เจ้าของ: LinYa

[บันทึกการเดินทาง] : ความจริงแท้

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-8-11 19:39:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 10 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยาม ??? เรือวาฬแห่งหมู่บ้านลู่ไห่ เมืองป๋อไห่ มณฑลจี้โจว จักรวรรดิต้าฮั่น


ขณะที่เท้าของหลินหยากำลังจะก้าวขึ้นบันไดไม้ไผ่เพื่อนำไปสู่ดาดฟ้าเรือ เสียงคลื่นกระทบผิวน้ำด้านล่างก็ดังสม่ำเสมอเหมือนบทเพลงของท้องทะเล แต่ทว่ากลางจังหวะคลื่นนั้นกลับมีเสียงบางอย่างแทรกขึ้นมา… มันไม่ใช่เสียงเรือ เสียงชาวบ้าน หรือเสียงนกทะเล แต่เป็นเสียงที่เหมือนถูกพัดพามากับสายลมเพียงเสี้ยววินาที และที่น่าแปลกคือดูเหมือนจะมีเพียงเธอคนเดียวที่ได้ยิน


เสียงนั้นฟังคล้ายถ้อยคำโบราณที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงเย็นลึก ลื่นไหลเหมือนหยดน้ำซึมผ่านชั้นหินใต้มหาสมุทร เสียงนั้นดังมาจากทางฝั่งตะวันออกสุดของขอบเกาะวาฬ เสียงเบาราวกับกระซิบแต่แฝงแรงดึงดูดให้หัวใจเต้นถี่ชอบกล เธอฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาใด บางทีอาจเป็นภาษาที่หายสาบสูญไปแล้วก็ได้มั้ง? หรือเป็นเพียงเสียงก้องในความคิดที่ไม่ควรได้ยิน


เซียนเฉ่าที่อยู่ข้างเธอเงยหน้ามองอย่างสงสัย มันไม่ได้เห่า ไม่สะดุ้ง เหมือนมันไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้หลินหยารู้สึกแปลกกว่าเดิม


สายลมเย็นจากทะเลพัดแรงขึ้น เส้นผมของเธอปลิวสะบัดและเหมือนพัดพาคำกระซิบให้ชัดขึ้นชั่วขณะ ไม่ใช่เพียงเสียง แต่เหมือนเป็น การเรียก มันชวนให้เธออยากก้าวไปยังขอบตะวันออกนั้นราวกับมีแรงลึกลับกำลังดึงดูดอยู่ หัวใจหลินหยากระตุกวูบ ความรู้สึกคุ้นเคยแปลกประหลาดแล่นวาบขึ้นมาในใจ… ทั้งที่เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่รู้ว่าถ้าละทิ้งเสียงนี้ไป อาจพลาดบางสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง


สายตาของหลินหยาหันกลับไปมองเรือโดยสารที่กำลังจะยกสมอ เสียงหัวเราะบางเบาของชาวประมงยังคงลอยตามลมมา แต่นางกลับเลือกเบี่ยงกายหลบฝูงชน แทนที่จะขึ้นเรือตามกำหนด เธอก้าวลงจากบันไดไม้ไผ่ อุ้มเจ้าเซียนเฉ่าขึ้นมากอดแน่น ร่างเล็กของมันเอนหัวซบอกอย่างง่วงงุนไม่รู้ชะตากรรมว่ากำลังจะถูกเจ้าของพาไปที่ไหน เสียงกระซิบจากทิศตะวันออกดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนกว่าก่อน ราวกับผู้พูดอยู่เพียงหลังฉากหมอกบาง เสียงนั้นอุ่นลึกแต่ปนแฝงความลึกลับ เหมือนกระแสน้ำที่ไหลเวียนรอบใจเธอ ก้าวเท้าของหลินหยากลายเป็นเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ราวกับร่างกายเดินไปเองโดยไม่รอฟังเหตุผลจากสมอง


เส้นทางที่ทอดยาวไปสู่ขอบตะวันออกของเกาะวาฬเป็นแนวสะพานไม้เก่าแก่ ผิวไม้ถูกเกลือทะเลกัดกร่อนจนซีดขาว บางช่วงยังชุ่มน้ำทะเลที่ซัดซ้ำไม่รู้กี่ร้อยปี กลิ่นเค็มผสมกลิ่นสาหร่ายอบอวลอยู่รอบกาย เธอจับเจ้าเซียนเฉ่าให้มั่นในอ้อมแขน เดินฝ่าไอละอองที่พัดมาปะทะหน้า


เมื่อก้าวผ่านแถวบ้านชาวประมงหลังสุดท้าย บรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างประหลาด เสียงชาวบ้านหายไป เหลือเพียงเสียงคลื่นกระทบหินผาและเสียงลมที่หวีดหวิว บนขอบหน้าผามีเสาหินโบราณตั้งเรียงเป็นวงกลม หินแต่ละแท่งแกะสลักลวดลายคลื่นน้ำและสัตว์สมุทรในตำนาน แต่หลายจุดถูกคลื่นกัดเซาะจนเลือนราง เสียงกระซิบดังชัดเป็นคำพูดในวินาทีนั้น เสียงนั้นเอ่ยถ้อยคำที่เหมือนจะเป็นคำเรียกชื่อ…ชื่อที่หลินหยารู้ดีว่ามันไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเสียงที่เคยได้ยินในฝันยามค่ำคืน เสียงนั้นเอ่ยชวนให้นาง “ก้าวเข้ามา” ภายใต้แสงอาทิตย์บ่ายที่สะท้อนผืนน้ำเป็นประกาย เธอรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งรออยู่ภายในวงเสาหินนั้น… และไม่แน่ว่ามันอาจเกี่ยวพันกับเทพเยว่เหล่าอย่างที่เธอคาดไว้ก็เป็นได้


ลมทะเลที่พัดมาแผ่วเบาแทรกผ่านไรผมของหลินหยา กลิ่นเกลือผสมกลิ่นสาหร่ายคลุ้งชัดในจมูก นางเหลือบมองเจ้าเซียนเฉ่าในอ้อมแขนที่ทำตาแป๋วเหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมุ่งหน้าไปในทิศนี้ เสียงบ่นของนางเล็ดลอดออกมาเบา ๆ “รอบนี้จะเป็นองค์เทพเยว่เหล่าอีกไหมนะ? ถ้ามาจริง…จะถวายเหล้าดีไหม”


ปลายนิ้วเรียวลูบหัวกลม ๆ ของเจ้าหมาน้อยที่ขนฟูนุ่มนิ่มราวก้อนเมฆ ดวงตาเจ้าเซียนเฉ่าฉายประกายซื่อ ๆ แต่ใบหูกระดิกเล็กน้อยตามแรงลมเย็น สองแขนโอบมันไว้แน่นในขณะที่ฝ่าเท้าก้าวผ่านทางไม้ไผ่เก่า เสียงรองเท้ากระทบไม้ดังกรอบแกรบประสานกับเสียงคลื่นสาดซัดเบื้องล่าง แสงตะวันบ่ายสาดไล้บนผิวทะเลให้ระยิบระยับราวผืนผ้าทอทองแดง ทั้งคู่เคลื่อนตัวผ่านเงาเสาไม้โบราณและหมู่บ้านชาวประมงที่เริ่มเงียบสงัด ลมเย็นพัดปลายผมหลินหยาให้สะบัดเบา ๆ ทว่าหัวใจกลับเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่เสียงกระซิบจากทิศตะวันออกดังใกล้เข้ามา ราวกับทุกย่างก้าวกำลังพาเธอเข้าใกล้บางสิ่งที่เกินกว่ามนุษย์จะหยั่งถึง





@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาแล้วจ้าาาา มาแล้วววว เทพหรือใครค้าบ เทพเยว่เหล่ามาไถเหล้าหรอ

รางวัล: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

(1) ช่วยเหลือ | (2) เดินจากไป  โพสต์ 2025-8-11 21:40
เสียงดังขึ้นอีกแล้ว "ช่วย...ข้า...ด้วย"  โพสต์ 2025-8-11 21:40
พบปลาตัวนึงติดแหอวนชาวประมงที่ดักไว้บริเวณนี้ มันกำลังดิ้นไปมามองมาทางคุณด้วยสายตาแบบพุช  โพสต์ 2025-8-11 21:39
โพสต์ 23760 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-11 19:39
โพสต์ 23,760 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-11 19:39
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-11 22:09:39 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 10 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยาม ??? เรือวาฬแห่งหมู่บ้านลู่ไห่ เมืองป๋อไห่ มณฑลจี้โจว จักรวรรดิต้าฮั่น

เสียงคลื่นซัดฝั่งดังสม่ำเสมอเหมือนจังหวะหัวใจของท้องทะเล กลิ่นเกลือปนคาวสดใหม่อบอวลอยู่ในลมทะเลที่พัดมาตีแก้ม หลินหยาก้าวเดินไปบนทางหินที่ขรุขระ เปียกชื้นไปด้วยละอองน้ำ กระโปรงปลายสะบัดไหวเบา ๆ ตามแรงลม เธอกระชับอ้อมแขนกอดเจ้าเซียนเฉ่าแน่นขึ้น พลางเอียงศีรษะลงเล็กน้อย เหมือนจะป้องกันลมให้เจ้าลูกหมาน้อยที่กำลังซุกหน้าหลับปุ๋ยอยู่กับอกของนาง สายตาของหลินหยากวาดมองไปรอบ ๆ ฟังหาต้นตอของเสียงปริศนาที่ดังอยู่ในโสตประสาทไม่หยุด ราวกับเสียงนั้นไม่ได้ผ่านเพียงหู หากลอดเข้าสู่จิตใจโดยตรง


เมื่อก้าวลึกเข้ามาถึงปลายสุดเขตตะวันออกของเกาะ เสียงนั้นกลับชัดขึ้นจนราวกับอยู่เพียงเอื้อมมือถึง เธอหยุดยืนที่ริมโขดหิน ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่กลางอวนดักปลาที่ผูกโยงกับหลักไม้บนตลิ่ง น้ำกระเพื่อมแรงเพราะร่างขนาดใหญ่กำลังดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง เนื้อเกล็ดของมันสะท้อนแสงแดดยามบ่ายเป็นประกายสีน้ำเงินอมเขียวชวนให้หลงใหล เส้นกล้ามเนื้อใต้ผิวเกล็ดเกร็งเป็นระลอกทุกครั้งที่มันพยายามสะบัดหนีจากเส้นใยอวนหนา


แต่สิ่งที่ทำให้หลินหยาชะงักไม่ใช่ความงามของมันหากเป็นดวงตาที่เงยขึ้นมาจากผืนน้ำ ดวงตากลมโตราวหยดน้ำค้างขยายใหญ่ เปล่งประกายใสแววเหมือนแก้วเจียระไนที่ชุ่มน้ำ ดวงตานั้นจ้องตรงมาที่เธอโดยไม่หลบเลี่ยง ในประกายตานั้นมีทั้งความตระหนก อ้อนวอน และความสิ้นหวังปะปนอยู่ ราวกับกำลังเอื้อนเอ่ยคำว่า “ช่วยข้าด้วย” โดยไม่จำเป็นต้องมีเสียงใด ๆ หลุดออกมา


มันเป็นสายตาที่ทำให้หัวใจของหลินหยากระตุกวูบ ไม่ต่างจากภาพของเจ้าแมวพุซอินบู๊ทที่ยื่นหมวกขอความเมตตาในนิทานของดรีมเวิร์ค แต่ครั้งนี้กลับเป็นปลาทะเลตัวใหญ่ที่ติดอยู่ในกับดักมนุษย์ แววตานั้นขัดกับสัญชาตญาณสัตว์นักล่าของมันอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่เพียงปลาธรรมดา…หลินหยาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ข้างใน เหมือนเสียงปริศนาที่เธอได้ยินตลอดทางนั้นมาจากเจ้าสิ่งมีชีวิตตรงหน้า ลมพัดแรงจนผมของเธอปลิวปรกแก้ม ขณะที่มือที่กอดเซียนเฉ่าเริ่มคลายลงเล็กน้อย เธอก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ความรู้สึกเหมือนถูกมองลึกเข้าไปในหัวใจยิ่งชัดขึ้น นางยืนอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน สายตาสองคู่สบกันอยู่กลางเสียงคลื่นและเสียงหัวใจที่เต้นแรง ทั้งคู่ราวกับกำลังสนทนากันอย่างเงียบงันในภาษาที่ไม่ต้องมีคำพูด แต่กลับเข้าใจกันอย่างประหลาด


หลินหยาขยับตัวอย่างระมัดระวัง ก่อนจะก้มปล่อยเจ้าเซียนเฉ่าลงบนพื้นหญ้าริมโขดหิน เจ้าลูกหมาน้อยเอียงคอมองปลาตัวใหญ่ตรงหน้าแล้วส่งเสียงครางเบา ๆ ราวกับจะถามว่านี่มันของกินหรือไม่ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปใกล้ นางก็เอ่ยเสียงดุพอให้มันจำขึ้นใจ “ตัวนี้ไม่ใช่อาหารนะ เข้าใจไหม?” น้ำเสียงหนักแน่นจนเซียนเฉ่ากะพริบตาถี่ ๆ ยอมถอยกลับไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับที่


ทว่าในจังหวะนั้น เสียงปริศนาที่หลินหยาตามหามาตลอดกลับดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนราวกับอยู่ข้างหู “ช่วย…ข้า…ด้วย…” เสียงนั้นสั่นพร่า ปนทั้งความหวังและความสิ้นหวังแทรกอยู่ในถ้อยคำสั้น ๆ เพียงไม่กี่คำ นางเผลอพ่นลมหายใจแรงออกมา เหมือนจะกลบความรู้สึกหวั่นไหวที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายในอก แล้วก้มลงถามกลับไปอย่างนุ่มนวล “รอหน่อยนะ…เจ้าเจ็บมากไหม?” แม้จะรู้ว่ามันคงไม่ตอบเป็นคำพูด แต่ดวงตากลมโตราวหยดน้ำที่สั่นไหวอยู่นั้นก็ตอบแทนทุกอย่าง


หลินหยาปลดกระเป๋าหนังใบเล็กที่คาดอยู่ตรงเอวที่ใส่ของน้อยชิ้นที่ใช้บ่อย ๆ วางมันลงข้าง ๆ เซียนเฉ่า ก่อนจะก้มกระซิบ “เฝ้าไว้นะเซียนเฉ่า อย่าให้ใครมาเอาไป” เจ้าลูกหมาน้อยเห่าหงุงหงิงราวกับรับคำสั่ง นางจึงสูดลมหายใจเข้าลึก มองผืนน้ำสีฟ้าอมเขียวตรงหน้าที่ซัดกระแทกโขดหินอย่างแรง แล้วค่อย ๆ ปีนลงจากฝั่ง มือเกาะตามรอยหินที่ลื่นจากตะไคร่น้ำอย่างคล่องแคล่ว


โชคดีที่นางเติบโตในเมืองติดทะเล ช่วงวัยเด็กเต็มไปด้วยการเล่นน้ำไล่จับปลากับเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน ฝีมือการว่ายน้ำของหลินหยาจึงไม่ธรรมดา นางสอดเท้าลงไปในน้ำเย็นจัดทีละข้าง ก่อนจะปล่อยตัวดำดิ่งลงสู่ท้องทะเลตื้น คลื่นแรกปะทะร่างจนเส้นผมลู่ไปด้านหลัง แต่ร่างกายของเธอกลับปรับจังหวะได้อย่างรวดเร็ว ว่ายฝ่าคลื่นเข้าหาอวนที่พันรัดปลาตัวโตนั้นไว้ เสียงในหัวของเธอยังคงดังอยู่ทุกจังหวะการเคลื่อนไหว และยิ่งใกล้มากเท่าไร เสียงก็ยิ่งเร่งเร้า เหมือนหัวใจของมันกำลังเต้นแข่งกับเวลา


ปลายนิ้วของหลินหยาสัมผัสถึงความหยาบเย็นของเชือกอวนที่รัดเกล็ดลื่นระยับของปลาตัวโตไว้แน่น เส้นใยหยาบชื้นนั้นกดทับจนผิวของมันเป็นรอยช้ำ เธอขยับเข้าใกล้ช้า ๆ เพื่อไม่ให้มันตกใจ ก่อนจะยื่นมืออีกข้างโอบลำตัวมันไว้อย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นจากอ้อมแขนของนางค่อย ๆ แทรกผ่านน้ำทะเลเย็นจัดไปถึงมัน ราวกับจะบอกว่ามีคนอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ต้องกลัว เกล็ดสีเงินอมฟ้าของมันสะท้อนประกายวาวไหวอยู่ใต้น้ำ ทุกครั้งที่มันกระพริบตา ดวงตากลมใสนั้นกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและความเจ็บปวดปนอยู่ เธอรู้ทันทีว่านี่คงไม่ใช่ปลาธรรมดา จิตที่สื่อถึงกันแม้ไร้เสียงทำให้เธอสัมผัสได้ถึงความร้อนรนและความอ้อนวอนที่แทรกอยู่ในจิตวิญญาณของมัน


หลินหยาก้มหน้าเอ่ยเสียงนุ่ม ราวกับปลอบเด็กเล็กที่กำลังกลัว “ใจเย็น ๆ นะ… อย่าดิ้น ถ้าดิ้นจะเอาไม่ออก เป็นเด็กดีนะ” เสียงนั้นแม้จะถูกน้ำกลบแต่ความตั้งใจในน้ำเสียงกลับชัดเจนจนเหมือนแทรกตรงเข้าสู่หัวใจของมัน


เธอค่อย ๆ สอดมือปลดปมอวนทีละเส้นอย่างระมัดระวัง ความหยาบของเชือกบาดผิวมือจนแสบน้อย ๆ แต่เธอไม่ใส่ใจ สายตายังคงจับจ้องที่จังหวะหายใจของมัน หากมันเริ่มดิ้นอีกเพียงนิดเดียว อวนอาจจะรัดแน่นขึ้น แต่โชคดีที่คำปลอบเมื่อครู่เหมือนจะทำให้มันผ่อนแรงลง ลำตัวของมันนิ่งขึ้นเล็กน้อย มีเพียงครีบที่ขยับช้า ๆ ในน้ำเหมือนตอบรับความไว้ใจนั้น


เมื่อปมเชือกเส้นสุดท้ายถูกคลายออก ลำตัวปลาตัวโตก็เป็นอิสระในที่สุด เสียงน้ำกระเพื่อมดังเบา ๆ ขณะที่มันขยับตัวอย่างลังเล ก่อนจะพลันพุ่งตรงเข้ามาหาหลินหยาจนสายน้ำรอบตัวไหวกระจาย ความเย็นของผิวน้ำผสมกับแรงกระแทกอุ่น ๆ จากลำตัวมันทำให้เธอเผลอหัวเราะน้อย ๆ มันไม่ว่ายหนีไปเหมือนปลาทั่วไป กลับซุกตัวเข้าหาเธอราวกับกำลังมองหาอ้อมกอดที่ปลอดภัย


หลินหยาโอบมันไว้หลวม ๆ ฝ่ามือแตะเกล็ดลื่นที่ยังมีไออุ่นจากแรงดิ้นเมื่อครู่ ดวงตากลมใสนั้นมองเธอไม่กะพริบเหมือนเด็กที่เพิ่งผ่านฝันร้ายมา น้ำเสียงของเธออ่อนลงจนแทบเป็นกระซิบ “ปลอดภัยแล้ว… รอบหน้าอย่ามาติดอีกนะ ให้ปลาธรรมดาติดแทนเข้าใจไหม?” เธอขยับมือแตะครีบมันเบา ๆ ราวกับสัญญาลับในน้ำ เสี้ยววินาทีนั้น เหมือนมันจะพยักหน้าในแบบของมัน ครีบข้างสะบัดอย่างอ่อนโยนตอบรับ





@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: กดเปิดเพลง ฉันนั่งตกปลาในริมตลิ่ง มาช่วยปลาจ้า

รางวัล: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

(1) ตอบรับ ~ (2) ปฏิเสธ  โพสต์ 2025-8-11 22:31
หลังเจ้าปลาน้อยหลุดออกมาก่อนกลายร่างเป็นปีศาจปลา Level 10 ขอร่วมทางไปกับคุณด้วย  โพสต์ 2025-8-11 22:31
โพสต์ 31979 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-11 22:09
โพสต์ 31,979 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-11 22:09
โพสต์ 31,979 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +9 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-11 22:09
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-12 03:37:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-12 03:53

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 10 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยาม ??? เรือวาฬแห่งหมู่บ้านลู่ไห่ เมืองป๋อไห่ มณฑลจี้โจว จักรวรรดิต้าฮั่น

หลังจากนั้นมันก็ว่ายวนหลินหยาอยู่สักพัก เธอคิดว่ามันคงไม่มีอะไรและจะกลับไปยังทะเลส่วนเธอก็กำลังจะขึ้นฝั่งบนหลังวาฬ พอขึ้นกำลังบีบน้ำออกจากเสื้อผ้าเพื่อที่จะได้เปลี่ยนชุดใหม่ แต่ทว่า เกลียวคลื่นที่เพิ่งสงบกลับปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง เสียงกระเพื่อมดังขึ้นพร้อมกับเงาดำขนาดใหญ่ที่โผล่พ้นผิวน้ำไม่ใช่เพียงแค่เจ้าปลาน้อยที่เธอเพิ่งช่วย แต่เป็นร่างสูงใหญ่กำยำของปีศาจปลา เนื้อตัวเป็นสีเทาหม่นแซมเกล็ดเงิน ลวดลายบนผิววาววับราวกับโลหะเปียกน้ำ ลมหายใจของมันเป็นไอเย็นจัด และในมือมีอาวุธยาวปลายโค้งที่ดูจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมันเอง


หลินหยาถอยหลังหนึ่งก้าว สายตาจับจ้องอย่างระแวดระวัง เธอรู้ดีว่าปีศาจปลาตามปกติแทบทุกตนเป็นตัวอันตรายที่เล่าลือกันว่าเลวทรามต่ำช้าสิ้นดีซึ่งไม่เกินจริง ไม่เพียงชอบกินเนื้อมนุษย์ แต่ยังลงมือฉุดคร่าหญิงสาวไปข่มขืนใต้น้ำก่อนจะกลืนกินเป็นอาหาร เป็นเผ่าพันธุ์ที่ทั้งสกปรกและโหดเหี้ยม


ทว่า… สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับไม่ได้พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งหรือแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมแบบที่เธอเคยได้ยินในตำนาน มันยืนนิ่งเพียงแค่ไม่กี่ก้าวจากเธอ ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นไม่ได้เปล่งประกายหิวกระหาย แต่กลับมีแววที่ใกล้เคียงกับ… ความลังเล? หรือกระทั่งความสงสัย หรืออย่างอื่น หยดน้ำเกาะตามกล้ามเนื้อและสายลูกปัดดำขนาดใหญ่ที่คล้องรอบคอของมัน ส่งเสียงกระทบกันเบา ๆ ราวกับเครื่องรางจากโลกใต้สมุทร หลินหยาไม่ได้ผ่อนคลาย แต่ก็ยังไม่หยิบอาวุธ เธอเลือกยืนนิ่ง รอให้มันแสดงท่าทีต่อไป ใจหนึ่งก็อดนึกถึงตอนมันซุกตัวอ้อนเธอในน้ำไม่ได้ และนั่นทำให้เธอไม่แน่ใจว่าปีศาจตนนี้… จะเป็นเหมือนตัวอื่นจริงหรือไม่


เสียงทุ้มต่ำของมันลอดออกมาจากลำคอแหบพร่าเหมือนคลื่นกระแทกโขดหิน "ข้าขอคำนับ… นายหญิง" ร่างสูงใหญ่ของปีศาจปลาค่อย ๆ ย่อตัวลง เข่าข้างหนึ่งแตะพื้น มือใหญ่ที่ยังชุ่มน้ำวางคมอาวุธลงข้างตัวอย่างสงบ ดวงตาที่เคยวาวเหมือนนักล่าในทะเลกลับหม่นลงอย่างจริงจัง "ข้าปรารถนาจะติดตามท่าน…"


หลินหยาชะงักไปในทันที คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดกลางสมอง ไม่ใช่เพราะความโรแมนติก แต่เพราะมันผิดวิสัยสุด ๆ เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งตาแป๋วอยู่ข้างกระเป๋าก็อ้าปากงงเป็นไก่ตาแตก ปลายหูตั้งขึ้นราวกับอยากถามว่า ไอ้บ้านี่มันพูดจริงหรือเมากุ้งอยู่  หัวใจหลินหยากระตุกวาบ ไม่ใช่เพราะซึ้ง แต่เพราะประสบการณ์เก่า ๆ กับปีศาจปลาพวกเศษสวะที่เจอมาตลอด ส่วนใหญ่แม่งไม่รอพูดอะไรทั้งนั้น เห็นผู้หญิงก็พุ่งมาฉุดลากลงน้ำเป็นอย่างเดียว ไม่ว่ากี่ครั้งก็หนีตายแทบไม่ทัน นี่มันอะไรอีกวะ… อยู่ ๆ มาโค้งคำนับประกาศตัวจะติดตามกันแบบนี้?!


เธอหรี่ตาลงทันที น้ำเสียงเย็นเฉียบ "ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีแผนอะไร แต่ข้าจะบอกให้เลยว่าข้าไม่ไว้ใจปีศาจปลาเลยสักนิด" ปลายนิ้วของเธอยังวางใกล้ขลุ่ยที่เหน็บอยู่เอว แม้ไม่ได้ชักออก แต่ก็พร้อมใช้ทุกเมื่อ สายตากดดันมันอย่างเปิดเผย ขณะเดียวกันในหัวก็สบถไม่หยุด บ้าบออะไรของมันวะ… จะมาปั่นหัวกันอีกรึไง?!


ปีศาจปลากลับไม่แสดงท่าทีข่มขู่แม้แต่น้อย มันเพียงก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม น้ำหยดจากปลายผมยาวสีน้ำเงินเข้มลงบนพื้นดินทีละหยด เสียงแผ่วเบาของมันยังคงย้ำคำเดิม “…ข้าขอเพียงติดตามท่าน… ไม่ทำร้าย ไม่แตะต้องโดยไม่ได้รับอนุญาตขอรับ” และนั่น… ยิ่งทำให้หลินหยาอยากรู้ว่ามันต้องการอะไรกันแน่ แต่หัวใจก็ยังไม่ยอมปล่อยความระแวงลงแม้แต่นิดเดียว


หลินหยากอดอก มองมันด้วยสายตาคมกริบที่บ่งบอกชัดว่าคำตอบยังคงเป็น ‘ไม่’ ตั้งแต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก “ไม่ได้หรอก การเดินทางของข้าไม่ได้อยู่ในที่ที่มีน้ำตลอดเวลา และข้า… ไม่ได้อยากเลี้ยงปีศาจ” น้ำเสียงของนางราบเรียบ แต่แฝงแรงกดดันพอสมควร


ปีศาจปลากระตุกหัวคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนหันไปมองเซียนเฉ่าที่นั่งกระดิกหูอยู่ข้างกระเป๋า แล้วมันก็เอ่ยเสียงดังพอให้ได้ยินกันชัด “แล้วทำไม… ปีศาจสุนัขสามหัวตัวนั้นถึงติดตามนายหญิงได้ขอรับ?” น้ำเสียงไม่ใช่การท้าทายแต่ก็ชัดเจนว่ามีความไม่เข้าใจปนอยู่อย่างเปิดเผย หลินหยาหันไปมองเจ้าเซียนเฉ่า พลางยักคิ้วให้มันแบบ นี่แกไง… ต้นเหตุเรื่อง ก่อนจะหันกลับมามองปีศาจปลาอีกครั้ง “ก็เพราะเขาแปลงร่างเป็นหมาตัวเล็ก ๆ ธรรมดาได้ไง” มือบางชี้นิ้วไปที่เซียนเฉ่าเหมือนกำลังยืนยันข้อเท็จจริง “ถ้าเจ้าแปลงร่างไม่ได้ ข้าก็ไม่ให้ติดตามหรอก”


แววตาของปีศาจปลาวาววับเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะโกรธ กลับเป็นเหมือนคนที่กำลังชั่งน้ำหนักความคิด “หากข้า… โตขึ้น ข้าก็จะแปลงร่างได้แน่นอนขอรับ” น้ำเสียงมันเปลี่ยนเป็นหนักแน่นขึ้นราวกับประกาศคำสัตย์ “และหากนายหญิง… ไม่พึงใจในร่างกายนี้ ข้าก็จะเปลี่ยนให้เป็นอย่างที่ท่านต้องการขอรับ” คำพูดนั้นทำให้หลินหยาหรี่ตาลงอย่างชัดเจน ในหัวผุดคำว่า ไอ้บ้านี่มันพูดเหมือนกำลังจีบกันอยู่รึเปล่าวะ ขณะที่เซียนเฉ่าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าปลาแล้วหันกลับไปมองหลินหยาสลับกันเหมือนกำลังพิจารณาว่า… นี่ควรจะให้ติดตามหรือเตะกลับทะเลไปดีคุณหนูหลิน


หลินหยาหรี่ตาลงเล็กน้อย มือบางกอดอกพลางเอนตัวมองมันจากหัวจรดเท้า “ไม่ได้หรอก หากเป็นแบบนั้นแล้วเจ้าจะใช้ชีวิตยังไง? ต้องแตะน้ำทุกวันหรือยังไง?” น้ำเสียงของนางไม่ใช่แค่ปฏิเสธ แต่ยังมีความกังวลแฝงอยู่จาง ๆ “มันลำบากนะ เจ้าไม่เข้าใจหรือไง”


ปีศาจปลากลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย กลับยืนก้มหน้ามองนางตาไม่กระพริบ ราวกับกำลังจะสาบานชีวิตตรงนั้น “ไม่ว่าลำบากแค่ไหน ข้าก็จะติดตามไปให้ได้ขอรับ” เสียงทุ้มต่ำหนักแน่นอย่างเอาเป็นเอาตาย


หลินหยาขมวดคิ้ว รู้สึกถึงความดื้อดึงแบบเกินเหตุจากปีศาจตรงหน้า ปกติปีศาจปลาที่เธอเคยเจอถ้าไม่มองเธอเป็นเหยื่อก็จะว่ายหนีไปเองหรือโดนเธอฆ่าทำปลาย่างตลอด ไม่เคยมีใครมายืนคุกเข่าอ้อนวอนอย่างนี้สักตัว แต่ท่าทางของมันตอนนี้… มีบางอย่างไม่ปกติ ดวงตาคมคู่ใหญ่เหมือนกำลังซ่อนอะไรบางอย่างไว้ และที่สำคัญสายตานั้นไม่มีวี่แววอยากกลับทะเลแม้แต่น้อย


เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งห่างไปไม่กี่ก้าวก็เอียงคอ สบตามันแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนจะอ่านใจได้ว่า “ไอ้นี่… มันเหมือนกำลังหนีอะไรสักอย่างเลยขอรับคุณหนูหลิน” มันคิดและพูดกับหลินหยา ปล่อยให้หลินหยายืนเผชิญกับสายตาวิงวอนนั้นเพียงลำพัง ในหัวนางเริ่มคิดแล้วว่า นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันอีกเนี่ย หลินหยากอดอกแน่นขึ้น คิ้วเรียวขมวดเป็นปม ขยับตัวไปยืนมองมันตรง ๆ ราวกับจะคาดคั้นความจริง “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พูดมา” น้ำเสียงแม้ไม่ดังนักแต่ก็แฝงแรงกดดันอย่างปฏิเสธไม่ได้


ปีศาจปลาลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย ก่อนเอ่ยช้า ๆ “ปีศาจปลาส่วนใหญ่… มีสัญชาตญาณโหดร้าย ดุร้าย… ข้าเองก็เคยเป็นเช่นนั้นขอรับ” แววตาของมันคล้ายกำลังมองย้อนกลับไปยังอดีตที่ขมขื่น “จนกระทั่งวันหนึ่ง… มีมนุษย์หญิงแก่คนหนึ่ง…นาง… เป็นผู้มีพระคุณของข้า” มันหยุดไปครู่หนึ่ง เสียงในลำคอแผ่วลงอย่างฝืนใจจะพูด “แต่แล้ว… ก็มีปีศาจปลากลุ่มหนึ่งลากนางลงน้ำ” มันเงียบ ไม่พูดต่อ แต่สีหน้าและสายตาที่หม่นมืดก็เพียงพอให้หลินหยาจินตนาการภาพที่เหลือได้โดยไม่ต้องฟังคำบรรยาย


หลินหยาหรี่ตาเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าเลยฆ่าพวกปีศาจปลาตนนั้นใช่หรือไม่”


แต่ปีศาจปลากลับยิ้มเย็นบาง ๆ ที่มุมปาก ดวงตาวาววับด้วยความกร้าว “ข้าฆ่าพวกมันทั้งหมดขอรับ” น้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งความลังเลและไม่เหลือความเมตตาใด ๆ “ข้าโกรธ… โกรธจนไม่เหลือสติ และเมื่อสายน้ำที่ข้าเคยอาศัยกลายเป็นเพียงที่ซึ่งข้าฆ่าไม่หยุดมือ ข้าก็… หนีขึ้นมาที่นี่” เซียนเฉ่าที่อยู่ข้าง ๆ ขยับตัวเล็กน้อย ราวกับจับกลิ่นบางอย่างได้ แต่ก็เลือกนิ่งเงียบ ขณะที่หลินหยายืนมองมันนิ่ง ๆ ในใจนางรู้ดีว่า ปีศาจปลาตรงหน้าไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ลี้ภัยจากทะเล หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกอดีตฝังความแค้นเอาไว้จนเต็มหัวใจ


หลินหยายกคางน้อย ๆ ไปทางปีศาจปลา ก่อนจะเหลือบตามองเซียนเฉ่าในอ้อมแขน “เจ้าล่ะ อนุญาตให้มันตามไหม เซียนเฉ่า” น้ำเสียงของนางเรียบง่ายแต่แฝงความหมายชัดเจนว่า หากเจ้าหมาน้อยสามหัวไม่พอใจ เรื่องนี้ก็จบตรงนี้


เซียนเฉ่าหรี่ตาลง หูเล็กกระดิกเบา ๆ ก่อนจะกระโดดลงจากฝั่งหลินหยาอย่างเงียบเชียบ มันเดินวนรอบปีศาจปลาเหมือนหมาล่าเนื้อที่กำลังดมรอยเหยื่อ ก้าวแต่ละก้าวมั่นคง นัยน์ตาจับจ้องตรวจทุกส่วนของร่างตรงหน้า ราวกับจะมองทะลุไปถึงวิญญาณข้างใน หลินหยายืนกอดอกมอง ทั้งรู้ว่าปกติเจ้าเซียนเฉ่าไม่ได้ให้ใครผ่านสายตาง่าย ๆ โดยเฉพาะปีศาจน้ำที่ขึ้นชื่อเรื่องเล่ห์ร้ายและนิสัยเลวทราม


เสียงหายใจของปีศาจปลาดูติดขัดเล็กน้อยยามที่ถูกจ้อง มันขยับกายเล็กน้อยแต่ไม่ถอยหนี ดวงตาสีหม่นเพียงสบตอบอย่างนิ่ง ๆ ราวกับยอมให้ตรวจอย่างเต็มใจ เซียนเฉ่าใช้จมูกดมตั้งแต่ปลายผมที่ยังชื้นน้ำ เกล็ดที่แขน รอยแผลเป็นเก่า ไปจนถึงกลิ่นปราณในร่างมัน ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าและยกหัวหนึ่งขึ้นมองตาตรง ๆ คล้ายกำลังถามเงียบ ๆ ว่า “เจ้าคิดจะทำร้ายคุณหนูหลินหรือไม่” หลินหยามองภาพนั้นพลางยิ้มมุมปากบาง ๆ รู้ดีว่าถ้าปีศาจปลานี้โกหกแม้แต่นิดเดียว เซียนเฉ่าจะไม่ลังเลที่จะขย้ำคอมันทันที


ปีศาจปลายืนนิ่ง ดวงตาสีหม่นของมันสั่นไหวเพียงเล็กน้อยก่อนจะก้มศีรษะลงต่ำ เสียงทุ้มนุ่มแต่หนักแน่นเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ไม่เลยขอรับ… ข้าไม่มีวันคิดร้ายกับท่าน เพราะท่านเองก็เป็นผู้มีพระคุณของข้าเช่นเดียวกัน ข้าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์เช่นวันนั้นเกิดซ้ำ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของข้าก็ตาม” แววตาที่มันส่งมาเต็มไปด้วยความจริงใจอย่างไม่ปิดบัง แม้จะเป็นปีศาจแต่ในดวงตานั้นกลับมีความหนักแน่นของคำสาบานที่แทบจะสลักลงในกระดูกตัวเอง


เซียนเฉ่าที่จ้องมันไม่กะพริบ รับรู้ได้ถึงความจริงที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำ เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังในลำคอของหัวกลางก่อนจะหรี่ตาลงเหมือนกำลังตัดสินใจ สุดท้ายมันเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความขู่ที่ฟังแล้วขนลุก “ถ้าเจ้ากล้ากลับคำ หรือมีแม้แต่เศษใจคิดร้ายต่อผู้เป็นนาย ข้าจะจับเจ้าผ่าเกล็ด ทำปลาย่างกินทั้งเป็นทันที”


หลินหยาอยู่ข้าง ๆ ถึงกับกลั้นหัวเราะ ยกคิ้วขึ้นพยักหน้ารับเห็นด้วยเต็มที่ “อืม ข้าก็คิดแบบนั้นแหละ” น้ำเสียงเรียบง่ายแต่สายตาส่งความหมายชัดว่า นี่ไม่ใช่คำพูดล้อเล่น ปีศาจปลารับคำพร้อมค้อมศีรษะอีกครั้ง ราวกับยอมรับกฎเหล็กของการติดตามอย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งยังมีประกายเล็ก ๆ ในแววตา คล้ายกับว่าแม้จะต้องอยู่ใต้เงาของคำขู่ แต่การได้อยู่ใกล้หลินหยาก็คุ้มค่ามากพอแล้ว


หลินหยากอดอกมองเจ้าปีศาจปลาตั้งแต่หัวจรดเท้า(?)…เอ่อ…หัวจรดครีบ ด้วยแววตาคล้ายกำลังชั่งน้ำหนัก “แต่เดินทางไปแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ เจ้าเป็นตัวใหญ่ขนาดนี้ จะให้ลากถังน้ำไปด้วยทุกที่รึไง? อย่างน้อยก็ต้องแปลงร่างได้สักอย่าง ไม่ว่าจะแปลงเป็นสัตว์ก็ได้ จะเป็นปลาตัวเล็ก ๆ ก็ยังดี หรือถ้าจะให้ดีก็เป็นมนุษย์ไปเลย… ทำได้ไหม?”


ปีศาจปลาขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่ายหัวช้า ๆ “ไม่แน่ใจขอรับ… อย่างไรปีศาจปลาก็มีความคล้ายมนุษย์อยู่เจ็ดส่วน หากพัฒนาไปเรื่อย ๆ อาจจะทำได้ก็ได้นะขอรับ” น้ำเสียงของมันไม่ใช่การปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้มั่นใจนัก คล้ายคนที่รู้ว่าตัวเองมีศักยภาพแต่ไม่เคยลอง


หลินหยาพ่นลมหายใจเบา ๆ พลางใช้ปลายนิ้วลูบแขนตัวเองเหมือนกำลังคิดหนัก “แล้วข้าจะทำยังไงดีเนี่ย…” เสียงของเซียนเฉ่าดังขึ้นจากข้าง ๆ ราวกับไม่ใส่ใจความอึดอัดระหว่างบทสนทนามากนัก “เช่นนั้น…ตั้งชื่อให้ได้ไหมขอรับ? เหมือนกรณีของข้าไงคุณหนูหลิน”


“หืม? ตั้งชื่อ?” หลินหยาเลิกคิ้วหันมามอง


“ใช่ขอรับ” เซียนเฉ่าพยักหน้า “ข้าก็ไม่ได้พูดได้ตั้งแต่แรกไงขอรับ จนตอนที่ท่านตั้งชื่อให้…ข้าก็พูดได้เลย บางที…การตั้งชื่ออาจเป็นการกระตุ้นพลังหรือการพัฒนาร่างของมันก็ได้นะขอรับเพราะได้รับตบะ” หลินหยาฟังแล้วกะพริบตาปริบ ๆ คล้ายเพิ่งตระหนักอะไรขึ้นมา “เออ…จริงด้วย ตอนตั้งชื่อเจ้า เจ้าก็พูดได้เลยนี่หน่า?” รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นมุมปาก นัยน์ตาสีเข้มมีประกายสนุกสนาน “งั้นบางทีนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการแปลงร่างเจ้าก็ได้”


ปีศาจปลานั้นเงยหน้ามองด้วยความสนใจอย่างเห็นได้ชัด ราวกับกำลังรอฟังว่าจะถูกขนานนามว่าอะไร ทั้งน้ำเสียงและท่าทางดูเหมือนมันยอมรับกติกานี้โดยดุษณี ไม่ว่าเธอจะตั้งชื่ออะไรให้…มันก็จะรับด้วยความเต็มใจ


หลินหยาก้มหน้ามองเจ้าปีศาจปลาอย่างจริงจัง “ปกติพวกปีศาจปลาน่ะ มีชื่อกันอยู่แล้วหรือเปล่า?” น้ำเสียงของนางไม่ได้กดดัน แต่ก็ชัดเจนว่าเอาจริงเอาจังกับคำตอบ ปีศาจปลาส่ายหัวอย่างสุภาพ “ไม่มีขอรับ พวกข้าอยู่กันเป็นฝูง ใช้กลิ่นกับเสียงเรียกกันมากกว่า ไม่ได้ตั้งชื่อเฉพาะตัว”


นางเลิกคิ้วขึ้นนิด ริมฝีปากคลี่ยิ้มจาง ๆ ที่ใครเห็นก็คงไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร แต่เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กลับค่อย ๆ เอียงตัวมาโน้มกระซิบข้างหูปีศาจปลา น้ำเสียงมันเต็มไปด้วยความตั้งใจแกล้ง “ข้าเตือนเจ้าก่อนนะ นายหญิงน่ะ…ตั้งชื่อห่วยแตกมาก ตอนแรกข้าจะถูกตั้งชื่อว่า ‘เฉ่าก๊วย’ รู้จักไหม? ขนมก๊วย ๆ ดำ ๆ นั่นแหละ” ปีศาจปลากะพริบตาปริบ ๆ เหมือนยังไม่ทันเข้าใจว่ามันเลวร้ายตรงไหน เซียนเฉ่าก็ถอนหายใจเสียงดัง “กว่าจะยอมเปลี่ยนชื่อให้ข้า ก็เล่นดื้ออยู่นาน สุดท้ายก็ได้ชื่อ ‘เซียนเฉ่า’ ที่จริง ๆ แล้วก็ยังแปลว่า ‘เฉ่าก๊วย’ อยู่นั่นแหละ… เฮ้อ” มันพ่นลมหายใจยาวใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างจงใจ


คราวนี้ปีศาจปลาหันไปมองหลินหยาด้วยสีหน้าที่เริ่มไม่มั่นใจ ครีบหูขยับเล็กน้อยอย่างกังวลเหมือนลูกแมวเจอของเล่นเสียงดัง “เอ่อ…นายหญิงขอรับ… ข้าไม่ได้จะขัดนะ แต่… ข้าไม่ได้จะชื่อเป็น…ปลากระพง หรือ…ปลานิล อะไรแบบนั้นใช่ไหมขอรับ?”


หลินหยายักไหล่ทำเสียงเนือย ๆ เหมือนจะปล่อยให้มันจินตนาการไปไกลกว่าเดิม “ใครจะไปรู้ล่ะ ข้าก็ตั้งตามที่ข้าอยากตั้งนี่นา” ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายเจ้าเล่ห์ ราวกับจงใจปล่อยให้ปีศาจปลาระแวงไปเรื่อย ๆ ปีศาจปลากลืนน้ำลายเฮือกใหญ่… และเริ่มคิดว่าบางทีการแปลงร่างอาจจะไม่ได้น่ากลัวเท่าชื่อที่มันกำลังจะได้รับจากนาง


หลินหยากอดอก ยืนจ้องเจ้าปีศาจปลาที่ตอนนี้ทั้งตัวเปียกชุ่มนั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้า ดวงตานางเป็นประกายซุกซนเหมือนกำลังคิดแผนร้ายอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอียงคอถามเสียงใส “งั้น… ปาปริก้าดีไหม?” ปีศาจปลาขมวดคิ้ว ริมฝีปากขยับช้า ๆ ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักความหมายของคำแปลกหู “ปา…ปริ…ก้า? มันคืออะไรหรือขอรับ?”


“อ๋อ… เครื่องเทศน่ะ” นางตอบหน้าตาเฉย ราวกับว่าการตั้งชื่อปีศาจตามเครื่องเทศเป็นเรื่องปกติของโลกนี้ ยังไม่ทันให้มันได้อ้าปากค้าน นางก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม “งั้น… ปาปัวนิวกีนีล่ะ?”


เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งอยู่ไม่ไกลถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาสุนัขตัวเล็กอย่างมันเบิกกว้าง “ชื่ออะไรของท่านอีกเนี่ยขอรับ!?” เสียงมันสั่นเหมือนกลัวว่าคราวนี้เพื่อนร่วมทางใหม่จะถูกสาปให้ชื่อประหลาดไปจนตาย


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ “อืม… งั้น… ปาเจราล่ะ?” นางลากเสียงท้ายอย่างตั้งใจเหมือนจะทดสอบว่าพวกมันจะทนไหวแค่ไหน คราวนี้เซียนเฉ่าถึงกับยกอุ้งเท้าขึ้นพนมเหมือนกำลังจะไหว้ “คุณหนูหลิน… ได้โปรด ตั้งชื่อเหมือนคนปกติสักครั้งเถอะขอรับ ข้าจะไหว้ท่านด้วยอุ้งเท้าหมานี่เลยนะ!” หลินหยามองทั้งคู่สลับกัน ก่อนจะทำท่าก้มหน้าใช้ปลายนิ้วแตะริมฝีปากเหมือนกำลังครุ่นคิดจริงจัง “เฮ้อ…ก็คิดไม่ออกซักกะทีนี่นา…” ปีศาจปลาที่ฟังอยู่เงียบ ๆ เริ่มหน้าซีดลงทุกที รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะมีชะตาไม่ต่างจากหมาเฉ่าก๋วย (ในชื่อเก่า) เลยสักนิด 


หลินหยาพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่เหมือนยอมแพ้ให้โชคชะตา สายตาที่กวาดมองเจ้าปีศาจปลาตั้งแต่หัวจรดหางนั้นเต็มไปด้วยความประเมินคราวสุดท้าย ก่อนนางเอ่ยเสียงใสแต่หนักแน่น “งั้น… ชื่อสวี่หลิวแล้วกัน แปลว่า ‘ผู้ให้สัญญาต่อสายน้ำ’ ฟังดูดีไหมล่ะ?” ทันทีที่คำสุดท้ายหลุดจากปาก เซียนเฉ่าที่เฝ้าลุ้นอยู่ถึงกับถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกจนหูของมันกระดิก “ขอบคุณสวรรค์ที่ครั้งนี้ไม่ต้องมีชื่อเครื่องเทศหรือชื่อแปลก ๆ อีก” มันพึมพำเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยความโล่งใจ


ส่วนเจ้าปีศาจปลาที่ตอนแรกกลืนน้ำลายอย่างกังวล ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก มันแทบจะเผลอยิ้มออกมาเพราะคิดว่าตัวเองเกือบได้ชื่อเป็น “ปลากระพง” อยู่แล้วเมื่อครู่ ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาอย่างโล่งใจ


แต่เพียงชั่ววินาทีหลังชื่อ “สวี่หลิว” ถูกประกาศ หลินหยาก็รู้สึกเหมือนมีแรงบางอย่างดูดผ่านฝ่ามือ นุ่มนวลและเย็นเยียบไหลผ่านเข้าสู่ร่างกาย เหมือนครั้งที่เคยตั้งชื่อให้เซียนเฉ่า เพียงแต่ครั้งนี้นางไม่รู้สึกเหนื่อยหรือวิงเวียนเลย ราวกับการส่งผ่านตบะนี้มันกลืนไปกับลมหายใจของนางเองโดยที่นางแทบไม่ทันสังเกต หลินหยามองนิ่ง รอดูด้วยความอยากรู้ว่าพลังจากการตั้งชื่อนี้จะช่วยให้เจ้าสวี่หลิวสามารถเปลี่ยนร่างได้หรือไม่ มือบางวางบนเอว ขณะสายลมจากทะเลพัดกระเซ็นกลิ่นเกลือทะเลมาปะทะใบหน้า สวี่หลิวยืนนิ่งหลับตา ราวกับจิตกำลังโคจรตบะเพื่อปรับร่างกาย ดวงน้ำทะเลที่เคยไหลเวียนรอบตัวมันเริ่มหมุนวนแผ่วเบา และบางสิ่งกำลังเปลี่ยนไป…





@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ได้โปรดเปลี่ยนร่างให้ผมที จะคนธรรมดา หรือจะเป็นปลาทองก็ได้ 555 มันเดินทางไม่ได้
(จะดีมากถ้าเป็นสัตว์ เพราะถ้าเป็นผู้ชายจางกงกงจะไม่ปลื้ม และยิ่งหน้าตาดียิ่งไม่ปลื้มแน่นอน 555+ ยังไม่อยากเสียซิง...)

ตั้งชื่อให้สัตว์เลี้ยง
Level ผู้ตั้งชื่อให้ 100
ใช้ตบะ 200 หน่วย : +20 Level ทันที
(เปลี่ยนร่างที สาธุ เอาไปเพิ่มสัก 200 ตบะก็ได้) 

รางวัล: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 82644 ไบต์และได้รับ 64 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-12 03:37
โพสต์ 82,644 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-12 03:37
โพสต์ 82,644 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-12 03:37
โพสต์ 82,644 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-12 03:37
โพสต์ 82,644 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-12 03:37

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน -200 ย่อ เหตุผล
Watcher -200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-13 01:48:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 11 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า เมืองป๋อไห่ มณฑลจี้โจว จักรวรรดิต้าฮั่น - ยามไห่ เมืองซิ่นตู มณฑลจี้โจว จักรวรรดิต้าฮั่น


หลินหยายืนกอดอกมองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจปนขำ ปีศาจปลาที่เมื่อครู่ยังหัวแหม่งแวววาวอยู่แท้ ๆ ตอนนี้กลับมีเส้นผมขึ้นเรียบตึงราวกับเพิ่งโกนแล้วปล่อยให้ยาวขึ้นมาได้ไม่กี่วัน ร่างกายเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นแต่ไม่เทอะทะ ผิวขาวซีดเพราะอยู่ในน้ำมานาน ดวงตาสีเข้มลึกมีประกายระวังระไวคล้ายสัตว์นักล่า “โห… สุดยอดว่ะ จากหัวแหม่งกลายเป็นหัวเกรียนภายในไม่กี่ลมหายใจ” นางเอ่ยพร้อมยกคิ้วสูง ก่อนกวาดสายตาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพยักหน้าเบา ๆ “แบบนี้ก็ดูเป็นมนุษย์สักเก้าส่วนแล้วนะ”


เจ้าปีศาจปลายืนตัวตรง หายใจแรงเล็กน้อยเพราะเพิ่งใช้พลังในการเปลี่ยนร่าง สีหน้าเหมือนรอฟังคำวิจารณ์จากนายหญิงอย่างจริงจัง หลินหยาจึงชี้นิ้วไปที่เสื้อผ้าและอาวุธประหลาดที่มันถืออยู่ “โอเค แบบนี้พอได้… แต่ฟังนะ เดี๋ยวเอาอาวุธนั่นเก็บไป อย่าเดินถือของใหญ่แบบนั้น เดี๋ยวใครเห็นแล้วคิดว่าเจ้าหลุดมาจากกองโจร หรือแย่กว่านั้น…คิดว่าเป็นหลวงจีนถือหอก” นางยักไหล่อย่างไม่จริงจังนัก “ไปหาเสื้อผ้าดี ๆ มาใส่ซะ ชุดปกติของคนทั่วไป เข้าใจไหม?” เซียนเฉ่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เหลือบตามองแล้วพยักหน้าช้า ๆ “แบบนี้ก็พอรับได้ขอรับ อย่างน้อยก็ไม่ต้องลากถังน้ำติดตัวตลอดทางแล้ว” มันเอ่ยพลางกระดิกหูด้วยสีหน้าโล่งใจ เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ไม่อยากเดินทางกับใครที่ครึ่งบนเป็นคนครึ่งล่างเป็นปลาอีกแล้ว


หลังจากนั้นหลินหยาจัดการเปลี่ยนชุดที่เปียกชุ่มจากการลงน้ำอย่างรวดเร็ว ลมหายใจผ่อนยาวเมื่อผ้าผืนใหม่สัมผัสผิวอุ่นของตนเอง จากนั้นนางก็หันไปหยิบชุดที่พอเหมาะพอควรแม้จะไม่หรูหราแต่สะอาดและไม่ดูแปลกตายื่นให้สวี่หลิวผู้ยืนรออย่างเชื่อฟัง ชายหนุ่มปีศาจปลารับชุดมาสวมอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แต่ไม่นานก็เรียบร้อยขึ้นจนดูเป็นผู้เป็นคนเสียที ด้านข้างนั้น เซียนเฉ่าที่ตอนนี้อยู่ในร่างลูกหมาร็อตไวเลอร์ตัวกลมป้อม ขนดำมันเงาแต้มสีน้ำตาลที่ใบหน้าและขา เดินโซซัดโซเซมาหาหลินหยา หูเล็กกระดิกและดวงตากลมใสเหมือนจะบอกว่า “เขาก็พร้อมเดินทางแล้วขอรับคุณหนูหลิน” 


หลินหยาหัวเราะในลำคอ “เออ…แบบนี้ค่อยพอทำเนาหน่อย” นางพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันหลังเดินขึ้นเรือโดยมีทั้งสวี่หลิวและเซียนเฉ่าตามไปติด ๆ เสียงคลื่นเบา ๆ กระทบกราบเรือวาฬที่ใหญ่โต ราวกับจะร่ำลานางเป็นครั้งสุดท้าย นางหันกลับไปมองเจ้าสัตว์มหึมาที่อยู่กลางน้ำ ร่างยักษ์ของมันผุดขึ้นเหนือผิวน้ำเพียงครึ่งตัวยามส่งเสียงต่ำลึกดังก้องคล้ายคำอำลา หลินหยาจึงยิ้มบาง “ลาก่อนนะเรือวาฬ…ไว้ข้าจะกลับมาอีก” แล้วนางก็หันกลับ ดึงเสื้อคลุมขึ้นพาดไหล่ พร้อมก้าวขึ้นเรือเล็กที่จะพาทั้งสามออกเดินทางกลับไปยังท่าเรือฝั่งป๋อไห โดยทิ้งเพียงรอยระลอกคลื่นและเงาแห่งการผจญภัยไว้เบื้องหลังกลางท้องทะเลกว้าง


นั้นคือเรื่องราวของเมื่อวาน…

.................


ยามเหม่าหมอกยามเช้าปกคลุมเหนือถนนหินกรวดของเมืองป๋อไห่ กลิ่นไอเค็มของลมทะเลยังอ้อยอิ่งจากฝั่งท่าเรือที่เพิ่งจากมาไม่กี่ชั่วยาม หลินหยาสะพายย่ามผ้าสีหม่นไว้ข้างตัว เสื้อตัวยาวคลุมทับด้วยผ้าคลุมกันลมบางเบา ปลายผมเปียที่ยังเย็นชื้นไหวไปตามแรงก้าวเดิน นัยน์ตาคมหวานสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนมองตรงไปข้างหน้าราวกับมีเป้าหมายชัดเจน แม้ในใจจะยังชั่งน้ำหนักเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาจนแทบไม่เหลือที่ให้คิดเรื่องอื่น


ด้านหลังนางห่างออกไปมากกว่าสามก้าวเสมอคือสวี่หลิวในร่างมนุษย์ที่เพิ่งแปรงร่างได้ไม่นาน ก้าวเดินของเขาหนักแน่นแต่ยังคงเงอะงะเล็กน้อยราวกับไม่ชินกับร่างกายใหม่นี้ มือหนึ่งถือกระเป๋าผ้าหยาบซึ่งหลินหยายัดใส่เสื้อผ้าและของใช้จำเป็นให้ก่อนออกจากโรงเตี๊ยม แผ่นหลังของเขาดูเหมือนจะมีแววเกรงใจหรือไม่กล้าเข้าใกล้เกินควร ราวกับกลัวการบุ่มบ่ามจะทำให้นางไม่พอใจ แต่ที่ไม่ต้องเกรงใจและยังกล้าแซงหน้าเป็นครั้งคราว กลับเป็นเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่า ร่างป้อมสั้นขนดำแซมสีน้ำตาลที่เดินด๊อกแด๊กเคียงข้างนางไม่ห่าง หางสั้นกระดิกไม่หยุด ราวกับกำลังบอกชาวบ้านที่เพิ่งตื่นมาปัดกวาดหน้าร้านว่า นี่คนของข้านะขอรับ ทุกครั้งที่มีคนก้มลงมองอย่างเอ็นดู เซียนเฉ่าก็จะเชิดคอเหมือนนักรบตัวน้อย ทำให้หลินหยาหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว


ไม่นานนัก ทั้งสามก็มาถึงลานพักรถม้าด้านทิศตะวันตกของเมืองป๋อไห่ เสียงม้าสะบัดหูและส่ายหางพร้อมไออุ่นที่พ่นออกมากับลมหนาวทำให้บรรยากาศยามเช้าดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา หลินหยาสะกิดเซียนเฉ่าให้ขึ้นรถม้าก่อน ส่วนตนเองก้าวขึ้นตามด้วยท่วงท่าสง่างามโดยไม่ลืมเหลือบมองสวี่หลิวที่ยังยืนรอให้เธอนั่งก่อน เขาขยับขึ้นนั่งฝั่งตรงข้ามโดยเว้นระยะพอสมควรไม่ใช่เพราะเย็นชา แต่เหมือนเป็นการเคารพพื้นที่ของนางมากกว่า


ล้อรถม้าเริ่มหมุน เคลื่อนออกจากเมืองป๋อไห่ไปตามเส้นทางสายเก่าที่ทอดยาวสู่เมืองซิ่นตู แสงอรุณแรกสาดต้องทุ่งหญ้าและหมู่บ้านเล็ก ๆ ข้างทาง ทิ้งเงายาวของรถม้าและผู้โดยสารทั้งสามไว้บนพื้นถนนดินแข็งที่เปล่งประกายด้วยหยดน้ำค้าง


เสียงล้อรถม้ากระทบถนนดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับทำนองกล่อมเบา ๆ ให้การเดินทางยามเช้าดูเนิบนิ่ง หลินหยานั่งเอนตัวเล็กน้อยพิงผนังด้านในของรถม้า ในมือข้างหนึ่งเปิดตำราที่เสี่ยวจ้าวจื่อเคยให้ไว้ กระดาษเก่ามีกลิ่นหมึกอ่อน ๆ คล้ายความทรงจำที่เก็บรักษามาอย่างดี ดวงตาคมหวานของนางไล่ตามตัวอักษรทีละบรรทัดโดยไม่เร่งร้อน ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางเมื่อพบเนื้อหาบางตอนที่ทำให้นึกถึงเจ้าของตำรา มืออีกข้างลูบหัวเจ้าเซียนเฉ่าอย่างใจเย็น ขนสั้นนุ่มอุ่นน่าพอใจทุกครั้งที่สัมผัส เจ้าหมาน้อยเองก็หลับตาพริ้มซบตักนางอย่างเต็มใจ หางกระดิกเบา ๆ เป็นระยะเหมือนตอบรับสัมผัสนั้น ราวกับบอกว่า “ข้าอยู่ตรงนี้ขอรับ” ให้คนลูบสบายใจ


สวี่หลิวนั่งฝั่งตรงข้าม มองทั้งคู่เงียบ ๆ ไม่พูดอะไร แววตาเหมือนคนกำลังเฝ้าสังเกตระยะไกล ร่างสูงยังคงเว้นช่องว่างตามเดิม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าบรรยากาศในรถม้าตอนนี้ดูผ่อนคลายอย่างประหลาด ไม่มีเค้าความตึงเครียดจากเรื่องก่อนหน้า เหลือเพียงจังหวะล้อหมุนและกลิ่นลมหนาวผสมแสงอุ่นของเช้า ที่พาให้หัวใจของหลินหยาไม่รู้สึกหนักเกินไปในระหว่างทาง


หลินหยาปิดตำราลงอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วเก็บที่คั่นหนังสือเสียเรียบร้อย ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองสวี่หลิวที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม รถม้าโคลงเบา ๆ ตามสภาพถนน แต่นางกลับเอียงหน้าพร้อมรอยยิ้มที่ไม่รีบร้อน สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความใจเย็นปนความเอ็นดูแบบคนที่ค่อย ๆ เริ่มยอมรับสิ่งใหม่ "สวี่หลิวตอนนี้เจ้าคงยังไม่ชินร่างมนุษย์เท่าไรสินะใช่ไหม?" เสียงหวานของนางดังขึ้นอย่างนุ่มนวล แต่แฝงน้ำเสียงมั่นคง "แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวก็ชินเองแหละ" แววตาคู่นั้นเหมือนจะบอกว่าไม่ต้องกังวน


นางเอ่ยต่ออย่างชัดเจน "อ้อ…แล้วก็ถ้าพักที่โรงเตี๊ยม เราจะนอนคนละห้องกันเหมือนเดิมนะ" พลางเอื้อมไปหยิบถุงผ้าที่ข้างตัวแล้วดึงออกมาเป็นถุงเงินปึกใหญ่ ด้านในมีทั้งตำลึงเงินและเหรียญอู่จูที่กระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง น้ำหนักของมันไม่ใช่น้อย ๆ นางวางถุงเงินนั้นตรงที่นั่งข้าง ๆ เขา "นี่ของเจ้า เก็บไว้ดี ๆ ห้ามทำหายเด็ดขาด เข้าใจไหม?" ริมฝีปากของหลินหยายกยิ้มอีกครั้งแต่คราวนี้มีแววเจ้าเล่ห์เล็กน้อย "ข้าจะลองไปตีเกาะและหาอาวุธที่ดีกว่าเดิมให้เจ้า ถ้าทำได้ดี เจ้าเองก็จะพร้อมกว่านี้มาก" สายตาของนางสื่อถึงความจริงจัง ไม่ใช่เพียงพูดเอาใจ แต่เป็นแผนการเพื่อเพิ่มศักยภาพให้เขาจริง ๆ


นางเอียงตัวเล็กน้อย ลูบหัวเจ้าเซียนเฉ่าที่ซบตักอยู่อย่างเคยชิน ก่อนจะหันกลับมามองสวี่หลิวอีกครั้ง ดวงตาคมหวานจับจ้อง "ว่าแต่ มีอะไรที่เจ้าอยากเสนอ หรืออยากให้ข้าช่วยเพิ่มเติมอีกไหม?" น้ำเสียงนั้นไม่ได้แค่ถามอย่างมารยาท แต่มันเป็นคำถามที่เปิดโอกาสให้เขาพูดได้อย่างเต็มที่ ราวกับจะบอกว่าถ้ามีสิ่งที่อยากได้หรืออยากทำ ให้พูดเสียนางพร้อมรับฟัง


สวี่หลิวเลื่อนสายตาลงต่ำเล็กน้อยเหมือนกำลังครุ่นคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบเสียงเรียบ "ปกติ…พวกข้าไม่กินอาหารแบบปรุงขอรับ" เขาหยุดชั่วครู่ สีหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์มากนัก แต่ดวงตาวาวเล็กน้อยราวกับนึกถึงรสชาติที่เพิ่งได้สัมผัสเมื่อคืน "แต่เมื่อคืน…ลองกินแล้ว ให้สัมผัสแปลกใหม่ดีขอรับ" หลินหยาหรี่ตานิด ๆ รอยยิ้มผุดขึ้นมุมปาก "เพราะเจ้ามันปีศาจปลากินเนื้อมนุษย์น่ะสิ" คำพูดนั้นเอ่ยออกมาอย่างขำขันปนหยอกเย้า ราวกับไม่ได้จริงจังนัก แต่ก็ฟังแล้วแทงใจความเป็นจริง


สวี่หลิวพยักหน้าน้อย ๆ "ขอรับ" เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือแก้ตัวแม้แต่น้อย ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างเป็นทางการ "เช่นนั้น…ท่านจะไม่มีปัญหากับการที่ต้องหาเงินมาเลี้ยงดูข้าหรือขอรับ ข้าสามารถหาอาหารเองได้ ท่านไม่ต้องกังวล…นายหญิง" คำว่า นายหญิง ทำให้หลินหยาชะงักไปนิด รอยยิ้มบนใบหน้ากลับกลายเป็นสายตาคมที่แฝงความเอาจริง นางเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น "ไม่ได้หรอก"


นางขยับนิ้วลูบขนฟู ๆ บนหัวเจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งด๊อกแด๊กอยู่บนตักเหมือนเป็นพยาน ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปิดช่องให้เถียง "เพราะเจ้าติดตามข้า จะให้ข้าทำกับเจ้าราวกับเป็นสัตว์เดรัชฉานหรือไง ไม่มีทาง" ดวงตาหวานคู่นั้นสะท้อนประกายแข็งกร้าวแบบที่ทำให้ใครฟังก็รู้ว่าไม่ใช่คำล้อเล่น "ข้าต้องดูแลคนของข้าให้ดีที่สุดสิ" 


หลินหยาก้มลงมองหมาน้อยในอ้อมแขนพร้อมถามยิ้ม ๆ ราวกับต้องการให้คำพูดยิ่งตอกย้ำ "ใช่ไหม เซียนเฉ่า?"


เจ้าเซียนเฉ่าขยับอุ้งเท้าหน้าพร้อมเห่าเบา ๆ เหมือนจะตอบรับทันที เสียงนั้นทำเอาบรรยากาศในรถม้าที่เพิ่งตึงตังไปเมื่อครู่ กลับนุ่มนวลลงอย่างประหลาด 


สวี่หลิวเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงอีกครั้ง ตอบเสียงเรียบและสั้น "ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว" น้ำเสียงนั้นฟังดูอ่อนน้อม แต่แฝงความตึงเครียดเล็กน้อยราวกับยังไม่รู้วิธีวางตัวกับนายหญิงคนใหม่ของตน เขาจึงเลือกเงียบไป ปล่อยให้เสียงล้อรถม้าดังก้องเบา ๆ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่แทรกความเงียบในยามเช้า แต่หลินหยาไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้บรรยากาศนิ่งนานเกินไป นางยกมือขึ้นลูบหัวเจ้าเซียนเฉ่าบนตักเหมือนกำลังคิดเรื่องสำคัญ ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดถ้อยชัดคำ "ไว้เซียนเฉ่าหายป่วยเมื่อไร เจ้าต้องฝึกต่อสู้กับเซียนเฉ่าทุกวันนะ"


นางเหลือบตามองสวี่หลิว รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก "จะได้เก่งขึ้นบ้าง ตอนนี้นะ เจ้าแค่โดนปีศาจอื่นโจมตีก็คงกระเด็นไปหลายช่วงลมเพราะมัวแต่มั่นใจในร่างที่เพิ่งได้มา แม้เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นก็จริง…แต่บนบก เจ้ายังอ่อนแอนัก"


น้ำเสียงไม่ดังมาก แต่คำพูดนั้นหนักพอให้สวี่หลิวรู้ว่ามันไม่ใช่คำตำหนิเล่น ๆ เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าอีกครั้ง "ขอรับ" เขารู้ตัวดีว่าหมาน้อยที่นั่งอยู่บนตักของหลินหยานั้น ตัวจริงคือปีศาจสุนัขสามหัวผู้เก่งกาจจนตนยังไม่กล้าท้าทาย หากต้องฝึกกับมันจริง ๆ ก็คงมีแต่จะได้พัฒนาฝีมือ แม้ในใจลึก ๆ จะรู้ว่าต้องเหนื่อยเลือดตากระเด็นก็ตาม แต่เขาไม่ปริปากปฏิเสธแม้ครึ่งคำ


หลินหยาละมือจากการลูบหัวเซียนเฉ่า แล้ววางตำราลงข้างตัวอย่างช้า ๆ ดวงตาคมหวานที่ปกติมีแววขี้เล่นบัดนี้กลับมีเงาหนักใจปกคลุม นางเอนหลังพิงผนังรถม้าเล็กน้อย สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเปรยออกมาอย่างคนที่มีเรื่องราวซับซ้อนเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟังได้ทั้งหมด “แต่เดี๋ยวข้ากำลังจะไปเจอใครคนหนึ่ง….” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นมีทั้งความเกรงใจ ความระแวดระวัง และ…ความรู้สึกบางอย่างที่สวี่หลิวอ่านไม่ออก 


“ไม่รู้เหมือนกันว่าพอเห็นข้าพาใครก็ไม่รู้มา เขาจะกำหมัดหรือเปล่า หากเป็นสตรีคงไม่เท่าไร แต่เจ้า…” นางปรายตามองชายหนุ่มผู้พึ่งได้ร่างมนุษย์ “...เป็นผู้ชาย แม่งเอ้ย…”


นางก้มหน้าลงนิดหนึ่ง พ่นลมหายใจหนักจนแม้แต่เซียนเฉ่าก็เงยหน้าขึ้นมามอง ราวกับสัมผัสได้ถึงความกังวลนั้น หลินหยาหันหน้ากลับมามองสวี่หลิวตรง ๆ น้ำเสียงแม้ฟังเหมือนคำถาม แต่กลับมีความจริงจังแฝงอยู่ “งั้นถ้าตอนนี้ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่ฉางอันก่อน…จะได้หรือไม่?” นางเว้นจังหวะเล็กน้อย สายตาหลบไปทางหน้าต่างรถม้าราวกับไม่อยากเห็นปฏิกิริยาของเขา “ข้าต้องไปทำธุระบางอย่าง…และเขาไม่ชอบให้ข้าใกล้เพศชาย…โดยไม่จำเป็นทางที่ดีไม่เลยจะดีกว่า” น้ำเสียงสุดท้ายขมปร่ากว่าที่คิด ก่อนจะพ่นลมหายใจอีกครั้งเหมือนอยากสลัดความอึดอัดออกจากอก แต่ก็ทำได้เพียงนั่งรอคำตอบของเขาเงียบ ๆ


สวี่หลิวเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาคมที่เพิ่งได้เรียนรู้การใช้ร่างมนุษย์หันไปมองหน้าหลินหยานิ่ง ๆ ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักคำพูดของตน ก่อนจะค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น


“หากนั่นเป็นสิ่งที่นายหญิงเห็นว่าดี ข้าย่อมปฏิบัติตามขอรับ… แต่ข้าจะไม่ปฏิเสธว่า ไม่เข้าใจเหตุผลนัก” เขาขยับตัวเล็กน้อยให้ระยะห่างที่เว้นไว้จากนางยิ่งชัดเจนขึ้น “ข้าเพิ่งได้รับชื่อจากท่าน เพิ่งได้รับร่างนี้จากน้ำมือท่าน แล้วจะให้ข้ากลับไปโดยไม่รู้ว่าท่านปลอดภัยหรือไม่… ข้าก็ไม่อาจวางใจได้เช่นกัน” เขาก้มสายตาลงนิดหนึ่ง คล้ายคนไม่ชินกับการพูดความรู้สึกออกมาตรง ๆ “แม้ข้ายังอ่อนแอบนบก แต่หากมีสิ่งใดทำร้ายนายหญิง ข้าจะกัดมันให้ถึงตาย ไม่ว่ามันจะเป็นคนหรือไม่” พูดจบก็เงียบไป คล้ายรอให้หลินหยาเป็นฝ่ายตัดสินใจขั้นสุดท้ายเอง


แสงอรุณอ่อนในยามเหม่าเริ่มแตะสาดผ่านม่านหมอกเหนือทุ่งโล่งนอกเมือง เสียงล้อรถม้ากระทบพื้นดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ภายในรถม้า หลินหยานั่งพิงผนังไม้เบา ๆ แผ่นหลังตรงแต่มีแววครุ่นคิดในแววตา นางเลิกสายตาจากภาพวิวภายนอกหันมามองสวี่หลิวตรง ๆ ที่กล่าวเช่นนั้น ดวงตาคมหวานนั้นหม่นลงเล็กน้อยราวมีน้ำหนักบางอย่างทับอยู่ในใจ “เจ้าไม่เข้าใจหรือ?...คนนั้นเก่งกว่าข้าหลายเท่า และน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจปลาที่เจ้าเคยรู้จักสักพันเท่า” น้ำเสียงของนางราบเรียบ หากฟังดี ๆ จะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันบางเบาแต่ชัดเจน มือบางที่วางอยู่บนตักค่อย ๆ ขยับขึ้นมากอดอกเหมือนต้องการสร้างเกราะให้ตนเองจากความทรงจำที่ผุดขึ้นมาในหัว


นางหลุบตาลงช้า ๆ เส้นผมน้ำตาลเข้มปล่อยลงเคลียกรอบแก้มอ่อนนุ่ม เงาของขนตาทอดลงบนผิวแก้มขาวราวหิมะ สีหน้าของหลินหยาดูสงบแต่กลับปิดซ่อนความตึงเครียดเอาไว้ราวคลื่นใต้น้ำ ไม่ใช่ความหวาดกลัวแบบคนอ่อนแอ แต่เป็นความระแวดระวังของคนที่เคยเผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่อยากให้ใครในข้างตนต้องพบเจอ หลินหยาพ่นลมหายใจเบา ๆ แต่แฝงน้ำหนักของความกังวล มือที่กอดอกอยู่กระชับขึ้นเพียงน้อย ราวกับกำลังกอดตัวเองให้มั่นคงกว่าเดิม “เขาน่ากลัวมากนะ” น้ำเสียงของนางนิ่งและเรียบ แต่ในความเรียบนั้นกลับมีแววของบางสิ่งที่ทำให้คนฟังเย็นสันหลังได้โดยไม่ต้องเห็นภาพ นางเอียงหน้ามองสวี่หลิวตรง ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลงอีกครั้งราวกับไม่อยากให้เขาอ่านออก


“เจ้าคิดว่าปีศาจปลาที่เคยล่ามนุษย์เป็นอาหารน่ากลัวแล้ว…คนนั้นต่างหากที่ไม่ต้องลงมือเองก็ทำให้คนตายทั้งเป็นได้ เขาไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงสักหยาด แต่ทุกคำพูดของเขาเหมือนคมมีดซ้ำเข้าไปในจิตใจ เจ็บลึกกว่าบาดแผลไหน ๆ” หลินหยาหันมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า แสงอรุณบางส่วนลอดเข้ามาขับเงาบนใบหน้าให้ชัดขึ้น “ข้าพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเกรงใจเขา…แต่เพราะข้ารู้ว่า หากเจ้าอยู่ตรงหน้าเขา เจ้าอาจไม่เหลือแม้กระทั่งโอกาสจะขยับตัว”


นางผินหน้ากลับมาหาเขาอีกครั้ง “สวี่หลิว…กลับฉางอันเถอะ ข้าต้องไปพบเขาด้วยตัวเอง เจ้ายังต้องเรียนรู้โลกมนุษย์อีกมาก และข้าไม่อยากให้การพบครั้งแรกของเจ้ากับเขากลายเป็นหายนะ” น้ำเสียงแม้จะนุ่ม แต่แฝงแรงกดดันที่ไม่เปิดทางให้ต่อรองง่าย ๆ


สวี่หลิวขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าแม้จะพยายามเก็บอาการแต่ก็ปิดความฉงนไม่ได้ เขาเอียงศีรษะเพียงน้อย ดวงตาที่เพิ่งเริ่มคุ้นกับการมองโลกผ่านร่างมนุษย์จับจ้องใบหน้าของหลินหยาราวกับต้องการอ่านความจริงที่ซ่อนอยู่ในแววตานาง “น่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจปลาที่ข้าเคยพบ…ถึงพันเท่าเชียวหรือขอรับ?” เสียงทุ้มนั้นแฝงความไม่เชื่อครึ่งหนึ่ง และความพยายามจะเข้าใจอีกครึ่ง เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่ออย่างระมัดระวัง “ข้าไม่เคยเห็นปีศาจตนใดที่สามารถทำให้ท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ นายหญิง…หากเขาน่ากลัวถึงเพียงนั้น ข้ายิ่งไม่อยากปล่อยให้ท่านไปพบเพียงลำพัง” แววตาคมวาวเล็กน้อย ราวกับสัตว์นักล่าที่เริ่มรู้สึกว่าผู้มีพระคุณของตนกำลังจะเผชิญภัยที่ตนยังไม่อาจวัดได้


แต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจ ค้อมศีรษะยอมรับ “แต่กระนั้น…อย่างไรท่านก็เป็นผู้ตัดสินใจ… หากต้องการให้ข้ากลับ ข้าจะไปยังฉางอันขอรับ แต่ท่านต้องให้สัญญากับข้า ว่าจะกลับมาหาข้าโดยปลอดภัย” น้ำเสียงแม้จะนอบน้อมแต่ก็แฝงความดื้อรั้นอยู่ลึก ๆ เหมือนเขายังไม่ยอมวางใจจริง ๆ


“ได้สวี่หลิว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง…” หลินหยาให้สัญญาว่านางจะถึงฉางอันแบบปลอดภัย แต่นางเป็นห่วงสวี่หลิว ล้อรถม้าเคลื่อนไปอย่างราบเรียบ เสียงกระดิ่งเล็กที่หน้ารถดังเป็นจังหวะสอดรับกับเสียงกีบม้า หลินหยาที่นั่งอยู่ข้างในขยับตัวเล็กน้อย นางหันไปมองสวี่หลิวครู่หนึ่ง แววตาฉายแววกังวลจาง ๆ แม้ปากจะให้สัญญาว่าตนจะถึงฉางอันอย่างปลอดภัย แต่ในใจกลับคิดคำนึงถึงคนที่นั่งตรงข้ามมากกว่า นางก้มมองเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่นอนขดอยู่บนตักตน ดวงตากลมใสกำลังปรืออย่างสบาย ๆ หลินหยายกมือบางขึ้นสะกิดหัวเล็ก ๆ นั้นเบา ๆ จนหูมันกระดิก นางโน้มตัวลงเล็กน้อย เอ่ยเสียงนุ่มแต่จริงจังว่า “เซียนเฉ่า เนื่องจากเจ้าเป็นรุ่นพี่… ข้าจะให้เจ้าเป็นคนคอยนำทางและดูแลสวี่หลิวด้วย เข้าใจหรือไม่”


เจ้าหมาน้อยเงยหน้ามองด้วยแววตาแปลกใจ แต่ก็รับฟังเต็มที่ หลินหยาจึงกล่าวต่ออย่างชัดถ้อย “ข้าจะส่งเจ้ากลับฉางอันไปที่ร้านเซียงเฉินเสี่ยวพู้ของข้า ให้สวี่หลิวไปเปิดห้องพักที่โรงเตี๊ยม ข้าจะให้เงินเพิ่มไปด้วย จะได้อยู่กันได้สบายทั้งสองเลยกับเซียนเฉ่า” น้ำเสียงนั้นแม้จะอ่อนโยน แต่แฝงความแน่วแน่ไม่ให้เถียงได้ง่าย ๆ เงามุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย คล้ายปลอบทั้งเจ้าเซียนเฉ่าและตัวเองให้เชื่อว่า นี่เป็นทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับทุกฝ่าย


เจ้าหมาน้อยที่นอนขดอยู่บนตักสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น หูทั้งสองกระดิกแรงแล้วหันขวับขึ้นมามองหลินหยา ตาโตเป็นประกายโวยวายเสียงงุ้งงิ้ง “ทำไมข้าต้องไปด้วยล่ะขอรับ! ข้าต้องอยู่ข้างคุณหนูหลินสิ!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขัดใจราวกับถูกพรากจากของรัก 


หลินหยามองมันด้วยสายตานิ่ง ๆ แต่ในแววตากลับแฝงรอยยิ้มบาง นางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยขนบนหัวมันช้า ๆ ก่อนเอียงหน้าเล็กน้อยถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปิดโอกาสให้หนี “เซียนเฉ่า… จะไม่ทำตัวเป็นรุ่นพี่และหัวหน้าที่ดีหน่อยหรือ” คำพูดนั้นเหมือนปลดกลไกบางอย่างในหัวใจของเจ้าเซียนเฉ่า หูเล็กทั้งสองตั้งขึ้นในทันที มันยืดอกเชิดคางด้วยความภาคภูมิ ราวกับลืมความขัดใจไปสิ้น “ฮึ่ม! ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะเป็นรุ่นพี่ที่คอยให้คำแนะนำรุ่นน้องอย่างเคร่งครัด!” เสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจราวกับได้รับมอบหมายภารกิจอันยิ่งใหญ่


หลินหยากลั้นหัวเราะ พลางลูบหัวมันอีกครั้งอย่างเอ็นดู ขณะสวี่หลิวมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้ากึ่งงงกึ่งขำ นึกไม่ถึงว่าปีศาจสุนัขสามหัวที่เคยได้ยินชื่อ จะยืดอกทำตัวจริงจังเพียงเพราะคำว่า รุ่นพี่ จากปากนายหญิง


ช่วงพักที่ท่ารถม้าระหว่างเมืองเล็กมีผู้คนพลุกพล่าน กลิ่นฟางแห้งปนกลิ่นฝุ่นถนนลอยมากับลมเช้าจาง ๆ หลินหยาเปิดถุงเงินที่พกติดตัว ก่อนหยิบตำลึงเงินและเหรียญอู่จูเพิ่มอีกถุงยื่นให้สวี่หลิว มือบางของนางยื่นออกไปอย่างมั่นคง สายตานิ่งแต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ “นี่… ไปรออย่างที่ข้าบอก ระหว่างนี้ลองศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ให้มาก เข้าใจหรือไม่” เสียงนางไม่ดุแต่มีน้ำหนักพอจะทำให้ชายหนุ่มเงียบรับคำโดยไม่โต้แย้ง


จากนั้นหลินหยาหันขวับไปทางเจ้าหมาน้อยบนตัก รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากราวกับรู้ว่ากำลังใช้กลยุทธ์เกลี้ยกล่อม “ส่วนเจ้า… ควบคุมและสั่งสอนรุ่นน้องให้ดี เจ้าต้องเป็นรุ่นพี่ที่ดีนะเซียนเฉ่า” น้ำเสียงนุ่มแฝงความจริงจัง แววตาเหมือนจะบอกว่าไม่ให้ถอยแม้ครึ่งก้าว “เพราะเขายังต้องเรียนรู้ความเป็นมนุษย์อีกมาก หากเจ้าทำได้ดี…” นางโน้มตัวลงกระซิบใกล้หูมัน ราวกับมอบความลับสำคัญ “ข้าบอกเลยว่า รางวัลหนาหูแน่นอน”


ทันใดนั้น ดวงตากลมโตของเซียนเฉ่าเป็นประกายวาว หูตั้งปลุกปลี่ยมราวกับได้รับคำสาบานศักดิ์สิทธิ์ มันยืดอกทันที “ท่านไว้ใจข้าได้เลยคุณหนูหลิน! ข้าจะดูแลรุ่นน้องให้เป๊ะไม่มีตกหล่นขอรับ!” พลางหมุนหางไปมาอย่างคึกคักราวกับจะวิ่งออกไปเริ่มภารกิจเดี๋ยวนั้น


แต่แล้วภาพตรงหน้ากลับทำให้หลินหยาหยุดก้าวไปชั่วครู่ สวี่หลิวที่ปกติสีหน้าเรียบเฉยกลับก้มตัวลงอย่างนอบน้อม อุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้นมาแนบอกด้วยท่าทีให้ความเคารพราวกับอุ้มของล้ำค่า แถมเจ้าหมานั่น…เจ้าเซียนเฉ่าก็เชิดหน้าทำท่าเหมือนแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ก่อนจะเริ่มพล่ามเล่าอะไรบางอย่างให้ฟังด้วยน้ำเสียงจริงจังปนโอ่อ่า “ฟังนะรุ่นน้อง… เคล็ดวิชาของการล่าไก่ป่าให้ได้ตัวอ้วนที่สุดคือ…” เสียงนั้นเล็ดลอดมาให้ได้ยินแค่บางคำ ก่อนทั้งคู่จะค่อย ๆ เดินห่างออกไป สวี่หลิวก้าวขึ้นรถม้าโดยยังอุ้มเซียนเฉ่าไว้แน่น ขณะที่หมาน้อยไม่หยุดบรรยายเรื่องบ้าบอคอแตก ทั้งวิธีขุดหลุมดักกระต่าย วิธีทำให้มนุษย์ซื้อเนื้อให้โดยไม่ต้องใช้เงิน และอีกสารพัดความรู้ไร้สาระราวกับตำราสารพัดช่างฉบับไก่เขียน


หลินหยาที่มองตามเลิกคิ้วขึ้นทีละน้อย ริมฝีปากขยับยิ้มขื่นในลำคอ “จะรอดไหมวะ… ไอ้รุ่นพี่รุ่นน้องคู่นี้…” สายตาของนางทอดมองจนรถม้าลับไปในกลุ่มฝุ่นถนน ก่อนจะถอนหายใจน้อย ๆ พลางเหม่อไปอย่างเงียบงัน ราวกับมีเงาหนักบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามาในหัวใจอีกครั้ง


รถม้าที่โยกไหวไปตามจังหวะล้อบดบนถนนดินยังคงเคลื่อนหน้าอย่างไม่เร่งรีบ ลมเช้าของมณฑลจี้โจวพัดกลิ่นหญ้าเปียกน้ำค้างโชยมา หลินหยาที่นั่งเอนหลังพิงพนักอยู่ พลันรู้สึกถึงแรงสะเทือนแผ่วเบาใต้ผืนดิน ราวกับคลื่นน้ำซัดกระทบใต้น่องม้า ดวงตาคมหวานเหลือบมองออกไปนอกม่านรถเพียงครู่ ก่อนจะเห็นผิวน้ำของลำคลองด้านข้างที่มีขนาดเล็กเป็นบางช่วงใหญ่บางช่วง ข้างทางกระเพื่อมเป็นจังหวะผิดธรรมชาติ ไม่นานนัก ร่างสีเงินวาวของปีศาจปลาสี่ตัวก็ผุดขึ้นกลางน้ำ ดวงตากลมโตสีคล้ำของพวกมันกวาดมองมาที่รถม้าราวกับกำลังนับจำนวนชิ้นเนื้อบนโต๊ะอาหาร หลินหยามุมปากกระตุกยิ้มเอือม ๆ 


“เอาอีกแล้วสินะ… คิดจะลากข้าลงไปกินในน้ำอีกงั้นหรือ ฮึ คิดผิดแล้วล่ะ” นางเหยียดขาเล็กน้อย มือบางล้วงห่อเกลือปรุงรสกับสมุนไพรแห้งที่พกติดตัวไว้เสมอออกมาอย่างใจเย็น


ปีศาจปลาส่งเสียงหวีดแหลมในลำคอ คล้ายเป็นสัญญาณเตรียมพุ่ง แต่รถม้าก็หยุดลงตามคำสั่งของนาง หลินหยาเปิดประตูลงอย่างไม่รีบร้อน พลางมองผืนน้ำที่พวกมันหมุนวนรออยู่ด้วยแววตาประเมิน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มบนริมฝีปาก “มาเถอะ ข้ากำลังนึกอยากกินปลาย่างพอดี… คราวนี้จะใส่เครื่องสมุนไพรเพิ่มให้อร่อยขึ้นเสียหน่อย” เสียงหัวเราะเบา ๆ หลุดจากลำคอขณะนางขยับนิ้วเรียวกวัดเวียนพลังในกาย เพียงรอให้พวกมันโผเข้ามา แล้วงานเลี้ยงบนบกก็จะเริ่มขึ้น


เสียงลมพัดแรงพาเอากลิ่นคาวลอยกระแทกจมูก แต่หลินหยากลับยกคิ้วสูงอย่างท้าทาย มือบางกระชับขลุ่ยงามที่พาดอยู่ข้างเอว ก่อนจะก้าวลงบนตลิ่งโคลนช้า ๆ พื้นน้ำแตกเป็นวงจากแรงพุ่งของปีศาจปลา ทั้งสี่ตัวพุ่งขึ้นมาพร้อมกันเหมือนห่าลูกธนูที่มีชีวิต ดวงตาพวกมันขุ่นมัวด้วยความหิวโหยและความบ้าคลั่ง


แต่แทนที่เธอจะยกขลุ่ยขึ้นเป่าอย่างที่ใครอาจคาด หลินหยากลับหมุนขลุ่ยในมืออย่างนักรบหมุนกระบอง ย่างเท้าเข้าใส่ด้วยท่วงท่ารวดเร็ว “อยากลากข้าลงน้ำ? ฝันไปเถอะ” เสียงหวานเอ่ยปนหัวเราะสั้น ก่อนที่ปลายขลุ่ยแกะลายจะฟาดลงบนหัวปีศาจตัวแรกด้วยแรงพอให้กระดูกกะโหลกบิดงอ เสียง ตุ้ย! ดังสะท้านน้ำ กลิ่นคาวกระจาย ตัวที่สองพุ่งซ้อนขึ้นมา แต่นางหมุนตัวหลบอย่างนุ่มนวลแล้วฟาดเข้ากลางลำตัวจนมันกระเด็นกระแทกพื้นตลิ่ง เย่กกกก! 


เสียงหายใจฮึดสู้ของนางดังก้องในอก มือที่ถือขลุ่ยไม่หยุดเคลื่อนไหว บดฟาดอย่างแม่นยำจนตัวที่สามและสี่หมดแรงดิ้นราวกับปลาถูกตีกลางเขียง


ไม่นาน สายน้ำกลับมาเงียบสงบ เหลือเพียงซากปีศาจปลาสี่ตัวเรียงรายตรงหน้า ร่างของนางมีเพียงเหงื่อเล็กน้อยเคลือบผิว แต่ดวงตาเป็นประกายวาวราวกับได้ปลดปล่อยความมันในใจ “ตุยเย่วาตานาเบ้ไอโกะเรียบร้อย” นางพึมพำอย่างพอใจ ก่อนจะหยิบมีดเล็กจากเอว คุกเข่าลงเก็บเกี่ยวเกล็ด เนื้อ และส่วนสำคัญของปีศาจแต่ละตัวด้วยความชำนาญ เตรียมไว้เป็นวัตถุดิบทั้งสำหรับทำอาหารและขายต่อ เป็นอีกวันที่เธอชนะอย่างสมบูรณ์








@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ทำไมเป็ดเยอะผิดปกติ สั่นกลัวววว
ศึกษา เป็ดย่างน้ำผึ้งซ่อนกลิ่น (3/4)

รางวัล: 
ปีศาจนักรบเป็ด : ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ) : ได้รับแล้ว
(หากมีสถานะวาสนาเซียน และ LUK 100 จะมีโอกาสดรอป x2)
ได้รับ ซี่โครงเป็ด 2 ชิ้น = 2x2 = 4 ชิ้น
ได้รับ เนื้อเป็ดอูยา 2 ชิ้น = 2x2 = 4 ชิ้น

สรุปรางวัลที่ได้: ซี่โครงเป็ด 2 ชิ้น, เนื้อเป็ดอูยา 2 ชิ้น

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ 2025-8-13 02:02
โพสต์ 119149 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-13 01:48
โพสต์ 119,149 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-13 01:48
โพสต์ 119,149 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-13 01:48
โพสต์ 119,149 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-13 01:48
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-13 06:28:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 12 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า เมืองซิ่นตู มณฑลจี้โจว - ยามไห่ เมืองชวีเหลียง มณฑลจี้โจว จักรวรรดิต้าฮั่น

เปลือกตาหนักอึ้งของหลินหยากระพริบช้า ๆ ก่อนภาพภายในรถม้าที่โยกคลอนจะปรากฏชัดในสายตา ความอุ่นของผ้าคลุมยังคลอเคลียอยู่รอบไหล่ แต่กลิ่นคาวและกลิ่นควันจาง ๆ จากเนื้อปีศาจที่เก็บมานั้นยังติดปลายจมูกอยู่ไม่จาง เธอสูดหายใจลึกนิดหนึ่ง พลางขยับตัวให้หลังพิงพนักรถอย่างสบายขึ้น ดวงตากลมสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนมองตะกร้าและหีบเล็ก ๆ ที่ยัดวัตถุดิบจนแทบล้น ไม่ว่าจะเกล็ดปลา เนื้อเป็ด หรือแม้กระทั่งกรงเล็บของพวกมันตอนนี้คงนับได้เป็นร้อยชิ้นแล้วมั้ง? แค่คิดถึงน้ำหนักก็น่าจะมากพอถ่วงให้รถม้าช้าลง 


มือบางดึงผ้าม่านเล็กตรงหน้าต่างรถม้าขึ้นเล็กน้อย แสงอรุณแรกของวันกำลังซึมลอดผ่านหมอกบาง เธอเอียงหน้าออกนิดหนึ่งแล้วถามเสียงขรึมแต่ไม่ไร้มารยาท “ท่านสารถีเจ้าคะ ตอนนี้กี่โมงแล้ว เราอยู่ที่ไหนกันหรือเจ้าคะ”


เสียงสารถีดังลอดมากับเสียงล้อบดถนนหิน “ยามเหม่าแล้วขอรับ ตอนนี้ออกจากเมืองซิ่นตูมาได้สักพัก กำลังมุ่งหน้าไปเมืองชวีเหลียง”


หลินหยาพยักหน้าช้า ๆ สายตาเธอทอดออกไปไกลกว่าขอบฟ้า ดวงใจเริ่มคำนวณระยะเวลาและความเร็วในการเดินทาง ทุกนาทีคือสินค้าที่ต้องส่งถึงจุดหมายและเรื่องที่ต้องจัดการให้เสร็จ เธอกระชับผ้าคลุมอีกครั้ง พึมพำกับตัวเองอย่างหนักแน่น “งั้นก็ไปต่อเลยเจ้าค่ะ…”


หลินหยาก้มมองตะกร้าและหีบที่อัดแน่นด้วยวัตถุดิบ ก่อนจะเลื่อนมือเรียวขึ้นเล็กน้อย แสงพราวระยับจากวงแหวนดาราจรัสส่องวูบ ตะกร้ากับหีบทั้งสองเลือนหายเข้าไปในนั้นอย่างเป็นระเบียบ ราวกับเก็บเข้าคลังลับของฟ้า เธอถอนหายใจนิดหนึ่ง คงเป็นเพราะเมื่อวานหยิบออกมาตรวจนับแล้วลืมเก็บคืน พอได้ที่นอนอุ่นในรถม้าก็หลับสนิทเหมือนถูกกล่อมให้ดับสนิททั้งร่างและจิตใจ


เธอเอื้อมไปผลักบานหน้าต่างเล็กให้เปิดออก ลมยามเช้าพัดกลิ่นดินชื้นและไอหมอกเข้ามาแทนกลิ่นคาวติดจาง ๆ จากวัตถุดิบปีศาจที่เพิ่งเก็บได้ ความเย็นสดของอากาศช่วยล้างหัวสมอง แต่ก็พาเอาอาการเวียนศีรษะเล็กน้อยขึ้นมา โทษฐานที่ต้องอยู่ในรถม้าโยกไปโยกมานานเกินไป แต่หลินหยาไม่หยุด เธอไม่ใช่คนที่จะปล่อยเวลาให้สูญเปล่า รถม้าคันใดที่ม้าหมดแรงหรือสารถีเริ่มง่วง เธอก็เปลี่ยนคันทันที ส่งค่าจ้างเพิ่มหากจำเป็น เพื่อให้ล้อหมุนต่อไปไม่มีหยุด แม้แต่ช่วงพัก เธอก็เลือกนอนเอาแรงในรถม้าแทนการแวะพักนาน ๆ ทุกลมหายใจล้วนแลกมาด้วยความเร็วและเส้นทางที่สั้นลง


หลินหยาหลุบดวงตาลงช้า ๆ เงาสะท้อนในม่านตาคล้ายซ่อนความคิดมากมายที่เก็บไว้ไม่ให้ใครเห็น เมืองหานตาน...เพียงคิดถึงชื่อเมืองนั้นก็เหมือนเห็นเส้นทางทอดยาวจากชวีเหลียงไปจนสุดสาย พรุ่งนี้นางก็คงไปถึงอย่างไม่คลาดเคลื่อน แต่กลับไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าเมื่อไปถึง จะพบเขาหรือไม่


จางกงกง...ภาพของชายผู้นั้นผุดขึ้นมาชัดเจนในห้วงคำนึง ทั้งแววตาคมกริบที่อ่านยาก ทั้งรอยยิ้มบางซึ่งไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือกับดัก ความหลังของเขาที่นางได้เห็นยังติดตรึงอยู่ในใจ ความหนาวเย็นของวัยเยาว์ที่ถูกพรากความสุข ความเจ็บปวดที่กัดกินทั้งกายและใจ และเสียงหัวเราะเยาะของสนมลั่วซานที่เคยบีบคั้นเขาในวังหลังอย่างโหดร้าย นางพ่นลมหายใจเบา ๆ ความเครียดแผ่วซ่านบนใบหน้า แม้การเดินทางครั้งนี้จะกินเวลายาวนานนัก แต่สิ่งที่หนักอึ้งยิ่งกว่าระยะทาง คือเงาของความทรงจำเหล่านั้นที่เดินตามนางมาตลอดทาง ไม่ว่าจะมองไปข้างหน้าเพียงใด ภาพเหล่านั้นก็ยังคงเดินเคียงข้างไม่ยอมเลือนหาย


หลินหยานั่งเอนตัวพิงพนักรถม้า ดวงตาเหม่อมองผนังไม้ที่ไหวคลอนตามจังหวะล้อหมุน ความเงียบที่ปกคลุมอยู่รอบกายทำให้รู้สึกว่างโหวงอย่างประหลาด ปกติแล้วการเดินทางของนางไม่เคยว่างเปล่าเช่นนี้ เพราะมักจะมีเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่ามานอนซุกตักพร้อมบ่นเรื่องไร้สาระไม่หยุดปาก บางครั้งก็บ่นว่ารถม้าโยกเกินไป บางครั้งก็บ่นว่ามันหิว หรือไม่ก็เล่าเรื่องที่ไม่มีหัวไม่มีท้ายให้นางฟังจนอดหัวเราะไม่ได้ หรืออย่างน้อยก็ยังมีสวี่หลิวที่ชอบนั่งมองหน้านางเงียบ ๆ ราวกับกำลังจดจำทุกลมหายใจของมนุษย์ไว้ในความทรงจำ และบางคราวก็เอ่ยถามคำถามประหลาดที่ไม่มีใครบนแผ่นดินนี้คิดจะถาม เช่น “ทำไมคนบนบกถึงต้องนอนตอนกลางคืน” หรือ “หัวใจของมนุษย์เต้นดังขึ้นเมื่อใด” เพราะเขาไม่เคยขึ้นฝั่ง ใช้ชีวิตอยู่ในทะเลมาตลอด


ตอนนี้ที่ไม่มีทั้งคู่ บรรยากาศภายในรถม้ากลับเงียบจนเหมือนเสียงฝีเท้าม้าดังสะท้อนอยู่ในโพรงใจ ความว่างเปล่าเช่นนี้ทำให้ทุกความคิดยิ่งดังชัดขึ้น ความกังวล ความระแวง และเงาของความทรงจำเก่า ๆ ที่นางไม่อยากนึกถึงก็กลับมาแผ่วซ่านรอบกาย ความอุ่นจากเจ้าหมาน้อยที่เคยหนุนตักหายไป ความแปลกใหม่ของการสนทนากับปีศาจปลาที่กำลังเรียนรู้การเป็นมนุษย์ก็หายไป เหลือเพียงตัวนางลำพังกับกลิ่นไม้เก่าของตัวรถม้าและลมหนาวที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง


นางขยับมือไปแตะที่ตักตนเองเบา ๆ ราวกับยังรู้สึกถึงน้ำหนักของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่เคยอยู่ตรงนั้น แม้เพียงเสี้ยวอึดใจก็เผลอถอนหายใจออกมา...เงียบเหงาจริง ๆ นั่นแหละ


หลินหยาลดสายตาลงมองแหวนดาราจรัสที่นิ้วกลางข้างขวา แสงเช้าจากนอกหน้าต่างลอดผ่านกระจกมาแตะต้องเนื้อเพชรใสสะอาดจนประกายวาววับราวกับมีหมู่ดาราร่ายรำอยู่ในนั้น ความงามของมันไม่ใช่เพียงเพราะความแวววับ หากแต่เป็นความละเอียดประณีตในทุกสันเหลี่ยม แหวนวงนี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับธรรมดา แต่มันคือชิ้นงานที่มีประวัติ เล่ากันว่าหลู่ปังเคยใช้หินอุกกาบาตจากฟากฟ้ามาเป็นแก่นของมัน เจียระไนด้วยมือช่างฝีมือสูงสุดของยุค ทุกส่วนถูกขัดเกลาอย่างสมบูรณ์แบบราวกับสร้างขึ้นเพื่อคนเพียงคนเดียวเท่านั้น


นางไม่จำเป็นต้องถามออกมาดัง ๆ ก็พอเดาได้ว่าใครคือคนที่มอบมันให้นาง เพราะไม่มีใครในแผ่นดินนี้จะหยิบยื่นสิ่งล้ำค่าถึงเพียงนี้ให้ใครโดยไร้เหตุผล และไม่มีใครที่รู้ดีว่าหัวใจของนางจะเก็บสิ่งนี้ไว้ไม่ถอดแม้ยามหลับเหมือนเขา


“บ้าจังเลยนะ…” หลินหยาพึมพำมันออกมาในที่สุด


สัมผัสเย็นจากวงแหวนซึมผ่านผิวกาย แต่กลับอบอุ่นอย่างประหลาด นิ้วกลาง…หากเป็นหญิงทั่วไปในแผ่นดินนี้ การสวมแหวนที่นิ้วนี้อาจเป็นเพียงรสนิยม หรือความถนัดในการสวมใส่ ทว่าในความหมายลึกซึ้งแล้ว มันสื่อถึงการหมั้นหมาย หรือสัมพันธ์บางอย่างที่ไม่จำเป็นต้องประกาศต่อโลกแต่ฝังแน่นอยู่ในใจ


หลินหยาขยับนิ้วเล็กน้อยเหมือนกำลังชั่งใจ ระหว่าง “ความจริง” กับ “สิ่งที่เลือกจะเชื่อ” ก่อนจะละสายตาจากประกายเพชรไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง ราวกับว่าถึงแม้จะสวมมันไว้ตลอด แต่บางเรื่อง…นางก็ยังไม่พร้อมจะเอ่ยออกมา แล้วหลินหยาก็ขยับนิ้วเธอเรียกบางอย่างออกมาจากแหวนดาราจรัสนั้น…


หน้ากาก…


ปลายนิ้วเรียวยาวของหลินหยาลูบไล้ผิวหยกเย็นเยียบของหน้ากากไร้ใจอย่างแผ่วเบา ความเย็นนั้นซึมผ่านผิวหนัง ลามลึกเข้าไปถึงกระดูกสันหลังราวกับจะกลืนเธอให้จมหายไปในห้วงว่างเปล่าที่มันก่อกำเนิดมา กลิ่นเย็นชืดแผ่วรางจากหยกต้องสาปนั้นไม่ใช่เพียงกลิ่นของหินเก่าแก่ แต่เป็นกลิ่นของความเงียบงันที่ไร้ซึ่งความอบอุ่นของหัวใจ ความว่างเปล่าที่ถูกหล่อขึ้นด้วยความทรงจำและความเจ็บปวดที่ไม่อาจลบเลือน


รอยแกะสลักอสรพิษพันหมอกบนหน้ากากนั้นมีเสน่ห์ประหลาด ลวดลายแต่ละเส้นสายดูราวกับเลื้อยเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าในแสงสลัวของยามรุ่งเช้า ราวกับจะเล่าเรื่องราวของผู้ที่สร้างมันขึ้นมา ขันทีผู้หนึ่ง…ผู้ที่ถูกโลกพรากทุกสิ่งไปตั้งแต่ยังเยาว์วัย ผู้ที่แม้แต่หัวใจก็ต้องทิ้งไว้เบื้องหลัง และเศษใจนั้น เศษที่ยังเต้นอยู่เพราะไม่อาจดับสิ้นด้วยเพียงกาลเวลา กลับถูกนำมาหลอมรวมกับหยกต้องสาปจนกลายเป็นพลังอันมืดมิดที่แฝงอยู่ในหน้ากากนี้


เมื่อปลายนิ้วแตะตรงกลางหน้ากาก หลินหยารู้สึกเหมือนแรงสั่นสะเทือนบางอย่างกระเพื่อมอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ นางรู้ว่าหากสวมมันลงไป เสียงหัวใจของตนเองจะเงียบงัน ความรัก ความเกลียด ความเศร้า ความสุข…ทุกสิ่งจะจมหาย เหลือเพียงความว่างเปล่าที่ไม่ให้ผู้ใดเข้าถึงได้อีกต่อไป เสียงของตนเองจะเย็นเยียบดังลมหนาวปลายเหมันต์ และแววตาที่เคยมีประกายจะเหลือเพียงกระจกใสไร้สีสะท้อนภาพโลกอย่างเย็นชืด แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มอบเกราะที่เหนือล้ำกว่าคำว่า “ซ่อนเร้น” มันคือการปิดผนึกตัวตนอย่างสมบูรณ์แบบจนไม่มีใครแม้แต่จะอ่านใจได้ ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีความโกรธ ไม่มีความอ่อนแอที่เผยให้เห็น แม้แต่สายตาของผู้ที่รู้จักกันมานานก็ไม่อาจมองทะลุได้


หลินหยากระชับหน้ากากไว้แนบอก ความเย็นของหยกต้องสาปตัดกับความอุ่นของหัวใจนางอย่างรุนแรง ราวกับนางกำลังกอดหัวใจที่ไม่เต้น…หัวใจของคนผู้หนึ่งที่แม้จะโหดร้าย จิตบิดเบี้ยว และเจ็บปวดเกินกว่าจะบรรยาย แต่สำหรับนางแล้ว…ก็ยังเป็นหัวใจที่นางไม่อาจทอดทิ้งได้เช่นกัน ดวงตาคู่คมที่ซ่อนความเศร้าไว้ใต้รอยยิ้มเย้ยหยัน และมือที่แม้จะเปื้อนเลือดก็ยังเคยยื่นมาลูบเส้นผมของนางอยู่ร่ำไป นั่นคือเหตุผลที่นางไม่อาจวางหน้ากากนี้ลงได้


นางหลับตาสูดลมหายใจลึก คล้ายกำลังปกป้องเศษใจที่แหลกสลายนี้ด้วยหัวใจทั้งดวงของตนเอง แม้ว่าจะรู้ดีว่ามันเป็นดั่งคมมีดที่บั่นทอนความเป็นมนุษย์ แต่ถ้าการกอดมันไว้จะทำให้เศษใจนั้นไม่สูญสลายไปกับความมืด…นางก็จะยอมแบกมันไว้ แม้จะต้องแลกด้วยแผลลึกในจิตวิญญาณของตนก็ตาม


ลมหายใจของหลินหยาหนักอึ้ง ดวงตาคมที่ปกติสว่างสดใสกลับหม่นลงราวกับหมอกยามรุ่งสาง นางเอนศีรษะพิงขอบหน้าต่างรถม้า แสงแดดบางส่วนลอดผ่านผ้าม่านลงมาส่องผิวแก้มซีดขาวราวกับจะเย้ยว่านางอยู่ห่างไกลจากผู้ที่นางอยากให้ยืนอยู่ตรงหน้าเพียงใด เสียงพึมพำที่เปล่งออกมานั้นแผ่วเบา ทว่าความขมขื่นกลับหนาแน่นจนราวกับจะกลั่นเป็นหยดน้ำตา


"สงสัยท่านทำเสน่ห์ใส่ข้าจริง ๆ ละมั้ง?…จางกงกง" นางกล่าวเสียงขื่น ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย "ต่อให้ห่างกันเพียงนี้…ท่านมีสักคราไหมที่จะหวนคิดถึงใบหน้าของข้าบ้าง หรือแม้แต่ชื่อของข้า" น้ำเสียงนั้นไม่ได้มีเพียงความตัดพ้อ แต่แฝงความเหนื่อยล้าจากการรอคอยและการฝืนเข้มแข็งมานานเกินไป ราวกับคำถามนี้ไม่หวังจะได้รับคำตอบ แค่ต้องการปล่อยให้มันลอยไปในความว่างเปล่า


ในยามที่ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง ไม่มีรอยยิ้มของสหายสนิท ไม่มีคำบ่นของท่านคนขี้เป็นห่วง ไม่มีเสียงกวนประสาทของเซียนเฉ่าตัวน้อย ไม่มีสายตาแปลกประหลาดของสวี่หลิว หลินหยาก็กลับกลายเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง สตรีอ่อนแอที่เก็บความเปราะบางไว้หลังฉากยิ้มและคำพูดขี้เล่นมาโดยตลอด ความเข้มแข็งที่ใครต่อใครเห็นในยามพบเจอ แท้จริงแล้วเป็นเพียงเกราะบาง ๆ ที่กำบังหัวใจซึ่งยังคงเต้นเพราะคนเพียงคนเดียว…คนที่อาจไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยชื่อของนางออกมาในยามอยู่ลำพัง


มือบางเผลอกำหน้ากากไร้ใจแน่น ความเย็นของหยกต้องสาปซึมเข้าสู่ผิวราวกับเตือนให้นางลืม ลืมความรู้สึกที่ทำให้นางอ่อนแอเช่นนี้ แต่ต่อให้มันจะกลืนกินหัวใจนางไปทีละน้อย หลินหยาก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้ เพราะคนที่ฝากเศษใจไว้ในหน้ากากนี้…คือคนเดียวกับที่นางกำลังเอ่ยชื่อนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจ แม้จะรู้ว่ามันอาจไม่เคยเดินทางไปถึงเขาเลยก็ตาม


แต่ทว่าในขณะที่ปลายนิ้วยังคงลูบไปตามลายสลักอสรพิษบนหยกเย็นนั้น หลินหยากลับขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาสั่นไหวราวกับเพิ่งค้นพบร่องรอยความทรงจำที่ซ่อนอยู่ลึกในเงามืด นางนึกออก…หน้ากากไร้ใจนี้ นางได้รับมันที่ศาลาจื่อเถิงฮวา วันที่ม่านม่วงพลิ้วไหวตามแรงลมและแสงอาทิตย์ยามเย็นกระทบพื้นศาลาเป็นลายพร่างพราว 


ทว่า…ใครกันที่เป็นผู้มอบให้นาง? ภาพกลับพร่าเลือน ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาลบเลือนความชัดเจนไปจากความทรงจำ


หัวใจของนางพลันกระตุกหรือว่า…เขา? 


ความคิดนี้แล่นวาบเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว จนทำให้หลินหยาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มมองหน้ากากในมืออีกครั้ง ริมฝีปากเม้มแน่น รู้ดีว่าหน้าที่แท้จริงของมันคือการกลืนกลบทุกอารมณ์ให้มลายสิ้น เหลือเพียงความว่างเปล่าเย็นชาเพื่อซ่อนเร้นทุกสิ่ง…หากเป็นเขาจริง เหตุใดถึงมอบให้? เหตุใดถึงไม่ใช้มันเอง? หรือว่าที่แท้…เขาไม่ต้องการจะลบเลือนความรู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว


หัวใจของหลินหยาที่เคยหมองหม่นค่อย ๆ เต้นรัวแรงขึ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ ความร้อนเล็ก ๆ กระจายไปทั่วอก นางรู้ว่ามันอาจเป็นเพียงความเพ้อฝันของตนเอง แต่ในเศษเสี้ยวของหัวใจที่แตกสลายของเขา หัวใจที่ถูกความเจ็บปวดกัดกร่อนมาตลอดชีวิต นางอยากเชื่อเหลือเกินว่าบัดนี้เริ่มมีเงาของตนเองแทรกอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะแผ่วเบาสักเพียงใดก็ตาม


ความคิดนี้ทำให้ปลายนิ้วของนางเผลอกอดหน้ากากแน่นยิ่งขึ้น ราวกับจะปกป้องทั้งหยกต้องสาปและเศษใจที่อยู่ในนั้นไว้ด้วยชีวิตของตนเอง


หลินหยาก้มหน้าลงเล็กน้อย ริมฝีปากคลี่ยิ้มที่ไร้ความสุข ราวกับรสขมติดอยู่ปลายลิ้นจนยากจะกลืน นางหัวเราะออกมาแผ่วเบา เสียงหัวเราะนั้นไม่ไพเราะและไร้แววขบขัน เป็นเพียงเสียงที่ปนกับความเหนื่อยล้าของจิตใจ นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงหัวเราะ…อาจเพราะในที่สุดก็มองเห็นความจริงในเงามืดของหัวใจเขา


"ในสายตาท่าน…ข้าเป็นอะไรกันแน่นะ" นางพึมพำกับความว่างเปล่า 


น้ำเสียงแผ่วเหมือนจะถามกับอากาศ แต่น้ำหนักในถ้อยคำนั้นกลับหนักอึ้ง มันไม่ใช่ความรักอ่อนหวาน ไม่ใช่ความห่วงใยที่อบอุ่น หากแต่เป็นความรักที่บิดเบี้ยว ราวกับเถาวัลย์หนามพันธนาการหัวใจไว้จนหายใจแทบไม่ออก ความต้องการที่จะครอบครองทุกลมหายใจของนาง แต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธที่จะมองว่านางเป็นคน นางเป็นเพียงสิ่งของ สมบัติ ที่เป็นของเขาเพียงผู้เดียว และจะไม่อาจเป็นของผู้ใดได้อีก


แม้จะเป็น "ของรัก" หรือสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกของเขา แต่มันก็ยังเป็น "สิ่งของ" อยู่ดี หลินหยาหัวเราะขมขื่นยิ่งกว่าเดิมแต่ไร้น้ำตา เสียงหัวเราะนั้นแผ่วลงจนกลืนไปกับลมหายใจ นางพ่นลมหายใจช้า ๆ สายตาพร่ามัวจ้องไปยังหน้ากากในมือ


"เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่?…" นางพูดเหมือนกับตอบและถามคำถามตัวเอง หากเขามองนางเป็นสิ่งของจริง ๆ ต่อให้เป็นของรักเพียงใด ก็ยังคงถูกเก็บไว้ในกรงทองงดงามแต่ไม่เคยมีเสรีภาพ และบางที…เขาอาจไม่เคยคิดจะปลดกรงนั้นให้เปิดออกเลยด้วยซ้ำ


หลินหยานั่งนิ่งพิงพนักเบาะรถม้า ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีเพียงความว่างเปล่าและสีหม่นของฟ้าใกล้ลับขอบ เหมือนโลกภายนอกกลายเป็นเพียงฉากหลังที่เลือนรางไม่สำคัญ ความคิดของนางล่องลอยไปไกล ราวกับกระแสน้ำที่ไหลย้อนกลับสู่ห้วงเวลาเก่าแก่ในชาติที่แล้ว ภาพความฝันบางอย่างผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน บทเรียนภาษาไทยในห้องเรียนที่นางเคยนั่งฟัง เสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่เคยกลับมามีอีกครั้ง และบทเพลงหนึ่งที่เคยได้ยินเพียงครั้งเดียวแต่กลับฝังอยู่ในความทรงจำราวกับตราประทับ


ริมฝีปากของนางเริ่มขยับเอื้อนเอ่ยทำนองแผ่ว เสียงนั้นแทบไม่ดังพอให้ใครได้ยิน นอกจากตัวนางเอง 


"🎶ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง… เธอเองจะรู้หรือเปล่า… ว่ารักของเธอชั่วคราว… หรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น…🎶" น้ำเสียงของนางอ่อนโยนปนเศร้า เหมือนหยดน้ำใสที่กำลังสั่นไหวบนปลายใบไม้ ราวกับกลัวว่าหากปล่อยให้มันหล่นลงมา ก็จะสูญสลายไปตลอดกาล


"🎶ถ้าเธอพบใครคนหนึ่ง… ที่เธอให้ความสำคัญ… เมื่อเธอสบตาคู่นั้น… เธอรู้สึกอย่างไร…🎶" ถ้อยคำในบทเพลงนั้นราวกับมีน้ำหนักกว่าปกติ เพราะทุกพยางค์ที่หลุดออกมาคือคำถามที่นางไม่อาจหาคำตอบได้ แม้กระทั่งในใจของตนเอง ดวงตาของหลินหยาสั่นระริกเล็กน้อย ก่อนจะหลุบต่ำลงราวกับหลบหนีบางอย่างที่ไล่ตามอยู่ในความคิด


เสียงบทเพลงจางลงไปพร้อมกับลมหายใจอุ่นที่พ่นออกมา นางไม่รู้ว่าบทเพลงนี้กำลังถามถึงความรู้สึกของนางต่อเขา…หรือเป็นเพียงการตอกย้ำว่าความรักที่อยู่ตรงหน้า อาจไม่มีวันตอบได้ว่ามันจะคงอยู่ชั่วคราว หรือยาวนานจนกว่าชีวิตจะสิ้นลง


เสียงของหลินหยายังคงแผ่วเบา แต่แฝงด้วยความสั่นไหวที่เหมือนจะกระจายออกไปทั่วห้องโดยสารรถม้า ราวกับทุกคำที่เปล่งออกมานั้นไม่ได้เพียงเป็นเสียงเพลง หากแต่เป็นความรู้สึกที่ค้างคาอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ นางเอื้อนเอ่ยต่อเนื้อท่อนถัดมาอย่างช้า ๆ 


"🎶รักหนึ่งอาจเกิดด้วยใครลิขิต… หรือมันอาจเกิดด้วยตาต้องใจ… หรือมันอาจเกิดด้วยเหตุผลใด… ใครเล่าเลย ใครจะเลยล่วงรู้…🎶"


น้ำเสียงของนางในตอนนี้ไม่ได้เร่งเร้า หากแต่ทอดยาวและเต็มไปด้วยความเงียบขรึมระหว่างพยางค์ เหมือนนางกำลังซึมซับความหมายของทุกคำอย่างถ่องแท้ "🎶อาจเกิดเพราะใครกำหนด… หรือใครขีดกฎเกณฑ์ไว้ให้เจอ… ให้เราต้องพบกันอยู่เสมอ… ทุกครั้งไป…🎶"


ดวงตาของหลินหยาคล้ายกำลังเหม่อมองภาพบางภาพที่ไม่มีใครมองเห็น นางคิดถึงเขา…ไม่ใช่เพียงในความหมายของการนึกถึงบุคคลหนึ่ง แต่เป็นความคิดถึงที่เต็มไปด้วยปริศนาและความเจ็บแผ่วบางในอก ทั้งคู่โคจรมาพบกันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เป็นเพราะแผนการของเขาที่ซับซ้อนลึกล้ำ หรือเพราะเส้นด้ายของโชคชะตาที่ถูกองค์เทพลิขิตไว้กันแน่


นางอยากรู้…แต่ในขณะเดียวกันก็กลัวคำตอบ เพราะหากมันเป็นเพียงแผนของเขา ก็หมายความว่าทุกความบังเอิญที่นางเคยเก็บไว้ในใจนั้นอาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจ ทว่า…หากมันเป็นโชคชะตา นั่นหมายความว่าต่อให้พยายามหนีอย่างไร สุดท้ายก็จะกลับไปอยู่ในเส้นทางที่ตัดผ่านกับเขาอีกอยู่ดี 


และนั่น…ยิ่งน่าหวาดหวั่นกว่าเดิม


เสียงเพลงที่ค้างอยู่ในลำคอของหลินหยาดับวูบลง ราวกับสายน้ำที่ไหลมาตลอดทางแล้วพลันถูกปิดกั้น นางค่อย ๆ วางมือที่ถือหน้ากากไร้ใจลง ก่อนจะพลิกนิ้วเรียวเก็บมันกลับเข้าสู่แหวนดาราจรัสอย่างระมัดระวัง ราวกับเก็บความลับที่ไม่มีผู้ใดควรได้ล่วงรู้ เศษใจที่ซ่อนอยู่ในนั้นกลับไปอยู่ในที่ของมันอย่างปลอดภัย


…อย่างน้อยก็จนกว่าหัวใจของนางจะสั่นไหวอีกครั้ง


เมื่อปลายนิ้วเรียวหยุดเคลื่อนไหว สายตาคมหวานก็เบนออกไปยังหน้าต่างรถม้า ภายนอกเป็นเพียงทิวทัศน์ที่ไหลผ่าน แต่ในดวงตาของหลินหยากลับไม่มีแววติดค้างหรือโหยหาเหมือนเมื่อครู่ ทุกอย่างสงบนิ่งเสียจนดูราวกับว่านางเป็นเพียงสตรีผู้โดยสารรถม้าอย่างไร้เรื่องราวพิเศษใด ๆ ใบหน้าของนางเรียบสนิท ไม่บ่งบอกว่าภายในกำลังเก็บงำความหนักอึ้งบางอย่างไว้


ครั้นรถม้าหยุดพัก เสียงล้อหยุดบดบนดินก็ทำให้นางผ่อนลมหายใจเบา ๆ หลินหยาก้าวลงมาอย่างสง่างาม ก่อนจะนั่งลงร่วมวงกับสารภีโดยไม่ปล่อยให้ช่องว่างของความเงียบกลืนกิน บทสนทนาระหว่างพวกนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะเบา ๆ และถ้อยคำหยอกเย้าเหมือนสองสตรีที่เดินทางร่วมกันมานาน ราวกับว่าความขมขื่นเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่ว่าในอกจะหนักเพียงใด หลินหยาก็สามารถวางมันไว้เบื้องหลังได้ในพริบตา และสวมรอยเป็นหญิงสาวที่ไร้เรื่องราวทุกข์ร้อน จนแทบไม่มีใครล่วงรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มบางนั้น…มีหัวใจที่ยังเต้นตามจังหวะของใครอีกคนอยู่เงียบ ๆ


ล้อรถม้ากลับมาเคลื่อนตัวอีกครั้ง เสียงกระทบพื้นดินดังกึกก้องเป็นจังหวะสม่ำเสมอ หลินหยานั่งเอนเล็กน้อยในมุมที่แสงแดดอุ่นยามบ่ายส่องลอดผ้าม่านเข้ามาอย่างพอดิบพอดี นางเอื้อมหยิบตำราเก่าที่ปกเริ่มหม่นสีของเสี่ยวจ้าวจื่อออกมาจากหีบไม้ กลิ่นหมึกจาง ๆ และกระดาษที่ผ่านกาลเวลาลอยขึ้นแตะปลายจมูก นางพลิกหน้ากระดาษด้วยความคุ้นชิน ก่อนจะหยุดสายตาที่สูตร “เป็ดย่างน้ำผึ้งซ่อนกลิ่นอย่างงั้นหรือ?” แค่เห็นภาพวาดประกอบและบรรทัดคำอธิบายก็ทำให้นางหัวเราะออกมาเสียงใส "โอย…นี่มันทำยากแทบจะที่สุดในเล่มแล้วละมั้ง" เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายมากกว่าความท้อถอย


ดวงตาคมหวานกวาดอ่านบรรทัดต่อบรรทัดอย่างตั้งใจ ไล่จากขั้นตอนการหมักเนื้อเป็ดด้วยน้ำผึ้งผสมกลีบดอกไม้หอม ไปจนถึงเทคนิคการย่างให้หนังกรอบแต่เนื้อยังคงฉ่ำ ทุกคำอธิบายถูกนางจดจำไว้ในใจเหมือนกำลังแกะรหัสลับของงานศิลป์ที่กินได้ ปากก็พึมพำเนื้อหาไปเรื่อย ราวกับกำลังสนทนากับเสี่ยวจ้าวจื่อผู้เขียนตำรา


เมื่อพลิกไปใกล้หน้าสุดท้าย หลินหยาก็ยิ้มกว้างขึ้น ดวงตาเปล่งประกายอย่างคนที่คิดอะไรสนุก ๆ ขึ้นมาได้ “หากอีกไม่นานมีตลาดแถวนี้…เราลองทำเมนูนี้ดูก็ไม่เลวนะ” เสียงนางเบาราวกับพูดกับตัวเอง แต่ก็เต็มไปด้วยความคึกคักอย่างเด็กที่วางแผนเล่นสนุก


มือเรียวปิดตำราด้วยความทะนุถนอม ก่อนวางลงบนตักอย่างนุ่มนวล ร่างบางเอนตัวพิงเบาะ พลางเหลือบมองนอกหน้าต่างราวกับกำลังชั่งใจว่าจะได้พบโอกาสนั้นเร็วเพียงใด


ริมฝีปากของหลินหยาคลี่ออกเป็นรอยยิ้มบางแต่มั่นคง แววตาที่ทอดมองผ่านผ้าม่านรถม้าไปยังเส้นทางข้างหน้านั้นนิ่งลึก ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มองเพียงภาพทิวทัศน์ที่เลื่อนผ่าน หากแต่มองทะลุไปถึงวันข้างหน้าที่กำลังรออยู่ "เอาเถอะ…อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด" นางเอ่ยในใจอย่างสงบ แต่แฝงด้วยความดื้อดึงไม่ยอมถอย สายลมยามบ่ายพัดหอบฝุ่นทรายลูบไล้ข้างแก้ม ขับให้ความทรงจำเก่า ๆ ผุดขึ้นมา ทั้งวันที่เคยถูกขังไว้ในกรงแคบไร้หน้าต่าง วันที่ถูกบังคับให้ทำตามคำสั่งผู้อื่นไร้ซึ่งสิทธิ์ขัดขืน และคืนยาวนานที่ต้องนอนบนพื้นแข็งเย็นเฉียบเพียงลำพัง เสียงโซ่ตรวนในความทรงจำยังแว่วอยู่ลาง ๆ แต่ครั้งนี้นางกลับไม่สะทกสะท้านอีกแล้ว


มือบางกำชายกระโปรงแน่นเล็กน้อย ก่อนคลายออกพร้อมสูดลมหายใจลึก ความจริงในใจดังชัด "ข้าไม่ใช่เด็กสาวที่หลงทางและไร้ที่พึ่งอีกต่อไป" คราวนี้ นางมีปลายทางที่เลือกเอง มีเหตุผลที่จะสู้ และมีหัวใจที่แม้จะผ่านการบอบช้ำ แต่ก็แข็งแรงพอจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง


อีกเพียงวันสองวัน รถม้าก็จะพานางไปถึงสถานที่ที่รอคอย บางทีอาจมีทั้งบททดสอบและเรื่องราวใหม่ ๆ รออยู่ แต่หลินหยากลับรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นด้วยจังหวะของผู้กำลังจะก้าวเข้าสู่สนามรบที่ตนเลือกเอง นางเอนกายพิงเบาะ หลับตาลงเล็กน้อย ให้เสียงล้อไม้บดกับพื้นดินกล่อมความคิดให้สงบ พร้อมสำหรับทุกสิ่งที่จะมา



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เป็นคนคิดมาก และเป็นคนขี้บ่น 5555+
ศึกษา เป็ดย่างน้ำผึ้งซ่อนกลิ่น (4/4)

รางวัล: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ 2025-8-13 13:59
โพสต์ 109589 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-13 06:28
โพสต์ 109,589 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-13 06:28
โพสต์ 109,589 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-13 06:28
โพสต์ 109,589 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-13 06:28
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-13 15:49:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 13 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า เมืองชวีเหลียง มณฑลจี้โจว - ยามโหย่ว เมืองหานตาน มณฑลจี้โจว จักรวรรดิต้าฮั่น


แสงแดดยามเช้าของตลาดชวีเหลียงยังอุ่นนวล กลิ่นหอมหลากหลายจากหม้อบะหมี่และถังชาอบอวลในอากาศ เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขายดังประสานกับเสียงฝีเท้าผู้คน หลินหยาก้าวลงจากรถม้าในชุดเรียบง่ายแต่สะดุดตาด้วยรอยยิ้มเจือแววตั้งใจ นางแบกตะกร้าหวายเปล่าไว้ในมือ ราวกับกำลังออกล่าขุมทรัพย์สำหรับครัวเคลื่อนที่ของตน


นางเดินผ่านแผงผักใบเขียว กลิ่นต้นหอมสดและขิงอ่อนแตะจมูกจนอดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาสำรวจ มือเรียวลูบผิวมันวาวของรากบัวสีขาวนวลก่อนพยักหน้าให้แม่ค้าพร้อมต่อรองราคาอย่างแคล่วคล่อง เสียงหัวเราะของนางแฝงความพึงพอใจเมื่อได้ในราคาที่เหมาะสม ถัดไปคือแผงเครื่องเทศ กลิ่นโป๊ยกั๊กและอบเชยหอมฟุ้งจนทำให้หัวใจนางพองโต ราวกับได้กลิ่นบ้านในค่ำฤดูหนาว


จากนั้นนางมุ่งไปยังแผงขายเครื่องปรุง กลิ่นเจี้ยงโหยวเข้มข้นและเหล้าเหลืองชวนให้จินตนาการถึงหม้อเป็ดย่างน้ำผึ้งซ่อนกลิ่นที่กำลังเดือดปุด ๆ ในครัว หยดน้ำผึ้งทองใสในขวดแก้วสะท้อนแสงเช้าจนดูราวของล้ำค่า นางไม่ลืมจะหยิบเก๋ากี้เม็ดแดงสด งาเม็ดเล็กมันวาว และผักปอไช่ที่ชุ่มน้ำค้างใส่ตะกร้า


แม้ตลาดจะวุ่นวายด้วยเสียงและฝุ่นละออง แต่สำหรับหลินหยามันคือสวนสนุกของแม่ครัวผู้มีหัวใจรักการทำอาหาร ทุกการเลือกวัตถุดิบคือการวางหมากเพื่อชัยชนะในรสชาติ รถม้าของนางในอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้าจะอัดแน่นด้วยกลิ่นหอมและสีสันจากสิ่งเหล่านี้ พร้อมจะกลายเป็นครัวเคลื่อนที่ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมาจากหญิงสาวที่ผ่านร้อนหนาวมามากเช่นนาง


รถม้าที่หลินหยามากะว่าจะจ้างนั้นเป็นคันใหญ่พอสมควร ทว่าก็ยังไม่ใช่แบบหรูหราของพ่อค้าใหญ่ มีผ้าม่านผืนหนาสีหม่นปิดรอบเพื่อกันฝุ่นลมจากถนนดิน นางก้าวขึ้นไปอย่างสำรวมพลางหันไปเจรจากับสารถีที่ดูมีอายุเล็กน้อย น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความมั่นใจว่า 


"ข้าขอหมักเนื้อเป็ดในรถม้าระหว่างทางได้หรือไม่เจ้าคะ? กลิ่นอาจแรงไปบ้าง แต่ข้าจะปิดภาชนะให้มิดชิด และหากจำเป็น ข้ายินดีจ่ายเพิ่ม" ดวงตาของนางทอแววว่ามิใช่เพียงการร้องขอธรรมดา แต่เป็นการรับปากว่าจะตอบแทนอย่างคุ้มค่า


สารถีชะงักเล็กน้อยเหมือนครุ่นคิด แต่พอได้ยินคำว่า “จ่ายเพิ่ม” สีหน้าก็ผ่อนคลายลง ก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า "ได้สิแม่นางน้อย ถ้าหมักเสร็จแล้วทำให้กินสักคำก็คงดี" หลินหยาหัวเราะน้อย ๆ พลางยกมือประนมแบบคนมีน้ำใจ "ไม่ใช่เพียงคำเดียวหรอกเจ้าคะ ข้าจะทำให้เต็มจาน…เนื้อเป็ดของข้า หากได้ลองแล้วจะลืมไม่ลง"


จากนั้นนางจึงนั่งลง เปิดหีบเครื่องปรุงออกทีละชิ้น กลิ่นโป๊ยกั๊ก อบเชย เจี้ยงโหยว และเหล้าเหลืองคละคลุ้งผสมในอากาศอย่างแผ่วเบา ราวกับครัวเคลื่อนที่กำลังตั้งอยู่กลางถนนเส้นยาวในแดนเหนือ แสงแดดลอดผ้าม่านตกกระทบใบหน้านางขณะมือเรียวกำลังคลุกเนื้อเป็ดด้วยเครื่องเทศอย่างชำนาญ รถม้าเริ่มเคลื่อนออกจากตลาดชวีเหลียงมุ่งหน้าสู่เส้นทางตะวันตก นางเพียงปรายตามองข้างทางเล็กน้อย แล้วกลับมาโฟกัสที่เนื้อเป็ดตรงหน้า…


เพราะรู้ดีว่ารสชาติในจานคือกำลังใจและแรงขับเคลื่อนในการเดินทางครั้งนี้


ภายในรถม้าที่ยามนี้สั่นโยกไปตามจังหวะล้อบดกับถนนดินกรวด กลิ่นเนื้อเป็ดอูยาสองตัวที่ถูกลวกน้ำเดือดจนผิวตึงเปล่งมันเงายังคงลอยอบอวลอยู่ในอากาศ หลินหยาแขวนมันไว้ใกล้หน้าต่างด้านหนึ่งให้ไอเย็นของลมเช้าพัดพาเอากลิ่นคาวจาง ๆ ออกไป 


เหลือไว้เพียงกลิ่นหนังเป็ดที่เริ่มขึงตึงน่ามอง นางนั่งขัดสมาธิบนเบาะหนังเรียบ หยิบชามไม้ขนาดใหญ่ที่เตรียมมาวางไว้ตรงหน้า ภายในชามนั้นมีเกลือขาวสะอาดที่ผ่านการบดละเอียดจนจับตัวเป็นก้อนเล็ก ๆ น้ำตาลกรวดใสที่ขับประกายเมื่อกระทบแสงอ่อน เหล้าเหลืองกลิ่นหอมหวานที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย รวมไปถึงเจี้ยงโหยวเข้มข้นสีดำขลับที่เมื่อเทลงไปจะมีกลิ่นหอมละมุนแฝงความเค็มนุ่ม


ข้างชามยังมีเครื่องเทศวางเป็นระเบียบ โป๊ยกั๊กที่ดอกแห้งคลายกลิ่นหอมฉุนเย็น อบเชยแท่งยาวสีน้ำตาลไหม้ที่เมื่อตัดออกจะส่งกลิ่นร้อนแรงอุ่นคอ เม็ดพริกไทยดำที่เพียงบี้เบา ๆ ก็ระเบิดกลิ่นเผ็ดร้อนขึ้นจมูก รากบัวขาวหั่นเป็นชิ้นบางเพื่อเพิ่มความหวานกลมกล่อม ต้นหอมสดเขียวเข้มกับขิงแก่ที่มีรสเผ็ดร้อนช่วยตัดกลิ่นคาว หลินหยาก้มหน้าทำงานอย่างเงียบ ๆ ใช้ตะเกียบไม้ยาวคนทุกอย่างให้เข้ากันอย่างช้า ๆ จนเหล้าเหลืองกับเจี้ยงโหยวซึมแทรกเข้าไปในผงเครื่องเทศ กลายเป็นเนื้อหมักสีน้ำตาลทองเข้มข้น เธอใช้ปลายนิ้วจุ่มเล็กน้อยแล้วแตะที่ลิ้นเพื่อชิมรส ก่อนพยักหน้าอย่างพอใจ


“รสชาติใช้ได้แล้วนะเนี้ย..เข้มข้นสุด ๆ เอางี้แหละ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาก่อนที่จะระบายยิ้มกับตนเอง


เมื่อได้รสตามต้องการ นางก็เลื่อนตัวเข้าไปใกล้เป็ดที่แขวนอยู่ แสงแดดลอดผ้าม่านบางเข้ามากระทบผิวหนังเป็ดให้ดูสวยราวเครื่องเคลือบ หลินหยาล้วงมือเข้าไปในช่องท้องเป็ด ค่อย ๆ ตักส่วนผสมหมักลงไปภายในแล้วนวดคลึงให้เครื่องซึมซับเข้าสู่เนื้อ ขณะเดียวกันก็ทาเครื่องหมักบาง ๆ ลงบนผิวหนังด้านนอกอย่างระมัดระวังไม่ให้หนังเสียความตึง รถม้าที่เคลื่อนไปเรื่อย ๆ ทำให้เครื่องหมักกระเพื่อมเล็กน้อยราวกับช่วยนวดเป็ดให้รสซึมเข้าไปลึกขึ้น เสียงล้อบดกับพื้นและเสียงเครื่องเทศกระทบกันในชามเป็นจังหวะอันเงียบสงบที่แฝงความตั้งใจ


หลินหยามองผลงานตรงหน้า รู้สึกพอใจอย่างบอกไม่ถูก สำหรับนางนี่ไม่ใช่เพียงการปรุงอาหาร แต่เป็นการพกความสามารถติดตัวไปทุกหนแห่ง แม้จะอยู่บนถนนไกลโพ้นมุ่งหน้าสู่เมืองหานตาน ก็ไม่มีสิ่งใดมาขวางความพิถีพิถันของเธอได้ ไม่ว่าการเดินทางครั้งนี้จะนำไปสู่เรื่องใด เป็ดอูยาหมักเครื่องชั้นดีนี้จะต้องได้เสิร์ฟให้ผู้มีโอกาสลิ้มรสอย่างแน่นอน


หลินหยาค่อย ๆ หยิบเครื่องเทศและเครื่องปรุงที่เหลืออยู่ในถาดเล็กมาตรวจเช็กอีกครั้งว่าครบถ้วนหรือไม่ ก่อนจะหยิบแต่ละชิ้นด้วยมือเรียวที่สะอาดอย่างระมัดระวังแล้วใส่ลงไปในท้องเป็ดทีละอย่าง เริ่มจากรากบัวที่ถูกฝานเป็นแว่นบางเพื่อให้กลิ่นหอมแผ่ซึมซาบทั่วเนื้อ ตามด้วยต้นหอมที่ถูกม้วนให้เป็นวงและขิงแก่ฝานหนาเล็กน้อยเพื่อขับกลิ่นคาว จากนั้นจึงตามด้วยโป๊ยกั๊กกับอบเชยที่ส่งกลิ่นหวานฉุนอ่อน ๆ ก่อนจะตบท้ายด้วยพริกไทยเม็ดและเศษเปลือกส้มแห้งบดหยาบเพื่อเพิ่มมิติของกลิ่น แล้วใช้ด้ายดิบเหนียวเย็บปากท้องเป็ดอย่างแน่นหนา ไม่ให้ไส้เครื่องหมักหลุดออกมาระหว่างแขวนลม


“แน่นหรือยังนะ?” หลินหยาขยับมือแล้วลองขยับเจ้าเป็ดนั้นอย่างง่าย ๆ ว่ามันจะไม่หลุดจากกันออกมาเป็นเป็ดไส้แตก “ได้แล้วมั้ง” 


เมื่อตรวจสอบว่าทุกอย่างแน่นพอแล้ว หลินหยาก็ยกเป็ดทั้งสองตัวไปแขวนไว้ตรงหน้าต่างรถม้าที่เปิดช่องไว้ให้ลมภายนอกพัดผ่าน เป็ดสีเหลืองซีดห้อยแกว่งเบา ๆ ตามจังหวะการโยกของรถและแรงลมเย็น ลมพัดให้กลิ่นเครื่องเทศลอยตลบอวลอยู่ในมุมเล็ก ๆ ภายในรถม้า คล้ายเป็นครัวเคลื่อนที่ส่วนตัว


จากนั้นนางก็เริ่มเตรียมน้ำผึ้งซ่อนกลิ่น ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของเสี่ยวจ้าวจื่อ น้ำผึ้งป่าถูกตักใส่ถ้วยเคลือบ ตามด้วยน้ำดอกเก็กฮวยสีเหลืองใสที่ให้กลิ่นหอมละมุนและช่วยตัดเลี่ยนเล็กน้อย นางค่อย ๆ เติมน้ำส้มสายชูหมักจากผลไม้เพื่อเพิ่มรสเปรี้ยวตัดหวาน และสุดท้ายคือน้ำสะอาดอุ่น ๆ เพื่อให้ทุกอย่างเข้ากันง่าย หลินหยากวนช้า ๆ ด้วยตะเกียบไม้ไผ่จนส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นางหยิบพู่กันทาสำหรับครัวจุ่มลงในน้ำผึ้งซ่อนกลิ่นที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ กลิ่นหอมหวานตัดกับความฉุนอ่อน ๆ ของเครื่องเทศลอยคลุ้งไปทั่ว ก่อนจะค่อย ๆ ทาบาง ๆ ไปทั่วตัวเป็ดให้ผิวเคลือบเป็นเงางาม หลังจากนั้นจึงปล่อยให้แห้งโดยอาศัยลมเย็นจากภายนอก ใช้เวลาประมาณสิบถึงยี่สิบนาทีในแต่ละรอบ จากนั้นนางก็ทาซ้ำอีกสองครั้งอย่างใจเย็นเพื่อให้ผิวเป็ดมีชั้นเคลือบที่สวยงามและส่งกลิ่นหอมลึกซึ้งยิ่งขึ้น


ยามนี้ภายในรถม้าไม่เพียงแต่กลายเป็นพื้นที่เตรียมอาหารอย่างพิถีพิถัน หากยังเป็นดั่งโรงอบเครื่องเทศที่เคลื่อนตัวไปตามถนน ทุกครั้งที่ลมพัด กลิ่นน้ำผึ้งและเครื่องปรุงจะซึมเข้าไปในเนื้อเป็ดทีละน้อย ราวกับกำลังสั่งสมรสชาติที่แม้แต่พ่อครัวมืออาชีพยังต้องชะงักเมื่อได้ลิ้มลอง


พอครบ 8 ชั่วโมงหลินหยาก็บอกสารถีว่าแวะพักก่อนได้หรือไม่ที่หมู่บ้านใกล้ ๆ หรือทางพักแรม นางจะเริ่มปรุงอาหารแล้ว


ลมยามบ่ายพัดผ่านพอให้กลิ่นน้ำซุปอุ่น ๆ และกลิ่นหอมของน้ำผึ้งเคลือบเป็ดลอยอวลไปทั่วบริเวณ หลินหยาจัดแจงพื้นที่ทำครัวอย่างคล่องแคล่ว มือบางคีบโครงเป็ดและกระดูกหมูขึ้นมาจากตะกร้าหวาย ล้างน้ำเย็นจนสะอาดแล้วนำไปลวกในหม้อน้ำเดือด ควันร้อนลอยพวยพุ่งขึ้นกระทบใบหน้างามจนผิวแก้มขึ้นสีจาง ๆ เสียงน้ำเดือดดังซ่า ขณะที่เธอคอยตักฟองเลือดและสิ่งสกปรกทิ้งไม่ให้ตกค้างแม้เพียงนิดเดียว 


พอเนื้อโครงขาวนวลสะอาดดีแล้วจึงคีบขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ ก่อนจะย้ายลงหม้อต้มใบใหญ่ เติมน้ำสะอาดราวสองลิตรครึ่ง ตามด้วยขิงแก่ทุบพอแตก หัวหอมผ่าเป็นสี่ซีก เห็ดหอมแห้งแช่น้ำให้นุ่ม และผงเครื่องเทศแห้งสูตรเฉพาะ จากนั้นตั้งไฟกลางจนเดือด พลางส่งสารถีที่กำลังจัดฟืนให้เป็นคนคอยเฝ้าหน้าเตา คอยช้อนฟองที่ลอยขึ้นอย่างสม่ำเสมอเพราะน้ำซุปต้องใสสะอาดราวหยดน้ำค้าง ห้ามคนเด็ดขาดเพื่อไม่ให้ความขุ่นกระจายไปทั่ว


ส่วนเธอเองก็เริ่มจัดการกับเป็ดที่หมักและแขวนตากไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เนื้อเป็ดตึงสวย ผิวขึงจนเป็นเงาเพราะผ่านการทาน้ำผึ้งซ่อนกลิ่นถึงสามรอบ เธอหยิบแปรงไผ่มาทาน้ำผึ้งบาง ๆ เคลือบซ้ำอีกหนึ่งรอบให้กลิ่นหอมเข้มขึ้น ก่อนพักให้แห้งในลมเย็นของยามค่ำ เสียงไม้ฟืนแตกดังปะทุในเตาอบที่สารถีคุมไฟไว้พอประมาณ เหมาะแก่การอบให้หนังเป็ดค่อย ๆ กลายเป็นสีทองแดงและผิวกรอบนุ่มในชั้นเดียวกัน


เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง น้ำซุปในหม้อใหญ่ก็เคี่ยวจนได้กลิ่นหอมหวานจากกระดูกผสมกลิ่นขิงและเห็ดหอม หลินหยาก้าวเข้ามาชิมน้ำซุปด้วยทัพพีไม้ ปรุงรสด้วยเกลือและเหล้าเหลืองเพียงเล็กน้อยให้กลมกล่อม ตบท้ายด้วยการใส่เก๋ากี้ในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อคงรสหวานธรรมชาติ ก่อนจะตักน้ำซุปใส่หม้อดินแยกไว้ให้อุ่น ๆ กลิ่นหอมที่ลอยออกมาเรียกได้ว่าหากมีใครเดินผ่านคงต้องหยุดชะงักมอง พลางเผลอกลืนน้ำลายอย่างห้ามไม่ได้ เพราะทั้งกลิ่นหวานของซุปและกลิ่นหนังเป็ดที่กำลังอบ มันผสมกันกลายเป็นกลิ่นที่เย้ายวนให้ท้องร้องไม่รู้ตัวเลยทีเดียว


ตอนที่หลินหยาลองชิมดูดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนก็เบิกกว้างจากรสชาติของมัน “โอ้ววว น้ำซุปเสร็จแล้ว ความจริงเอาไปกินกันหมั่นโถวยังอร่อยเลยนะเนี้ย” เอ่ยชมฝีมือตัวเองด้วยแหนะ


กลิ่นหอมของน้ำผึ้งซ่อนกลิ่นผสมกับกลิ่นหนังเป็ดที่เริ่มส่งเสียงแตกดังเบา ๆ ดังมาพร้อมกับไอร้อนที่โอบล้อมร่างของหลินหยาราวกับหมอกบาง เธอคอยจับเวลาอย่างแม่นยำ แขวนเป็ดให้ความร้อนล้อมรอบจนไขมันใต้ผิวค่อย ๆ ละลายออกมาเป็นหยดเงาวับ ทาน้ำผึ้งซ่อนกลิ่นซ้ำลงบนผิวทุก ๆ 10-15 นาทีอย่างพิถีพิถัน ปลายนิ้วเรียวแตะขนนกพู่บางเบา ลากเคลือบผิวเป็ดให้เป็นประกายราวทองคำละลาย พอครบครั้งที่สองก็ลดไฟลงเป็นไฟอ่อนให้ความร้อนซึมลึกเข้าเนื้อ ค่อย ๆ ย่างต่ออีก 20 นาทีจนผิวหนังกลายเป็นสีทองอำพันสวยสมบูรณ์แบบ กลิ่นหอมลึกอุ่น ๆ ลอยคลุ้งเข้าจมูกจนสารถีที่นั่งรออยู่ข้างกองไฟต้องกลืนน้ำลายเงียบ ๆ


ระหว่างที่เป็ดย่างสุกอย่างช้า ๆ หลินหยาก็จัดการหยิบผักเครื่องเคียงขึ้นมาอย่างละเมียดละไม ผักปอไช่ใบสดเขียวจัดถูกล้างสะอาดแล้วหั่นเป็นท่อนพอดีคำ เห็ดหอมสดเนื้อแน่นและเกาลัดที่ผ่านการกะเทาะเปลือกถูกนำไปลวกอย่างรวดเร็วในหม้อน้ำเดือดเพียงพอให้คงสีและความกรอบ เธอจัดเรียงไว้ในกระชอนให้สะเด็ดน้ำก่อนจะหันไปตั้งกระทะใบบางบนเตาถ่าน ใส่เจี้ยงโหยวลงไปพร้อมน้ำผึ้งแท้และงาขาว คั่วจนกลิ่นหอมกรุ่นแล้วเคี่ยวให้ข้นได้ที่ 


กลายเป็นซอสเนื้อนวลสีน้ำตาลทองที่มีกลิ่นหวานอมเค็มปนกลิ่นงาอ่อน ๆ พอเครื่องเคียงพร้อม เธอก็ตักซอสอุ่น ๆ ราดคลุมจนทั่วให้ซึมซาบเข้าเนื้อผักและเกาลัดเหมือนผ้าคลุมหอมหวาน เคลือบผิวจนแวววาวเหมือนอัญมณีในจานเตรียมรอเสิร์ฟเคียงคู่เป็ดย่างอย่างงดงาม


“เสร็จสักกะที จะได้กินแล้วล่ะ” หลินหยาเอ่ยขึ้นมาก่อนที่จะระบายยิ้ม เพราะไม่มีคนมาบ่นใกล้ ๆ นางเลยไม่ได้พูดอะไรกับใครเลยแฮะ 


เมื่อถึงขั้นตอนสุดท้าย หลินหยาก็ยกถาดไม้เนื้อหนาที่รองด้วยผ้าฝ้ายสะอาดมาวางบนโต๊ะ ใบมีดสั้นคมกริบถูกจัดเตรียมไว้เคียงข้าง ร่างเป็ดที่ผ่านการย่างจนผิวทองอำพันสุกสว่างส่งกลิ่นหอมหวานผสมกลิ่นควันเตาถ่านลอยอบอวลไปทั่วห้องครัว นางใช้ตะหลิวทองเหลืองยกเป็ดทั้งตัวจากตะแกรงวางลงบนจานที่เพิ่งอุ่นด้วยไอน้ำจนร้อนพอประมาณ 


จากนั้นจึงค่อย ๆ ราดซอสเคลือบเงาสีเข้มที่เพิ่งเคี่ยวจนข้นเงาให้ไหลเคลือบผิวหนังทุกส่วน เสียงน้ำซอสกระทบผิวเป็ดดังแผ่วแต่ชวนให้รู้สึกได้ถึงความฉ่ำและนุ่มของเนื้อภายใน เครื่องเคียงที่เตรียมไว้อย่างพิถีพิถันถูกจัดวางรอบตัวเป็ดราวกับภาพวาด ผักปอไช่สีเขียวสดเรียงเป็นฐานวงกลม เห็ดหอมที่บั้งอย่างประณีตวางแซมเป็นจังหวะ เกาลัดสีทองอ่อนวางเป็นจุดเน้นให้น่ามอง ผิวมันเงาจากน้ำซอสที่เคลือบทำให้ทุกอย่างดูมีชีวิตและมีกลิ่นหอมลึกยิ่งขึ้น


ข้างจานหลัก นางจัดวางถ้วยน้ำซุปใสที่ต้มจากโครงเป็ดและกระดูกคอใส่ขิงอ่อนกับต้นหอม เคี่ยวจนได้รสหวานธรรมชาติของกระดูก น้ำซุปนั้นใสสะอาดราวกับอำพันเจือทอง ส่งกลิ่นหอมเย็นและชวนซดอุ่นคอ


 หลินหยาจัดทุกอย่างลงบนถาดไม้ด้วยมืออันมั่นคงก่อนจะยกขึ้นด้วยท่วงท่าสง่างาม เดินออกจากโซนครังไปยังด้านนอกที่คุณสารภีกำลังนั่งรออยู่ นางวางถาดลงตรงหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อน พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสอย่างภาคภูมิ "อาหารเสร็จแล้วเจ้าค่ะ สูตรนี้เป็นของเพื่อนข้าที่วังหลวงเอง รับรองไม่มีใครทำได้เหมือน" เสี้ยวตาที่แฝงความซุกซนและความมั่นใจทำให้คำพูดนั้นมีทั้งเสน่ห์และน้ำหนัก จนแม้เพียงได้กลิ่นก็เหมือนหัวใจถูกเชื้อเชิญให้ลิ้มรสทันที


หลังจากมื้ออาหารอันอิ่มหนำ เสียงเก็บล้างภาชนะก็ค่อย ๆ เงียบลง เหลือเพียงกลิ่นหอมอบอวลของซอสเคลือบเป็ดที่ยังลอยอยู่ในอากาศ หลินหยาจัดเก็บอุปกรณ์อย่างคล่องแคล่ว มือบางเช็ดเศษซอสที่ติดคมมีดอย่างประณีต ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมสีอ่อนมาสวมให้มิดชิด 


เธอเงยหน้ามองฟ้าบ่ายที่เมฆขาวเคลื่อนตัวช้า ๆ ราวจะบอกว่าหนทางยังยาวไกล ข้างกายมีคุณสารถีซึ่งกำลังตรวจเช็กล้อเกวียนและบังเหียนม้าอย่างละเอียด เมื่อทุกอย่างพร้อม ทั้งคู่ก็ออกเดินทางจากที่พัก เสียงกีบม้ากระทบพื้นถนนกรวดดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ


ลมเย็นจากทุ่งหญ้ากว้างพัดปะทะใบหน้า กลิ่นดินแห้งปนหอมหวานของดอกหญ้าป่าทำให้บรรยากาศระหว่างทางดูมีชีวิตชีวา สองฟากถนนเป็นแปลงนาข้าวสลับกับไร่ข้าวฟ่างที่เหลืองอร่าม ปลายยอดไหวเอนตามแรงลม ราวกับค้อมศีรษะส่งผู้เดินทาง สารถีเลี้ยวม้าไปตามเส้นทางสายหลัก มุ่งหน้าสู่เมืองหานตานแห่งมณฑลจี้โจว ถนนที่ทอดยาวเบื้องหน้าดูไร้จุดสิ้นสุด แต่ในสายตาของหลินหยา มันคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยเรื่องราวใหม่ ๆ และความท้าทายที่รออยู่


บางคราวพวกเขาผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันอยู่ริมรั้วไม้ไผ่ หญิงชรานั่งคัดเมล็ดถั่วอยู่หน้าบ้าน เสียงหัวเราะและกลิ่นควันฟืนลอยมาแตะจมูก ชวนให้รู้สึกอบอุ่นใจ หลินหยายกชายเสื้อขึ้นเล็กน้อยเพื่อลดฝุ่นจากถนน มือบางวางบนตักอย่างเรียบร้อย พลางทอดสายตามองทิวเขาไกลลิบที่เริ่มปรากฏเส้นสีน้ำเงินจาง ๆ ราวกับกำลังเรียกให้พวกเขาเข้าใกล้ทีละน้อย


ยามบ่ายคล้อยลง แสงแดดอุ่นนวลสาดลอดช่องใบไม้ของต้นสนใหญ่ข้างทางเป็นริ้วทอง เกวียนยังคงเคลื่อนตัวไปอย่างมั่นคงใต้เงาไม้ และแม้จะเหลือระยะทางอีกหลายลี้กว่าจะถึงหานตาน แต่ความสงบในยามเดินทางเช่นนี้กลับทำให้หัวใจของหลินหยารู้สึกเบาสบายอย่างน่าประหลาด



เป็ดย่านน้ำผึ้งซ่อนกลิ่น เป็ดอูยาตัวอวบ หนังเรียบเป็นเงา เนื้อในสุกพอดี มีกลิ่นน้ำผึ้งซ่อนกลิ่นจากดอกเก๊กฮวยสอดแทรกอยู่ในทุกชั้นของเนื้อ เสิร์ฟทั้งตัวบนจานหยกแกะสลักลายเมฆมงคล ราดน้ำซอสเคลือบประกายทองบาง ๆ ให้ผิวฉ่ำ และเคียงด้วยน้ำซุปต้มโครงเป็ดใส รสละเมียดอุ่นคอ กับผักราดซอสสูตรพิเศษของเสี่ยวจ้าวจื่อ ช่วยเปิดรับรสหวานมันของเนื้อเป็ดดึงรสชาติอันหวานหอมชุ่มลิ้นชวนให้ลิ้มลอง



วัตถุดิบของเป็ดย่างน้ำผึ้งซ่อนกลิ่น

 

ส่วนของ ตัวเป็ด

เนื้อเป็ดอูยา, น้ำสะอาด

ส่วนของ ของหมัก

เกลือ, น้ำตาล, เหล้าเหลือง, เจี้ยงโหยว, โป๊ยกั๊ก, อบเชย, พริกไทย, รากบัว, ต้นหอม, ขิง

ส่วนของ น้ำผึ้งซ่อนกลิ่น

น้ำผึ้ง, ดอกเบญจมาศ, น้่ำส้มสายชู, น้ำสะอาด

ส่วนของ เครื่องเคียง

ผักปอไช่, เห็ดหอม, เกาลัด, เจี้ยงโหยว, งา, น้ำผึ้ง, น้ำสะอาด
ส่วนของ น้ำซุปต้มโครงเป็ด

โครงเป็ด, เนื้อสัตว์, เก๋ากี้, ขิง, เห็ดหอม, เกลือ, เหล้าเหลือง, ผงแห้ง


ขั้นตอนที่ 1 เตรียมเป็ด

ล้างเป็ดให้สะอาด ซับให้แห้ง ลวกผิวหนังด้วยน้ำเดือดให้หนังตึงสวยงาม

ผสมเครื่องหมักทั้งหมด คลุกเคล้าด้านในตัวเป็ดให้ทั่ว และทาบาง ๆ ด้านนอก ยัดใส่ในท้องเป็ดจากนั้นเย็บปิดอย่าให้ออกมา

แขวนในที่ลมเย็นโกรก 8 ชั่วโมง ให้รสซึม


ขั้นตอนที่ 2 ผสมน้ำผึ้งซ่อนกลิ่น

ผสมน้ำผึ้ง น้ำดอกเก็กฮวย น้ำส้มสายชู น้ำสะอาดให้เข้ากันเรียบร้อยเตรียมไว้

ระหว่างแขวนเป็ดทาน้ำผึ้งเคลือบตัวเป็ดทาบาง ๆ ทั่วตัว พักให้แห้งแล้วทำซ้ำ 3 ครั้งเพื่อให้ผิวเงางาม


ขั้นตอนที่ 3 เตรียมเครื่องเคียง

นำผักเครื่องเคียงได้แก่ ผักปอไช่ เห็ดหอม เกาลัด ลวก

เคี่ยว เจี้ยงโหยว น้ำผึ้ง งา เข้ากันทำเป็นน้ำซอส สำหรับราดเครื่องเคียงและเคลือบ


ขั้นตอนที่ 4 เตรียมน้ำซุปโครงเป็ด

ล้างโครงเป็ดและกระดูกหมูให้สะอาด ลวกน้ำเดือด 2-3 นาทีเพื่อดับกลิ่นคาวและล้างฟองเลือดออกให้สะอาด

ใส่โครงเป็ดและกระดูกหมูในหม้อต้ม เติมน้ำ 2.5 ลิตร ใส่ ขิง หัวหอม เห็ดหอม ผงแห้ง

ต้มด้วยไฟกลางจนเดือด ลดเป็นไฟอ่อน เคี่ยว 1.5 – 2 ชั่วโมง คอยช้อนฟองออกเพื่อให้น้ำใส ห้ามคนเด็ดขาด

ปรุงรสด้วยเกลือและเหล้าเหลือง เก๋ากี้ใส่ขั้นตอนสุดท้าย


ขั้นตอนที่ 5 ย่าง

อุ่นเตาอบหรือเตาเผาที่อุณหภูมิสูงเตรียมไว้ก่อนเป็นการวอร์มเตา

แขวนเป็ดให้ความร้อนล้อมรอบย่าง 40 นาที แล้วทาน้ำผึ้งซ่อนกลิ่นซ้ำทุก ๆ 10-15 นาที 2 ครั้ง

ลดไปลงไฟเป็นไฟอ่อนย่างต่ออีก 20 นาทีจนผิวหนังเป็นสีทองอำพันมีกลิ่นหอมลึก


ขั้นตอนที่ 6 จัดเสิร์ฟ

วางเป็ดทั้งตัวที่ย่างเสร็จแล้วบนจานหยกที่อุ่นแล้วเล็กน้อย

ราดซอสเคลือบเงาให้ทั่ว

จัดเครื่องเคียงรอบตัวเป็ดให้เป็นลวดลายตามชอบ

เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปใสต้มโครงเป็ดร้อน ๆ ในถ้วย



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เมนูสุดท้ายมาแล้วโวย้ย้ย้ดยเด ทำไมมันทำยากอย่างงี้ 555555

รางวัล: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 92730 ไบต์และได้รับ 72 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-13 15:49
โพสต์ 92,730 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-13 15:49
โพสต์ 92,730 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-13 15:49
โพสต์ 92,730 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-13 15:49
โพสต์ 92,730 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-13 15:49
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-14 13:41:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-14 17:12

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 14 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเฉิน เมืองหานตาน มณฑลจี้โจว - ยามไห่ ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋น เมืองหานตาน มณฑลจี้โจว จักรวรรดิต้าฮั่น

Part.1 ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋น


เมื่อรถม้าค่อย ๆ ชะลอตัวและหยุดลง ณ ท่ารถม้าของเมืองหานตาน เสียงกีบม้าสะท้อนก้องบนพื้นศิลาที่เย็นชื้นจากหมอกยามเฉิน กลิ่นอายของเมืองในยามเช้าตรู่ลอยปะปนระหว่างไอหมอกและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของขนมอบที่เพิ่งยกจากเตาในร้านเล็ก ๆ ริมถนน หลินหยาก้าวลงจากรถม้าอย่างนุ่มนวล ปลายชุดคลุมยาวสีอ่อนลากสัมผัสกับผืนหินเย็น ๆ ดวงตาเธอมองไปรอบท่า เห็นพ่อค้าแม่ค้าบางรายเริ่มตั้งแผงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่ เสียงไม้เคาะถังน้ำแข็งและเสียงคนเรียกลูกค้าแผ่วเบาเป็นฉากหลังที่บอกให้รู้ว่าเมืองนี้เริ่มตื่นขึ้นแล้ว


นางหันกลับไปมองคุณสารถีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คนบังคับม้า ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มเล็ก ๆ แฝงความเหนื่อยล้าจากการเดินทางยาวนานตลอดทั้งคืน หลินหยาหยิบถุงเงินออกมาจากอกเสื้ออย่างเรียบร้อย น้ำหนักของมันพอให้รู้ได้ว่าข้างในมีจำนวนพอเหมาะ เธอยื่นให้เขาด้วยสองมือ พลางเอ่ยเสียงอ่อนนุ่ม “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ที่มาส่งข้าจนถึงที่หมายทั้งที่ต้องเดินทางตลอดคืน” แววตาของนางเปี่ยมด้วยความจริงใจ ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูตามมารยาท


คุณสารถีรับถุงเงินด้วยท่าทางนอบน้อม พยักหน้าให้ด้วยแววตายินดี “เป็นเกียรติของข้าขอรับ แม่นางเดินทางต่อโดยปลอดภัยเถิด” เขากล่าวพลางขยับหมวกฟางลงเล็กน้อยเป็นการเคารพ หลินหยาจึงเอียงศีรษะให้เล็กน้อยแทนคำลา ก่อนจะหมุนกายจากไป


เส้นผมที่รวบสูงพลิ้วเบาในลมเช้า ฝีเท้าของนางก้าวเข้าสู่ถนนหลักของเมืองหานตาน เสียงชีวิตของผู้คนเริ่มดังชัดขึ้นตามลำดับ ไกลออกไปคือประตูเมืองสูงใหญ่ตั้งตระหง่านท่ามกลางหมอกบาง ภายในใจของหลินหยาแม้ยังเหนื่อยจากการเดินทาง แต่แววตากลับฉายประกายมุ่งมั่น ราวกับรู้ดีว่าก้าวต่อไปของนางในเมืองนี้ จะนำพาเรื่องราวที่นางอาจจะต้องคิดหนักกว่าที่เคยเป็น


หลินหยาก้าวเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงลานสวนกลางเมืองที่ปกคลุมด้วยหมอกจางของยามเช้า กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากดอกเหมยที่ปลิวตามลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงทำให้รู้สึกได้ถึงความเงียบสงบของเมืองหานตานในชั่วโมงนี้ นางหยุดลงตรงริมบ่อน้ำที่ทำเป็นศาลาเล็ก ๆ สำหรับชาวเมืองมาพักและตักน้ำใช้ หยิบกระบอกน้ำไม้ไผ่ซึ่งพกติดตัวมาตลอดการเดินทางออกมา เปิดฝาแล้วตักน้ำเย็นจัดจากบ่อขึ้นมาล้างหน้าจนความง่วงงุนหายไปชั่วขณะ รสสัมผัสเย็นเฉียบทำให้หัวใจเต้นกระชับขึ้นเหมือนได้เริ่มวันใหม่อีกครั้ง


จากนั้นนางก็หยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดฟันแบบบ้าน ๆ ที่พกไว้ เป็นเพียงไม้เนื้ออ่อนขัดปลายให้เป็นเส้นฝอย แล้วค่อย ๆ แปรงฟันไปพลางถอนหายใจเบา ๆ 


“ขอโทษนะ… ข้าคงต้องหาทางประดิษฐ์แปรงฟันที่มันดี ๆ สักครั้งแล้วจริง ๆ เกิดเป็นคนในยุคก่อนนี่ลำบากอะไรอย่างนี้” หลินหยาพึมพำเสียงเบา พลางคิดถึงความสะดวกสบายของยุคที่มี “คอลเก็ต” อยู่ทุกบ้าน ก่อนหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ ในความคิดตลกร้ายของตัวเอง ราวกับเป็นการแอบบ่นให้กับโลกนี้ที่นางต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป


เมื่อจัดการตัวเองจนรู้สึกสดชื่น หลินหยาก็สะพายสัมภาระกลับขึ้นบ่า เป้าหมายของนางวันนี้คือ “ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋น” ที่อยู่ห่างออกไปนอกเมือง เป็นที่ที่จางกงกงอาจจะอยู่… หรืออาจจะจากไปแล้วก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ต้องไปให้ถึง เพราะที่นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งสำคัญในเส้นทางต่อไปของนาง


แสงแดดยามเช้าเริ่มโปรยอุ่นลงบนถนนหินเรียงของเมืองหานตาน เสียงตะโกนขายของดังระงมปนกับกลิ่นหอมของอาหารนานาชนิดที่ลอยมากับลม หลินหยาก้าวไปเรื่อย ๆ ด้วยสีหน้าสดชื่นเพราะเพิ่งทำธุระยามเช้าเสร็จ มือหนึ่งกุมถุงเงิน อีกมือซุกไว้ในแขนเสื้ออย่างเคยชิน พลางกวาดสายตาหาสิ่งที่ถูกปากที่สุดในยามเช้า


ตลอดสองข้างทาง เต็มไปด้วยแผงขายอาหารเช้าของชาวเมือง ทั้งเกี๊ยวน้ำไอน้ำฉุยฉายอยู่ในหวดไม้ไผ่ เสี่ยวหลงเปาไส้หมูปรุงรสกลิ่นโชยมายั่วน้ำลาย ข้างกันมีบ๊ะจ่างสามเหลี่ยมห่อใบไผ่ผูกเชือกป่านแน่นหนา บางห่อผสมหมูเค็ม บางห่อมีไข่แดงเค็มมันเยิ้ม ใกล้ ๆ กันยังมีขนมฮวาจวนที่เพิ่งอบเสร็จ กลิ่นแป้งหอมผสมงาคั่วแตะจมูกอย่างน่าลอง ส่วนคนขายขนมถั่วแดงก็เรียกลูกค้าด้วยเสียงแจ่มใส พร้อมตักไส้ถั่วเนียน ๆ ลงในแป้งร้อน ๆ ให้ดู


ในตรอกเล็กอีกฝั่ง กลิ่นหอมของน้ำเต้าหู้และโย่วเถียวร้อน ๆ ลอยมาเตะจมูกจนท้องร้องประท้วง หลินหยานึกอยากลิ้มชิม แต่ทันใดนั้นก็นึกถึงความแพ้ถั่วเหลืองขั้นรุนแรงของตัวเอง เลยจำต้องเบือนหน้าหนีด้วยความเสียดาย ทว่าก็ยังมีหมี่ซั่วในน้ำซุปกระดูกหมูใสกลิ่นหอมเข้มข้นวางเรียงในชามใหญ่ ๆ ให้เลือก โรยหน้าด้วยต้นหอมซอยและผักดองสีเขียวสด ชวนให้กินคู่กับชาอู่หลงร้อน ๆ สักจอก


สายตาของหลินหยาหยุดอยู่ที่แผงขายผลไม้ตัดแต่ง ส้มจี๊ดสีส้มทองวางเรียงเป็นพุ่ม พวงองุ่นม่วงเข้มและลูกพีชขาวผลกลมขนาดพอดีมือถูกจัดในกระจาดไม้ไผ่ บางผลยังมีน้ำค้างเกาะนิด ๆ เพราะเพิ่งเอามาจากสวนเช้าตรู่ นางยกมือลูบคางคิดว่าจะซื้อกลับไปแทะเล่นระหว่างเดินดี หรือจะนั่งแวะที่ศาลาในสวนสาธารณะแล้วค่อยกินช้า ๆ ให้สมกับเช้านี้ที่อากาศดีเป็นพิเศษ


หลินหยามองน้ำเต้าหู้ที่วางอยู่บนแผงไม้ไผ่ตรงหน้า กลิ่นหอมอุ่นปนถั่วลอยมาแตะจมูก แม้จะเป็นเพียงกลิ่นบาง ๆ แต่ก็ทำให้ใจนางไหววูบมันชวนให้นึกถึงน้ำเต้าหู้ร้อน ๆ จากร้านอันเล่อจ้วนในฉางอันของท่านหลิวอันในทุกเวลาของยามอู่ที่นางจะไปที่้รานของเขา ภาพนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำอย่างชัดเจน ริมฝีปากนางเผลอยกยิ้มเพียงนิด ก่อนที่รอยยิ้มจะเลือนหายไปแทนที่ด้วยแววคิดถึง 


หวังว่าท่านจะสบายดีนะเจ้าคะท่านหลิวอัน…ไม่รู้ว่าตอนนี้หรงเล่อจะทำอะไรอยู่บ้างในตอนนี้


นางพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ไล่ความรู้สึกหนักอึ้งในอก ก่อนจะเบนสายตาออกไปอีกทาง เดินทอดน่องเข้าสู่แถวร้านอาหารเช้าที่ตั้งเรียงรายสองข้างถนนหานตาน เสียงคนตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นหอมของแป้งและเนื้อหมูที่นึ่งจนสุกลอยมาตามลมทำให้ท้องร้องเบา ๆ หลินหยาหยุดมองร้านเกี๊ยวน้ำที่ตั้งหม้อน้ำซุปใสใหญ่โตเดือดปุด ๆ พร้อมกับแผ่นแป้งบาง ๆ ที่ห่อไส้หมูสับผสมต้นหอมแล้วลอยอยู่ในน้ำซุปใสที่โรยด้วยผักชีเล็กน้อย นางจึงสั่งเกี๊ยวน้ำร้อน ๆ หนึ่งถ้วยให้ร่างกายได้อุ่นขึ้น


ถัดไปนางแวะร้านเสี่ยวหลงเปาไส้หมู กลิ่นน้ำซุปเข้มข้นที่ซ่อนอยู่ในแป้งบางเรียกน้ำลายจนต้องซื้อใส่ห่อเล็ก ๆ ไว้กินระหว่างเดินทาง ไม่ลืมแวะซื้อขนมฮวาจวนเนื้อนุ่มฟูที่เพิ่งออกจากเตา หอมแป้งผสมน้ำผึ้งและงาขาวยั่วใจอย่างยิ่ง จากนั้นนางเดินต่อไปยังร้านหมี่ซั่วในน้ำซุปกระดูกหมูที่เคี่ยวจนหอมหวาน ซดร้อน ๆ เค็มละมุนกำลังดี ยิ่งช่วยให้ความเย็นยามเช้าคลายลง


เมื่ออิ่มจากอาหารคาวแล้ว หลินหยาก็ไม่ลืมแวะร้านผลไม้สดในตลาดเช้า เลือกส้มจี๊ดผิวเหลืองทองขนาดพอดีคำที่รสเปรี้ยวซ่อนหวานจนลิ้นชุ่มฉ่ำ พวงองุ่นสีม่วงเข้มลูกกลมแน่นที่กัดแล้วน้ำหวานทะลัก และลูกพีชผิวกำมะหยี่สีชมพูอมส้มที่เพียงบีบเบา ๆ ก็ได้กลิ่นหอมหวานลอยขึ้นมา ของเหล่านี้ล้วนเป็นของโปรด และยิ่งเป็นผลไม้รสเปรี้ยวหวานฉ่ำน้ำ นางก็ยิ่งหลงรักเป็นพิเศษ ทั้งหมดถูกใส่ลงตะกร้าหวายเล็กในมือ พร้อมสำหรับการเดินทางต่อในวันนี้ด้วยหัวใจที่อิ่มทั้งอาหารและความคิดถึงที่ยังไม่เลือนหาย


หลินหยานั่งลงบนม้านั่งไม้ใต้ร่มเงาศาลาพักระหว่างทาง ปล่อยให้สายลมยามเช้าพัดกลิ่นซุปกระดูกหมูอุ่น ๆ และแป้งนุ่มของเสี่ยวหลงเปาลอยคลุ้งอยู่รอบตัว นางค่อย ๆ ลิ้มรสเกี๊ยวน้ำทีละคำ น้ำซุปร้อนใสซึมผ่านลิ้นเข้ากับกลิ่นกระดูกหมูต้มเคี่ยวนานจนหวานนุ่มตามธรรมชาติ เสี่ยวหลงเปาไส้หมูเนื้อแน่นผสานน้ำซุปข้างใน เมื่อกัดให้ระวังน้ำซุปพุ่งร้อน ๆ จนต้องซู้ดด้วยความพึงใจ ขนมฮวาจวนที่ฟูเนียนหอมแป้งก็ช่วยตัดรสพอดี


เมื่อจัดการของคาวหมดแล้ว หลินหยาจึงหยิบพวงองุ่นสีม่วงเข้มขึ้นมา เม็ดอวบแน่นแวววาวเหมือนเม็ดมุกสีม่วง กลิ่นหอมหวานบางเบา ก่อนจะกัดให้เปลือกแตก เผยรสเปรี้ยวหวานฉ่ำที่ไหลซึมไปทั่วปาก นางกินอย่างละเมียดละไมทีละเม็ดจนหมดพวง วางก้านลงข้างจานแล้วเอื้อมมือหยิบส้มจี๊ดมาคลึงเบา ๆ ปล่อยกลิ่นซิตรัสสดชื่นลอยออกมา ก่อนจะกัดคำเล็ก ๆ ให้รสเปรี้ยวจัดแตะปลายลิ้น ตัดด้วยความหวานอ่อน ๆ ในเนื้อ ระหว่างที่เคี้ยวผลไม้ หลินหยาก็ทอดสายตามองถนนสายหลักของเมืองหานตานที่ค่อย ๆ ตื่นเต็มตา 


เสียงพ่อค้าแม่ค้าเรียกลูกค้าแข่งกับเสียงล้อเกวียนและเกือกม้าที่กระทบพื้นหิน เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นในตรอกข้างทางผสานเข้ากับกลิ่นขนมและเครื่องเทศจากแผงขายของ รอบตัวมีนักเดินทางจากหลายถิ่น ทั้งชาวบ้านในเมือง ชาวชนบทจากรอบนอก และพ่อค้าต่างเมือง


นางเอนหลังเล็กน้อย ถอนหายใจยาวด้วยความคิดถึงไกลถึงฉางอัน “ท่านหลิวอัน..หรงเล่อ ท่านเถียนเฟิง…เสี่ยวจ้าวจื่อ…แล้วก็ทุกคน” ชื่อเหล่านั้นวาบขึ้นมาในหัวโดยไม่ตั้งใจ ก่อนที่นางจะสลัดความคิดนั้นออก หันกลับมาพิจารณาแผนต่อไป


จากนิมิตที่เคยเห็นในหมู่บ้านน้ำค้างพราย นางมั่นใจว่าศาลเจ้าจิ้งอวิ๋นไม่อาจอยู่กลางเมืองแน่ สถาปัตยกรรมและบรรยากาศในภาพที่เห็นไม่มีร่องรอยของตลาดคึกคักหรือบ้านเรือนเรียงราย หากแต่มีหมอกบางปกคลุม เสียงลมพัดผ่าน และภูมิประเทศที่เหมือนอยู่สูงขึ้นไป


หลินหยามองแนวภูเขาที่ทอดตัวยาวโอบเมืองหานตานไว้ครึ่งวง กลางหุบเขามีเงาเรือนศาลาทอดอยู่รำไร แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องกระทบให้ดูคล้ายหมอกสีทองลอยระบาย นางขมวดคิ้วเล็กน้อยในความสงสัย “อาจจะเป็นที่นั่นหรือไม่กันนะ?” ศาลเจ้าที่นางตามหาอาจอยู่บนภูเขาลูกใดลูกหนึ่งรอบเมือง คงต้องหาคนในพื้นที่สอบถามให้แน่ชัดก่อนที่จะตัดสินใจเดินทางขึ้นไป พลางลุกขึ้นกะว่าจะออกจากศาลา


น้ำเสียงของนางในใจแผ่วลง แต่แฝงความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม ขณะวางลูกพีชลูกสุดท้ายลงในตะกร้าไม้ไผ่ เตรียมลุกออกจากศาลาพัก เพื่อเริ่มต้นค้นหาคำตอบของศาลเจ้าลึกลับแห่งนั้นให้จงได้


หลินหยาเผลอเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพราะแรงกระแทกจากคนแปลกหน้าที่เดินสวนเข้ามา กลิ่นหอมของหมึกจีนและผ้าสะอาดลอยมาแตะจมูกเพียงชั่ววูบก่อนที่ร่างของนางจะเสียหลักโอนเอนไปด้านข้างจนเซลงเกือบจะล้มเต็มแรงเสียงกระทบเบา ๆ ดัง “ปึก!”


“โอ๊ะ…!” หลินหยาร้องในลำคอ พลันใช้ปลายเท้าถอยครึ่งก้าวเพื่อประคองตัว แต่เพราะส่วนสูงและแรงที่อีกฝ่ายใช้เดินมากพอสมควร นางจึงเสียสมดุลไปนิดจนเข่าแทบจะกระแทกพื้น ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วลูบแขนตัวเอง “โอ๊ย… เจ็บอะไรเนี้ย” น้ำเสียงบ่นงึมงำแต่ก็ยังมีความหงุดหงิดเจืออยู่ 


บุรุษร่างสูงที่ชนเธอรีบก้าวมาข้างหน้า ดวงตาสีเข้มเบิกเล็กน้อยด้วยความตกใจ “ขออภัย! ข้าขออภัยจริง ๆ แม่นาง ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เสียงทุ้มฟังดูจริงใจ เขายื่นมือมาพยุงนางทันที แต่หลินหยายกฝ่ามือปัด ๆ เหมือนจะบอกว่าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เบา ๆ พร้อมถอนหายใจ


“ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ… ข้าลุกเองได้” น้ำเสียงเด็ดขาดแต่ไม่แข็งกร้าวนัก นางยันตัวขึ้นอย่างสง่างามตามนิสัย มัดผมที่หลุดลู่จากแรงชนกลับไปไว้หลังหู ก่อนเงยหน้ามองคนตรงหน้าเต็ม ๆ บุรุษผู้นั้นดูเหมือนจะยังรู้สึกผิด เขาก้าวถอยครึ่งก้าวเพื่อเว้นระยะ พลางเอ่ยอีกครั้ง “ข้าไม่ทันมองทาง… ไม่ทราบว่าแม่นางเจ็บตรงไหนหรือไม่?” คนรอบ ๆ ศาลาที่พึ่งจะเงียบ กลับมีสายตาสองสามคู่เหลือบมองเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ เสียงลมพัดผ่านต้นสนด้านข้างทำให้บรรยากาศไม่อึดอัดเกินไป แต่แฝงด้วยความสงสัยว่า ชายผู้นี้เป็นใคร จากเครื่องแต่งกายที่ดูสะอาดเรียบร้อยแต่ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา


ลมยามบ่ายพัดเอื่อยเหนือถนนหินกรวดกลางเมืองหานตาน เสียงฝีเท้าผู้คนแทรกปนกับเสียงรถลากเคลื่อนช้า ๆ เมื่อร่างสูงของบุรุษผู้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าโทนพื้นเมืองที่ดูดีกว่าที่เคยผ้าฝ้ายสีหม่นตัดด้วยแถบปักลายเมฆ เขาหยุดชะงักมองหญิงสาวร่างเล็กตรงหน้า เขารีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจต่อจากที่ถามว่านางเจ็บหรือไม่ “ข้าขออภัยแม่นาง ข้ามิได้มองให้รอบคอบ”

หลินหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะคลายออกเป็นรอยยิ้มบาง แววตานางฉายแววอ่อนโยน “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ข้าต่างหากที่ควรขออภัย พอดีกำลังคิดอะไรเพลิน อีกอย่างตัวข้าเล็ก หากท่านมองไม่เห็นก็มิใช่เรื่องแปลก” คำพูดของนางแฝงความเป็นกันเองจนอีกฝ่ายผ่อนลมหายใจโล่งขึ้น สายตาหลินหยากวาดมองการแต่งกายของเขาแล้วเอ่ยถาม “ท่านเป็นชาวหานตานหรือไม่เจ้าคะ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “ใช่ขอรับ ข้าเกิดและเติบโตที่นี่”


รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปากของนาง “บังเอิญดีนักเจ้าค่ะ ดีเลย ข้ากำลังอยากได้คนช่วยเหลือพอดี ข้ามีคำถามเกี่ยวกับเมืองนี้น่ะเจ้าค่ะ” นางหยุดเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ท่านพอรู้หรือไม่ว่า ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋นตั้งอยู่ที่ใด?”


ชายหนุ่มนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “ศาลเจ้านั้นอยู่บนเนินสูงนอกเมือง ทุกยามพลบค่ำจะได้ยินเสียงระฆังดังกังวานสะท้อนล่องมาตามลม” เขายกมือชี้ไปทางภูเขาลูกหนึ่งทางทิศตะวันตกของเมือง “อยู่ใกล้ภูเขาลูกนั้นขอรับ หากขึ้นไปที่ศาลเจ้าจะมองเห็นภาพเมืองทั้งเมืองได้ชัดเจน…แต่ก็ไม่ค่อยมีคนไปนัก เพราะว่าบางคราวจะมีปีศาจเร่ร่อน โดยเฉพาะในลำธารใกล้ ๆ นั้น มีปีศาจปลาชุกชุม” คำเตือนของเขาไม่ได้ทำให้บรรยากาศเคร่งเครียดนัก แต่แฝงด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่าพูดจากความจริงที่ได้ยินและพบเห็นมาด้วยตนเอง


ชายหนุ่มมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาฉายชัดถึงความสงสัยปนห่วงใย “แม่นาง…จะไปที่ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋นนั้นจริงหรือขอรับ?” เสียงทุ้มนั้นไม่ดังนัก แต่มีน้ำหนักพอให้รู้ว่าไม่ได้ถามเพียงเพราะมารยาท หากเป็นความห่วงจริงจังที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงและแววตา 


หลินหยาซึ่งยังคงระบายรอยยิ้มบาง ยกมือขึ้นจัดปอยผมที่หล่นเคลียแก้มก่อนตอบเสียงนุ่ม “เจ้าค่ะ ข้ามีธุระต้องไปที่นั่น” ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มเล็กน้อยอย่างไม่ให้ดูเป็นการท้าทายหรือข่มเขา แค่แสดงให้รู้ว่าความตั้งใจนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะถูกเปลี่ยนง่าย ๆ


ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คล้ายจะชั่งใจมองร่างบอบบางของนางแล้วถอนหายใจอย่างยอมรับไม่ได้เต็มปาก “ที่นั่น…อันตรายนะขอรับ แม่นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก จะไหวหรือ?” สายตาเขากวาดมองตั้งแต่ไหล่เล็กจรดเอวคอดราวกับประเมินว่าผู้หญิงเช่นนางจะฝ่าดงปีศาจปลาลำธารและทางขึ้นเขาที่ลือกันว่าอาถรรพ์ได้อย่างไร 


หลินหยาหัวเราะเบาในลำคอ ดวงตากลมใสทอประกายซุกซนและมั่นใจ “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าดูแลตัวเองได้” น้ำเสียงไม่ได้แข็งกร้าว หากแฝงความนุ่มนวลแต่หนักแน่นพอให้คนฟังรู้ว่าคำพูดนี้เป็นจริง “แม้ข้าจะตัวเล็ก…แต่ข้าเป็นแม่ค้า เดินทางค้าขายจากฉางอันมาถึงหานตานนี้ ก็จัดการกับปีศาจปลามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเจ้าค่ะ” นางก้าวเข้ามาใกล้เขาเพียงครึ่งก้าวให้เสียงของตนแผ่วเบาลงราวเล่าเรื่องลับ “บางตัวสูงยาวเท่าท่อนซุง แววตาคมดั่งเหล็กกล้า ข้าก็หั่นเป็นชิ้นเอาไปต้มซุปขายเยอะนักเจ้าค่ะ” คำพูดนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มมั่นใจจนชายหนุ่มถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง


เขามองหญิงสาวอย่างพิจารณาใหม่อีกครั้ง คล้ายจะเห็นว่าภายใต้ร่างเล็กบอบบางนั้นมีความแกร่งและประสบการณ์ที่ไม่อาจมองข้ามได้ แม้สีหน้าเขายังมีร่องรอยความห่วง แต่แววตาก็ปรับเปลี่ยนจากความลังเลเป็นความสนใจและยอมรับในความสามารถของนางมากขึ้น ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบา ๆ พลางส่ายศีรษะ "แม่นางพูดเสียจนข้าอยากไปดูด้วยตาตนเองแล้วสิ ว่าแม่ค้าตัวเล็กผู้นี้จะรับมือปีศาจปลาได้เช่นไร" เขาหรี่ตาเล็กน้อยเหมือนกำลังชั่งใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น


"แต่ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋นนั้น ขึ้นชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับ หากแม่นางจะไปจริง ๆ อย่าประมาท…ยามพลบเสียงระฆังอาจไม่ใช่เพียงลมที่พัดผ่าน" รอบข้างเริ่มมีเสียงพ่อค้าเร่ตะโกนขายของดังแทรก แต่ระหว่างทั้งคู่กลับเหมือนเงียบลงชั่วขณะ หลินหยามองตามทิศที่เขาชี้ไปเมื่อครู่ เห็นเงาภูเขาลูกนั้นตั้งตระหง่านอย่างสงบแต่แฝงความลี้ลับอยู่ในท้องฟ้าสีหม่น ราวกับกำลังเรียกใครสักคนให้เดินเข้าไปหาอย่างไม่อาจขัดขืน


ลมหนาวต้นฤดูใบไม้ร่วงพัดแทรกผ่านตรอกแคบของตลาดหานตาน กลิ่นหอมของเกาลัดคั่วและเนื้อย่างจากแผงลอยยังคงติดอยู่ปลายจมูก หลินหยาที่เพิ่งเอ่ยคำล่ำลากับชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ แววตาสะท้อนทั้งความมุ่งมั่นและความระมัดระวัง 


“เช่นนั้นข้าเข้าใจแล้ว ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ…ขอบคุณสำหรับคำเตือน ลาก่อนเจ้าค่ะท่านชาย” เสียงนางนุ่มนวล แต่มีความหนักแน่นซ่อนอยู่ ร่างบอบบางหมุนตัวก้าวออกจากตรอกหินปู เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังแผ่ว ๆ ประกอบจังหวะกับลมหายใจที่เป็นระเบียบ นางมุ่งหน้าไปทางประตูตะวันตกของเมืองหานตาน ผ่านเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังเก็บร้าน เสียงเคาะถังไม้และลากล้อเกวียนดังคลอไปกับเสียงตะโกนบอกลากันของผู้คน 


พลันเมื่อก้าวออกพ้นกำแพงเมือง เส้นทางสู่ภูเขาที่ตั้งศาลเจ้าจิ้งอวิ๋นก็ทอดยาวอยู่ตรงหน้า ท้องฟ้ายามเย็นเริ่มกลืนแสงอาทิตย์เป็นสีส้มหม่น เงาต้นสนและเมฆเลื่อนคล้อยเหนือยอดเขาสูงดุจม่านผ้าขนาดใหญ่ที่ค่อยปิดโลกลง


หลินหยาขยับชายผ้าคลุมให้แน่นขึ้น มืออีกข้างวางบนห่อผ้าซึ่งซ่อนของใช้จำเป็นและมีดสั้นสำหรับป้องกันตัว แม้หัวใจลึก ๆ จะมีคำถามว่าจะได้พบจางกงกงจริงหรือไม่ แต่ความตั้งใจกลับชัดเจน หากเขากำลังก่อเรื่องร้าย นางจะต้องหยุดเขาให้ได้ ย่างก้าวแต่ละก้าวบนถนนลูกรังชื้นเย็นคือการตอกย้ำสัญญาที่นางให้ไว้กับตนเอง ยิ่งเดินใกล้ภูเขา เสียงลมพัดก็เปลี่ยนเป็นเสียงหอนแผ่ว ๆ คล้ายมีสิ่งเฝ้ามองจากความมืดในดงไม้เบื้องหน้า และไม่ว่าที่นั่นจะรออะไรอยู่ หลินหยาก็ไม่มีวันหันหลังกลับ


สายลมเย็นพัดผ่านปลายเส้นผมของหลินหยา ขณะเธอก้าวเท้าข้ามโขดหินกลางลำธารเล็ก เสียงน้ำไหลกระทบหินฟังดูราวกับทำนองเบา ๆ แต่ทว่าไม่นานนัก คลื่นน้ำกลับพลันปั่นป่วนขึ้นราวมีสิ่งกวนตีน้ำอยู่เบื้องล่าง เงาร่างลึกลับโผล่พรวดจากผืนน้ำ เป็นปีศาจปลาเกล็ดมันวาว 4 ตัว ลำตัวบิดเกร็งส่งเสียงคำรามแหลมสูงอย่างน่าขนลุก และเพียงพริบตาเดียว อีกฝั่งฝั่งตลิ่งก็ปรากฏร่างสูงใหญ่ของปีศาจนักรบเป็ด 3 ตัว สวมเกราะเหล็กสีหม่น ดวงตากลมโตนั้นเต็มไปด้วยความกร้าวกราด พวกมันก้าวเท้าพร้อมชูอาวุธคล้ายง้าวปลายโค้ง เหมือนพร้อมจะพุ่งเข้ามาฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ ในทันที


หลินหยาหยุดฝีเท้าเพียงชั่ววินาที ความเงียบระหว่างเธอกับพวกมันทำให้ได้ยินเพียงเสียงหยดน้ำจากอาวุธของปีศาจเป็ดร่วงกระทบพื้น ความรู้สึกในอกเต้นแรงขึ้น นัยน์ตาของเธอฉายประกายระวังและตั้งมั่น เธอค่อย ๆ เอื้อมมือไปจับขลุ่ยไม้กฤษณาที่ห้อยอยู่ข้างเอว ปลายนิ้วสัมผัสเนื้อไม้เย็นเรียบ ลมในอกเริ่มถูกควบคุมให้สม่ำเสมอราวกับนักล่าที่กำลังเตรียมซุ่มโจมตี


ปีศาจปลาแยกฝูงเข้าล้อมจากด้านหลังในขณะที่ปีศาจนักรบเป็ดขยับเข้ามาด้านหน้า เสียงฝีเท้าบนโคลนชื้นดังแฉะ ๆ สลับกับเสียงฟันน้ำกระเซ็น หลินหยายกขลุ่ยขึ้นแตะริมฝีปาก ปลายนิ้วขยับเตรียมกดรูโน้ตอย่างแม่นยำ ดวงตาคมของเธอจับจ้องพวกมันราวกับอ่านจังหวะหัวใจและทิศทางลมหายใจของศัตรู ก่อนที่ทำนองแรกจะหลุดออกจากขลุ่ย บรรยากาศรอบกายพลันแปรเปลี่ยน เสียงหวานลึกดุจสายลมพัดผ่านทุ่งดอกไม้แฝงแรงสะกดบางอย่างที่พร้อมจะกลายเป็นอาวุธในชั่วพริบตาเดียว


หากเธอเป่าต่อ ทำนองนี้อาจทำให้ปีศาจหยุดการเคลื่อนไหว หรือไม่ก็เร่งความคลั่งของมันให้ระเบิดออกมาหนักกว่าเดิม... แต่หลินหยารู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว และการเป่าขลุ่ยครั้งนี้ จะไม่ใช่เพียงบทเพลงธรรมดา แต่คือเสียงเพรียกของความตายที่กำลังพุ่งเข้าสู่หัวใจของศัตรูตรงหน้าอย่างเฉียบขาด


ลมภูเขาทางทิศตะวันตกพัดแรงพาเอากลิ่นสนและใบแห้งกรุ่นในอากาศ เสียงขลุ่ยของหลินหยาเพิ่งจางหาย กลายเป็นความเงียบที่ทำให้พวกปีศาจตรงหน้าชะงักราวกับถูกตอกตรึงไว้กับพื้น ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความกระหายกลับสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว 


“เอาล่ะ… เป็นอาหารและวัตถุดิบให้ข้าค้าขายซะนะ” เสียงหวานแต่แฝงความเย้ยหยันดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบางที่ไม่เหลือความเมตตาให้เห็นแม้แต่น้อย ก่อนที่นางจะหมุนตัว เบี่ยงกายหลบเล็บแหลมที่พุ่งเข้ามาเพียงนิดเดียว และฟาดด้ามขลุ่ยลงบนหน้าผากของปีศาจตัวแรกอย่างแม่นยำ เสียง “ปั้ก!” ดังชัดเจน หัวของมันแตกกระจายราวกับผลแตงสุก ถูกซ้ำด้วยแรงที่ช่ำชองราวกับเคยทำมาเป็นร้อยครั้ง


ร่างปีศาจที่สองและสามยังไม่ทันได้ตั้งหลัก ก็ถูกแรงฟาดแบบสั้นและเร็วจนกระโหลกยุบ ล้มลงขาดใจตายติดกันเป็นแถบ เลือดสีคล้ำไหลนองพื้น แต่ในแววตาหลินหยากลับนิ่งราวกับเพียงเก็บกวาดกองผักในครัว ไม่มีความลังเล ไม่เสียเวลาแม้ชั่วลมหายใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก และนางก็รู้ดีว่าหากช้ากว่านี้เพียงเสี้ยววินาที พวกมันอาจได้โอกาสสวนกลับมา


เสียงลมหายใจหนัก ๆ ของปีศาจที่เหลือผสมกับเสียงฝีเท้าที่ถอยกรูดไปบนใบไม้แห้ง ราวกับพวกมันเพิ่งตระหนักว่ากำลังเผชิญกับนักล่าไม่ใช่เหยื่อ หลินหยาเช็ดด้ามขลุ่ยกับแขนเสื้อของปีศาจหนึ่งที่เพิ่งสิ้นลม แล้วปรายตาไปยังตัวที่เหลือด้วยสายตาเย็นเฉียบ 


“ยังจะอยู่… หรือจะให้ข้าตามไปถึงรัง” น้ำเสียงเรียบแต่กดต่ำทำให้แม้แต่ลมบนไหล่เขายังเหมือนจะแข็งค้าง แต่ทว่านั้นก็ไม่ได้ทำให้หลินหยาปราณี หลังจากนั้นหลินหยาก็จัดการปีศาจเป็ดทั้ง 3 ตัวให้เรียบร้อย พอพวกมันสิ้นใจแล้ว


กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งเจือปนไปกับกลิ่นเนื้อที่เริ่มระเหยออกมาจากซากปีศาจเป็ดทั้งสามตัว หลินหยาหอบลมหายใจเบา ๆ เธอหยิบมีดออกมาแล้วมือขาวเรียวยังคงมั่นคงขณะเช็ดคมมีดให้สะอาด ก่อนจะก้มตัวลงจัดการกับซากอย่างเชี่ยวชาญ ผ่าเปิดท้อง ล้วงเอาเครื่องในที่ยังอุ่นจัดออกมาอย่างแม่นยำ ไม่เสียเวลาหรือลังเลแม้เพียงกะพริบตา เนื้อที่ดีที่สุดถูกตัดแยกวางเป็นชิ้นเรียงสวย ขนและเศษกระดูกถูกกองไว้ด้านหนึ่ง ส่วนตับ หัวใจ และไขมันเป็ดที่หอมมันถูกเก็บเข้าถุงเก็บความเย็นของแหวนดาราจรัสทันที


หลินหยาเช็ดมีดกับเศษผ้าจนคมวาว สะบัดข้อมือสองสามทีแล้วเก็บเข้าปลอกพลางถอนหายใจยาว “เฮ้อ…ปีศาจเป็ดนะปีศาจเป็ด เล่นมาให้ข้าต้องเสียแรงยืนตากแดดชำแหละกลางลมหนาวอีก คราวหน้าถ้าเจอพวกเจ้าตอนข้ายังไม่ได้กินข้าวเช้า ข้าจะหั่นให้เละกว่าเดิมเป็นสองเท่า” พูดจบก็ย่อตัวลงเก็บเศษเนื้อ เศษกระดูกใส่ถุงผ้า ก่อนจะหันไปมองเจ้ากระเพาะปลาสดที่ยังชุ่มน้ำ “นี่ก็ดีนะ เอาไปทำซุปได้หลายหม้อเลย…ขายก็ได้ กินเองก็ดี เฮ้อ…แต่จะให้ดีต้องได้เหล้าดี ๆ มาต้มด้วย ไม่งั้นรสไม่ถึง”


จากนั้นเธอหันไปจัดการกับวัตถุดิบจากปีศาจปลา เมือกใสที่เกาะตามเกล็ดถูกขูดออกอย่างนุ่มนวลแล้วรวบรวมลงขวดแก้ว มันวาวราวกับหยดน้ำแข็งที่หลอมละลายกลางแสงจันทร์ กระเพาะปลาสดถูกล้างด้วยน้ำสมุนไพรจนสะอาดเงาวับ ก่อนปิดผนึกเก็บไว้เคียงข้างเนื้อเป็ดในแหวนดาราจรัส เนื้อปลาและก้างที่ไม่ต้องการก็ถูกจัดวางแยกออก เพื่อป้องกันกลิ่นเน่าเสีย


เธอยัดทุกอย่างลงแหวนดาราจรัส พลางบ่นต่อไม่หยุดราวกับกำลังเล่าให้ใครฟัง “นี่ถ้าไม่ติดว่าเจ้าเป็นปีศาจ ข้าคงจับทำอาหารพิเศษส่งไปให้พ่อที่เมืองผานอวี้แล้วนะ…แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ทุกวันจะได้วัตถุดิบสดขนาดนี้ ข้าล่ะอยากให้ตลาดตะวันตกมีร้านรับของแบบนี้มากกว่า มีแต่พวกทำหน้าเหม็น ๆ เหมือนข้าขายยาพิษให้ จะให้ไปยิ้มหวานใส่ทุกครั้งก็คงไม่ไหวหรอก”


เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หลินหยานั่งยองลง ใช้จอบเล็กที่พกติดตัวขุดหลุมฝังซากปีศาจทั้งเป็ดและปลาที่เหลือ ท่ามกลางดินเย็นชื้นและเงาไม้รอบด้าน เธอกลบหลุมจนเรียบ เสมือนจะไม่เคยมีการฆ่าฟันเกิดขึ้น ณ จุดนี้ แล้วลุกขึ้นยืน ปัดดินออกจากมือ ดวงตาคมหวานเหลือบมองฟ้าสีหม่นเพียงครู่ ราวกับคิดคำนวณแล้วว่าทั้งหมดนี้จะกลายเป็นกำไรงามแค่ไหนในตลาดของพ่อค้าแม่ค้าในฉางอัน  “เอาล่ะ ไปต่อได้แล้ว วันนี้เหนื่อยพอสมควร…ขออย่าให้เจอปีศาจอีกก็แล้วกัน ข้าล่ะเบื่อพวกตัวเหม็น ๆ ที่วิ่งมาให้ฟาดนัก” เธอสบถเบา ๆ แล้วสะบัดแขนเสื้อ คว้าขลุ่ยขึ้นมาหมุนเล่นพลางเดินจากไปมุ่งหน้าสู่ศาลเจ้าที่นางจะพบกับความจริงทุกอย่าง


ท้องฟ้ายามเย็นคลี่ม่านแห่งสีทองปลั่งเปลี่ยนสู่ม่วงเข้มประหนึ่งม่านราตรีเริ่มคลี่คลุม ความเงียบงันเริ่มไล่ลมหายใจของเมืองหานตานให้ช้าลง ประหนึ่งโลกทั้งใบกำลังเงี่ยหูฟังเสียงก้าวเดินของหญิงสาวผู้หนึ่ง...แม้เธอจะเดินทางลำพัง แต่เงาที่ทอดยาวจากร่างของหลินหยาบนทางลาดชันกลับเต็มไปด้วยแรงปรารถนาอันแรงกล้า เบื้องหน้าเป็นเนินสูงทอดยาวขึ้นเขา ซึ่งว่ากันว่าบนยอดนั้นคือศาลเจ้าจิ้งอวิ๋น สถานที่ซึ่งผู้คนในเมืองร่ำลือว่าเป็นดั่งดวงตาแห่งทวยเทพที่เฝ้าดูโลกมนุษย์จากเบื้องบน


เสื้อคลุมสีน้ำเงินหม่นของหลินหยาถูกลมยามพลบกระตุกไหว ฝุ่นจากทางดินแห้งกรังติดตามปลายชายเสื้อและรองเท้าหนังขาดวิ่นของนาง ร่างเล็กไม่ได้หยุดพักแม้เสี้ยวลมหายใจ เพราะใจของนางตอนนี้ร้อนรุ่มเกินกว่าจะอิงแอบกับความเหนื่อยล้า หลังจากได้รับคำทำนายอันสั่นสะเทือนจากซินแสตงฟาง และพบความจริงจากผู้ตายผู้เคยเป็นอสรพิษแห่งวังหลังอย่างสนมลั่วซาน ใจนางยังจำชัดเจนถึงนิมิตนั้น "เขา...ถือกระบี่" เสียงคำรำพึงแผ่วเบาราวกลัวจะย้ำซ้ำภาพน่ากลัวที่ปรากฏขึ้นในห้วงสำนึก นางยังจำภาพเงาที่แสงนั้นเปิดเผยได้ชัดเจน ใบหน้าเยียบเย็นของจางกงกง ที่คล้ายจะวางท่าประหนึ่งเทพเจ้าลงโทษมนุษย์หรือไม่ก็ปีศาจที่พร้อมลงทัณฑ์โดยไม่แยกผิดถูกอีกต่อไป


หลินหยากำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดนูน เธอกลัว…ไม่ใช่เพราะเขาถือกระบี่ แต่กลัวว่าเธออาจจะกลายเป็นเพียงข้ออ้างสุดท้ายของเขาในการไม่กลับมาเป็น "คน" อีกเลย


เสียงระฆังจากบนเขาดังแว่วมา เป็นระฆังไม้ดังก้องในยามพลบ ราวกับเสียงปลุกจิตจากฟ้า ความรู้สึกเสียววาบแล่นไล่ตามแนวสันหลังของหญิงสาวราวกับมีใครกำลังจ้องมอง เธอหยุดก้าวครู่หนึ่งก่อนจะสูดลมหายใจลึก ลูบพู่ไหมห้อยจากขลุ่ยที่เอวเบา ๆ ประหนึ่งเป็นสิ่งเตือนใจสุดท้าย "ไม่ว่าท่านจะเป็นคน หรือปีศาจ..." เธอพึมพำกับตนเอง น้ำเสียงนิ่งแน่นเต็มไปด้วยความปวดร้าว "ข้าจะหยุดท่านเอง..."


เส้นทางขึ้นสู่ศาลเจ้านั้นแคบและลื่น บางช่วงมีเพียงหินแหลมและโขดเขาสูงชันเป็นเพื่อน ระหว่างทางมีป้ายหินเก่าแก่มอซอทับตะไคร่สีเขียวดูเหมือนจะเคยมีอักษรจารึกแต่เลือนหายไปกับกาลเวลา ต้นสนสูงใหญ่ชูเงาทาบฟ้าดั่งหอกทมิฬ โบกไหวตามลมประหนึ่งเงาวิญญาณที่ร่ำไห้รอการตัดสินบนยอดศาล ขณะเดินลึกเข้าป่าที่รายล้อมเนินเขา เสียงนกป่าค่ำคืนเริ่มดังระงม ราวจะเตือนว่าผู้ใดขึ้นเขายามนี้...มักมีเหตุ แต่หลินหยาไม่สน นางเดินหน้าต่อไป แม้แต่เมฆสีเทาเริ่มกลืนแสงสุดท้ายของอาทิตย์ไปจนหมด ท้องฟ้าทิ้งเพียงแสงจันทร์แรกแย้มสีซีด ๆ ที่เจือเลือดจาง ๆ คล้ายประกาศว่าโชคชะตาจะไม่อ่อนโยนกับใครอีกต่อไป




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: หั่นวนไป เพราะมันหลายโพส 55555 ผมขอโทษ เขียนเพลิน
(เดี๋ยวอีก 2 ชั่วโมงมาลงต่อ)

รางวัล: 
ปีศาจนักรบเป็ด : ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ) : ได้รับแล้ว
(หากมีสถานะวาสนาเซียน และ LUK 100 จะมีโอกาสดรอป x2)
ได้รับ ซี่โครงเป็ด 3 ชิ้น = 3x2 = 6 ชิ้น

สรุปรางวัลที่ได้: ซี่โครงเป็ด 3 ชิ้น


แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ 2025-8-14 22:01
โพสต์ 103720 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-14 13:41
โพสต์ 103,720 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-14 13:41
โพสต์ 103,720 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-14 13:41
โพสต์ 103,720 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-14 13:41
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-14 17:10:00 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-14 17:11

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 14 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามไห่ ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋น เมืองหานตาน มณฑลจี้โจว จักรวรรดิต้าฮั่น

Part.2 ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋น


เสียงฝีเท้าเบา ๆ กระทบกับหินกรวดตามทางลาดชันสู่ยอดเขาดังขึ้นเป็นจังหวะท่ามกลางความเงียบที่แทบจะกรีดอากาศได้ ความมืดเริ่มกลืนกินทุกสรรพสิ่งรอบกาย ยกเว้นเพียงแสงจันทร์สีซีดที่โรยตัวลงมาราวม่านกระจกเย็นเฉียบ เผยเงาเคร่งขรึมของศาลเจ้าจิ้งอวิ๋นที่ตั้งตระหง่านดุจปราการแห่งคำพิพากษา หลินหยาก้าวเท้าอย่างช้า ๆ ผ่านป้ายหินเก่าแก่ที่ฝังแน่นอยู่ริมทาง พวกมันบางแผ่นแตกร้าว บ้างเอนเอียง บ้างมีตัวอักษรจารึกจางหายประหนึ่งเสียงของคนตายที่อยากให้โลกจดจำแต่กาลเวลาไม่เคยปรานี กลิ่นไม้เก่าชื้นหมักปนกลิ่นตะไคร่ระคนเข้ากับกลิ่นแผ่วเบาบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ลำคอของนางแห้งผาก...


กลิ่นเลือด?


หลินหยาชะงัก หัวใจของนางเต้นพลุ่งขึ้นเหมือนเพิ่งรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับความตาย ไม่ใช่ในรูปของอสูรกายหรือฆาตกรเถื่อน แต่ในรูปของ ‘เขา’ บุรุษผู้เป็นทั้งมือที่เคยแตะไหล่เธออย่างอ่อนโยน และผู้ที่อาจจะสังหารเธอได้ในเสี้ยวลมหายใจหากเจตนาจะทำจริง ๆ ดวงตากลมโตของนางกวาดมองไปรอบทาง ก่อนจะเบี่ยงกายหลบต้นสนใหญ่ข้างทางเล็กน้อยเพื่อมุ่งไปตรงหน้า แสงจันทร์กระทบแก้มซีดของหลินหยาราวกำลังชี้ว่าผู้เดินทางคนนี้แบกรับมากเกินไป…เกินกว่าที่คนธรรมดาจะทนได้ 


"อื่อ..." เสียงสะอื้นในลำคอแทบเล็ดลอดออกมา นางไม่ได้ร้องไห้ ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่เพราะลมเย็นที่กรูกราวเสียงคำรามของป่าราตรี กับกลิ่นเลือดที่ลอยล่องเข้าจมูก ทำให้สัญชาตญาณเก่าในร่างกายตื่นขึ้นมาพร้อมภาพจำ ความเจ็บ ความกลัว ความคิดถึง ความสับสน มันพุ่งเข้ามาพร้อมกันราวกับระลอกคลื่นใต้น้ำแข็ง


"ท่านทำอะไรลงไป...ท่านกำลังทำอะไรอยู่" หลินหยาเอ่ยในลำคอเบา ๆ ไม่แน่ใจว่าพูดกับตนเองหรือเงาดำที่รออยู่เบื้องบน นางจับผ้าคลุมที่คอแน่นขึ้น เสียงลมหายใจเริ่มไม่เป็นจังหวะ ขาแทบไม่กล้าเดินต่อ แต่ใจ...กลับไม่อาจหยุด เพราะถ้าตอนนี้เธอถอย เธอจะไม่มีวันรู้ เพราะถ้าตอนนี้เธอเลือกจะกลัว เธอจะเป็นแค่เหยื่อของความรักแบบเดิมไปจนตาย “แค่...เลือด อาจเป็นสัตว์ป่า...อาจเป็นคนบาดเจ็บ...ใช่...” นางหลอกตัวเองในใจ แต่เสียงหัวใจที่เต้นโครมครามกลับไม่โกหกเลย


แสงจันทร์สะท้อนกับก้อนหินใกล้ตัวเผยรอยเปื้อนบางสิ่ง มันแดงจางราวถูกล้างไปแล้วบางส่วนแต่ยังไม่หมด เธอก้มลงดูอย่างระวัง ปลายนิ้วแตะของเหลวที่ยังเปียกชื้นบนผิวหิน กลิ่นนั้นชัดยิ่งกว่าเดิม “เลือดสด?…” เสียงอะไรบางอย่างข้างบนดังขึ้น แผ่วเบาราวกับมีใครลากบางอย่างผ่านพื้นไม้ หลินหยาชะงักทันที จิตของเธอเต้นพร่า บ่าตึงเกร็ง เธอเงยหน้ามองศาลเจ้าที่อยู่ไม่ไกลอีกต่อไป


จากมุมนี้...เธอเห็นเงาร่างหนึ่งอยู่ตรงหน้าบานประตูศาลเจ้าที่เปิดอ้า ร่างสูงในชุดคลุมยาวแผ่ปลายดุจปีกเหยี่ยวยืนอยู่ใต้เงาเสาไม้สนเก่า เส้นผมสีดำสนิทสยายอยู่ในแสงจันทร์ …เขาอยู่ท่ามกลางอะไรบางอย่าง? กลิ่นเลือดแรงขึ้นจนแทบข่มลมหายใจหลินหยาไม่ได้อีกต่อไป 


หากสิ่งที่ซินแสกล่าวคือความจริง ว่าคำสารภาพจะมาในคราบของความเมตตา และการอภัยที่มาจากความสงสารจะจองจำเธออีกครา...ตอนนี้คงถึงเวลาที่ "ด้ายแห่งวาสนา" จะขาดหรือผูกใหม่แล้วจริง ๆ


เสียงฝีเท้าของหลินหยาดังก้องสะท้อนอยู่ในโสตของตัวเองทุกย่างก้าว ขณะที่เธอเดินข้ามผ่านแนวป้ายหินเก่าแก่ที่เงียบงันราวหลุมศพประวัติศาสตร์ ฝุ่นควันเบาบางจากทางหินกรวดแห้ง ๆ ถูกย่ำจนฟุ้ง กลิ่นเลือดที่ลอยตามลมมานั้นไม่ใช่เพียงจินตนาการมันแรงขึ้นทุกก้าว รุนแรงขึ้นทุกลมหายใจจนแทบข่มไว้ไม่อยู่ ทว่าหลินหยายังเดินต่อ...หัวใจนางเต้นรัวราวจะหนีออกจากอก หากแต่เท้ากลับแข็งราวหิน ยิ่งเข้าใกล้ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋น ความมืดก็ยิ่งกลืนแสงแห่งสติสัมปชัญญะไปทีละน้อย จนกระทั่ง


สายตาของนางสบเข้ากับภาพเบื้องหน้า และโลกทั้งใบก็ดับเสียงลงในทันใด ภาพตรงหน้านั้นเหมือนบาดลงกลางกลางหัวใจของหลินหยา...


ชายในชุดดำสนิทยาวกรอมพื้นผู้หนึ่งยืนอยู่กลางลานหน้าศาลเจ้า มือหนึ่งของเขาแนบแน่นอยู่กับด้ามกระบี่ที่เลอะเปรอะด้วยของเหลวสีแดงฉานที่แห้งกรังไปบ้าง แต่ยังชื้นสดตรงปลาย สะท้อนแสงจันทร์เย็นยะเยือกเป็นประกายคล้ายสายโลหิตหลั่งรินไม่หยุดหย่อน


และรอบตัวเขามีแต่ "ศพ"


สตรีผู้สูงศักดิ์สวมอาภรณ์งดงามแต่ร่างบิดเบี้ยวอยู่ใต้ต้นไม้ ขุนนางท้องถิ่นนอนแน่นิ่งตาเบิกโพลงราวถูกสังหารโดยไม่ทันตั้งตัว และเหล่าทหารรักษาการณ์อีกนับสิบที่ถูกฟันฉีกจนไม่เหลือเค้าเดิม บางร่างถูกตัดแขนขา บางร่างถูกเสียบคากำแพงหินด้วยกระบี่ของตัวเอง...ทุกคนตายด้วยวิธีต่างกัน แต่เหมือนกันตรงที่ไม่มีใครต้านทานได้แม้แต่คนเดียว เลือดไหลอาบพื้นจนเจิ่งนองเป็นแอ่ง เฉียดรองเท้าของหลินหยาเพียงไม่กี่ก้าว


เสียงแมลงปีกแข็งบินวนรอบซากศพ เริ่มแทะเล็มเศษเนื้อ เลือดใหม่กับเลือดเก่าเริ่มรวมกันกลายเป็นกลิ่นนรกบนผืนโลกที่หลินหยาไม่อาจหายใจได้เต็มปอด


ดวงตาของนางเบิกกว้างร่างแข็งค้าง ใจเต้นเหมือนฆ้องศึก ภาพของเขา...ของ จางกงกง ที่เธอเคยรู้จัก ที่เคยยิ้มบางให้เธออย่างอบอุ่นในหอว่านหงเหริน ที่เคยแกล้งเธอเบา ๆ ด้วยคำหวานเคลือบพิษกลับยืนอยู่ตรงนี้ในร่างของ...เพชฌฆาตไร้ใจ และเขากำลัง มองเธอ สีหน้าของจางกงกงตอนสบตาหลินหยาไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่ความดีใจ ไม่ใช่ความเย็นชาอย่างเคย แต่มันคือ ความตกใจ


ราวกับไม่คิดว่าเธอจะมา…

ราวกับเขากำลังถูกเห็นในด้านที่ไม่ควรถูกเห็น

ราวกับเขา...หวังให้เธอ "ไม่รู้" เลยว่าเขาเป็นแบบนี้จริง ๆ แต่มันช้าเกินไปแล้ว


"เจ้า..." จางกงกงขยับปากจะพูด ดวงตาที่แสนเยียบเย็นสั่นไหวหนึ่งครา กระบี่ในมือเขาเริ่มลดลงเล็กน้อย ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หลินหยาหวาดกลัวที่สุด สิ่งที่ทำให้นางอยากจะร้องไห้...คือเงาอันแท้จริงในแววตาของเขา มันไม่ใช่เพียงความตกใจ แต่มันมี เศษเสี้ยวของความเจ็บปวด แทรกอยู่ด้วย เศษเสี้ยวของคนที่อาจไม่อยากฆ่าแต่ก็ยังฆ่า เศษเสี้ยวของคนที่อาจอยากให้เธออยู่ในความฝัน แต่ความจริงกลับสาดใส่จนไม่มีทางหลบ


และบางที...เขาอาจฆ่าทุกคนเพราะพวกนั้นรู้ความลับอะไรบางอย่าง หรือแค่เพราะเขากำลัง “ขาดสติ” ไปแล้วจริง ๆ เลือดที่เปื้อนเต็มมือของเขายืนยันว่าการกระทำได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ใจของเขา...กำลังสั่น


ขณะที่ใจของหลินหยากำลังแตกสลายและตกตะลึง


ท่ามกลางสายลมยามค่ำที่โหมรุนแรงขึ้น ฉุดปลายผ้าคลุมให้ปลิว เงาใบหน้าของจางกงกงที่เคยดูนิ่งลึก กลับเผยความกระอักกระอ่วนปนเคียดแค้นจากภายใน เขาเอ่ยขึ้นเสียงเบา แต่น้ำเสียงนั้นเหมือนกระบี่ฟันกลางใจ “เจ้ามาที่นี่...ทำไม...” เลือดหยดสุดท้ายปลายกระบี่เขา…ร่วงลงสู่พื้นในวินาทีนั้นเอง


แม้จะได้รับคำถาม แต่ทว่าหลินหยากลับยังคงตะลึงค้าง แสงจันทร์ขาวซีดสะท้อนลงบนพื้นหินหยาบกรังเบื้องหน้า เผยให้เห็นสิ่งที่หลินหยาไม่อาจหลีกเลี่ยง ความตายที่โรยรายรอบร่างของชายผู้เคยอยู่ใกล้เธอจนแม้แต่เงายังแทบไม่กล้าแยกห่าง เลือด...หยดเป็นทาง ศพ...บิดเบี้ยวในท่วงท่าที่ไม่ควรเป็น ดวงตาบางร่างยังค้างอยู่ในความหวาดกลัว บางร่างไม่มีตาให้เห็นอีกแล้ว


กลิ่นคาวและความหนาวแทรกเข้าสู่กระดูก กระแทกสติของหลินหยาให้จมดิ่งในวังวนที่นางเองยังไม่พร้อมจะรับรู้ แม้ใจนางแข็งกล้าพอจะเผชิญหน้าความตายมาหลายครา แต่สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าตอนนี้คือ "ฝันร้ายที่เธอไม่เคยกล้าคิดว่าจะเป็นจริง" ดวงตากลมโตของหลินหยาจับจ้องเพียงภาพเดียว ใบหน้าเรียวของเขา...จางกงกง ชายที่เธอเคยคิดว่าจะเข้าใจ เคยแตะไหล่เธอเบา ๆ ในคืนเหน็บหนาว ซ่อนคำหวานไว้ในเล่ห์ลวงแต่เธอกลับยอมหลง และตอนนี้...เขาไม่ใช่เงาอีกต่อไป แต่กลายเป็นความมืดที่ "ฆ่า" อย่างเลือดเย็น ทว่า...ในความมืดนั้นกลับมีประกายบางอย่างในแววตาเขา


จางกงกงยืนนิ่ง ใบหน้าไร้รอยยิ้มใดใดอีกต่อไป กระบี่ในมือยังมีคราบสดใหม่ เขาไม่ขยับ ไม่พูด ไม่มีแม้กระทั่งคำแก้ตัว ปลายคิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาที่เคยสงบนั้นสั่นไหววูบเดียว ก่อนจะสลายหายไปในความเย็นเฉียบของความเป็นจริง


เขาไม่คิดว่าเธอจะอยู่ที่นี่ ไม่คิดว่าเธอจะได้เห็น และที่สำคัญ เขาไม่ต้องการให้เธอเห็น


ริมฝีปากของจางกงกงเม้มแน่น เสียงหายใจเข้าเย็นเฉียบราวดึงอากาศทั้งภูเขาเข้าไปแช่หัวใจ เขาเหลือบมองรอบกาย เห็นร่างคนตายที่เขาเป็นผู้ลงมือกับมือตัวเอง และตอนนี้เธอ หลินหยากำลังยืนอยู่กลางความตายเหล่านั้น เขาไม่เคยคิดว่าความลับนี้จะมีพยานโดยเฉพาะเป็นนาง มือที่ถือกระบี่เลื่อนลงข้างตัวช้า ๆ เส้นเลือดที่ข้อมือเขานูนขึ้นเล็กน้อยเหมือนอารมณ์บางอย่างกำลังไหลพล่านใต้ผิวหนัง


"เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร..." เสียงของเขาเบา เย็น และแฝงความกระทบกระเทือน เหมือนกำลังห้ามตนเองไม่ให้พุ่งเข้าหาเธอ ไม่ใช่เพื่อทำร้าย แต่เพื่อ "ห้าม" ไม่ให้เธอรับรู้มากไปกว่านี้ ทว่าหลินหยายังคงยืนนิ่ง น้ำตาไม่ได้ไหลลงมาอย่างรุนแรงแต่ค่อย ๆ ซึมขอบตาเงียบงัน เธอไม่พูด ไม่ถาม ไม่โวยวาย ไม่ถลันหนีหนาวอย่างในนิยายสักเล่มที่เคยอ่าน แต่ยืนนิ่ง เหมือนเด็กที่หลงทางท่ามกลางทะเลเลือด ใจเธอสั่นไหว เหมือนมีแรงมือหนึ่งบีบแน่นที่หัวใจ หัวใจที่กำลังแตกร้าวเงียบ ๆ จากภายใน


"...ท่านฆ่าพวกเขา…?" หลินหยาพึมพำในลำคอ ไม่ใช่คำกล่าวหา ไม่ใช่คำถาม แต่คือข้อเท็จจริงที่เธอ ต้องพูดออกมา เพื่อให้ตัวเองยอมรับ


จางกงกงสบตานางในเงียบงัน ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับไม่หลบ ไม่หลีก แต่ก็ไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ย ไม่มีคำชี้แจง ไม่มีคำโกหก ไม่มีแม้แต่คำขอโทษ "...ข้า..." เขาเอ่ย แต่เสียงนั้นหล่นลงกลางลมพัดก่อนทันจบคำเพราะเขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร จะอธิบายว่าอย่างไรในเมื่อเลือดเปื้อนมือมันพูดหมดแล้ว จะชี้แจงเพื่ออะไร ในเมื่อดวงตาของหลินหยาไม่ได้สั่นด้วยความกลัวแต่ด้วยความ...เจ็บ


ดวงจันทร์ในยามนั้นลอยสูงสุด แสงสีเงินฉาบร่างทั้งคู่ไว้กลางลานโล่ง มีเพียงความเงียบเป็นพยานและศพคนตายเป็นคำตัดสิน


หลินหยากลืนน้ำลายฝืด ๆ ลงคอก่อนที่เสียงหนึ่งจะแว่วในหัวเธอ "เขาไม่เคยได้รับความอบอุ่น เขาไม่เคยได้เรียนรู้ความรัก เขาคือสิ่งที่พวกเรา 'สร้าง' ขึ้นมา..." เสียงของสนมลั่วซานในความทรงจำดังสะท้อน และตอนนี้...เธอกำลังยืนต่อหน้าสิ่งที่พวกนั้นสร้าง แล้วเธอจะทำอย่างไรกับมัน? ปล่อยไป? หยุดเขา? ให้อภัย? หรือหันหลังเดินหนีไปตลอดกาล


จางกงกงยังคงยืนนิ่งในท่วงท่าอันสงบนิ่งราวรูปสลักกลางทะเลเลือด เส้นผมสีดำขลับปลิวสะบัดเล็กน้อยตามแรงลมเย็นที่พัดโบกไหล่คลุมผ้าดำ เขามองหลินหยา มองนางจริง ๆ ไม่ใช่แค่ภาพเงาของใครบางคนที่เขาเคยแกล้งหยอก หรือแม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาเคยใช้ในแผนการจารชน ไม่ใช่ ‘ผู้หญิงคนหนึ่ง’ อีกต่อไป แต่คือคนที่ "กล้าดูเขา" ในยามที่น่าเกลียดที่สุดโดยไม่หันหนี


นั่นทำให้บางอย่างในอกเขาเคลื่อน บางสิ่งที่เขาเคยฝังมันไว้อย่างแน่นหนา มือที่เปื้อนเลือดของเขาขยับช้า ๆ อย่างสงบ แล้วเลื่อนกระบี่ที่ยังมีหยดเลือดปลายดาบนั้นเก็บกลับเข้าฝัก…เสียง “คลิ๊ก” ของฝักกระบี่ดังขึ้นเล็กน้อยแต่หนักแน่นราวกับการปิดผนึกอสูร เขายังมองนางด้วยสายตานิ่งลึก สีหน้าไม่เผยความรู้สึกใดเด่นชัด แต่หากใครจ้องนานพอก็จะเห็นว่าเบื้องหลังแววตาเรียบนั้นกำลังร้อนระอุด้วยอารมณ์บางอย่างปนเปไปด้วยความสับสนและ... ความกลัวที่หลินหยาจะเดินหนี


เขาคิดว่านางจะร้องไห้จะหนี กรีดร้อง ผลักเขาหรือพูดว่า ข้าไม่รู้จักท่านอีกต่อไปแล้ว แต่หลินหยา...กลับ ยืนนิ่ง


ดวงตากลมโตของนางมีประกายเจ็บลึกแต่แน่วแน่ นางไม่หลบ ไม่หลีก ไม่ก้าวเข้าไปแต่ก็ไม่ถอยหลังแม้ครึ่งก้าว จ้องมองเขาในยามที่เลือดเปื้อนเต็มมือ ร่างเขาเปรอะเปื้อนด้วยซากคน…แต่นางกลับไม่หันหลัง ไม่หนี สิ่งนั้นคือดาบที่เฉือนลึกยิ่งกว่ากระบี่ในมือของเขาเสียอีก


จางกงกงขยับกายก้าวแรกมาอย่างช้า ๆ เสียงปลายรองเท้าบนหินแห้งขัดกับเลือดเป็นเสียงกรอบแกรบที่หนาวลึกหนึ่งก้าว...สองก้าว… หลินหยายังมองเขา ไม่มีเสียง ไม่มีคำถาม มีเพียงลมหายใจสั่นที่เริ่มสงบนิ่งขึ้นทีละน้อย ราวกับใจของนางไม่ได้สั่นไหวให้กับเลือดแต่เป็นกับ ‘เขา’ เมื่อชายหนุ่มร่างสูงหยุดลงตรงหน้า ระยะเพียงเอื้อม เขาก้มสายตาลงครู่หนึ่ง หยุดความเย็นชาไว้เพียงปลายฝีปาก แล้วเอ่ยเสียงเรียบ...แต่เน้นทุกถ้อยคำอย่างเฉียบคม 


“เจ้าจงไปที่โรงเตี๊ยมในเมืองหานตาน ห้องพิเศษฝั่งทิศตะวันตก” เสียงเขานิ่งราวคำสั่ง แต่ทุ้มต่ำประหนึ่งคำขอ เขาเหลือบตามองดวงหน้าเธอเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่น่าขนลุกเพราะมัน...เรียบเกินไป ราวกับพูดถึงเรื่องจัดสวน “ข้าจะจัดการ...ทำความสะอาดที่นี่สักหน่อย แค่เรื่องเล็กน้อย เจ้าไปรอข้าที่นั่นเสี่ยวหยา” เขาพูดราวกับกองศพรอบกายเป็นแค่กองขยะ ราวกับเลือดที่เปื้อนแขนเสื้อคือหยาดหมึกที่รดน้ำกระดาษ ราวกับทั้งหมดนี้...ไม่เคยเป็นอะไรที่ ผิดปกติ หรือว่า...สำหรับเขา มันไม่ผิดปกติอีกแล้ว?


หลินหยาเงียบ ยังไม่เอ่ยคำใดในใจเธอเต็มไปด้วยเสียงแตกหักของจริยธรรม เสียงห้ามตนเอง เสียงเตือนของซินแสตงฟางยังสะท้อนชัดในใจว่าเขาไม่ใช่แสง แต่คือเงา แต่เงานี้...กลับพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคน คนที่ยังอยากให้เธอรอ แม้จะเพิ่งสังหารชีวิตไปมากมายมือเขาเย็นชืดจนเลือดแทบไม่ไหล แม้ใจเขาอาจจะไม่ใช่ของมนุษย์อีกแล้ว หลินหยากำผ้าคลุมของตนแน่น...ชั่ววูบหนึ่งเธอคิดจะพูดอะไรบางอย่าง อะไรสักอย่างที่อาจเปลี่ยนเขาได้


จางกงกงจ้องเธอราวจะอ่านใจ เขาเอ่ยเสียงเบา ราวย้ำอีกครั้ง “ไปเถอะ...ก่อนที่ข้าจะทำให้เจ้ามองข้าไม่ได้อีก” นั่นไม่ใช่คำขู่แต่เป็นคำเตือนจากคนที่รู้ตัวว่า...หากเธออยู่ต่อ เขาอาจ ‘เปลี่ยนไป’ ยิ่งกว่านี้อีก


สายตาของหลินหยายังจับจ้องอยู่ที่เขา จางกงกง บุรุษผู้เปื้อนเลือดเต็มสองมือ คำพูดของเขาฟังดูเรียบง่ายราวกับการสั่งให้รอเวลารับประทานอาหารกลางวัน มิใช่คำที่เปล่งออกจากปากของฆาตกรที่ยืนอยู่ท่ามกลางศพนับสิบ แต่เพราะเป็นเขา...เพราะเป็น “เขา” คนเดียวในโลกนี้ที่สามารถพูดคำเช่นนั้นออกมา โดยที่เธอยังลังเลไม่อาจกล่าวปฏิเสธตรงหน้า


สายตาหลินหยาเลื่อนต่ำไปชั่วขณะโดยไม่รู้ตัว มองลงสู่มือของเขา...มือที่ครั้งหนึ่งเคยลูบศีรษะนางเบา ๆ ยามนางเมาหลับ มือที่เคยเช็ดคราบน้ำตาจากหางตาโดยไม่พูดอะไร แต่ตอนนี้มือคู่นั้นกลับแดงฉานเปื้อนเลือดสด หยดเป็นเส้นบนหลังมือยาวไปจนข้อมือ เลือดของคน…หรืออาจจะเลือดของใครบางคนที่เคยมีครอบครัว มีชื่อ มีชีวิต เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ติดขัดในลำคอ รู้ตัวอีกที ดวงตากลมหวานของนางจ้องมือลงลึกเกินกว่าที่ควร และเขา...ก็สังเกตเห็น


จางกงกงไม่ได้กล่าวโทษ ไม่ได้เบือนหนี ไม่มีแม้แต่จะเก็บมือไว้ข้างหลังด้วยความละอาย ตรงกันข้าม เขายังคงปล่อยให้หลินหยาเห็น ให้เห็นเลือดที่เขาก่อ ให้เห็นตัวตนที่แท้จริงที่เขาไม่คิดจะปิดบังอีก และในแววตาคู่นั้น...ไม่มีคำว่า "ขออภัย" มีเพียง... "ขอให้เจ้ารับมันไว้ได้" บรรยากาศเงียบงันราวแม้แต่เสียงลมก็หลบลี้ จนกระทั่งเสียงเบา ๆ หนึ่งเดียวดังขึ้นแผ่วในลำคอของหลินหยา


“…ข้าจะรอ”


คำพูดสั้น ๆ นั้นหลุดออกมาช้า ๆ นางพูดด้วยเสียงที่นิ่งกว่าที่หัวใจควรจะเป็น ไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรสั่นไหวแต่เพราะมันสั่นเสียจนต้องคุมให้แน่นที่สุดเพื่อจะไม่พังตรงหน้าเขา ถ้อยคำเพียงประโยคนั้น ไม่ได้เป็นคำให้อภัย ไม่ใช่การยอมรับสิ่งที่เขาทำแต่มันคือ "ความผูกพัน" ที่นางยังไม่สามารถปลดตัวเองออกได้ในตอนนี้ มันคือเส้นด้ายสุดท้ายของมนุษย์สองคน ในโลกที่อาจไม่มีอะไรเป็นมนุษย์เหลืออีกแล้ว


จางกงกงไม่ตอบ ไม่มีคำใดหลุดจากริมฝีปาก แต่แววตานั้นสั่นไหวเหมือนเงาคลื่นที่กระเพื่อมในบึงลึก เขาเพียงยืนนิ่ง มองดูหลินหยาหันหลังช้า ๆ นางก้าวเท้าลงจากศาลเจ้าแต่ละขั้นอย่างมั่นคง แม้ใจในอกจะยังตะโกนด้วยคำถามพันพันเงา แม้ภาพศพเหล่านั้นยังเผาไหม้ติดตากลิ่นเลือดจะเกาะติดจมูกเหมือนรอยจูบของปีศาจ….แต่นางไม่ร้องไห้


นางแค่เดิน...ก้าวออกจากความมืดมิดที่เขายืนอยู่ โดยทิ้งคำว่า "ข้าจะรอ" ไว้ให้เขาแบกแทน และในค่ำคืนนี้ ศพก็ยังคงนอนนิ่ง พระจันทร์ยังคงทอดเงา ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋นยังคงกลืนความลับเอาไว้ในอ้อมแขนหินเก่าแก่ของมัน ...และหญิงสาวผู้หนึ่ง ยังไม่รู้เลยว่าเธอกำลังเดินเข้าสู่พรุ่งนี้ที่อาจไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว


หลินหยาก้าวเท้าลงจากศาลเจ้าจิ้งอวิ๋นราวกับร่างกายกำลังเคลื่อนไหวตามคำสั่งของเงาในจิตที่ไร้ความรู้สึก เธอไม่ได้หันกลับไปมอง ไม่ใช่เพราะความกลัวจะเห็นเลือด ไม่ใช่เพราะอยากลืมสิ่งที่เพิ่งพบเจอ แต่เพราะรู้ดีว่า หากหันกลับไปเพียงครั้งเดียวหัวใจของเธออาจพังลงกลางบันไดศาลเจ้านั้นทันที ไม่มีใครในโลกเคยเตรียมใจพบคนที่ตนรักในสภาพเช่นนั้น คนที่เคยยิ้มให้เธอพลางยื่นผลไม้ราคาแพงที่แสนอร่อย คนที่เคยทำราวกับทุกสิ่งบนโลกนี้อยู่ใต้ปลายนิ้วแต่กลับอ่อนโยนลงเฉพาะต่อเธอเพียงผู้เดียว คนที่เคยมีไหล่ให้ซบเวลาหนาว 


แต่ตอนนี้…กลับเป็นมือที่เปื้อนเลือดของคนมากกว่าหนึ่งศพ หลินหยาก้มหน้าลง สองตาที่แห้งแล้งอย่างผิดปกติไม่หลั่งน้ำตา แต่กลับร้อนผ่าวราวเปลวไฟถูกขังในเบ้า ติดตายิ่งกว่าภาพใบหน้าของเขา…คือภาพของหญิงสูงศักดิ์ที่นอนคอพับริมเสาไม้ที่ถูกฟันอย่างไร้ความเมตตา ขุนนางผู้มีตราประทับที่เธอจำได้ว่าเคยพบในจวนกรมการเมืองกำลังตายตาเบิกโพลงบนพื้นหิน และทหารชุดเกราะที่นางเคยเห็นในเขตลานฝึก...ตอนนี้ไม่มีแม้แต่เศษซากความเป็นคน เหลือเพียงกองเลือดที่ยังอุ่นจากชีวิตเมื่อครู่


นางไม่รู้ว่าควรรู้สึกอะไร ควรโกรธหรือควรกลัว ควรตะโกนไล่เขาไปจากหัวใจหรือควรแค่กอดร่างเปื้อนเลือดนั้นไว้แล้วถามว่า... “เหนื่อยไหม?” แต่ปากกลับไม่ขยับ ซ้ำยังพูดคำว่า “ข้าจะรอ” ออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนกว่าใจตัวเองเสียอีก มันบ้ามาก และเธอก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่คำที่คนปกติควรพูดหลังจากเห็นสิ่งนั้น แต่เธอก็พูดออกไปอยู่ดีเพราะมันคือเขา เพราะเป็น “เขา” เพราะคือจางกงกง ผู้ที่ซึ่งนางทั้งรัก ทั้งกลัว ทั้งสับสน และผูกพันกันเกินกว่าจะใช้ตรรกะตัดสิน


หลินหยาลงเขามาเรื่อย ๆ ลมเย็นยามค่ำคืนเริ่มแทรกผ่านผ้าคลุมที่พลิ้วไหวหลังฝ่าหลัง เธอกอดตัวเองแน่นขึ้นแต่ไม่ใช่เพราะอากาศหนาว หากเพราะภายในใจกลับกลวงโบ๋อย่างน่าประหลาด ร่างกายยังคงก้าวเดิน แต่ความคิดเหมือนถูกทิ้งไว้ข้างหลังที่แท่นศาลเจ้านั้น แสงตะวันแรกหมดไปแล้วนาน ความมืดกลืนภูเขาไว้จนไม่เหลือแม้แต่เงา เว้นเพียงแสงไฟบางจุดจากบ้านเรือนชาวเมืองหานตานที่เริ่มสว่างขึ้นในเบื้องล่าง ราวกับจะบอกว่านี่คืออ้อมกอดของเมือง แต่กับหลินหยาแล้ว มันกลับกลายเป็นเมืองที่นางไม่รู้ว่าตนเองควรจะเป็นใครเมื่อลงไปถึง


นางมาถึงย่านโรงเตี๊ยมโดยแทบไม่รู้ตัว ใบหน้าใครบางคนพูดจาทักทายหรือต้อนรับจากริมประตูห้องครัวเรือนก็เหมือนได้ยินผ่านม่านหมอก เธอเดินเข้าไปยังโรงเตี๊ยมที่ดูดีที่สุดในเมือง มีกระเบื้องเคลือบลวดลายมังกรสีเขียวที่เรียบหรู ผ้าปักลายบนขอบม่านที่ละเอียดราวงานในวังและกลิ่นชาจาง ๆ ลอยต้อนรับจากห้องโถงหน้า หลินหยารู้ทันทีว่านี่คือที่ที่เขาเลือก ห้องพิเศษทางทิศตะวันตก ย่อมไม่ใช่เพียงห้องนอนธรรมดา แต่เป็นห้องที่มีมุ้งผ้าสีขาวปลิวไหวหน้าชาน มีเตียงไม้จันทน์กลึงมุม มีชุดน้ำชาราคาแพงตั้งรออยู่บนโต๊ะลายเขียนมือ มีโคมทองเหลืองบนผนังและเบาะนั่งปักไหมอย่างดีที่ทำให้แม้แต่นางก็รู้สึกประหม่าเมื่อก้าวเข้าไป


หลินหยาปิดประตูเบา ๆ และปล่อยร่างพิงผนังห้อง หายใจออกช้า ๆ แววตาที่ไร้ประกายมองไปที่เตียงว่างเปล่า ร่างของเขายังไม่มา แต่เงาของเขาอยู่เต็มห้อง ทุกอย่างในห้องนี้ช่างเป็นเขาเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นความสะอาดที่พิถีพิถัน ความหรูหราที่ไม่โอ้อวด หรือกลิ่นหอมอ่อนจางจากกฤษณาที่เขามักใช้ กลิ่นที่ตอนนี้กลับทำให้นางแทบอยากอาเจียนด้วยความรู้สึกปะปนระหว่างรักและเจ็บ นางยกมือแตะหน้าอกตนเอง บีบแน่นราวจะหยุดใจที่กำลังเต้นรัว นางยังรอเขา...ใช่ นางบอกว่าจะรอ แต่หลินหยาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางกำลังรอเขาเพื่ออะไร รอให้เขามาพูดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ? หรือรอเพื่อฟังเขาบอกว่าเขาจะไม่ฆ่าอีก? หรือเธอแค่รอให้เขากลับมาเพื่อที่เธอจะรู้ว่า...เธอยังมีค่าพอให้เขาเดินกลับมาหา?


สิ่งที่นางกลัวไม่ใช่ความจริงของเขาอีกแล้ว แต่มันคือเขาจะไม่กลับมา


หลินหยายืนอยู่ในห้องอย่างเงียบงัน เสียงบานประตูปิดลงเมื่อครู่ยังคล้ายจะดังก้องอยู่ในสำนึก ภายในห้องพักพิเศษของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ห้องที่จางกงกงบอกให้เธอมา “รอ” มันหรูหราเกินกว่าที่หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสวมเพียงผ้าคลุมเดินทางเก่า ๆ จะกล้าคิดฝันถึง ผนังไม้ขัดเคลือบมันสีน้ำตาลเข้มทอดเงาเป็นเส้นชัดในแสงตะเกียงตาไก่ประดับผนัง ผ้าม่านสีเทาอ่อนบางเบาไหวเบา ๆ ตามแรงลมจากหน้าต่างที่แง้มเอาไว้ กลิ่นกฤษณาอ่อน ๆ ที่เธอจำได้ขึ้นใจอบอวลอยู่ทุกอณูห้อง ไม่ฉุนจัด ไม่จางเกิน มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่เคยแทรกซึมอยู่ในชายแขนเสื้อของเขาเวลายื่นมือมาจับข้อมือนางเบา ๆ หรือซุกซ่อนอยู่ในปลายผมดำของเขาเวลาที่เขาโน้มหน้าเข้ามากระซิบถ้อยคำเร้นลับใกล้หู


กลิ่นที่คุ้นเคย...กลายเป็นสิ่งที่บีบคั้นหัวใจของนางในตอนนี้


หญิงสาวยืนอยู่ตรงกลางราวกับเงาของตนไร้ที่ไป นางมองไปรอบห้องอย่างลอบสำรวจ ทั้งโต๊ะไม้ฝังมุก ชุดน้ำชาที่เรียงวางด้วยความแม่นยำ เสื้อคลุมไหมที่ถูกพับอย่างเป็นระเบียบอยู่ปลายเตียง แม้แต่ม่านมุ้งผ้าขาวที่ตกพลิ้วราวกลีบบุปผา ก็ยังดูเหมือนจงใจจะให้คนที่เข้ามารู้สึกถึง “ความเป็นเจ้าของ” ของใครบางคนในห้องนี้


หลินหยามองสิ่งทั้งหมดนั้นราวกับกำลังมองหัวใจของจางกงกงที่ถูกแกะสลักไว้ในทุกมุมของห้อง เป็นระเบียบ เรียบง่าย หรูหรา เงียบสงบ และซ่อนอารมณ์ไว้ทุกซอกลึก เธอไม่ได้อยากเดินไปตรงไหนเป็นพิเศษ ไม่มีที่ใดดูปลอดภัย ไม่มีแม้แต่ที่ว่างให้ใจของเธอวางลง แต่เท้ากลับเคลื่อนตัวอย่างแผ่วเบาไปยังเตียงไม้จันทน์กลึงมุมที่ตั้งอยู่ชิดฝั่งหน้าต่าง แสงจันทร์สาดผ่านม่านบางเข้ามาทอดเงาไหวไหลบนผ้าปูเตียงสีหม่นนั้นพอดี นางค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนั่ง เงียบ ๆ ไม่รีบเร่ง เตียงไม้จันทน์นั้นมั่นคงแต่นุ่มพอให้ผ่อนแรงหลัง ราวกับผ่านการคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันว่าสัมผัสของมันจะต้องไม่ทำให้หลังเหน็บชา แต่ก็ไม่อ่อนยวบเกินกว่าจะเรียกว่าเตียงของนักเดินทางผู้ยึดถืออำนาจ มันคือเตียงที่สมกับผู้เป็นจางกงกงอย่างไม่ต้องสงสัย


หลินหยาวางมือทั้งสองบนตัก มองปลายนิ้วของตนเองที่สั่นเพียงเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ห้องนี้ควรอบอุ่น…แต่กลับอ้างว้างจนน่ากลัว มันไม่ใช่ความว่างเปล่าแบบห้องร้าง หากแต่เป็นความเงียบชนิดที่เสียงหัวใจของเธอดังก้องราวกับตีกลองในศาลวัด มันเป็นความอ้างว้างที่เกิดขึ้นเมื่อความคาดหวังถูกคลี่วางไว้แล้ว แต่เจ้าของของมันกลับยังไม่ปรากฏตัว


นางคิดในใจว่า ที่นั่งก็มี โต๊ะก็มี เก้าอี้ก็วางไว้ตรงมุมห้องอย่างเหมาะเจาะกับการรอคอยอย่างสงบสุข แต่นางกลับเลือกที่จะนั่งตรงนี้ บนเตียงที่เขาอาจเคยเอนตัวลง บนผ้าห่มที่เขาอาจเลือกเองหรือสั่งคนมาเตรียมไว้ เพราะบางที…มันคือสิ่งที่ใกล้เขาที่สุดในตอนนี้ เธอรู้ดีว่ามันไม่มีเสียงตอบกลับใดในห้องนี้ หากเธอถามว่า จะกลับมาจริงหรือไม่ หรือ ท่านยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า ไม่มีสิ่งใดจะตอบคำถามพวกนั้นได้ จนกว่าเขาจะเปิดประตูเข้ามา


หลินหยาพิงหลังกับเสาเตียง ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ยิ้มที่ไม่ได้มาจากความสุข หากแต่มาจากการยอมรับว่า เธอยังทำใจไม่ได้ที่จะไม่รักเขา ทั้งที่เห็นด้วยตา ทั้งที่ใจเจ็บแทบตาย แต่เธอก็ยังรอ รอในห้องเงียบ ๆ ที่กลิ่นของเขายังอยู่ เงาของเขายังห่มอยู่เต็มพื้นที่ และเตียงนี้...ที่นางนั่งอยู่ตอนนี้ก็ยังอุ่นด้วยอำนาจที่ชื่อว่า "จางกงกง"



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาหั่นรอบต่อไป 555555 ขยันหั่น หั่นเก่ง ขอหวาน ๆ ได้ไหมมม

รางวัล:  -



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 106710 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-14 17:10
โพสต์ 106,710 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-14 17:10
โพสต์ 106,710 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-14 17:10
โพสต์ 106,710 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-14 17:10
โพสต์ 106,710 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-14 17:10
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-14 17:10:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 14 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามไห่ ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋น เมืองหานตาน มณฑลจี้โจว จักรวรรดิต้าฮั่น

Part.3 ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋น


เวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดไม่มีใครรู้ หลินหยาเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเธอนั่งนิ่งอยู่บนเตียงนั้นมานานแค่ไหน ดวงจันทร์ลอยสูงจนมุมเงาเปลี่ยนตำแหน่งบนพื้นห้องอย่างเงียบงัน อาจจะครึ่งชั่วยาม หรืออาจนานกว่านั้น หากไม่ใช่เพราะเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบานอกห้อง เสียงที่เธอจดจำได้ดีแม้จะไม่เคยตั้งใจจะจำ มันนุ่มนวลอย่างผิดปกติ ราวกับไม่เคยเดินบนโลกที่เต็มไปด้วยโคลนเลือด แต่กลับหนักแน่นพอจะทำให้หัวใจในอกของเธอสะดุ้งไหว ดวงตากลมโตคู่นั้นที่ก่อนหน้านี้เลื่อนลอยพลันหันไปมองบานประตูราวกับมีแรงดึงดูดจากอีกฟากหนึ่ง และเมื่อเสียงบานประตูเปิดออกอย่างเชื่องช้า เงาร่างสูงในชุดดำของจางกงกงก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในแสงตะเกียง


เขาไม่พูด ไม่เอ่ยสักคำ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นในกรอบประตู เงาที่ทอดจากร่างของเขาพาดยาวเข้ามาถึงกลางห้อง ร่างสูงในชุดดำสนิทไร้รอยเปื้อนเลือดใด ๆ เส้นผมเรียบร้อยถูกมัดไว้หลวม ๆ หลังท้ายทอย แต่ในมือนั้นยังถือกระบี่เล่มเดิมเอาไว้ ไม่ใช่เพื่อขู่ ไม่ใช่เพื่อจงใจเผยอำนาจ แต่เป็นเพียงการ ‘ถือมันไว้’ ประหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่เขาไม่อาจสลัดทิ้ง


สายตาของเขาไม่เหลือความตกใจแบบที่มีบนศาลเจ้า แต่กลับเป็นสายตาที่จ้องมองหลินหยา ราวกับกำลังอ่านความคิดนางทุกตัวอักษร ทุกลมหายใจ และทุกบาดแผลที่ยังเปิดอยู่ในอก เธอยังคงอยู่ที่เดิม...อยู่บนเตียงที่เขาใช้หลับนอนในช่วงที่ผ่านมา ไม่หนี ไม่ซ่อน ไม่เอ่ยแม้สักคำตำหนิ


ดวงตาของจางกงกงวูบไหวเล็กน้อย ความรู้สึกหนึ่งบางเบาอาจพาดผ่านในเงาสบตานั้น แต่ไม่ทันให้หลินหยาได้ไขว่คว้า เขาก็ขยับอีกครั้งมือเรียวยาวเอื้อมไปจับลูกบิดแล้วดึงบานประตูปิดลงเบา ๆ เสียงมันคลิกปิดช้า ๆ และตามด้วยเสียง “แกร๊ก” ของกลอนที่เลื่อนลงล็อกอย่างแน่นหนา ไม่ได้ดังเพราะแรง แต่มันดัง...เพราะความเงียบในห้องนี้เกินพอจะทำให้ทุกเสียงเด่นชัดราวค้อนกระทบใจ


หลินหยายังคงนั่งนิ่งบนเตียง ดวงตาคู่นั้นจ้องการกระทำของเขาราวกับต้องการเข้าใจความหมายแต่ก็รู้ดีว่าไม่อาจเข้าใจเขาได้ทั้งหมดเหมือนทุกครั้ง มือเล็กทั้งสองของเธอวางบนตักอย่างนิ่งสนิท ไม่ได้กำ ไม่ได้สั่น มีเพียงความอุ่นในอกที่กลายเป็นความปั่นป่วนเกินจะกลั่นกรอง เธอรู้ดีว่า...เขาล็อกกลอนไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยของเธอ แต่เพื่อไม่ให้เธอ “ออกไป”


การปิดประตูนั้นคือการกันโลกภายนอกออกไป และการล็อกกลอนนั้น...คือการกันเธอออกจากโลกภายนอก


สายตาของเขาจ้องมองเธอในความเงียบที่ยาวนาน ราวกับกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังไม่พูดออกมา มีเพียงดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่นางเคยหลงรักเพราะมันเย็นชาเกินคาดเดา แต่ตอนนี้กลับทำให้นางหวั่นใจยิ่งกว่าเดิม เพราะเธอไม่รู้แล้วว่าเขาคิดอะไรอยู่ ไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังแววตานั้น...คือคำขอโทษ หรือคำพิพากษา


หลินหยายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เงียบ ไม่เอ่ยถาม ไม่หลบตา

ขณะจางกงกงยืนอยู่ตรงนั้น เงียบ ไม่อธิบาย ไม่ขยับเข้ามา


มีเพียงระยะระหว่างกัน ที่แน่นิ่งและอึดอัดพอจะทำให้คำพูดไหน ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์หากไม่เอ่ยด้วยใจ นี่คือคืนที่พวกเขามีเพียงกันและกัน ในห้องหนึ่ง ห้องที่กลายเป็นห้องขังของหัวใจทั้งสองดวงที่ไม่รู้ว่าจะปลดกลอนออกได้อีกไหม


จางกงกงยืนนิ่งตรงประตูราวกับเงาแห่งความมืดที่หยัดกายขึ้นมามีชีวิต แววตาคมลึกจ้องมองร่างบางที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างแน่นิ่ง ไม่มีคำพูด ไม่มีคำถาม มีเพียงแค่สายตา สายตาที่กรีดเฉือนทุกจังหวะหายใจของเขาเองทุกวินาทีที่ผ่านไป ความเงียบของหลินหยานั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดไว้ ไม่ใช่สายตาหวาดกลัว ไม่ใช่เสียงกรีดร้อง หรือคำด่าทอ แต่นางแค่...อยู่ตรงนั้น จ้องเขาอย่างไม่หลบ ทั้งที่ควรจะหนี ทั้งที่ควรจะโกรธ ทั้งที่ควรจะตะโกนใส่หน้าว่า เจ้ามันปีศาจ


ทว่า...เสี่ยวหยาของเขากลับไม่พูดและนั่น...กลับเจ็บยิ่งกว่าคำใด


มือของเขาที่วางบนด้ามกระบี่เริ่มเกร็งโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกภายในใจเริ่มแตกกระจายราวหยดพิษในถ้วยน้ำชา ไม่ใช่ความลังเล ไม่ใช่ความสับสน แต่มันคือความเจ็บปวดอย่างที่เขาไม่เคยมีต่อใคร เพราะหากเป็นคนอื่น หากเป็นใครหน้าไหนก็ตามที่กล้าตามเขาไปจนถึงศาลเจ้านั้น แล้วเห็นเห็นทุกหยดเลือด เห็นทุกร่างที่เขาล้มมันลงกับมือตัวเอง เขาจะไม่ลังเลแม้สักชั่วลมหายใจ เขาเคยฆ่าคนทั้งกลุ่มเพียงเพราะพวกมันรู้ข้อมูลที่ไม่ควรรู้ เคยวางยาทั้งขุนนางเฒ่าตระกูลใหญ่เพียงเพราะมันหันหัวไปหาศัตรู เคยตัดลิ้นขันทีข้างกายโดยไม่กระพริบตา เพราะเสียงมันแผ่วไปหนึ่งพยางค์


สำหรับเขา “ความผิดพลาด” ไม่มีอยู่ในสมการของชีวิต


แต่ตอนนี้...หลินหยานั่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับภาพศพนับสิบที่นางเห็นกับตา พร้อมกลิ่นเลือดที่ยังไม่จางจากปลายชายผ้า พร้อมความเงียบที่นางเอาไว้บีบคอเขาช้า ๆ โดยไม่ต้องยื่นมือ เขาเคยคิดว่า หากวันหนึ่งนางล่วงรู้ความลับบางอย่าง เขาจะเป็นฝ่ายจัดการ จะปิดปากอย่างนุ่มนวลที่สุด หากจำเป็นก็จะปล่อยให้นางหายไปจากโลกนี้โดยไม่รู้สึกแม้แต่นิดเดียว แต่ในตอนนี้...กลับไม่สามารถแม้แต่จะ “คิด” ถึงการยื่นมือไปแตะปลายนิ้วของนางในฐานะเพชฌฆาต


เพราะเธอคือ “เสี่ยวหยา” ของเขา เสี่ยวหยาที่ครั้งหนึ่งเคยชูผลไม้เปรี้ยวหวานขึ้นมาแกล้งเขา เอียงหัวหัวเราะใส่เขาตอนเขาทำหน้าตึง เสี่ยวหยาที่ครั้งหนึ่งเคยกล้ากระซิบข้างหูว่า ถ้าท่านเหนื่อยนัก...ก็พักกับข้าตรงนี้เถิด หรือกระทั่งเสี่ยวหยาที่ชกหน้าเขาอย่างไม่กลัวสิ่งใด หรืออ้อนวอนขอความตายกับเขา


แม้เขาจะหัวเราะใส่นางตอนนั้น แต่เขากลับไม่มีวันลืมคำพูดนั้นเลย


เขาไม่เคยให้ใจใคร และไม่คิดจะให้เพราะใจเขาไม่เคยมีสิ่งใดเหลือพอจะให้ใครตั้งแต่เลิกเป็นมนุษย์ แต่หลินหยา...ค่อย ๆ แหวกม่านพิษที่เขาสร้างขึ้นมาปกป้องตัวเอง ตอนนี้เขาไม่แน่ใจอีกต่อไปแล้ว ว่าความผูกพันที่เคยเป็นแค่ประโยชน์ที่ใช้จัดวางหญิงสาวผู้หนึ่งไว้ในหมากของเขานั้น…ยังคงอยู่ในขอบเขตเดิมหรือไม่


ใจของเขามันเปลี่ยน เพียงเล็กน้อย แต่เล็กน้อยนั้น...กลับลึกพอจะฝังราก และนั่นทำให้เขา เกลียดตัวเองยิ่งกว่าเดิม


เขาเกลียดที่ไม่สามารถฆ่านางได้เหมือนคนอื่น เกลียดที่เงาของนางกลับตามเขาแม้ในความฝัน เกลียดที่น้ำเสียงของนางกลับเป็นสิ่งเดียวที่เขาจดจำ…แม้ในยามที่เลือดเปื้อนมือ เขาขบกรามแน่น ริมฝีปากเม้มชิด เสียงของหัวใจเต้นในอกกลับไม่สงบอย่างเคย ความรู้สึกเยียบเย็นที่เขาสร้างขึ้นมาทั้งชีวิตกลับแหลกสลายเพียงเพราะสายตานั้น สายตาของนางที่มองเขาในยามที่ไม่ควรมอง แต่เขายังไม่พูดอะไร เพราะเขารู้ดีว่าหากพูด…สิ่งที่หลุดออกมาจะไม่ใช่คำแก้ตัว แต่จะเป็นความโกรธ…ความเสียใจ…และบางทีคือความอ่อนแอที่เขาไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองมี


กระบี่ในมือนั้นยังเย็นเฉียบ แต่ใจของเขากำลังลุกไหม้ด้วยสิ่งที่เขาไม่สามารถฆ่าทิ้งได้ และเมื่อเขามองหลินหยาอีกครั้ง...เขารู้ดีว่า หากนางเอ่ยเพียงคำเดียวที่เขาไม่อยากฟัง เขาอาจจะ...หายไปจากห้องนี้ และไม่กลับมาอีกเลย แต่ถ้านางพูดว่า จะฆ่าข้าหรือ? เขาก็ไม่แน่ใจว่า...คำตอบจะเป็น “ไม่” ได้จริงหรือไม่ นั่นคือความอันตรายของจางกงกงที่แท้จริง


เขาไม่ได้แค่ทำร้ายคนอื่นอย่างเลือดเย็น แต่ยังสามารถทำร้ายหัวใจของตัวเอง...ได้อย่างเลือดเย็นเช่นกัน


จางกงกงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเพียงครู่ก่อนจะขยับ ร่างสูงในชุดดำขลับเคลื่อนตัวอย่างเงียบงันราวเงาของรัตติกาลที่ไหลรินผ่านผนังห้อง ร่างของเขาหลุดออกจากประตูที่ถูกล็อกไว้ด้วยมือของตนเอง เคลื่อนไปหยุดตรงหน้าโต๊ะไม้จันทน์ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ก่อนจะวางกระบี่ในมือลงบนผิวไม้ด้วยน้ำหนักอันแน่วแน่ เสียงโลหะกระทบกับเนื้อไม้ดัง "กึก" แผ่วเบา แต่กรีดเฉือนบรรยากาศทั้งห้องให้ตึงขึ้นในฉับพลัน กระบี่ของจางกงกงไม่เคยอยู่ห่างจากตัวเขา หากไม่ใช่เพราะมีบางสิ่งที่เขาต้อง "แสดงออก" ด้วยวิธีอื่นแทน


เขาหันกลับมา สายตาคมลึกของชายผู้ไม่เคยยอมให้ความผิดพลาดมีช่องโหว่ไหลผ่าน เขามองตรงไปยังหลินหยา หญิงสาวเพียงคนเดียวในโลกนี้ที่เขาไม่อาจใช้น้ำเสียงคำสั่งใส่ได้เต็มปาก แต่ก็ยังต้องใช้พลังของความแน่วแน่กลืนลงในถ้อยคำที่เขากำลังจะเปล่งออกไป เสียงทุ้มต่ำและเยียบเย็นค่อย ๆ หลุดจากริมฝีปากของเขา ราบเรียบราวกับบทบัญญัติที่ไม่มีการต่อรอง ไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง ไม่มีพื้นที่ให้หนีหลบได้เลยแม้ครึ่งก้าว


"เสี่ยวหยา..." น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น แต่ไม่แข็งกร้าว เป็นความเงียบงันที่อัดแน่นด้วยแรงกดดันชนิดที่แม้แต่ความมืดในห้องยังเหมือนแน่นขนัดมากขึ้น "...เจ้าจงรับปากข้าว่า...เจ้าจะไม่พูดเรื่องที่เห็นในศาลเจ้าจิ้งอวิ๋นนั่น...ออกไป" คำพูดแต่ละคำของเขาหนักแน่นราวกับตรึงไว้ด้วยตะปูเหล็ก เขาเดินเข้ามาใกล้ หลินหยาที่นั่งอยู่บนเตียงหันหน้าขึ้นสบตากับเขาทันทีโดยไม่หลบ หากแต่ภายในอกกลับเต้นระรัวเหมือนใครจับมันไปบิดเบี้ยวอยู่ใต้ฝ่ามือ


“ขอให้มันหายไป วันนี้ คืนนี้” เขาพูดชัด ริมฝีปากเม้มแน่น สายตาจ้องตรงเข้าไปในดวงตานางไม่ละแม้เพียงกะพริบตาเดียว มันไม่ใช่แค่การขอแต่มันคือคำขอร้องที่มีราคาของการมีชีวิตอยู่


เขาไม่ยกกระบี่ขึ้นขู่ ไม่แสดงท่าทีคุกคาม แต่น้ำเสียงนั้น...กลับเย็นเสียจนเหมือนมือเปล่าของเขากำลังจ่อมีดอยู่ที่ลำคอเธออยู่แล้ว เป็นคำพูดที่ราวกับมีดสั้นบางเฉียบเสียบผ่านขั้วหัวใจ


หลินหยานั่งนิ่ง สองมือวางอยู่บนตักตามเดิมแต่กำแน่นขึ้นเล็กน้อย เธอจ้องดวงหน้าของเขา...หน้าที่ปกติแฝงรอยยิ้มแสนรู้แต่ตอนนี้กลับจริงจังเสียจนแม้แต่ดวงจันทร์ยังไม่กล้าทอดแสงผ่านม่านบางนั้นลงตรงกลางใบหน้าเขา สายตาของเขามีแรงบางอย่างที่เธอรู้จักดี ไม่ใช่แค่แรงกดดันของคนที่กำลังปกป้องภารกิจ...แต่คือแรงของคนที่กำลังปกป้อง ‘ความจริงบางอย่าง’ ที่เขาไม่อยากให้เธอแตะต้อง เขากำลังจะตัดโลกของเขาออกจากโลกของเธอ เขากำลังจะทิ้งเลือดและศพไว้ในอดีต และยื่นมือเปล่า ๆ มาหาเธอ 


"ขอแค่เจ้ารับปาก…เสี่ยวหยา"


หลินหยายังคงเงียบ ใบหน้าของนางนิ่งอย่างผิดปกติ ดวงตาเบิกกว้างอย่างสั่นไหว แต่ปากกลับเม้มแน่น ไม่ยอมเอ่ยคำตอบ ราวกับในใจเธอกำลังต่อสู้กับบางสิ่งอย่างดุเดือด เพราะการรับปาก…เท่ากับเธอจะกลายเป็นอีกคนที่ยินยอมให้อำนาจอยู่เหนือความตาย เท่ากับเธอจะกลืนความจริงที่เห็นลงไปในลำคอ และทำเป็นว่าไม่เคยเกิดขึ้น เท่ากับว่า...เธออาจไม่ใช่เธออีกต่อไป


แต่สายตาของเขา...กำลังกดดันให้เธอ "เป็น" ผู้สมรู้ร่วมคิดโดยไม่ต้องมีคำใดเขียนไว้ในสัญญา เป็นผู้รับรู้ความลับที่ไม่มีใครควรรู้ และยินยอมเก็บมันไว้ใต้ลิ้นตลอดชีวิต


หลินหยามองเขา ไม่หลบ เธอกำลังเงียบแต่ความเงียบนั้นไม่ใช่ความกลัว มันคือความลังเล...ของผู้ที่รู้ดีว่า หากตอบตกลง เธอจะไม่มีวันกลับไปเป็นหญิงสาวคนเดิมได้อีกเลย


จางกงกงยังคงยืนอยู่ตรงหน้าเตียง เสียงลมหายใจของเขาเงียบสนิทแต่หนักอึ้งราวกับพายุใต้ผิวน้ำ มือข้างหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างเฉื่อยช้าแต่มั่นคง เขายื่นออกไปโดยไม่ขออนุญาต ไม่ลังเล ไม่รั้งตนเองแม้เสี้ยววินาที ปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะลงบนไหล่ของหลินหยาอย่างจงใจ ทุกอย่างในสัมผัสนั้นแฝงด้วยความเป็นเจ้าข้าว่าเจ้า ไม่ใช่ในฐานะหญิงสาวธรรมดา แต่ในฐานะ “ของเขา” ที่เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เดินหลุดจากกรงที่เขาแกะสลักไว้ด้วยมือเปื้อนเลือดนี้ มือของเขากดเบา ๆ ไม่รุนแรง ไม่รีบร้อน แต่แฝงแรงกดแปลกประหลาดอย่างคล้ายจะบังคับไม่ให้เธอลุก ไม่ให้เธอขยับ ไม่ให้เธอ หนี


เขารู้ดี...เธอจะไม่สะบัดไหล่ออก เพราะเธอเป็นหลินหยาที่กลืนความกลัวไว้หลังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเสี้ยวนั้นทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ เขาก้มลงเล็กน้อยจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น ตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของนางสะท้อนแสงตะเกียงเลือนราง เขาเห็นภาพของตนเองในแววตานั้น...ภาพที่บิดเบี้ยว ซ้อนทับระหว่างจางกงกงผู้ที่นางเคยไว้ใจ กับจางกงกงผู้ที่ลงมือฆ่าคนราวกับตัดกลีบดอกไม้ทิ้งยามว่าง


เสียงของเขาเอื้อนเอ่ยอีกครั้ง คราวนี้ชิดกว่าเดิม ต่ำกว่าเดิม และ... เย็นยิ่งกว่าเดิม


“เจ้ารับปากข้าเสีย เสี่ยวหยา...ห้ามพูดถึงสิ่งที่เจ้าเห็น ห้ามแม้แต่จะจำ ห้ามแม้แต่จะนึกถึงมันในยามหลับ ให้มันตายไปพร้อมเลือดบนพื้นศาลเจ้านั่น” เขาพูดช้า ๆ ทีละคำ ทีละพยางค์ ราวกับกลัวว่าเธอจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังยัดเยียดลงไปในสมองเธอด้วยมือตัวเอง “ลืมมันซะ เสี่ยวหยา ลืมมันให้หมด...” เสียงของเขาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่ตะโกน ไม่ใช่คำราม แต่มันเต็มไปด้วยแรงกดราวกับใครเอามีดอาบน้ำแข็งมาบีบกรามเธอไว้


เขากำลังย้ำซ้ำ ย้ำหนัก ย้ำชัดและในน้ำเสียงนั้นมีบางอย่างสั่นอยู่ภายใน มันไม่ใช่แค่การกลัวความลับรั่วไหลแต่มันคือ “ความหวาดกลัว” ลึกที่สุดของเขา 


กลัวว่าเธอจะมองเขาเปลี่ยนไป

กลัวว่าสายตาของเธอจะไม่ใช่สายตาเดิม

กลัวว่าจำต้องสังหารนางให้ตายตก

กลัวว่าวันหนึ่งเขาจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะอยู่ในความทรงจำของนางในฐานะ “คน”


มือของเขาที่วางอยู่บนไหล่เธอค่อย ๆ กดลงนิดหนึ่ง แล้วเสียงทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันแผ่ว แต่อันตรายจนเหมือนเงามืดซึ่งคลานขึ้นจากใต้เตียง "...เจ้ากลัวข้าหรือไม่ เสี่ยวหยา" คำถามนั้น...ไม่ใช่คำถามธรรมดา มันคือกับดัก มันคือคำถามของคนที่พร้อมจะหัวเราะ หากได้ยินคำว่า “ไม่” และพร้อมจะ พัง ทุกอย่างหากได้ยินคำว่า “ใช่”


หลินหยาเงยหน้าขึ้นจ้องเขา ไม่ใช่เพราะอยากท้าทาย แต่เพราะเธอไม่สามารถละสายตาจากดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นไร้ปรานี ทว่าภายใต้รอยเรียบนิ่งนั้นกลับซ่อนบางสิ่งไว้มากเกินไปมากเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ เขาเป็นผู้ชายที่ถ้าเธอตอบว่า “กลัว” เขาอาจจับนางให้จ้องใบหน้าแสนกลัว แต่ถ้าเธอตอบว่า “ไม่กลัว” เขาอาจฆ่าเธอเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าเธอควรกลัว เขาไม่ใช่คนปกติและเธอก็รู้ดี


เขาคือบุรุษที่ฝังศพพร้อมรอยยิ้ม คนที่พูดคำว่ารักด้วยน้ำเสียงเดียวกับตอนพูดคำว่าฆ่า และตอนนี้ เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ กดไหล่เธอไว้ และถามว่ากลัวข้าหรือไม่ มันไม่ใช่แค่การถาม...แต่มันคือคำประกาศว่า ข้าจะไม่ยอมให้อะไรหลุดมือไปอีก แม้แต่เจ้า และถ้าคำตอบของเธอ...ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้ยิน บางที มือที่เคยอ่อนโยนตอนแตะข้อมือเธออาจจะเปลี่ยนเป็นมือที่ปิดปากเธอไปตลอดกาล


หลินหยายังคงนั่งนิ่งบนเตียงไม้จันทน์ ผ้าม่านสีขาวอ่อนปลิวไหวเบา ๆ ตามแรงลมจากหน้าต่างที่แง้มไว้ แต่ภายในห้องกลับเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองชัดเจน เธอมองมือของเขาที่แตะอยู่บนไหล่ นิ่ง เงียบ รู้สึกถึงแรงกดบางเบาที่มากพอจะเตือนให้เธอรู้ว่า...ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ตรงปลายเชือกเส้นบางที่ขึงระหว่างชีวิตและความตาย สายตาของเขาจ้องมาไม่กระพริบ แววตาเรียบนิ่งราวกับประตูห้องขังที่ไม่มีใครรู้ว่าภายในเก็บอะไรไว้ แต่ยิ่งมองนานเท่าไหร่ เธอกลับยิ่งแน่ใจว่าข้างในนั้นเต็มไปด้วยความสับสน...และความกลัว


หลินหยาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สูดลมหายใจหนึ่งเข้าปอดอย่างแน่น ก่อนพ่นมันออกมาเบา ๆ แล้วจึงเอ่ย เสียงของเธอไม่สั่น ไม่แหลม ไม่หวีด แต่แผ่วลงอย่างมั่นคงราวกับคนที่ตัดสินใจบางอย่างแล้ว 


“กลัวเจ้าค่ะ...” เธอพูดเสียงเรียบ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนทอดมองใบหน้าคมกริบของเขาอย่างสงบ ราวกับไม่ได้ตอบเพียงเพื่อตัวเอง แต่เพื่อตัวเขาด้วย “ข้ากลัว” คำคำนั้นหลุดออกจากปากของนางด้วยความตรงไปตรงมาราวกับคำสารภาพในห้องศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับเป็นคำที่แทงเข้าอกจางกงกงหนักกว่ากระบี่ใดที่เขาเคยถือ


“ข้ากลัว...ว่าท่านจะไม่มีหัวใจ” น้ำเสียงของนางยังคงนิ่งราบ แต่แววตากลับสั่นไหว เธอเอ่ยต่อโดยไม่หลบตาเขา “กลัวว่าท่านจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป…กลัวว่าท่านอาจกำลังกลายเป็นบางสิ่งที่กระทั่งข้าก็ไม่มีวันเอื้อมถึงได้อีก” เธอยิ้มอ่อน ๆ แบบที่คนกล้าหาญมักยิ้มเมื่อตนเองแพ้ ยิ้มของคนที่รู้ว่าตนเองอาจต้องตาย แต่ก็ยังยอมเลือกยืนอยู่ตรงนี้ เสมอเขา ไม่ขยับถอยแม้แต่นิ้วเดียว


“ข้ากลัวว่ากระทั่งข้า...ก็ไม่อาจรั้งท่านไว้ได้อีก”


ดวงตาของนางจ้องขึ้นตรง ๆ แสงตะเกียงส่องเงาบางเบาลงบนใบหน้าหวานที่บัดนี้ไม่มีอะไรหลอกลวง ไม่มีอะไรซ่อนเร้น ไม่มีมารยา มีเพียงใจเปลือยเปล่าของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่ยอมเปิดให้ชายตรงหน้าดู…แม้รู้ว่าอาจโดนหักทิ้งโดยไม่ลังเล แต่แล้ว...หลินหยากลับเอ่ยต่ออย่างแผ่วเบา น้ำเสียงนั้นไม่ใช่การกล่าวโทษ หากแต่เป็นคำถามที่ราวกับยื่นปลายมือให้เขาตัดสินชีวิตเธอด้วยความเงียบ “แต่ตอนนี้...ข้าก็พอจะรู้สึก” เธอพูดช้า ๆ อย่างชัดเจน “ว่าท่านเองก็อาจมีบางสิ่ง...ที่ท่านกลัวเหมือนข้า” เธอยิ้มอีกครั้ง คราวนี้บางยิ่งกว่าครั้งก่อนแต่คมกว่า ยิ่งกว่ากระบี่ในฝักของเขา


“ท่านกลัวว่าหากข้าพูดออกไป เพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้...ท่านจะต้องฆ่าข้า ให้ตายตกตามคนเหล่านั้น ใช่หรือไม่?” คำถามนั้นดังก้องในอากาศราวเสียงระฆังที่ตีตอนเที่ยงคืน มันไม่ต้องการคำตอบ เพราะเธอรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว


จางกงกงนิ่งงัน เขามองนางโดยไม่กะพริบตา เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนตรงที่เขายืนอยู่ ใบหน้าของเขายังเยือกเย็น แต่ดวงตากลับสั่นไหวบางสิ่งบางอย่างที่แม้แต่เขาเองก็พยายามซ่อนไว้สุดแรง และนั่น...คือจุดที่เขารู้ตัวชัดเจน หลินหยาไม่ใช่หญิงสาวในแผนของเขา ไม่ใช่คนที่เขาจะจัดวางไว้บนกระดานหมากอีกต่อไป แต่เป็นเงาสะท้อนในใจที่เขาฆ่าทิ้งไม่ได้ และหากเขาต้องฆ่านาง…เขาเองต่างหากที่จะตาย


ตายทั้งเป็น


จางกงกงเงียบไปชั่วขณะหลังได้ยินคำตอบของหลินหยา ใจของเขาขยับราวกับถูกคลายโซ่ที่พันธนาการไว้แน่นหนาในอก แต่ในขณะเดียวกันก็มีบางสิ่งรัดแน่นมากขึ้นแทนที่ บางสิ่งที่ไม่มีชื่อเรียก หากแต่เขารู้ดีว่ามันกำลังกัดกินเขาอยู่เงียบ ๆ จากภายใน ไม่ใช่ความกลัว ไม่ใช่ความเสียใจ แต่คือความรู้สึกอันคลุมเครือที่มีเพียงเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินหยาผู้เดียวเท่านั้น เขาย่อตัวลงช้า ๆ เงียบ ๆ จนดวงหน้าเรียวคมของเขาอยู่เสมอกับระดับสายตาของนาง ร่างสูงนั่งพิงข้างเตียง มือที่เคยถือกระบี่เปื้อนเลือด ค่อย ๆ ยื่นขึ้นไปอย่างแผ่วเบา เกลี่ยปลายนิ้วแตะลงที่แก้มของนาง แก้มกลมนุ่มที่เขาเคยแค่แกล้งพูดว่าอยากบีบมันสักที แต่นางก็จะทำหน้างอ เงื้อแขนเหมือนจะฟาดเขาทุกครั้งที่เขาพูดเช่นนั้น จนกลายเป็นเรื่องเล่นสนุกเล็ก ๆ ระหว่างเขาและนาง...ในวันที่พวกเขายังหัวเราะใส่กันได้


ตอนนี้...นิ้วของเขาได้สัมผัสมันจริง ๆ แต่มันไม่เหมือนเดิม เพราะหัวใจของเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว


เขาเกลี่ยช้า ๆ ราวกับกลัวว่าหากแรงเกินไป เธอจะสลายไปตรงหน้า เงาสะท้อนของใบหน้านางในตาสีเข้มของเขาแน่นิ่งราวกับจางกงกงกำลังพยายาม “จำ” ทุกเสี้ยวของเธอเอาไว้ให้แน่นที่สุดก่อนที่บางสิ่งในโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอีก เขาเอ่ยเสียงแผ่วลงแต่มั่นคง ช้า ชัด และเด็ดขาดในทุกพยางค์ “ข้ามาทำภารกิจลับ...ให้ฝ่าบาท” คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าแลบในยามค่ำคืนไม่ใช่เพราะหลินหยาไม่เคยสงสัยแต่เพราะเขาพูดมันออกมาด้วยเสียงของคนที่ไม่ได้ต้องการให้นางเห็นใจแต่ให้นางเข้าใจ


“ก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จลงใต้อย่างลับ ๆ ...พระองค์ทรงเรียกข้าเข้าพบ และมอบหมายภารกิจนี้ให้เป็นการลับ” เขาเว้นจังหวะชั่วครู่ มือยังเกลี่ยแก้มนางอยู่ไม่ขาด แม้ใบหน้าจะยังเรียบนิ่งแต่เสียงกลับหนักแน่นราวกับตัดสินมาแล้วนับพันครั้งในใจ “ขุนนางผู้นั้น ที่เจ้าเห็น ผู้คนคิดว่าเป็นคนดี ที่ทุกคนสรรเสริญว่าเคร่งครัด ยุติธรรม เสียสละเพื่อบ้านเมือง...มันเสแสร้ง มันหลอกลวง” เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย น้ำเสียงไม่เปลี่ยน แต่แฝงความเย้ยหยันเจือเลือดน้อย ๆ “เบื้องหลังมัน กลับแอบติดต่อกับเผ่าปีศาจ นำสมบัติลับออกนอกด่าน ปล่อยข่าวให้พวกมันโจมตีเมืองหน้าด่าน เพื่อเรียกงบประมาณในการเสริมกำแพงตนเอง แล้วปั่นป่วนศัตรูให้ดูเหมือนผู้กล้าผู้เสียสละ”


“ฝ่าบาทพระองค์ต้องการความเงียบ ไม่ต้องการเสียงศาล ไม่ต้องการพิธีกรรมตัดสินใด ๆ” เขาพูดชัดทุกถ้อยคำ ขณะที่แววตาจ้องตรงเข้าไปในดวงตาของหลินหยาโดยไม่ละ “พระองค์ต้องการให้ทุกอย่าง ‘หายไป’ จากโลกใบนี้” แล้วเขาก็พูดต่อ เสียงต่ำลงอีก แต่ทุกถ้อยคำกลายเป็นดาบเฉือนบางสิ่งในอกหลินหยาอย่างแม่นยำ “เหล่าทหารคุ้มกันของมัน ฮูหยินของมัน ลูกในจวนมัน...ทุกคน ข้าต้องสังหารทั้งหมด”


“อย่าปล่อยเสือเข้าป่า หลินหยา” เขาเรียกชื่อเต็มของเธอ ไม่ใช่แค่เสี่ยวหยาอีกต่อไป เพราะคำนี้...เขาต้องการให้เธอฟังในฐานะ ‘ผู้เห็นความจริง’ ไม่ใช่ในฐานะหญิงสาวที่เขาเคยแกล้งเล่น “หากปล่อยให้มันตายแค่คนเดียว เรื่องที่มันทำจะกลายเป็นความจริงที่พระองค์ต้องรับผิดชอบ” เสียงเขาเริ่มกระชากลมหายใจ แววตาแปรเปลี่ยนเป็นประกายแห่งคนที่ยอมมือตัวเองเปื้อนเลือดแทนฝ่าบาท “แต่หากทุกคนตายในศาลเจ้าที่ห่างไกล ไม่มีใครเหลือ ไม่มีพยาน...มันก็แค่ข่าวลือ ไร้มูล ไร้ราก ไร้เสียง”


เขาหยุด เหลือบตาลงมองริมฝีปากนางแล้วจ้องกลับขึ้นใหม่ ชัดเจน ลึกซึ้ง "...เจ้าจะเข้าใจข้าใช่ไหม"


เขาไม่ได้พูดว่า ยกโทษให้ข้า ไม่ได้พูดว่า เชื่อใจข้า แต่พูดว่า เข้าใจ เพราะเขารู้ว่า...ความรักไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างถูกต้อง แต่หากเธอเข้าใจเขาแม้เพียงเศษเสี้ยว แม้จะไม่มีวันยกโทษให้เขา ไม่มีวันรักเขาอีก เขาก็ยัง…ไม่ต้องฆ่าเธอ เพราะนั่น...คือสิ่งเดียวที่เขาทำไม่ได้


หลินหยายังคงจ้องลึกลงในดวงตาของเขา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ น้ำเสียงของเขากระแทกจิตใจนางทุกคำ ทุกพยางค์ชัดเจนเกินจะปฏิเสธ แม้ไม่มีเสียงขอความเห็นใจ แต่ก็เต็มไปด้วยการเปิดเผยบางอย่างที่เขาไม่เคยยอมเปิดกับใคร ทั้งคำอธิบาย ทั้งแววตา ทั้งน้ำเสียง ทุกอย่างที่เขาเปล่งออกมาเหมือนมีดบางเฉียบที่ไม่แทงทันทีหากแต่กรีดช้า ๆ ลึกลงเรื่อย ๆ ในความรู้สึกของหลินหยา และนางไม่ใช่ผู้หญิงโง่เง่าที่จะไม่เข้าใจว่าเบื้องหลังของทุกคำพูดเหล่านั้น...คือสิ่งที่เขาไม่เคยยอมเอ่ยให้ใครฟัง


ในหัวของหลินหยาฉายชัดภาพในหุบเขากระเรียนหลบฟ้า วิญญาณของสนมลั่วซานที่เคยพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านแผ่วเบา “แม้ไท่จื่อจะดีกับเขา...แต่นั่นก็ทำให้เขาเข้าใจว่าที่ไท่จื่อดีกับเขา เพราะพระองค์ต้องการมีดล่าสัตว์เดรัจฉานที่ไม่ต้องถึงขั้นใช้มีดฆ่าโค...” คำเหล่านั้นกรีดลึกในความเงียบข้างใน ทำให้นางมองชายตรงหน้าที่กำลังกลืนความเจ็บปวดและบาปในสายตานิ่งสงบนั้นด้วยความรู้สึกซับซ้อนจนไม่อาจระบุได้ว่ารักหรือสงสาร เจ็บหรือโกรธ


นางเงียบไปครู่หนึ่ง มือของเขายังแตะแก้มนางอยู่เบา ๆ อย่างเชื่องช้า สัมผัสที่ต่างจากคนที่เพิ่งสังหารคนเป็นสิบเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้า มันอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด ราวกับมีแต่เขาเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าตนเองกำลังสั่นอยู่ภายในอย่างบ้าคลั่ง


แล้วหลินหยาก็ค่อย ๆ ยกมือของตนขึ้นอย่างช้า ๆ ขยับปลายนิ้วอย่างลังเลในคราแรก ก่อนที่มือเล็กจะแนบลงบนแก้มของเขาบ้าง เป็นสัมผัสตอบกลับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในความเงียบนี้ ไม่มีใครพูด ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีบทบัญญัติแห่งเหตุผล มีเพียงความเข้าใจที่ไร้คำเอ่ย ฝ่ามืออุ่นของนางแตะบนผิวแก้มของเขาเย็นราวกับผิวกระเบื้องเคลือบที่สวยงามแต่ซ่อนรอยร้าวไว้ภายใน นางมองหน้าเขา มองใบหน้าของชายที่ภายนอกดูเยือกเย็นเฉียบคม แต่นางกลับเห็นความเหนื่อยล้าอันลึกซึ้งที่คนทั่วไปไม่มีวันได้เห็น ริมฝีปากของนางค่อย ๆ ขยับเอ่ยคำถามหนึ่งออกมา ช้า ชัด ละเอียดเหมือนคำสวดที่กล่าวกับวิญญาณ


“…ท่านเหนื่อยไหม?” เสียงเบา ๆ นั้นทำเอาเงาทั้งห้องราวกับชะงักไปทันที


มันไม่ใช่คำถามธรรมดา ไม่ใช่ถ้อยคำหวานปลอบโยนแบบคนทั่วไป ไม่ใช่ถ้อยคำที่เอ่ยเพื่อขอให้เขาหยุด ไม่ใช่เพื่อให้เขาย้อนกลับใจ หรือแสดงความเมตตา แต่มันคือคำถามที่ราวกับมีดกรีดลงไปในหัวใจของจางกงกงโดยตรง เพราะไม่มีใคร...ไม่มีสักคนในโลกใบนี้เคยถามคำถามนั้นกับเขา


ไม่มีสักคนถามเขาว่า เขาเหนื่อยหรือไม่ ไม่มีใครคิดว่าเขาจะมีสิทธิ์เหนื่อยหรือมองว่าเขาเป็น “คน” มากพอจะต้องรู้สึกเหนื่อย แม้แต่ฝ่าบาทหรือตัวเขาเองก็ไม่เคยยอมให้ความรู้สึกนั้นมีอยู่ในตัวตนของเขา


และตอนนี้...หญิงสาวตรงหน้าที่ควรหวาดกลัว ควรโกรธ ควรพร่ำโวยวาย กลับวางมือลงบนแก้มเขาเบา ๆ และถามว่าเหนื่อยไหม


ดวงตาของเขาสั่นไหว วูบเดียว เหมือนเสี้ยววินาทีนั้น โลกทั้งใบจะพังทลายจากความจริงหนึ่งเดียว ว่าเขาเหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกินแต่เขาก็จะไม่พูดมันออกมา เพราะแม้จะมีเพียงหลินหยา ที่มองเห็นความเหนื่อยนั้นได้อย่างชัดเจน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเงียบ เพราะหากเขายอมรับว่าเขาเหนื่อย...เขาอาจจะไม่สามารถกลับไปเป็นคนเดิมได้อีกเลย เขาแค่หลุบตาลงช้า ๆ สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างเงียบงัน แล้ววางมือของตนทับลงบนมือของนางที่แตะแก้มเขา ไม่พูดคำใด...แต่เงียบอย่างคนที่เกือบพังทลาย


จางกงกงนิ่งอยู่เพียงชั่วอึดใจที่เหมือนหยุดโลกทั้งใบไว้ในเสี้ยวนาทีหนึ่ง หญิงสาวตรงหน้าผู้ที่เขาเคยคิดว่าจะไม่มีวันปล่อยให้เข้าใกล้หัวใจ กลับเป็นผู้เดียวที่เอ่ยคำถามง่ายดายที่สุด แต่กลับกลายเป็นคำที่สะท้อนลึกไปถึงรากแก่นของจิตใจที่เขาเก็บซ่อนไว้ใต้ผ้าคลุมแห่งหน้าที่และความเงียบงันมานานนับปี ความเงียบหลังจากนั้นแทบจะกลืนกินทุกเสียงในห้อง มีเพียงปลายนิ้วที่ทาบลงบนแก้มของเขาอย่างอ่อนโยนที่ยังยืนยันว่าความรู้สึกระหว่างพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แม้ทุกสิ่งรอบกายจะคลุ้งด้วยกลิ่นเลือดและการตัดสินใจที่ไร้ทางถอย


เขาหลุบตาลงราวกับคนที่ยอมลดเกราะลงครั้งแรกในชีวิต ไม่ใช่ต่อศัตรู ไม่ใช่ต่อฝ่าบาท ไม่ใช่ต่อหน้าที่หรือความตาย แต่เป็นต่อหญิงสาวผู้นี้ คนที่ไม่เคยแม้แต่จะเรียกร้องสิ่งใดจากเขาเลยนอกจากความจริงใจ และในความนิ่งงันนั้น ใบหน้าคมคายที่มักเรียบเย็นอย่างแปลกประหลาดพลันอ่อนแสงลงเล็กน้อย สายตาที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงและกับดักเงียบสงบลงจนเผยให้เห็นเงาจางของความเหนื่อยล้าที่เขาเก็บซ่อนมาเนิ่นนาน ความเหนื่อยที่ไม่ใช่จากการฆ่า ความเหนื่อยที่ไม่ใช่จากการเดินทาง หรือแม้แต่การวางแผน...แต่เป็นความเหนื่อยจากการที่ต้อง “มีชีวิตอยู่” ใต้หน้ากากที่ไม่มีใครเข้าใจ


ฝ่ามือของเขาที่ยังคงวางทับบนมือของหลินหยาคลายแรงกดลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาสบตานางอย่างช้า ๆ ดวงตาคู่นั้นแม้จะไร้น้ำตา แต่กลับเหมือนมีบางอย่างเจืออยู่ในเงาของม่านแสงที่ทอดผ่าน


แล้วเขาก็เอ่ยถาม...เสียงนั้นไม่ใช่คำขอร้อง ไม่ใช่คำวอนวิง ไม่ได้สั่นไหวหรือนุ่มนวลเกินเหตุ หากแต่เป็นน้ำเสียงที่นิ่ง...สงบ...แต่มนุษย์อย่างที่สุด เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะสามารถเอ่ยถ้อยคำใดออกมาหลังจากผ่านความตายมาทั้งวัน และต้องยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่เขาไม่อาจฆ่า...ไม่อาจปล่อย...และไม่อาจรักได้โดยไม่มีเงาของบาปตามมาทุกลมหายใจ


“...ข้าขออิงแอบพักผ่อนเจ้าได้หรือไม่” เขาเอ่ยช้า ๆ ไม่ก้มหน้า ไม่หลบตา และไม่ได้หลบหนีความหมายของถ้อยคำที่พูดออกมาแม้แต่น้อย เขาไม่พูดว่าเหนื่อย ไม่จำเป็นต้องบอกว่าสิ้นแรง เพราะเพียงแววตาในยามนั้นก็เพียงพอจะเผยความจริงที่เขาไม่เคยเปิดให้ใคร ว่าเขาเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยกับโลกที่เต็มไปด้วยคำสั่ง การทรยศ หน้าที่ ภารกิจ และสิ่งที่เขาต้องตัดสินในนามของคนอื่น


และตอนนี้…เขาแค่อยากพัก


ไม่ใช่บนเตียงหรู ไม่ใช่ในวังหลวง ไม่ใช่ในมุ้งผ้าไหมหรือห้องที่อบด้วยกฤษณาแพงล้ำ แต่พัก...ในดวงตาคู่นี้ของหลินหยา พักในอ้อมกอดที่เขาไม่มีสิทธิ์ขอ พักในรอยยิ้มที่เขาไม่เคยมีคุณค่าพอจะได้รับ พัก...ในความเงียบที่เธอยอมแบ่งให้เขาอย่างไม่ตัดสิน คำถามนั้นไม่มีคำว่า “โปรด” ไม่มีคำว่า “ช่วย” เพราะเขาไม่เคยเป็นคนที่รู้จักวิธีวิงวอน มีเพียงแววตา มีเพียงมือที่ยังกุมมือของเธอ และเสียงที่ยังทุ้มต่ำ เยือกเย็น แต่เจือด้วยความอ่อนล้าอันสั่นไหว


“หากเจ้าถามข้าเช่นนั้น ข้าขออิงแอบพักผ่อนเจ้าได้หรือไม่ เสี่ยวหยา…” เขาพูดย้ำ เหมือนคนที่ทั้งชีวิตเคยถูกใช้เป็นดาบให้คนอื่น แต่วันนี้...เขาแค่อยากได้ที่ให้วางดาบสักครั้งในชีวิต


เขามองนาง มองหญิงสาวตรงหน้าในความเงียบที่ราวกับปลิดเสียงทั้งโลกให้อันตรธานไป ท่ามกลางห้องพักชั้นดีซึ่งเต็มไปด้วยความสงบที่ไม่อาจปลอบโยนบาปในใจของเขาได้ จางกงกงไม่มีคำพูด ไม่มีแม้แต่การฝืนยิ้ม หรือแววตาเย้ยหยันแบบที่เขาใช้กับผู้อื่นเสมอ เขาเพียงปล่อยให้หลินหยาเป็นฝ่ายขยับมือของเขาออกอย่างนุ่มนวล ราวกับแม่แมวย้ายลูกแมวไม่ให้ตกจากขอบผ้านวม แล้วนางก็ค่อย ๆ ขยับตัว ดันร่างน้อย ๆ ของตนให้ขยับไปทางด้านในของเบาะที่นั่งไม้จันทน์นั้น เปิดพื้นที่ว่างให้เขาอย่างเงียบงันโดยไม่แม้แต่จะออกคำสั่งหรือถามซ้ำ


นางจับมือของเขาไว้มั่น มือที่เคยถือกระบี่ฆ่าคนหมู่มากไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ กลับถูกจูงลงมาอย่างอ่อนโยน วางไว้บนตักของนาง ก่อนที่นางจะประคองท้ายทอยของเขา...แล้วนำใบหน้าของเขามาซบลงบนบ่าเล็ก ๆ ข้างซ้ายของตน


ไหล่นั้นแม้จะไม่กว้าง ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนบ่าชายหนุ่ม แต่กลับอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด กลิ่นหอมจาง ๆ จากเนื้อนวลนั้น ไม่ใช่กลิ่นเครื่องหอมของเหล่าสนมในวัง ไม่ใช่กลิ่นธูปกฤษณาที่เขาใช้บูชาท่านอ๋อง ไม่ใช่กลิ่นเลือด ไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ แต่มันคือกลิ่นของชีวิต...กลิ่นของสิ่งมีชีวิตที่มีหัวใจเต้นอยู่ ใจที่ยังกลัว ยังรัก และยังกล้าที่จะโอบรับคนอย่างเขา แม้ว่าเขาจะมีความผิดมากมายเพียงใด


เมื่อเขานอนแนบไหล่นางแล้ว หลินหยาก็ขยับมือขึ้นมาโอบเขาไว้เงียบ ๆ มือเรียวยกขึ้นลูบผ่านเรือนผมดำขลับของเขาอย่างอ่อนโยน แผ่วเบาและสม่ำเสมอ ไม่รีบเร่ง ไม่สะอาดเรียบร้อยแบบขันที ไม่ประณีตเหมือนหญิงชนชั้นสูง แต่มันกลับอ่อนหวานเหลือเกิน นิ้วมือของนางกวาดผ่านเส้นผมเขาราวกับกำลังลูบผ่านเส้นทางของชีวิตที่เขาไม่อาจย้อนคืนได้ ทุกครั้งที่เส้นผมสั่นไหวตามแรงลูบ มันเหมือนความทรงจำเลวร้ายที่คลายเกลียวออกช้า ๆ เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ไม่ต้องสารภาพความผิด ไม่ต้องอธิบายความถูกต้องของภารกิจ เพราะเขารู้ดีว่า...ต่อให้นางจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว


เพียงแค่ตอนนี้ ในห้องเงียบ ๆ ที่มีเพียงเสียงลมหายใจ เขาได้นอนแนบไหล่ของใครคนหนึ่ง...อย่างผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง โดยที่ไม่มีใครเรียกเขาว่า “จางกงกง” ไม่มีใครเห็นเขาเป็นเครื่องมือ ไม่มีใครคิดจะใช้เขาเป็นดาบหรือโล่ของใคร เขาก็แค่เป็นเขา และนางก็แค่...อยู่ตรงนั้น เพื่อรับน้ำหนักความเหนื่อยล้าทั้งหมดของเขาไว้ ไม่มีใครเคยทำเช่นนี้ให้เขา ไม่มีแม้แต่แม่ที่เขาจำหน้าไม่ได้ ไม่มีผู้ใดเคยโอบกอดเขาโดยไม่กลัว หรือโดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน


แต่หลินหยา...กลับทำทั้งหมดนั้น โดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว


ละเขารู้...ต่อให้วันนี้เขาต้องกลับไปสวมหน้ากากเดิม กลับไปถือดาบอีกนับครั้ง ต่อให้เขาจะต้องลงมือฆ่าอีกนับร้อย...เขาก็จะไม่มีวันลืมว่า ไหล่ของนางบ่าของคน ๆ หนึ่งในคืนนี้ เคยเป็นที่ที่เขาได้วางใจลงจริง ๆ สักคราในชีวิต


หลินหยากระซิบเบาเสียงลงในความเงียบที่ล้อมห้องไม้โอ่อ่าและหรูหรานั้นไว้ เธอยังโอบร่างของเขาแนบแน่น ดวงตาเรียวของหญิงสาวทอดมองไปยังม่านบางที่พลิ้วไหวตามลมเย็นยามค่ำคืน ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นน้อย ๆ คล้ายอารมณ์ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในอกทั้งที่เธอพยายามนิ่ง "ข้ามาที่นี่ตามบันทึกของสนมลั่วซาน..." เสียงนั้นไม่ใช่คำกล่าวหา ไม่ใช่คำประณาม ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความหวาดกลัว มีเพียงน้ำเสียงที่สื่อถึงความตั้งใจจะบอกเล่า ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งจากคนหนึ่ง...ไปสู่อีกคนหนึ่ง


"ในบันทึกนั้น...นางเขียนไว้ว่าเคยกลั่นแกล้งท่านในอดีต ข้าเห็นภาพนั้นเห็นทุกอย่าง...ในนิมิต เห็นความเย็นชา ความเจ็บปวด...และความโดดเดี่ยวที่ห่อหุ้มท่านเหมือนม่านหมอก" หลินหยาพูดเบาเหมือนจะกลัวว่าเสียงจะไปรบกวนความเหนื่อยล้าบนบ่าของเธอ


"นางรู้สึกผิด นางอยากขอโทษท่าน..." มือเล็กของเธอยังคงลูบศีรษะเขาอย่างแผ่วเบา ในดวงตาของเธอมีประกายเศร้าเร้นลึก ทั้งเพื่อสนมลั่วซานที่ตายจากไปแล้ว และทั้งเพื่อคนที่ซบไหล่ของเธออยู่ตอนนี้ คนที่ไม่มีแม้แต่โอกาสได้ยินคำขอโทษนั้นด้วยตนเอง "ข้าเลยมาที่นี่ เพราะอยากเป็นปากแทนนาง…อยากบอกว่าในนาทีสุดท้าย นางเสียใจจริง ๆ ที่เคยทำร้ายท่าน ทั้งที่ท่านยังเด็กนัก..." 

 

เสียงของหญิงสาวหยุดลงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อในประโยคที่เปลี่ยนทิศทางของอารมณ์เบื้องลึกจนสิ้นเชิง "...และเรื่องวันนี้" เธอสูดลมหายใจแผ่วเบา "ข้าจะไม่พูดมันออกไป ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเดือดร้อน ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะถูกฆ่าปิดปาก...แต่เพราะข้ารู้ดี ว่าท่านไม่ได้ทำเพื่อความสนุกหรือความคลั่งไคล้ในเลือด" มือที่โอบอยู่แน่นขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงนั้นไม่หวานหยดย้อย ไม่ปลอบประโลมอย่างเยือกเย็น หากแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกราวจะฝังเข็มลงสู่หัวใจของจางกงกงให้ตื่นจากหลุมลึกของตนเอง


"ท่านทำเพื่อบ้านเมือง…ข้ารู้ดี ท่านทำตามคำสั่งของผู้ที่เชื่อว่าท่านจะไม่ผิดพลาด แต่ข้าก็รู้เช่นกัน..." นางหยุดชั่วอึดใจ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา "...ว่าบางครั้งท่านก็ทำเพื่อตัวเองอย่างโหดร้าย"


คำว่า 'โหดร้าย' ที่ออกจากปากของหญิงสาว ไม่ได้กรีดแทงเหมือนมีด มันไม่เสียดสี แต่มันเหมือนน้ำร้อนที่ราดแผลเปิด เปลือยความจริงที่เขาเองก็ไม่อยากยอมรับที่สุดในชีวิต...ว่าเขาไม่ใช่แค่เครื่องมือ ไม่ใช่เพียงผู้รับคำสั่ง เขาคือผู้เลือกลงมือเอง และยิ่งโหดร้าย...ยิ่งรู้สึกมีอำนาจ นั่นคือสิ่งที่เขาใช้ปกป้องตนเองเสมอมา


แต่คืนนี้...ไม่มีอำนาจไหนปกป้องเขาจากน้ำเสียงของนางได้ ไม่มีดาบ ไม่มีกลไกวังหลัง ไม่มีแม้แต่กำแพงน้ำแข็งที่เขาสร้างขึ้นมาตลอดชีวิต หลินหยานั่งอยู่ตรงนั้น โอบเขาไว้ และเปิดแผลให้เขาเห็นตัวเองอย่างชัดเจนที่สุดและเขาจะหนีมันไม่ได้เลย


“หากท่านเหนื่อย” หลินหยาเอ่ยเสียงเบา ลมหายใจอุ่นของนางรินรดเหนือเส้นผมของเขา ขณะที่มือนุ่มยังโอบประคองเขาไว้แนบอก แววตาของหญิงสาวมิได้แข็งกร้าวหรืออ่อนแรง หากแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นคงอันแปลกประหลาด มั่นคงแม้จะหวาดกลัว มั่นคงแม้จะเจ็บปวด และมั่นคงแม้จะไม่แน่ใจว่าใจตนจะทนความแปรปรวนของบุรุษผู้นี้ได้อีกแค่ไหนก็ตาม "ท่านหลับเถอะ..." เสียงของนางช่างนุ่มนวลจนเหมือนกล่อมเด็ก "...ข้าจะไม่ไปไหน"


นางไม่ผละ ไม่หนี ไม่แม้แต่สั่นสะท้านอีกต่อไป แม้เพียงครู่หนึ่งจะได้เห็นใบหน้าของจางกงกงย้อมไปด้วยสีเลือด แม้ความทรงจำยังคงวนเวียนเป็นวงกลมไม่จาง แต่หลินหยาก็ยังเลือกจะอยู่ตรงนี้ อยู่กับเขา


"ข้าจะอยู่ตรงนี้กับท่าน" 


คำมั่นที่เปล่งออกจากปากของหญิงสาวมิได้มีเสียงสาบาน ไม่มีพิธี ไม่มีข้อแม้ มันเป็นเพียงประโยคธรรมดา...แต่ทรงพลังเกินกว่าคำพูดใดจะเทียบได้ในยามที่ความเงียบของห้องทำให้ความโดดเดี่ยวกระจายรอบตัวคนทั้งสองดั่งไอเย็นจากผิวไม้ "แล้วเราจะกลับฉางอันด้วยกัน...ตกลงไหม?" นางเอ่ยโดยไม่เร่งรัด ไม่กดดัน ไม่เรียกร้อง...ทว่าแววตาคู่นั้นมีประกายบางอย่างที่อ่อนโยนและเด็ดเดี่ยว ดวงตาที่เหมือนจะบอกว่าไม่ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร นางจะไม่ปล่อยให้เขาเดินกลับไปในความมืดตามลำพัง


และในชั่วขณะนั้นที่โลกทั้งใบมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบา กับอ้อมแขนอุ่นอ่อนโยนที่รัดเขาไว้อย่างไม่กดขี่ ไม่พันธนาการ จางกงกงจะรู้หรือไม่ว่ามันคือ ‘คำขอ’ ที่ไม่เคยมีใครยื่นให้เขาอย่างแท้จริงมาก่อนในชีวิตอันมืดหม่นนี้เลย


ร่างของเขานิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ไหวติง เนิ่นนานนับอึดใจ ท่ามกลางแสงตะเกียงที่ส่องไหวอยู่เหนือศีรษะและกลิ่นกำยานจากถ้วยเล็กบนโต๊ะเครื่องเขียนที่ลอยอวลในอากาศห้อง จางกงกงซบอยู่บนบ่าของนาง แม้ร่างจะเหนื่อยอ่อนแต่ใจกลับไม่อาจนิ่งสงบ เขาไม่ได้ผล็อยหลับทันทีเหมือนคนหมดแรง หากแต่กำลังยอมให้ตนเอง ‘หยุด’ ครั้งหนึ่งในรอบหลายปี ยอมให้เสียงหัวใจของตนดังขึ้นในโลกเงียบนี้เพื่อฟังว่าภายในตนเองกำลังรู้สึกอะไร ฝ่ามือที่เคยเปื้อนเลือด...เคยปลิดชีพด้วยอารมณ์ไร้ความลังเล บัดนี้แนบอยู่บนผ้าชายเสื้อของหลินหยา เสียงหัวใจของเขาเต้นอยู่ใต้ทรวงอกที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดสีดำสนิทนั้น ช้า...มั่นคง...แต่แฝงความตื่นตระหนกจาง ๆ ราวกับว่าเพิ่งตระหนักถึงบางสิ่งที่ไม่เคยกล้ายอมรับตลอดชีวิตที่ผ่านมา


"เสี่ยวหยา..." เขากระซิบเสียงแผ่วเบาราวลมหนาวแตะยอดไม้ในป่าโปร่ง ดวงตาของเขาเบือนมาสบกับแก้มนวลของนาง เห็นแม้แต่ไรขนอ่อนสะท้อนแสงตะเกียง ความอ่อนโยนที่เขาไม่กล้ายอมรับว่าตนเองปรารถนากลับปรากฏอยู่เต็มสองตา หญิงสาวผู้ไม่เคยหนีจากเขา แม้เขาจะเผยความมืดอันน่าสะพรึงเพียงใดก็ตาม


"ข้าเหนื่อย...เหนื่อยจนอยากลืมว่าโลกนี้มันต้องมีเลือด มีคำสั่ง มีหน้าที่ มีความถูกผิด..." เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของจงฉางชื่อผู้โหดเหี้ยม ไม่ใช่ท่านชายห่าวหมิงผู้ลึกลับ ไม่ใช่เงาแห่งความตายของราชสำนัก หากแต่เป็นเสียงของเด็กหนุ่มที่เคยถูกผลักให้เติบโตโดยไม่มีใครยื่นมือรับ ฟังดูเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะเป็นชายที่ฆ่าคนได้โดยไร้ร่องรอย


"ข้าควรฆ่าเจ้า..." เขากระซิบประโยคนั้นช้า ๆ นิ้วเรียวเคลื่อนขึ้นมาแตะแก้มนางเบา ๆ พูดอย่างไร้อารมณ์...แต่กลับสั่นเล็กน้อย "...แต่ข้าทำไม่ได้" นิ้วนั้นลูบจากแก้มนางถึงปลายคาง ก่อนจะเปลี่ยนจากสัมผัสเย็นชามาเป็นฝ่ามือที่แนบลงพร้อมแรงอ่อน ๆ ราวกับจะทดสอบว่านางมีตัวตนจริงหรือเป็นเพียงภาพลวงตาที่ใจเขาสร้างขึ้นมาเพื่อปลอบตนเองในห้วงความสิ้นหวัง


"เจ้าทำให้ข้า...หวั่นไหว หวั่นใจ" ประโยคนั้นไม่ใช่คำสารภาพรัก หากแต่คือคำบอกเล่าอาการของตนเอง อาการที่แม้แต่จางกงกงผู้ผ่านความตายมานับไม่ถ้วนยังไม่รู้จะรับมืออย่างไร


แล้วเขาก็โอบนางไว้แน่นขึ้น...อกของเขาแนบหลังของนาง กลิ่นผม กลิ่นเนื้อ กลิ่นความอบอุ่นที่เขาเคยผลักไส กลับเป็นสิ่งเดียวที่ยังพอทำให้เขารู้สึกว่าตนเองยังมีหัวใจอยู่ ร่างสูงดึงผ้าห่มมาคลุมสองคนเอาไว้ด้วยมือเดียว อีกมือยังวางไว้ที่เอวของนาง ปลายนิ้วเกลี่ยแผ่วตามลำตัวราวกับต้องการจดจำผิวสัมผัสนี้ไว้ในห้วงความทรงจำอันยาวนานของตน


“คืนนี้…ข้าจะขออยู่แค่ตรงนี้ เจ้าอย่าหมายผลักข้าออกไปเลย” น้ำเสียงของเขาต่ำลงแหบพร่า "แม้พรุ่งนี้ข้าจะต้องกลายเป็นคนใจร้ายอีกครั้ง ข้าก็อยากให้คืนนี้เป็นคืนเดียวที่ข้า...ได้เป็นแค่ข้า ไม่ใช่เงา ไม่ใช่มือสังหาร ไม่ใช่สุนัขของแผ่นดิน..."


เขาซบลงแนบแน่น ลมหายใจอุ่นรินรดต้นคอของหลินหยาเป็นจังหวะช้า ๆ สม่ำเสมอ ความแข็งกระด้างในดวงใจเขาค่อย ๆ คลายลงใต้สัมผัสของอ้อมแขนบางที่ยังคงโอบไว้ไม่คลาย ไม่ต้องการคำตอบ ไม่ร้องขอการให้อภัย ไม่หวังสิ่งใด นอกจากการได้ ‘อยู่’ ในความเงียบงันร่วมกับใครสักคน และคืนนั้น...ไม่มีเสียงใดอีก มีเพียงลมหายใจสองจังหวะที่กลืนกลืนในห้องเงียบ ราวกับสองวิญญาณที่บังเอิญได้พบกันใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงจันทร์ที่ยังคงแดงเรื่อเหมือนรอยเลือด ไม่จางไป



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: หวานได้เท่านี้แหละ 5555+ โอ้ยยย เหนื่อยยย

รางวัล:  -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 167809 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-14 17:10
โพสต์ 167,809 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-14 17:10
โพสต์ 167,809 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-14 17:10
โพสต์ 167,809 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-14 17:10
โพสต์ 167,809 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-14 17:10
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-15 05:02:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 15 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า เมืองหานตาน มณฑลจี้โจว - ยามซวี เมืองจี้ มณฑลเหลียงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น


ยามเหม่าต้นผ่านพ้นไปแล้วแสงสีทองอ่อนของดวงอาทิตย์แรกรุ่งค่อย ๆ สาดผ่านกระจกเกล็ดไม้ฉลุลวดลายเมฆเหินที่ติดตั้งเหนือหน้าต่างด้านทิศตะวันออก เส้นแสงลำบางนั้นไล้ผ่านม่านโปร่งของห้องพักชั้นดีในโรงเตี๊ยมแห่งเมืองหานตาน ก่อนจะทอดยาวลงบนร่างของชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้จันทร์กลึงมุมซึ่งหอมกลิ่นไม้เก่าจาง ๆ ปนกลิ่นเครื่องหอมจากเตาอบเล็กมุมห้อง คนที่ตื่นก่อนในเช้านั้น...ไม่ใช่หลินหยาผู้มักกระฉับกระเฉงในยามเช้าดังเคย หากแต่เป็นร่างของจางกงกง ชายหนุ่มที่เดิมคือดั่งเงาเงียบในรัตติกาลผู้ไม่เคยหลับใหลอย่างแท้จริง แต่คืนนี้เขาหลับลึกจนไม่ทันรู้สึกตัวว่าได้ซบแน่นอยู่กับบ่าของหญิงสาวคนนั้นนานเพียงใด

 

เขาลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ดวงตาคมสีเข้มยังคงวูบไหวด้วยประกายอ่อนล้า ราวกับยังหลงเหลือร่องรอยจากฝันบางอย่างในห้วงลึก สัมผัสแรกที่เขารับรู้ไม่ใช่เสียงของนกที่ร้องไกล ๆ นอกหน้าต่าง...แต่เป็นกลิ่นอ่อนของน้ำมันมะลิจากเส้นผมของหลินหยาที่พาดอยู่ตรงอกของเขา มือเล็กของนางยังคงวางอยู่บนเอวของเขาอย่างเงียบงัน ร่างเล็กที่ซุกอยู่ตรงอกข้างหนึ่งยังไม่ไหวติง เธอนอนแน่นิ่งราวกับฝันดี


จางกงกงไม่ได้ขยับ ไม่ได้ลุก ไม่ได้ผละออกแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่มองดูใบหน้าที่สงบของหลินหยาอยู่เช่นนั้น แก้มกลมของนางขาวจนเหมือนกระเบื้องเคลือบ ตัดกับเส้นผมดำที่กระเซิงเล็กน้อยเพราะเมื่อคืนเขาเคยซุกหน้าลงไปตรงนั้น มือใหญ่เอื้อมขึ้นเบา ๆ เกลี่ยเส้นผมที่บังดวงหน้าเล็ก ๆ ของนางอย่างเงียบงัน


เขาไม่พูดอะไรเลย แต่ดวงตาแฝงความสับสนไม่ใช่ต่อสถานการณ์รอบกาย หากแต่เป็นความรู้สึกในใจตนเองที่ไม่เคยแน่ชัดว่าคืออะไร เขาไม่ได้เคยเรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรกับความอ่อนโยนของผู้อื่น โดยเฉพาะเมื่อมันมาจากนาง ผู้หญิงที่เขาควรผลักไสตั้งแต่ต้น แต่กลับไม่อาจผลักออกไปได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว


แสงแดดเริ่มลอดผ่านมากขึ้นจนจับต้องได้บนเรือนผมของหลินหยา ราวกับจะบอกว่าราตรีจบสิ้นแล้วจริง ๆ จางกงกงนอนนิ่งเงียบ มองเพดานไม้ฉลุลายเหนือตนเองครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงซบใบหน้าแนบเส้นผมของนางอย่างเงียบ ๆ สูดกลิ่นหอมจางของนางเข้าไปเต็มปอดอย่างคนที่ไม่แน่ใจว่าจะได้กลิ่นนี้อีกครั้งเมื่อใด เสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังขึ้นจากเขาเพียงครั้งเดียว เขาหลับตาลงใหม่อีกครั้งหนึ่ง...แต่ไม่ได้หลับ หากแต่ซ่อนความรู้สึกที่ยังไม่ได้คำตอบเอาไว้ใต้เปลือกตานั้น พร้อมกับปล่อยให้ยามเช้าเดินต่อไปอย่างเชื่องช้า ภายใต้ความเงียบงันของห้องที่ตอนนี้มันไม่อ้างว้างอีกต่อไป


เป็นเวลาพอสมควรที่หลินหยาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นในยามสายที่แสงแดดอุ่นจัดเริ่มทอดผ่านหน้าต่างไม้จันทน์เข้ามายังกลางห้อง แสงนั้นไม่จ้าจนแสบตาแต่พอจะทำให้ขนตายาวของนางกระพริบถี่ ๆ คล้ายพยายามปรับโฟกัสจากห้วงฝันสู่ความจริง 


ร่างบางที่นอนซบอยู่บนเตียงไม้กลึงมุมขยับเล็กน้อยก่อนจะสะดุ้งลุกพรึ่บขึ้นมานั่ง หัวที่นอนผิดท่าจนยุ่งเหยิงราวกับแมวขนฟูกำลังยกหางขึ้นสู้ศัตรูยังไม่อาจกลับคืนสภาพดีนัก ดวงตากลมหวานที่เคยเป็นประกายกลับพร่าเบลออยู่ชั่วครู่ ก่อนที่นางจะยกมือบาง ๆ ขึ้นขยี้ตาอย่างเชื่องช้าราวกับเด็กหญิงขี้เซาในวันหยุด


“อื้ม...กี่โมงแล้วเนี้ย...” เสียงพึมพำแผ่วเบาหลุดออกจากริมฝีปากสีธรรมชาตินั้นพร้อมกับท่าทางบิดขี้เกียจอย่างจริงจัง เรียวแขนขาวผ่องยืดยาวเหนือหัว แล้วเอนตัวพาดลงกับเตียงอีกครั้งอย่างคนไม่ยอมแพ้กับเช้าวันใหม่ นางขยับร่างนอนตะแคงอย่างเงอะงะ มือหนึ่งเอื้อมไปหยิบหมอนมากอดไว้อีกครั้งก่อนจะซุกหน้าลงช้า ๆ


แต่มันแปลกอยู่... ทำไมหมอนมันถึงแข็ง ๆ อุ่น ๆ และ...มีกลิ่นจาง ๆ ที่คุ้นชิน


หลินหยาเบิกตากว้างในทันที ร่างที่นอนพาดอยู่ตอนนี้หาใช่หมอนนุ่นนิ่มของโรงเตี๊ยม ไม่เลย…มันไม่ใช่ หากแต่คือแผ่นอกแน่นที่ร้อนระอุไปด้วยอุณหภูมิคนเป็น ร่างใหญ่ของจางกงกงยังคงหลับนิ่งอยู่ข้างกาย ราวกับยามราตรียังไม่สิ้นสุดสำหรับเขา ใบหน้าที่ปกติเข้มขรึม ตอนนี้กลับดูสงบเย็นไร้ซึ่งความคุกคามในยามตื่นตา แม้จะหลับอยู่แต่ก็ยังมีบางสิ่งในดวงหน้าของเขาที่ทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นสะดุดเล็กน้อย


“เชี่ย!..ข้าลืมไปเลย...” นางพึมพำกับตัวเอง ดวงหน้าแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยอย่างคนเพิ่งนึกได้ว่าทั้งคืนตนเองกอดเขาไว้ทั้งอย่างนั้น แถมยังปล่อยให้เขาซบอยู่นานราวกับเป็นหมอนข้างเสียเอง


หลินหยาขยับตัวเบา ๆ พยายามจะไม่ปลุกเขา มือบางค่อย ๆ เลื่อนออกจากการกอด และเขยิบร่างตัวเองอย่างระวังราวกับแมวที่กลัวเหยียบหางพญาเสือ ทว่าเพียงแค่ขยับปลายนิ้วผละออกจากแขนเขาเสียงแผ่วจากริมฝีปากของชายหนุ่มกลับดังขึ้นเบา ๆ อย่างไม่คาดฝัน


“…อย่าหนีสิ…”


น้ำเสียงนั้นไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นราวกับเสียงละเมอจากใต้เปลือกตาปิดสนิท เสียงแหบต่ำที่สะกิดบางอย่างในหัวใจหลินหยาให้กระตุกวูบ เขายังไม่ตื่นใช่ไหม? อันนี้คือละเมอหรอ? นางชะงักนิ่งอยู่กับที่ กลืนน้ำลายอย่างเงียบงันก่อนจะมองใบหน้าของจางกงกงอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ความกลัว หากแต่เป็นความรู้สึกซับซ้อนยากจะเอ่ยที่ตีวนอยู่เต็มอก แต่เพราะคิดว่าเขาไม่ได้ตื่นเลยเลือกที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไป “ข้าจะไม่หนีท่านหรอกน่า...ก็แค่อยากจะลุกไปล้างหน้านิดหน่อยเอง” นางพูดเบา ๆ ทั้งที่คิดว่าเขาอาจไม่ได้ยิน


หญิงสาวเลื่อนมือลูบผมของชายหนุ่มเบา ๆ ครั้งสุดท้าย นิ้วเรียวที่เคยสั่นเมื่อคืนกลับแนบแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แล้วจึงค่อย ๆ ลุกจากเตียง ขยับเท้าเปล่าของตนเองไปยังมุมห้อง นางเทน้ำใสลงไป พลางหลับตา รวบใจที่ยังปั่นป่วนแล้ววักน้ำใส่หน้าตนแรง ๆ น้ำเย็นเฉียบสะท้อนทุกความรู้สึกคืนมาทั้งหมดอย่างไม่ปรานี ทั้งกลิ่นเลือด ภาพศพ ดวงตาของเขา คำพูดเมื่อคืน เสียงที่เขาร้องบอกให้ ‘ลืม’ …และความรู้สึกของตัวเองที่ไม่ยอมลืมเสียที


หลินหยายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น พลางกระซิบกับตัวเองเบา ๆ “ข้าบอกเขาจะกลับฉางอันด้วยกัน...แต่จะกลับไปยังไง ในเมื่อใจตัวเองก็ยังไม่แน่ใจเลย ว่ากำลังเดินทางกับคนแบบไหน…” แต่สุดท้าย นางก็หันกลับไปมองเขาอีกครั้งและเผลอยิ้มนิดเดียวแบบที่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ตัว แม้จะกลัว แม้จะหวั่น แม้จะไม่อาจเข้าใจเขาได้ทั้งหมด...แต่นางก็ยังเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ เช้านี้ และวันต่อไปเช่นเดียวกัน


ใต้แสงเช้าที่ลอดม่านไม้ไผ่บาง ๆ เข้ามาสะท้อนกับพื้นไม้และฉากปิงเฟิ่นแกะลายมังกรหมู่คลื่นเงาร่างบอบบางของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังขยับเงียบ ๆ อยู่หลังฉากกั้นนั้น เสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ ยามปลายนิ้วกระทบผิวน้ำสะอาดในอ่างไม้หอม เสียงฝ่ามือวักน้ำลูบไล้เนื้อตัวแผ่วเบาแทรกเข้ามาในความเงียบสงัดของห้องพักพิเศษทิศตะวันตก หลินหยาที่ไม่รู้ตัวว่ามีใครตื่นอยู่ในห้องเดียวกัน กำลังเพลิดเพลินกับการลูบไล้ตนเองอย่างแผ่วเบา บางครั้งนางก็ปล่อยให้มือน้อย ๆ ลูบผ่านต้นคอ บางคราวก็ไหลไปถึงแผ่นหลัง เปลือยผิวขาวสะอาดจนแสงต้องหรี่ตา เงาที่สะท้อนจากผนังฉากกลายเป็นภาพเงาที่ลวงตา ล่อแววตามากกว่าความตั้งใจ


จางกงกงไม่หลับมาตั้งแต่ก่อนที่หลินหยาจะสะดุ้งตื่นแล้ว ตั้งแต่ที่เขาเอ่ยเสียงแผ่วว่า “อย่าหนีสิ” ก็คือยังตื่นเต็มที่ ซึ่งนางเข้าใจว่าเป็นแค่เสียงละเมอ แต่หาใช่ไม่ ความจริงเขาตื่นขึ้นตั้งแต่ตอนที่นางขยับออกจากอ้อมแขนเขาไปแล้ว และเขาก็เลือกที่จะนอนนิ่ง ปล่อยให้นางคิดว่าเขาหลับ เพราะในช่วงเวลาแบบนั้น เขาเองก็ไม่อยากขัดความอบอุ่นที่ยังอ้อยอิ่งอยู่ในอก


ดวงตาเรียวที่เคยแฝงเล่ห์เงียบจ้องมองฉากกั้นนั้นเงียบ ๆ ไม่ใช่เพื่อดูธรรมดา แต่เพื่อ “มอง” อย่างแท้จริง เงาของหญิงสาวที่นั่งพับเพียบอยู่ในอ่างไม้เล็ก ๆ สะท้อนเป็นรูปร่างที่คุ้นเคย แต่ก็แปลกใหม่เหลือเกินในสายตาของเขา เส้นผมที่ถูกรวบขึ้นอย่างลวก ๆ ให้พ้นน้ำเผยต้นคอขาวผ่องที่เขาจำได้ดีว่าเคยซุกไซ้ลงไปยามต้องการเรือนกายนี้ในยามแห่งความลับ ความเงียบที่รายล้อม ไม่ใช่ความว่างเปล่า หากแต่เป็นความอึดอัดบางอย่างที่สะท้อนระหว่างชายหนุ่มที่เพียงนอนนิ่ง กับหญิงสาวที่หลงคิดว่าตนกำลังลำพัง


นางคงไม่รู้ตัวว่าฉากปิงเฟิ่นบานนั้น มันบางเกินกว่าจะซ่อนแสงได้ทั้งหมด ลายแกะสลักแม้มองไม่ทะลุแต่กลับกลายเป็นการสะท้อนเงาให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม เงาไหล่ของนางขยับเมื่อหลินหยายกมือวักน้ำรดลงบนลำคอ เอียงคอหลับตาอย่างพึงใจ เสียงลมหายใจน้อย ๆ ดังปนเสียงสายน้ำ นางคงกำลังเข้าสู่โลกเล็ก ๆ ที่มีเพียงตัวเองกับน้ำอุ่น


จางกงกงนิ่งเขาไม่ไหวติงแม้แต่น้อยในตอนแรก...กระทั่งริมฝีปากที่เคยแข็งกร้าวนั้นกลับเม้มแน่นลงอย่างไม่รู้ตัว ภาพตรงหน้าไม่ใช่เรื่องลามก หากแต่เต็มไปด้วยความซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ นั่นคือหญิงสาวที่เขารู้จักมากที่สุดคนหนึ่งในโลก และก็เป็นหญิงสาวที่เขาไม่อาจเข้าใจได้เลยแม้แต่น้อย…หรืออาจเพราะเขาไม่กล้า


"เจ้ามันไม่ระวังตัว...เสียจริงนะ เสี่ยวหยา" เขาพึมพำในใจ ดวงตาเรียวลึกมองแสงสะท้อนเงานั้นราวกับจะจดจำมันไว้ในก้นบึ้งแห่งความสับสนของตน


เวลาผ่านไปช้า ๆ หลินหยายังคงแช่น้ำนิ่ง ๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สา นางชอบแช่น้ำ ชอบกลิ่นหอมของไม้หอมในอ่างน้ำกลั่น ชอบความรู้สึกที่ได้ทำความสะอาดตัวเองอย่างหมดจดเหมือนล้างอะไรบางอย่างออกจากใจ ทว่าท่ามกลางความสงบของการอาบน้ำครั้งนี้ นางไม่รู้เลยว่าอีกฟากของฉากปิงเฟิ่น มีใครบางคนกำลังนอนนิ่งเหมือนเสือรอซุ่ม มองเงาของนางโดยไร้เสียง...แต่เต็มไปด้วยเสียงใจของเขาเองที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ


หลังจากเงียบงันปล่อยให้นางอิงกายแช่น้ำราวกับลืมโลกมานานถึงสองเค่อ จางกงกงก็ยังไม่ลุกขึ้น เขาเพียงพลิกตัวเล็กน้อยจากท่าเดิมที่นอนตะแคง กลายเป็นนอนหงายพลางวาดมือวางไว้เหนือหน้าผาก ดวงตาเรียวปรือกึ่งปิดขณะที่แสงแดดยามสายค่อย ๆ ลอดผ่านบานหน้าต่างไม้แคบ ๆ ข้างห้องส่องแสงลงมากระทบข้างแก้มและริมฝีปากสีซีดอย่างสงบ หากแต่ภายในกลับวุ่นวายยิ่งกว่าภารกิจใดที่เขาเคยทำมา เสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ หลังฉากปิงเฟิ่นยังดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บ่งบอกว่านางยังไม่ขยับไปไหน ราวกับเจ้าตัวน้อยนั่นจะตั้งใจจะละลายตนเองให้กลายเป็นน้ำซะให้ได้เสียอย่างนั้น จางกงกงเหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อย มุมปากข้างหนึ่งยกขึ้นคล้ายยิ้มอย่างอ่อนแรง พลางพึมพำเสียงต่ำในลำคอ


“เปื่อยไปทั้งตัวแล้วกระมัง…แมวน้อยชอบแช่น้ำนัก…” เขายังจำได้ดีว่าในยามที่เธอเหนื่อย หรือหดหู่ หรือกลัวอะไรบางอย่าง เธอจะขลุกอยู่ในน้ำเหมือนจะหลบโลกทั้งใบไว้ใต้ผืนน้ำอุ่น ๆ บางทีอาจเพราะเมื่อนางแช่น้ำ ใครก็แตะต้องนางไม่ได้ โลกทั้งใบก็เหมือนจะเงียบลง และไม่มีใครเรียกนางไปแบกรับอะไรอีก ไม่ต้องซ่อนความรู้สึก ไม่ต้องพูด ไม่ต้องตอบ ไม่ต้องโกหก


จางกงกงถอนหายใจเบา ๆ แล้วลุกขึ้นช้า ๆ แบบคนที่ยังคงไม่ยอมเปิดเผยว่าตนตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เขาเดินเท้าเปล่าไปอย่างไร้เสียง ยืนอยู่ด้านหลังฉากปิงเฟิ่น มือหนึ่งไพล่หลัง อีกข้างขยับแตะแผ่นฉากไม้นั้นเบา ๆ 


“เจ้าอยากจะกลายเป็นสัตว์น้ำเหรอ เสี่ยวหยา…” เสียงเขานุ่ม เงียบ แต่กลับทะลุฉากไปถึงอีกฝั่งได้ชัดเจน 


ฮ่ะ เขาตื่นหรอ!!!! 


“…หากยังไม่ยอมขึ้นมา ข้าจะต้องคิดว่าเจ้ากำลังตั้งใจจะละลายกระดูกตัวเองกลายเป็นน้ำหอมกลั่นอยู่ในอ่างแล้วนะ” น้ำเสียงของเขาเย็นเรียบ ไม่ตลก แต่ก็ไม่ดุ หากแต่บ่งบอกว่าเขารู้แล้วว่าอีกฝั่งนั้น นางยังไม่ยอมลุกออกมาจริง ๆ เมื่ออีกฝ่ายยังเงียบ ไม่รู้ว่าทำไม ชายหนุ่มก็ก้าวไปหยิบผ้าคลุมที่พับอยู่ปลายเตียงอย่างไม่รีบร้อน เดินไปวางพาดข้างฉากอย่างสุภาพไม่มีท่าทีจะบุกรุก หรือมองลอด หรือแม้แต่จะถามว่าทำไม


“เจ้ามีเวลาจนข้าชงชารินน้ำให้เสร็จ ถ้ายังไม่ออกมา ข้าจะเข้าไปเอง ไม่ใช่เพราะอยากแอบดู แต่เพราะข้ากลัวเจ้าจะตายคาอ่าง เหมือนปลาสุกในน้ำร้อน”


หลินหยาสะดุ้งเฮือกเหมือนแมวเปียกน้ำถูกขัดจังหวะขณะแช่ตัวด้วยความเพลินใจ เงาหัวคิ้วกระตุกกระจายความตกใจทั่วร่าง นางถลึงตากลม ๆ อย่างตระหนกปนเขิน รีบห่อร่างบางไว้ในอาภรณ์บาง ๆ ที่พอจะคว้ามาได้ก่อนจะส่งเสียงโวยวายลั่นแต่ออกแนวแก้ตัวเสียมากกว่า "ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า! ข้านึกว่าท่านยังหลับอยู่เสียอีก!" เสียงใสนั่นทั้งตะโกนทั้งอู้อี้ ผสมผสานระหว่างความตกใจ ความโกรธ และความเขินอย่างควบคุมไม่อยู่ นางรีบย่ำเท้าเปียกปอนกลับไปยังเสื้อผ้าที่ยังไม่ทันได้สวมครบถ้วน ละล่ำละลักสวมใส่ผ้านุ่งแบบลวก ๆ เงอะงะเหมือนคนทำอะไรผิดมา ทั้งที่ก็ไม่ได้ผิดอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ความรู้สึกว่าเขา 'ได้ยิน' ทั้งที่นางคิดว่าเขาหลับสนิท มันชวนให้หน้าแดงขึ้นมาอย่างน่าโมโห


"ข้า...ข้าอุตส่าห์แช่น้ำดี ๆ เงียบ ๆ แท้ ๆ ทำไมท่านต้องมาเดินเงียบเป็นแมวตีนเปล่าด้วยเล่า! จะมาทำให้ใจเต้นตกหลุมกันไปหมดแล้ว!" นางบ่นอุบอิบเบา ๆ ขณะหันหลังให้ฉากกั้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงทั้งหมดนั้น...ชายหนุ่มได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ


ด้านหลังฉากกั้น จางกงกงยืนนิ่งราวกับเงาทะมึนของเงาจันทร์ยามกลางคืน ใบหน้าหล่อเหลาหาได้เผยอารมณ์ใดออกมาชัดเจน เว้นแต่รอยยิ้มแผ่วบางที่ผุดขึ้นตรงมุมปาก รอยยิ้มที่แทบไม่เคยมีใครได้เห็น เสียงฝีเท้าเปียกแฉะของหลินหยาดังกุกกักพลางบ่นพึมพำไปเรื่อยอย่างหงุดหงิดแก้เขิน “ตาคนลามกเอ๊ย…ทำเป็นสุภาพบุรุษ แต่กลับมายืนฟังคนอาบน้ำเนียน ๆ แบบนี้ ข้าจะร้องเรียนกับฮ่องเต้ให้ยึดตำแหน่งท่านซะเลย!”


จางกงกงยืนฟังนิ่ง ๆ ก่อนจะขยับมือเช็ดพัดพับของตนกับชายเสื้อเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉยที่เจือแววขันอย่างปิดไม่มิด “เสี่ยวหยา เจ้าตะโกนเช่นนั้นในขณะที่ตัวเปลือยยังเปียกน้ำอยู่หรือ?” เสียงเขาเย็นแต่ปลายเสียงกลับขบขันเล็กน้อยพอให้รู้ว่าเขาไม่ได้จริงจังนัก แต่ประโยคนั้นก็พอจะทำให้หลินหยาหันขวับ ตาโตอย่างตกใจปนเขินระเบิด “ทะ…ท่าน!! ท่านพูดบ้าอะไร!!”


“ข้าพูดความจริง” เขาตอบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะหยิบชุดผ้าแห้งสะอาดออกมาจากหีบวางลงบนพนักเก้าอี้ แล้วเดินกลับไปนั่งจิบชาริมหน้าต่างโดยไม่พูดอะไรอีก ท่ามกลางไอน้ำอุ่นจาง ๆ หลังอ่าง และกลิ่นกฤษณาอ่อน ๆ จากชา หลินหยาที่กำลังยืนทำหน้างุนงงเขินอายหลังฉากกั้น ก็เริ่มเข้าใจในตอนนี้เองว่า ไม่ว่าจะหลบลี้อยู่ในอ่างน้ำหรือตะโกนข้ามฉากเพียงใด…


สุดท้ายก็ไม่อาจหลบเลี่ยงความสัมพันธ์ประหลาดนี้ไปได้เลยแม้แต่น้อย


"แล้วท่านไม่อาบน้ำหรือไง ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยนะ" เสียงนางกล่าวขึ้นต่อ


ริมฝีปากของชายหนุ่มกระตุกน้อย ๆ อย่างไม่ปิดบังนัก ใบหน้าเรียบเย็นนั้นเหมือนพยายามจะหักห้ามอะไรสักอย่างไว้ แต่ไม่ทันที่เขาจะขานรับ เสียงนางก็ตามมาทันควันอย่างเงอะงะ "หากท่านไม่สะดวกใจ...รอคนของโรงเตี๊ยมมาเปลี่ยนน้ำอาบก่อนก็ได้...พอดีข้าเหนียวตัวเลยเผลอตัวอาบน้ำที่ทางโรงเตี๊ยมเตรียมไว้แล้ว..." จางกงกงนั่งทอดกายอย่างสำรวมบนเบาะริมหน้าต่าง บ่าเหยียดตรง ริมฝีปากเฉียบคมคล้ายเส้นหมึกเรียบเฉือน ดวงตาเรียวลึกสีนิลหลุบต่ำดูราวไม่ใส่ใจ ทว่าหูของเขากลับฟังคำพูดของหลินหยาอย่างไม่ให้พลาดแม้สักถ้อยคำเดียว แม้นางจะเอ่ยในน้ำเสียงห้วน ๆ คำสั่งคล้ายเอาเรื่อง แต่ก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงระคนละอายแบบน่าขบขัน


หลินหยาพูดจบแล้วหลุบตามองต่ำ ทำท่าคล้ายเด็กสาวที่พูดเกินตัว ก่อนจะบีบมือตนเองเล็กน้อยราวกับพยายามแก้เก้อ...แล้วก็เงยหน้ามองเขาอีกครั้งแต่สายตานั้นกลับมีความจริงใจเร้นอยู่ ใครมองก็รู้ว่าหลินหยาไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้ตำหนิเขาจริงจัง แต่นั่นคือห่วงใยในแบบที่นางรู้จักจะเอ่ย


จางกงกงวางถ้วยชาลงบนถาดเสียงเบา มือเรียวยกขึ้นถอดเสื้อคลุมด้านนอกของตนออกช้า ๆ ก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูงในจังหวะที่เงาของเขาแผ่คลุมเหนือร่างของหลินหยาจนทำให้นางต้องเงยหน้าอีกครั้ง เขายกยิ้มจาง ๆ ที่มุมปาก ทว่ารอยยิ้มนี้ไม่ใช่ยิ้มอ่อนโยน แต่เหมือนยิ้มของพยัคฆ์ที่เพิ่งตื่นจากหลับใหล “ข้าไม่ได้สะดวกใจหรือไม่สะดวกใจ เสี่ยวหยา ข้าแค่ยังไม่อยากอาบน้ำเพราะยังไม่เหนียวตัวเท่าเจ้า...แต่เพราะเจ้าขอ ข้าก็จะไป” เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย กระซิบเสียงเรียบชิดหูนาง 


“เพียงเพราะเจ้าขอเท่านั้นนะ”


จากนั้นก็ผละกายออกอย่างแนบเนียนราวกับไม่เคยเอ่ยอะไรล่วงล้ำจิตใจนาง แต่ปลายนิ้วที่ลากเฉียดปลายแขนนางเบา ๆ กลับร้อนวาบอย่างมีเจตนา จางกงกงเดินไปหยุดยืนหน้าอ่างน้ำที่ยังมีไออุ่นจาง ๆ คลุ้งอยู่ในอากาศ ใบหน้าของเขาไม่แสดงความรู้สึกใดทั้งสิ้น ขณะมองอ่างน้ำใบเดิมซึ่งหลินหยาเพิ่งใช้ "...ข้าไม่ถือ ข้าไม่ใช่คนที่ยึดติดกับอะไรขนาดนั้น..." เขาเอ่ยพลางปลดกระดุมเสื้อชั้นนอกอีกชั้นช้า ๆ กล้ามเนื้อแน่นเป็นลอนใต้ผ้าภายในปรากฏออกทีละน้อยตามจังหวะมือที่มั่นคงราวกับทุกอาภรณ์เป็นเกราะที่เตรียมปลดลงเพื่อเข้าสู่สนามรบ


หลินหยาอยู่อีกฟากของฉากปิงเฟิ่น แม้ไม่ได้เห็นภาพชัดเจน แต่เสียงของน้ำกระเพื่อม เสียงผ้าถูผิวเบา ๆ เสียงกระเบื้องชื้นน้ำและกลิ่นอุ่นร้อนจากไอน้ำคละคลุ้งก็ทำให้จินตนาการไหลลื่นจนใจนางเต้นระส่ำ แม้จะเป็นคนเอ่ยไล่ให้เขาไปอาบ แต่พอเขาอาบจริง ๆ นางกลับนั่งนิ่ง ตัวแข็ง ยกชาขึ้นจิบผิดจังหวะจนเกือบสำลัก


จางกงกงอาบน้ำเงียบ ๆ ไม่เอ่ยอะไรอีก หากแต่สังเกตจากเงาที่ทาบบนฉากกั้น ร่างสูงของเขาเคลื่อนไหวอย่างสง่างามแม้ในยามเปลือยเปล่า ท่าทีเรียบเฉยดั่งคนไม่ถือสิ่งใดเป็นเรื่องใหญ่...ทว่ากลับจงใจให้เงานั้นปรากฏในมุมที่หลินหยาไม่อยากมองแต่กลับห้ามสายตาไม่ได้ และก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง เสียงเรียบเฉยก็เอ่ยลอยออกมาจากหลังม่าน…


“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าอยากให้ข้าอาบน้ำ... หรือเจ้าแค่อยากให้ข้าอยู่ในอ่างเดียวกับเจ้า เพียงแค่ช้าไปครึ่งเค่อ?”


“ไม่ใช่สักหน่อย!!” เสียงของหลินหยาโวยวายขึ้นมาทันควัน ราวกับความร้อนที่เอ่อขึ้นบนผิวหน้าแดงปลั่งจนแทบกลายเป็นผลท้อสุกนั่นจะสามารถถูกกลบได้ด้วยถ้อยปฏิเสธอันแข็งกร้าว แต่เปล่าเลย…นั่นมันกลับยิ่งซ้ำเติมให้นางเหมือนคนเถียงไม่ขึ้นจนต้องกอดอกแน่นแล้วหันขวับไปอีกทางทันที 


ใบหน้าที่ขึ้นสีเรื่อไม่ลดลงแม้แต่น้อย ถึงจะหันหนีแผ่นปิงเฟิ่นแล้ว แต่ภาพในหัวมันก็ยังวนเวียนอยู่ไม่หยุด ใครจะคิดว่าจางกงกงคนที่ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุม ดุเย็น และโหดเหี้ยมกับศัตรู…พออยู่ต่อหน้าเธอแล้วจะกลายเป็นพวกอ่อยแนบเนียนระดับสูงอย่างนี้!! แถมยังกล้าพูดออกมาหน้าด้าน ๆ อีก คำพูดนั่นยังคงก้องอยู่ในหัวอย่างอุกอาจ ราวกับคำล้อเลียนที่ถูกแกะสลักลงบนผนังสมองเธอด้วยตัวอักษรทองคำ ปลายนิ้วของหลินหยากำแน่นกับแขนเสื้อตัวเอง ปากงุบงิบพึมพำเหมือนต้องการเสกมนต์ขับไล่ปีศาจจางกงกงออกไปจากความคิด


“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร…อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะออกเดินทางแล้ว อีกแค่คืนสองคืนก็ถึงเมืองต่อไป…ก็แค่แยกห้องกันนอนเอง” นางพยายามปลอบตัวเองแบบนั้น สะกดคำว่า ‘แยกห้อง’ ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคาถาขับไล่วิญญาณร้าย แน่นอน…เขาไม่ได้พูดด้วยซ้ำว่าจะ “แยก” อะไรกับเธอเลยสักอย่าง


ถึงตอนนี้แม้จะไม่ได้ยินเสียงสาดน้ำแล้ว แต่หลินหยาก็ยังไม่กล้าขยับเข้าใกล้แม้ครึ่งก้าว ราวกับหวาดเกรงว่าแค่เงาของเขาที่สะท้อนผ่านฉากกั้นจะดึงเธอเข้าไปกระซิบประโยคโรคจิต ๆ อะไรอีก จางกงกงเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากนั้น…และนั่นแหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด


เพราะเขาเงียบ...เงียบอย่างคนที่รู้อยู่แล้วว่าหลินหยาคงไม่มีวันลืมเงาและเสียงของเขาในอ่างนั่นไปได้ง่าย ๆ และยิ่งเธอพยายามคิดว่าทุกอย่าง ‘แค่ครั้งนี้’ เขากลับคิดว่า ต่อให้เมืองหน้า... ห้องหน้า... โรงเตี๊ยมหน้าจะอยู่ตรงไหนในใต้หล้านี้ ก็แค่มีเตียงเดียวก็พอ


ขณะที่แสงแดดยามสายค่อย ๆ ลอดผ่านบานหน้าต่างกระดาษสาคลุมฉากภายในห้อง แสงอุ่นสีทองจาง ๆ ที่สะท้อนกระทบผิวเนื้อและเส้นผมดำขลับของหลินหยาก็ยิ่งทำให้เธอดูคล้ายกับภาพวาดสาวงามในม้วนภาพของนักบรรพจารย์ เธอยังคงนั่งอึน ๆ อยู่บนเก้าอี้ไม้จันทร์แกะลาย ท่ามกลางกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำอบกับกลิ่นใบชาสดจากกาน้ำชาบนโต๊ะ หวีไม้สาลี่ในมือนางยังคงหวีผ่านเส้นผมที่ยาวสลวยลงมาอย่างแผ่วเบา ราวกับความคิดยังล่องลอยไปกับเรื่องเมื่อคืนอยู่ลึก ๆ


เสียงของน้ำที่ขยับเสียงของเสื้อที่กำลังสวมดังขึ้นหลังฉาก ก่อนร่างสูงในชุดเดินทางผ้าลินินสีเทาหมอกประดับด้วยปกคอสูงตัดขลิบสีดำจะปรากฏออกมา จางกงกงที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จและแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เงาสะท้อนของเขาในกระเบื้องเงาวาวบนพื้นห้องยิ่งตอกย้ำถึงบุรุษผู้เปี่ยมอำนาจ คิ้วเข้ม ดวงตาคมกริบใต้เรือนผมที่ยังเปียกชื้นเล็กน้อยจากการเช็ดหยาบ ๆ ไม่ยอมเช็ด


เมื่อหลินหยาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหว นางจึงเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ท่านข้าขอถามหน่อย เราจะออกเดินทางกันตอนไหน? ท่านจะกินข้าวที่โรงเตี๊ยมก่อนหรือว่าจะกินระหว่างทางกัน?” เสียงของนางฟังดูสุภาพและเรียบง่ายเหมือนคนที่พยายามใช้ชีวิตให้ปกติที่สุด แม้ความไม่ปกติมันจะคืบคลานอยู่ในบรรยากาศไม่ลดลงเลยก็ตาม


จางกงกงทอดสายตาลงมามองหญิงสาวตรงหน้าเพียงครู่ ก่อนจะเดินเข้ามาเงียบ ๆ นั่งลงที่โต๊ะน้ำชา เขาไม่ตอบทันที แต่รินชาร้อนใส่ถ้วยดินเผาเล็ก ๆ และส่งไปตรงหน้านาง เสียงถ้วยแตะกับโต๊ะเบา ๆ ดังขึ้น แทนคำทักทายยามเช้าที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ย “วันนี้ข้าจะนำทางเอง” เขาเอ่ยเสียงเรียบ เย็นจัดจนเหมือนคลื่นลมในหุบเขาที่ไม่มีใครล่วงรู้ความลึกของมัน 


“เราจะออกในช่วงที่เจ้ากินข้าวเสร็จ” หลินหยารับถ้วยชามาจิบเบา ๆ ขณะฟัง เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ฟังคล้ายคำสั่งแต่แฝงความเอาใจใส่ซ่อนลึก “เจ้ากินข้าวที่นี่เสียเถิด เจ้าคงไม่ชินกับอาหารริมทาง ข้าไม่อยากให้เจ้าท้องเสียกลางทางหรือล้มพับไปก่อนถึงเมืองถัดไป” เขาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยดวงตาที่ยังคงจ้องมองนางไม่ลดละ “…เจ้าเป็นคนที่ใครหลายคนรอคอยที่ฉางอัน…และข้าจะไม่ยอมให้คนพวกนั้นมาแย่งเจ้าจากข้า ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม” แม้จะเป็นถ้อยคำเรียบ ๆ แต่กลับฟังดูตรึงแน่นเหมือนบ่วงร้อยคอ บทสนทนาระหว่างพวกเขาช่างคล้ายจะธรรมดาแต่กลับแฝงคำขู่ และถ้อยคำอ่อนโยนกลับคล้ายกรงเหล็กที่นุ่มลึก…


“ข้าเดินทางมาตั้งเยอะ จะมาบอกว่าข้าไม่ชินกับอาหารริมทางเรอะ?” ปากเล็ก ๆ ขยับพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเล็ก ๆ อย่างคนที่รู้ตัวว่า...ถูกมองเป็นคุณหนูปากแดงแต่กลืนเผ็ดไม่ได้ “ข้ามีอาหารเต็มตัว! ไม่เสียไม่หาย รสชาติไม่เปลี่ยน...เหอะ”


นางว่าแล้วก็ขยับมือขึ้น หมุนปลายนิ้วไปมาโชว์แหวนวงงามตรงนิ้วกลางข้างขวาอย่างมีจุดประสงค์ ราวกับผู้หญิงที่กำลังประชดแต่มือไม้ก็ดันเผลอเผยหลักฐานให้ดูเสียเอง 


“...แล้วนี่ล่ะ?” เสียงของนางแผ่วลงเล็กน้อย แต่ไม่วายยื่นนิ้วเข้าไปใกล้หน้าเขาเสียจนปลายแหวนแทบแตะจมูกของจางกงกง ดวงตาหลินหยาเริ่มหรี่ลงในจังหวะที่น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นกระซิบแบบพรายกระซิบเวท “ไอ้แหวนวงนี้มันมาจากไหนกัน ท่านเป็นคนส่งมาให้ข้าก่อนออกจากฉางอันใช่หรือไม่? หา?”


นางขยับตัวเข้าใกล้เขาจงใจไม่หลบ ดวงตาที่เคยหวานคล้ายดอกไม้บานกลับกลายเป็นสายตาเฉียบคมราวกับเจ้าหญิงนักสืบของหานตานที่จับได้ว่าคนตรงหน้ากำลังปิดบังอะไรไว้ เสียงหัวใจเต้นในอกเงียบจนได้ยินเสียงตนเองชัดเจน ร่างเล็กที่ยืนพิงโต๊ะจิบชาตรงหน้าเงยหน้าสู้ตาเขา “มันงดงามเกินกว่าคนขายเร่จะกล้ามาหยิบยื่นให้ใครหรือลืมทิ้งไว้นะ….นี้มันแหวนดาราจรัสท่านคิดว่ามันหาง่าย ๆ หรอ?...แถมสลักลายเฉพาะแบบนี้”


นางกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เป็นยิ้มที่เหมือนรู้มากกว่าที่ถาม แต่ก็ยังอยากฟังจากปากของเขาอยู่ดี “หรือท่านคิดว่าจะมีคนอื่นที่แอบส่งแหวนให้สาว ๆ กันอีกล่ะ...ใต้เท้าจาง ห่าวหมิง?” เสียงของหลินหยาลากคำตอนท้ายราวกับจะเย้าแหย่ แต่เบื้องหลังแววตาคู่นั้นกลับเผยอารมณ์บางอย่างที่ซับซ้อนเกินกว่าจะหยอกล้อ แม้จะไม่ใช่หญิงสาวที่คล้อยตามกับเครื่องประดับง่าย ๆ...แต่แหวนวงนี้นางสวมมันทุกวันตั้งแต่ได้รับโดยไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่กำลังรู้สึกว่าตนเหลือเพียงตัวคนเดียว ปลายนิ้วนางกลับเผลอสัมผัสวงแหวนและนึกถึงเขาโดยไม่รู้ตัว


“ข้าถามอยู่ ท่านจะตอบหรือไม่?” น้ำเสียงของนางนิ่งกว่าเดิมเล็กน้อย ขณะมองลึกเข้าไปในดวงตาของชายผู้ที่แม้แต่เลือดใต้ศาลเจ้าก็ทำให้เขาไม่กระพริบตา แต่...แหวนวงนี้กลับทำให้นางใจเต้น “หรือว่าท่าน...ตั้งใจจะให้ข้าใส่มันตลอดไป?”


จางกงกงเงียบไปครู่หนึ่งขณะมองปลายนิ้วเรียวที่ชูแหวนวงงามตรงหน้าเขา กลิ่นดอกไม้จากเรือนผมนางยังไม่จางคลาย เสียงกึ่งประชดประชันของหลินหยาแฝงความเจ็บจาง ๆ ที่เขาไม่กล้าเอ่ยปากตอบตรง ๆ แต่ก็ไม่อาจเมินมันได้เช่นกัน เขาเอียงหน้าช้า ๆ มองแหวนวงนั้นที่สะท้อนแสงเช้าแล้วหรี่ตาลง สายตาคล้ายกำลังครุ่นคิดก่อนที่ริมฝีปากจะเผยอกมาเบา ๆ "เจ้าใส่มันทุกวันเลยหรือ?" จางกงกงถามขึ้นด้วยเสียงเรียบเย็นแต่ติดร้อนเล็กน้อย เหมือนคนที่ไม่กล้าหวังแต่ก็อยากได้ยินคำยืนยันนั้นจากปากของนาง เขาไม่ตอบตรงคำถามแรกของนางในทันที กลับเดินเข้าใกล้ช้า ๆ แล้วเอื้อมมือจับปลายนิ้วของหลินหยาไว้ นุ่ม อุ่น และยังอวดดีเช่นเคย


"ไม่เสีย ไม่หาย รสชาติไม่เปลี่ยน...แต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าแหวนวงนี้มันสลักอะไรไว้ด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่?" เขาถามพลางขยับนิ้วที่สวมแหวนให้ใกล้ดวงตาของเขาอีกหน่อย มากพอที่หลินหยาจะได้เห็นว่าเขามองมันอย่างระแวดระวัง ราวกับกำลังอ่านคาถาโบราณที่เคลือบไว้ ดวงตาสีเข้มของเขาแฝงแววเจ้าเล่ห์อย่างอ่อน "ข้าเคยได้ยินว่าคนที่ไม่กล้าถอดของขวัญที่ไม่รู้ว่าใครให้มานั้น...มักจะรักคนให้มันเข้าอย่างจังโดยไม่รู้ตัว"


หลินหยาตวัดตาขึ้นมองเขาอย่างฉับไว กำลังจะอ้าปากเถียงแต่มือที่จับนิ้วกลางไว้กลับบีบเบา ๆ ทำให้นางชะงัก "ข้าส่งมันไปให้เจ้า" จางกงกงพูดเสียงต่ำแต่ชัด "...และข้าก็ตั้งใจให้เจ้าสวมมันตลอดไป" เขาหยุด มองใบหน้าของหลินหยาแบบไม่หลบตา ลมหายใจร้อนแผ่วใกล้เสียจนแม้แต่เสียงหัวใจของนางก็เหมือนจะดังสะท้อนในอก


"เจ้า...จะไม่ถามหรือว่าทำไม?" เขายิ้มบาง ๆ แต่มันไม่ใช่รอยยิ้มของคนใจดี มันคือรอยยิ้มของคนที่วางแผนอะไรไว้ลึกเกินกว่าใครจะเดาออก


หลินหยาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจยาว มือที่ถูกเขาจับไว้ยังไม่สะบัดออก นางตอบเสียงเบาแต่ชัดเจน "ไม่ถาม เพราะข้ารู้...ข้ารู้ว่าท่านมันโรคจิต......แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังสวมมันอยู่ดี”


"โรคจิตหรือ..." เสียงทุ้มต่ำคล้ายจะหัวเราะในลำคอ จางกงกงย้ำคำที่หลินหยาว่าพลางยืดตัวตรงช้า ๆ ถอนนิ้วออกจากปลายนิ้วนางอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ปลายนิ้วเรียวยาวจะลากผ่านข้อมือนางไปคล้ายบังเอิญ สัมผัสแผ่วราวขนนกแต่กลับทำให้คนที่โดนแตะรู้สึกเหมือนถูกเข็มเล็ก ๆ ฝังลงที่ผิว เขาขยับเข้ามาใกล้ ใกล้เสียจนเงาของเขาทาบทับร่างหลินหยา มือข้างหนึ่งยันโต๊ะที่นางนั่งพิงไว้ อีกข้างยกขึ้นแตะแผ่นอกซ้ายของตนเองเบา ๆ "คำก็โรคจิต คำก็ไร้หัวใจ หากข้าไม่มีหัวใจจริง ๆ อย่างที่เจ้ากลัว...เจ้าคิดว่าข้ายังจะมาเสียเวลาแกล้งแมวขนฟูอย่างเจ้าทำไมกันเล่า?"


แววตาของเขาไม่ใช่เพียงร้ายลึก แต่มันคล้ายจะหลอมละลายทุกความแน่ใจของคนตรงหน้าให้กลายเป็นควันเบาบาง หวาดกลัวได้ ระแวงได้ แต่ยากที่จะห้ามตนเองไม่ให้หลงเข้าไปอีก "หรือว่าเจ้าเอง...ชอบให้ข้าเป็นแบบนี้ล่ะ?" เขากระซิบต่ำลงใกล้ใบหูของหลินหยา จนลมหายใจร้อนผ่าวเฉียดผ่านใบหูเล็ก "ถึงได้ไม่หนี ถึงได้ยังใส่แหวน ถึงได้ยังตามหาข้าแม้ยามดึกดื่นอย่างเมื่อคืน"


หลินหยาเบือนหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มแน่นแต่แก้มกลับร้อนผ่าวอย่างปิดไม่มิด


จางกงกงยกยิ้มช้า ๆ เขาไม่ได้รอคำนางตอบ ไม่ต้องการคำยอมรับชัดเจนแบบคนปกติ เขาเพียงยินดีจะทรมานนางอย่างละเมียดละไม คล้ายคนที่ไม่อยากได้เพียงหัวใจของใคร แต่ต้องการให้ใจนั้นแตกสลายต่อหน้าเขา แล้วรวบรวมมันกลับคืนมาด้วยมือของเขาเอง “เสี่ยวหยา...เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือ ว่าคนอย่างข้าน่ะ ไม่เคยให้ของใครโดยไม่หวังผลตอบแทน” เสียงนั้นเบาราวจะปลุกอารมณ์หวาดระแวงและแปลกประหลาดขึ้นพร้อมกัน แล้วเขาก็ก้มลงช้า ๆ เฉียดใบหน้าของนางไปใกล้จนได้กลิ่นหอมจาง ๆ ของกลีบดอกท้อบนเรือนผมนั้น ก่อนจะพูดเบาเสียจนคล้ายลมหายใจ


“และครั้งนี้...ข้าจะให้เจ้าจ่าย...” ยังไม่ทันพูดจบมือเขายกขึ้นอีกครั้ง แต่แทนที่จะสัมผัส กลับเพียงโบกเบา ๆ ให้ผมของนางกระเพื่อมเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะถอยหลังไปสองก้าว แล้วยืนตรงพลางจัดเสื้อคลุมของตนอย่างสุภาพ รอยยิ้มบนหน้าของเขาหายไปในทันทีกลับกลายเป็นจงฉางชื่อผู้เคร่งขรึมคนเดิม


“ไปกันเถอะ หากเราไม่ออกตอนนี้ไปถึงเมืองข้างหน้าคงค่ำมืดเกินกว่าที่จะคาดการณ์ได้ ข้าไม่อยากนอนกลางป่าเขา” เขาเดินไปหยุดที่หน้าประตู ไม่หันมามองนางอีก ทิ้งให้หลินหยานั่งนิ่ง ใบหน้าร้อนวาบและหัวใจเต้นแรงในห้องพักโรงเตี๊ยมที่ยังคงอบอวลด้วยกลิ่นของจางกงกง ทั้งที่เจ้าตัวเดินออกไปแล้วแท้ ๆ



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: กรี๊ดดดดดด เดทอยู่ค่ะ เขิน (ตัวบิดไปมา) มันคงไม่เกิดอะไรแปลก ๆ ใช่ไหมนะ (สั่น) 
ไม่หรอกแอดไม่ขยันแจกอีเว้นท์ 555555+

รางวัล:  -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 130121 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-15 05:02
โพสต์ 130,121 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-15 05:02
โพสต์ 130,121 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-15 05:02
โพสต์ 130,121 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-15 05:02
โพสต์ 130,121 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-15 05:02
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้