แต่ข้ารู้ว่าข้าจะต้องไปพบจางกงกงให้ได้ ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใดลงไป ข้าจะหยุดเขาหรือไม่…ก็คงต้องดูกันอีกที" น้ำเสียงนั้นไม่ใช่ความลังเล หากเป็นความมุ่งมั่นที่มีทั้งโทสะและความผูกพันปะปนกันอย่างซับซ้อน


เซียนเฉ่าขยับตัวขึ้นจากตักของนางนิดหนึ่ง จนหูทั้งสองตั้งขึ้นราวกับตั้งใจฟังเมื่อหลินหยาค่อย ๆ เล่า "ตอนที่อยู่ศาลาจื่อเถิงฮวา… ในคราบของท่านชายห่าวหมิง ข้าเคยล้างมือให้เขา… ตอนนั้นเขามองข้าด้วยแววตาที่ข้าไม่รู้จะเรียกว่าอะไร แล้วก็เอ่ยถามว่า… ‘แล้ววันหนึ่ง หากต้องล้างคราบเลือดจากมือข้า เจ้าจะล้างให้ได้หรือไม่…เสี่ยวหยา?’" เสียงหลินหยาขาดห้วงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงประโยคนั้น ราวกับยังจำสัมผัสอุ่นของน้ำในชามไม้และฝ่ามือหยาบที่จุ่มอยู่ในมือของตนได้ชัดเจน


"ข้าตอบเขาไปว่า… แต่ถ้ามือท่านเปื้อนเลือดใคร…ข้าก็ไม่รู้ว่าจะล้างให้ท่านด้วยใจที่สะอาดได้หรือไม่" ปลายนิ้วของนางที่ยังลูบหัวเจ้าเซียนเฉ่าอยู่ชะงักเล็กน้อย แววตาที่ทอดมองออกนอกหน้าต่างเต็มไปด้วยความหม่นลึก ราวกับกำลังไล่ตามเงาในความทรงจำที่จับต้องไม่ได้ "แล้วเขาก็บอกข้า… ให้ใช้แค่มือของข้าก็พอ เพราะใจของข้าบางครั้งก็โกหก… แต่มือกลับซื่อตรงเสมอ"


รถม้ายังคงเคลื่อนไปข้างหน้า เสียงล้อบดกับดินชื้นดังประสานกับจังหวะหัวใจที่หนักอึ้งของหลินหยา เซียนเฉ่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพึมพำราวกับพูดกับตัวเอง "ฟังแล้ว…ข้าชักอยากรู้แล้วสิ ว่าท่านกับเขา…คิดอะไรต่อกันแน่นะขอรับ" แต่หลินหยาเพียงยิ้มบาง ราวกับไม่คิดตอบ เพียงให้ความเงียบและเสียงลมเป็นคำตอบแทนทุกสิ่งที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ในตอนนี้…


รถม้าหยุดลงท่ามกลางแสงบ่ายที่ค่อย ๆ เอียง เงาไม้จากป่าริมทางทอดยาวลงบนพื้นดินเปียกชื้น กลิ่นน้ำเย็นจากลำธารลอยมาตามลมผสมกับกลิ่นดินและหญ้าที่ถูกเหยียบจนฟุ้ง คนขับรถม้ากระโดดลงจากเก้าอี้บังคับก่อนจะหันไปปลดบังเหียนให้ม้าทั้งสองตัวได้ก้าวไปดื่มน้ำ เสียงกีบม้ากระทบกับโคลนดังปุ๋ง ๆ เป็นจังหวะ หลินหยาเลิกผ้าคลุมออกจากบ่า ลุกขึ้นจากเบาะแล้วก้าวลงอย่างแผ่วเบา ฝ่าเท้าสัมผัสกับพื้นหญ้าชื้นเย็น ริมฝีปากโค้งยิ้มจาง ๆ อย่างรู้ทันเพราะเพียงได้กลิ่นน้ำจากลำธาร ความทรงจำของการปะทะบนสะพานไม้เมื่อวันก่อนก็ผุดขึ้นมา “เฮ้อ…คราวนี้คงเป็นญาติพวกมันอีกละมั้ง? หรือไม่ก็พวกมันเลย” นางพึมพำพลางปรายตามองไปยังผิวน้ำที่ดูนิ่งเกินไป


เซียนเฉ่าถูกอุ้มลงมาวางบนพื้น พอมันดมกลิ่นน้ำเพียงไม่กี่อึดใจก็หันมามองหลินหยาด้วยหูที่ลู่ลงเล็กน้อย เหมือนจะบอกเป็นนัยว่ามันไม่ค่อยไว้ใจบรรยากาศตรงนี้นัก 


“คราวนี้ไม่ต้องห่วง เจ้าแค่นั่งดู ข้าจัดการเอง” หลินหยาวางมือแตะหัวมันเบา ๆ ก่อนจะก้าวเข้าใกล้ริมตลิ่ง สายตากวาดมองผิวน้ำที่มีแสงแดดสะท้อนเป็นระยิบระยับ แต่ภายใต้แสงสวยนั้นกลับมีความคลุ้มคลั่งซ่อนอยู่ เงาดำขนาดใหญ่เคลื่อนไหวช้า ๆ ใต้ผิวน้ำ ราวกับจงใจให้ผู้ที่มองเห็นได้ตื่นกลัว


“อะแฮ่ม…แสดงตัวออกได้แล้ว เลิกเล่นซ่อนแอบข้าไม่มีเวลามาเล่นซ่อนหา” เสียงของหลินหยาแฝงความขบขัน แต่สายตากลับคมกริบอย่างคนพร้อมรับศึก น้ำในลำธารเริ่มปั่นป่วน ฟองอากาศลอยขึ้นเป็นสาย จากนั้นคลื่นกระเพื่อมแรงจนม้าของสารถีสะดุ้งถอยหลังอย่างหวาดผวา เพียงพริบตาเดียว ร่างปีศาจปลาตัวเขื่องสองตัวก็กระโจนขึ้นจากน้ำ เกล็ดสีน้ำเงินคล้ำแวววาวแสงเหมือนโลหะ ขากรรไกรเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมเปื้อนคราบเลือดแห้ง มันส่งเสียงคำรามต่ำ ๆ ก่อนจะโถมเข้าหาหญิงสาว


หลินหยายกยิ้มเย็น มือขวาคว้าด้ามอาวุธจากแหวนดาราจรัส ดึงกระบี่คมกริบที่สะท้อนเงาแสงออกมาในชั่วลมหายใจ ก่อนก้าวถอยหนึ่งก้าวแล้วแทงเฉียงขึ้นรับการพุ่งชนอย่างแม่นยำ เสียงกระทบดัง “ฉึก!” เลือดสีคล้ำกระเด็นเป็นเส้นโค้ง ปีศาจปลาตัวแรกทรุดฮวบลงข้างฝั่ง แต่ตัวที่สองกลับหมุนตัวฟาดหางใส่นางอย่างรุนแรงจนฝุ่นดินปลิวตลบ หลินหยาหมุนตัวหลบได้เฉียดฉิว ผ้าโพกผมปลิวตามแรงลม เธอเหวี่ยงกระบี่กลับฟาดเฉือนกลางลำตัวมันอย่างไม่ลังเล เสียงเนื้อถูกผ่าครึ่งกระจายดังสวบ ร่างมันร่วงลงไปในสายน้ำที่ตอนนี้เริ่มกลายเป็นสีแดงขุ่น


เมื่อทุกอย่างสิ้นสุด นางปัดเลือดออกจากคมกระบี่ด้วยฝ่ามือเบา ๆ ก่อนสอดเก็บกลับเข้าแหวน แล้วหันไปมองเซียนเฉ่าที่นั่งดูอย่างตาโต “เห็นไหม ข้าไม่ต้องพึ่งเจ้าก็ได้” หลินหยากล่าวพร้อมยักคิ้วอย่างภาคภูมิ ก่อนเดินไปที่ริมตลิ่ง ก้มลงเก็บเกล็ดและกระเพาะปลาของปีศาจทั้งสองตัวอย่างชำนาญ ก่อนโยนซากลงห่างออกไปในป่าเพื่อไม่ให้ล่อสัตว์ร้ายอื่น ๆ เข้ามาเพิ่ม จากนั้นเธอก็ปัดฝุ่นชายเสื้อ หมายจะเดินกลับขึ้นรถม้า พลางหัวเราะในลำคอ 


“คราวนี้หวังว่าจะไม่มีแขกไม่ได้รับเชิญอีกนะ” แล้วลูบหัวเจ้าเซียนเฉ่าที่กระโดดมาหาราวกับจะชมเชยให้เจ้านายสักหน่อย ขณะที่สารถีซึ่งยืนตัวแข็งตั้งแต่ต้นเพียงถอนหายใจโล่งอก


หลินหยาที่กำลังปัดฝุ่นเสื้อคลุมเตรียมก้าวกลับขึ้นรถม้า กลับหยุดชะงักเมื่อผิวน้ำในลำธารพลันปั่นป่วนอีกครั้ง คลื่นกระเพื่อมแรงจนหยดน้ำสาดกระเซ็นขึ้นมาบนฝั่ง เสียงคำรามต่ำในคออันแหบพร่าดังก้องอยู่ใต้ผิวน้ำ ราวกับมีบางสิ่งขบกรามรอคอยการฉีกกระชากอย่างกระหายเลือด เงาดำใหญ่สองสายพุ่งสวนกันไปมาราวกับวงล้อมล่าเหยื่อ และในเสี้ยวอึดใจ ร่างปีศาจปลาสีดำเงามันก็ทะยานขึ้นจากผิวน้ำ น้ำหนักมหาศาลของมันกระแทกลงบนโขดหินจนแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ น้ำกระเซ็นสูงราวฝนพรำ หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มุมปากผุดรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยแววขบขันปนท้าทาย


“โธ่…ที่แท้ก็มาแก้แค้นให้พรรคพวกปะเนี้ย” หลินหยาเอ่ยเสียงแผ่ว แต่แฝงแรงเยาะในที พลางเหลือบตามองไปที่กระบี่ซึ่งเพิ่งเก็บเข้าแหวนเมื่อครู่ ก่อนหันไปทางเจ้าเซียนเฉ่าที่กำลังยืนเชิดหน้าบนฝั่ง “หลังจากจัดการพวกนี้…อย่าลืมฝังพวกมันทั้งสี่ตัวด้วย เข้าใจหรือไม่” น้ำเสียงของนางไม่ได้ดัง แต่เด็ดขาดพอจะไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ


เจ้าเซียนเฉ่าเอียงหู ฟังชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะหางกระดิกน้อย ๆ เหมือนตอบรับด้วยความเต็มใจ “รับทราบขอรับ” เสียงเล็กที่เปี่ยมความมั่นใจดังขึ้นพร้อมประกายตาที่ชัดว่าอยากเห็นฝีมือเจ้านายอีกครั้ง


หลินหยาก้าวถอยช้า ๆ ให้ได้ระยะพอเหมาะ มือขวาเลื่อนไปแตะแหวนดาราจรัส แต่แทนที่จะดึงกระบี่ออกมา คราวนี้กลับเป็นขลุ่ยไม้เนื้อดีที่ถูกนำออกมาแทน เงาสีน้ำตาลเข้มประกายสีม่วงของมันเรียบลื่นและเย็นมือ นางยกขึ้นแตะริมฝีปาก เสียงทำนองแผ่วแรกเริ่มดังเหมือนสายลมอ่อน กลายเป็นกระแสพลังที่ไหลซึมลงสู่ผิวน้ำ ราวกับปลุกบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในร่างปีศาจปลาให้สั่นสะท้าน


ปีศาจทั้งสองตวัดหางกวาดน้ำเป็นฝอย ลำคอเปล่งเสียงแหลมสูงผิดมนุษย์ แล้วโถมเข้ามาพร้อมกันด้วยแรงที่เพียงพอจะฉีกเนื้อคนเป็นชิ้น ๆ หลินหยายังไม่หยุดเป่าขลุ่ย มือซ้ายตวัดชายแขนเสื้อยาวราวคมมีด ลำคลื่นปราณจากเสียงดนตรีซัดกระแทกกลางหัวของปีศาจตัวแรกจนกระโหลกมันแตกร้าว ส่งร่างมหึมาล้มฟาดน้ำดังสนั่น ขณะอีกตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาทางด้านข้างก็ถูกเสียงสูงกระแทกใส่ใบหน้าอย่างแม่นยำ เลือดสีคล้ำพุ่งออกจากช่องปากและเหงือก มันดิ้นอย่างบ้าคลั่งไม่กี่ครั้งก่อนร่างจะอ่อนแรงและจมหายลงสู่ผิวน้ำที่ค่อย ๆ สงบ


เสียงขลุ่ยเงียบลงเมื่อทุกสิ่งสิ้นสุด หลินหยาหย่อนขลุ่ยลงเก็บในแหวนพลางถอนหายใจสั้น ๆ แล้วหันมามองเจ้าเซียนเฉ่า “ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว” น้ำเสียงนั้นนิ่งเรียบแต่แฝงแววสั่งการเด็ดขาด เจ้าหมาตัวน้อยยืดอกเหมือนรับเกียรติสำคัญ ก่อนจะพุ่งตัวไปจัดการลากซากปีศาจทั้งสี่ตัวออกไปจากตลิ่งอย่างขยันขันแข็ง เพื่อจะได้ฝังกลบตามคำสั่งของนาง


ล้อเกวียนหมุนครืดไปบนทางดินชื้นหลังฝนเมื่อคืน กลิ่นดินปนกลิ่นหญ้าสดลอยแตะจมูกอย่างชัดเจน หลินหยาเอนหลังพิงผนังรถม้าปล่อยให้แรงสั่นของล้อเคลื่อนตัวพาไปข้างหน้า นางพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ความเมื่อยจากการต่อสู้เมื่อครู่ยังติดอยู่ในกล้ามเนื้อ มือบางเลื่อนไปลูบชายกระโปรงเหมือนใช้สัมผัสนั้นกล่อมความคิดที่ยังหมุนวนไม่หยุด เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ดังแผ่วด้านนอก ก่อนร่างขนฟูนุ่มของเจ้าเซียนเฉ่าจะกระโดดปร๋อขึ้นมาบนตักอย่างแม่นยำ หางมันสะบัดเบา ๆ คล้ายตั้งใจทวงที่ประจำตัว


“กลับมาไวเหมือนกันนี่” หลินหยาเหลือบตามองแล้วลูบหัวมันอย่างอ่อนแรง แต่ก็ยังแฝงความเอ็นดู “เสร็จงานแล้วสินะเจ้าตัวเล็ก” 


เซียนเฉ่าขยับตัวม้วนเป็นก้อนกลม มือเล็ก ๆ ของนางกำลังลูบขนมันอยู่ก็ได้ยินเสียงตอบ “ขอรับ… วันนี้ข้าทำได้แค่นี้ ร่างกายยังไม่เต็มที่” มันเอ่ยเสียงขรึมแต่ก็มีแววเหมือนกำลังอ้อนอยู่ลึก ๆ


หลินหยายกคิ้วเล็กน้อย “ไม่เต็มที่ก็พักสิ ข้าไม่ได้รีบให้เจ้าต้องฝืนตัวเอง” แล้วหัวเราะในลำคอ “แต่เอาจริง ข้าก็ชักชินกับการมีเจ้ามานั่งแบบนี้แล้วนะ” เจ้าหมาน้อยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาวาววับมองนางเหมือนกำลังประเมินอารมณ์ “แล้ว…คุณหนูหลินไม่กลัวเหรอขอรับ ว่าเดินทางต่อไปจะเจอพวกปีศาจอีก”


หญิงสาวยักไหล่ช้า ๆ “กลัวไปก็เปล่าประโยชน์ เจอเมื่อไหร่ก็จัดการเมื่อนั้น แถมมีเจ้าด้วย ถึงจะบาดเจ็บแต่ก็ยังเป็นเซียนเฉ่า” ปลายน้ำเสียงเน้นย้ำชื่อมันราวกับกำลังยกย่องให้รู้สึกดี


เซียนเฉ่าขยับหัวซุกเข้ากับเอวเสื้อคลุมของนาง เสียงล้อรถยังคงเคลื่อนไปอย่างสม่ำเสมอ ถนนยาวสู่เมืองอู๋เหยียนราวกับทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด ทว่าภายในรถม้าเล็ก ๆ นี้กลับอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด ทั้งจากน้ำเสียงมั่นคงของหลินหยา และลมหายใจสม่ำเสมอของเจ้าหมาน้อยที่เริ่มงีบไปบนตักของนาง


รถม้าที่กำลังแล่นอย่างมั่นคงอยู่ดี ๆ ก็สะดุดหยุดกึกจนร่างหลินหยาสั่นไหวเล็กน้อย นางเลิกคิ้ว ขมวดหน้าด้วยความแปลกใจ ก่อนจะได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากทางด้านหน้า คล้ายเสียงตะโกนปนความตื่นตระหนกของชาวบ้าน เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังปนกับเสียงน้ำสาดดังซู่ ๆ ราวกับมีอะไรหนักกำลังไล่ตะลุยอยู่ตรงกลางถนน


หลินหยาขยับตัวจากเบาะแล้วดันผ้าม่านขึ้น ลมหายใจเช้าปะทะผิวหน้า กลิ่นดินเปียกและคาวน้ำตีจมูกในทันที ภาพที่เห็นทำให้นางต้องเลิกคิ้วสูง กลางถนนด้านหน้า ชายฉกรรจ์สามคนกำลังถูกสิ่งมีชีวิตประหลาดจู่โจมอยู่ มันคือปีศาจที่รูปร่างเป็นเป็ด…แต่ไม่ใช่เป็ดธรรมดา ใบหน้ามันเต็มไปด้วยแววอาฆาต ดวงตาขาวขุ่นและมีแสงแดงก่ำฉายออกมา เกราะโลหะหนักคลุมลำตัวตั้งแต่คอถึงขา พร้อมหมวกเหล็กมีพู่สีชาดไหวไปมาตามแรงกระโจน ข้างกายมันมีทวนยาวในมือราวกับแม่ทัพออกรบ เสียงปากเป็ดของมันร้องก้องกังวานก้องไปทั่วทาง "แว๊กกกกก! รุกคืบบบบ!" ก่อนมันจะใช้ทวนกวาดฟาดอย่างแม่นยำจนหนึ่งในชาวบ้านกระเด็นลงไปนอนจมโคลน อีกสองคนพยายามจะต้านด้วยไม้ท่อนและจอบ แต่แรงปะทะของปีศาจเป็ดกลับทำให้พวกเขาถอยร่นทีละก้าว ท่าทางหมดหนทางจะเอาชนะได้


เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งอยู่บนตักนางเงยหน้าขึ้น หูตั้ง ดวงตาเป็นประกายทันที “คุณหนูหลิน…ดูเหมือนงานสนุกจะมาแล้วนะขอรับ” น้ำเสียงมันเหมือนกำลังจะลุกไปวิ่งเล่น แต่ก็ถูกมือบางของนางกดไว้เบา ๆ 


“อย่าเพิ่ง เจ้าบาดเจ็บอยู่นะ” หลินหยากล่าวเสียงเรียบ ดวงตาหรี่ลงประเมินสถานการณ์ข้างหน้า ลมเย็นพัดให้ชายเสื้อคลุมสะบัดเบา ๆ “ปีศาจเกราะหนักแบบนั้น…ไม่เจอบ่อย ถ้าปล่อยไว้ ชาวบ้านอาจตายกันหมด” นางพ่นลมหายใจอีกครั้ง ยื่นมือไปรั้งขลุ่ยไม้ไผ่ออกจากเอวช้า ๆ แววตานั้นเริ่มมีประกายราวกับพร้อมจะลงมือ เสียงฝีเท้าของหลินหยาดังนุ่มแต่มั่นคงยามก้าวลงจากรถม้าสู่พื้นดินชื้น กลิ่นโคลนผสมคาวเลือดลอยมาตามลมจนปลายจมูกนางกระตุกเล็กน้อย สารถีที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ รีบยกมือห้ามพร้อมก้าวขวางพลางเอ่ยเสียงร้อนรน “แม่นาง! ปีศาจเป็ดพรรค์นี้ร้ายกาจนัก ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นอันตราย!” แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดวิตก


แต่หลินหยากลับเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย ปากแดงอมชมพูของนางคลี่ยิ้มบางที่เจือด้วยความมั่นใจและความเย้ยหยัน “ท่านรู้หรือไม่เจ้าคะ ว่าข้ากำจัดมันมากี่ตัวแล้ว?” นางหัวเราะน้อย ๆ เสียงใสนั้นกลับแฝงความเฉียบเย็น “ทำเป็นเป็ดย่างคลุกซอสข้าก็ทำบ่อยนักเจ้าค่ะ จะกลัวอะไรนักหนากันล่ะ ของอร่อยขนาดนั้นน่ะ”


สารถีอ้าปากจะค้านต่อ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแววตานาง สายตาที่ไม่เคยลังเลแม้แต่น้อย หลินหยาก้าวออกไปอย่างช้า ๆ มือเรียวหมุนขลุ่ยไม้ไผ่ในมือด้วยความคุ้นเคย ปลายเสื้อคลุมพริ้วไหวตามจังหวะลมราวกับประกาศแก่ปีศาจตรงหน้าว่าเหยื่อรายต่อไปของมัน…อาจเป็นฝ่ายถูกล่าแทน นางเหลือบมองภาพชาวบ้านสามคนที่กำลังถอยร่นจนหลังแทบชนกัน ความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้า ใบมีดและไม้ในมือของพวกเขาสั่นสะท้านแทบจะหลุดจากฝ่ามือ “จะให้ข้าอยู่เฉย ๆ มองพวกเขาตาย…มันก็ไม่ใช่เรื่องใช่หรือไม่เจ้าคะ” เสียงนางเอื้อนเอ่ยราวกับพูดกับตัวเองแต่ดังพอให้สารถีได้ยิน ก่อนจะเริ่มสาวเท้าตรงไปข้างหน้าอย่างไร้ความหวาดหวั่น


เจ้าเซียนเฉ่าที่โผล่หัวจากรถม้ามองตามตาแป๋ว หูตั้งพลางส่ายหางช้า ๆ คล้ายกำลังรอลุ้นว่าเจ้าของของมันจะลงมือจัดการ “เป็ดย่างคลุกซอส…คราวนี้ข้าขอกินปีกนะขอรับ” มันพึมพำอย่างคึกคัก แต่หลินหยาก็เพียงยกยิ้มมุมปากโดยไม่หันกลับไปตอบ ขณะที่ลมหายใจเย็นของปีศาจเป็ดแม่ทัพเริ่มพัดมาถึงตรงหน้า และการปะทะ…ก็ใกล้เข้ามาทุกที


หลินหยาก้าวแทรกเข้าไปด้านหน้าชาวบ้านทั้งสามอย่างไม่ลังเล มือหนึ่งยกขึ้นกันพวกเขาไว้ข้างหลัง น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ “ถอยไปก่อนเจ้าค่ะ!” แววตาคมวาวบอกชัดว่ามันไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำสั่งที่ควรทำตามโดยทันที สารถีที่ตามมาสมทบรีบก้าวเข้ามารับหน้าที่ตามคำของนาง “เดี๋ยวข้าจะดูแลพวกเขาให้” เขารับคำสั้น ๆ แต่สีหน้ายังไม่คลายความกังวล


หลินหยาก้าวชิดเข้าหาปีศาจเป็ดที่กำลังอ้าปากส่งเสียงแหลมต่ำคล้ายเสียงโลหะขูดกัน ดวงตาของมันเป็นสีเหลืองขุ่นคล้ายมีเลือดเคลือบอยู่รอบขอบ นางยกขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้นหมุนในมือราวกับเป็นทวนหรือกระบี่ รอยยิ้มคมปรากฏบนใบหน้า “วันนี้…ข้าจะได้ลองทำเมนูใหม่สักที” น้ำเสียงนางเย้ยหยัน ขณะปลายเท้าข้างหนึ่งจิกลงกับพื้นดินแน่น ร่างเอนต่ำพร้อมพุ่ง แทนที่จะเอาขลุ่ยมาประทับริมฝีปากเพื่อเป่าอย่างอ่อนหวาน หลินหยากลับฟาดมันออกไปเต็มแรง! ปลายขลุ่ยกระแทกเข้ากับคอด้านข้างของปีศาจเป็ด เสียงดัง “ผั่ก!” ดังสะท้อนราวกับกระบองไม้กระทบกระดูก เป็นคมแฝกชั่วพริบตาเกิดจากแรงและองศาแม่นยำ เส้นขนสีขาวปนเทาของมันปลิวกระจายกลางอากาศ


มันสะบัดหัวด้วยความโกรธ เปลือกตากระตุกถี่ขณะพุ่งจิกจะโจมตีกลับ แต่หลินหยาไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า มือเรียวหมุนขลุ่ยกลับ ปัดคอหอกของมันออกด้านข้างก่อนจะหวดซ้ำที่ขา ส่งมันล้มตึงกับพื้น ฝุ่นดินฟุ้งตลบ


เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งมองอยู่ตรงรถม้าหูตั้งตาโต ตะโกนออกมาเสียงดัง “ฟาดดีมากขอรับคุณหนู! เอาให้เป็นเป็ดพะโล้เลย!” หลินหยาหัวเราะสั้น ๆ อย่างหยันระหว่างก้าวเข้าประชิดเพื่อปิดบัญชี ร่างนางเคลื่อนไหวรวดเร็วและเด็ดขาดราวพายุหมุน พร้อมจะสั่งสอนให้ปีศาจเป็ดตัวนี้รู้ว่าการขึ้นชื่อว่าแม่ทัพไม่ได้หมายความว่าจะรอดจากมือเธอไปได้


เสียง “ผั่ก!” สุดแรงดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณเมื่อขลุ่ยไม้ไผ่ฟาดลงกลางกระหม่อมปีศาจเป็ดอย่างแม่นยำ แรงกระแทกบวกกับตบะที่อัดแน่นทำให้กะโหลกมันสั่นสะเทือน วงตาสีเหลืองหม่นเบิกกว้างก่อนแสงแห่งชีวิตจะดับวูบ ร่างมหึมาทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ขนสีขาวหม่นสลับเทาหลุดลุ่ยปลิวว่อนตามแรงลมที่พัดผ่านราวกับส่งมันขึ้นสวรรค์


หลินหยายืดตัวตรง สูดลมหายใจยาวพลางกระตุกยิ้มเย็น แววตาไม่บอกชัดว่าเป็นความสะใจหรือเพียงความพึงพอใจในผลลัพธ์ มือเรียวหยิบมีดชำแหละจากกระเป๋าหนังข้างเอว นางย่อตัวลงข้างซาก ริมฝีปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะเริ่มลากคมมีดผ่านหนังเป็ดอย่างคล่องแคล่ว เสียงเนื้อและเอ็นถูกตัดดังกรอบแกรบ ก่อนจะค่อย ๆ แยกเนื้อส่วนอกและซี่โครงออก วางเรียงอย่างเป็นระเบียบบนผ้าสะอาดที่คลี่ไว้ข้างตัว ราวกับนี่เป็นเพียงกิจวัตรประจำวันของนักเดินทางที่ต้องหาสเบียงระหว่างทาง


ทางด้านสารถีเองก็กำลังคุกเข่าอยู่กับชาวบ้านทั้งสามคน คอยใช้ผ้าสะอาดเช็ดเลือดที่ไหลตามแขนและหน้าผาก พร้อมปัดแมลงไม่ให้ตอมแผล ชายวัยกลางคนหนึ่งยังหอบหายใจแรงจากความตื่นตระหนก แต่ก็ฝืนยิ้มให้เมื่อเห็นหลินหยาจัดการปีศาจได้อย่างง่ายดาย เซียนเฉ่าที่นั่งเฝ้ารถม้าอยู่ห่าง ๆ เห็นเจ้านายกำลังชำแหละเนื้ออย่างตั้งใจ ถึงกับหูตั้งตาโต น้ำลายแทบไหล “คุณหนู…คืนนี้ข้าขอเนื้อติดซี่โครงย่างให้ข้าหน่อยนะขอรับ” มันพูดด้วยเสียงกระดี๊กระด๊า จนหลินหยาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากงานในมือ


หลินหยาลุกขึ้นยืนเช็ดคราบเลือดติดคมมีดออกกับผ้าสะอาด ก่อนเก็บมันกลับเข้าปลอกประจำตัวอย่างเรียบร้อย มือข้างหนึ่งกวาดซากเนื้อเป็ดและซี่โครงทั้งหมดเข้าไปเก็บในแหวนดาราจักรจนหมดสิ้น เหลือเพียงรอยคราบเลือดบนพื้นเป็นหลักฐานว่าที่นี่เพิ่งเกิดการต่อสู้ เด็กหนุ่มในกลุ่มชาวบ้านที่ยังบาดเจ็บเล็กน้อยรีบยกมือขึ้นคำนับพร้อมเสียงสั่น ๆ “ขอบคุณท่านมาก หากไม่ได้ท่าน…พวกเราคง…คงสิ้นชีพไปแล้ว” น้ำเสียงสั่นแฝงความตื้นตันปนหวาดเกรง เหมือนยังไม่เชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กในชุดเดินทางจะจัดการปีศาจเป็ดได้ง่ายดายถึงเพียงนี้


ชายวัยกลางคนอีกคนกับหนุ่มผิวคล้ำร่างสูงก็ทำตาม คุกเข่าเล็กน้อยคำนับสารถีและหลินหยาอย่างพร้อมเพรียง “ท่านสารถี…คุณหนู…พวกข้าซาบซึ้งน้ำใจนี้ไว้ไม่ลืม” เสียงพวกเขามีทั้งความเคารพและซาบซึ้ง หลินหยายกมือเล็กโบกเบา ๆ ราวกับตัดบท แววตาสีดำสนิทฉายแววอบอุ่นปนขี้เล่นเล็กน้อย “ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ แค่เรื่องเล็กน้อยระหว่างทางเท่านั้น ไม่ต้องเก็บไปคิดมาก” น้ำเสียงของนางฟังดูสบาย ๆ เหมือนเพียงช่วยเก็บผลไม้ที่ร่วงข้างทาง สารถีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าสมทบ 


“ใช่แล้วล่ะ เป็นความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ท่านทั้งหลายปลอดภัยก็ดีแล้ว” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่ช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายลง “ใช่เจ้าค่ะ ข้าเองก็คิดว่าเป็นเพียงความช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น” หลังจากที่หลินหยาพูดจบ เสียงถอนหายใจโล่งอกของชายทั้งสามก็ดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน พวกเขายังคงก้มตัวคำนับอย่างนอบน้อม น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความซาบซึ้งใจ 


“แม่นางช่างมีบุญคุณยิ่งนัก หากมิใช่เพราะท่าน พวกข้าคงต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ริมเส้นทางแน่แท้” หนึ่งในนั้นเอ่ยพลางใช้มือที่สั่นเทาคลำบาดแผลบริเวณแขนซ้ายที่มีเลือดซึมออกมา สารถีที่คอยดูแลอยู่ก็รีบหยิบผ้าสะอาดออกจากหีบเล็กหลังรถม้ามาช่วยพันแผลอย่างระมัดระวัง หลินหยาเหลือบตามอง เห็นสีหน้าซีดเผือดของพวกเขาก็พอเดาได้ว่าคงถูกปีศาจเป็ดนั่นโจมตีมานานแล้วกว่าจะหนีออกมาได้


“พวกท่านเดินทางไปที่ใดกันหรือถึงได้มาเจอเจ้าเป็ดปีศาจนี่?” หลินหยาถามเสียงเรียบ แต่แฝงความสงสัยในน้ำเสียงเล็กน้อย ชายร่างสูงที่สุดในกลุ่มรีบตอบทั้งที่ยังหอบหายใจ “พวกข้าเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านด้านนอกขอรับ เดินทางมาหาของป่ามาแลกข้าวสารในเมือง แต่โชคร้ายเผชิญมันเข้า…ตั้งแต่เมื่อวานก็โดนมันตามตื้อไม่เลิกรา” น้ำเสียงของเขาสั่นเพราะยังมีภาพความหวาดกลัวหลงเหลือในแววตา หลินหยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะตวัดผ้าเช็ดมือจากเอวแล้วเช็ดมีดที่เพิ่งชำแหละเนื้อเป็ดจนสะอาด แล้วเก็บกลับเข้าปลอกอย่างเป็นระเบียบ


เซียนเฉ่าที่นั่งอยู่บนรถม้าก็กระดิกหูไปมา ราวกับกำลังฟังบทสนทนาของพวกเขาอย่างตั้งใจ ก่อนจะยกอุ้งเท้าหน้าขึ้นมาลูบปากตัวเองเหมือนจะบอกว่ากลิ่นเนื้อเป็ดหอมเกินห้ามใจ หลินหยามองแล้วก็ส่ายหน้าอย่างเอ็นดู “เจ้ารอกินก่อนเถอะ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” นางเอ่ยพลางลูบหัวมันอย่างขี้เล่น เสียงหอบของม้าจากการต่อสู้เมื่อครู่ยังดังแผ่ว ๆ เป็นจังหวะ สารถีหันมามองหลินหยาแล้วพยักหน้าอย่างเป็นเชิงถามว่าจะออกเดินทางต่อหรือไม่


แต่ชาวบ้านทั้งสามยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนอยากกล่าวอะไรเพิ่ม “แม่นาง…พวกข้าขออนุญาตมอบสิ่งนี้เป็นการตอบแทน แม้มิอาจเทียบเท่าบุญคุณ แต่ก็เป็นของที่สืบทอดกันมา” ชายร่างเล็กที่สุดในกลุ่มหยิบถุงผ้าสีครามออกมาจากอกเสื้อ แล้วเปิดออกเผยให้เห็นเป็นถุงหยกเก่าแก่งดงามสลักลายเมฆม้วน หลินหยามองแวบเดียวก็รู้ว่ามีค่าไม่น้อย “ข้าช่วยพวกท่านเพราะไม่อยากเห็นคนตายต่อหน้านะเจ้าคะ หาใช่ต้องการสิ่งตอบแทน” นางปฏิเสธเสียงเรียบ แต่แววตาของชายทั้งสามเต็มไปด้วยความจริงใจเกินกว่าจะหักหาญน้ำใจ หลินหยาจึงยื่นมือไปรับไว้ในที่สุด “เช่นนั้นข้าจะรับไว้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าครั้งนี้พวกท่านรอดชีวิตมาได้” นางเอ่ยอย่างเด็ดขาด ก่อนจะผูกถุงหยกไว้กับสายคาดเอวอย่างไม่ใส่ใจ


เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หลินหยาจึงพยักหน้าให้สารถีช่วยพาชาวบ้านทั้งสามขึ้นรถม้าคันอื่นที่จะย้อนกลับไปยังเมืองใกล้ ๆ ซึ่งมีขบวนของทางการกำลังคุ้มกันอยู่ จากนั้นนางก็กลับมาขึ้นรถม้าของตนเอง เซียนเฉ่าก็กระโดดขึ้นตักทันที ราวกับกลัวว่าที่นั่งอันอบอุ่นของมันจะถูกใครแย่งไป 


เสียงล้อไม้บดบนพื้นถนนดินดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับจังหวะกีบม้ากระทบพื้นอย่างสม่ำเสมอ บรรยากาศภายนอกเริ่มมีลมเย็นพัดโชยมากับกลิ่นดินชื้นของฤดูฝน หลินหยามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าสีเขียวสลับเนินเตี้ยทอดยาวไกลสุดสายตา ความเงียบเข้าปกคลุมภายในรถม้าสักพัก ก่อนที่เสียงของเซียนเฉ่าจะดังขึ้นข้างหู “คุณหนูหลิน…ข้าว่าเมื่อถึงเมืองอู๋เหยียน เราน่าจะพักซักสองสามวันนะขอรับ ท่านก็รู้ว่าตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านน้ำค้างพรายมา ข้ายังไม่ได้นอนสบาย ๆ เลยนะขอรัยบ”


หลินหยาหันมามองมันพร้อมเลิกคิ้วเล็กน้อย “เจ้าหมายถึงเจ้าอยากนอนสบาย หรืออยากให้ข้าทำอะไรสบาย ๆ ให้เจ้ากันแน่?” น้ำเสียงของนางเจือความขบขัน เซียนเฉ่าทำตาใสแล้วส่ายหัวแรง ๆ 


“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละขอรับ” คำตอบทำให้หลินหยาหลุดหัวเราะเบา ๆ ออกมา ความกังวลเมื่อครู่คลายลงเล็กน้อย รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนผ่านแนวป่าโปร่งที่ต้นไม้มีหยดน้ำเกาะจากหมอกเช้า แสงแดดอ่อนเริ่มลอดผ่านใบไม้เป็นลำทองอุ่น หลินหยายกมือขึ้นเกลี่ยปอยผมที่หลุดลงมาข้างแก้ม แล้วเอนหลังพิงเบาะหนังนุ่ม ความคิดของนางวนกลับไปถึงจางกงกงอีกครั้ง ภาพชายผู้สวมหน้ากากครึ่งหน้าที่บันทึกของลั่วซานกล่าวถึงยังชัดเจนในหัวใจ นางไม่รู้ว่าการพบกันครั้งต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจ ไม่ว่าจะเส้นทางยากเย็นเพียงใด นางก็จะไปให้ถึงให้ได้


รถม้าแล่นต่อไปอย่างมั่นคง เสียงล้อไม้ดังก้องเป็นจังหวะประสานกับเสียงลมพัดลอดหน้าต่าง เหมือนจะเร่งเร้าให้การเดินทางสู่เมืองอู๋เหยียนเริ่มเข้าสู่ช่วงสำคัญของโชคชะตาอีกครั้ง…


ระหว่างการนั่งรถม้านางขยับมือแล้วหยิบตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อมาอ่านฆ่าเวลาสักเสียหน่อย “ข้ากะว่าจะทำเมนูต่อไปกันสักที เห็นว่ามีเมนูเนื้อเป็ดด้วยนะ” ยิ่งพูดคำนี้เจ้าเซียนเฉ่าก็ตาโตเป็นไข่ห่าน หลินหยาก้มหน้าหัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อเห็นตาเจ้าหมาน้อยเป็นประกายราวกับได้เจอขุมสมบัติ มือบางเปิดตำราอาหารที่ปกสีครามหม่น มีรอยคราบน้ำมันและรอยนิ้วมือของเสี่ยวจ้าวจื่อผู้เป็นเจ้าของเดิมแทรกอยู่บนหน้ากระดาษหลายแผ่น กลิ่นกระดาษเก่าและเครื่องเทศแห้งที่ซึมติดมานานหลายปีลอยจาง ๆ จนทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งอยู่กลางครัวหลวงในวัง เสียงเขียงกระทบมีด และกลิ่นหมูย่างหมุนวนในอากาศราวกับจะเรียกความทรงจำของใครบางคนให้กลับมา


“เป็ดย่างน้ำผึ้งซ่อนกลิ่น…” หลินหยาพึมพำช้า ๆ พลางใช้ปลายนิ้วลูบตามบรรทัดที่เขียนด้วยลายมือเล็กกระชับของเสี่ยวจ้าวจื่อ บรรยายขั้นตอนตั้งแต่การเลือกเป็ดที่เนื้อแน่น หนังบางสีขาวนวล การหมักด้วยซอสปรุงรสผสมผสานกับดอกซ่อนกลิ่นบดละเอียดที่ต้องเก็บตอนเช้าตรู่เพื่อให้กลิ่นหอมที่สุด ก่อนจะราดด้วยน้ำผึ้งป่าที่เคี่ยวจนเป็นสีทองเข้ม วิธีการย่างก็พิถีพิถันต้องคุมไฟให้สม่ำเสมอ พลิกกลับทุกครึ่งชั่วยามเพื่อให้หนังกรอบและเนื้อนุ่มฉ่ำไปถึงกระดูก ทุกขั้นตอนเหมือนงานศิลป์มากกว่าจะเป็นแค่อาหารจานหนึ่ง


เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งอยู่บนตักเงยหน้ามองด้วยสีหน้าลุ้นราวกับเด็กเล็กฟังนิทาน มันใช้หางกระดิกไปมาไม่หยุด “ข้าว่ามันต้องอร่อยจนลืมความเจ็บทั้งหมดแน่ ๆ เลยขอรับคุณหนูหลิน! ท่านรีบทำให้ข้ากินเถอะขอรับ” มันพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจนแทบจะกระโดดลงจากตักไปหาหม้อและเตาถ่านเดี๋ยวนั้น 


หลินหยาหัวเราะพลางใช้นิ้วแตะจมูกมันเบา ๆ “อย่าลืมสิว่ามันยากมาก ข้าไม่ใช่เสี่ยวจ้าวจื่อที่จะทำได้ทันทีนะ ต้องลองอย่างน้อยสามสี่วันกว่าจะได้รสเหมือนตำราว่า”


เซียนเฉ่าทำหน้ามุ่ยในทันที อุ้งเท้าหน้าเล็ก ๆ พาดบนหน้าตักนาง “งั้นเราลองทุกวันเลยได้ไหมขอรับ? ลองวันละตัวก็ได้ เดี๋ยวข้าช่วยกินเอง!” คำพูดนั้นทำให้หลินหยาหลุดหัวเราะออกมาจนต้องเอามือปิดปาก นางส่ายหัวช้า ๆ ก่อนจะพับตำราอย่างระมัดระวัง เก็บใส่หีบไม้ข้างตัว ราวกับเก็บสมบัติสำคัญไว้ในที่ปลอดภัย “เจ้าแค่ตะกละเจ้าหมาอ้วน!” บ่นสักกะทีเถอะน่า


ข้างนอกหน้าต่าง รถม้ายังคงแล่นผ่านทิวเขาและป่าราบสลับกัน เสียงลมพัดราวกับกระซิบลางดีว่าการเดินทางครั้งนี้อาจไม่ได้มีเพียงแค่จุดหมายปลายทาง หากยังพาให้หัวใจของใครบางคนได้ผูกพันกับสิ่งเล็กน้อยที่ทำให้ชีวิตระหว่างทางอบอุ่นขึ้น แม้จะเป็นเพียงเมนูเป็ดย่างน้ำผึ้งซ่อนกลิ่นก็ตามที







@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

พรสวรรค์ : ดาวนำโชค (ทอง)
(วันละครั้ง) มีโอกาสที่จะพัฒนาค่าประสบการณ์ให้คนในกลุ่มที่ร่วมเดินทาง ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ +20 EXP เมื่อสุ่มได้เลขไบต์ (0 / 2 / 4 / 6 / 8 / 9)  = ไม่ได้สู้
เพิ่มสถานะ สวรรค์อำนวยพร (เพิ่มโชค+15 LUK) แก่เพื่อนร่วมเดินทาง เป็นระยะเวลา 7 วัน เมื่อสุ่มได้เลขไบต์ (1/ 3 / 5 / 7)

อื่น ๆ: เรา...ไม่เคยจะทำให้ได้แค่ 100K เลยง่ะ เขียนมันส์เกินเสียดายอีก 60K
ศึกษา เป็ดย่างน้ำผึ้งซ่อนกลิ่น (1/4)

ปลดล็อคทักษะสัตว์เลี้ยง
พลังแห่งความแข็งแกร่ง
ใช้ตบะ : 300 หน่วย
(หาก Level Max จะไม่สามารถใช้ได้ : ทุกครั้งที่วิวัฒนาการระดับ Level เพิ่มขึ้นจะกดใช้สกิลนี้ได้และได้รับ +2 Point เพิ่มขึ้นด้วย)

รางวัล: 
ปีศาจนักรบเป็ด : ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ) : ได้รับแล้ว
(หากมีสถานะวาสนาเซียน และ LUK 100 จะมีโอกาสดรอป x2)
ได้รับ ซี่โครงเป็ด 3 ชิ้น = 3x2 = 6 ชิ้น

สรุปรางวัลที่ได้: ซี่โครงเป็ด 3 ชิ้น

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 169626 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-8 20:29
โพสต์ 169,626 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-8 20:29
โพสต์ 169,626 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-8 20:29
โพสต์ 169,626 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-8 20:29
โพสต์ 169,626 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-8 20:29

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน -300 ย่อ เหตุผล
Watcher -300

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-9 21:05:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 09 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า ณ เมืองอู๋เหยียน มณฑลเอียนโจว - ยามไห่ เมืองผิงหยวน มณฑลจี้โจว เมือง จักรวรรดิต้าฮั่น


แสงสลัวแรกของเช้าวันใหม่สาดลอดบานหน้าต่างไม้เก่าเข้ามาเป็นเส้นบาง ๆ ฝุ่นละเอียดลอยในลำแสงราวกับกำลังเต้นระบำเงียบงัน หลินหยาลืมตาขึ้นช้า ๆ พลางพ่นลมหายใจยาวเหมือนต้องการปล่อยความหนักอึ้งที่ค้างอยู่ในอกมาตลอดคืน กลิ่นไม้ซีดเก่าและกลิ่นน้ำชาที่หมักค้างจากชั้นล่างของโรงเตี๊ยมลอยจาง ๆ เข้าจมูก ทำให้เธอรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านและไม่มีความอุ่นใจของบ้านให้พึ่งพาได้ นางพลิกตัวอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้รบกวนเจ้าก้อนขนสีขาวอมเทาที่กำลังนอนขดอยู่บนหมอนข้าง เซียนเฉ่า ขาของมันเกร็งนิด ๆ เหมือนกำลังฝันเห็นตัวเองวิ่งไล่อะไรบางอย่างอยู่ในทุ่ง หลินหยาหยัดกายขึ้นจากฟูก 


เสียงไม้ใต้ฝ่าเท้าดังกรอบแกรบเบา ๆ ขณะที่เธอเดินไปยังขันน้ำตรงมุมห้อง มือวักน้ำเย็นจากบ่อที่เจ้าของโรงเตี๊ยมยกขึ้นมาให้ตั้งแต่ยามจื่อ ล้างหน้าล้างตาจนความเย็นแล่นขึ้นแก้มและซึมลงสู่ปลายนิ้ว ทำให้หัวค่อย ๆ ตื่นจากความมึนง่วง ดวงตาคมหวานมองตัวเองในเงาน้ำ รอยยิ้มจางไม่ได้เกิดจากความเบิกบาน แต่เป็นการเตือนตัวเองให้แข็งแรงต่อไป เพราะวันนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด เส้นทางของนางจะหันไปทางตะวันตกเฉียงเหนืออีกครั้ง เพื่อกลับเข้าสู่เส้นทางหลักของภารกิจ


ลมเช้าพัดกลิ่นดินชื้นจากทางภูเขาเข้ามา เสียงไก่ขันจากบ้านใกล้ ๆ เริ่มดังประสานกับเสียงเปิดประตูบานเลื่อนของแขกห้องอื่น เธอหยิบผ้าสีหม่นขึ้นซับใบหน้า พลางเหลือบมองเจ้าเซียนเฉ่าที่กระดิกหูข้างหนึ่งเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมลืมตา ใบหน้านั้นสงบเสียจนหลินหยานึกอยากปล่อยให้มันนอนต่อ แต่ก็รู้ดีว่าอีกไม่นานเจ้าก้อนขนนี้คงตื่นมางอแงขออาหารเช้าเป็นแน่


วันนี้…จะเป็นอีกวันที่ทั้งเธอและมันต้องออกเดินทาง ฝ่าถนนฝุ่นและลมแรง อาจพบทั้งคนที่ยิ้มให้และคนที่ซ่อนมีดไว้หลังเสื้อ แต่ก็เป็นเส้นทางที่เธอเลือกเดินแล้ว และไม่มีวันหันหลังกลับง่าย ๆ


หลินหยาเดินไปหยุดข้างฟูก เอื้อมมือเกาคางเจ้าก้อนขนที่ยังซุกหัวอยู่กับหมอน พลางเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงแววขำ "เซียนเฉ่า ลุกได้แล้ว" เจ้าเซียนเฉ่าขยับหูทีหนึ่งแล้วอ้าปากหาวหวอด พลิกตัวหนีเธอไปอีกด้านทั้งที่ขนฟูยุ่งเหยิง “ขอ…นอนต่ออีกหน่อยได้ไหมขอรับ” เสียงมันยานคางปนงัวเงียเหมือนเด็กงอแงที่ไม่อยากตื่น หลินหยาเลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนก้มลงจ้องตา "ไม่ได้หรอก เราออกเส้นทางมาเยอะแล้ว ถ้าไม่รีบกลับเข้าสายหลัก จะถึงปลายทางช้าไปอีกหลายวันนะ" น้ำเสียงแม้ไม่ได้ดุ แต่หนักแน่นพอให้รู้ว่าไม่มีทางต่อรองได้ เซียนเฉ่าได้แต่ครางอือในลำคอ คล้ายจะโวยแต่ไม่มีแรงพอเพราะยังไม่หายง่วง


"เอาล่ะ ลุกไปล้างหน้าได้แล้วเจ้าขี้เซา" เธอพูดพลางดึงผ้าคลุมที่มันห่มอยู่ออกครึ่งหนึ่ง บังคับให้แสงเช้าส่องลงบนขนมันโดยตรง เจ้าก้อนขนทำหน้าเหมือนจะละลายกับแสง แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ หูตกนิด ๆ เดินตามเธอไปแบบขาสั้น ๆ อ้อยอิ่งทุกก้าว


หลังจากนั้นหลินหยาก็เก็บข้าวของลงแหวนดาราจักร ตรวจเช็กทุกอย่างว่าพร้อมสำหรับการเดินทางต่อ แล้วพอเซียนเฉ่าเสร็จธุระ เธอก็ก้าวออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมกัน มุ่งตรงไปยังท่ารถม้าของเมืองอู๋เหยียน กลิ่นหญ้าแห้งและเสียงม้าฮี้ดแผ่ว ๆ จากลานด้านหน้าเริ่มดังชัดขึ้นทุกย่างก้าว ทั้งคู่จึงรู้ว่าการเดินทางครั้งใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง


หลินหยาเดินลัดเลาะผ่านตรอกแคบที่คึกคักไปด้วยร้านรวงยามเช้า เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าดังแข่งกับเสียงล้อเกวียนครูดไปตามถนนดินแห้ง นางเร่งฝีเท้าจนปลายผ้าคลุมสะบัดพลิ้วเพราะตั้งใจจะไปให้ถึงท่ารถม้าให้ทันรอบเช่า ทว่าพอไปถึงกลับพบว่า ลานกว้างที่มักมีรถม้าเช่าเรียงรายกลับว่างเปล่า มีเพียงฝุ่นลอยอ้อยอิ่งและรอยล้อที่พึ่งเคลื่อนจากไปไม่กี่เค่อก่อนหน้า นางชะงักไปเล็กน้อย เหลือบมองป้ายประกาศที่แขวนไว้พลางถอนหายใจแรง "เช่าเต็มหมดแล้วหรือเนี่ย..." เสียงบ่นของนางถูกกลบด้วยเสียงม้าสะบัดบังเหียนดังมาจากอีกฝั่ง ถนนด้านข้างมีรถม้าสีหม่นกำลังจะเคลื่อนออก เป็นรถม้าประจำทางที่มีผู้โดยสารบางตาและไม่มีใครสนใจมากนัก ด้วยความรีบและความลนผสมกัน นางไม่ทันได้คิดว่าปลายทางคือที่ใด ก็ก้าวยาว ๆ วิ่งตัดหน้าฝูงชนตรงไป มือข้างหนึ่งยกชายเสื้อขึ้นเพื่อไม่ให้เกะกะขา


“รอก่อนเจ้าค่ะ!” หลินหยาร้องบอกพลางกุลีกุจอกระโดดขึ้นบันไดเล็กของรถม้าในวินาทีสุดท้าย เซียนเฉ่าที่ตามมาติด ๆ พุ่งขึ้นตามเหมือนลูกศรพุ่งจากแล่ง ก่อนทั้งคู่จะนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าที่โยกไหวตามแรงม้า ลมหายใจของนางยังไม่ทันกลับเป็นปกติ แต่หัวใจกลับเต้นรัวด้วยทั้งความตื่นเต้นและความกังวล เพราะเพิ่งรู้ตัวว่า…ไม่ได้ถามคนขับเลยว่าปลายทางคือที่ไหน การเดินทางครั้งนี้จะพาเธอไปพบเรื่องประหลาดอะไรอีกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาและเส้นทางที่เธอเผลอเลือกขึ้นมาโดยไม่คิดนี่เอง


ภายในรถม้ารอบนี้ทั้งแคบและเก่า ผนังด้านในบุด้วยผ้าหยาบที่กลิ่นอับปะปนกับกลิ่นฝุ่นเก่าเก็บ พื้นไม้สั่นสะเทือนตามจังหวะล้อกระแทกหลุมบนถนนดินจนทั้งร่างของหลินหยาโยกโอนเอนไปมาราวกับนั่งอยู่บนเรือเล็กกลางคลื่นแรง นางขมวดคิ้วแน่น มือหนึ่งยกขึ้นกุมขมับ อีกมือจับขอบเบาะไว้แน่นเพื่อไม่ให้ร่างตัวเองไถลไปกระแทกคนข้าง ๆ ลมหายใจเธอขุ่นขึ้นเล็กน้อย "อื๊อ… นี่มันอะไรกันเนี่ย เหมือนนั่งเรือโยกในหม้อซุปเลย" เสียงบ่นพึมพำลอดไรฟัน พลางเหลือบตามองชายหนุ่มแปลกหน้าที่นั่งข้าง เธอพยายามขยับตัวไม่ให้ไหลไปชนเขา แต่แรงสะเทือนจากล้อที่เจอร่องลึกก็ทำให้ไหล่เธอกระแทกกับแขนเขาอยู่ดี


ด้านเจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งอีกฝั่งก็ไม่ต่างกัน หูยาวเล็ก ๆ ของมันสะบัดไปตามแรงโยก หัวโขกพนักพิงตึง ๆ อย่างน่าสงสาร ก่อนมันจะโอดครวญเสียงงึมงำ "หัวจะหลุดแล้วขอรับ…" ทำเอาหลินหยาหลุดหัวเราะทั้งที่ตัวเองก็แทบไม่ไหว เธอสูดลมหายใจลึก พยายามกดอาการเวียนหัวให้หาย ทั้งที่รู้ว่าคงต้องทนอีกพักใหญ่ เพราะนี่คือรถม้าคันสุดท้ายที่เธอจะขึ้นได้ในเช้าวันนี้ ต่อให้คุณภาพมันจะแย่แค่ไหนก็ตาม


หลินหยานั่งพิงผนังรถม้าอย่างหมดเรี่ยวแรง ดวงตาเหม่อลอยราวกับวิญญาณจะลอยออกจากร่าง ผิวหน้าซีดลงเรื่อย ๆ จนแทบกลืนกับแสงเช้าจาง ๆ ที่ลอดเข้ามาทางผ้าม่านเก่า เธอรู้สึกได้ว่าพิษในกายที่ยังไม่หายดีเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาพร้อมกับอาการมึนหัวจากแรงโยกสั่นของรถม้า มือข้างหนึ่งกดแน่นที่ท้องเหมือนจะบังคับไม่ให้ทุกอย่างในช่องท้องปั่นป่วนไปมากกว่านี้


"โอย… นี่มันนรกบนล้อชัด ๆ" เธอบ่นเสียงแผ่ว พลางปิดตาแน่นพยายามไม่มองภาพด้านนอก เพราะทุกครั้งที่เงาของต้นไม้ริมทางเลื่อนผ่านสายตา ภาพก็ซ้อนและหมุนวนจนเธอแทบอยากกระโดดลงไปนอนกลิ้งบนพื้นดินเสียยังจะดีกว่า


เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งข้าง ๆ มองหน้าเจ้านายตาโต รีบขยับตัวมานั่งชิดแล้วใช้ขาหน้าเกาะแขนเธอเบา ๆ "คุณหนูหลิน… ทนอีกนิดนะขอรับ เดี๋ยวก็ถึง" เสียงของมันแฝงความกังวลแต่ก็พยายามทำตัวให้มั่นคงเพื่อไม่ให้เธอไถลไปกระแทกกับขอบรถ


หลินหยาพ่นลมหายใจออกมาอย่างยาวเหยียด "ถ้ารอดไปได้ ข้าสาบานว่าจะไม่ขึ้นรถม้าประจำทางราคาถูกอีกตลอดชีวิต…" เสียงแผ่วปนประชดตัวเอง ก่อนจะเอนศีรษะลงกับพนักแข็ง ๆ อย่างหมดแรง ปล่อยให้แรงโยกพาเธอเข้าสู่สภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นจนไม่รู้ว่ากำลังจะไปเจออะไรข้างหน้า


เท้าของหลินหยาก้าวลงจากรถม้าพร้อมความรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนวนไม่หยุด ลมหายใจเธอสั่นหอบ มือรีบควักเงินจ่ายคนขับโดยแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงพูดอะไรให้มากความ จากนั้นก็ลากสังขารอันอ่อนระโหยโรยแรงไปยังโคนต้นไม้ใหญ่ใกล้ประตูเมืองผิงหยวน ร่างบอบบางแทบทรุดลงกับพื้นทันทีที่สัมผัสร่มเงาเย็น ๆ ของต้นไม้ เสียงขย้อนดังขึ้นอย่างไม่อายใคร เธอก้มตัวโค้งงอราวกับจะขุดไส้ขุดพุงตัวเองออกมา น้ำย่อยใส ๆ ที่ขมปี๋ไหลทะลักออกจากปากจนลำคอแสบลามถึงจมูก น้ำตารื้นเพราะแรงเกร็งของท้องและความขมปนเปรี้ยวที่แล่นขึ้นมาจนรู้สึกคล้ายจะขาดใจ 


"แค่ก… แค่ก… โอ๊ย โคตรแย่…" เธอพึมพำเสียงแหบแห้งในคอ มือข้างหนึ่งยันลำตัวไว้ไม่ให้หน้าทิ่มดิน ขณะที่อีกมือเช็ดมุมปากอย่างลวก ๆ


เจ้าเซียนเฉ่าวิ่งกระโดดมาวนรอบตัวด้วยสีหน้าร้อนรน ก่อนจะใช้หัวดันแขนเธอเบา ๆ ราวกับเร่งให้เธอนั่งพักให้ดี หลินหยาหลับตาแน่น พยายามควบคุมลมหายใจช้า ๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายปั่นป่วนไปมากกว่านี้ แต่ทุกครั้งที่สูดลมหายใจลึก ความขมก็ยังติดค้างปลายลิ้นจนอยากจะบ้วนทิ้งอีกหลายรอบ


"นี่มัน… เลวร้ายยิ่งกว่าพิษที่ฉันโดนเสียอีก โคตรแย่ ทรมารชิบหาย" เธอเอ่ยอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะเอนหลังพิงลำต้นไม้ใหญ่ ปล่อยให้ความเย็นของเปลือกไม้และเสียงลมพัดใบช่วยให้หัวใจที่เต้นแรงค่อย ๆ สงบลง แม้ดวงตายังคงพร่า แต่ก็รู้ตัวว่าถ้ายังนั่งพักตรงนี้อีกหน่อย เธอคงมีแรงพอจะลุกขึ้นไปหาน้ำล้างปากและที่พักสำหรับคืนนี้ได้ หลินหยาลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า มือยังเช็ดปากและคอที่แสบอยู่นิด ๆ ก่อนจะควักน้ำในกระบอกไม้เล็กขึ้นมากลั้วปากแรง ๆ หลายครั้ง ไล่รสขมออกให้หมด พอหายใจได้คล่องขึ้น ความว่างโหวงในท้องก็ยิ่งโถมเข้าใส่จนเธอแทบจะงอแงกับตัวเองอยู่ตรงนั้น แถมลำไส้ยังประท้วงเสียงดังจ๊อกเหมือนเด็กงอแงอยากขนม


เธอกวาดสายตาหาเป้าหมายอย่างคนใกล้ตาย ก่อนจะเห็นป้ายไม้เก่า ๆ เขียนด้วยหมึกดำว่า “บะหมี่รสเด็ดเจ๊ฟู่!!” โผล่อยู่ตรงหัวมุมถนน ไม่รอให้สมองคิดซ้ำ หลินหยาก็กุลีกุจอเดินพุ่งไปแทบจะวิ่ง ใครมองก็ช่างเหอะ ตอนนี้เธอจะกิน!


"บะหมี่พิเศษเผ็ด ๆ หนึ่งชามเจ้าค่ะ! แล้วก็หมูเปื่อยหนึ่งชาม… ให้หมาข้าด้วยนะเจ้าคะ!" เธอตะโกนสั่งตั้งแต่ยังไม่ทันนั่ง เก้าอี้ไม้โยกเยกยังไม่ทันหยุดขยับ เจ้าของร้านหญิงวัยกลางคนก็หัวเราะเอ็นดู รีบตักเส้นบะหมี่ลงน้ำซุปหอมฉุย เสียงน้ำเดือดพล่านดังซู่ซ่าเหมือนกำลังปลอบท้องของหลินหยาว่า เดี๋ยวก็ได้กินแล้วนะ


เจ้าเซียนเฉ่าก็นั่งกระดิกหางรออย่างรู้หน้าที่ จมูกฟุดฟิดตั้งแต่ได้กลิ่นหมูเปื่อยลอยมา หลินหยามองแล้วหัวเราะหอบ ๆ พลางลูบหัวมัน "อดทนหน่อย อีกเดี๋ยวก็ได้กินแล้ว" ใบหน้าเธอเริ่มมีเลือดฝาดกลับมาเล็กน้อย แววตาที่เมื่อครู่ยังเลื่อนลอยตอนนี้กลับเป็นประกายตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ขนมโปรด ใจเธอคิดเพียงอย่างเดียว คืนนี้จะฟาดให้ลืมความเมารถทั้งวันไปเลย


หลังจากนั้นหลินหยาจับตะเกียบคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมาอย่างไม่รอช้า เส้นเหนียวนุ่มชุ่มซุปเผ็ดร้อนถูกซดเข้าปากพร้อมกลิ่นหอมของพริกผัดและเครื่องเทศที่ตีขึ้นจมูก พอคำแรกไหลลงคอ ความมึนหัวที่เกาะหนึบตั้งแต่บนรถม้าก็ถูกซัดออกไปเหมือนน้ำซุปกำลังชะล้างมันออกจากร่าง นางซดซุปอีกหนึ่งคำใหญ่โดยไม่สนใจว่าลิ้นจะแสบร้อน น้ำมันพริกสีแดงใสเกาะริมฝีปากจนต้องใช้หลังมือปาด ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ กับตัวเองที่กลับมามีแรงอย่างรวดเร็ว


เจ้าเซียนเฉ่าก็ไม่แพ้กัน หมูเปื่อยในชามเล็กของมันถูกจัดการอย่างรวดเร็ว เสียงเคี้ยวตุ้บ ๆ ดังประสานกับเสียงซดบะหมี่ของหลินหยาจนดูเหมือนคู่แข่งกันมากกว่าคู่หู ทั้งคู่กินราวกับกลัวว่าชามตรงหน้าจะหายไปเฉย ๆ


พอซดน้ำซุปจนหมดหยดสุดท้าย หลินหยาก็วางตะเกียบลง ถอนหายใจอย่างพอใจ ราวกับเพิ่งผ่านพิธีกรรมชำระร่างกายที่แสนศักดิ์สิทธิ์ นางหยิบถุงเงินขึ้นมาจ่ายค่าบะหมี่และหมูเปื่อยพร้อมพยักหน้าให้เจ้าของร้าน "ขอบคุณเจ้าค่ะ อร่อยจนหายตายเลย" จากนั้นก็ยกยิ้มบาง ก่อนลุกออกไปพร้อมเจ้าเซียนเฉ่า ร่างกายเบาสบายเหมือนพร้อมจะลุยต่อได้อีกครึ่งค่อนวัน


หลินหยาที่เพิ่งก้าวพ้นหน้าร้านบะหมี่ก็หยุดชะงักเมื่อสายตาปะทะเข้ากับป้ายไม้เก่า ๆ ริมถนนซึ่งเขียนด้วยหมึกจาง ๆ ว่า เมืองผิงหยวน – มณฑลจี้โจว คิ้วเรียวของนางขมวดแน่นทันที ราวกับหัวสมองกำลังประมวลผลว่าตัวเองเผลอหลุดออกนอกเส้นทางมาขนาดไหน ก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าราวกับขอคำอธิบายจากสวรรค์ “นี่ข้าหลุดมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงวะ…ออกนอกเส้นทางไปเกือบสุดขอบแผนที่แล้วมั้ง” นางพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วกลอกตาแรง ๆ เหมือนกำลังสาปแช่งโชคชะตาของตัวเอง


แต่ยังไม่ทันจะได้บ่นจบหูทั้งสองก็พลันได้ยินเสียงตะโกนคุยกันของพวกชาวบ้านที่เดินผ่าน “ได้ข่าวยัง? ตอนนี้ที่ป๋อไหมีเรือวาฬสินค้ามาเทียบท่าแล้วนะ ของจากหมู่บ้านวาฬเพียบ ราคาดีมากด้วย!” คำว่า ราคาดี เหมือนคาถาปลุกวิญญาณแม่ค้าที่ซ่อนอยู่ในตัวหลินหยาให้ลุกพรวดขึ้นมาทันที หูของนางผึ่งขึ้นอย่างชัดเจน ดวงตาที่เมื่อครู่ยังเต็มไปด้วยความหงุดหงิดก็เปล่งประกายวาววับในพริบตา ริมฝีปากยกยิ้มมุมปากแบบคนที่ได้กลิ่นกำไรลอยมา


“ของจากหมู่บ้านวาฬงั้นรึ…หึ ของพวกนั้นทั้งหายากทั้งขายได้ราคาดีในเมืองใหญ่” นางพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นราวกับลืมเรื่องเมารถม้าไปหมดสิ้น จากอาการหมดแรงเมื่อครู่ ตอนนี้เท้าเบาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เจ้าเซียนเฉ่าที่เดินตามมาก็กระดิกหูอย่างงง ๆ “คุณหนูหลิน…จะไปซื้อของขายอีกแล้วเหรอขอรับ?” 


หลินหยาหันไปยิ้มกว้าง “ใช่สิ! โอกาสทองแบบนี้ ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือเด็ดขาดเลยนะเซียนเฉ่า” แล้วนางก็หันซ้ายหันขวาหาทางไปป๋อไหทันที ใบหน้าที่เมื่อครู่ยังบ่นโชคชะตา ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่พร้อมพุ่งเข้าหากำไรเหมือนแมวตาโตเจอปลาสด ๆ เลยทีเดียว


แต่ทว่าหลินหยาที่กำลังตาวาวด้วยประกายแห่งผลกำไร ถึงกับชะงักเมื่อได้ยินเสียงเจ้าเซียนเฉ่าพูดขึ้นมาอย่างมีเหตุผล “งั้นวันนี้เราไปจ้างรถม้าดี ๆ ก่อนดีไหมขอรับ แล้วก็พักที่โรงเตี๊ยมดีกว่า…คุณหนูหลินก็นั่งรถมาทั้งวัน แถมเมารถจนแทบอ้วก ถ้าเดินทางต่อเลยเดี๋ยวจะยิ่งแย่เอานะขอรับ ร่างกายยิ่งไม่แข็งแรงอยู่” เสียงทุ้มเล็ก ๆ ของหมาน้อยพาเอาลมเย็นกว่าลมค่ำพัดเข้ามาในหัว 


หลินหยากะพริบตาปริบ ๆ แล้วมองเจ้าขนปุยตรงหน้า ก่อนจะยกมือชี้ “โห…พูดถูกเว้ย! ทำไมเจ้าเฉ่าของข้าฉลาดแบบนี้นะ!”


นางยกมือกอดมันแน่นเหมือนเพิ่งพบอัญมณีล้ำค่า “ก้ได้ ๆ เอาตามนั้นเลย ข้าไม่อยากเสี่ยงชีวิตไปนั่งรถม้าโยกหัวโยกไหล่อีกแล้ว คราวนี้จะนอนหลับบนที่นอนนุ่ม ๆ อุ่น ๆ ให้เต็มอิ่มสักคืน” พูดพลางยืดตัวบิดขี้เกียจ ราวกับความคิดเรื่องกำไรในป๋อไหก็ยังอยู่ แต่ขอให้ร่างกายได้ชาร์จพลังเสียก่อน


จากนั้นนางก็เดินคุยกับเจ้าเซียนเฉ่าอย่างอารมณ์ดี มองหาป้ายโรงเตี๊ยมที่ดูไม่โทรมจนเกินไป ระหว่างทางก็ยังฮัมเพลงเองพลางกวาดตามองร้านรวงข้างถนน เผื่อเจอของน่าสนใจติดไม้ติดมือ พอเห็นป้ายโรงเตี๊ยมไม้สลักลายเมฆมงคล นางก็ยิ้มทันที “เอาล่ะ…คืนนี้นอนที่นี่! แล้วพรุ่งนี้ค่อยออกล่ากำไรจากพวกหมู่บ้านวาฬให้คุ้ม!” เสียงของหลินหยาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ราวกับทั้งความเพลียและความซวยตลอดวันถูกล้างออกไปหมดสิ้น


หลินหยาพอจัดการเรื่องเช่ารถม้าสำเร็จ ก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากบ่า ความคิดที่ว่าพรุ่งนี้จะไม่ต้องหัวสั่นหัวคลอนอีกทำให้หัวใจเธอเบาสบายขึ้นเป็นกอง นางเดินตัวปลิวเข้าไปที่เคาน์เตอร์โรงเตี๊ยม เสียงกระดิ่งไม้ตรงประตูดังกรุ๊งกริ๊งต้อนรับ สาวใช้ที่เฝ้ารับแขกเงยหน้าขึ้นยิ้มพร้อมคำนับ หลินหยาโบกมือเบา ๆ แล้วบอกตรง ๆ ว่า “ข้าขอห้องพักสักห้อง…เอาที่เตียงนุ่มหน่อยนะ วันนี้ข้าจะขอนอนตายทั้งวัน” หลังจากจ่ายเงินและรับกุญแจห้อง นางก็พุ่งขึ้นบันไดไปอย่างคนหมดแรง พอเปิดประตูเข้าไป กลิ่นไม้หอมอ่อน ๆ กับหมอนที่ดูฟูราวกับก้อนเมฆก็ทำให้เธอถึงกับผ่อนลมหายใจยาว นางโยนสัมภาระลงมุมห้องแบบไม่สนอะไร จากนั้นก็ดิ่งตัวลงบนเตียงโดยไม่คิดแม้แต่จะถอดรองเท้า “โอ้…นี่สิชีวิตที่ข้าสมควรได้รับ”


เจ้าเซียนเฉ่าก็กระโดดขึ้นมานอนขดอยู่ข้าง ๆ ส่งเสียงครางง่วง ๆ เหมือนบอกว่า “วันนี้เหนื่อยพอแล้วขอรับ” หลินหยาหัวเราะในลำคอ ลูบหัวมันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะนอนเหยียดยาว ปล่อยให้เสียงจังหวะหัวใจและความเงียบสงบในห้องกล่อมให้เธอค่อย ๆ หลับตาไปเล็ก ๆ เพื่อพักผ่อน


หลังจากอาบน้ำอุ่นชำระคราบเหนื่อยล้าของทั้งวันออกไปจนหมดสิ้น หลินหยาก็รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ ผิวที่แดงนิด ๆ จากไอน้ำยังส่งกลิ่นสบู่หอมอ่อน ๆ คล้ายกลีบดอกไม้ นางเช็ดผมให้หมาดพอไม่หยดน้ำ จากนั้นก็จัดเบาะนอนราคาแพงที่ซื้อมาจากร้านเครื่องเรือนชั้นดีให้เจ้าเซียนเฉ่า ซึ่งพอได้เห็นก็ทำตาเป็นประกาย กระโดดขึ้นไปนอนขดตัวอย่างสบายใจ ราวกับเจ้าหมาน้อยรู้ว่าของชิ้นนี้เป็นของมันโดยเฉพาะ


หลินหยาเดินไปหยิบตำราปกเก่าแต่สะอาดที่เสี่ยวจ้าวจื่อเคยมอบให้ขึ้นมา กลิ่นกระดาษผสมหมึกอ่อน ๆ ลอยมาแตะจมูก เธอจัดหมอนพิงหลังแล้วนั่งลงข้างโต๊ะเตี้ย จุดตะเกียงน้ำมันให้แสงสีทองส่องลงบนตัวหนังสือ เสียงพลิกหน้ากระดาษเบา ๆ ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ


สายตาของเธอจับจ้องไปที่หมวดเมนูเนื้อเป็ด และเมื่อเลื่อนอ่านไปเรื่อย ๆ ก็พบชื่อที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น เป็ดย่างน้ำผึ้งซ่อนกลิ่น เพียงแค่อ่านขั้นตอนและรายละเอียดเครื่องปรุง กลิ่นหอมหวานปนเค็มมันก็เหมือนจะลอยขึ้นมาในจินตนาการทันที น้ำผึ้งป่าผสมกับกลิ่นดอกไม้แห้งที่บดเป็นผงละเอียด ช่วยชูรสเนื้อเป็ดให้หวานละมุนและซ่อนรสเผ็ดซ่านปลายลิ้นอย่างแนบเนียน


ดวงตาของหลินหยาค่อย ๆ เปล่งประกายขึ้นทีละน้อย ริมฝีปากโค้งยิ้มอย่างคนพบขุมทรัพย์ “ถ้าทำสำเร็จ…อร่อยแน่ ๆ บอกเลย” เธอบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาศึกษาเทคนิคการหมัก การย่าง และการทำซอสเคลือบอย่างตั้งอกตั้งใจ ราวกับโลกภายนอกจะหยุดหมุนไปแล้ว เหลือเพียงเธอ ตำรา และความฝันถึงรสชาติอันเลิศล้ำในอนาคต






@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

พรสวรรค์ : ดาวนำโชค (ทอง)
(วันละครั้ง) มีโอกาสที่จะพัฒนาค่าประสบการณ์ให้คนในกลุ่มที่ร่วมเดินทาง ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ +20 EXP เมื่อสุ่มได้เลขไบต์ (0 / 2 / 4 / 6 / 8 / 9)  = ไม่ได้สู้
เพิ่มสถานะ สวรรค์อำนวยพร (เพิ่มโชค+15 LUK) แก่เพื่อนร่วมเดินทาง เป็นระยะเวลา 7 วัน เมื่อสุ่มได้เลขไบต์ (1/ 3 / 5 / 7)

อื่น ๆ: เอาล่ะ วันนี้น้อยสุดละ 5555 ไม่มีเวลา คิดไม่ออก วันแรกที่ไม่ตีม่อน
ศึกษา เป็ดย่างน้ำผึ้งซ่อนกลิ่น (2/4)

รางวัล: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

เพิ่มสถานะ สวรรค์อำนวยพร แนะนำให้ใช้ก่อนจะเข้าต่อสู้ใหญ่ เราะมันไม่ใช่เพิ่มสเตตัสถาวร มันคือได้ไอเท็มบัพสวมใส่ 7 วัน และวันที่ 7 เราต้องลบไอเท็มออกจากตัวสัตว์เลี้ยง   โพสต์ 2025-8-10 11:05
โพสต์ 77416 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-9 21:06
โพสต์ 77,416 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-9 21:06
โพสต์ 77,416 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-9 21:06
โพสต์ 77,416 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-9 21:06
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-11 09:17:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 10 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามอิ๋น ณ เมืองผิงหยวน มณฑลจี้โจว - ยามไห่ เรือวาฬแห่งหมู่บ้านลู่ไห่ เมืองป๋อไห่ มณฑลจี้โจว จักรวรรดิต้าฮั่น


ยามอิ๋นเพิ่งเริ่มแตะขอบฟ้า อากาศยังเย็นชื้นด้วยหมอกบาง ๆ ที่คลอเลียบริมหน้าต่างไม้เก่า หลินหยาลืมตาขึ้นอย่างว่องไว ร่างกายยังไม่หายล้าเต็มที่จากการเดินทางเมื่อวาน แต่หัวใจกลับเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นของคนที่ได้กลิ่นโอกาสทำกำไรตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่ เธอลุกจากเตียงไม้ กลิ่นสบู่เมื่อคืนยังติดปลายผมอยู่เล็กน้อย มือเรียวรวบเส้นผมลวก ๆ ก่อนก้าวลงสู่พื้นเย็นเฉียบอย่างไม่ลังเล ใจคิดเพียงว่าการได้ของดีราคาถูกในยามเช้า…คือกำไรที่ไม่มีแม่ค้าคนไหนกล้าปฏิเสธ


ในอกนึกถึงเพียงภาพเรือวาฬสินค้าที่จอดเทียบท่าอยู่แถวป๋อไห สินค้าแปลกใหม่จากหมู่บ้านวาฬ ทั้งเครื่องเทศหอมแรง หนังสัตว์หายาก หรือแม้กระทั่งของกินที่ในตลาดปกติไม่มีวางขาย ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนมีกลิ่นหอมจากทะเลพัดมาแตะจมูก ราวกับเรียกให้รีบไป


แม้ในใจรู้ว่าจางกงกงอาจกำลังรอ หรืออาจจะยังอยู่ที่เมืองหานตาน…หรืออาจจากไปแล้วก็ได้ แต่หลินหยากลับไม่อาจสนใจได้มากนักในตอนนี้ โชคชะตาอาจเล่นตลกให้ทั้งสองยังได้พบกันอีกในอนาคต ทว่าของดีนั้น หากปล่อยให้คนอื่นคว้าไปก่อน ต่อให้ฟ้าเปิดทางก็ไม่อาจหวนกลับมาได้ โชคชะตาของแม่ค้า มันคือการก้าวให้ทันโอกาสที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าเส้นทางจะพาออกนอกคัมภีร์ชีวิตแค่ไหนก็ตาม และในเช้าวันนี้หลินหยาก็ตัดสินใจแล้วต้องไปถึงท่าเรือก่อนใคร


หลินหยาก้มลงไปเขย่าตัวเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่กำลังนอนขดอย่างสบายบนเบาะนุ่มราคาแพง เสียงเธอดังและเด็ดขาดพอจะปลุกคนตายให้ฟื้น “ตื่นได้แล้ว เจ้าเซียนเฉ่า! ถ้ายังไม่ลุก ข้าจะจับเจ้าใส่ปลอกคอหนังแข็งราคาถูกจากตลาดท้ายหมู่บ้านให้ดู!” น้ำเสียงนั้นทั้งข่มขู่ทั้งประชด เล่นเอาหูของเจ้าหมาน้อยกระดิกวาบ ดวงตากลม ๆ ที่ยังงัวเงียเบิกกว้างแทบจะทันที ร่างเล็กสะบัดหัวรัว ๆ จนขนฟู ยืนขึ้นบนเบาะอย่างรวดเร็วราวกับถูกไฟลน “ไม่เอาของถูกนะขอรับ! ของถูกมันไม่เท่เลย! ข้าหล่อเกินกว่าจะยอมรับชะตากรรมแบบนั้นได้!” เสียงมันสั่นแต่ก็รีบก้าวลงจากเบาะมาคลอเคลียขาเจ้านายเหมือนจะอ้อนให้ยกโทษ


หลินหยากระตุกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ ขยับมือไปดึงสายจูงผ้าไหมสีงามที่มันชอบแล้วพูดสั้น ๆ “งั้นก็รีบเดินซะ เราต้องไปถึงท่าเรือก่อนใคร” เจ้าเซียนเฉ่ากลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วเดินจ้ำตามอย่างไม่มีอิดออด เพราะรู้ดีว่าถ้าเจ้านายลงมือจริง ปลอกคอราคาถูกนั่นอาจจะไม่ใช่แค่คำขู่


หลินหยาระบายยิ้มบางในยามที่ลมหนาวปะทะแก้ม กลิ่นไอหมอกยามอิ๋นยังคลอเคลียอยู่ในอากาศราวกับม่านบางที่คลุมเมืองเอาไว้ เธอไม่ได้ยกสายจูงหรือปลอกคอให้เจ้าเซียนเฉ่าในเช้าวันนี้ ไม่ใช่เพราะลืม แต่เพราะอยากให้มันเดินอย่างอิสระตราบใดที่มันไม่ก่อเรื่อง เธอเชื่อว่าบางครั้งการไว้ใจเล็กน้อยก็ทำให้ผู้ร่วมทางซื่อสัตย์ขึ้นกว่าการบังคับคุม เจ้าเซียนเฉ่าเองก็เหมือนรู้หน้าที่ ขนสีน้ำตาลอมทองสะท้อนแสงตะเกียงข้างทางอย่างอุ่นตา ดวงตากลมสว่างวาวจับจ้องไปข้างหน้าอย่างตั้งใจ ขามันก้าวฉับ ๆ ราวกับทหารยามที่มีภารกิจสำคัญ ไม่หันเหไปดมกลิ่นตลาดยามเช้าหรือกองเศษอาหารเหมือนหมาทั่วไป เสียงฝีเท้าของมันกระทบพื้นกรวดดังสม่ำเสมอพาเธอมุ่งสู่ท่ารถม้า


ถนนในเมืองอู๋เหยียนยังเงียบงัน มีเพียงเสียงกงยามเคาะไม้บอกเวลาที่แว่วมาเป็นระยะ และกลิ่นฟืนจากโรงต้มน้ำร้อนของโรงเตี๊ยมบางแห่งลอยปะปนมากับหมอก หลินหยากระชับเสื้อคลุมสีเข้มให้แน่นขึ้นเพราะลมยามเช้าช่างเย็นกว่าที่คิด แต่แววตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความเร่งรีบเวลาไม่คอยใคร และของดีจากเรือวาฬสินค้าที่เธอหมายตาไว้คงไม่รอคนสายเช่นกัน


เมื่อทั้งคู่เลี้ยวเข้าสู่ถนนหลักใกล้ท่ารถม้า แสงตะเกียงจากสถานีม้าลากก็ส่องวาบเป็นจุดสว่างกลางความมืด เงาร่างคนงานไม่กี่คนกำลังจัดเตรียมรถม้าสำหรับรอบแรกของวัน เสียงม้าสะบัดหางและหอบลมหายใจดังปนเสียงแซ่บ่นของสารถีที่ยังง่วงนอน หลินหยากับเจ้าเซียนเฉ่าเดินฝ่ากลิ่นหญ้าแห้งและกลิ่นม้าสด ๆ เข้าไปโดยไม่ลังเล เหมือนนักล่าที่กำลังเข้าหาเหยื่อ เพียงแต่เหยื่อของเธอวันนี้คือโอกาสทองในโลกการค้า


หลินหยายกมือโบกให้คุณสารภีเจ้าของรถม้าส่วนตัวที่เธอจ่ายเหมาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน สีหน้าโล่งอกเพราะอย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตหัวสั่นหัวคลอนเหมือนนั่งรถม้าประจำทางราคาถูกอีกแล้วคิดแล้วก็สยอง! ภาพตอนเกือบพุ่งออกมาหมดท้องยังติดอยู่ในความทรงจำแบบไม่ลืมง่าย ๆ เธอก้าวขึ้นรถม้าอย่างคล่องแคล่ว แล้วลงนั่งแหมะบนเบาะนุ่มที่มีกลิ่นหนังขัดใหม่ ๆ 


เจ้าเซียนเฉ่าก็กระโดดขึ้นตามมาแล้วนั่งหมอบอย่างสงบ เหมือนรู้ว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของคุณหนูของมัน หลินหยาพลิกห่อผ้าสีเข้มออกมา ค่อย ๆ นับตำลึงทองในมือ เสียงกระทบกันของเหรียญทองเงาวับดัง “กริ๊ง…กริ๊ง…” สะท้อนในความเงียบของรถม้า นับไปนับมาแล้วได้ 400 ตำลึงพอดิบพอดี เธอยกคิ้วเล็กน้อย พลางคิดในใจว่า ถ้าซื้ออย่างรอบคอบก็น่าจะพอกรอกสต๊อกร้านได้ครบทุกหมวด แม้ร้านของเธอจะไม่ใหญ่ แต่ทุกอย่างที่วางขายต้องเด็ดจริง


มือเรียวกำตำลึงทองแน่นเหมือนกำหัวใจนักล่าโอกาส แล้วเงยหน้ามองไปข้างหน้าอย่างมีประกายตาวาววับ การเดินทางวันนี้ไม่ใช่แค่ไปซื้อของแต่มันคือการล่าขุมทรัพย์ของแม่ค้าหลินหยาโดยแท้


เสียงล้อรถม้ากระทบพื้นหินดังกึกกักเป็นจังหวะชวนให้หัวใจของหลินหยาตีคู่ไปกับความตื่นเต้นในอก เช้าวันนี้แม้ท้องฟ้ายามอิ๋นยังมืดสลัว แต่แสงตะเกียงตามทางและไอเย็นบางเบาของเมืองผิงหยวนกลับทำให้บรรยากาศยิ่งมีเสน่ห์ รถม้าส่วนตัวที่เธอจ้างไว้ทั้งวันแล่นออกจากหน้าที่พักไปอย่างมั่นคง ไม่เร่งไม่ช้า ต่างจากรถม้าประจำทางคุณภาพแย่เมื่อวานที่โยกหัวเธอแทบหลุด เจ้าเซียนเฉ่าในสภาพหมาน้อยติดหรูนั่งข้างเท้าของเธอพลางเหยียดตัวอย่างสบายใจ ขนสีดำน้ำตาลทองของมันเงาวับตัดกับเบาะรถม้าสีเข้ม ราวกับมันก็รู้ว่ามื้อนี้เป็นการเดินทางแบบผู้ดีมีชาติตระกูล


หลินหยานั่งไขว่ห้างเล็ก ๆ มือหนึ่งลูบกระเป๋าผ้าที่ซุกเงินสี่ร้อยตำลึงทองเอาไว้ ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประสาแม่ค้าที่ได้กลิ่นโอกาส เธอเคาะปลายนิ้วเบา ๆ บนพนักเบาะ คำนวณในใจว่าถ้าสินค้าวาฬจากหมู่บ้านป๋อไหมีคุณภาพดีจริง เธอจะเริ่มกว้านซื้ออะไรเป็นอันดับแรก อาจจะเป็นหนังสัตว์หายากที่ชาวบ้านฝั่งเหนือชอบใช้ทำเสื้อกันหนาว หรืออำพันทะเลที่พวกขุนนางภาคกลางนิยมสะสมไว้ประดับโต๊ะชา จากนั้นก็ค่อยต่อรองราคาของสดและสมุนไพรทะเลที่เก็บได้เฉพาะฤดูกาล เพื่อเอาไปขายต่อในตลาดฉางอัน


"คุณหนูดูเหมือนกำลังวางแผนรบเลยนะขอรับ" เสียงคุณสารภีดังขึ้นจากด้านหน้าที่นั่งควบม้า พลางหัวเราะแผ่ว ๆ ผ่านผ้าพันคอ หลินหยาเลิกคิ้วแล้วตอบด้วยน้ำเสียงสดใส "ก็การค้าดีนี่นาดเจ้าคะ ข้าจะปล่อยให้โอกาสหลุดมือได้อย่างไร อีกอย่างนะ… ข้าลงทุนเหมาท่านมาทั้งวัน ข้าก็ต้องรีบเก็บกำไรกลับไปให้ได้สิ"


รถม้าวิ่งผ่านตรอกแคบ ๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยแสงตะเกียงสลัวและเงาของผู้คนที่เริ่มตื่นขึ้นมาขายของเช้าตรู่ เสียงตะโกนเรียกลูกค้าดังเป็นระยะ กลิ่นหอมของขนมอบร้อน ๆ และน้ำอบหอมลอยเข้ามาเตะจมูก แต่มันฉุนพอสมควรเธอไม่ชอบกลิ่นฉุนแบบนี้เลย ทำให้ท้องของหลินหยาร้องเบา ๆ แต่เพียงนึกถึงน้ำหอมฉุน ๆ เธอก็หน้ามืดขึ้นมาเล็กน้อยเพราะอาการไม่ชอบขั้นรุนแรง มือเรียวโบกเบา ๆ ราวกับไล่กลิ่นไม่พึงประสงค์ก่อนหันไปลูบหัวเซียนเฉ่าแทน


"เจ้าได้กลิ่นไหม? กลิ่นแบบนี้ห้ามกินเด็ดขาดนะ" เธอก้มลงกระซิบกับหมาน้อย มันก็เลิกคิ้วเล็ก ๆ ราวกับจะบอกว่า ข้าก็ไม่กินของถูกแบบนั้นอยู่แล้ว หลินหยาหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอนหลังพิงเบาะอย่างผ่อนคลาย


การเดินทางยังอีกยาว แต่ครั้งนี้ต่างจากเมื่อวาน ไม่ใช่เพราะมีรถม้าดี ๆ เท่านั้น แต่เพราะหัวใจของเธอกำลังเต้นตามจังหวะของกำไรที่จะได้ในอนาคต เหมือนแม่ทัพที่กำลังจะยกทัพออกศึก เธอพร้อมแล้วที่จะบุกตะลุยตลาดสินค้าแห่งป๋อไหเพื่อคว้าทุกสิ่งที่คู่ควรแก่การลงทุนมาไว้ในมือ


รถม้าค่อย ๆ ชะลอลงจนหยุดนิ่ง เสียงล้อฝืดไปตามพื้นดินชื้นใกล้ตลิ่งลำธาร สารถีคุณสารภีหันมาทางด้านใน สีหน้าดูขึงขังผิดจากที่เคยเป็น เขากดเสียงต่ำบอก “คุณหนู หลบอยู่ด้านในนะขอรับ อย่าเพิ่งออกไป” น้ำเสียงนั้นมีทั้งความระวังและความเร่งร้อน ราวกับมีอะไรบางอย่างอันตรายรออยู่ข้างหน้า หลินหยายกคิ้วขึ้นนิด ๆ เอียงคอมองไปนอกหน้าต่างอย่างไม่วายอยากรู้อยากเห็น


เพียงพอแหวกผ้าม่านออกมาเล็กน้อย สายตาก็พบภาพที่ชวนให้ทั้งงงและขำในเวลาเดียวกัน บนฝั่งตรงข้ามของลำธาร มีปีศาจปลา 4 ตัวโผล่หัวและครีบขึ้นจากผิวน้ำ ดวงตากลมโปนสีเหลืองจ้องมาทางรถม้าเหมือนรอเหยื่อ แต่ที่พีคกว่านั้น… ตรงกลางมีร่างสูงกว่าเล็กน้อยยืนกางปีกเปียกน้ำอยู่ มันคือ ปีศาจเป็ด หงอนหัวสีเขียวมันปลาบ คอยาวโค้งไปข้างหน้า ราวกับนักเลงประจำลำธารที่กำลังข่มเหงชาวบ้าน หลินหยาหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ มุมปากกระตุกยิ้มอย่างอดไม่ได้ ความคิดแรกไม่ใช่ความกลัว แต่กลับเป็น “อาหารเช้า…” คำเดียวสั้น ๆ พร้อมภาพบะหมี่ร้อน ๆ กับเนื้อเป็ดเปื่อย ๆ ลอยมาแทนที่จะคิดเรื่องหนีเอาตัวรอด


เซียนเฉ่าที่นั่งข้างเท้าเธอเงยหน้ามองอย่างรู้ทัน หางมันกระดิกไปมาเล็กน้อยเหมือนจะถามว่า คุณหนูคิดเหมือนข้ารึเปล่า หลินหยาเพียงใช้ปลายรองเท้าเขี่ยตัวมันเบา ๆ แล้วกระซิบ “อย่าเพิ่งวิ่งไปนะ เดี๋ยวข้าวางแผนก่อน”


ด้านนอกปีศาจเป็ดส่งเสียง “ก๊าบก๊าบ” แต่กลับแฝงด้วยพลังปราณ ทำให้เสียงก้องสะท้อนราวกับคำท้าทาย ลูกน้องปีศาจปลาทั้ง 4 ว่ายวนเป็นวง ปรากฏคมเขี้ยวเล็ก ๆ ใต้ปากอันลื่นไหล นี่มันไม่ใช่ปลาธรรมดา แต่น่าจะเป็นพวกก่อกวนที่คอยดักปล้นคนเดินทางผ่านลำธาร คุณสารภีเหลือบตามองหลินหยาเล็กน้อย ราวกับจะเตือนว่าอย่าทำอะไรบ้าบิ่น แต่สายตาที่เห็นเธอกำลังนั่งไขว่ห้าง มือเท้าคางยิ้มกริ่มอย่างคนที่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย… ทำให้เขารู้ทันทีว่าแม่ค้าหญิงผู้นี้คงมีอะไรซุกไว้มากกว่ากระเป๋าเงินหนัก ๆ ใบเดียวแน่


ลมเย็นยามเช้าพัดเอากลิ่นน้ำคาวของลำธารผสมกับกลิ่นดินชื้นมาแตะจมูก บรรยากาศเหมือนจะเป็นการเจรจาเพื่อผ่านทาง… แต่ในหัวของหลินหยากลับเต็มไปด้วยสูตรหม้อไฟเนื้อเป็ดกับซุปหัวปลาแทน


หลินหยาก้าวลงจากรถม้าด้วยท่วงท่ามั่นใจจนคุณสารภีแทบอ้าปากค้าง พื้นดินชื้นและลื่นจากหมอกยามเช้าไม่อาจทำให้จังหวะเท้าของนางเสียหายแม้แต่น้อย เซียนเฉ่านั่งหมอบอยู่ข้างรถม้า แววตาลุ้นสุดตัว หางกระดิกดุ๊กดิ๊กเป็นกำลังใจแต่ก็รู้ตัวว่าป่วยจนลงสนามไม่ได้ ได้แต่เป็นกองเชียร์ประจำขอบเวที


มือเรียวของหลินหยาคว้าขลุ่ยจากข้างเอว เครื่องดนตรีอันแสนอ่อนหวานในยามปกติ แต่ในมือนางตอนนี้กลับกลายเป็นกระบองไม้กระแทกหัวศัตรูได้อย่างไม่เกรงใจ เสียงหวีดเล็กของลมที่ลอดช่องขลุ่ยดังขึ้นเมื่อเธอฟาดหมับแรกใส่หัวลูกน้องปีศาจปลาที่พุ่งขึ้นจากน้ำ เสียง “ปั้ก!” ดังสะท้อนกับเสียงน้ำกระจาย มันผงะถอยไปพร้อมฟองน้ำปุด ๆ ปีศาจเป็ดนักรบเห็นดังนั้นก็ส่งเสียง “ก๊าบก๊าบ!” ลั่นราวเสียงคำราม กางปีกอันเปียกโชกวิ่งตะลุยฝั่งข้ามมา ครีบเท้าใหญ่ตีนตบกระแทกผิวน้ำดังปั้ก ๆ ราวกลองศึก ในมือมันถือหอกเหล็กด้ามยาว ปลายหอกเป็นใบมีดโค้งคล้ายจะออกแบบมาเฉือนเหยื่อโดยเฉพาะ


หลินหยากระโดดหลบเฉี่ยวแรกด้วยความคล่องแคล่ว พลิกตัวกลับก่อนจะเอาขลุ่ยฟาดแน่น ๆ ที่ข้อต่อปีกของมัน เสียง “เพี๊ยะ!” ดังจนเจ้าปีศาจเป็ดสะดุ้ง หอกในมือมันแกว่งพลาดจังหวะ และเพียงเสี้ยววินาทีนั้น หลินหยาก็พุ่งเข้าประชิด คว้าด้ามหอกด้วยมือซ้าย บิดข้อมือมันอย่างแม่นยำจนหอกหลุดจากกำ


“ข้าขอแล้วกันนะ” นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะหมุนหอกหนึ่งรอบแล้วตั้งท่าใหม่ ปลายหอกหันไปยังกลุ่มปีศาจปลาที่เริ่มลังเลจะเข้ามาหรือถอยหนี เซียนเฉ่าเห่า “วุ้ฟ!” หนึ่งครั้งราวส่งสัญญาณเชียร์เหมือนจะบอกว่า เอาเลยคุณหนู! เอาให้สุด! จัดการมันเลย! ขณะที่แสงแดดยามเช้าสาดต้องใบหอกเกิดประกายวาว หลินหยาก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมหอกในมือ ดวงตาวาวโรจน์เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของนักล่าที่ได้ของเล่นใหม่


หลินหยาหมุนหอกในมืออย่างคล่องแคล่ว ก้าวไปข้างหน้าด้วยจังหวะที่เฉียบคม ร่างของปีศาจปลาตัวแรกถูกแทงทะลุส่วนอก น้ำคาวสีคล้ำไหลทะลักลงพื้นดินชื้น เสียงกระพือครีบสุดท้ายเงียบลงในไม่กี่ลมหายใจ นางไม่เสียเวลาเปลืองแรงไปกับการเล่นเชิง เก็บเรียบทุกตัวอย่างแม่นยำ  แทงเฉียงคอ สับกลางหัว หรือปักลำตัวลงพื้นดินให้หยุดดิ้นทันที ปีศาจเป็ดนักรบพยายามถอย แต่หลินหยาไม่ปล่อยให้รอด นางปัดปีกมันออกด้วยด้ามหอก ก่อนจะหมุนปลายหอกทิ่มใส่ช่วงท้องด้านล่างอย่างแม่นยำ เสียง “แกร๊ง!” ของกระดูกหักและเสียงร้อง “ก๊าบ!” สุดท้ายก็ดับลงพร้อมร่างใหญ่ที่ล้มตึง น้ำสาดกระเซ็นปนกลิ่นคาวคละคลุ้ง


เมื่อสนามเงียบลง หลินหยาก็ถอนหอกออกจากร่างศัตรู วางมันพิงรถม้า ก่อนนั่งยอง ๆ ใช้มีดพกเล็กในเอวเชือดอย่างชำนาญ แยกเอาส่วนที่มีค่าออกมา เนื้อปลาเนียนแน่นสำหรับทำต้มยำหรือย่าง, ครีบและเกล็ดที่ใช้ทำยา, ถุงลมสำหรับทำของแห้ง ส่วนปีศาจเป็ดนั้น นางจัดการถอนขนเก็บหนังและเอาไขมันไว้ต้มทำซุป มันคือสมบัติล้วน ๆ สำหรับแม่ค้า


“เซียนเฉ่า ไปฝังให้เรียบร้อย” หลินหยาพูดพลางผิวปากเรียก หมาน้อยตัวสีดำทองน้ำตาลขยับลุกขึ้นด้วยสีหน้าเหม็นคาวปนไม่เต็มใจ แต่พอเห็นสายตาดุ ๆ ของคุณหนู มันก็ลากร่างปีศาจปลาไปฝังอย่างขยันขันแข็งทีละตัว ขุดดินปกคลุมจนมิดไม่ให้กลิ่นคาวลอยไปรบกวนคนแถวนั้น เมื่อฝังเสร็จ หลินหยาก็ปัดมือเช็ดดินออกจากเสื้อผ้า ลุกขึ้นยืนพร้อมถุงวัตถุดิบเต็มมือ น้ำเสียงพอใจเอ่ยกับตัวเองว่า “มื้อเช้าได้ของดี แถมยังได้สต็อกเพิ่มอีกด้วย…คุ้ม” แล้วจึงเดินขึ้นรถม้าอย่างอารมณ์ดี เตรียมออกเดินทางต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย


ลมทะเลเย็นชื้นปะทะใบหน้าในขณะที่รถม้าค่อย ๆ ลดความเร็วลงเมื่อเข้าสู่ย่านท่าเรือ เสียงคลื่นซัดกระทบตลิ่งดังสลับกับเสียงนกทะเลแหลมสูงที่บินโฉบวนเหนือหัว หลินหยาสูดลมหายใจลึก กลิ่นเค็มปนกลิ่นสาหร่ายที่ลอยมากับสายลมชวนให้หัวใจเธอเต้นแรงอย่างประหลาด ภาพนี้พาให้คิดถึงผานอวี้บ้านเกิดที่มีแม่น้ำใหญ่เชื่อมทะเลอ่าวใต้ แม้ไม่ใช่ท้องฟ้าหรือผืนน้ำเดียวกัน แต่ความรู้สึกคุ้นเคยก็เอ่อล้นขึ้นมาในอก


เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งอยู่ข้างเธอเบิกตาโพลงตั้งแต่ล้อรถยังไม่หยุด มันสูดกลิ่นอากาศอย่างกระตือรือร้น หูตั้งสลับขยับตามเสียงคลื่นกับเสียงคนตะโกนขนของ มันยื่นหัวออกไปนอกตัวรถพยายามมองทุกสิ่งรอบตัวเหมือนเด็กน้อยเพิ่งเจอโลกใบใหม่ ดวงตาสีน้ำตาลทองวาวโรจน์เมื่อเห็นผิวน้ำระยับระยับยามต้องแสงอาทิตย์เช้าตรู่


หลินหยามองมันแล้วหัวเราะเบา ๆ “นี่สินะ…ครั้งแรกของเจ้ากับทะเล” น้ำเสียงปนเอ็นดู ก่อนที่สายตาจะหันไปจับภาพเรือสำเภาลำใหญ่ที่ทอดสมออยู่ไม่ไกล ธงสีครามปักสัญลักษณ์หมู่บ้านวาฬโบกสะบัดเหนือเสากระโดง ราวกับประกาศว่าขุมทรัพย์แห่งสินค้านั้นได้ใกล้มาถึงแล้ว เสียงคนงานตะโกนรับส่งกันขนลังไม้และถุงผ้าลงจากเรือ แข่งกับเสียงหัวเราะของพ่อค้าแม่ค้าที่แห่กันมาเลือกซื้อของใหม่


หัวใจแม่ค้าของหลินหยาถึงกับเต้นโครม เธอก้าวลงจากรถอย่างเร่งรีบ มือหนึ่งคว้ากระเป๋าเงิน พลางกวาดตามองหาจุดที่จะพาเธอขึ้นเรือไปยังหมู่บ้านหลังวาฬ


พื้นไม้ของเรือสินค้าสีเข้มส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดรับแรงคลื่นที่กระแทกเข้าด้านข้างเป็นระยะ กลิ่นไอเค็มของทะเลตลบอบอวลจนต้องยกมือขึ้นป้องหน้า ดวงตาคมหวานของหลินหยากวาดมองไปรอบตัว เห็นเพียงผืนน้ำสีฟ้าครามทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แสงแดดสะท้อนผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับคล้ายเศษแก้วที่กระจายอยู่ทั่วผืนโลก เธอไม่เมาเรือแม้แต่น้อย แต่ก็ต้องสูดลมหายใจลึกเหมือนจะดวลกับความเค็มสดของอากาศทะเลอย่างไม่ยอมแพ้


เซียนเฉ่าเดินวนรอบดาดฟ้าไม่หยุด จมูกสุนัขกระดิกสูดกลิ่นน้ำเค็มและกลิ่นปลาแห้งจากลังสินค้าที่วางเรียงกัน มันชะโงกหัวมองฟองคลื่นที่ซัดกระแทกข้างเรือเหมือนกำลังตื่นเต้นกับของเล่นใหม่ หลินหยามองแล้วแอบยิ้ม ก่อนสายตาของเธอจะจับไปยังเส้นขอบฟ้าที่เริ่มเผยภาพปลายทาง


หมู่บ้านลู่ไห่…สถานที่ซึ่งเธอได้ยินแต่คำเล่าลือว่าตั้งอยู่หลังเงาวาฬยักษ์ที่นอนสงบนิ่งกลางทะเล และเมื่อเรือแล่นเข้าใกล้ ความจริงก็ปรากฏต่อหน้า เงาดำมโหฬารของสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาปรากฏขึ้นใต้น้ำ ผิวน้ำตรงนั้นขยับไหวช้า ๆ ราวกับการหายใจของยักษ์โบราณ เมื่อคลื่นซัดผ่านด้านหลังของมัน เธอถึงได้เห็นบ้านเรือนสร้างเรียงรายอยู่บนโขดหินและแพไม้ในอ่าวสงบที่มันโอบล้อมไว้ราวกับอ้อมกอด


สายลมทะเลพัดแรงขึ้นทำให้เส้นผมสีดำขลับของหลินหยาปลิวสะบัด เธอรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดแปลกประหลาด ทั้งความตื่นเต้นของแม่ค้าที่ได้พบตลาดใหม่ และความประทับใจในภาพตระการตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ใบหน้าเธอคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “มาดูกันเถอะว่าที่นี่จะมีของดีสมชื่อหรือเปล่า”


เสียงหัวเราะของชาวประมงดังแว่วผสมกับเสียงคลื่นซัดเข้าหาโขดหิน กลิ่นทะเลเค็มปนกลิ่นควันปลาย่างลอยมาตามลม หลินหยาก้าวลงจากเรือด้วยความคล่องแคล่ว ดวงตาคมหวานของเธอกวาดมองท่าเทียบเรือไม้ที่คึกคักไปด้วยผู้คน ทั้งชาวบ้านในเสื้อผ้าสีซีดจากเกลือทะเล และพ่อค้าเร่จากแดนไกลที่เอาสินค้ามาแลกเปลี่ยนกันตรงนี้ หลังพ้นท่า เธอกับเจ้าเซียนเฉ่าเดินเข้าสู่ตรอกไม้ไผ่ที่ขนาบด้วยร้านแผงเล็ก ๆ เสียงเร่ขายดังแข่งกันราวกับตลาดในฉางอัน แต่บรรยากาศต่างออกไปโดยสิ้นเชิงทุกอย่างมีกลิ่นอายของทะเล ทั้งกองหอยหลากสีที่ยังมีน้ำเกลือหยดลงตะกร้า ปลาหมึกตากแห้งที่แกว่งไปตามแรงลม เครื่องประดับจากเปลือกหอยเจียรจนเงาวับ และถังไม้ที่อัดแน่นด้วยไข่มุกขาวนวลจนเกือบล้นขอบ


เซียนเฉ่าเดินนำหน้าอย่างภาคภูมิราวกับเจ้าถิ่น จมูกมันสูดฟุดฟิดไปทุกทิศ บางครั้งก็หยุดมองร้านขายปลาสดแล้วเลียปาก ทำให้หลินหยาต้องเอามือดึงมันให้เดินต่อ “ของกินนั่นไว้ก่อน เดี๋ยวข้าจะซื้อของเข้าร้านให้เต็มสต๊อกก่อน” เสียงเธอเปี่ยมด้วยพลังแม่ค้าที่ได้เจอตลาดทองคำต่อหน้า


หัวใจเธอเต้นเร็วขึ้นทุกย่างก้าวที่ผ่านร้านใหม่ ๆ ความตื่นเต้นทำให้ดวงตาเป็นประกายไม่ต่างจากแสงแดดสะท้อนผิวน้ำ หลินหยารู้ดีว่าที่นี่อาจเป็นเหมืองสมบัติสำหรับร้านของเธอทั้งสินค้าหายากจากทะเลตงไห่ เครื่องปรุงรสที่ในแผ่นดินใหญ่ไม่มีขาย และอาจรวมไปถึงของแปลกจากเผ่าพันธุ์ทะเลที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน


เธอสูดลมหายใจลึก ยกยิ้มมุมปากพร้อมกระซิบกับเซียนเฉ่าว่า “ไปกันเถอะ วันนี้…เราจะไม่กลับมือเปล่าแน่”


เสียงคลื่นซัดกระทบตีนท่าเรือยังดังไม่ขาดหู แต่ในหัวของหลินหยากลับหมกมุ่นอยู่กับการต่อรองและคว้าของหายากให้ทันก่อนใคร มือเรียวหยิบถุงเงินออกจากอกเสื้ออย่างคล่องแคล่วแล้วนับตำลึงทองในใจอีกรอบเพื่อความมั่นใจ เงิน 400 ตำลึงทองของเธอกำลังจะถูกแลกกับสมบัติที่หาไม่ได้จากแผ่นดินใหญ่(?)


สินค้าชิ้นแรกที่สะดุดตาเธออยู่ในร้านเล็กริมท่าน้ำ เป็นกล่องไม้เก่าแก่ที่เปิดโชว์ หินดาวเคราะห์อัปเกรด เม็ดกลมขนาดเท่าไข่นกพิราบ เนื้อในเรืองแสงสีน้ำเงินอมเงินราวกับรวบรวมชิ้นส่วนของท้องฟ้ายามราตรีมาอัดแน่นไว้ ขึ้นชื่อว่าหินชนิดนี้ใช้เพิ่มพลังและอายุการใช้งานของอาวุธหรือเครื่องรางระดับสูง พ่อค้าร่างผอมตาเฉียบเอ่ยด้วยน้ำเสียงชัดเจน “ชิ้นละ 58 ตำลึงทอง มีเพียงสองชิ้นเท่านั้น” หลินหยามองเพียงครู่เดียวก็เอื้อมหยิบทันทีโดยไม่ต่อราคา นี่คือโอกาสทอง เธอไม่โง่ปล่อยให้หลุดมือ 116 ตำลึงทองถูกจ่ายออกไปในพริบตา


ไม่ทันให้กระเป๋าเงินได้พัก สายตาของเธอก็สะดุดกับแผงพืชสมุนไพรสีแดงเข้ม กลีบและก้านเหมือนถูกเคลือบด้วยประกายโลหะ บนป้ายไม้เขียนว่า หญ้าโลหิตมังกร พ่อค้าผู้สูงวัยเล่าเสียงหนักแน่นว่ามันงอกขึ้นจากหยดเลือดมังกรโบราณที่ร่วงหล่นในศึกระหว่างเทพเมื่อพันปีก่อน รากของมันสามารถนำไปปรุงยาเสริมพลังชีวิตและปราณได้อย่างมหาศาล ราคาชิ้นละ 66 ตำลึงทอง หลินหยาพิจารณาอยู่ไม่กี่ลมหายใจก็ชี้นิ้ว “เอาทั้งสามเจ้าค่ะ” 198 ตำลึงทองจากมือเธอแลกกับสมุนไพรล้ำค่า


ในขณะที่เธอกำลังจะเดินต่อ แสงสะท้อนจากโลหะบางอย่างก็เตะตา เป็นกล่องลูกบาศก์หินสีหม่นแกะสลักด้วยลวดลายดวงดาว ล้อมกรอบทองเหลืองเก่าแก่ ชายหนุ่มเจ้าของร้านมองเธอด้วยสายตาวัดใจและส่ายหน้า “ไม่ขาย ของนี่ต้องใช้กับ แหวนแสงดาว เท่านั้น คนทั่วไปซื้อไปก็เปล่าประโยชน์” แต่พอหลินหยายกมือขึ้น เผยให้เห็น แหวนดาราจรัส ที่สวมอยู่ นิ้วมือเรียวของเธอสะท้อนประกายแสงของแหวนตรงเข้าตาเจ้าของร้าน เขาชะงักแล้วหัวเราะเบา ๆ “งั้นเจ้าก็เป็นเจ้าของที่เหมาะสม” ว่าแล้วก็ยื่นกล่องให้เธออย่างไม่ลังเลสินค้าพิเศษชิ้นเดียวที่เขามีในร้าน


หลินหยารับมันด้วยความพึงพอใจ น้ำหนักในมือให้ความรู้สึกเหมือนถือชิ้นส่วนของจักรวาล เธอหันไปยิ้มให้เซียนเฉ่าที่นั่งอยู่ข้างขา “เราเริ่มต้นได้ดีนี่นะ แทบหมดตัว” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของนักล่าสมบัติที่กำลังจะเก็บแต้มชัยต่อไป


กลิ่นทะเลเค็มผสมกับกลิ่นแปลกตาของตลาดหมู่บ้านลู่ไห่ทำให้หลินหยารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังก้าวเข้าสู่โลกอีกใบ เสียงแม่ค้าแผดร้องเรียกลูกค้าผสมเสียงคลื่นกระทบลำตัววาฬยักษ์ที่หมู่บ้านตั้งอยู่ทำให้บรรยากาศคึกคักไปด้วยชีวิตชีวา ถึงกระเป๋าทองของเธอจะแทบว่างเปล่าแล้ว แต่กระเป๋าเหรียญอู่จูของเธอยังมีน้ำหนักพอจะทำให้ก้าวเดินของเธอยังมีความมั่นใจอยู่ไม่น้อย


หลินหยาหยุดที่ร้านขายของชำซึ่งตั้งอยู่ริมตรอกเล็ก ๆ แผงไม้ไผ่รองรับกอง ผ้ากระสอบ สีหม่นสูงเกือบครึ่งตัว เธอเอื้อมมือสัมผัสเนื้อผ้าหยาบที่มีเส้นใยแน่นพอจะนำไปใช้งานได้สารพัด เจ้าของร้านบอกว่าผ้าพวกนี้ใช้ห่อข้าวสาร เก็บสมุนไพร หรือแม้กระทั่งตากปลาแห้งได้ดี ชิ้นละ 161 เหรียญอู่จู มีอยู่ 163 ชิ้น เธอไม่ลังเลที่จะเหมามาทั้งหมดเพราะรู้ว่าของแบบนี้ในแหวนดาราจรัสไม่มีวันเน่าเสีย เพียงโบกมือเบา ๆ ของทั้งหมดก็หายวับเข้าไปในห้วงมิติภายในแหวนราวกับถูกกลืนลงในมหาสมุทร


ต่อจากนั้นกลิ่นหอมของเนื้อสัตว์ย่างและต้มซุปจากร้านข้าง ๆ ลอยมาเตะจมูกพอดี เธอพาเซียนเฉ่าเดินตรงเข้าไปที่ร้านขายเนื้อสด แผงไม้เนียนวางเรียงซี่โครงไก่ที่ถูกแล่เรียบร้อย เนื้อแน่น สีชมพูสดสะท้อนแสงตะเกียงน้ำมันงดงามราวกับงานศิลป์ เจ้าของร้านเป็นชายร่างใหญ่แขนล่ำบอกว่าชิ้นละ 53 เหรียญอู่จู หลินหยาสั่งเหมา 210 ชิ้นทันทีโดยไม่เสียเวลาต่อราคา ยังไม่ทันก้าวออกจากร้าน เสียงเรียกจากร้านตรงข้ามก็ทำให้เธอชะงัก “แม่นางน้อยคนงาม สนใจเมือกปลาสดไหม? ของดีจากทะเลลึก!” บนถาดไม้ขนาดใหญ่คือเมือกปลาสีเงินอมฟ้าที่วาวราวหยดน้ำแข็ง ชิ้นละ 120 เหรียญอู่จู มีอยู่เพียง 156 ชิ้นเท่านั้น หลินหยารู้ดีว่าสิ่งนี้สามารถใช้ในตำรับยาและการปรุงอาหารหรูชั้นสูงได้อย่างคุ้มค่า เธอสั่งซื้อทั้งหมดโดยไม่รอให้คนอื่นแย่ง


ท้ายที่สุด เธอเดินไปยังร้านขายเนื้อสัตว์รวมที่ตั้งอยู่ในมุมตะวันตกของตลาด เนื้อหมู เนื้อแพะ และเนื้อวัวสด ๆ ถูกจัดเรียงอยู่บนเขียงน้ำแข็ง แม้ไม่ใช่ของหายากแต่ราคาชิ้นละ 36 เหรียญอู่จูทำให้เธอตัดสินใจซื้อรวดเดียว 171 ชิ้นเพื่อเก็บไว้สำรองในมิติของแหวนดาราจรัส


เมื่อจัดการซื้อของครบตามต้องการ หลินหยาก็พอใจอย่างมาก เธอหันไปมองเซียนเฉ่าที่กำลังนั่งดมกลิ่นลมทะเลอย่างเพลิดเพลิน “วันนี้เจ้ากับข้าจะได้กินดีอยู่ดีอีกยาว” เธอกล่าวพลางลูบหัวมันเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองทิวทะเลสีครามที่ทอดยาวไกลสุดตาอย่างตั้งใจ


หลินหยากำลังจะพาเซียนเฉ่าเดินออกจากตรอกตลาดเพื่อกลับไปยังเรือ แต่สายตาคมก็พลันสะดุดกับแสงสะท้อนวาววับจากมุมหนึ่ง ราวกับมีดวงดาวเล็ก ๆ กำลังซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าคลุมหยาบสีหม่น เธอหันไปเห็นร้านเล็ก ๆ ของชายชราหลังค่อมที่กำลังนั่งยกน้ำชาดื่มช้า ๆ บนโต๊ะไม้ไผ่เก่า ใต้ผ้าคลุมนั้นคือ แร่ดีบุกชั้นดี ก้อนขนาดพอดีมือแต่มีสีเงินอมขาวผสมประกายฟ้าราวกับถูกขัดจนเงางาม เนื้อแร่เนียนละเอียดจนแทบไม่มีรอยด่างให้เห็น เสียงของชายชราบอกว่าเป็นของหายากจากเหมืองเก่าลึกใต้ภูเขาทางเหนือ และเพิ่งถูกชาวประมงนำขึ้นจากเรือสินค้าเมื่อเช้านี้เอง ราคาแรงเอาเรื่อง 3 ตำลึงทอง 3 ตำลึงเงินต่อก้อน


หลินหยาล้วงกระเป๋าคิดคำนวณในใจอย่างรวดเร็ว แม้จะรู้สึกเสียดายเงินที่เหลืออยู่ไม่มาก แต่ความรู้ในงานหลอมทำให้เธอรู้ดีว่าแร่ดีบุกคุณภาพนี้สามารถใช้หลอมสร้างกลไกหรือของล้ำค่าได้อย่างคุ้มค่า โดยเฉพาะของบางอย่างที่เธอวางแผนจะทำในอนาคต "งั้นข้าขอแค่ 12 ก้อนก็พอเจ้าค่ะ" เธอเอ่ยสั้น ๆ พลางวางถุงเงินลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังกังวานในบรรยากาศตลาดชายทะเล ชายชราหัวเราะเบา ๆ ก่อนใช้กระบวยไม้ตักแร่ทีละก้อนไปวางเรียงตรงหน้าเธอ

 

เมื่อทุกก้อนหายวับเข้าสู่แหวนดาราจรัส หลินหยาก็รู้สึกเหมือนตัวเบาขึ้นจริง ๆ ทั้งเพราะได้ของล้ำค่าไว้ในครอบครอง และเพราะกระเป๋าเงินเหลือเพียง 10 ตำลึงทองถ้วนเท่านั้น เธอสูดลมหายใจรับกลิ่นทะเลอีกครั้ง ก่อนเอ่ยกับเซียนเฉ่าอย่างอารมณ์ดีว่า "ไปเถอะ วันนี้พอแค่นี้ เดี๋ยวกระเป๋าข้าจะเบากว่านี้จนบินได้" แล้วก้าวออกจากตลาดหมู่บ้านลู่ไห่โดยมีเจ้าหมาน้อยวิ่งตามไม่ห่าง





@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาซื้อของ มาถลุงเงินนนนนนน

ซื้อ หินดาวเคราะห์(อัปเกรด) ราคา 58 ตำลึงทอง 
จำนวน 2 ชิ้น รวม 116 ตำลึงทอง 

 ซื้อ หญ้าโลหิตมังกร ราคา 66 ตำลึงทอง 
จำนวน 3 ชิ้น รวม 198 ตำลึงทอง 

 ซื้อ ผ้ากระสอบ ราคา 161 เหรียญอู่จู 
จำนวน 163 ชิ้น รวม 26243 เหรียญอู่จู 

 ซื้อ ซี่โครงไก่ ราคา 53 เหรียญอู่จู 
จำนวน 210 ชิ้น รวม 11130 เหรียญอู่จู 

 ซื้อ เมือกปลา ราคา 120 เหรียญอู่จู 
จำนวน 156 ชิ้น รวม 18720 เหรียญอู่จู 

 ซื้อ แร่ดีบุก ราคา 3 ตำลึงทอง 3 ตำลึงเงิน 
จำนวน 12 ชิ้น รวม 36 ตำลึงทอง 36 ตำลึงเงิน 

 ซื้อ เนื้อสัตว์ ราคา 36 เหรียญอู่จู 
จำนวน 171 ชิ้น รวม 6156 เหรียญอู่จู 

 ซื้อ กล่องขยายลูกบาศก์ ราคา 40 ตำลึงทอง 
จำนวน 1 ชิ้น รวม 40 ตำลึงทอง 

 รวมโอน 390 ตำลึงทอง 36 ตำลึงเงิน 62249 เหรียญอู่จู

รางวัล: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

ดูเหมือนจะมีแต่คุณที่ได้ยิน  โพสต์ 2025-8-11 11:54
เสียงบางอย่างดังขึ้นไปทางฝั่งตะวันออกสุดขอบของเกาะ  โพสต์ 2025-8-11 11:54
โพสต์ 112207 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-11 09:17
โพสต์ 112,207 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-11 09:17
โพสต์ 112,207 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-11 09:17
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้