Part.3 ศาลเจ้าจิ้งอวิ๋น
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดไม่มีใครรู้ หลินหยาเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเธอนั่งนิ่งอยู่บนเตียงนั้นมานานแค่ไหน ดวงจันทร์ลอยสูงจนมุมเงาเปลี่ยนตำแหน่งบนพื้นห้องอย่างเงียบงัน อาจจะครึ่งชั่วยาม หรืออาจนานกว่านั้น หากไม่ใช่เพราะเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบานอกห้อง เสียงที่เธอจดจำได้ดีแม้จะไม่เคยตั้งใจจะจำ มันนุ่มนวลอย่างผิดปกติ ราวกับไม่เคยเดินบนโลกที่เต็มไปด้วยโคลนเลือด แต่กลับหนักแน่นพอจะทำให้หัวใจในอกของเธอสะดุ้งไหว ดวงตากลมโตคู่นั้นที่ก่อนหน้านี้เลื่อนลอยพลันหันไปมองบานประตูราวกับมีแรงดึงดูดจากอีกฟากหนึ่ง และเมื่อเสียงบานประตูเปิดออกอย่างเชื่องช้า เงาร่างสูงในชุดดำของจางกงกงก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในแสงตะเกียง
เขาไม่พูด ไม่เอ่ยสักคำ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นในกรอบประตู เงาที่ทอดจากร่างของเขาพาดยาวเข้ามาถึงกลางห้อง ร่างสูงในชุดดำสนิทไร้รอยเปื้อนเลือดใด ๆ เส้นผมเรียบร้อยถูกมัดไว้หลวม ๆ หลังท้ายทอย แต่ในมือนั้นยังถือกระบี่เล่มเดิมเอาไว้ ไม่ใช่เพื่อขู่ ไม่ใช่เพื่อจงใจเผยอำนาจ แต่เป็นเพียงการ ‘ถือมันไว้’ ประหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่เขาไม่อาจสลัดทิ้ง
สายตาของเขาไม่เหลือความตกใจแบบที่มีบนศาลเจ้า แต่กลับเป็นสายตาที่จ้องมองหลินหยา ราวกับกำลังอ่านความคิดนางทุกตัวอักษร ทุกลมหายใจ และทุกบาดแผลที่ยังเปิดอยู่ในอก เธอยังคงอยู่ที่เดิม...อยู่บนเตียงที่เขาใช้หลับนอนในช่วงที่ผ่านมา ไม่หนี ไม่ซ่อน ไม่เอ่ยแม้สักคำตำหนิ
ดวงตาของจางกงกงวูบไหวเล็กน้อย ความรู้สึกหนึ่งบางเบาอาจพาดผ่านในเงาสบตานั้น แต่ไม่ทันให้หลินหยาได้ไขว่คว้า เขาก็ขยับอีกครั้งมือเรียวยาวเอื้อมไปจับลูกบิดแล้วดึงบานประตูปิดลงเบา ๆ เสียงมันคลิกปิดช้า ๆ และตามด้วยเสียง “แกร๊ก” ของกลอนที่เลื่อนลงล็อกอย่างแน่นหนา ไม่ได้ดังเพราะแรง แต่มันดัง...เพราะความเงียบในห้องนี้เกินพอจะทำให้ทุกเสียงเด่นชัดราวค้อนกระทบใจ
หลินหยายังคงนั่งนิ่งบนเตียง ดวงตาคู่นั้นจ้องการกระทำของเขาราวกับต้องการเข้าใจความหมายแต่ก็รู้ดีว่าไม่อาจเข้าใจเขาได้ทั้งหมดเหมือนทุกครั้ง มือเล็กทั้งสองของเธอวางบนตักอย่างนิ่งสนิท ไม่ได้กำ ไม่ได้สั่น มีเพียงความอุ่นในอกที่กลายเป็นความปั่นป่วนเกินจะกลั่นกรอง เธอรู้ดีว่า...เขาล็อกกลอนไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยของเธอ แต่เพื่อไม่ให้เธอ “ออกไป”
การปิดประตูนั้นคือการกันโลกภายนอกออกไป และการล็อกกลอนนั้น...คือการกันเธอออกจากโลกภายนอก
สายตาของเขาจ้องมองเธอในความเงียบที่ยาวนาน ราวกับกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังไม่พูดออกมา มีเพียงดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่นางเคยหลงรักเพราะมันเย็นชาเกินคาดเดา แต่ตอนนี้กลับทำให้นางหวั่นใจยิ่งกว่าเดิม เพราะเธอไม่รู้แล้วว่าเขาคิดอะไรอยู่ ไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังแววตานั้น...คือคำขอโทษ หรือคำพิพากษา
หลินหยายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เงียบ ไม่เอ่ยถาม ไม่หลบตา
ขณะจางกงกงยืนอยู่ตรงนั้น เงียบ ไม่อธิบาย ไม่ขยับเข้ามา
มีเพียงระยะระหว่างกัน ที่แน่นิ่งและอึดอัดพอจะทำให้คำพูดไหน ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์หากไม่เอ่ยด้วยใจ นี่คือคืนที่พวกเขามีเพียงกันและกัน ในห้องหนึ่ง ห้องที่กลายเป็นห้องขังของหัวใจทั้งสองดวงที่ไม่รู้ว่าจะปลดกลอนออกได้อีกไหม
จางกงกงยืนนิ่งตรงประตูราวกับเงาแห่งความมืดที่หยัดกายขึ้นมามีชีวิต แววตาคมลึกจ้องมองร่างบางที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างแน่นิ่ง ไม่มีคำพูด ไม่มีคำถาม มีเพียงแค่สายตา สายตาที่กรีดเฉือนทุกจังหวะหายใจของเขาเองทุกวินาทีที่ผ่านไป ความเงียบของหลินหยานั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดไว้ ไม่ใช่สายตาหวาดกลัว ไม่ใช่เสียงกรีดร้อง หรือคำด่าทอ แต่นางแค่...อยู่ตรงนั้น จ้องเขาอย่างไม่หลบ ทั้งที่ควรจะหนี ทั้งที่ควรจะโกรธ ทั้งที่ควรจะตะโกนใส่หน้าว่า เจ้ามันปีศาจ
ทว่า...เสี่ยวหยาของเขากลับไม่พูดและนั่น...กลับเจ็บยิ่งกว่าคำใด
มือของเขาที่วางบนด้ามกระบี่เริ่มเกร็งโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกภายในใจเริ่มแตกกระจายราวหยดพิษในถ้วยน้ำชา ไม่ใช่ความลังเล ไม่ใช่ความสับสน แต่มันคือความเจ็บปวดอย่างที่เขาไม่เคยมีต่อใคร เพราะหากเป็นคนอื่น หากเป็นใครหน้าไหนก็ตามที่กล้าตามเขาไปจนถึงศาลเจ้านั้น แล้วเห็นเห็นทุกหยดเลือด เห็นทุกร่างที่เขาล้มมันลงกับมือตัวเอง เขาจะไม่ลังเลแม้สักชั่วลมหายใจ เขาเคยฆ่าคนทั้งกลุ่มเพียงเพราะพวกมันรู้ข้อมูลที่ไม่ควรรู้ เคยวางยาทั้งขุนนางเฒ่าตระกูลใหญ่เพียงเพราะมันหันหัวไปหาศัตรู เคยตัดลิ้นขันทีข้างกายโดยไม่กระพริบตา เพราะเสียงมันแผ่วไปหนึ่งพยางค์
สำหรับเขา “ความผิดพลาด” ไม่มีอยู่ในสมการของชีวิต
แต่ตอนนี้...หลินหยานั่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับภาพศพนับสิบที่นางเห็นกับตา พร้อมกลิ่นเลือดที่ยังไม่จางจากปลายชายผ้า พร้อมความเงียบที่นางเอาไว้บีบคอเขาช้า ๆ โดยไม่ต้องยื่นมือ เขาเคยคิดว่า หากวันหนึ่งนางล่วงรู้ความลับบางอย่าง เขาจะเป็นฝ่ายจัดการ จะปิดปากอย่างนุ่มนวลที่สุด หากจำเป็นก็จะปล่อยให้นางหายไปจากโลกนี้โดยไม่รู้สึกแม้แต่นิดเดียว แต่ในตอนนี้...กลับไม่สามารถแม้แต่จะ “คิด” ถึงการยื่นมือไปแตะปลายนิ้วของนางในฐานะเพชฌฆาต
เพราะเธอคือ “เสี่ยวหยา” ของเขา เสี่ยวหยาที่ครั้งหนึ่งเคยชูผลไม้เปรี้ยวหวานขึ้นมาแกล้งเขา เอียงหัวหัวเราะใส่เขาตอนเขาทำหน้าตึง เสี่ยวหยาที่ครั้งหนึ่งเคยกล้ากระซิบข้างหูว่า ถ้าท่านเหนื่อยนัก...ก็พักกับข้าตรงนี้เถิด หรือกระทั่งเสี่ยวหยาที่ชกหน้าเขาอย่างไม่กลัวสิ่งใด หรืออ้อนวอนขอความตายกับเขา
แม้เขาจะหัวเราะใส่นางตอนนั้น แต่เขากลับไม่มีวันลืมคำพูดนั้นเลย
เขาไม่เคยให้ใจใคร และไม่คิดจะให้เพราะใจเขาไม่เคยมีสิ่งใดเหลือพอจะให้ใครตั้งแต่เลิกเป็นมนุษย์ แต่หลินหยา...ค่อย ๆ แหวกม่านพิษที่เขาสร้างขึ้นมาปกป้องตัวเอง ตอนนี้เขาไม่แน่ใจอีกต่อไปแล้ว ว่าความผูกพันที่เคยเป็นแค่ประโยชน์ที่ใช้จัดวางหญิงสาวผู้หนึ่งไว้ในหมากของเขานั้น…ยังคงอยู่ในขอบเขตเดิมหรือไม่
ใจของเขามันเปลี่ยน เพียงเล็กน้อย แต่เล็กน้อยนั้น...กลับลึกพอจะฝังราก และนั่นทำให้เขา เกลียดตัวเองยิ่งกว่าเดิม
เขาเกลียดที่ไม่สามารถฆ่านางได้เหมือนคนอื่น เกลียดที่เงาของนางกลับตามเขาแม้ในความฝัน เกลียดที่น้ำเสียงของนางกลับเป็นสิ่งเดียวที่เขาจดจำ…แม้ในยามที่เลือดเปื้อนมือ เขาขบกรามแน่น ริมฝีปากเม้มชิด เสียงของหัวใจเต้นในอกกลับไม่สงบอย่างเคย ความรู้สึกเยียบเย็นที่เขาสร้างขึ้นมาทั้งชีวิตกลับแหลกสลายเพียงเพราะสายตานั้น สายตาของนางที่มองเขาในยามที่ไม่ควรมอง แต่เขายังไม่พูดอะไร เพราะเขารู้ดีว่าหากพูด…สิ่งที่หลุดออกมาจะไม่ใช่คำแก้ตัว แต่จะเป็นความโกรธ…ความเสียใจ…และบางทีคือความอ่อนแอที่เขาไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองมี
กระบี่ในมือนั้นยังเย็นเฉียบ แต่ใจของเขากำลังลุกไหม้ด้วยสิ่งที่เขาไม่สามารถฆ่าทิ้งได้ และเมื่อเขามองหลินหยาอีกครั้ง...เขารู้ดีว่า หากนางเอ่ยเพียงคำเดียวที่เขาไม่อยากฟัง เขาอาจจะ...หายไปจากห้องนี้ และไม่กลับมาอีกเลย แต่ถ้านางพูดว่า จะฆ่าข้าหรือ? เขาก็ไม่แน่ใจว่า...คำตอบจะเป็น “ไม่” ได้จริงหรือไม่ นั่นคือความอันตรายของจางกงกงที่แท้จริง
เขาไม่ได้แค่ทำร้ายคนอื่นอย่างเลือดเย็น แต่ยังสามารถทำร้ายหัวใจของตัวเอง...ได้อย่างเลือดเย็นเช่นกัน
จางกงกงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเพียงครู่ก่อนจะขยับ ร่างสูงในชุดดำขลับเคลื่อนตัวอย่างเงียบงันราวเงาของรัตติกาลที่ไหลรินผ่านผนังห้อง ร่างของเขาหลุดออกจากประตูที่ถูกล็อกไว้ด้วยมือของตนเอง เคลื่อนไปหยุดตรงหน้าโต๊ะไม้จันทน์ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ก่อนจะวางกระบี่ในมือลงบนผิวไม้ด้วยน้ำหนักอันแน่วแน่ เสียงโลหะกระทบกับเนื้อไม้ดัง "กึก" แผ่วเบา แต่กรีดเฉือนบรรยากาศทั้งห้องให้ตึงขึ้นในฉับพลัน กระบี่ของจางกงกงไม่เคยอยู่ห่างจากตัวเขา หากไม่ใช่เพราะมีบางสิ่งที่เขาต้อง "แสดงออก" ด้วยวิธีอื่นแทน
เขาหันกลับมา สายตาคมลึกของชายผู้ไม่เคยยอมให้ความผิดพลาดมีช่องโหว่ไหลผ่าน เขามองตรงไปยังหลินหยา หญิงสาวเพียงคนเดียวในโลกนี้ที่เขาไม่อาจใช้น้ำเสียงคำสั่งใส่ได้เต็มปาก แต่ก็ยังต้องใช้พลังของความแน่วแน่กลืนลงในถ้อยคำที่เขากำลังจะเปล่งออกไป เสียงทุ้มต่ำและเยียบเย็นค่อย ๆ หลุดจากริมฝีปากของเขา ราบเรียบราวกับบทบัญญัติที่ไม่มีการต่อรอง ไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง ไม่มีพื้นที่ให้หนีหลบได้เลยแม้ครึ่งก้าว
"เสี่ยวหยา..." น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น แต่ไม่แข็งกร้าว เป็นความเงียบงันที่อัดแน่นด้วยแรงกดดันชนิดที่แม้แต่ความมืดในห้องยังเหมือนแน่นขนัดมากขึ้น "...เจ้าจงรับปากข้าว่า...เจ้าจะไม่พูดเรื่องที่เห็นในศาลเจ้าจิ้งอวิ๋นนั่น...ออกไป" คำพูดแต่ละคำของเขาหนักแน่นราวกับตรึงไว้ด้วยตะปูเหล็ก เขาเดินเข้ามาใกล้ หลินหยาที่นั่งอยู่บนเตียงหันหน้าขึ้นสบตากับเขาทันทีโดยไม่หลบ หากแต่ภายในอกกลับเต้นระรัวเหมือนใครจับมันไปบิดเบี้ยวอยู่ใต้ฝ่ามือ
“ขอให้มันหายไป วันนี้ คืนนี้” เขาพูดชัด ริมฝีปากเม้มแน่น สายตาจ้องตรงเข้าไปในดวงตานางไม่ละแม้เพียงกะพริบตาเดียว มันไม่ใช่แค่การขอแต่มันคือคำขอร้องที่มีราคาของการมีชีวิตอยู่
เขาไม่ยกกระบี่ขึ้นขู่ ไม่แสดงท่าทีคุกคาม แต่น้ำเสียงนั้น...กลับเย็นเสียจนเหมือนมือเปล่าของเขากำลังจ่อมีดอยู่ที่ลำคอเธออยู่แล้ว เป็นคำพูดที่ราวกับมีดสั้นบางเฉียบเสียบผ่านขั้วหัวใจ
หลินหยานั่งนิ่ง สองมือวางอยู่บนตักตามเดิมแต่กำแน่นขึ้นเล็กน้อย เธอจ้องดวงหน้าของเขา...หน้าที่ปกติแฝงรอยยิ้มแสนรู้แต่ตอนนี้กลับจริงจังเสียจนแม้แต่ดวงจันทร์ยังไม่กล้าทอดแสงผ่านม่านบางนั้นลงตรงกลางใบหน้าเขา สายตาของเขามีแรงบางอย่างที่เธอรู้จักดี ไม่ใช่แค่แรงกดดันของคนที่กำลังปกป้องภารกิจ...แต่คือแรงของคนที่กำลังปกป้อง ‘ความจริงบางอย่าง’ ที่เขาไม่อยากให้เธอแตะต้อง เขากำลังจะตัดโลกของเขาออกจากโลกของเธอ เขากำลังจะทิ้งเลือดและศพไว้ในอดีต และยื่นมือเปล่า ๆ มาหาเธอ
"ขอแค่เจ้ารับปาก…เสี่ยวหยา"
หลินหยายังคงเงียบ ใบหน้าของนางนิ่งอย่างผิดปกติ ดวงตาเบิกกว้างอย่างสั่นไหว แต่ปากกลับเม้มแน่น ไม่ยอมเอ่ยคำตอบ ราวกับในใจเธอกำลังต่อสู้กับบางสิ่งอย่างดุเดือด เพราะการรับปาก…เท่ากับเธอจะกลายเป็นอีกคนที่ยินยอมให้อำนาจอยู่เหนือความตาย เท่ากับเธอจะกลืนความจริงที่เห็นลงไปในลำคอ และทำเป็นว่าไม่เคยเกิดขึ้น เท่ากับว่า...เธออาจไม่ใช่เธออีกต่อไป
แต่สายตาของเขา...กำลังกดดันให้เธอ "เป็น" ผู้สมรู้ร่วมคิดโดยไม่ต้องมีคำใดเขียนไว้ในสัญญา เป็นผู้รับรู้ความลับที่ไม่มีใครควรรู้ และยินยอมเก็บมันไว้ใต้ลิ้นตลอดชีวิต
หลินหยามองเขา ไม่หลบ เธอกำลังเงียบแต่ความเงียบนั้นไม่ใช่ความกลัว มันคือความลังเล...ของผู้ที่รู้ดีว่า หากตอบตกลง เธอจะไม่มีวันกลับไปเป็นหญิงสาวคนเดิมได้อีกเลย
จางกงกงยังคงยืนอยู่ตรงหน้าเตียง เสียงลมหายใจของเขาเงียบสนิทแต่หนักอึ้งราวกับพายุใต้ผิวน้ำ มือข้างหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างเฉื่อยช้าแต่มั่นคง เขายื่นออกไปโดยไม่ขออนุญาต ไม่ลังเล ไม่รั้งตนเองแม้เสี้ยววินาที ปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะลงบนไหล่ของหลินหยาอย่างจงใจ ทุกอย่างในสัมผัสนั้นแฝงด้วยความเป็นเจ้าข้าว่าเจ้า ไม่ใช่ในฐานะหญิงสาวธรรมดา แต่ในฐานะ “ของเขา” ที่เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เดินหลุดจากกรงที่เขาแกะสลักไว้ด้วยมือเปื้อนเลือดนี้ มือของเขากดเบา ๆ ไม่รุนแรง ไม่รีบร้อน แต่แฝงแรงกดแปลกประหลาดอย่างคล้ายจะบังคับไม่ให้เธอลุก ไม่ให้เธอขยับ ไม่ให้เธอ หนี
เขารู้ดี...เธอจะไม่สะบัดไหล่ออก เพราะเธอเป็นหลินหยาที่กลืนความกลัวไว้หลังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเสี้ยวนั้นทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ เขาก้มลงเล็กน้อยจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น ตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของนางสะท้อนแสงตะเกียงเลือนราง เขาเห็นภาพของตนเองในแววตานั้น...ภาพที่บิดเบี้ยว ซ้อนทับระหว่างจางกงกงผู้ที่นางเคยไว้ใจ กับจางกงกงผู้ที่ลงมือฆ่าคนราวกับตัดกลีบดอกไม้ทิ้งยามว่าง
เสียงของเขาเอื้อนเอ่ยอีกครั้ง คราวนี้ชิดกว่าเดิม ต่ำกว่าเดิม และ... เย็นยิ่งกว่าเดิม
“เจ้ารับปากข้าเสีย เสี่ยวหยา...ห้ามพูดถึงสิ่งที่เจ้าเห็น ห้ามแม้แต่จะจำ ห้ามแม้แต่จะนึกถึงมันในยามหลับ ให้มันตายไปพร้อมเลือดบนพื้นศาลเจ้านั่น” เขาพูดช้า ๆ ทีละคำ ทีละพยางค์ ราวกับกลัวว่าเธอจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังยัดเยียดลงไปในสมองเธอด้วยมือตัวเอง “ลืมมันซะ เสี่ยวหยา ลืมมันให้หมด...” เสียงของเขาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่ตะโกน ไม่ใช่คำราม แต่มันเต็มไปด้วยแรงกดราวกับใครเอามีดอาบน้ำแข็งมาบีบกรามเธอไว้
เขากำลังย้ำซ้ำ ย้ำหนัก ย้ำชัดและในน้ำเสียงนั้นมีบางอย่างสั่นอยู่ภายใน มันไม่ใช่แค่การกลัวความลับรั่วไหลแต่มันคือ “ความหวาดกลัว” ลึกที่สุดของเขา
กลัวว่าเธอจะมองเขาเปลี่ยนไป
กลัวว่าสายตาของเธอจะไม่ใช่สายตาเดิม
กลัวว่าจำต้องสังหารนางให้ตายตก
กลัวว่าวันหนึ่งเขาจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะอยู่ในความทรงจำของนางในฐานะ “คน”
มือของเขาที่วางอยู่บนไหล่เธอค่อย ๆ กดลงนิดหนึ่ง แล้วเสียงทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันแผ่ว แต่อันตรายจนเหมือนเงามืดซึ่งคลานขึ้นจากใต้เตียง "...เจ้ากลัวข้าหรือไม่ เสี่ยวหยา" คำถามนั้น...ไม่ใช่คำถามธรรมดา มันคือกับดัก มันคือคำถามของคนที่พร้อมจะหัวเราะ หากได้ยินคำว่า “ไม่” และพร้อมจะ พัง ทุกอย่างหากได้ยินคำว่า “ใช่”
หลินหยาเงยหน้าขึ้นจ้องเขา ไม่ใช่เพราะอยากท้าทาย แต่เพราะเธอไม่สามารถละสายตาจากดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นไร้ปรานี ทว่าภายใต้รอยเรียบนิ่งนั้นกลับซ่อนบางสิ่งไว้มากเกินไปมากเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ เขาเป็นผู้ชายที่ถ้าเธอตอบว่า “กลัว” เขาอาจจับนางให้จ้องใบหน้าแสนกลัว แต่ถ้าเธอตอบว่า “ไม่กลัว” เขาอาจฆ่าเธอเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าเธอควรกลัว เขาไม่ใช่คนปกติและเธอก็รู้ดี
เขาคือบุรุษที่ฝังศพพร้อมรอยยิ้ม คนที่พูดคำว่ารักด้วยน้ำเสียงเดียวกับตอนพูดคำว่าฆ่า และตอนนี้ เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ กดไหล่เธอไว้ และถามว่ากลัวข้าหรือไม่ มันไม่ใช่แค่การถาม...แต่มันคือคำประกาศว่า ข้าจะไม่ยอมให้อะไรหลุดมือไปอีก แม้แต่เจ้า และถ้าคำตอบของเธอ...ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้ยิน บางที มือที่เคยอ่อนโยนตอนแตะข้อมือเธออาจจะเปลี่ยนเป็นมือที่ปิดปากเธอไปตลอดกาล
หลินหยายังคงนั่งนิ่งบนเตียงไม้จันทน์ ผ้าม่านสีขาวอ่อนปลิวไหวเบา ๆ ตามแรงลมจากหน้าต่างที่แง้มไว้ แต่ภายในห้องกลับเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองชัดเจน เธอมองมือของเขาที่แตะอยู่บนไหล่ นิ่ง เงียบ รู้สึกถึงแรงกดบางเบาที่มากพอจะเตือนให้เธอรู้ว่า...ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ตรงปลายเชือกเส้นบางที่ขึงระหว่างชีวิตและความตาย สายตาของเขาจ้องมาไม่กระพริบ แววตาเรียบนิ่งราวกับประตูห้องขังที่ไม่มีใครรู้ว่าภายในเก็บอะไรไว้ แต่ยิ่งมองนานเท่าไหร่ เธอกลับยิ่งแน่ใจว่าข้างในนั้นเต็มไปด้วยความสับสน...และความกลัว
หลินหยาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สูดลมหายใจหนึ่งเข้าปอดอย่างแน่น ก่อนพ่นมันออกมาเบา ๆ แล้วจึงเอ่ย เสียงของเธอไม่สั่น ไม่แหลม ไม่หวีด แต่แผ่วลงอย่างมั่นคงราวกับคนที่ตัดสินใจบางอย่างแล้ว
“กลัวเจ้าค่ะ...” เธอพูดเสียงเรียบ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนทอดมองใบหน้าคมกริบของเขาอย่างสงบ ราวกับไม่ได้ตอบเพียงเพื่อตัวเอง แต่เพื่อตัวเขาด้วย “ข้ากลัว” คำคำนั้นหลุดออกจากปากของนางด้วยความตรงไปตรงมาราวกับคำสารภาพในห้องศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับเป็นคำที่แทงเข้าอกจางกงกงหนักกว่ากระบี่ใดที่เขาเคยถือ
“ข้ากลัว...ว่าท่านจะไม่มีหัวใจ” น้ำเสียงของนางยังคงนิ่งราบ แต่แววตากลับสั่นไหว เธอเอ่ยต่อโดยไม่หลบตาเขา “กลัวว่าท่านจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป…กลัวว่าท่านอาจกำลังกลายเป็นบางสิ่งที่กระทั่งข้าก็ไม่มีวันเอื้อมถึงได้อีก” เธอยิ้มอ่อน ๆ แบบที่คนกล้าหาญมักยิ้มเมื่อตนเองแพ้ ยิ้มของคนที่รู้ว่าตนเองอาจต้องตาย แต่ก็ยังยอมเลือกยืนอยู่ตรงนี้ เสมอเขา ไม่ขยับถอยแม้แต่นิ้วเดียว
“ข้ากลัวว่ากระทั่งข้า...ก็ไม่อาจรั้งท่านไว้ได้อีก”
ดวงตาของนางจ้องขึ้นตรง ๆ แสงตะเกียงส่องเงาบางเบาลงบนใบหน้าหวานที่บัดนี้ไม่มีอะไรหลอกลวง ไม่มีอะไรซ่อนเร้น ไม่มีมารยา มีเพียงใจเปลือยเปล่าของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่ยอมเปิดให้ชายตรงหน้าดู…แม้รู้ว่าอาจโดนหักทิ้งโดยไม่ลังเล แต่แล้ว...หลินหยากลับเอ่ยต่ออย่างแผ่วเบา น้ำเสียงนั้นไม่ใช่การกล่าวโทษ หากแต่เป็นคำถามที่ราวกับยื่นปลายมือให้เขาตัดสินชีวิตเธอด้วยความเงียบ “แต่ตอนนี้...ข้าก็พอจะรู้สึก” เธอพูดช้า ๆ อย่างชัดเจน “ว่าท่านเองก็อาจมีบางสิ่ง...ที่ท่านกลัวเหมือนข้า” เธอยิ้มอีกครั้ง คราวนี้บางยิ่งกว่าครั้งก่อนแต่คมกว่า ยิ่งกว่ากระบี่ในฝักของเขา
“ท่านกลัวว่าหากข้าพูดออกไป เพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้...ท่านจะต้องฆ่าข้า ให้ตายตกตามคนเหล่านั้น ใช่หรือไม่?” คำถามนั้นดังก้องในอากาศราวเสียงระฆังที่ตีตอนเที่ยงคืน มันไม่ต้องการคำตอบ เพราะเธอรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว
จางกงกงนิ่งงัน เขามองนางโดยไม่กะพริบตา เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนตรงที่เขายืนอยู่ ใบหน้าของเขายังเยือกเย็น แต่ดวงตากลับสั่นไหวบางสิ่งบางอย่างที่แม้แต่เขาเองก็พยายามซ่อนไว้สุดแรง และนั่น...คือจุดที่เขารู้ตัวชัดเจน หลินหยาไม่ใช่หญิงสาวในแผนของเขา ไม่ใช่คนที่เขาจะจัดวางไว้บนกระดานหมากอีกต่อไป แต่เป็นเงาสะท้อนในใจที่เขาฆ่าทิ้งไม่ได้ และหากเขาต้องฆ่านาง…เขาเองต่างหากที่จะตาย
ตายทั้งเป็น
จางกงกงเงียบไปชั่วขณะหลังได้ยินคำตอบของหลินหยา ใจของเขาขยับราวกับถูกคลายโซ่ที่พันธนาการไว้แน่นหนาในอก แต่ในขณะเดียวกันก็มีบางสิ่งรัดแน่นมากขึ้นแทนที่ บางสิ่งที่ไม่มีชื่อเรียก หากแต่เขารู้ดีว่ามันกำลังกัดกินเขาอยู่เงียบ ๆ จากภายใน ไม่ใช่ความกลัว ไม่ใช่ความเสียใจ แต่คือความรู้สึกอันคลุมเครือที่มีเพียงเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินหยาผู้เดียวเท่านั้น เขาย่อตัวลงช้า ๆ เงียบ ๆ จนดวงหน้าเรียวคมของเขาอยู่เสมอกับระดับสายตาของนาง ร่างสูงนั่งพิงข้างเตียง มือที่เคยถือกระบี่เปื้อนเลือด ค่อย ๆ ยื่นขึ้นไปอย่างแผ่วเบา เกลี่ยปลายนิ้วแตะลงที่แก้มของนาง แก้มกลมนุ่มที่เขาเคยแค่แกล้งพูดว่าอยากบีบมันสักที แต่นางก็จะทำหน้างอ เงื้อแขนเหมือนจะฟาดเขาทุกครั้งที่เขาพูดเช่นนั้น จนกลายเป็นเรื่องเล่นสนุกเล็ก ๆ ระหว่างเขาและนาง...ในวันที่พวกเขายังหัวเราะใส่กันได้
ตอนนี้...นิ้วของเขาได้สัมผัสมันจริง ๆ แต่มันไม่เหมือนเดิม เพราะหัวใจของเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เขาเกลี่ยช้า ๆ ราวกับกลัวว่าหากแรงเกินไป เธอจะสลายไปตรงหน้า เงาสะท้อนของใบหน้านางในตาสีเข้มของเขาแน่นิ่งราวกับจางกงกงกำลังพยายาม “จำ” ทุกเสี้ยวของเธอเอาไว้ให้แน่นที่สุดก่อนที่บางสิ่งในโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอีก เขาเอ่ยเสียงแผ่วลงแต่มั่นคง ช้า ชัด และเด็ดขาดในทุกพยางค์ “ข้ามาทำภารกิจลับ...ให้ฝ่าบาท” คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าแลบในยามค่ำคืนไม่ใช่เพราะหลินหยาไม่เคยสงสัยแต่เพราะเขาพูดมันออกมาด้วยเสียงของคนที่ไม่ได้ต้องการให้นางเห็นใจแต่ให้นางเข้าใจ
“ก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จลงใต้อย่างลับ ๆ ...พระองค์ทรงเรียกข้าเข้าพบ และมอบหมายภารกิจนี้ให้เป็นการลับ” เขาเว้นจังหวะชั่วครู่ มือยังเกลี่ยแก้มนางอยู่ไม่ขาด แม้ใบหน้าจะยังเรียบนิ่งแต่เสียงกลับหนักแน่นราวกับตัดสินมาแล้วนับพันครั้งในใจ “ขุนนางผู้นั้น ที่เจ้าเห็น ผู้คนคิดว่าเป็นคนดี ที่ทุกคนสรรเสริญว่าเคร่งครัด ยุติธรรม เสียสละเพื่อบ้านเมือง...มันเสแสร้ง มันหลอกลวง” เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย น้ำเสียงไม่เปลี่ยน แต่แฝงความเย้ยหยันเจือเลือดน้อย ๆ “เบื้องหลังมัน กลับแอบติดต่อกับเผ่าปีศาจ นำสมบัติลับออกนอกด่าน ปล่อยข่าวให้พวกมันโจมตีเมืองหน้าด่าน เพื่อเรียกงบประมาณในการเสริมกำแพงตนเอง แล้วปั่นป่วนศัตรูให้ดูเหมือนผู้กล้าผู้เสียสละ”
“ฝ่าบาทพระองค์ต้องการความเงียบ ไม่ต้องการเสียงศาล ไม่ต้องการพิธีกรรมตัดสินใด ๆ” เขาพูดชัดทุกถ้อยคำ ขณะที่แววตาจ้องตรงเข้าไปในดวงตาของหลินหยาโดยไม่ละ “พระองค์ต้องการให้ทุกอย่าง ‘หายไป’ จากโลกใบนี้” แล้วเขาก็พูดต่อ เสียงต่ำลงอีก แต่ทุกถ้อยคำกลายเป็นดาบเฉือนบางสิ่งในอกหลินหยาอย่างแม่นยำ “เหล่าทหารคุ้มกันของมัน ฮูหยินของมัน ลูกในจวนมัน...ทุกคน ข้าต้องสังหารทั้งหมด”
“อย่าปล่อยเสือเข้าป่า หลินหยา” เขาเรียกชื่อเต็มของเธอ ไม่ใช่แค่เสี่ยวหยาอีกต่อไป เพราะคำนี้...เขาต้องการให้เธอฟังในฐานะ ‘ผู้เห็นความจริง’ ไม่ใช่ในฐานะหญิงสาวที่เขาเคยแกล้งเล่น “หากปล่อยให้มันตายแค่คนเดียว เรื่องที่มันทำจะกลายเป็นความจริงที่พระองค์ต้องรับผิดชอบ” เสียงเขาเริ่มกระชากลมหายใจ แววตาแปรเปลี่ยนเป็นประกายแห่งคนที่ยอมมือตัวเองเปื้อนเลือดแทนฝ่าบาท “แต่หากทุกคนตายในศาลเจ้าที่ห่างไกล ไม่มีใครเหลือ ไม่มีพยาน...มันก็แค่ข่าวลือ ไร้มูล ไร้ราก ไร้เสียง”
เขาหยุด เหลือบตาลงมองริมฝีปากนางแล้วจ้องกลับขึ้นใหม่ ชัดเจน ลึกซึ้ง "...เจ้าจะเข้าใจข้าใช่ไหม"
เขาไม่ได้พูดว่า ยกโทษให้ข้า ไม่ได้พูดว่า เชื่อใจข้า แต่พูดว่า เข้าใจ เพราะเขารู้ว่า...ความรักไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างถูกต้อง แต่หากเธอเข้าใจเขาแม้เพียงเศษเสี้ยว แม้จะไม่มีวันยกโทษให้เขา ไม่มีวันรักเขาอีก เขาก็ยัง…ไม่ต้องฆ่าเธอ เพราะนั่น...คือสิ่งเดียวที่เขาทำไม่ได้
หลินหยายังคงจ้องลึกลงในดวงตาของเขา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ น้ำเสียงของเขากระแทกจิตใจนางทุกคำ ทุกพยางค์ชัดเจนเกินจะปฏิเสธ แม้ไม่มีเสียงขอความเห็นใจ แต่ก็เต็มไปด้วยการเปิดเผยบางอย่างที่เขาไม่เคยยอมเปิดกับใคร ทั้งคำอธิบาย ทั้งแววตา ทั้งน้ำเสียง ทุกอย่างที่เขาเปล่งออกมาเหมือนมีดบางเฉียบที่ไม่แทงทันทีหากแต่กรีดช้า ๆ ลึกลงเรื่อย ๆ ในความรู้สึกของหลินหยา และนางไม่ใช่ผู้หญิงโง่เง่าที่จะไม่เข้าใจว่าเบื้องหลังของทุกคำพูดเหล่านั้น...คือสิ่งที่เขาไม่เคยยอมเอ่ยให้ใครฟัง
ในหัวของหลินหยาฉายชัดภาพในหุบเขากระเรียนหลบฟ้า วิญญาณของสนมลั่วซานที่เคยพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านแผ่วเบา “แม้ไท่จื่อจะดีกับเขา...แต่นั่นก็ทำให้เขาเข้าใจว่าที่ไท่จื่อดีกับเขา เพราะพระองค์ต้องการมีดล่าสัตว์เดรัจฉานที่ไม่ต้องถึงขั้นใช้มีดฆ่าโค...” คำเหล่านั้นกรีดลึกในความเงียบข้างใน ทำให้นางมองชายตรงหน้าที่กำลังกลืนความเจ็บปวดและบาปในสายตานิ่งสงบนั้นด้วยความรู้สึกซับซ้อนจนไม่อาจระบุได้ว่ารักหรือสงสาร เจ็บหรือโกรธ
นางเงียบไปครู่หนึ่ง มือของเขายังแตะแก้มนางอยู่เบา ๆ อย่างเชื่องช้า สัมผัสที่ต่างจากคนที่เพิ่งสังหารคนเป็นสิบเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้า มันอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด ราวกับมีแต่เขาเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าตนเองกำลังสั่นอยู่ภายในอย่างบ้าคลั่ง
แล้วหลินหยาก็ค่อย ๆ ยกมือของตนขึ้นอย่างช้า ๆ ขยับปลายนิ้วอย่างลังเลในคราแรก ก่อนที่มือเล็กจะแนบลงบนแก้มของเขาบ้าง เป็นสัมผัสตอบกลับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในความเงียบนี้ ไม่มีใครพูด ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีบทบัญญัติแห่งเหตุผล มีเพียงความเข้าใจที่ไร้คำเอ่ย ฝ่ามืออุ่นของนางแตะบนผิวแก้มของเขาเย็นราวกับผิวกระเบื้องเคลือบที่สวยงามแต่ซ่อนรอยร้าวไว้ภายใน นางมองหน้าเขา มองใบหน้าของชายที่ภายนอกดูเยือกเย็นเฉียบคม แต่นางกลับเห็นความเหนื่อยล้าอันลึกซึ้งที่คนทั่วไปไม่มีวันได้เห็น ริมฝีปากของนางค่อย ๆ ขยับเอ่ยคำถามหนึ่งออกมา ช้า ชัด ละเอียดเหมือนคำสวดที่กล่าวกับวิญญาณ
“…ท่านเหนื่อยไหม?” เสียงเบา ๆ นั้นทำเอาเงาทั้งห้องราวกับชะงักไปทันที
มันไม่ใช่คำถามธรรมดา ไม่ใช่ถ้อยคำหวานปลอบโยนแบบคนทั่วไป ไม่ใช่ถ้อยคำที่เอ่ยเพื่อขอให้เขาหยุด ไม่ใช่เพื่อให้เขาย้อนกลับใจ หรือแสดงความเมตตา แต่มันคือคำถามที่ราวกับมีดกรีดลงไปในหัวใจของจางกงกงโดยตรง เพราะไม่มีใคร...ไม่มีสักคนในโลกใบนี้เคยถามคำถามนั้นกับเขา
ไม่มีสักคนถามเขาว่า เขาเหนื่อยหรือไม่ ไม่มีใครคิดว่าเขาจะมีสิทธิ์เหนื่อยหรือมองว่าเขาเป็น “คน” มากพอจะต้องรู้สึกเหนื่อย แม้แต่ฝ่าบาทหรือตัวเขาเองก็ไม่เคยยอมให้ความรู้สึกนั้นมีอยู่ในตัวตนของเขา
และตอนนี้...หญิงสาวตรงหน้าที่ควรหวาดกลัว ควรโกรธ ควรพร่ำโวยวาย กลับวางมือลงบนแก้มเขาเบา ๆ และถามว่าเหนื่อยไหม
ดวงตาของเขาสั่นไหว วูบเดียว เหมือนเสี้ยววินาทีนั้น โลกทั้งใบจะพังทลายจากความจริงหนึ่งเดียว ว่าเขาเหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกินแต่เขาก็จะไม่พูดมันออกมา เพราะแม้จะมีเพียงหลินหยา ที่มองเห็นความเหนื่อยนั้นได้อย่างชัดเจน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเงียบ เพราะหากเขายอมรับว่าเขาเหนื่อย...เขาอาจจะไม่สามารถกลับไปเป็นคนเดิมได้อีกเลย เขาแค่หลุบตาลงช้า ๆ สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างเงียบงัน แล้ววางมือของตนทับลงบนมือของนางที่แตะแก้มเขา ไม่พูดคำใด...แต่เงียบอย่างคนที่เกือบพังทลาย
จางกงกงนิ่งอยู่เพียงชั่วอึดใจที่เหมือนหยุดโลกทั้งใบไว้ในเสี้ยวนาทีหนึ่ง หญิงสาวตรงหน้าผู้ที่เขาเคยคิดว่าจะไม่มีวันปล่อยให้เข้าใกล้หัวใจ กลับเป็นผู้เดียวที่เอ่ยคำถามง่ายดายที่สุด แต่กลับกลายเป็นคำที่สะท้อนลึกไปถึงรากแก่นของจิตใจที่เขาเก็บซ่อนไว้ใต้ผ้าคลุมแห่งหน้าที่และความเงียบงันมานานนับปี ความเงียบหลังจากนั้นแทบจะกลืนกินทุกเสียงในห้อง มีเพียงปลายนิ้วที่ทาบลงบนแก้มของเขาอย่างอ่อนโยนที่ยังยืนยันว่าความรู้สึกระหว่างพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แม้ทุกสิ่งรอบกายจะคลุ้งด้วยกลิ่นเลือดและการตัดสินใจที่ไร้ทางถอย
เขาหลุบตาลงราวกับคนที่ยอมลดเกราะลงครั้งแรกในชีวิต ไม่ใช่ต่อศัตรู ไม่ใช่ต่อฝ่าบาท ไม่ใช่ต่อหน้าที่หรือความตาย แต่เป็นต่อหญิงสาวผู้นี้ คนที่ไม่เคยแม้แต่จะเรียกร้องสิ่งใดจากเขาเลยนอกจากความจริงใจ และในความนิ่งงันนั้น ใบหน้าคมคายที่มักเรียบเย็นอย่างแปลกประหลาดพลันอ่อนแสงลงเล็กน้อย สายตาที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงและกับดักเงียบสงบลงจนเผยให้เห็นเงาจางของความเหนื่อยล้าที่เขาเก็บซ่อนมาเนิ่นนาน ความเหนื่อยที่ไม่ใช่จากการฆ่า ความเหนื่อยที่ไม่ใช่จากการเดินทาง หรือแม้แต่การวางแผน...แต่เป็นความเหนื่อยจากการที่ต้อง “มีชีวิตอยู่” ใต้หน้ากากที่ไม่มีใครเข้าใจ
ฝ่ามือของเขาที่ยังคงวางทับบนมือของหลินหยาคลายแรงกดลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาสบตานางอย่างช้า ๆ ดวงตาคู่นั้นแม้จะไร้น้ำตา แต่กลับเหมือนมีบางอย่างเจืออยู่ในเงาของม่านแสงที่ทอดผ่าน
แล้วเขาก็เอ่ยถาม...เสียงนั้นไม่ใช่คำขอร้อง ไม่ใช่คำวอนวิง ไม่ได้สั่นไหวหรือนุ่มนวลเกินเหตุ หากแต่เป็นน้ำเสียงที่นิ่ง...สงบ...แต่มนุษย์อย่างที่สุด เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะสามารถเอ่ยถ้อยคำใดออกมาหลังจากผ่านความตายมาทั้งวัน และต้องยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่เขาไม่อาจฆ่า...ไม่อาจปล่อย...และไม่อาจรักได้โดยไม่มีเงาของบาปตามมาทุกลมหายใจ
“...ข้าขออิงแอบพักผ่อนเจ้าได้หรือไม่” เขาเอ่ยช้า ๆ ไม่ก้มหน้า ไม่หลบตา และไม่ได้หลบหนีความหมายของถ้อยคำที่พูดออกมาแม้แต่น้อย เขาไม่พูดว่าเหนื่อย ไม่จำเป็นต้องบอกว่าสิ้นแรง เพราะเพียงแววตาในยามนั้นก็เพียงพอจะเผยความจริงที่เขาไม่เคยเปิดให้ใคร ว่าเขาเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยกับโลกที่เต็มไปด้วยคำสั่ง การทรยศ หน้าที่ ภารกิจ และสิ่งที่เขาต้องตัดสินในนามของคนอื่น
และตอนนี้…เขาแค่อยากพัก
ไม่ใช่บนเตียงหรู ไม่ใช่ในวังหลวง ไม่ใช่ในมุ้งผ้าไหมหรือห้องที่อบด้วยกฤษณาแพงล้ำ แต่พัก...ในดวงตาคู่นี้ของหลินหยา พักในอ้อมกอดที่เขาไม่มีสิทธิ์ขอ พักในรอยยิ้มที่เขาไม่เคยมีคุณค่าพอจะได้รับ พัก...ในความเงียบที่เธอยอมแบ่งให้เขาอย่างไม่ตัดสิน คำถามนั้นไม่มีคำว่า “โปรด” ไม่มีคำว่า “ช่วย” เพราะเขาไม่เคยเป็นคนที่รู้จักวิธีวิงวอน มีเพียงแววตา มีเพียงมือที่ยังกุมมือของเธอ และเสียงที่ยังทุ้มต่ำ เยือกเย็น แต่เจือด้วยความอ่อนล้าอันสั่นไหว
“หากเจ้าถามข้าเช่นนั้น ข้าขออิงแอบพักผ่อนเจ้าได้หรือไม่ เสี่ยวหยา…” เขาพูดย้ำ เหมือนคนที่ทั้งชีวิตเคยถูกใช้เป็นดาบให้คนอื่น แต่วันนี้...เขาแค่อยากได้ที่ให้วางดาบสักครั้งในชีวิต
เขามองนาง มองหญิงสาวตรงหน้าในความเงียบที่ราวกับปลิดเสียงทั้งโลกให้อันตรธานไป ท่ามกลางห้องพักชั้นดีซึ่งเต็มไปด้วยความสงบที่ไม่อาจปลอบโยนบาปในใจของเขาได้ จางกงกงไม่มีคำพูด ไม่มีแม้แต่การฝืนยิ้ม หรือแววตาเย้ยหยันแบบที่เขาใช้กับผู้อื่นเสมอ เขาเพียงปล่อยให้หลินหยาเป็นฝ่ายขยับมือของเขาออกอย่างนุ่มนวล ราวกับแม่แมวย้ายลูกแมวไม่ให้ตกจากขอบผ้านวม แล้วนางก็ค่อย ๆ ขยับตัว ดันร่างน้อย ๆ ของตนให้ขยับไปทางด้านในของเบาะที่นั่งไม้จันทน์นั้น เปิดพื้นที่ว่างให้เขาอย่างเงียบงันโดยไม่แม้แต่จะออกคำสั่งหรือถามซ้ำ
นางจับมือของเขาไว้มั่น มือที่เคยถือกระบี่ฆ่าคนหมู่มากไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ กลับถูกจูงลงมาอย่างอ่อนโยน วางไว้บนตักของนาง ก่อนที่นางจะประคองท้ายทอยของเขา...แล้วนำใบหน้าของเขามาซบลงบนบ่าเล็ก ๆ ข้างซ้ายของตน
ไหล่นั้นแม้จะไม่กว้าง ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนบ่าชายหนุ่ม แต่กลับอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด กลิ่นหอมจาง ๆ จากเนื้อนวลนั้น ไม่ใช่กลิ่นเครื่องหอมของเหล่าสนมในวัง ไม่ใช่กลิ่นธูปกฤษณาที่เขาใช้บูชาท่านอ๋อง ไม่ใช่กลิ่นเลือด ไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ แต่มันคือกลิ่นของชีวิต...กลิ่นของสิ่งมีชีวิตที่มีหัวใจเต้นอยู่ ใจที่ยังกลัว ยังรัก และยังกล้าที่จะโอบรับคนอย่างเขา แม้ว่าเขาจะมีความผิดมากมายเพียงใด
เมื่อเขานอนแนบไหล่นางแล้ว หลินหยาก็ขยับมือขึ้นมาโอบเขาไว้เงียบ ๆ มือเรียวยกขึ้นลูบผ่านเรือนผมดำขลับของเขาอย่างอ่อนโยน แผ่วเบาและสม่ำเสมอ ไม่รีบเร่ง ไม่สะอาดเรียบร้อยแบบขันที ไม่ประณีตเหมือนหญิงชนชั้นสูง แต่มันกลับอ่อนหวานเหลือเกิน นิ้วมือของนางกวาดผ่านเส้นผมเขาราวกับกำลังลูบผ่านเส้นทางของชีวิตที่เขาไม่อาจย้อนคืนได้ ทุกครั้งที่เส้นผมสั่นไหวตามแรงลูบ มันเหมือนความทรงจำเลวร้ายที่คลายเกลียวออกช้า ๆ เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ไม่ต้องสารภาพความผิด ไม่ต้องอธิบายความถูกต้องของภารกิจ เพราะเขารู้ดีว่า...ต่อให้นางจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
เพียงแค่ตอนนี้ ในห้องเงียบ ๆ ที่มีเพียงเสียงลมหายใจ เขาได้นอนแนบไหล่ของใครคนหนึ่ง...อย่างผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง โดยที่ไม่มีใครเรียกเขาว่า “จางกงกง” ไม่มีใครเห็นเขาเป็นเครื่องมือ ไม่มีใครคิดจะใช้เขาเป็นดาบหรือโล่ของใคร เขาก็แค่เป็นเขา และนางก็แค่...อยู่ตรงนั้น เพื่อรับน้ำหนักความเหนื่อยล้าทั้งหมดของเขาไว้ ไม่มีใครเคยทำเช่นนี้ให้เขา ไม่มีแม้แต่แม่ที่เขาจำหน้าไม่ได้ ไม่มีผู้ใดเคยโอบกอดเขาโดยไม่กลัว หรือโดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน
แต่หลินหยา...กลับทำทั้งหมดนั้น โดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว
ละเขารู้...ต่อให้วันนี้เขาต้องกลับไปสวมหน้ากากเดิม กลับไปถือดาบอีกนับครั้ง ต่อให้เขาจะต้องลงมือฆ่าอีกนับร้อย...เขาก็จะไม่มีวันลืมว่า ไหล่ของนางบ่าของคน ๆ หนึ่งในคืนนี้ เคยเป็นที่ที่เขาได้วางใจลงจริง ๆ สักคราในชีวิต
หลินหยากระซิบเบาเสียงลงในความเงียบที่ล้อมห้องไม้โอ่อ่าและหรูหรานั้นไว้ เธอยังโอบร่างของเขาแนบแน่น ดวงตาเรียวของหญิงสาวทอดมองไปยังม่านบางที่พลิ้วไหวตามลมเย็นยามค่ำคืน ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นน้อย ๆ คล้ายอารมณ์ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในอกทั้งที่เธอพยายามนิ่ง "ข้ามาที่นี่ตามบันทึกของสนมลั่วซาน..." เสียงนั้นไม่ใช่คำกล่าวหา ไม่ใช่คำประณาม ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความหวาดกลัว มีเพียงน้ำเสียงที่สื่อถึงความตั้งใจจะบอกเล่า ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งจากคนหนึ่ง...ไปสู่อีกคนหนึ่ง
"ในบันทึกนั้น...นางเขียนไว้ว่าเคยกลั่นแกล้งท่านในอดีต ข้าเห็นภาพนั้นเห็นทุกอย่าง...ในนิมิต เห็นความเย็นชา ความเจ็บปวด...และความโดดเดี่ยวที่ห่อหุ้มท่านเหมือนม่านหมอก" หลินหยาพูดเบาเหมือนจะกลัวว่าเสียงจะไปรบกวนความเหนื่อยล้าบนบ่าของเธอ
"นางรู้สึกผิด นางอยากขอโทษท่าน..." มือเล็กของเธอยังคงลูบศีรษะเขาอย่างแผ่วเบา ในดวงตาของเธอมีประกายเศร้าเร้นลึก ทั้งเพื่อสนมลั่วซานที่ตายจากไปแล้ว และทั้งเพื่อคนที่ซบไหล่ของเธออยู่ตอนนี้ คนที่ไม่มีแม้แต่โอกาสได้ยินคำขอโทษนั้นด้วยตนเอง "ข้าเลยมาที่นี่ เพราะอยากเป็นปากแทนนาง…อยากบอกว่าในนาทีสุดท้าย นางเสียใจจริง ๆ ที่เคยทำร้ายท่าน ทั้งที่ท่านยังเด็กนัก..."
เสียงของหญิงสาวหยุดลงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อในประโยคที่เปลี่ยนทิศทางของอารมณ์เบื้องลึกจนสิ้นเชิง "...และเรื่องวันนี้" เธอสูดลมหายใจแผ่วเบา "ข้าจะไม่พูดมันออกไป ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเดือดร้อน ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะถูกฆ่าปิดปาก...แต่เพราะข้ารู้ดี ว่าท่านไม่ได้ทำเพื่อความสนุกหรือความคลั่งไคล้ในเลือด" มือที่โอบอยู่แน่นขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงนั้นไม่หวานหยดย้อย ไม่ปลอบประโลมอย่างเยือกเย็น หากแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกราวจะฝังเข็มลงสู่หัวใจของจางกงกงให้ตื่นจากหลุมลึกของตนเอง
"ท่านทำเพื่อบ้านเมือง…ข้ารู้ดี ท่านทำตามคำสั่งของผู้ที่เชื่อว่าท่านจะไม่ผิดพลาด แต่ข้าก็รู้เช่นกัน..." นางหยุดชั่วอึดใจ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา "...ว่าบางครั้งท่านก็ทำเพื่อตัวเองอย่างโหดร้าย"
คำว่า 'โหดร้าย' ที่ออกจากปากของหญิงสาว ไม่ได้กรีดแทงเหมือนมีด มันไม่เสียดสี แต่มันเหมือนน้ำร้อนที่ราดแผลเปิด เปลือยความจริงที่เขาเองก็ไม่อยากยอมรับที่สุดในชีวิต...ว่าเขาไม่ใช่แค่เครื่องมือ ไม่ใช่เพียงผู้รับคำสั่ง เขาคือผู้เลือกลงมือเอง และยิ่งโหดร้าย...ยิ่งรู้สึกมีอำนาจ นั่นคือสิ่งที่เขาใช้ปกป้องตนเองเสมอมา
แต่คืนนี้...ไม่มีอำนาจไหนปกป้องเขาจากน้ำเสียงของนางได้ ไม่มีดาบ ไม่มีกลไกวังหลัง ไม่มีแม้แต่กำแพงน้ำแข็งที่เขาสร้างขึ้นมาตลอดชีวิต หลินหยานั่งอยู่ตรงนั้น โอบเขาไว้ และเปิดแผลให้เขาเห็นตัวเองอย่างชัดเจนที่สุดและเขาจะหนีมันไม่ได้เลย
“หากท่านเหนื่อย” หลินหยาเอ่ยเสียงเบา ลมหายใจอุ่นของนางรินรดเหนือเส้นผมของเขา ขณะที่มือนุ่มยังโอบประคองเขาไว้แนบอก แววตาของหญิงสาวมิได้แข็งกร้าวหรืออ่อนแรง หากแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นคงอันแปลกประหลาด มั่นคงแม้จะหวาดกลัว มั่นคงแม้จะเจ็บปวด และมั่นคงแม้จะไม่แน่ใจว่าใจตนจะทนความแปรปรวนของบุรุษผู้นี้ได้อีกแค่ไหนก็ตาม "ท่านหลับเถอะ..." เสียงของนางช่างนุ่มนวลจนเหมือนกล่อมเด็ก "...ข้าจะไม่ไปไหน"
นางไม่ผละ ไม่หนี ไม่แม้แต่สั่นสะท้านอีกต่อไป แม้เพียงครู่หนึ่งจะได้เห็นใบหน้าของจางกงกงย้อมไปด้วยสีเลือด แม้ความทรงจำยังคงวนเวียนเป็นวงกลมไม่จาง แต่หลินหยาก็ยังเลือกจะอยู่ตรงนี้ อยู่กับเขา
"ข้าจะอยู่ตรงนี้กับท่าน"
คำมั่นที่เปล่งออกจากปากของหญิงสาวมิได้มีเสียงสาบาน ไม่มีพิธี ไม่มีข้อแม้ มันเป็นเพียงประโยคธรรมดา...แต่ทรงพลังเกินกว่าคำพูดใดจะเทียบได้ในยามที่ความเงียบของห้องทำให้ความโดดเดี่ยวกระจายรอบตัวคนทั้งสองดั่งไอเย็นจากผิวไม้ "แล้วเราจะกลับฉางอันด้วยกัน...ตกลงไหม?" นางเอ่ยโดยไม่เร่งรัด ไม่กดดัน ไม่เรียกร้อง...ทว่าแววตาคู่นั้นมีประกายบางอย่างที่อ่อนโยนและเด็ดเดี่ยว ดวงตาที่เหมือนจะบอกว่าไม่ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร นางจะไม่ปล่อยให้เขาเดินกลับไปในความมืดตามลำพัง
และในชั่วขณะนั้นที่โลกทั้งใบมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบา กับอ้อมแขนอุ่นอ่อนโยนที่รัดเขาไว้อย่างไม่กดขี่ ไม่พันธนาการ จางกงกงจะรู้หรือไม่ว่ามันคือ ‘คำขอ’ ที่ไม่เคยมีใครยื่นให้เขาอย่างแท้จริงมาก่อนในชีวิตอันมืดหม่นนี้เลย
ร่างของเขานิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ไหวติง เนิ่นนานนับอึดใจ ท่ามกลางแสงตะเกียงที่ส่องไหวอยู่เหนือศีรษะและกลิ่นกำยานจากถ้วยเล็กบนโต๊ะเครื่องเขียนที่ลอยอวลในอากาศห้อง จางกงกงซบอยู่บนบ่าของนาง แม้ร่างจะเหนื่อยอ่อนแต่ใจกลับไม่อาจนิ่งสงบ เขาไม่ได้ผล็อยหลับทันทีเหมือนคนหมดแรง หากแต่กำลังยอมให้ตนเอง ‘หยุด’ ครั้งหนึ่งในรอบหลายปี ยอมให้เสียงหัวใจของตนดังขึ้นในโลกเงียบนี้เพื่อฟังว่าภายในตนเองกำลังรู้สึกอะไร ฝ่ามือที่เคยเปื้อนเลือด...เคยปลิดชีพด้วยอารมณ์ไร้ความลังเล บัดนี้แนบอยู่บนผ้าชายเสื้อของหลินหยา เสียงหัวใจของเขาเต้นอยู่ใต้ทรวงอกที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดสีดำสนิทนั้น ช้า...มั่นคง...แต่แฝงความตื่นตระหนกจาง ๆ ราวกับว่าเพิ่งตระหนักถึงบางสิ่งที่ไม่เคยกล้ายอมรับตลอดชีวิตที่ผ่านมา
"เสี่ยวหยา..." เขากระซิบเสียงแผ่วเบาราวลมหนาวแตะยอดไม้ในป่าโปร่ง ดวงตาของเขาเบือนมาสบกับแก้มนวลของนาง เห็นแม้แต่ไรขนอ่อนสะท้อนแสงตะเกียง ความอ่อนโยนที่เขาไม่กล้ายอมรับว่าตนเองปรารถนากลับปรากฏอยู่เต็มสองตา หญิงสาวผู้ไม่เคยหนีจากเขา แม้เขาจะเผยความมืดอันน่าสะพรึงเพียงใดก็ตาม
"ข้าเหนื่อย...เหนื่อยจนอยากลืมว่าโลกนี้มันต้องมีเลือด มีคำสั่ง มีหน้าที่ มีความถูกผิด..." เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของจงฉางชื่อผู้โหดเหี้ยม ไม่ใช่ท่านชายห่าวหมิงผู้ลึกลับ ไม่ใช่เงาแห่งความตายของราชสำนัก หากแต่เป็นเสียงของเด็กหนุ่มที่เคยถูกผลักให้เติบโตโดยไม่มีใครยื่นมือรับ ฟังดูเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะเป็นชายที่ฆ่าคนได้โดยไร้ร่องรอย
"ข้าควรฆ่าเจ้า..." เขากระซิบประโยคนั้นช้า ๆ นิ้วเรียวเคลื่อนขึ้นมาแตะแก้มนางเบา ๆ พูดอย่างไร้อารมณ์...แต่กลับสั่นเล็กน้อย "...แต่ข้าทำไม่ได้" นิ้วนั้นลูบจากแก้มนางถึงปลายคาง ก่อนจะเปลี่ยนจากสัมผัสเย็นชามาเป็นฝ่ามือที่แนบลงพร้อมแรงอ่อน ๆ ราวกับจะทดสอบว่านางมีตัวตนจริงหรือเป็นเพียงภาพลวงตาที่ใจเขาสร้างขึ้นมาเพื่อปลอบตนเองในห้วงความสิ้นหวัง
"เจ้าทำให้ข้า...หวั่นไหว หวั่นใจ" ประโยคนั้นไม่ใช่คำสารภาพรัก หากแต่คือคำบอกเล่าอาการของตนเอง อาการที่แม้แต่จางกงกงผู้ผ่านความตายมานับไม่ถ้วนยังไม่รู้จะรับมืออย่างไร
แล้วเขาก็โอบนางไว้แน่นขึ้น...อกของเขาแนบหลังของนาง กลิ่นผม กลิ่นเนื้อ กลิ่นความอบอุ่นที่เขาเคยผลักไส กลับเป็นสิ่งเดียวที่ยังพอทำให้เขารู้สึกว่าตนเองยังมีหัวใจอยู่ ร่างสูงดึงผ้าห่มมาคลุมสองคนเอาไว้ด้วยมือเดียว อีกมือยังวางไว้ที่เอวของนาง ปลายนิ้วเกลี่ยแผ่วตามลำตัวราวกับต้องการจดจำผิวสัมผัสนี้ไว้ในห้วงความทรงจำอันยาวนานของตน
“คืนนี้…ข้าจะขออยู่แค่ตรงนี้ เจ้าอย่าหมายผลักข้าออกไปเลย” น้ำเสียงของเขาต่ำลงแหบพร่า "แม้พรุ่งนี้ข้าจะต้องกลายเป็นคนใจร้ายอีกครั้ง ข้าก็อยากให้คืนนี้เป็นคืนเดียวที่ข้า...ได้เป็นแค่ข้า ไม่ใช่เงา ไม่ใช่มือสังหาร ไม่ใช่สุนัขของแผ่นดิน..."
เขาซบลงแนบแน่น ลมหายใจอุ่นรินรดต้นคอของหลินหยาเป็นจังหวะช้า ๆ สม่ำเสมอ ความแข็งกระด้างในดวงใจเขาค่อย ๆ คลายลงใต้สัมผัสของอ้อมแขนบางที่ยังคงโอบไว้ไม่คลาย ไม่ต้องการคำตอบ ไม่ร้องขอการให้อภัย ไม่หวังสิ่งใด นอกจากการได้ ‘อยู่’ ในความเงียบงันร่วมกับใครสักคน และคืนนั้น...ไม่มีเสียงใดอีก มีเพียงลมหายใจสองจังหวะที่กลืนกลืนในห้องเงียบ ราวกับสองวิญญาณที่บังเอิญได้พบกันใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงจันทร์ที่ยังคงแดงเรื่อเหมือนรอยเลือด ไม่จางไป