แสงแรกของยามเหม่าแทรกผ่านบานหน้าต่างไม้บานเล็กเข้ามาในห้องพักที่ยังอบอวลไปด้วยไออุ่นของเช้าวันใหม่ หลินหยาลืมตาขึ้น ดวงตาคู่สวยแดงเรื่อเพราะเมื่อคืนแทบจะไม่ได้นอน ความทรมานจากเสียงครวญครางที่ลากยาวจนถึงยามจื่อทำให้ทั้งร่างทั้งใจเหนื่อยล้าจนแทบขาดใจ นางกรอกตาแน่นอย่างหงุดหงิดระคนอับอายกับความวุ่นวายที่ได้รับโดยไม่เต็มใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจแรงเพื่อขับไล่ความหงุดหงิดเหล่านั้นออกไป หญิงสาวลุกขึ้นยืนจากเตียงพร้อมกับบิดขี้เกียจเล็กน้อย ร่างบางก้าวฉับ ๆ ไปหยิบชุดเดินทางที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน สวมมันอย่างรวดเร็วและเรียบร้อยในเวลาไม่นาน ความเร่งรีบฉายชัดบนใบหน้า นางไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว วันนี้จะต้องไปถึงเมืองซุยหยางให้ได้ ไม่ว่าจะต้องพยายามแค่ไหนก็ตาม
เมื่อจัดการกับตัวเองเสร็จ หลินหยาก็หันไปมองเจ้าหมาน้อยที่ยังคงขดตัวหลับอยู่บนเบาะหรูข้างเตียง ขนฟูของมันสะท้อนแสงเช้าอย่างนุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ นางก้าวไปนั่งยอง ๆ ข้างมันแล้วยกมือขึ้นเกาหัวเบา ๆ “เซียนเฉ่า…ตื่นได้แล้วนะ เราต้องรีบออกเดินทางแล้วล่ะ” น้ำเสียงแม้จะเหนื่อยแต่ก็ยังเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เจ้าหมาน้อยงัวเงียลืมตาขึ้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายเช้าเหมือนเพชรเม็ดเล็ก มันอ้าปากหาว เผยเขี้ยวเล็ก ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วส่ายตัวสะบัดขนจนฟูราวกับพึ่งออกจากอ่างสปาหรู “ขอรับคุณหนู…ข้าพร้อมแล้ว” เสียงมันงัวเงียแต่ก็เต็มไปด้วยความภักดี
หลินหยาหัวเราะน้อย ๆ พลางลูบหัวมันอีกครั้ง “ดีมาก เจ้าต้องช่วยข้าในวันนี้ด้วยนะ” จากนั้นก็สะพายกระเป๋า เก็บตำราของเสี่ยวจ้าวจื่อและของใช้ที่เหลือทั้งหมดเข้าแหวนดาราจรัสจนเรียบร้อย แล้วเปิดประตูห้องออกไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำอาบเมื่อคืนที่ยังลอยคลุ้งอยู่จาง ๆ
เมื่อออกจากโรงเตี๊ยม สายลมเช้าพัดผ่านใบหน้า หลินหยาสูดหายใจลึกเหมือนจะปลุกความสดชื่นขึ้นมาใหม่ ก่อนจะก้าวเท้าออกไปสู่ท่าเช่ารถม้า จุดหมายต่อไปเมืองซุยหยางที่รออยู่ข้างหน้า แม้ร่างจะเหนื่อยล้า แต่แววตาของนางกลับเปล่งประกายมุ่งมั่น พร้อมจะฝ่าฟันทุกอุปสรรคที่กำลังรออยู่บนเส้นทางนี้
หลินหยาก้าวเท้าเร่งฝีสู่ท่าเช่ารถม้าพร้อมเจ้าหมาน้อยที่วิ่งตามต้อย ๆ ข้างขา ลมยามเช้าพัดกรูไล่ไอหมอกคลอเมืองซูไปทีละน้อย ทำให้ภาพท้องถนนเริ่มชัดเจนขึ้น แม้ร้านค้าจะยังไม่เปิดเต็มที่ แต่อากาศก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของซาลาเปาและชาที่พ่อค้าเร่ตั้งแผงในยามเช้าตรู่ นางเหลือบตามองแผงผักที่กำลังถูกขนลงเกวียนอย่างครุ่นคิด ก่อนจะพ่นลมหายใจเบา ๆ เพระาตอนแรกอยากจะซื้อของสักหน่อย “ช่างเถอะ…เราคงไปหาซื้อวัตถุดิบที่เมืองซุยหยางทีเดียวแล้วกันนะเซียนเฉ่า เช้านี้ตลาดยังไม่พร้อมเลย”
เจ้าหมาน้อยแง้มปากตอบอย่างเรียบง่าย “ข้าก็ว่างั้นล่ะขอรับ คุณหนูจะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
เมื่อถึงท่าเช่ารถม้า หลินหยากวาดตามองรอบ ๆ ทันที ที่นี่คึกคักกว่าที่คิด นักเดินทางบางส่วนกำลังเจรจาราคากับสารถี บางส่วนก็จัดของขึ้นรถเพื่อเตรียมออกเดินทาง หญิงสาวมุ่งตรงไปยังจุดรับจอง ดวงตาคมหวานมองหาสารถีที่ดูไว้ใจได้และรถม้าที่ไม่โทรมเกินไป เพราะนางไม่อยากทนทรมานไปกับการนั่งโยกตลอดทางในสภาพเหนื่อยล้าเช่นนี้
“ข้ามองหารถม้าที่ไปเมืองซุยหยาง…ขอแบบที่เร็วที่สุด และถ้าเป็นไปได้ขอให้สบายหน่อยนะเจ้าคะ” หลินหยาพูดเสียงเรียบแต่ชัดเจน
สารถีวัยกลางคนที่ยืนพิงเสารถหันมามองพลางเลิกคิ้ว เขากวาดตามองหญิงสาวกับสุนัขตัวเล็กที่ดูจะนิสัยติดหรูหรากว่าหมาทั่วไป แล้วหัวเราะเบา ๆ “เร็วที่สุดกับสบายที่สุดเหรอ แม่นางมีสายตาเลือกของเก่งเหมือนกันนะ รถม้าที่เร็วสุดตอนนี้เหลือแค่คันที่ใช้ม้าพันธุ์ชั้นดี แต่ราคาก็สูงหน่อย” หลินหยาพับแขนกอดอก ยกคิ้วพลางยิ้มจาง ๆ “ข้าไม่ได้ขอถูกสักหน่อยนี่เจ้าคะ แค่พาข้าไปถึงเร็วและไม่กระแทกกระทั้นจนตับไหลพอแล้ว”
“ตกลง…แม่นางมีเงินจ่าย ก็ขึ้นมาได้เลย” สารถีหัวเราะในลำคอ
หลินหยาจ่ายเงินเต็มจำนวนอย่างไม่ลังเล แถมยังให้เพิ่มเล็กน้อยเพื่อความมั่นใจว่าสารถีจะขับด้วยความใส่ใจเต็มที่ ก่อนหันไปก้มบอกเจ้าหมาน้อย “ขึ้นรถม้าเถอะเซียนเฉ่า วันนี้เราจะเดินทางอย่างสบาย ๆ หน่อย เพราะเมื่อคืนข้าแทบไม่ได้หลับตา” เซียนเฉ่ากระโดดขึ้นรถม้าอย่างสง่างามราวกับเจ้าชายหมา ส่วนหลินหยาก็ก้าวตามขึ้นไป นั่งพิงเบาะอย่างสบาย เมื่อสารถีขึ้นประจำที่แล้วฟาดแส้เบา ๆ ม้าสีงามสองตัวก็ควบออกตัว รถม้าหรูแล่นฉิวไปตามถนนที่เริ่มตื่นจากความเงียบของรุ่งอรุณ
หลินหยาเอนตัวหลับตา หย่อนใจลงในความนุ่มของเบาะพลางพึมพำเบา ๆ “คราวนี้…ขอให้ข้าได้นอนจริง ๆ สักทีเถอะ” ข้างตัวเซียนเฉ่าเองก็ม้วนตัวขดพิงตักเจ้านายอย่างเคย เสียงกีบม้าดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอพานางเข้าสู่ห้วงนิทราที่เฝ้ารอมาตลอดคืน
รถม้าคันหรูเคลื่อนตัวไปตามถนนดินสีหม่นของเขตซูโจว ล้อไม้บดกับพื้นหินเป็นจังหวะโยกเบา ๆ จนกลายเป็นเสียงกล่อมเรื่อย ๆ หลินหยาค่อย ๆ ล้มตัวลงบนเบาะ พาดแขนไปตามหมอนข้าง พริ้มตาปิดลงอย่างช้า ๆ แม้แรงสั่นสะเทือนจะทำให้ร่างกายโยกไปมานิดหน่อย แต่นั่นไม่อาจต้านความง่วงที่ท่วมท้นมาจากคืนที่แสนยาวนานได้เลย กลิ่นหอมจาง ๆ ของเครื่องหอมที่ติดปลายเสื้อคลุมของเธอคล้ายจะช่วยให้หลับง่ายขึ้น ลมหายใจอุ่นสม่ำเสมอของหญิงสาวพัดขนละเอียดของเจ้าเซียนเฉ่าที่ซุกอยู่ข้างตัวมันคอยขยับหูฟังทุกเสียงระหว่างทาง ดวงตาสีเข้มของมันวาววับสลับระหว่างปิดตาเคลิ้มและลืมขึ้นทุกครั้งที่ล้อรถกระแทกก้อนหินหรือมีเสียงกิ่งไม้หักจากพุ่มไม้ข้างทาง มันยืดคอเล็ก ๆ ของตนออกมาเช็กทุกทิศทางอย่างระวัง ช่างเป็นผู้พิทักษ์แสนจงรัก
สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้ามาทางช่องหน้าต่างรถม้า ลูบไล้แก้มขาวซีดของหลินหยาอย่างแผ่วเบา นางขยับตัวเล็กน้อยเมื่อฝันบางอย่างแล่นเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ตื่น เจ้าเซียนเฉ่าลอบเหลือบมองเจ้านายแล้วขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนได้ยินเสียงหัวใจของเธอที่เต้นเป็นจังหวะช้า ๆ รถม้ายังคงเคลื่อนผ่านทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากถนนลาดราบเข้าสู่พื้นที่ราบสูงที่เต็มไปด้วยป่าไม้ เสียงนกป่าร้องก้องเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบสงบ
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ในความนิ่งนั้น เซียนเฉ่าขยับตัวเงียบ ๆ ยามที่ได้กลิ่นปีศาจแผ่วบางจากลมเหนือ แต่มันเพียงขู่ในลำคอให้สิ่งนั้นถอยห่าง ก่อนจะเอนตัวลงอีกครั้ง แนบชิดร่างของหลินหยาเพื่อปกป้องจนกว่านางจะตื่นขึ้นมาอย่างปลอดภัย ความอบอุ่นของเจ้าหมาน้อยกับเสียงกีบม้าที่คงเส้นคงวา ทำให้การเดินทางครั้งนี้ช่างสงบกว่าครั้งไหน ๆ
แต่แล้ว…รถม้าที่วิ่งลัดเลาะตามเส้นทางป่าลึกต้องชะงักกึก เสียงกีบม้ากระทบกับพื้นดินจนฝุ่นฟุ้งขึ้น ลมพัดผ่านใบไม้ดังสวบไสวเมื่อร่างสูงใหญ่ของปีศาจนักรบเป็ดปรากฏตัวเบื้องหน้า ลำตัวหุ้มเกราะเหล็กเงาวับสะท้อนแสงแดดยามเช้า ร่างสง่างามยืนหยัดมั่นคงราวภูผา หงอนสีแดงเพลิงพลิ้วไหวตามแรงลม ดวงตาเย็นเฉียบประหนึ่งน้ำแข็งในหุบเหวแต่แฝงแสงไฟแห่งความดุดันที่พร้อมจะแผดเผาได้ทุกเมื่อ มันยกหอกยาวขึ้นกระแทกพื้นดินเสียงดังสนั่น ปึง! เสียงนั้นสะเทือนเข้ากระดูกของสารถีจนหน้าซีดเผือด เซียนเฉ่ากระโจนลงจากตักหลินหยาในทันที ดวงตาของมันวาววับขณะฟันขาวแยกเขี้ยวรับกับแรงกดดันที่พุ่งเข้ามา
ปีศาจนักรบเป็ดเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบคล้ายกระแสน้ำในฤดูหนาว "ผู้ใดกล้าล่วงล้ำแดนดินของพวกเรา? ถนนลัดเส้นนี้อยู่ภายใต้พันธสัญญาของการแบ่งแยกดินแดน ผู้ที่ก้าวย่างเข้ามาต้องชำระค่าผ่านทาง…ไม่เช่นนั้น จะได้ชิมรสความโหดเหี้ยมของข้า"
หลินหยาที่พึ่งโดนปลุกให้ตื่นเงยหน้ามองนกนักรบตัวสูงที่ขวางทาง ดวงตาสีหวานสั่นไหวด้วยความตื่นตัว แต่มือของนางกลับค่อย ๆ เลื่อนไปที่ขลุ่ยประจำกาย เธอพ่นลมหายใจเย็นเฉียบพลางเอ่ยเสียงแผ่วแต่ชัดเจน "เราไม่คิดบุกรุกอาณาเขตของท่านหรอกนะ แต่หากคิดจะขวาง ข้าก็จะไม่ยอมถอย"
ปีศาจนักรบเป็ดไม่ตอบแต่ยกหอกขึ้นตั้งฉากกับร่าง พร้อมจ้องด้วยสายตานิ่งเฉย ราวกับทดสอบใจของผู้บุกรุกทุกคนที่กล้าท้าทายกฎเก่าแก่ เซียนเฉ่าก้าวมาข้างหน้า แผงขนตั้งชัน ร่างเล็กของมันกลับแผ่พลังดุร้ายราวสัตว์ป่า นักรบเป็ดพลันหัวเราะเสียงต่ำออกมา "กล้าดีนัก...เช่นนั้น พิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าพวกเจ้า สมควรมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่หรือไม่!" สายลมรอบตัวพลันพัดแรงขึ้น ดินฝุ่นฟุ้งกระจายเป็นวงกว้างเมื่อปีศาจนักรบเป็ดก้าวเข้ามาอย่างหนักแน่น ทุกฝีก้าวเต็มไปด้วยพลังที่พร้อมจะสั่นสะเทือนทั้งผืนป่า
“แม่ง..” เสียงของหลินหยาแทบจะกลืนหายไปในเสียงลมหอบแรกของยามเช้า หากแต่โทสะในน้ำเสียงของนางกลับดังสะท้อนราวระฆังศักดิ์สิทธิ์ที่ตีกลางวัด
ร่างเล็กในชุดเดินทางตัวยับย่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนนกกระจอกตกบ่อน้ำร้อน นัยน์ตาหวานแดงเรื่อยังไม่สร่างจากความฝัน แต่นั่นแหละ คือสิ่งที่อันตรายที่สุด นางยืนขึ้น มือหนึ่งคว้าขลุ่ยประจำกายขึ้นมาทันทีด้วยท่าทีรำคาญสุดขีด ปากสวยขบฟันแน่นอย่างคนกำลังง่วงแต่โดนลากออกมาจากฝันหวาน แล้วยังต้องมาเผชิญหน้ากับเป็ดยักษ์ใส่เกราะสแตนเลสอีกตัวในเช้าวันนี้ “เวรเอ๊ย…” นางพึมพำอย่างหัวเสียก่อนจะพ่นลมหายใจฟึดใหญ่ แล้วจ้องหน้าปีศาจเป็ดที่ทำหน้าเหมือนกำลังท่องบทสวดประจำตระกูลนักรบ
“แกฟังนะ!!” เสียงหลินหยาดังลั่นขึ้นมาท่ามกลางหมอกบางยามเช้า เสียงนั้นฟาดเปรี้ยงเหมือนปลายแส้ฟาดลงบนผิวหญ้า “เมื่อคืนข้านอนไม่หลับ! เสียงคู่รักข้างห้องมันจัดกันก็ไม่ได้หยุดจนถึงยามจื่อ แถมพอจะนอนได้ก็ฝันประหลาดอีก ตื่นมาก็ยังไม่ทันได้กินข้าวเช้า แล้วนี่อะไร!? เป็ดยักษ์ขวางรถม้า!?”
เซียนเฉ่าที่ตอนแรกยังยืนเก๊กอยู่ข้าง ๆ ถึงกับยกเท้าหน้าขึ้นปิดหน้าอย่างอายแทน ขณะที่สารถีก็หลบไปแอบหลังล้อรถ เผื่อจะไม่โดนลูกหลง
หลินหยายกขลุ่ยขึ้นแนบริมฝีปาก แล้วเป่ามันด้วยอารมณ์บูดสุดขีด เสียงแรกพุ่งออกไปดุจลูกศรเวทสะบั้นพลังปราณ ตัดผ่านม่านหมอกและแทงเข้ากลางคิ้วของนักรบเป็ดเสียง ปั่ก! ปีศาจนักรบเป็ดที่ตั้งท่าจะร่ายมนต์เรียกพรรคพวกยังไม่ทันกางท่า ก็ต้องหงายเงิบไปสามก้าว หอกที่ถืออยู่แทบร่วงออกจากมือ “อึก…เสียงขลุ่ยนี่มัน…!” มันร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแต่แทบกลืนคำสุดท้ายลงคอ
“เอาเลยเซียนเฉ่า! ถีบแม่ง!!” หลินหยาออกคำสั่งลั่นขณะที่ไม่หยุดเป่า ราวกับกำลังบรรเลงเพลงขับไล่เป็ดประจำชาติ เจ้าหมาน้อยวิ่งปรื๋อออกไปเร็วพอ ๆ กับลูกศรจากคันธนู เท้าเล็กกระโดดเตะเป็ดนักรบจนหงายหลังตูดจ้ำเบ้า เสียง “แอ่ก!” ดังก้องไปทั้งหุบเขา
หลินหยาเป่าจบท่อนสุดท้ายแล้วเอาขลุ่ยฟาดกับมืออย่างผู้หญิงที่ไม่กลัวใครในสามโลก “กลายเป็นเป็ดย่างซะเถอะ!! ข้ายังมีซอสบ๊วยอยู่ในแหวน อย่าให้ต้องใช้!!” นั้นคือทำสุดท้ายก่อนที่ปีศาจเป็ดจะสูขิตในวันที่ดือ… RIP
หลินหยานั่งกอดอกแน่น ขมวดคิ้วจนแทบเป็นปม ดวงตาหวานวาวโรจน์ราวกับกำลังจะเผาไหม้รถม้าให้มอดคาเส้นทางไปเสียให้ได้ ขาของนางไขว่ห้างกระดิกปลายเท้าแรง ๆ จนพื้นไม้กระแทกดัง ตึก ตึก ตึก เป็นจังหวะบ่งบอกอารมณ์หงุดหงิดขั้นสุด เสียงพ่นลมหายใจของหลินหยาดังก้องไปทั้งคันรถม้า “ให้ตายเถอะ…เช้า ๆ ก็ไม่ได้พัก นอนต่อก็ไม่ได้นอน แล้วดันมีก้อนขนฟูเกราะเหล็กมาขวางอีก!” เซียนเฉ่าที่ลากซากเป็ดไปฝังแล้วกลับมานั่งมุมข้างเจ้าของทำตัวเงียบสนิท ขดตัวเป็นก้อนเหมือนหมาขอโทษที่เกิดมาเป็นหมา เพราะรู้ดีว่าตอนนี้เจ้านายอารมณ์คุกรุ่นจนไม่ควรไปแหย่เล่นแม้แต่นิดเดียว มันเพียงแค่ยกสายตามองหลินหยาแวบหนึ่งแล้วหลบตาเหมือนจะบอกว่า ข้าจะไม่กวนท่านแน่นอนขอรับ…
รถม้าเริ่มเดินทางอีกครั้งมันโยกไปตามถนนดินที่ลัดเลาะผ่านป่าละเมาะ เสียงเกวียนดังเอี๊ยดอ๊าด แต่บรรยากาศภายในรถกลับตึงเครียดราวกับสนามรบ สารถีที่นั่งด้านหน้าก็แอบกลืนน้ำลายเพราะสัมผัสได้ถึงไอควันพุ่งออกมาจากด้านหลัง เขายกมือขึ้นเกาศีรษะเบา ๆ แล้วพึมพำกับม้า “อย่าแหย่เส้นทางให้กระแทกแรงนะเพื่อน…ไม่งั้นพวกเราคงโดนเธอปาหม้อซุปใส่หัวแน่”
หลินหยายกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแรง ๆ เหมือนจะสลัดความหงุดหงิดแต่กลับพ่นลมหายใจแรงกว่าเดิม “ให้มันได้อย่างนี้สิ…” นางบ่นกับตัวเองเสียงหงุดหงิด แล้วเอนหัวพิงกำแพงรถม้า ปิดตาลงพยายามจะหลับชดเชย ทว่ามือก็ยังจับขลุ่ยแน่น ราวกับพร้อมจะลุกขึ้นไปเป่าล้างบางใครก็ตามที่กล้าโผล่มาอีก เซียนเฉ่าขยับมาซุกตักเจ้าของเบา ๆ เหมือนจะปลอบใจ หลินหยาเหลือบตามองมันก่อนจะยกมือเกาหัวสามทีแรง ๆ “แกนี่นะ…ยังดีที่อยู่กับข้า” แล้วนางก็ถอนหายใจยาวอีกครั้ง ดวงตาหลุบลงอย่างเหนื่อยล้า อารมณ์คุกรุ่นยังคงอยู่เต็มขั้ว แต่ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบสงบ เมื่อรถม้าพาพวกเขาเคลื่อนตัวไปสู่เมืองซุยหยางต่อไป…
เสียงล้อรถม้ากระทบพื้นถนนเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับบทกล่อมเด็กธรรมชาติ เสียงนั้นประสานกับเสียงลมพัดใบไม้ที่เสียดสีกันเป็นคลื่นคล้ายท่วงทำนองอันนุ่มนวล หลินหยาเอนกายไปด้านข้าง ปล่อยตัวทิ้งน้ำหนักลงบนเบาะเก่า ๆ ที่อุ่นเพราะแดดอ่อน ๆ จากยามสาย ดวงตาคู่หวานปิดสนิท ขนตาสั่นระริกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้าสู่ห้วงฝันลึกที่ไม่มีสิ่งใดรบกวน แม้รถม้าจะโยกไหวบ้างในบางจังหวะ แต่ก็ไม่มีแรงพอจะปลุกนางจากนิทรา ใบหน้าขาวเนียนที่ปกติเต็มไปด้วยความสดใส บัดนี้กลับดูสงบเย็นราวกับสายน้ำที่ไร้ระลอก ท่ามกลางความเงียบในรถมีเพียงเสียงลมหายใจเบา ๆ ของหลินหยาที่บ่งบอกว่านางหลับสนิท ร่างกายนอนขดเล็กน้อยในท่าที่สบายที่สุด แขนข้างหนึ่งวางพาดเหนือหน้าท้อง ขณะที่มืออีกข้างยังคงจับขลุ่ยแน่นราวกับเป็นของสำคัญที่ไม่อาจปล่อยจากตัวได้
เซียนเฉ่ามองเจ้านายตนเองที่หลับลึก มันขดตัวแนบข้างเธอเหมือนเฝ้าไม่ห่าง ดวงตาสามคู่ที่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบงัน เต็มไปด้วยความระวังภัยในขณะที่เจ้าของมันกำลังพักผ่อน โลกภายนอกอาจจะเต็มไปด้วยปีศาจและความอันตราย แต่สำหรับหมาน้อยตัวนี้ ตอนที่หลินหยาหลับคือเวลาที่มันจะปกป้องเธอเต็มกำลัง
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากน้ำเงินสดสู่ขาวจางบ่งบอกเวลาที่เปลี่ยนผ่าน เมฆหมอกคลอเคลียยอดเขาไกล ๆ ถนนทอดยาวผ่านทุ่งหญ้าและเนินเขาเขียวขจี ทุกสิ่งดูเหมือนหยุดชั่วขณะ เพื่อให้นางได้พักผ่อนหลังผ่านความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจมาหลายวัน รถม้ายังคงแล่นไปอย่างมั่นคง และในยามที่แดดยามสายส่องลอดเข้ามาเป็นลำผ่านม่านผ้าเก่าแหว่ง กลับทำให้ร่างของหลินหยายิ่งดูอ่อนโยน สงบ และน่าเอ็นดูราวกับนางคือสตรีที่โลกทั้งใบอยากจะปกป้องในห้วงเวลาอันเปราะบางนี้…
แต่แล้วระหว่างที่รถม้ากำลังขี่ผ่านข้ามทางสะพานของการข้ามลำธารเล็กสียงน้ำกระเพื่อมใต้สะพานดังขึ้นเบา ๆ ก่อนจะกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้ท้องน้ำปั่นป่วนเป็นคลื่น ปีศาจปลาสี่ตัวโผล่ขึ้นมาจากผืนน้ำ ดวงตาหื่นกระหายแวววาวสะท้อนแสงแดดยามสาย ร่างกายลื่นมันคล้ายเกล็ดสีหม่น ผิวคล้ำเป็นเงา กล้ามเนื้อบิดเกร็งพร้อมกระโจนขึ้นมาจากผิวน้ำในพริบตา
เสียงน้ำสาดดัง "ฉ่า!" อย่างรุนแรง เมื่อมันพุ่งขึ้นเกาะล้อรถม้าและท่อนขาม้า ดึงกระชากราวกับจะลากทุกสิ่งลงไปในความลึก สารถีหนุ่มสะดุ้งเฮือก ร้องตะโกนลั่นด้วยความตกใจ พยายามดึงบังเหียนคุมม้าให้ไม่แตกตื่น แต่ม้าขาวที่ถูกมันกัดกำลังดิ้นสุดแรงหวังหนีจากคมเขี้ยว
เจ้าเซียนเฉ่าที่ขดตัวข้างหลินหยากระโจนออกมาทันที เสียงเห่าต่ำก้องลั่นสะพาน ดวงตาสามคู่เรืองแสงในจิตนั้นเยียบเย็น ก่อนร่างเล็กจะขยายแปรเปลี่ยนเป็นสุนัขปีศาจสามหัวอันเกรียงไกรในพริบตา ขนดำสนิทแผ่ประกายราวเหล็กกล้า แต่ละหัวคำรามอย่างเกรี้ยวกราด น้ำเสียงสะท้านไปทั้งสะพาน เสียงคำรามนั้นราวกับประกาศสงครามกับปีศาจปลาทั้งสี่ ปีศาจปลาพุ่งใส่มันในขณะที่อีกสองตัวยังคงกัดรั้งม้าไว้ เซียนเฉ่าใช้ความเร็วเหนือธรรมชาติกระโจนตวัดกรงเล็บเฉือนร่างหนึ่งในนั้นเป็นริ้วเลือด กระโจนอีกครั้งฟาดหัวอีกตัวให้กระเด็นตกน้ำ เสียงน้ำสาดกระเซ็นสูงราวฝนโปรย
ขณะเดียวกันหลินหยาที่หลับลึกยังคงไม่ได้ขยับ ใบหน้านางสงบนิ่งราวไม่รับรู้ถึงความโกลาหสที่เกิดขึ้นรอบตัว มือน้อยยังคงกอดขลุ่ยแน่นราวกับเป็นเครื่องรางสำคัญ เซียนเฉ่าเหลือบมองเจ้านายจากหางตาในระหว่างต่อสู้ มันคำรามต่ำพร้อมกัดปีศาจปลาที่เหลือด้วยแรงอาฆาต ฟาดพลังปราณมืดเข้าใส่จนร่างปลาตัวนั้นระเบิดเป็นเศษเนื้อที่กระจายไปทั่วสะพาน เลือดคาวปนกลิ่นน้ำจืดคละคลุ้งในอากาศ ปีศาจปลาที่เหลือเพียงตัวเดียวหันหลังหนีตะกายกลับลงน้ำไปอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งไว้เพียงคราบเลือดและเศษเนื้อที่ลอยกระจายอยู่บนผิวน้ำ เซียนเฉ่าคำรามส่งท้าย ไล่มันให้หายลับไปในห้วงน้ำลึก ก่อนร่างมหึมาจะค่อย ๆ หดกลับเป็นเจ้าหมาน้อยเช่นเดิม หายใจหอบแต่ยังคงยืนระวังภัยข้างรถม้า
สารถีวัยกลางคนตัวสั่นไปทั้งร่าง มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตื่นตะลึง เหงื่อไหลทั่วใบหน้า ส่วนหลินหยา…นางยังคงนอนนิ่งอยู่ในรถ ดวงตาปิดสนิท ดั่งมิรู้เลยว่าเพียงไม่กี่อึดใจที่ผ่านมา ความตายได้เฉียดเข้ามาใกล้เพียงปลายเส้นผม…
เซียนเฉ่าหันมองม้าที่ขาเปื้อนเลือดและบาดแผลฉกรรจ์ มันสะบัดหูร้องหอบเหนื่อย ไม่อาจลากรถต่อไปได้แม้เพียงก้าวเดียว เจ้าหมาน้อยเลียเลือดที่ขาของมันอย่างเห็นใจ ก่อนกลับมาจ้องสารถีหนุ่ม ดวงตาของมันส่งสัญญาณชัดเจน ม้านี้หมดแรงแล้ว เราต้องทำอะไรสักอย่าง สารถีวัยกลางคนยืนตัวแข็ง ใบหน้าเคร่งเครียดเหมือนคนแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า เขาเหลือบไปมองในรถม้า เห็นหลินหยาที่นอนคุดคู้ ใบหน้าซีดเผือกแผ่วเบาราวกับกำลังหนีจากฝันร้ายยังไม่พ้น ใต้ตานางคล้ำเล็กน้อยจากการอดนอนเมื่อคืน สายตาของสารถีเต็มไปด้วยความกลัว กลัวว่าถ้าหลินหยาตื่นขึ้นมาพบปัญหานี้ นางคงจะอารมณ์เสียถึงขีดสุด
เซียนเฉ่าเดินวนรอบรถม้าเงียบ ๆ แล้วหันกลับมาจ้องตาสารถี แววตาสามคู่นั้นเย็นเฉียบและจริงจัง ราวกับจะบอกว่า “อย่าแม้แต่จะปลุกนางในตอนนี้นะ ไม่งั้นเจ้าตายก่อนม้าแน่” สารถีวัยกลางคนเลยกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขากระซิบกับตัวเองเบา ๆ “เราต้องรอคนมาช่วย…หรือไม่ก็หาทางซ่อมล้อ เปลี่ยนม้าให้ได้ก่อนที่แม่นางจะตื่นขึ้นมา” ลมหนาวฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านสะพาน เสียงแม่น้ำเย่กระทบหินดังซู่ซ่า ทั้งสอง หมาปีศาจและชายสารถียืนอยู่ในความเงียบที่เต็มไปด้วยความกดดัน พวกเขาต่างคิดหาทางแก้ไขเพื่อไม่ให้สตรีที่หลับอยู่ในรถม้านั้นตื่นขึ้นมาแล้วระเบิดอารมณ์ใส่ใครบางคน…หรือใส่ทุกคนที่อยู่ตรงหน้า
ระหว่างการหยุดม้าเพราะม้าหยุดนานเกินไปหลินหยาเลยเกือบตื่น แต่ทว่ามีคนขี่ม้าตัวใหญ่มาก่อนพอดี ม้าศึกตัวใหญ่หยุดลงตรงหน้าสะพาน เสียงกระทบพื้นหินดัง กระทืบ! ก้องไปทั่วบรรยากาศ กลิ่นเหล็กจากเกราะและเสียงกระดิ่งเบา ๆ จากสายบังเหียนทำให้ทุกสายตาหันไปมอง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนอานสูงนั้นรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างประดุจภูผา ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยความสงบเย็นแต่แฝงไว้ด้วยรังสีของผู้มีประสบการณ์ในสนามรบ เขากระโดดลงจากหลังม้าในท่วงท่าสง่างาม เกราะหนังสีเข้มประดับด้วยแผ่นโลหะเงาวับสะท้อนแสงอาทิตย์ที่ลอดเมฆยามเช้า สายตาคมกริบของเขากวาดมองม้าที่ล้มขาเจ็บอยู่ข้างสะพาน ก่อนหันมาสบกับสารถีวัยกลางคนที่ยืนตัวสั่น
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาดังก้องคล้ายคำสั่งมากกว่าคำถาม
สารถีรีบก้มศีรษะ รายงานเสียงสั่น “ท่านชาย…ปีศาจปลามันโจมตีม้าเจ้าข้า…ทำให้มันเดินต่อไม่ได้ เรากำลังคิดหาทางอยู่ขอรับ” ดวงตาคมสีดำสนิทของชายหนุ่มเหลือบไปยังม้าบาดเจ็บ เขาคุกเข่าลงข้าง ๆ สัตว์ตัวนั้น มือใหญ่ลูบแผงคอที่สั่นระริกก่อนตรวจบาดแผลด้วยความชำนาญ ท่าทางของเขามั่นคงและสงบนิ่งจนม้าก็คล้ายจะยอมให้สัมผัส
“แผลไม่ลึกนักหรอกจากที่ดู แต่เลือดเสียไปเยอะ” เขาพึมพำ ก่อนหยิบยาสมุนไพรแห้งและแผ่นผ้ามาจากถุงข้างอานม้าของตนเอง เริ่มทำแผลอย่างคล่องแคล่วราวกับเคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน เซียนเฉ่ามองชายแปลกหน้าด้วยสายตาประเมิน แต่มันไม่ได้แยกเขี้ยวหรือขู่ กลับแค่เฝ้ามองเงียบ ๆ ดวงตาสามคู่เต็มไปด้วยความระแวดระวังและสงสัยในเวลาเดียวกัน
เมื่อทำแผลเสร็จ ชายหนุ่มเงยหน้ามองรถม้า สายตาเฉียบดุดันชำเลืองไปยังผ้าม่านที่ปิดสนิท ด้านใน หลินหยายังคงนอนขดตัวหลับสนิท เส้นผมยาวกระจายบนหมอน ริมฝีปากเม้มเบา ๆ ราวกับคนกำลังฝันบางอย่าง
“มีคนเจ็บอีกไหม” เขาถาม สายตายังคงไม่ละไปจากรถม้า
สารถีส่ายหัวทันที “ไม่มีขอรับ…เพียงแต่ว่าแม่นางด้านในหลับอยู่ และ…ข้าไม่อยากให้แม่นางตื่นในสภาพนี้” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้ถามต่อ เขาเพียงยิ้มบาง ๆ “เช่นนั้น ข้าจะช่วยลากรถม้าให้ไปถึงเมืองด้านหน้าเอง เมืองซุยหยางใช่ไหม?” สิ้นคำ เขาหันไปควบม้าศึกของตนเองผูกกับรถม้าแทนม้าที่บาดเจ็บ แล้วขึ้นคร่อมอาน ดึงบังเหียนมั่นคง ฟึ่บ! ม้าศึกแผดเสียงร้อง ฮี่! พร้อมก้าวลากรถม้าอย่างมั่นคงราวกับมันไม่รู้จักคำว่าล้า
สารถีถอนหายใจโล่งอก ส่วนเซียนเฉ่าก็มองตามชายหนุ่มผู้มาใหม่ พลันหันกลับมามองเจ้านายตัวเองที่ยังหลับสนิท มันพึมพำในใจ โชคดีนะที่เจอคนแบบนี้ ไม่งั้นถ้าคุณหนูหลินตื่นมาในสภาพมีปัญหาอีกครั้ง…ข้าคงได้เก็บศพสารถีไปก่อนแน่ ๆ
หลังจากนั้นหลินหยาก็ตื่นขึ้นนางขยี้ตาพลางยันตัวขึ้นจากเบาะนุ่ม ดวงตายังปรือด้วยความง่วงงุน เธอเหลือบเห็นแสงแดดยามสายลอดเข้ามาในรถม้า ก่อนจะรับรู้ถึงแรงสั่นไหวที่เปลี่ยนไปก้าวของม้าที่ลากรถในตอนนี้หนักแน่น มั่นคงกว่าเดิม และเธอก็เห็นผ่านม่านบาง ๆ ว่ามีบุรุษแปลกหน้าขี่ม้าอยู่ด้านหน้าแทนที่สารถีเดิม เธอหันไปมองเซียนเฉ่าที่นั่งเฝ้าเธออยู่ ดวงตาของมันส่ายไปมาเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจเหมือนคนแก่ “คุณหนู…ขอรับ ช่วงที่ท่านหลับ ปีศาจปลามันโผล่มาอีกแล้ว ม้าของสารถีโดนทำร้ายจนเดินต่อไม่ได้ เรากำลังจะคิดหาทางกันอยู่ แต่พอดีมีชายหนุ่มขี่ม้าศึกผ่านมา เขาช่วยทำแผลให้ม้า แล้วก็ลากรถของเราแทน”
หลินหยายกุมขมับ พลางพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้ออออ…แค่ฉันนอนหลับจริง ๆ นี่มันเรื่องเยอะอะไรขนาดนี้กันนะ” เธอปรายตามองเจ้าหมาน้อยที่เล่าอย่างละเอียดราวกับกำลังเขียนพงศาวดารให้เธอฟัง จากนั้นจึงยกมือเกาหัวตัวเองที่ฟูราวกับรังนกเหลือบมองคนด้านนอกก็เห็นสารถีวัยกลางคนทำหน้าแปลก ๆ “แล้วทำไมสารถีคนนั้นต้องทำหน้าซีดเหมือนจะตายเมื่อเห็นข้าตื่นด้วยล่ะ…” หลินหยาถามเสียงเบา ใบหน้าของเธอยังคงง่วงงุนแต่มุมปากคล้ายจะยิ้ม
เซียนเฉ่ากระดิกหู ก่อนตอบเสียงเรียบ “เพราะคุณหนูหลินเวลาอารมณ์เสีย…น่ากลัวกว่าปีศาจปลาขอรับ”
คำตอบนั้นทำให้หลินหยาชะงักไปครู่ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ออกมา ทั้งที่น้ำเสียงฟังดูเหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจให้ใครกลัวเลยสักหน่อย…” เธอส่ายหัวน้อย ๆ แล้วเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าหมาน้อยที่ซุกอยู่ใกล้ตัว “บอกเขาด้วยนะว่า ข้าไม่ได้จะกินใครหรอก…นอกจากปีศาจปลาน่ะนะ” เธอกระซิบเหนื่อย ๆ พลางเอนตัวกลับไปกับพนักเบาะอย่างเกียจคร้าน สายตาของเธอเลื่อนผ่านม่านบางไปยังแผ่นหลังของชายแปลกหน้าที่ควบม้าอย่างมั่นคงด้านหน้าในเงียบงัน ใจเธอแอบกระตุกเล็กน้อยกับภาพนั้น ก่อนจะปล่อยความคิดให้ไหลไปตามเสียงล้อที่บดกับพื้นดินของถนนอีกครั้ง
หลินหยายกแขนเรียวอุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้นมาวางไว้บนตักอย่างแผ่วเบา ขนสีดำมันขลับและกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากการอาบน้ำเมื่อวานก่อนทำให้สัมผัสของมันนุ่มละมุนราวกับกำมะหยี่ ดวงตากลมโตของเซียนเฉ่าเงยขึ้นมองนางอย่างซื่อสัตย์ ในแววตานั้นมีทั้งความกังวลและความห่วงใยที่ไม่ต้องเอ่ยคำพูดก็รับรู้ได้ หญิงสาวยกมือลูบหัวมันช้า ๆ ไล่ตามแนวใบหูเล็กที่กระดิกตอบรับทุกการสัมผัส ริมฝีปากนางขยับพูดเสียงเบาจนแทบจะกลายเป็นเพียงกระซิบในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงล้อรถม้าและสายลม
"ขอโทษที่ทำให้กลัวนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจอารมณ์เสีย แต่เพราะไม่ได้พักแล้วมันเหนื่อยน่ะ" เสียงของนางแผ่วสั่นคลอด้วยความรู้สึกผิดที่จริงใจ ใบหน้าสวยซบลงกับขนของเจ้าหมาน้อยชั่วครู่ ราวกับกำลังขอให้มันให้อภัย "ข้าเลยเผลอไปนิดหน่อย สงสัยต้องไปขอโทษคุณสารถีด้วยเหมือนกัน" คำพูดจบลงพร้อมกับลมหายใจเฮือกใหญ่ที่ถูกปล่อยออกมา ความเหนื่อยล้าในอกเหมือนถูกระบายออกไปพร้อมลมที่พ่นออกมา ดวงตาของหลินหยาหลุบต่ำขณะลูบหัวมันต่ออย่างอ่อนโยน เซียนเฉ่าขยับตัวซุกเข้าหาอ้อมแขนของนางมากขึ้น ส่งเสียงครางเบา ๆ อย่างปลอบใจผู้เป็นนาย ท่ามกลางบรรยากาศในรถม้าที่โยกเบา ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านผ้าม่านบาง ตกกระทบแก้มซีดของหลินหยา เธอยิ้มจาง ๆ ให้กับหมาน้อยในอ้อมแขน...รอยยิ้มที่แม้จะอ่อนแรง แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
เจ้าหมาน้อยในอ้อมแขนหลินหยาเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายของมัน ดวงตากลมโตสีดำสนิทเต็มไปด้วยประกายวาวใสราวกับเด็กที่กำลังฟังนิทานก่อนนอน มันส่งเสียงครางเบา ๆ "หงืด..." ก่อนจะซุกหัวลงบนอกเธอ ราวกับจะบอกว่า ‘ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ข้าไม่กลัวเลย’ ขนอุ่น ๆ ของมันสัมผัสกับฝ่ามือของหลินหยา ทำให้นางค่อย ๆ คลายลมหายใจที่อัดแน่นในอกออกมา ราวกับความเหนื่อยอ่อนทั้งหลายถูกดูดกลืนไปกับความนุ่มนิ่มของเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยนี้
“เจ้าเซียนเฉ่า...” หลินหยาพึมพำเรียกชื่อมันเสียงเบา ปลายนิ้วของเธอไล้ตามแนวโหนกคิ้วและใบหูเล็ก ๆ ที่กระดิกไปมาอย่างขี้เล่น ทั้งที่หลับตาพริ้ม “เจ้ารู้ไหม...ข้าคงผ่านอะไรหลายอย่างไม่ไหวเลย ถ้าไม่มีเจ้าอยู่ข้าง ๆ นี่แหละ” เสียงล้อรถม้าเบา ๆ คลอเป็นฉากหลัง แสงแดดยามสายกรองผ่านม่านหน้าต่างตกลงมาบนใบหน้าของนางที่ยังมีร่องรอยความเหนื่อยล้า ทว่าตอนนี้แววตาของหลินหยาอ่อนโยนและสงบลงอย่างช้า ๆ
เจ้าหมาน้อยลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย แล้วใช้ขาหน้าดันอกหลินหยาเบา ๆ ก่อนจะเลียแก้มนางอย่างปลอบโยนหนึ่งที แล้ววางหน้าแนบอกนางอย่างเต็มใจ...เหมือนจะบอกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันจะอยู่ตรงนี้เสมอ หลินหยาพ่นลมหายใจอีกครั้งแล้วหลุดหัวเราะในลำคออย่างอ่อนล้า "...เจ้าหมาน้อยน่าตีเอาเสียจริง" แต่เธอก็กอดมันแน่นขึ้นอีกนิด
รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวผ่านประตูเมืองซุยหยาง ท่ามกลางสายลมยามสายที่พัดเอื่อยส่งกลิ่นหอมอ่อนของดินชื้นจากลุ่มน้ำรอบเมือง เสียงกงล้อบดกับพื้นดินส่งเสียงดังสม่ำเสมอ หลินหยาที่นั่งเอนหลังกับพนักรถม้าเงียบ ๆ เหมือนคนยังไม่ฟื้นจากความเหนื่อยล้า ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อรับรู้ว่ารถม้าเริ่มชะลอความเร็ว ดวงตาคมหวานทอดมองออกไปนอกม่านที่เปิดออกเพียงเล็กน้อย เมืองซุยหยางปรากฏต่อสายตา นางมองเห็นหลังคากระเบื้องสีเทาเรียงรายท่ามกลางหมอกบางและเงาไม้ ปล่องควันจากบ้านเรือนค่อย ๆ ลอยขึ้นสูงผสมกับอากาศเย็นยามเช้า ถนนสายหลักปูด้วยหินเก่าแก่คดโค้งไปตามทิศทางลุ่มน้ำ พ่อค้าแม่ค้าบางคนเริ่มตั้งร้าน กลิ่นหอมของแป้งทอดและชาสมุนไพรลอยมาตามลม ข้างทางมีทั้งชาวบ้านสวมชุดผ้าฝ้ายสีหม่นและนักเดินทางที่ขี่ม้าผ่านไปมาอย่างเร่งรีบ
หลินหยาเอนตัวเล็กน้อย มองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาที่ไม่ได้เฉื่อยชาแต่เต็มไปด้วยการสังเกต ริมฝีปากคลี่ยิ้มจาง ก่อนจะกรอกตาขึ้นเล็กน้อยเหมือนคนที่กำลังชั่งใจไม่ใช่เพราะเบื่อหน่าย หากแต่เป็นการเหลือบมองสำรวจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเมืองที่เธอกำลังจะเหยียบย่างเข้าสู่ ความเงียบสงบที่แฝงกลิ่นลี้ลับยิ่งทำให้บรรยากาศดูมีเสน่ห์
เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าขยับตัวขึ้นมานั่งบนตักของเธอ มองออกไปนอกม่านด้วยท่าทีสงสัย ดวงตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้น หลินหยาลูบหัวมันเบา ๆ พลางพึมพำกับตัวเอง "ซุยหยาง...เมืองที่ลมพัดเงียบเกินไปแบบนี้ มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่" น้ำเสียงเรียบแต่แฝงความตื่นเต้นและความระแวดระวังในเวลาเดียวกัน รถม้าหยุดลงตรงลานกว้างด้านหน้าตลาดหลัก เสียงสารถีตะโกนเรียกลูกค้าและเสียงม้าสะบัดหัวดังก้องไปทั่ว
หลินหยาก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างามแม้ในชุดเดินทางที่เต็มไปด้วยฝุ่นทาง ดวงตาหวานคมทอดมองไปยังสารถีที่ยืนลูบคอม้าด้วยสีหน้ากังวล นางก้าวเข้าไปหาเขา ยื่นถุงเงินในมือเล็กออกไป "ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องลำบากนะเจ้าคะ ม้าก็ได้รับบาดเจ็บเพราะข้าเป็นเหตุ โปรดรับเงินนี้ไว้เพื่อพามันไปรักษาเถิด" น้ำเสียงของนางนุ่มลึกแต่หนักแน่นพอที่จะทำให้สารถีซาบซึ้ง เขายกมือคำนับรับพร้อมเอ่ยคำขอบคุณไม่ขาดปาก จากนั้นหลินหยาหันกายไปยังชายหนุ่มปริศนาที่ขี่ม้าสีดำตัวใหญ่ เงาร่างสูงในอาภรณ์นักเดินทางสีเข้มตัดกับผ้าคลุมสะบัดไปตามแรงลมเย็น ดวงตาของเขาคมดุราวกับนักรบผู้ผ่านศึกนับครั้งไม่ถ้วน แม้ท่าทีจะเงียบสงบ แต่มันแฝงไปด้วยแรงกดดันที่ยากจะมองข้าม หลินหยาขบเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะก้มคำนับเขาอย่างสุภาพ ดวงตาคลอประกายจริงใจ
"ข้าต้องขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือข้าในยามคับขัน หากไม่มีท่าน ข้าและรถม้าอาจไปไม่ถึงเมืองซุยหยางได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้" น้ำเสียงของนางอ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ส่งตรงถึงใจชายผู้นั้น
ชายหนุ่มบนหลังม้าเงียบไปชั่วครู่ เขามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพินิจ เหมือนอยากเอ่ยอะไรแต่กลับเลือกเพียงพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำพูด สายตาคมนั้นบอกทุกอย่างแทนเสียง ขณะม้าของเขาสะบัดแผงคอพลางกระทืบพื้นเบา ๆ ลมเย็นของเมืองซุยหยางพัดผ่าน ใบผมดำขลับของหลินหยาปลิวไปตามแรงลม ท่ามกลางสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมาโดยไม่รู้เลยว่าการพบพานระหว่างสตรีกับชายหนุ่มลึกลับตรงนี้จะเป็นโชคชะตาหรือไม่อย่างไร
หลินหยาก้าวเดินไปตามถนนหินกรวดของเมืองซุยหยาง เจ้าเซียนเฉ่าก้าวตามข้างขาเหมือนเงา ร่างเล็กสีดำมันปลาบวิ่งหางกระดิกอย่างเริงร่า ขณะที่ผู้คนในตลาดหันมามองสตรีแปลกหน้าผู้มีท่วงท่าสง่างามกับหมาน้อยที่ดูเหมือนเจ้าชายหมาในร่างจิ๋ว เสียงพ่อค้าแม่ค้าขายของดังระงมทั่วตลาด กลิ่นสมุนไพร ผักสด และเนื้อสัตว์คลุ้งไปทั่วอากาศ เธอเดินตรงไปยังร้านขายเนื้อ เลือกซี่โครงไก่และเนื้อสะโพกไก่ที่เนื้อแน่นไร้กลิ่นคาว เจ้าของร้านรีบหั่นและห่อให้ด้วยรอยยิ้มเพราะเห็นได้ว่าลูกค้าคนนี้มีรสนิยมการเลือกของดี ต่อด้วยร้านขายกระดูกหมู หลินหยาชี้ขอกระดูกเล้งที่มีไขกระดูกฉ่ำ ๆ พอดี จะได้หอมกรุ่นเมื่อเคี่ยว
ถัดไปเธอแวะร้านสมุนไพรและผักแห้งเลือกเห็ดหอมคุณภาพเยี่ยม หอมใหญ่หัวโต ขิงแก่กลิ่นฉุนพอดี และเห็ดหูหนูขาวที่ชุ่มน้ำแม้จะตากแห้งไว้แล้ว นอกจากนี้ยังเลือกเก๋ากี้ พุทราแห้งที่มีสีแดงสด ดอกเบญจมาศสีทองหรือดอกเก็กฮวย ฃกลิ่นหอมละมุน ยามใส่ในน้ำซุปจะคลายความหวานอ่อน ๆ ออกมาอย่างน่าหลงใหล
หลินหยากวาดตาซื้อเหล้าเหลืองหนึ่งไหสำหรับปรุงรสให้กลมกล่อม และงากับพริกไทยเม็ดที่บดใหม่ ๆ กลิ่นหอมแรง เธอยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นตะกร้าใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบจนเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าต้องกระดิกหางมองด้วยความดีใจ “ซื้อเยอะเหมือนกันนะเนี้ย…” หลินหยาบ่นกับตัวเองพลางยกมือจัดตะกร้าให้มั่นคง ก่อนจะจ่ายเงินและหันหลังกลับมองตลาดที่ยังคงคึกคัก ยามสายของเมืองซุยหยางเริ่มสดใสขึ้น และหัวใจของนางก็เหมือนมีแรงขับเคลื่อนใหม่สำหรับสิ่งที่กำลังจะรออยู่เบื้องหน้า…
หลินหยาจัดแจงเก็บวัตถุดิบทั้งหมดที่ซื้อมาไว้ในแหวนดาราจรัส แสงสว่างจาง ๆ ส่องประกายวูบหนึ่งก่อนจะหายไป เหลือเพียงความว่างเปล่าในตะกร้าที่เธอถือมา จากนั้นหญิงสาวก็ก้าวเดินช้า ๆ ออกจากตลาดกลางเมืองซุยหยาง อากาศยามสายคลอด้วยกลิ่นหอมของเครื่องเทศและสมุนไพรลอยอยู่ในลม คนพลุกพล่านเดินสวนกันไปมา แต่หลินหยากลับเดินอย่างนิ่งสงบในชุดที่เรียบง่าย ผมดำสลวยสะบัดตามจังหวะฝีเท้า ข้างกายมีเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่ก้าวเคียงราวกับเป็นเงา
เมื่อเดินไปได้สักพัก สายตาของนางสะดุดกับแม่ค้าสูงวัยผู้หนึ่งที่กำลังจัดเรียงผักสดบนแผงไม้เก่า ๆ ผักเขียวชอุ่มสะท้อนแดดอ่อนยามเช้า ดูแล้วสะอาดสะอ้าน หลินหยาจึงหยุดยืนต่อหน้าแม่ค้า ยกมือประสานเล็กน้อยพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “ท่านป้าเจ้าคะ ข้าขอรบกวนถามหน่อยได้หรือไม่ ที่นี่มีโรงเตี๊ยมดี ๆ เงียบสงบ คนไม่เยอะบ้างไหมเจ้าคะ? ราคาไม่สำคัญเท่าความสงบหรอก”
แม่ค้าหันมามองหลินหยา พลางยิ้มบาง ๆ ดวงตาเปี่ยมด้วยความเป็นมิตร นางใช้ผ้าขาวเช็ดมือที่เปื้อนดินเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “มีสิจ๊ะแม่นาง ถ้าอยากพักเงียบ ๆ ไม่พลุกพล่าน ข้าแนะนำโรงเตี๊ยมซิงหนานนะ อยู่สุดซอยนั้น” นางชี้นิ้วไปทางซอยแคบที่ทอดยาวออกไปด้านข้างตลาด “โรงเตี๊ยมนั้นเก่าแก่หน่อย แต่สะอาดและสงบ ขึ้นชื่อว่าเป็นที่พักของคนเดินทางที่อยากหลีกหนีความวุ่นวาย ราคาก็สูงหน่อย แต่ดูจากท่าทางแม่นาง คงไม่ใช่ปัญหาล่ะสิ”
หลินหยายิ้มหวาน รับคำด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงใจ “ขอบคุณท่านป้ามากเจ้าค่ะ” ก่อนจะก้มหัวเล็กน้อยเป็นการคำนับ ขณะเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าก็เห่าเบา ๆ ราวกับขอบคุณเช่นกัน
เมื่อได้รับคำแนะนำแล้ว หลินหยาจึงก้าวเดินไปตามทางที่ถูกชี้ ซอยนั้นเงียบกว่าตลาดนัก พื้นไม้ของบ้านเรือนสองข้างทางส่งกลิ่นเก่าที่ชวนรู้สึกสงบ โคมกระดาษสีแดงแขวนเรียงรายเป็นระยะ ทำให้บรรยากาศอบอุ่นแฝงความโบราณ เจ้าหมาน้อยวิ่งนำเล็กน้อย ดมกลิ่นตามทางเหมือนสำรวจอาณาเขตของตนเอง ขณะที่หลินหยามองไปข้างหน้า สายตาเธอเริ่มเห็นอาคารไม้สองชั้นตั้งตระหง่านอยู่สุดซอย ภายนอกเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ กลิ่นไม้หอมอ่อน ๆ ลอยมาตามสายลม โรงเตี๊ยมซิงหนานปรากฏในสายตาเป็นอาคารไม้สองชั้น สถาปัตยกรรมเรียบง่ายแต่แฝงความเก่าแก่ มีโคมไฟแดงแขวนอยู่หน้าประตู ส่องแสงอบอุ่นยามกลางวัน หลินหยาผลักประตูไม้เข้าไป กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยมากระทบจมูก ทำให้บรรยากาศสงบลงทันตา
เสี่ยวเอ้อร์สาววรีบวิ่งมาต้อนรับ โค้งตัวพร้อมถามเสียงสุภาพ "แม่นางต้องการห้องพักหรือเจ้าคะ? โรงเตี๊ยมของเราสะอาดเงียบ มีห้องส่วนตัวหลายระดับให้เลือก" หลินหยาสบตาเขา ยิ้มมุมปากเล็ก ๆ "ข้าต้องการห้องที่ดีที่สุดที่ที่นี่มีเจ้าค่ะ ราคาเท่าไรข้าไม่เกี่ยง ขอให้สงบและมีอ่างแช่น้ำด้วยก็จะยิ่งดีนัก"
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ รีบตอบทันที "มีเจ้าค่ะ! ห้องชั้นบนสุด มองเห็นวิวแม่น้ำเงียบสงบ ราคา 40 ตำลึงเงินต่อคืนเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นจัดให้ข้าได้เลยเจ้าค่ะ" หลินหยาพยักหน้าพร้อมหยิบเงินจ่ายทันทีโดยไม่ลังเล ทำเอาเสี่ยวเอ้อร์เบิกตากว้าง ก่อนก้มคำนับแล้วนำทางนางและเจ้าหมาน้อยขึ้นไปยังห้องพักชั้นบนสุดที่เงียบสงบตามคำขอ
หลินหยาเดินขึ้นบันไดไม้สู่ชั้นสองของโรงเตี๊ยมซิงหนานหลังจากที่พนักงานหญิงพามาส่งถึงหน้าห้อง กลิ่นหอมของไม้เก่าและน้ำชาที่ลอยออกมาจากห้องโถงชั้นล่างทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ห้องพักที่ได้เป็นห้องมุม มีหน้าต่างบานกว้างมองออกไปเห็นลำธารสายเล็กที่ไหลเอื่อยอยู่เบื้องหลังโรงเตี๊ยม ภายในห้องสะอาด เงียบสงบตามที่เธอต้องการ เตียงไม้คลุมด้วยผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย ข้างเตียงมีอ่างน้ำและโต๊ะเล็กสำหรับวางของ ข้าง ๆ นั้นเจ้าเซียนเฉ่าวิ่งมาวนแล้วกระโดดขึ้นเบาะสำรวจห้องอย่างชอบใจ เมื่อหลินหยาเก็บสัมภาระและตรวจสอบห้องเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันไปทางพนักงานหญิงที่ยังยืนรออยู่ เธอเอ่ยอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าอยากรบกวนขอใช้ครัวของโรงเตี๊ยมสักหน่อยได้ไหมเจ้าคะ? ข้าจะจ่ายค่าบริการเพิ่มตามที่เห็นสมควร ข้าเพียงแค่จะเคี่ยวน้ำซุป ใช้เวลานานหน่อย แต่จะไม่ทำให้ลำบากหรอกเจ้าค่ะ”
พนักงานหญิงมองหลินหยาด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อยก่อนยิ้มบาง ๆ “แม่นางช่างสุภาพเสียจริง เรื่องนั้นไม่ยากหรอกเจ้าค่ะ ครัวของเรามักเปิดให้แขกที่อยากทำอาหารเองเป็นบางครั้ง ยิ่งหากแม่นางจ่ายเพิ่มตามที่ว่า ไม่มีปัญหาเลยเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้าสัญญาจะไม่ทำให้ครัวของท่านสกปรกแน่นอน” หลินหยายิ้มตอบ ขอบคุณอย่างจริงใจ
เมื่อได้คำตอบที่ต้องการ นางจึงยกตะกร้าวัตถุดิบจากแหวนดาราจรัสออกมาจัดเตรียมไว้ทันที วางเรียงซี่โครงไก่ กระดูกหมู ขิง หอมใหญ่ ใบหลิวอ่อน ๆ เห็ดหอม เห็ดหูหนูขาว เก๋ากี้ พุทราแห้ง ดอกเบญจมาศ และเครื่องปรุงทั้งหลายลงบนผ้าอย่างเป็นระเบียบ กลิ่นสมุนไพรเริ่มอบอวลแม้ยังไม่ได้ลงหม้อ เซียนเฉ่ามองวัตถุดิบแล้วทำตาวาว ราวกับรู้ว่าอาหารคืนนี้จะต้องหอมอร่อยกว่าที่เคย
พนักงานหญิงพาหลินหยาไปยังครัวด้านหลังซึ่งเป็นครัวไม้กว้าง โล่งโปร่ง มีเตาไฟดินเผาเรียงรายพร้อมหม้อดินเคลือบตั้งอยู่ หลินหยาวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะไม้ยาว เธอถลกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยแล้วสูดหายใจลึก เตรียมลงมือรังสรรค์น้ำซุปใสใบหลิวตามตำราของเสี่ยวจ้าวจื่อ กลิ่นแรกของขิงและหอมใหญ่ที่เธอลงไปเจียวในหม้อไฟทำให้ทั้งครัวอบอวลด้วยกลิ่นอุ่นหอมที่ชวนให้คนแถวนั้นเหลียวมองด้วยความอยากรู้
หลินหยายืนอยู่หน้าเตาดินเผาที่ไฟอ่อนส่องแสงวาวสีส้มอุ่น ลมเย็นยามค่ำพัดผ่านหน้าต่างไม้ทำให้เปลวไฟไหวระริก เธอสูดหายใจลึกแล้วเริ่มลงมือทำตามตำราที่จดจำได้ขึ้นใจ
ขั้นตอนแรกเธอล้างซี่โครงไก่และกระดูกหมูด้วยน้ำร้อน ลวกเพื่อลดกลิ่นคาว กลิ่นไอร้อนลอยขึ้นพร้อมไอหมอกบาง ๆ ก่อนหลินหยาจะเทน้ำลวกทิ้งอย่างใจเย็น นำซี่โครงไก่ เนื้อกระดูกหมู ขิงแก่บุบ และหอมใหญ่หั่นครึ่งลงในหม้อใหญ่ ใส่น้ำสะอาดสองลิตรแล้วค่อย ๆ วางหม้อลงบนเตาดิน เสียงน้ำเดือดปุด ๆ ดังเบา ๆ ในยามที่เธอลดไฟให้กลายเป็นไฟอ่อน น้ำซุปค่อย ๆ เคี่ยว กลิ่นหอมอบอุ่นของขิงและหอมใหญ่ผสมเข้ากับกลิ่นเนื้อกระดูกที่ค่อย ๆ ปล่อยความหวานตามธรรมชาติออกมา หลินหยาคอยช้อนฟองที่ลอยขึ้นมาเรื่อย ๆ ในน้ำซุป เพื่อให้คงความใสไว้ เธอไม่คนมันเด็ดขาด ปล่อยให้ทุกอย่างค่อย ๆ กลั่นรสด้วยกาลเวลา
ขั้นต่อมาในขณะที่น้ำซุปเคี่ยว หลินหยาหันไปล้างใบหลิวอ่อน ๆ ในชามน้ำเย็น มือเรียวเลือกเฉพาะยอดใบสดที่อ่อนนุ่ม ตัดก้านแข็งทิ้งอย่างละเอียด เธอวางไว้บนผ้าสะอาดให้สะเด็ดน้ำ เห็ดหอมและเห็ดหูหนูขาวถูกแช่น้ำจนนุ่ม เธอฉีกเห็ดหูหนูขาวเป็นชิ้นเล็ก ส่วนเห็ดหอมก็ใช้มีดบั้งลายสวยงามราวกลีบดอกไม้ พุทราแห้งถูกล้างและคว้านเมล็ดออก เก๋ากี้และดอกเบญจมาศล้างผ่านน้ำเร็ว ๆ เพื่อรักษากลิ่นหอมอ่อน พอเตรียมวัตถุดิบเสร็จ หลินหยานำเนื้อไก่ส่วนสะโพกมาต้มรอบแรกเพื่อลดกลิ่นคาว จากนั้นต้มรอบที่สองในน้ำซุปที่เคี่ยวไว้ให้เนื้อไก่ดูดซึมรสชาติหอมหวานของน้ำซุปอย่างเต็มที่
ต่อไปคือขั้นที่สาม หลายชั่วยามผ่านไป หลินหยากรองน้ำซุปด้วยผ้าขาวบาง น้ำซุปใสเป็นประกายสีทองนวลคล้ายอำพัน เธอเทกลับลงหม้อ เติมน้ำแช่เห็ดหอมเพื่อเพิ่มความหอมเข้มลงไปด้วย แล้วใส่เห็ดหอม เห็ดหูหนูขาว พุทราแห้ง และเก๋ากี้ เคี่ยวต่ออีกสิบกว่านาที กลิ่นหวานหอมสมุนไพรคลุ้งทั่วครัว จากนั้นเธอใส่เนื้อไก่ที่ซึมซับรสน้ำซุปจนเปื่อยนุ่ม และโปรยดอกเบญจมาศที่เตรียมไว้ ปรุงด้วยเหล้าเหลืองเพียงหยด น้ำมันงาเล็กน้อย และเกลือพอดี เสียงซุปเดือดปุด ๆ กลายเป็นท่วงทำนองที่กล่อมหัวใจเธอ
และสุดท้ายจะต้องปิดท้ายด้วยความหอม เมื่อทุกอย่างพร้อมหลินหยาดับไฟ แล้วหยิบใบหลิวอ่อนใส่ลงไปทันที กลิ่นหอมเขียวอ่อนลอยขึ้นทันตา เธอปิดฝาหม้อ ทิ้งไว้หนึ่งนาที ให้ไอน้ำร้อนอบจนใบหลิวสุกหอมพอดี เมื่อเปิดฝาออกกลิ่นหอมละมุนของซุปใสใบหลิวฟุ้งกระจาย ความใสของน้ำซุปสะท้อนแสงไฟอุ่น ๆ เห็ดและสมุนไพรลอยเรียงงามราวภาพวาด หลินหยามองผลงานของตัวเองด้วยรอยยิ้มบาง ๆ เธอตักซุปใส่ถ้วยดินชามเล็ก ชิมคำแรก…รสหวานกลมกล่อมละมุนลิ้น ความเหนื่อยล้าทั้งหมดราวถูกปลดเปลื้อง
ข้าง ๆ เจ้าเซียนเฉ่าเลียปากจ้องถ้วยของตัวเองตาเป็นประกาย นางยกชามให้มันก่อนที่มันจะกินด้วยความฟินสมใจ นี่แหละ ซุปใบหลิวที่ทั้งหอม ทั้งอร่อย และเต็มไปด้วยความใส่ใจของหลินหยา