1234
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Watcher

ตำหนักเซวียนเต๋อ | ที่พำนักไท่โฮ่ว

[คัดลอกลิงก์]

18

กระทู้

224

ตอบกลับ

1954

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
2
ตำลึงทอง
79
ตำลึงเงิน
1510
เหรียญอู่จู
37192
STR
53+7
INT
70+0
LUK
6+2
POW
74+5
CHA
97+27
VIT
25+7
‘ หลี่ผู่เยว่ • 李谱月 ’
เลเวล 1
คุณธรรม
9964
ความชั่ว
724
ความโหด
5121
โพสต์ 2024-9-7 03:00:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-9-7 03:01




เรื่องไม่คาดฝัน
วันที่ 20 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลาหกนาฬิกาเป็นต้นไป


“ พระสนมลู่เจาอี๋ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ ”

“ ลูกเช่อบอกไว้แล้วว่านางคงมาช้า .. เสียดายนัก บัดนี้เสียนอี๋กลับไปก่อนแล้ว ” เป็นเรื่องน่าประหลาดนักเพราะที่ผ่านมาลู่เจาอี๋ไม่เคยถืออภิสิทธิ์หรือละเลยธรรมเนียมปฏิบัติอย่างการมาถวายพระพรในทุกเช้า จวบจนวันนี้ที่ลำบากลูกชายบอกนางเองทั้งที่ก็หาได้มีการประกาศโดยแพร่หลายว่าฮั่นอู่ตี้เสด็จเยือนตำหนักตงเฉิน.. อีกอย่างหวังจื่อเห็นว่าสองสนมขั้นฉือผินมีสัมพันธ์อันดีมาเนิ่นนาน การคลาดกันเช่นนี้คงเป็นที่น่าเสียดายสำหรับพวกนาง “ ให้นางเข้ามา ”

ลู่เจาอี๋ที่ขอเข้าเฝ้ามาพร้อมเด็กหญิงตัวเล็กหน้าตาหมดจดผู้หนึ่ง จริงอยู่ที่นางทำเช่นนี้มาจนชินแต่สำหรับคนที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝนมาก่อนก็แน่นอนอยู่แล้วว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ผ่านมาไป๋หรั่นไม่เคยนึกว่าตัวเองจะต้องมาคอยดูแลหรือฝึกสอนใครอย่างใกล้ชิด แต่ในเมื่อชีวิตเหวี่ยงคนมาถึงที่ มีหรือจะปล่อยไปเฉย ๆ ได้

กว่าจะได้ออกมาจากตำหนักตงเฉินก็เรียกว่าสายไปมากโข แต่เมื่อมาถึงสิ่งที่ต้อนรับพระสนมคนโปรดพร้อมด้วยเด็กสาวปริศนากลับเป็นสายตาหลากหลายคู่ที่แบ่งออกเป็นดีและร้าย “ พระสนม.. ” ผู่เยว่เกริ่นขึ้นเบา ๆ เพื่อให้ทั้งสองเตรียมตัวรับมือกับคำถามให้ดี

ไป๋หรั่นไม่สั่นไหวกับเรื่องเหล่านี้.. แต่ไม่ใช่กับเด็กน้อยข้าง ๆ ที่ยังไม่ทันได้ศึกษาให้ดีพอ

เซียวจื่อไท่โฮ่วที่พึ่งจะทิ้งกายลงนั่งบนตั่งได้ไม่นานเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจไม่แพ้คนอื่น ๆ “ ไม่ยักรู้ว่าครั้งนี้ลู่เจาอี๋จะพาคนมาแนะนำด้วย.. ” สุรเสียงของหวังจื่อแฝงไว้ด้วยความกดดันกระแสหนึ่งที่ทำให้เด็กน้อยข้างกายชะงักเท้าไปเล็กน้อย

“ หม่อมฉันมาช้า ทั้งยังพาคนมาโดยไม่ได้แจ้งก่อนนับว่าเป็นความผิดพลาดของหม่อมฉันที่ไม่พึงระวังเพคะ ” นงคราญหยกยังคงรู้ดีว่าเส้นเขตแดนที่นางสะกิดได้นั้นอยู่ที่แค่ไหน ร่างอรชรโค้งลงอย่างชดช้อยพร้อมด้วยเด็กสาวที่ปฏิบัติตามอยู่เงียบ ๆ “ ถวายพระพรไท่โฮ่วเพคะ ”

“ .. ในเมื่อพามาแล้วก็เข้ามาใกล้ ๆ หน่อย ”

หวังจื่อโบกพัดในมือช้า ๆ ในระหว่างที่หลุบสายตามองสองร่างที่เคลื่อนเข้ามา หลิวเช่อกล่าวไว้ก่อนแล้วว่าให้รอฟังข่าวดีจากลูกสะใภ้.. ทว่าข่าวดีนี้พ่วงเด็กน้อยมาด้วยหรือ ? ยิ่งคิดก็ยิ่งคล้ายจะคาดเดาไปในทิศทางที่เลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อระมัดระวังไม่ให้เรื่องเหลวไหลหลุดออกไป เซียวจื่อไท่โฮ่วปรายตามองถงกู่กูครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายก็รู้งานรีบถดกายพลางไล่ต้อนคนด้านในออกไป “ รั่วหลัน พาเด็กน้อยไปเดินชมเซวียนเต๋อสักหน่อยสิ ”

ไม่เว้นแม้แต่เด็กน้อยที่จับมือเดินมากับมารดาบุญธรรม เซียวจื่อไท่โฮ่วกล่าวออกมาทั้งที่ไม่ละสายตาไปจากร่างระหงส์ของพระสนมเอก กระทั่งด้านในโถงเหลือเพียงเจ้าตำหนักและผู้มาเยือน ในวาจาที่เรียบง่ายยังแฝงไว้ซึ่งความแข็งแกร่งหนักแน่น “ ลูกเช่อกล่าวกับข้าว่าเจ้าจะมีข่าวดีมามอบให้.. ”

“ ฉะนั้นก็จงอธิบายว่าข่าวดีชนิดใดจึงได้พกเด็กสาวมาพร้อมกัน ”

“ เมื่อวันก่อนหม่อมฉันตามเสด็จออกว่าราชการนอกตัวเมือง ”

ไป๋หรั่นสูดหายใจเข้าพลางยกยิ้มประหนึ่งพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ “ ที่แห่งนั้นไม่เหมาะแก่การเจริญเติบโตสำหรับหนึ่งชีวิต หม่อมฉันและนางมีวาสนาได้พบพานช่วยเหลือ นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายเมื่อส่งนางกลับบ้าน สิ่งที่รอนางอยู่จะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณร่างหนึ่ง ” การกล่าวถึงเรื่องอัปมงคลแต่หัววันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ดีนิยมกัน ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายต้องการคำอธิบายนางก็มีสิ่งที่คิดเอาไว้แล้วเช่นกัน

“ สิ่งนี้โหดร้ายเกินกว่าที่จะปล่อยผ่านยามได้พบอยู่ตรงหน้า นางเป็นเด็กสาวอายุยังน้อยในเมืองที่โด่งดังด้านคณิกา .. บางทีอาจเป็นหม่อมฉันคิดอ่านไม่รอบคอบ ทว่าไม่มีหนทางใดปลอดภัยเท่ารับนางเป็นบุตรแล้วเพคะ ” สาวงามดั่งหยกกดใบหน้าลงต่ำดูลำบากใจไม่น้อย จนคนอาวุโสกว่าที่ตั้งท่าจะตำหนิก็ยังรู้สึกว่าหักใจทำได้ยาก เข้าทางลู่ไป๋หรั่นที่เชื่อมั่นในกลยุทธ์ใส่ทีเดียวมีผลยืนยาวราวร้อยปี “ หม่อมฉันเป็นสนม ไม่มีความจำเป็นต้องรับศิษย์ การสาบานเป็นพี่น้องก็มิได้ช่วยให้นางรอดพ้นปลอดภัย ต่อให้รับเข้ามารับใช้ก็เกรงว่านางจะไม่อาจรับมือได้ทั้งภาระหน้าที่รวมไปถึงเหลี่ยมริษยาของคนในวัง ”

“ แล้วรับนางเป็นธิดาคิดว่าจะช่วยทุเลาเรื่องเหล่านั้นลงได้หรืออย่างไร ” น้ำเสียงของพระพันปีอ่อนลงก็จริงอยู่ แต่ความไม่พอใจที่แฝงมาในคำพูดนั้นยังเด่นชัด ในสายตาของผู้สูงศักดิ์การทำเช่นนี้ไม่ต่างจากหาเรื่องเข้าตัว ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดไปจากความจริงเท่าไหร่นัก

“ แม้ไม่ช่วยลดมันลง แต่อย่างน้อยหม่อมฉันก็ยังมีสิทธิ์ในการรับมือที่มากขึ้นนะเพคะ ” เมื่อถูกโต้กลับเช่นนี้ หวังจื่อก็เงียบไปในทันที นงคราญหยกผ่อนลมหายใจออกผ่านริมฝีปากช้า ๆ พลางอธิบายเพิ่มเติมอีกครั้ง “ หากหม่อมฉันมีสิทธิ์ในฐานะผู้เป็นนาย การปกป้องดูแลย่อมทำได้แค่เพียงระดับหนึ่ง.. ทว่าหากเป็นสิทธิ์ของมารดา เรื่องนี้พระองค์ก็ทรงทราบดีว่าทำได้มากเพียงไหน ”

“ กำลังในมือเจ้าบัดนี้ไม่มากพอจะปกป้องเด็กคนหนึ่งได้ ลู่เจาอี๋ หาเรื่องใส่ตัวก็นับว่าเป็นเรื่องหนึ่ง ชีวิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวผู้หนึ่งก็นับว่าเป็นอีกเรื่อง แล้วชีวิตของเจ้าเล่า? หากมีข่าวลือว่านางเป็นลูกในไส้ของเจ้าก่อนสมรสมิใช่ว่าเป็นเรื่องด่างพร้อยหรอกหรือ สตรีที่มีข่าวลือเสียหายเช่นนี้ วันหนึ่งจะก้าวขึ้นเป็นใหญ่ได้อย่างไร ” เพราะเสี้ยวส่วนหนึ่งในใจของหวังจื่อเองก็คาดหวังกับลูกสะใภ้รายนี้ไว้มาก ต่อให้ไม่เป็นมารดาของแผ่นดิน อย่างน้อยตำแหน่งพระชายาก็อาจมีหวัง

แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ .. จะยิ่งส่งผลร้ายต่อบุตรชาย

“ เรื่องนั้น.. ” นงคราญหยกเม้มริมฝีปากเบา ๆ ก่อนจะกล่าวออกมา

“ ฝ่าบาททรงกล่าวว่าจะจัดการให้เรียบร้อยเองเพคะ ”

ถึงแม้ว่าหวังจื่อจะปรารถนาหลานสักคนมาโดยตลอด แต่หลานที่มากะทันหันในรูปแบบนี้เองก็นับว่ายอมรับได้ยากเช่นกัน ทว่าเจ้าลูกชายตัวดีกลับเห็นดีเห็นงามไปกับภรรยา ทั้งยังออกปากว่าจัดการให้แล้วเสร็จเลยด้วยซ้ำ มือที่เริ่มมีความหย่อนคล้อยของพระพันปีหลวงขยับขึ้นคลึงขมับ “ .. พวกเจ้าสองคนนี่มัน รั้นนัก ไม่คิดถึงหัวจิตหัวใจคนชราเช่นข้าบ้างเลย ”

อยู่ ๆ มีหลานเพิ่มมาคนหนึ่งจะมีใครบ้างไม่ประหลาดใจ

“ ในเมื่อพวกเจ้าตัดสินใจกันไปแล้ว ก็จัดการกันให้ดี ”

“ เรื่องนี้อ้ายเจียจะปิดตาทำเป็นไม่รู้ไปจนกว่าลูกเช่อจะดำเนินการตามที่เขากล่าวจะจัดการก็แล้วกัน ”



ถวายพระพร x2






แสดงความคิดเห็น

ไท่โฮ๋วปวดขมับ ข่าวดีตรงหนายยยย !!!  โพสต์ 2024-9-7 09:20
โพสต์ 18926 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2024-9-7 03:00
โพสต์ 18,926 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2024-9-7 03:00
โพสต์ 18,926 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 คุณธรรม +7 ความโหด จาก ชุดจื่อซีอี๋นั่ว(เจาอี๋)  โพสต์ 2024-9-7 03:00
โพสต์ 18,926 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-9-7 03:00

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังปราณ +30 ย่อ เหตุผล
Watcher + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณจิ้งจอกสวรรค์(ไม้)
เสน่ห์ฟ้าประทาน
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x2
x6
x5
x2
x4
x8
x2
x4
x1
x11
x10
x3
x4
x16
x3
x5
x4
x1
x7
x6
x4
x11
x4
x1
โพสต์ 2025-9-1 17:55:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 28 ชีเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 

ยามอู่ (เวลา 11.30 - 13.00 น.)



ซูเหยาก้าวเข้าสู่เขตพระราชฐานอย่างช้า ๆ แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในบริเวณพระราชวังทำให้บรรยากาศดูสงบและยิ่งใหญ่ในเวลาเดียวกัน เสียงฝีเท้าของขันทีที่เดินนำหน้าเงียบเชียบ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ซูเหยาเดินตามเขาไปอย่างเงียบ ๆ ในใจเต็มไปด้วยความประหม่าและความนึกคิดที่ถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย


การก้าวเดินไปตามทางเดินที่กว้างขวางและทอดยาวราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุดทำให้ซูเหยาได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้ได้อย่างเต็มตา ตัวตำหนักและอาคารต่าง ๆ ที่ถูกก่อสร้างจากไม้เนื้อแข็งชั้นดีถูกทาด้วยสีแดงเลือดหมูอันเป็นสีของราชสำนัก ตัดกับหลังคากระเบื้องสีเหลืองทองที่เปล่งประกายเจิดจ้าต้องกับแสงแดดยามเช้า ราวกับเป็นกลุ่มก้อนของแสงและเงาที่ก่อตัวขึ้นอย่างมีระเบียบในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้


สองข้างทางที่เดินผ่านเต็มไปด้วยนางกำนัลและข้ารับใช้มากมายที่ต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานของตนอย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงพูดคุยหรือเสียงหัวเราะใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากปากของพวกเขา ราวกับสถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยความเงียบงันจนน่าอึดอัด ซูเหยาเดินก้มหน้ามองพื้นพลางพยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่อยู่รายรอบตัวอย่างละเอียดมากนัก เพียงแค่ภาพที่เหลือบเห็นอยู่เบื้องหน้าก็สามารถทำให้จิตใจของนางสั่นไหวได้อย่างง่ายดาย


เมื่อเดินลัดเลาะผ่านสวนดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นและศาลาริมน้ำที่ถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมายปลายทาง นั่นก็คือตำหนักเซวียนเต๋อซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ไท่โฮ่ว ตัวตำหนักแฝงไว้ด้วยความสง่างามตามแบบฉบับของสตรีสูงศักดิ์ ซูเหยาเดินตามขันทีเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ภายในห้องกว้างขวางถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักอย่างงดงาม 


ณ ใจกลางของห้องโถง องค์ไท่โฮ่วกำลังประทับอยู่บนเก้าอี้ที่ล้อมรอบด้วยเหล่าขันทีและนางกำนัลที่คอยปรนนิบัติรับใช้ ทันทีที่ซูเหยาเดินเข้าไปใกล้ เหล่าข้าราชบริพารต่างก็ทยอยถอยออกไปจนเหลือเพียงไท่โฮ่วที่ประทับอยู่เพียงลำพัง องค์ไท่โฮ่วในฉลองพระองค์สีแดงสดปักลวดลายดอกไม้ดูงดงามอย่างน่าเกรงขาม ใบหน้าของพระองค์ดูครุ่นคิดราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง ไท่โฮ่วเหลือบสายตามายังซูเหยาแล้วโบกมือให้มานั่งลงใกล้ ๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนกว่าที่คาดคิด ซูเหยาจึงคลานเข้าไปใกล้ ๆ อย่างนอบน้อม


“ไม่ต้องเกร็งไป หมอหญิงซู” ไท่โฮ่วตรัสด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ที่นี่ไม่มีใคร นอกจากเจ้ากับข้า” พระองค์ทรงยกจอกชาขึ้นจิบอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยถามถึงสารทุกข์สุกดิบ และเรื่องราวของโรงหมอเจิ้งเทียนที่ซูเหยาทำงานอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะเริ่มต้นเข้าเรื่อง


ไท่โฮ่วค่อย ๆ ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบผ้าคลุมไหล่ที่ถูกปักลวดลายดอกโบตั๋นอันงดงามที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้วคลี่ออกเบา ๆ ลวดลายอันประณีตงดงามของดอกโบตั๋นที่ถูกปักลงไปบนผ้าไหมสีขาวทำให้ซูเหยาถึงกับตื่นตะลึง นางมองไปยังกลีบดอกไม้ที่ดูสมจริงราวกับมีชีวิต แล้วเอ่ยชมด้วยความจริงใจ 


“ผ้าคลุมไหล่ผืนนี้งดงามมากเลยเพคะ” 


ไท่โฮ่วส่งยิ้มบาง ๆ ให้ แต่ดวงตาของพระองค์กลับดูเศร้าหมองอย่างประหลาด


“มันงดงามจับตา แต่มันกลับทำให้ข้าเศร้าหมองอย่างประหลาดนัก” ไท่โฮ่วทรงตรัสพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างยาวนาน ราวกับกำลังแบกรับความหนักอึ้งเอาไว้ “ข้ามองมันเท่าไหร่ก็รู้สึกราวกับว่ามันมีชีวิต แต่มันกลับทำให้เรารู้สึกเหงาและอ้างว้างอย่างไม่สามารถอธิบายได้”


ผ้าคลุมไหล่ที่ถูกปักอย่างวิจิตรบรรจงถูกส่งมาถึงมือของซูเหยาอย่างแผ่วเบา สัมผัสของมันนุ่มลื่นราวกับแพรไหมชั้นดีที่ถูกทอขึ้นอย่างประณีต แต่ความรู้สึกที่ไท่โฮ่วตรัสถึง กลับทำให้ซูเหยาต้องรับมาอย่างทะนุถนอม นางก้มลงมองผืนผ้าอย่างละเอียดอีกครั้ง พลางใช้ปลายนิ้วไล่ไปตามลวดลายของดอกโบตั๋นสีชมพูที่ดูอ่อนช้อยเหมือนมีชีวิต ราวกับกำลังใช้สัมผัสในการรับรู้ถึงความผิดปกติที่อาจซ่อนอยู่


ไท่โฮ่วทอดพระเนตรมองการกระทำของซูเหยาอย่างเงียบงัน ด้วยพระพักตร์ที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง พระองค์ทรงตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง 


“ข้าอยากให้เจ้าในฐานะผู้มีฝีมือด้านการแพทย์ ช่วยวิเคราะห์ให้ข้าทีว่า ลายปักนี้มีสิ่งใดแอบแฝงอยู่หรือไม่”


ซูเหยาพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม นางเริ่มพิจารณาผืนผ้าอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง นางใช้ปลายนิ้วสัมผัสไปยังลวดลายที่ถูกปักอย่างละเอียดละออ เส้นไหมแต่ละเส้นที่ถูกนำมาปักนั้นถูกเรียงร้อยเข้าด้วยกันอย่างปราณีต ทุกอย่างดูเป็นปกติและสมบูรณ์แบบจนนางไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ จนกระทั่งสายตาของซูเหยาไปสะดุดเข้ากับสีของไหมปักบางส่วนที่ดูเหมือนจะเจือจางกว่าปกติเล็กน้อยเมื่อเทียบกับส่วนอื่น ๆ ของผืนผ้า โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นกลีบดอกไม้และใบไม้ที่ดูคล้ายกับสีตกเล็กน้อย ซูเหยาขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย เมื่อทุกอย่างดูเป็นปกตินางจึงตัดสินใจลองใช้วิธีอื่นดูบ้าง


ซูเหยาค่อย ๆ เลื่อนผ้าผืนนั้นขึ้นมาใกล้กับใบหน้าอย่างระมัดระวัง แล้วสูดหายใจเข้าอย่างแช่มช้าเพื่อพิจารณากลิ่นที่แฝงอยู่ กลิ่นหอมจาง ๆ ของผ้าไหมและกลิ่นของกำยานในตำหนักลอยเข้ามาปะปนกัน แต่แล้วกลิ่นบางอย่างก็ทำให้ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ


“ไท่โฮ่วเพคะ” ซูเหยาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “หม่อมฉันได้กลิ่นของสมุนไพรบางชนิดที่ใช้สำหรับย้อมไหม ซึ่งอาจจะมีส่วนผสมที่ทำให้เกิดความรู้สึกเศร้าหมองได้เพคะ”


ไท่โฮ่วทรงเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของพระองค์ฉายแววความสนใจขึ้นมาทันที 


“สมุนไพรหรือ? เป็นสมุนไพรชนิดใดกัน?”


“หม่อมฉันไม่แน่ใจนักเพคะ แต่หากให้หม่อมฉันได้ลองนำไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง หม่อมฉันอาจจะสามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้” ซูเหยาทูลอย่างหนักแน่น


ไท่โฮ่วทรงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วทรงยกผ้าคลุมไหล่ผืนนั้นให้นางนำกลับไปตรวจสอบด้วย


“เช่นนั้นก็ฝากเจ้าด้วยนะหมอหญิงซู”


ซูเหยารับพระบัญชาแล้วจึงลุกขึ้นถวายบังคมอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินออกจากตำหนักเซวียนเต๋ออย่างช้า ๆ มือที่ถือผ้าคลุมไหล่ไว้แนบกับอกนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความสงสัยและความตื่นเต้น การเดินทางมายังวังหลวงในครั้งนี้นับเป็นการเดินทางที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิตของนาง และความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความงดงามของผ้าคลุมไหล่ผืนนี้คืออะไรกันแน่นะ…



เควสปลดหัวใจ : ปริศนาลายปักแห่งตำหนักฉือหนิง (1)
เลือกตัวเลือก: ดมกลิ่น 


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 18503 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-1 17:55
โพสต์ 18,503 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +4 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ปิ่นปักผมดอกท้อ  โพสต์ 2025-9-1 17:55
โพสต์ 18,503 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 ความโหด จาก พัดบุปผาบานจันทร์เพ็ญ  โพสต์ 2025-9-1 17:55
โพสต์ 18,503 ไบต์และได้รับ +2 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว +4 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-9-1 17:55
โพสต์ 18,503 ไบต์และได้รับ +2 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม +6 ความโหด จาก หมอป่า  โพสต์ 2025-9-1 17:55
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x6
x8
x2
x6
x8
x2
x11
x28
x50
x90
x90
x1
x2
x2
x10
x12
x42
x18
x20
x1
x14
x2
x100
x2
x2
x442
x1
x32
x2
x2
x1
x20
x30
x30
x20
x10
x10
x6
x23
x34
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4

1

กระทู้

21

ตอบกลับ

1059

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
919
ตำลึงทอง
54
ตำลึงเงิน
367
เหรียญอู่จู
9440
STR
0+5
INT
0+0
LUK
0+0
POW
0+5
CHA
0+0
VIT
0+2
คุณธรรม
123
ความชั่ว
0
ความโหด
113
โพสต์ 2025-9-3 22:54:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Kexin เมื่อ 2025-9-3 22:55


วันที่ 03 เดือน ปาเยว่ (กันยายน) สารทฤดู รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น. ณ ตำหนักเซวียนเต๋อ วังหลวง ฉางอัน (พบ เซียวจื่อไท่โฮ่ว)


แสงอรุณแรกของวันส่องลอดกำแพงสูงแห่งวังหลวง เงาไม้แปะก๊วยทอดลงบนทางเดินหินขาวเป็นลายเส้นยาวงดงาม เสียงนกเช้าเจื้อยแจ้วปะปนกับเสียงฝีเท้าของเหล่าขันทีและนางกำนัลที่ก้าวเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ กลางขบวนเล็ก ๆ นั้นคือ องค์ชายหลิว เค่อซิน แม้เพิ่งลืมตาได้เพียงเกือบเดือน แต่ร่างกายกลับเจริญเติบโตผิดธรรมชาติ ดวงพักตร์อวบอิ่มสดใสราวเด็กวัย 5–6 ขวบ อ้วนท้วนสมบูรณ์เนื้อแก้มแดงระเรื่อเหมือนผลท้อฤดูร้อน ดวงตากลมโตคมวาวประกายซุกซนริมฝีปากเล็ก ๆ ยกยิ้มเจ้าสำราญจนนางกำนัลผู้ติดตามกลั้นหัวเราะไม่อยู่


“องค์ชายโปรดก้าวช้า ๆ เพคะ ทางนี้ทอดขึ้นเนิน” นางกำนัลผู้เป็นพี่เลี้ยงเอ่ยเตือนเสียงนุ่ม แต่เค่อซินกลับยักไหล่เบา ๆ แล้วหัวเราะ “ข้าโตแล้วนะ อย่าคิดว่าข้าเป็นทารกอุ้มอยู่แค่วันสองวันสิ!” น้ำเสียงสดใสแต่แฝงความกวนเต็มเปี่ยม องครักษ์ลับที่เดินตามด้านหลังเหลือบตามองแล้วถอนหายใจเบา ๆ พวกเขารู้ดีว่าแม้องค์ชายจะดูเป็นเพียงเด็กแต่ท่วงท่ากับแววตากลับฉายความเกินวัยเป็นทั้งเสน่ห์และภัยในตัวเดียวกัน


เส้นทางที่มุ่งไปคือตำหนักเซวียนเต๋อ ตำหนักใหญ่โอ่อ่าที่องค์เซียวจื่อไท่โฮ่ว ประทับอยู่พระมหาไทเฮาผู้ทรงอำนาจ เป็นทั้งต้นกำเนิดบารมีและความหวั่นเกรงทั่วราชสำนัก วันนี้คือวันแรกที่องค์ชายเค่อซินจะได้ถวายคำนับต่อพระนาง ดวงตากลมโตหันมองยอดหลังคาตำหนักที่ค่อย ๆ โผล่พ้นเงาไม้ บรรยากาศขณะนั้นทั้งขรึมและขลัง แต่เค่อซินกลับหัวเราะเบา ๆ “ตำหนักโคตรใหญ่เลยแฮะ…แต่ข้าว่าตำหนักข้าในฝันต้องมีสาวงามล้อมรอบสักสิบ จะได้ไม่เงียบเหงาแบบนี้”


ขันทีพี่เลี้ยงที่ได้ยินถึงกับเกือบสะดุดล้ม นางกำนัลหลายคนหน้าแดงกลั้นขำ ส่วนองครักษ์เพียงส่ายหัวอย่างจนใจนี่คือองค์ชายผู้เพิ่งมีอายุหนึ่งเดือน แต่กลับย่างก้าวสู่ตำหนักด้วยท่าทีเสเพลเจ้าสำราญราวกับเด็กช่างย่านเมือง


แสงอรุณแรกของยามเหม่าเพิ่งสาดเข้ามายังตำหนักเซวียนเต๋อที่โอ่อ่าและเงียบสงบ องค์ชาย หลิว เค่อซิน ก้าวย่างเข้ามาพร้อมรอยยิ้มระบายอยู่บนริมฝีปากเล็ก ๆ ร่างกายแม้เพิ่งประสูติไม่ถึงเดือน แต่กลับเติบโตสมบูรณ์ราวเด็กวัย 5–6 ขวบ ขยับตัวอ้วนท้วนสดใสแบบเด็กเจ้าสำราญเต็มตัว เขาหยุดอยู่ตรงหน้าท้องพระโรงของตำหนัก ดวงตากลมวาวเป็นประกาย ก่อนก้มตัวคำนับด้วยท่าทางที่ดูน่าขันในสายตาขุนนางผู้เฝ้าอยู่ไกล ๆ แต่เต็มไปด้วยความจริงใจและเอกลักษณ์เฉพาะของเขา 


“เค่อซินถวายพระพรเสด็จย่า”


เซียวจื่อไท่โฮ่วนางมงกุฎหงส์ทองสลับอัญมณีแดงและฟ้าประดับบนเกศา ส่องประกายดั่งพระจันทร์เพ็ญท่ามกลางราตรี ฉลองพระองค์แดงปักลายมังกรหงส์งดงามแต่แฝงด้วยอำนาจดุจเปลวไฟที่ไม่มีผู้ใดอาจหาญล่วงเกินได้ พระพักตร์งดงามยิ่งแม้ผ่านกาลเวลา แววตาที่เคยคมเข้มบัดนี้อบอุ่นและอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไท่โฮ่วทอดพระเนตรลงมาที่ร่างเล็กตรงหน้าเด็กน้อยที่เติบโตเกินธรรมชาติ แต่กลับแฝงด้วยความซุกซนเจ้าสำราญ นางมิได้รู้สึกประหลาดใจอีกแล้ว เพราะพระนางเลี้ยงเขามาตั้งแต่แรก รับรู้ถึงความผิดธรรมชาตินี้มานานและยอมรับมันอย่างเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต


เซียวจื่อไท่โฮ่วทอดพระเนตรอยู่นาน ริมพระโอษฐ์ที่แต้มชาดแดงเข้มยกขึ้นเพียงเล็กน้อย นางเอ่ยเสียงเรียบแต่ทุ้มชัด “เงยหน้าขึ้นสิ เด็กน้อย…ให้เสด็จย่าอย่างข้าเห็นหน้าสักหน่อย”


“พ่ะย่ะค่ะ” เค่อซินเงยหน้าทันที ดวงตากลมใสแฝงประกายซุกซนวาววับ “เสด็จย่าเห็นใบหน้าข้าแล้วรู้สึกเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ หลานงามเหมือนใครกันนะระหว่างเสด็จแม่กับเสด็จย่า?” ขันทีและนางกำนัลที่ยืนเรียงอยู่สองฝั่งถึงกับเบิกตากว้าง นี่มันคำถามที่เด็กคนไหนกล้าพูดออกมาในท้องพระโรง! แต่เค่อซินกลับยกยิ้มเจ้าสำราญเต็มที่ไม่ทุกข์ร้อนแม้แต่น้อย


เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากบัลลังก์หงส์ “เจ้านี่ปากคมเกินวัย” ไท่โฮ่วเอ่ยทั้งที่สายพระเนตรยังเปี่ยมความอ่อนโยน “เจ้าเพิ่งเกิดมาเพียงเดือนเดียวแต่กลับเติบใหญ่เสียจนคล้ายเด็กห้าหกขวบ แล้วยังกล้าเอ่ยถ้อยคำยั่วเย้าแก่เสด็จย่าอีกหรือ?” เค่อซินยักไหล่เล็ก ๆ “ถ้าไม่พูดให้เสด็จย่ายิ้ม แล้วหลานจะอยู่สบายได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบนั้นทำให้ทั้งขุนนางและนางกำนัลต่างพากันก้มหน้ากลั้นหัวเราะขำ


ไท่โฮ่วชะงักไปนิด ราวกับเห็นเงาของใครบางคนในอดีต ใครบางคนก็มีแววตาเจ้าเล่ห์เช่นนี้เมื่อยังเยาว์ เพียงแต่โอรสผู้นั้นนั้นเมื่อเติบใหญ่กลับแบกรับบัลลังก์จนเหน็ดเหนื่อยไม่สิ้นสุดขณะที่เด็กตรงหน้ากลับดูจะไร้กังวลจนเกินไป “เค่อซิน” นางเอ่ยเสียงนุ่มลง “ต่อไปในวังหลวง เจ้าจะถูกจับตามองทุกฝีก้าวจงจำไว้ อย่าใช้ปากของเจ้าก่อศัตรูเกินจำเป็น”


องค์ชายหัวเราะหึเบา ๆ “หากเสด็จย่าไม่อยากให้หลานสร้างศัตรู งั้นหลานก็จะสร้างมิตรแทนสิพ่ะย่ะค่ะ จะกวนใจเขาน้อยหน่อยแต่ก็คงทำให้เขาติดใจมากหน่อย” คำตอบนั้นทำให้แม้แต่เซียวจื่อไท่โฮ่วผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวในวังมาทั้งชีวิตยังอดยกพระโอษฐ์ขึ้นยิ้มไม่ได้ ใช่ นี่แหละเนื้อแท้ของหลานชายผู้นี้…กวนเสียจนคนโกรธไม่ลง


พระนางผายพระหัตถ์เรียกให้ขันทีพาองค์ชายเข้ามาใกล้ ทันทีที่เค่อซินก้าวขึ้นแท่นหยก ดวงเนตรของพระนางจับจ้องใบหน้าเล็กอวบแดงนั้นอย่างแผ่วอ่อนราวกับกำลังมองเพชรเม็ดน้อยที่รอวันเจียระไน “ต่อไปเสด็จย่าจะสั่งให้เจ้าจัดการศึกษา ฝึกเขียน อ่าน และเพลงกระบี่แก่เจ้า ให้เจ้ามิได้เป็นเพียงเด็กสำราญแต่เป็นองค์ชายผู้คู่ควรแก่ราชวงศ์”


เค่อซินยกคิ้วขึ้นยิ้ม “เพลงกระบี่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ดีเลย หลานชอบของแหลมคมอยู่แล้ว”


เซียวจื่อไท่โฮ่วทอดพระเนตรหลานชายที่อยู่ข้างกายพลันถอนหายใจเบา ๆ ภายในใจรู้ดีว่าเด็กคนนี้ หากมิใช่เรื่องกระบี่แล้วก็หาได้สนใจสิ่งใดไม่นอกจากสิ่งสำราญอันเป็นธรรมชาติของนิสัยแต่เดิม นางขยับพระหัตถ์หยิบถุงเงินผ้าไหมแดงที่ปักลายหงส์ทองอย่างประณีต ยื่นลงมาด้วยสายพระเนตรเปี่ยมความเมตตา “นี่คือขวัญถุงจากข้า…เจ้าจงนำไปใช้ให้ดี อย่าให้เสียเปล่า” เค่อซินเงยหน้าขึ้น ยกมือเล็กอวบรับถุงเงินไว้ด้วยท่าทีทะเล้น แต่เสียงเอ่ยกลับจริงใจ “ขอบพระทัยเสด็จย่า หลานจะใช้ให้คุ้มค่า…อาจจะเอาไปซื้อขนมกับของเล่นเสียหน่อย” ดวงตากลมประกายซุกซนแต่กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นเมื่อสบสายพระเนตรของนาง


แล้วเด็กน้อยก็ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับอีกครั้งด้วยท่าทางเจ้าสำราญเต็มตัว “วันนี้หลานขอตัวกลับก่อน วันหน้า…ข้าจะมาหาท่านใหม่ ข้าจะมาหาท่านบ่อย ๆ แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ถ้อยคำตรงไปตรงมาแต่แฝงด้วยความผูกพันเล่นเอาเซียวจื่อไท่โฮ่วถึงกับยิ้มอ่อน ความรู้สึกยินดีเอ่อล้นในพระทัยแม้เด็กคนนี้จะกวนจนจับทางไม่ได้แต่เป็นหลานที่นางรักจริงแท้ นางโบกพระหัตถ์เบา ๆ สั่งขันทีให้นำองค์ชายกลับไปยังตำหนักตงเฉิน แสงอรุณที่เริ่มส่องผ่านหน้าต่างกระทบพระพักตร์ของไท่โฮ่วในยามนั้น ช่างอบอุ่นไม่ต่างจากรอยยิ้มที่ยังติดอยู่บนริมพระโอษฐ์ของนาง


รางวัล : เงินขวัญถุงจากเสด็จย่า 9 ตำลึงเงิน (ตามจำนวนไบต์เลขสุดท้าย)

+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว

+20 คุณธรรม

 


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ +20 คุณธรรม โพสต์ 2025-9-4 10:25
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว เพิ่มขึ้น 5 โพสต์ 2025-9-4 10:25
โพสต์ 31599 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2025-9-3 22:54
โพสต์ 31,599 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้ใช้กระบี่  โพสต์ 2025-9-3 22:54

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +9 ย่อ เหตุผล
Watcher + 9

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกไผ่ผ้าคลุม
กระบี่คู่สลักจันทรา
ผู้ใช้กระบี่
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x1

1

กระทู้

21

ตอบกลับ

1059

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
919
ตำลึงทอง
54
ตำลึงเงิน
367
เหรียญอู่จู
9440
STR
0+5
INT
0+0
LUK
0+0
POW
0+5
CHA
0+0
VIT
0+2
คุณธรรม
123
ความชั่ว
0
ความโหด
113
โพสต์ 2025-9-4 16:05:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 04 เดือน ปาเยว่ (กันยายน) สารทฤดู รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น. ณ ตำหนักเซวียนเต๋อ วังหลวง ฉางอัน (พบ เซียวจื่อไท่โฮ่ว)


แสงแรกของอรุณสาดลอดหน้าต่างประดับลายดอกเหมยเข้าสู่ตำหนักเซวียนเต๋ออันโอ่อ่า เสียงนกร้องประสานกับลมยามเหม่าอันสดชื่น ภายในท้องพระโรงอบอวลด้วยกลิ่นกำยานหอมจรุง องค์ชายเค่อซิน เด็กน้อยวัยเพียงเดือนเศษแต่รูปร่างเติบโตเทียบเด็กห้าหกขวบ เดินตุ้ยนุ้ยเข้ามา แก้มยุ้ยเด้งตามจังหวะฝีเท้า แววตากลมใสระยิบระยับด้วยความสดใส เมื่อเห็นพระอัยยิกาใหญ่บนบัลลังก์ ดวงหน้าของเขาก็เปล่งรอยยิ้มเต็มที่


“เสด็จย่า หลานมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงเล็กใสกังวานเอ่ยทักทายอย่างคุ้นเคย เขารีบวิ่งเข้ามาก้มคำนับ แล้วแอบเงยหน้ามององค์ไท่โฮ่วด้วยสายตาชื่นชม “วันนี้ฉลองพระองค์ของเสด็จย่างามนัก เหมือนเทพธิดาเลยพ่ะย่ะค่ะ” ถ้อยคำสดใสทำให้นางกำนัลข้างพระองค์แอบยกมือปิดปากหัวเราะ ขันทีที่อยู่ใกล้ต่างพากันก้มหน้าอย่างยากจะปิดรอยยิ้ม


เซียวจื่อไท่โฮ่วที่ครองตำหนักมานานนัก เพียงทอดพระเนตรหลานชายเล็กด้วยสายตาเอ็นดู ริมพระโอษฐ์งามแต้มรอยยิ้มบาง “เจ้านี่จริงปากหวานเสียแต่เด็ก” น้ำเสียงปนหัวเราะน้อย ๆ “ไม่กลัวหรือว่าคนทั้งตำหนักจะหาว่าเจ้าเจ้าชู้เกินวัย”


เค่อซินหัวเราะหึ ๆ ยกคางขึ้นเล็กน้อยอย่างภาคภูมิ “ถ้าพูดแล้วทำให้เสด็จย่ายิ้ม หลานยอมให้ใครหาว่าหลานเจ้าชู้ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” ถ้อยคำกวนปนซื่อทำให้บรรยากาศในตำหนักที่เคยขรึมสง่า กลับคลายลงกลายเป็นอบอุ่นละมุนอย่างน่าประหลาด ไท่โฮ่วทอดพระเนตรเด็กน้อยตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความยินดี ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นความคล้ายคลึงบางประการกับโอรสของตนในวัยเยาว์…แต่ครั้งนี้นางสาบานกับตัวเองว่า จะเลี้ยงหลานคนนี้ด้วยรอยยิ้ม มากกว่าความคาดหวังหนักอึ้งที่เคยถ่วงลูกชายไว้


พระนางยกพระหัตถ์ขี้นให้หลานชายเข้ามาใกล้ จนองค์ชายเค่อซินยกยิ้มซุกซน ขณะก้าวเท้าตุ้ยนุ้ยเข้าไปใกล้แท่นบัลลังก์ที่เซียวจื่อไท่โฮ่วประทับอยู่ พระนางทอดพระเนตรหลานน้อยด้วยความเอ็นดู พลันโบกพระหัตถ์เรียกขันทีผู้ถือหีบไม้หอมเข้ามาใกล้ เมื่อเปิดออก ปรากฏกระบี่คู่เปล่งประกายแสงจันทร์วาววับ เชวี่ยเยว่ กระบี่สลักจันทรา ไท่โฮ่วรับด้วยพระหัตถ์งาม แล้วโน้มกายลงมอบให้กับองค์ชาย “นี่คือของขวัญวันนี้จากเสด็จย่า กระบี่พร้อมถุงเงินอีกเล็กน้อย เจ้าจะได้ไม่ต้องหักกิ่งไม้จากตำหนักอื่นไปเล่นอีก” ถ้อยคำนั้นทำเอานางกำนัลใกล้เคียงหัวเราะคิกคักเบา ๆ เพราะรู้ดีว่าเด็กน้อยเจ้าเล่ห์ผู้นี้มักวิ่งไปหักกิ่งไม้แถบเรือนโน้นเรือนนี้มาแกว่งแทนของเล่นอยู่บ่อยครั้ง


เค่อซินรับกระบี่ทั้งคู่ไว้ด้วยมือเล็กแต่สายตากลับเปล่งประกายเกินกว่าวัย เขาเอียงคอเล็กน้อยแล้วหัวเราะหึ “ขอบพระทัยเสด็จย่า…ถ้าเช่นนั้น ข้าขอเอากระบี่นี้ออกไปฝึกที่อื่นได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ตอนนี้การมีอยู่ของข้ายังไม่ถูกประกาศต่อผู้คน คงไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งใด” คำพูดนั้นทำให้ไท่โฮ่วชะงักไปชั่วขณะ ดวงเนตรที่เต็มไปด้วยประสบการณ์แห่งชีวิตทอดมองร่างเล็กตรงหน้าเด็กที่เพิ่งลืมตาได้เพียงเดือนเศษ แต่กลับเติบโตจนพูดจาอย่างคนที่รู้จักชั่งน้ำหนักระหว่างความลับ กับภัยอันตราย


“เจ้านี่…” นางพึมพำเบา ๆ ก่อนถอนหายใจ พระพักตร์แม้ยังมีรอยยิ้มแต่ภายในพระทัยกลับมีความเวทนาซ่อนเร้น น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามีหลานคนนี้อยู่ในวัง…ต่อให้เจ้ามิได้ทำผิดสิ่งใด ก็ยังต้องหลบเร้นราวเงามิใช่ชีวิตที่เด็กน้อยสมควรแบกรับเลย ไท่โฮ่วเอื้อมพระหัตถ์ลูบศีรษะเขาเบา ๆ “เสด็จย่าไม่เห็นด้วยนัก…แต่หากเจ้ามั่นใจว่าจะไม่เป็นอันตราย ก็คงต้องตามใจบ้าง”


เค่อซินหัวเราะเบิกบาน แก้มยุ้ยแดงจัดเพราะความดีใจ “เช่นนั้นหลานจะฝึกจนกลายเป็นคนเก่งที่สุดในวังเลยพ่ะย่ะค่ะเสด็จย่ารอดูได้เลย!” พระนางหัวเราะในลำพระศอเบา ๆ ทอดพระเนตรหลานน้อยที่แก้มยุ้ยวิ่งวนอยู่กับกระบี่คู่เล็ก ๆ ในมือ รู้ดีว่าชีวิตเบื้องหน้าเต็มไปด้วยพายุ แต่สำหรับตอนนี้…การได้เห็นเขายิ้มและเล่นสนุกอยู่ตรงหน้านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่อดห่วงไม่ได้อยู่ดี


รางวัล : เงินขวัญถุงจากเสด็จย่า 9 ตำลึงเงิน (ตามจำนวนไบต์เลขสุดท้าย)

+5 แต้ม ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว

+10 แต้ม โบนัสความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC

+20 คุณธรรม


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 18969 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-4 16:05
โพสต์ 18,969 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 ความชั่ว +6 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ  โพสต์ 2025-9-4 16:05
โพสต์ 18,969 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม +5 ความโหด จาก กระบี่คู่สลักจันทรา  โพสต์ 2025-9-4 16:05
โพสต์ 18,969 ไบต์และได้รับ +3 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม +5 ความโหด จาก ผู้ใช้กระบี่  โพสต์ 2025-9-4 16:05

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +9 ย่อ เหตุผล
Watcher + 9

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกไผ่ผ้าคลุม
กระบี่คู่สลักจันทรา
ผู้ใช้กระบี่
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x1
โพสต์ 2025-9-8 00:50:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 30 ชีเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 

ยามเว่ย (เวลา 13.00 - 15.00 น.)



ยามเมื่อซูเหยาเดินตามท่านขันทีเข้าสู่ประตูเสวียนอู่ที่ปิดลงเบื้องหลัง นางสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่แสนเงียบงัน จากโลกที่วุ่นวายภายนอกสู่โลกภายในที่สงบและเคร่งขรึม กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกเบญจมาศยังคงลอยตามมากับสายลมที่พัดเอื่อย แต่ตอนนี้มันผสมผสานกับกลิ่นหอมของกำยานที่ลอยมาจากตำหนักน้อยใหญ่รายทาง ก้อนหินที่เรียงรายเป็นทางเดินถูกขัดจนมันวาว สะท้อนแสงแดดอ่อน ๆ ยามบ่ายที่เริ่มคล้อยต่ำลง ท่ามกลางความเงียบงัน มีเพียงเสียงฝีเท้าของนางและขันทีที่เดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว


หลังจากเดินมาได้สักครู่ ขันทีก็หยุดลงตรงหน้าตำหนักเซวียนเต๋อ ขันทีเปิดประตูออกอย่างนุ่มนวลและผายมือเชิญให้นางก้าวเข้าไปข้างใน


"เชิญหมอหญิงซู!" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนน้อม


ซูเหยาโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในตำหนัก องค์ไท่โฮ่วประทับอยู่ด้วยท่าทางสง่างาม พระพักตร์เรียบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยร่องรอยของความเมตตา นางรีบถวายบังคมอย่างนอบน้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้


"ถวายบังคมองค์ไท่โฮ่วเพคะ ขอองค์ไท่โฮ่วทรงพระเจริญ"


"ลุกขึ้นเถิด" น้ำเสียงที่เคยมีอำนาจและทรงพลังบัดนี้กลับอ่อนโยนลงเล็กน้อย "ได้ข่าวว่าเจ้ามาขอเข้าเฝ้าข้าถึงหน้าประตูวังเชียวหรือ? มีความคืบหน้าเรื่องผ้าคลุมไหล่แล้วหรือ?"


ซูเหยาเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ มือที่ถือห่อผ้ากำแน่น นางหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะเริ่มกล่าวถวายรายงาน


"เพคะ! เมื่อวานนี้ หม่อมฉันได้เดินทางไปร้านขาย เพื่อขอคำแนะนำจากเถ้าแก่เนี้ย อีกทั้งยังได้พบกับท่านหมอหลวงเจิ้งที่โรงหมอจึงได้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการย้อมไหม หม่อมฉันจึงได้ข้อสรุปว่า..."


ซูเหยาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงคำพูด ก่อนจะกล่าวต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ


"จากการวิเคราะห์และสอบถามผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านผ้าและสมุนไพร หม่อมฉันได้พบว่าสีที่ซีดจางของไหมลายปักมิได้เกิดจากการดูแลที่ไม่ดีเพคะ แต่เกิดจากปฏิกิริยาของสมุนไพรที่ใช้ย้อมมันต่างหาก ในช่วงที่ประสบปัญหาขาดแคลนสมุนไพรบางชนิด ช่างย้อมผ้าอาจต้องนำสมุนไพรที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันมาย้อมผ้าทดแทนเพื่อรักษาคุณภาพของสีเอาไว้ให้คงที่ แต่พวกเขาอาจไม่รู้ถึงผลข้างเคียงของสมุนไพรเหล่านั้นเพคะ ซึ่งในกรณีของสมุนไพรที่ใช้ในการย้อมผ้าคลุมไหล่ผืนนี้ มันได้ส่งผลกระทบต่อเส้นลมปราณของผู้ที่สวมใส่มันเป็นระยะเวลานาน ๆ และทำให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ในที่สุดเพคะ"


เมื่อได้ยินคำอธิบายที่ละเอียดอ่อนและกระจ่างแจ้งของซูเหยา องค์ไท่โฮ่วก็ทรงพยักพระพักตร์อย่างเข้าใจ


"เป็นเช่นนี้เอง...แล้วควรทำเช่นไรกับผ้าคลุมไหล่ผืนนี้ล่ะ?"


ซูเหยาถวายบังคมอีกครั้งอย่างนอบน้อม


"สำหรับผ้าคลุมไหล่ผืนนี้ หากยังประสงค์จะให้ผ้าคลุมไหล่มีสีสันที่งดงามดังเดิม หม่อมฉันคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือ ควรเปลี่ยนไหมใหม่ทั้งหมดเพคะ แต่หากยังทรงรู้สึกเสียดายผ้าผืนนี้ ขอทรง ละเว้นการใช้มันในระยะยาวจะดีกว่าเพคะ เพราะสิ่งที่ตกค้างบนเนื้อผ้ายังคงส่งผลกระทบต่อพระองค์ได้ตลอดเวลาเพคะ"


“คงต้องตัดใจเลิกใช้มันสินะ...” พระสุรเสียงขององค์ไท่โฮ่วแผ่วลงเล็กน้อย ดวงพระเนตรมองไปยังผ้าคลุมไหล่ในห่อผ้าที่ซูเหยาถืออยู่ด้วยสายพระเนตรที่อ่อนโยนและนิ่งสงบ ผ้าผืนนี้เป็นของขวัญล้ำค่าจากอดีต ที่เคยช่วยปลอบประโลมจิตใจของพระองค์ในช่วงเวลาที่ทุกข์ระทมที่สุด บัดนี้เมื่อได้ล่วงรู้ความจริง พระองค์ก็ทรงรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงรู้สึกซาบซึ้งในความตั้งใจของสตรีตรงหน้า


“ขอบใจเจ้ามาก หมอหญิงซู” พระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความเมตตา “เจ้าเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบและใส่ใจในรายละเอียดจริง ๆ”


ซูเหยาถวายบังคมอีกครั้งอย่างนอบน้อมพร้อมกับน้อมตัวลงเพื่อวางห่อผ้าลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างพระองค์อย่างช้า ๆ 


“นั่นเป็นสิ่งที่หม่อมฉันพึงกระทำเพคะ”


พระหัตถ์ที่เรียวบางและขาวผ่องของไท่โฮ่วทรงเลื่อนไปสัมผัสห่อผ้าอย่างแผ่วเบา พระองค์ทรงลูบไล้ไปตามเนื้อผ้าที่ห่อหุ้มผ้าคลุมไหล่ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำอันมากมาย 


“ผ้าผืนนี้ได้ช่วยปลอบประโลมใจข้าไว้ในยามที่ข้าทุกข์ระทมยิ่งนัก…แต่บัดนี้เมื่อรู้ว่ามันเป็นเช่นนี้ ก็คงจะต้องปล่อยมันไปเสียแล้ว” พระพักตร์ของพระองค์ฉายแววอาลัยอาวรณ์อยู่ชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาสงบนิ่งดังเดิม


ไท่โฮ่วทรงหันไปทางนางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างพระองค์และตรัสสั่งด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจ 


“ไปนำกล่องที่ข้าเตรียมไว้มาให้นาง”


นางกำนัลในชุดผ้าไหมสีเขียวเข้มรีบก้าวเท้าถอยหลังและหายลับไปจากตำหนักเซวียนเต๋ออย่างเงียบเชียบและรวดเร็ว ไม่นานหลังจากนั้นนางกำนัลก็กลับมาพร้อมกับกล่องไม้สลักลายหงส์คู่ที่งดงามยิ่งนัก


ไท่โฮ่วทรงเลื่อนกล่องไม้นั้นมาตรงหน้าซูเหยาและทรงเปิดฝากล่องออกช้า ๆ ภายในกล่องมีตำราเก่าแก่เล่มหนึ่ง มีร่องรอยของการใช้งานมาอย่างยาวนาน


“ตำรานี้...ข้าได้รับเป็นของกำนัลเมื่อนานมาแล้ว” พระสุรเสียงของพระองค์ทรงเต็มไปด้วยความทรงจำที่แจ่มชัด “ข้าเก็บไว้มานานแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากมัน หากเก็บไว้ที่ข้าก็คงไม่มีประโยชน์สู้มอบให้แก่คนที่ใช้ประโยชน์จากมันได้จริง ๆ ย่อมดีกว่า อีกทั้งยังสามารถนำไปช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากมาย”


ซูเหยามองไปยังตำราในกล่องด้วยดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าไท่โฮ่วจะทรงมอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้แก่นาง ไท่โฮ่วเองก็ทรงจ้องมองไปยังซูเหยาและแย้มสรวลเล็กน้อย 


“รับเอาไว้เถิดหมอหญิงซู อย่าได้ปฏิเสธความปรารถนาดีของข้าเลย”


ซูเหยาค่อย ๆ ยื่นมือออกไปรับตำราเล่มนั้นมาอย่างช้า ๆ มือที่สัมผัสตำรานั้นสั่นเทาเล็กน้อย นางโค้งคำนับถวายบังคมอย่างสุดซึ้ง 


“ขอบพระทัยองค์ไท่โฮ่วเพคะ หม่อมฉันจะตั้งใจศึกษาและใช้ประโยชน์จากมันเพื่อช่วยเหลือผู้คนให้สมกับที่พระองค์ทรงมีพระเมตตาเพคะ”


หลังจากเสร็จสิ้นธุระ ซูเหยาก็ทูลลาไท่โฮ่วแล้วจึงค่อย ๆ ถอยหลังออกมาจากตำหนักเซวียนเต๋ออย่างช้า ๆ มือทั้งสองข้างยังคงประคองตำราเก่าแก่เล่มนั้นไว้แนบกับอก ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาใดเปรียบได้ไม่ เมื่อเดินออกมาสู่โถงทางเดินด้านนอก นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ความรู้สึกตื้นตันใจก่อตัวขึ้นในอกจนยากจะบรรยาย


"ท่านหมอหญิงซู" ขันทีของตำหนักก้าวเข้ามาหาด้วยท่าทางที่นอบน้อมกว่าเดิมมาก "องค์ไท่โฮ่วทรงรับสั่งให้ข้านำทางท่านไปยังประตูวัง"


ซูเหยาหันไปยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน 


"ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ท่านขันที"


"นั่นเป็นหน้าที่ของข้า" ขันทีตอบพลางเหลือบมองไปยังตำราในมือของซูเหยาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย "ตำราเล่มนั้นของล้ำค่าที่องค์ไท่โฮ่วทรงเก็บรักษาไว้มานานปีเชียว...เป็นบุญของท่านหมอหญิงแล้วที่ได้ของล้ำค่าเช่นนี้"


ซูเหยาไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มบาง ๆ นางก้มลงมองตำราในอ้อมแขนอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามขันทีออกจากตำหนักเพื่อไปยังประตูเสวียนอู่



เควสปลดหัวใจ : ปริศนาลายปักแห่งตำหนักฉือหนิง (4)

เลือกตัวเลือก: เสนอให้เปลี่ยนไหม


-จบเควสปลดล็อกหัวใจ-


รางวัลเควส: ตำราสมุนไพรหายาก



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 21699 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-8 00:50
โพสต์ 21,699 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ปิ่นปักผมดอกท้อ  โพสต์ 2025-9-8 00:50
โพสต์ 21,699 ไบต์และได้รับ +12 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก พัดบุปผาบานจันทร์เพ็ญ  โพสต์ 2025-9-8 00:50
โพสต์ 21,699 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-9-8 00:50
โพสต์ 21,699 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม +8 ความโหด จาก หมอป่า  โพสต์ 2025-9-8 00:50
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x6
x8
x2
x6
x8
x2
x11
x28
x50
x90
x90
x1
x2
x2
x10
x12
x42
x18
x20
x1
x14
x2
x100
x2
x2
x442
x1
x32
x2
x2
x1
x20
x30
x30
x20
x10
x10
x6
x23
x34
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4
1234
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้