เจ้าของ: Watcher

[หอว่านหงเหริน]

[คัดลอกลิงก์]

1

กระทู้

91

ตอบกลับ

1161

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
888
ตำลึงทอง
39
ตำลึงเงิน
114
เหรียญอู่จู
9349
STR
0+6
INT
0+1
LUK
0+5
POW
0+0
CHA
20+5
VIT
5+7
คุณธรรม
130
ความชั่ว
694
ความโหด
1563
โพสต์ 2025-9-20 18:37:19 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย JiTiandao เมื่อ 2025-9-20 20:26

วันที่ 20 เดือน 8  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เวลา 15.00 - 16.00 น.

เสียงขลุ่ยอ่อนละมุนลอยผ่านม่านไหมบางที่กระพือเบาใต้แสงแดดยามบ่าย หอว่านหงเหรินในยามนี้ไม่ครึกครื้นนัก แขกขาประจำต่างพากันงีบหลับหรือพักจิตหลังจากคืนอันวุ่นวาย เสียงหัวเราะเยาะเย้ยและสำเนียงกลอนที่เคยกึกก้องเมื่อคืนที่ผ่านมา ต่างเงียบหายไปเหลือเพียงเสียงน้ำชาเดือดเบาๆ กับกลิ่นอบอวลของดอกเหมยในสวนด้านหลัง


ทว่าท่ามกลางบรรยากาศแช่มช้าดั่งภาพเขียน กลับมีเงาร่างของชายชราผู้หนึ่งเดินลากเท้าเข้ามาช้าๆ


จี เทียนเต้า ชายแก่หัวล้าน หัวล้าน เครารุงรัง ผิวหนังคล้ำกร้านด้วยแดด รูปร่างผอมแห้ง ข้างหลังสะพายขวดสุราอ้าไว้ครึ่งหนึ่ง อีกมือถือขวดยาสมุนไพรเก่า ๆ สีดำคล้ำ ฝ่าเท้าเปล่าแตะพื้นดินแห้งกรังเปื้อนฝุ่น เขาเดินมาเรื่อย ๆ พลางผิวปากกลอนเก่า เสียงแปร่งเสียจนเด็กวิ่งเล่นใกล้ ๆ ยังหยุดฟังด้วยความงุนงง เมื่อมาถึงหน้าหอ เขาหยุดยืน มองแผ่นป้ายหอว่านหงเหรินที่สลักอักษรทองคำด้วยสายตาเปล่งแสง แล้วก้มลงถ่มเสมหะข้างเท้า


“หอว่านหงเหริน ฮ่า ที่เขาว่ามีทั้งหญิงชายให้เลือกชื่นชม ข้าก็อยากเข้าไปชมหน่อยเถอะ”


พูดจบ เขาก็ก้าวเท้าไปยังตัวหอ แต่ยังไม่ทันได้แตะพื้น "หยุดก่อน"


เสียงชายหนุ่มชุดแดงเข้มดังขึ้นอย่างเฉียบพลัน เป็นหนึ่งในบ่าวประจำหอ รูปร่างกำยำ แต่หน้าตาเฉลียวฉลาดกว่าคนยกของทั่วไป เขาก้าวเข้ามาขวาง จี เทียนเต้าไว้ พลางกล่าวเสียงเรียบ


“คุณท่าน ขออภัย ที่นี่ไม่รับขอทาน”


จี เทียนเต้าหัวเราะพรืด เหลือบตามองชายตรงหน้า ก่อนยกมือข้างที่ถือขวดสุราขึ้นโบกเล่น

“ขอทานหรือ ฮ่า ข้าคือเซียนขี้เมาแห่งเขาตะวันจม ข้าเพียงมาขอชมฟ้อนรำ ไม่ได้ขอเงิน”


ชายเฝ้าประตูยังคงสีหน้าเย็นชา “ไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือจอมยุทธ หากแต่งกายเยี่ยงขอทาน ย่อมสร้างความไม่สบายใจแก่แขกชั้นใน หวังว่าท่านจะเข้าใจ”


“หึ เข้าใจอะไรกัน ที่นี่ไม่รับแขกเพราะ ไม่มีเงิน’หรือเพราะ หน้าเหมือนคนไม่มีเงิน กันแน่” เสียงหัวเราะของจี เทียนเต้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นกลั้วเศร้า


แต่ในขณะบรรยากาศเริ่มตึงเครียด เสียงพัดกระทบฝ่ามือเบา ๆ ดังมาจากด้านหลังชายเฝ้าประตู ผู้มาใหม่แต่งกายด้วยผ้าไหมสีฟ้าอ่อนแบบขันทีหลวง ผ้าคาดเอวปักลายมังกรทองเล็กจาง ๆ ดวงตาเรียวเย็น เยื้องย่างอย่างมั่นคง คุณชายห่าวหมิง เขามาเงียบ ๆ ไม่ขี่เกี้ยว ไม่พาผู้นำขบวน เพียงปรากฏตัวเหมือนเงาของวังหลัง


ชายเฝ้าหอรีบโค้งตัวทันที “คุณชายห่าวหมิง”


จี เทียนเต้าชะงัก กวาดตามองอีกฝ่าย ก่อนยิ้มเอียงคอ ดวงตาเปล่งแสงแปลกประหลาด “อา รูปงามขนาดนี้ คงไม่ใช่พ่อครัวแน่” เขายกขวดยาดำขึ้นสูงเหมือนอัญเชิญบางอย่างจากฟากฟ้า “ท่าน ท่านผู้งามราวเทพจากตำหนักใน ข้ามีของดีจะมอบให้ ฟรี”


จี เทียนเต้าหัวเราะแห้ง ๆ อีกครา มือที่สั่นเทาถือขวดยาดำเงา ยื่นไปตรงหน้าชายหนุ่มในชุดฟ้าอ่อน ผู้มีกลิ่นอายของผู้สูงศักดิ์ติดเนื้อผ้าและจิตใจดั่งน้ำแข็งที่ไม่เคยหลอมละลาย


“รับเถอะ ของดีเช่นนี้ ข้าให้ฟรี ยานี้บำรุงร่างกาย ยืดอายุ มีกำลังวังชาเหมือนวัวเถื่อนในฤดูติดสัตว์ ฮี่ๆๆ” ดวงตาข้างเดียวของจี เทียนเต้าเป็นประกายบ้า ๆ บอ ๆ หากแต่ในเงาของรอยยิ้มนั้น มีบางสิ่งที่แม้แต่คนบ้า ก็ยังมีเจตนา


คุณชายห่าวหมิงไม่ได้ขยับ มือข้างหนึ่งยังถือพัดไม้หอมสะบัดช้า ๆ อีกมือซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ เขาไม่มองขวดยาโดยตรง แต่ปรายตาดูใบหน้าอันมอมแมมตรงหน้า เงียบ นานพอให้คนทั่วไปอึดอัด ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ


“ยาเช่นนี้ หากดีจริง เหตุใดเจ้าจึงไม่กินเอง”


จี เทียนเต้าหัวเราะจนตัวโยน “ข้ากินไปแล้วสิ กินทุกวัน ดูนี่สิ แข็งแรงเหมือนผีตายซาก” เขายกแขนผอมบางที่แทบจะเห็นกระดูกขึ้นอวด


คุณชายห่าวหมิงนิ่ง ยิ้มเพียงนิดเดียวที่มุมปาก “งั้นข้าขอถามอีกข้อ” เขาเอียงหน้าเล็กน้อย สายตาเยียบเย็นดั่งมีด หากเจ้าคิดว่าข้าบุรุษเหตุใดที่ต้องการยาบำรุง ” สิ้นคำ พัดในมือเขากระทบเข้ากับข้อมือของจี เทียนเต้า เพี๊ยะ เบา ๆ ขวดยาเกือบร่วง มือของจางกงกงรวดเร็ว แม่นยำ และรุนแรงเท่าที่ควรจะเป็น


จี เทียนเต้าสะดุ้งไปหนึ่งที ก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ “โถ่ ก็แค่ยา เผื่อท่านอยากมีคืนวาบหวามบ้าง ไม่ต้องใช้ ก็แค่เก็บไว้ดูตอนเหงา”


คุณชายห่าวหมิงตาลง ช้า ๆ เขาเอื้อมมือไป แต่ไม่ใช่เพื่อ รับยา หากแต่เป็นการ จับคาง ของจี เทียนเต้าเบา ๆ เงียบ ๆ เหมือนจิ้งจอกที่จับหนู

“คนอย่างเจ้า ถ้าจะลอบวางยาข้า ต้องฉลาดกว่านี้อีกหลายช่วงตัว” เสียงเขานุ่ม แต่เฉือนลึก “อย่างไรก็ตาม ข้าจะรับ ไว้ตรวจสอบ ว่าเจ้าคิดอะไร” เขาหยิบขวดยาขึ้นจากมือจี เทียนเต้า ลูบมันเบา ๆ แล้วเก็บเข้าแขนเสื้อ


จี เทียนเต้ายิ้มกว้าง ฟันหลอสะท้อนแดดยามบ่าย “ฮี่ๆๆ ข้าบอกแล้ว ว่าท่านจะรับ”


คุณชายห่าวหมิงหันหลังกลับ ขณะเดินขึ้นหอ กล่าวทิ้งท้ายโดยไม่หันมา “หากยานี้ทำให้ข้าตื่นในสภาพที่ ไม่ควรตื่น เจ้า จะไม่ได้ตื่นอีกเลย”


จี เทียนเต้านั่งคู้ตัวเหมือนสุนัขแก่ข้างกำแพงพัง ริมฝีปากยังยกยิ้ม เหงื่อเปื้อนคิ้ว หน้าผากมันวับสะท้อนแสงแดดยามโพล้เพล้ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น แผ่พัดอากาศเบา ๆ เลียนแบบท่ากวัดแกว่งพัดของคุณชายห่าวหมิงแบบเจาะจง ริมฝีปากเขาขยับ ทำเสียงเลียนลมหายใจเยือกเย็นของขันทีแห่งวังหลวง แล้วท่าทางก็เปลี่ยนเป็นกรีดนิ้วเรียวเสมือนใครถือพัดในมือขาวสะอาด จากนั้นเขาลุกยืน เซไปเซมา แต่ยังยิ้ม ก่อนจะตวัดชายเสื้อขาด ๆ ของตัวเองขึ้น และเปล่งเสียงร้อง เป็นวรรคกวีที่เต็มไปด้วยการเสียดเย้ย เย้ยหยัน และเย้ยตัวเอง


“มือบางเรียวหอมดั่งดอกท้อ แต่ใจนั้นดั่งหินเหล็กไฟ ไม่รักสตรี ไม่เรียกชาย กลับเลือกเงาอยู่เคียงนายของตน”


จี เทียนเต้าเขาหัวเราะ แล้วตะโกนต่อให้คนบนหอได้ยิน “โอ้ ท่านผู้สูงศักดิ์เอ๋ย เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ว่าใต้ชุดผ้าไหมนั้น ซ่อนแผลที่คนทั้งแผ่นดินไม่กล้าถาม”


จี เทียนเต้ายกมือขึ้นอีกครั้ง ทำท่าตบพัดบนฝ่ามือเบา ๆ เดินวนไปมาเหมือนกำลังฝึกละครฉากขันทีหลวง “หากไร้ของรัก ก็อย่าเสแสร้งเย็นชา หากไร้ใครเชยชม ก็อย่าทำท่าเยี่ยงเทพบุตรเงียบงัน” แล้วเขาก็หัวเราะ ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ แต่คราวนี้ ไม่มีใครหัวเราะตาม แม้แต่ลมเย็นยามเย็น ก็หยุดพัดชั่วขณะหนึ่ง


จี เทียนเต้ายืนหัวเราะอยู่กับลมฝุ่นเบื้องล่าง บ้างว่าบ้า บ้างว่าร้าย เขานั่งลงกับขั้นบันได ราวกับพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว


“อย่างน้อย เขาก็แตะมือข้า ฮี่ๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะค่อย ๆ แผ่วลง เมื่อแดดบ่ายกลายเป็นเงาเย็นเฉียบแห่งยามเย็น


___________________________________________________________________________________________________________


[ NPC - 11 ] จางกงกง

โรลพูดคุยประจำวัน : +5 ความสัมพันธ์



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 18,752 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก เอ้อหู  โพสต์ 2025-9-20 18:37
โพสต์ 18,752 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม จาก พู่กันคัดอักษร  โพสต์ 2025-9-20 18:37
โพสต์ 18,752 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก น่ารัก  โพสต์ 2025-9-20 18:37
โพสต์ 18752 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-9-20 18:37
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่คู่สลักจันทรา
เกราะทองแดง
เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ
พู่กันคัดอักษร
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1

7

กระทู้

79

ตอบกลับ

4204

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
3759
ตำลึงทอง
125
ตำลึงเงิน
660
เหรียญอู่จู
12577
STR
4+2
INT
4+0
LUK
10+7
POW
3+0
CHA
9+0
VIT
5+5
คุณธรรม
365
ความชั่ว
0
ความโหด
182
โพสต์ 2025-9-20 22:23:42 | ดูโพสต์ทั้งหมด
หมาบ้ามักกัดเจ็บ

ตั้งแต่เกินมานี่คงเป็นค่ำคืนที่เหนื่อยยากที่สุดแล้วสำหรับหมิงชุนสุ่ย เขาตื่นขึ้นมาในสภาพที่เรียกว่าสะบักสะบอมอยู่ไม่น้อย ไหนเถ้าแก่บอกว่าคุณชายโอวหยางผู้นี้เป็นแขกพิเศษที่มาใช้บริหารหอหว่านหงเหรินบ่อยๆไง แต่จากสภาพนี่มันไม่ต่างกับบุรุษกลัดมันที่ไม่ได้ปลดปล่อยมาร่วมปีเศษเลยกระมัง

        ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างลำบาก ทั่วทั้งร่างเจ็บระบมไปหมดโดยเฉพาะส่วนสะโพกลงไปที่ปวดร้าวจนแทบไม่รู้สึกแล้ว นี่เขาคงไม่ได้กลายเป็นคนพิการไปแล้วหรอกนะ ครั้งเมื่อหมิงชุนสุ่ยเหลือบสายตาไปมองยังตัวต้นเหตุที่ยังคงหลับสนิทสีหน้าผ่องอยู่ข้างๆแล้วก็ยิ่งอดหมั้นไส้ไม่ได้

        “ไม่ใช่คนแล้วแบบนี้หมาบ้าชัดๆ”

        “เช่นนั้น เจ้าก็เป็นคนที่ถูกหมาบ้าสมสู่จริงไหม”เปลือกตาที่เปิดอยู่พลันเปิดขึ้นพร้อมกับร่างนอนอยู่ขยับลุกขึ้นมาคร่อมทับกักขังร่างของคนงามเอาไว้อีกครั้ง “ปากเล็กๆนี่ช่างดุร้ายนัก ทั้งๆที่เมื่อคืนยังร้องครางเพราะข้าอยู่แท้ๆ”

ปลายนิ้วนิ้วโป้งของโอวหยางเฉียนฮุยแตะและบนคลึมไปบนริมฝีปากที่แห้งแตกของหมิงชุนสุ่ย ด้วยความพึงพอใจ แต่เพียงครู่ใบหน้าที่กำลังพึงพอใจนั้นก็ต้องเปลี่ยนเป็นมึนตึง หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันแน่นเช่นเดียวกับดวงตาของโอวหยางเฉียนฮุยที่เข้มขึ้น

กึด!

หยดเลือดหยดเล็กๆ ค่อยๆไหลซึ่มออกมาจากนิ้วโป้งที่ถูกฟันคมๆ ของหมิงชุนสุ่ยกัด แต่กระนั้นเข้าตัวกลับไม่พยายามดึงนิ้วของตนออกหากแต่ใบหน้าของชายหนุ่มกลับก้มลงไปประชิดกับซอกคอขาวที่เต็มไปด้วยรอยสีกุหลาบก่อนจะอ้าปากกัดลงไปอย่างแรงจนเลือดซึ่มออกมา

“โอ้ย!!! เจ็บ!! ปล่อยนะ!!!”

หมิงชุนสุ่ยร้องโว้ยขึ้นมามือที่ว่างยกขึ้นพยายามดันใบหน้าและร่างของคุณชายโอวหยางออกไปให้ห่างๆ ตัวก่อนที่ใบหน้าของเขาจะถูกมือที่เปื้อนเลือดจับล็อคใบหน้าเอาไว้ พร้อมกับร่างสูงที่ดันตัวลุกขึ้นมองสบนัยน์ตาสีเปลือกไม้

“จงอย่าได้ใจไปนักเจียวสุ่ย ข้าถูกใจเจ้าก็จริง แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะสามารถทำอะไรก็ได้ เข้าใจไหมเด็กดี”มือที่จับล็อคใบหน้าของหมิงชุนสุ่ยเกลี่ยป้ายคราบเลือดลงที่ข้างแก้มก่อนที่จะผละออกไปพร้อมกับร่างสูงของโอวหยางเฉียนฮุยที่ลุกออกจากเตียงไปสวมเสื้อผ้าก่อนจะเดินออกจากห้องไป

“กรอด…”หมิงชุนสุ่ยกัดฟันมองตาขวางตามร่างสูงที่เดินออกจากห้องไปด้วยความหงุดหงิด มือบางยกขึ้นจับบริเวณที่โดนกัดก่อนจะพบว่ามีเลือดเปื้อนติดมือออกมาด้วย เขาจะค่อยๆพยุงร่างที่บอบช้ำของตนเองลุกขึ้นนั่งแล้วเขี่ยเอาเสื้อคลุมที่ตกอยู่ข้างเตียงขึ้นมาส่วมปิดบังร่างกายที่เปลือยเปล่าของตนเอาไว้

“ซี้ดด…นายโลมคนก่อนๆที่รับรองคุณชายหมาบ้านั้นก็โดนกัดแบบนี้ทุกคนไหมเนี่ย”หมิงชุนสุ่ยสบถออกมาขณะพยายามสวมเสื้อผ้าแม้บางคราตัวผ้าจะไปเสียดสีกับรอยขบกัดจนแสบจี้ดขึ้นมาก็ตาม แต่นั่นก็ไม่หนักเท่าส่วนล่างที่ทั้งเจ็บทั้งระบมจนแทบนั่งไม่ไหวเขาเลยต้องมากึ่งนั่งกึ่งนอนสวมเสื้อผ้าอยู่บนเตียงเช่นนี้

ทันทีที่สวมเสื้อผ้าเสร็จพนักงานในหอก็เดินเข้ามาในห้องเพื่อเก็บกวาดและทำความสะอาดห้องรับรองนี้เพื่อเตรียมสำหรับรองรองแขกในคืนถัดไป แต่นอกจากพนักงานของหอแล้วผู้ที่เดินเข้ามาในห้องนี้ด้วยก็คือเถ้าแก่ของหอที่เดินแย้มยิ้มบางตรงมาหาเขาที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

“ถือว่าเมื่อคืนนี้เจ้าทำงานรับรองได้ดีมากๆ ข้าชื่นชม มีไม่บ่อยนักที่คุณชายโอวหยางผู้นั้นจะกลับออกไปด้วยใบหน้าพึงพอใจ”

“แน่ละ กัดข้าจนสภาพยับเยิ่นเพียงนี้หากไม่พอใจก็คงเหลือแต่เอามีดมาแทงข้าเล่นแล้วล่ะ”หมิงชุนสุ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“เพราะเจ้าทำงานได้ดี ข้าจะให้เจ้าหยุดงานสักสามวันเป็นการตอบแทนแล้วกันนะ”

“ลองท่านไม่ให้ข้าหยุดงานสิ ข้าจะไปร้องเรียน”

“หึหึหึ ขี้บ่นจริงดังที่เขาว่ากัน เด็กพาคุณชายเจียวสุ่ยไปพักที่ห้องไปแล้วก็ให้คนเอายาไปให้เขาด้วยเล่า”หลิวไค่กล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพียงไม่นานก็มีพนักงานของหอสองคนเดินมาช่วยพยุงเขากลับไปพักที่ห้องของตนเอง

ทันทีที่กลับถึงห้องพักหมิงชุนสุ่ยก็ไม่คิดที่จะสนใจอะไรแล้ว เขาคว้าเอายาที่คนงานของหอเอามาให้มาทาไปตามรอยกัดบนตัว รวมไปถึงในจุดซ่อนเร้นต่างๆก่อนที่ชายหนุ่มจะโยนขวดยาทิ้งไว้บนโต๊ะและพาเอาร่างที่บอบช้ำของตนไปยังเตียงนอน ทันทีที่หัวถึงหมอนราวเปลวไฟที่ขาดเชื้อเพลิงหมิงชุนสุ่ยหลับไปแทบจะทันทีด้วยความเหนื่อยและและความอ่อนเพลียที่สะสมมาตลอดทั้งคืน และหวังว่าตนจะไม่เป็นไข้หรือติดเชื้อพิษสุนัขบ้าจากคุณชายผู้นั้น










แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 12838 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-9-20 22:23
โพสต์ 12,838 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ผีผา  โพสต์ 2025-9-20 22:23
โพสต์ 12,838 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-9-20 22:23
โพสต์ 12,838 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-9-20 22:23
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกถังเจียน
ผีผา
พัดคุณชาย
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x10
x1
x2
x2
x2
x2
x2
x1
x1
x10
x10
x30
x4
x10
x27

7

กระทู้

79

ตอบกลับ

4204

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
3759
ตำลึงทอง
125
ตำลึงเงิน
660
เหรียญอู่จู
12577
STR
4+2
INT
4+0
LUK
10+7
POW
3+0
CHA
9+0
VIT
5+5
คุณธรรม
365
ความชั่ว
0
ความโหด
182
โพสต์ 2025-9-21 22:45:52 | ดูโพสต์ทั้งหมด
คนดูแล

        และแล้วสิ่งที่หมิงชุนสุ่ยกลัวก็เกิดขึ้น หลังจากที่เขากลับมานอนพักที่ห้องตลอดทั้งวันก่อนจะตื่นมาในช่วงหัวค่ำที่พี่โอวหย๋ายกเอาอาหารมาให้ก็พบว่าร่างกายของเขามันหนักอึ้ง หัวก็หนักจนแทบยกไม่ขึ้นหายใจออกมาก็มีแต่ไอร้อน แถมคอก็เจ็บ นี่มันแย่สุดๆ


        “แค่กๆ”


        “ไหวไหม ให้ข้าบอกคนไปตามหมอที่โรงหมอให้เจ้าดีไหมเจียวสุ่ย”พี่โอวหย๋าถามขึ้นมาพร้อมกับวางมือลงบนหน้าผากของชายหนุ่มเพื่อวัดอุณหภูมิ


        “แค่กๆ ไม่ต้องหรอก แค่กๆ พี่โอวหย๋า กินข้าวกินยานอนพักก็คงจะดีขึ้น”หมิงชุนสุ่ยกล่าวเสียงแหบแห้งพลางตักข้าวต้มในถ้วยกิน ความอุ่นร้อนของข้าวต้มช่วยให้อาการเจ็บของของเขาดีขึ้นเล็กน้อย แต่ไข้ก็ยังมิได้ลดลงกลับกันเหมือนว่าไข้จะยิ่งสูงขึ้นด้วยจากอาการอักเสบของแผลทั่วร่างที่ไอ้คุณชายโอวหยางนั่นฝากไว้


        “พี่โอหย๋า ข้าถามหน่อยสิ ไอ้คุณชายโอวหยางอะไรนั่นเวลามาใช้บริการที่หอเนี่ย พวกนางโลมนายโลมสภาพยับเยิ่นแบบนีทุกครั้งไหม”


        “ก็มีบ้างแต่ไม่หนักเท่าเจ้า คุณชายนั่นคงถูกใจเจ้าน่าดู”โอวหย๋ากล่าวยิ้มๆแกมหยอกล้อรุ่นน้องบ่นเตียง


        “ถูกใจอะไร เกลียดละสิไม่ว่าถึงรุนแรงเช่นนี้ แค่กๆ..ถ้าไม่บอกว่าทำงานอยู่หอโคมแดง คนคงนึกว่าข้าไปฟัดกับหมามา”เขาตักข้าวต้มคำสุดท้ายเข้าปากก่อนที่จะวางถ้วนข้าวลงบนถาดไม้แล้วขยับตัวอย่างลำบากไปยังโต๊ะข้างเตียงเพื่อเอายาแก้อักเสบและยาลดไข้ที่หญิงสาวรุ่นพี่นำมาให้มาทาน


        “ข้าพูดจริงๆนะ ถ้าคุณชายเขาไม่ถูกใจเจ้าคงไม่ให้เงินพิเศษเจ้าถึงยี่สิบตำลึงทองหรอกนะ”


        “ยี่สิบตำลึงทอง นอนกับแขกธรรมดาแค่สองวันเองพี่โอวหย๋า”


        “แต่สำหรับนายโลมมือใหม่ที่ทำงานได้เพียงสองวันเช่นเจ้า เท่านี้ก็ถือว่ามากแล้ว อย่าบ่นไป เอ้า กินยาแล้วก็นอนพักเสียจักได้หายไวๆ”ไม่ว่าเปล่าหญิงสาวดันร่างของชายหนุ่มให้นอนลงบนเตียงก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของรุ่นน้องเอาไว้


        “ขอรับๆ”หมิงชุนสุ่ยยิ้มให้กับหญิงสาวแล้วจึงปิดเปลือกตาของตนเองลง ด้วยอาการไข้สูงทำให้และฤทธิ์ของยาทำให้ไม่นานชายหนุ่มหลับไปอย่างรวดเร็วทั้งยังหลับลึกมากเสียจนน่าตกใจกว่าที่เขาจะรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งก็เวลาก็เดินทางเข้าสู่เช้าวันใหม่เสียแล้ว


     วันหยุดวันแรกที่ได้รับมาหมดไปกับการนอนพัก แล้วดูท่าในวันที่สองนี้ก็คงไม่ต่างกันมากนัก จะดีหน่อยตรงที่อาการปวดระบมเริ่มดีขึ้นแม้ว่าเวลาลุกนั่งหรือเดินจะยังมีอาการปวดขัดที่สะโพกบ้างก็ตาม ส่วนไข้ก็ลดลงไปเยอะแล้วแม้จะยังมีอาการตัวรุมๆอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วถือว่าร่างกายของเขานั้นฟื้นตัวได้ไวมากจริงๆ


     ก๊อก ก๊อก ก๊อก


     “เข้ามาได้เลย”หมิงชุนสุ่ยที่กำลังนั่งทายาบนรอยแผลจากการกัดร้องบอกโดยที่ไม่ได้หันไปสนใจเพราะคิดว่าคงไม่แคล้วเป็นพี่โอวหย๋าหรือไม่ก็พนักงานของหอที่เอาอาหารเช้ากับยาเข้ามาให้ แต่เหมือนว่าคราวนี้เขาจะคาดเดาผิดไปเล็กน้อยเมื่อคนที่ก้าวเข้ามาในห้องกลับกลายเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาเสียอย่างนั้น


      “อ่ะ…เจียวจ้าน เจ้ามาได้ไง”หมิงชุนสุ่ยเบิกตากล้ามองผู้ติดตามที่จู่ๆก็มาโผล่ที่ห้องพักของตน แต่ยังไม่ทันได้ถามสิ่งใดชายหนุ่มก็วิ่งเข้ามากอดขาตนเอาไว้ก่อนจะร้องไห้ออกมาเสียอย่างนั้น


      “ฮึก..คุณชายยย ข้าหาท่านเจอแล้วคุณชายยย ฮื่ออออ…”


      “จะ…เจียวจ้าน เจ้าร้องทำไมเนี่ย เงียบ เงียบเลย เจ้าปล่อยขาข้าก่อน อะโอ้ย โอ้ย!”เขาร้องออกมาเมื่อเจียวจ้านวิ่งเข้ามาโถมร่างใส่จนเขาที่นั่งอยู่ล้มหงายท้องลงไปกับพื้นทับแผลที่หลังและสะโพกที่ยังไม่หายดีจนปวดแปล๊บขึ้นมา


    “อ่ะ..คุณชายท่านเป็นอะไร บาดเจ็บหรือ ใครทำท่าน ไม่นะฮือออ…”


       “เงียบก่อนได้ไหม แล้วก็ลุกออกไปด้วยเจ้าทับแผลข้าเนี่ย หุบปาก!”หมิงชุนสุ่ยร้องโวยขึ้นมาจนเจียวจ้านยอมขยับถอยออกไปโดยไม่ลืมที่จะเข้ามาช่วยพยุงผู้เป็นนายให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียง


    “ร้องโวยวายอะไรนัก ข้ายังไม่ตายสักหน่อย”เขาเอ่ยออกไปพลางยกแขนขึ้นก่อนอกมองผู็ติดตามของตัวนิ่ง “ว่าแต่เจ้าเถอะหาข้าเจอได้ไง”


    “ก็พอคุณชายบอกนายท่านนายหญิงว่าจะไปขายตัว ข้าก็ตะเวนตามหาท่านที่หอโคมแดงไปทั่วจนมาถามเอากับคนงานที่หอนี้พร้อมกับอธิบายรูปลักษณ์ของท่านให้ฟัง จนสุดท้ายก็รู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ ข้าเลยไปขอเถ้าแก่ของหอว่าขอมาทำงานรับใช้คุณชายที่นี่ขอรับ”


     “เห้อ…เจ้านี่นะ ช่างเถอะไหนก็มาแล้วจะไล่ไปเจ้าก็คงไม่ไปใช่ไหม”หมิงชุนสุ่ยเกาหัวตนเองจนผมยุ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา


    “ขอรับ”


     “ถ้าเถ้าแก่ไม่ว่าอะไรเจ้าก็อยู่ช่วยดูแลข้าแล้วกัน”เขาบอกออกมาอย่างปลดปลงก่อนจะขยับตัวนั่งหันหลังแล้วถอดเสื้อออก


     “คะ..คุณชายจะทำอะไรขอรับ ถอดเสื้อทำไม”เจียวจ้านร้องออกมาพร้อมกับรีบยกมือขึ้นปิดตาตนเองอย่างเขินอาย


    “ก็เจ้าจะมาอยู่ช่วยดูแลข้าไม่ใช่ งั้นเริ่มจากช่วยข้าทายาที่หลัง แล้วเจ้าปิดตาหาอะไรไม่ทราบ”


    “ก็…ก็…ข้า..”
    “เด็กๆก็แก้ผ้าโดดน้ำมาด้วยกันจะมาเขินอายอันใด เร็วๆ เมื่อกี้ที่ล้มลงไปหลังข้าอักเสบเพิ่มรึเปล่าก็ไม่รู้รีบทายา”หมิงชุนสุ่ยบอกพร้อมกับหันหลังให้คนติดตามของตนพร้อมกับรวบผมยาวๆของตนมาไว้ด้านหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายทายาได้สะดวก


      “ขอรับ แต่ว่าคุณชายข้าถามอะไรสักอย่างได้ไหมขอรับ”


      "อะไร"


      "คุณชายมีรสนิยมเช่นนี้หรือขอรับ"เจียวจ้านเอ่ยถามผู้เป็นนายพลางทอดสายตามองรอยฟันมากมายบนแผ่นหลังของผู้เป็นนาย

      "เจียวจ้าน ไอ้ลูกหมานี่!!!"

     "ขออภัย คุณชาย คุณชายอย่าตีข้า!!!"





แสดงความคิดเห็น

ดี: 4.0
ดี: 4
  โพสต์ 2025-9-23 21:32
โพสต์ 15983 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-9-21 22:45
โพสต์ 15,983 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ผีผา  โพสต์ 2025-9-21 22:45
โพสต์ 15,983 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-9-21 22:45
โพสต์ 15,983 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-9-21 22:45
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกถังเจียน
ผีผา
พัดคุณชาย
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x10
x1
x2
x2
x2
x2
x2
x1
x1
x10
x10
x30
x4
x10
x27
โพสต์ 2025-9-24 02:35:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 23 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามไห้ เวลา 21.00 - 23.00 น.
╰┈➤ พบเจอเถียนเฟิง

ยามดึกแห่งฉางอัน เมฆหมอกบางลอยอ้อยอิ่งเหนือแสงไฟนับพันที่ส่องสว่างระยิบระยับ ราวดวงดาวร่วงลงมาประดับพื้นดิน หอว่านหงเหรินในคืนนี้คึกคักไม่ต่างจากทุกค่ำคืน เสียงขับร้องดนตรีผสานกับเสียงหัวร่อของเหล่าลูกค้าที่เข้ามาหาความสำราญ ด้านนอกโถงใหญ่นั้นวุ่นวาย ครึกครื้น แต่ชั้นบนห้องรับรองส่วนตัวกลับสงบเยือกเย็น ราวโลกอีกใบหนึ่ง

เถียนเฟิงต้าซือคงผู้เปี่ยมอำนาจแห่งต้าฮั่น ก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามเฉกเช่นทุกครั้งที่ปรากฏตัวในสาธารณะ แม้ชุดขุนนางถูกแทนที่ด้วยอาภรณ์เรียบหรูสำหรับงานราตรี ทว่ากลิ่นอายของผู้มีอำนาจกลับไม่เจือจางไปเลยแม้แต่น้อย สายตาคมของเขากวาดไปรอบห้อง ก่อนจะหยุดนิ่งที่ร่างระหงของบุรุษงดงามเพียงผู้เดียวที่เขามารอคอย

เสวี่ยซีในชุดผ้าไหมสีอ่อน บางเบาราวหมอกจันทร์ ยืนอยู่ข้างโต๊ะเตี้ยที่ประดับด้วยแจกันหยกใส เขางามสงัดจนแม้แต่แสงตะเกียงยังดูหม่นลงเมื่อได้สะท้อนเงาร่างนั้น ผิวขาวผ่องเนียนราวหิมะ นัยน์ตาสีอำพันเจือแสงวาวไหวดั่งอำพันต้องแสงเทียน เส้นผมดำยาวถูกรวบอย่างหลวม ๆ ทิ้งปอยลงข้างแก้มเล็กน้อย ทำให้โฉมหน้ายิ่งงดงามเกินต้านทาน

“ท่านต้าซือคง” เสียงหวานละมุนเอื้อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มจาง ร่างบอบบางโค้งกายต้อนรับอย่างนอบน้อม แต่ในแววตากลับมีความอุ่นที่ยากจะปิดบัง

เถียนเฟิงก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาคมทอดมองไม่วางตา “คืนนี้ ข้ามาเพียงเพื่อเจ้า มิได้อยากฟังดนตรีหรือเห็นโฉมงามใดทั้งสิ้น” น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความหนักแน่น ทุกคำคล้ายจะตรึงเสวี่ยซีไว้ในห้วงใจ

เสวี่ยซีแก้มแดงระเรื่อ หัวใจพลันสั่นสะท้าน แต่เขายังคงรักษามารยาทของนายโลมชั้นสูง มือเรียวหยิบคนโทสุราหยกขึ้นมาอย่างอ่อนช้อย รินสุราสีอำพันใสลงในถ้วยทองคำ ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ เขาก้มลงยื่นถ้วยนั้นไปตรงหน้าเถียนเฟิง “ชิมสุราคืนนี้เถิด ข้าคัดเลือกด้วยตนเอง”

ปลายนิ้วทั้งสองแตะกันเพียงเล็กน้อยตอนที่เถียนเฟิงรับถ้วย แต่กลับทำให้ร่างสูงใหญ่สะดุ้งเล็กน้อยราวกับถูกไฟลวก เถียนเฟิงจ้องเสวี่ยซีด้วยสายตาที่ลึกซึ้งกว่าที่เคย “มิใช่สุราที่ทำให้ข้าหลงใหล แต่เป็นผู้รินต่างหาก”

เสวี่ยซีเม้มปากแน่น แก้มแดงเข้มขึ้นทันที “พูดเกินไปแล้ว” เขาพยายามหลบสายตา แต่ก็ไม่อาจปิดบังความเขินอายได้ เส้นผมดำเงาที่ปรกแก้มยิ่งทำให้ใบหน้างามเหมือนบุปผาต้องหมอก

เถียนเฟิงดื่มสุราลงเพียงอึกเดียว ก่อนวางถ้วยลงอย่างไม่ใส่ใจ “คืนนี้ อย่าพูดถึงเรื่องงานหรือโลกภายนอกใด ๆ ข้าเพียงอยากให้มีเจ้าที่นี่ อยู่เคียงข้างข้าเท่านั้น”

เสวี่ยซีรับคำเบา ๆ ก่อนจะหยิบจานขนมแป้งหอมมาวางต่อหน้าเขา “ลองชิมขนมที่ข้าเลือกมาเถิด หวานกำลังดี”

เถียนเฟิงกัดขนมเพียงคำ แล้วทอดสายตามองเสวี่ยซีที่คอยรับใช้ด้วยความอ่อนโยน ร่างสูงเอื้อมมือแตะข้อมือบอบบางเบา ๆ “เจ้าช่างรู้ใจข้ายิ่งกว่าผู้ใด”

หัวใจเสวี่ยซีพลันเต้นแรง เขาหลบตาลง ก่อนค่อย ๆ เลื่อนตัวมายืนด้านหลัง ใช้ฝ่ามือนุ่มนวลนวดบ่าและไหล่ของเถียนเฟิงอย่างแผ่วเบา “ท่านเหนื่อยมามาก ข้าขอนวดให้ท่านได้ผ่อนคลายบ้าง”

แรงกดอ่อน ๆ ที่ลงบนบ่าทำให้เถียนเฟิงหลับตาพริ้ม ปล่อยกายตามสัมผัสอันแสนละมุน เสียงหายใจทุ้มต่ำผ่อนคลาย ทว่าหัวใจกลับเร่าร้อนยิ่งนัก “หากมีเจ้าอยู่เช่นนี้ทุกคืน ข้าคงไม่ต้องการสิ่งใดในโลกอีกแล้ว”

คำพูดนั้นราวจะละลายใจ เสวี่ยซีสะดุ้งวูบ มือสั่นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงนวดต่ออย่างตั้งใจ แก้มแดงเรื่อเหมือนผลทับทิมสุก “ข้าเพียงเป็นนายโลมผู้หนึ่งในหอนี้เท่านั้น”

เถียนเฟิงลืมตาขึ้นทันที สายตาคมแทงทะลุ “สำหรับข้า เจ้ามิใช่ ‘เพียงผู้หนึ่ง’ แต่เป็นเพียงคนเดียว”

ความเงียบเข้าปกคลุมห้อง ทว่าหัวใจทั้งสองกลับส่งเสียงดังในอกยิ่งกว่ากลองศึก เสวี่ยซีไม่อาจเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดได้ ราวกับลมหายใจติดขัด จนเขาต้องก้มหน้าไว้ต่ำเพื่อซ่อนความเขินอาย

แสงตะเกียงในห้องไหวราวกำลังเต้นระบำตอบรับความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมา เสียงสายลมด้านนอกหอบเอากลิ่นบุปผาเข้ามาโอบล้อม กลายเป็นบรรยากาศแสนละเมียดละไม

ค่ำคืนนั้น…

ในห้องส่วนตัวของหอว่านหงเหริน โคมไฟแดงถูกยกขึ้นสูง แสงวาบวับไหวท่ามกลางเงาร่างสองสายที่ประสานกันอย่างแนบแน่น ทุกสิ่งเงียบงัน เหลือเพียงเสียงหัวใจที่ดังประสานกันดุจบทกวีแห่งความรักต้องห้ามที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น

ค่าจ้าง: 100 ตำลึงเงิน - 15 EXP (รายวัน)


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2025-9-24 08:58
โพสต์ 13512 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-24 02:35
โพสต์ 13,512 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก พิมพ์นิยม  โพสต์ 2025-9-24 02:35
โพสต์ 13,512 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 คุณธรรม จาก ยาหยกบูรพา  โพสต์ 2025-9-24 02:35
โพสต์ 13,512 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 คุณธรรม +4 ความโหด จาก พู่หยกสลักลายมังกร  โพสต์ 2025-9-24 02:35

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +100 ย่อ เหตุผล
Watcher + 100

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3

2

กระทู้

21

ตอบกลับ

692

เครดิต

คนสร้างตัว

พลังน้ำใจ
617
ตำลึงทอง
1
ตำลึงเงิน
164
เหรียญอู่จู
7977
STR
0+2
INT
0+0
LUK
0+2
POW
0+0
CHA
15+5
VIT
0+0
คุณธรรม
87
ความชั่ว
0
ความโหด
59
โพสต์ 2025-9-25 21:35:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ถนนสายยามค่ำของนครฉางอันยังคงสว่างไสวด้วยโคมไฟแดงนับพันที่ถูกแขวนเรียงรายตั้งแต่หัวถนนไปจนสุดสาย ผู้คนหลากชนชั้นเดินขวักไขว่ทั้งบัณฑิตผู้แต่งชุดยาวสะอาดสะอ้าน พ่อค้าที่หอบหิ้วหีบผ้าใบไม้ กลิ่นหอมของหม้อไฟร้อนและเหล้ารวงข้าวลอยมาแตะปลายจมูก ผสมปนเปกับเสียงหัวเราะเอะอะของนักเลงโต๊ะพนันและเสียงเร่ขายของจากแม่ค้าข้างทาง บรรยากาศอึกทึกครึกโครมเช่นนี้คือหัวใจของเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหล

กลางฝูงชนที่พลุกพล่านนั้น บุรุษร่างสูงใหญ่เดินฝ่าผู้คนไปอย่างไม่เร่งรีบ เขามีผมสีขาวบริสุทธิ์ที่สะดุดตาเพราะสะท้อนกับแสงโคมจนยิ่งโดดเด่นกว่าผู้ใด ขัดแย้งกับผิวเข้มที่ยิ่งทำให้ดูแตกต่างกว่ามวลชนทั่วไป ดวงตาสีเหลืองทองเฉียบคมกวาดมองรอบตัวด้วยแววคล้ายคนที่ไม่ยี่หระสิ่งใด หากแต่ในแววลึกนั้นกลับมีร่องรอยของการครุ่นคิดบางอย่าง

เขาคือ ฉีชิงหลง คุณชายผู้เหลวแหลกแห่งตระกูลฉี ผู้คนเรียกขานเขาเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงทั้งดูแคลนทั้งหยอกเย้า เพราะชื่อเสียงของเขาผูกพันกับเหล้า ผู้หญิง และการใช้ชีวิตไม่เอาไหน ทว่าหากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าใต้ชุดผ้าเรียบง่ายสีอ่อนของเขา แผ่นอกและท่อนแขนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึกฝน เขาอาจเป็นคนที่ใครต่อใครมองว่าเกียจคร้าน แต่ร่างกายที่ฟิตกระชับนั้นกลับบอกเล่าความจริงอีกด้านที่เขาไม่เคยป่าวประกาศ

ในมือข้างหนึ่ง เขาถือไปป์ไม้สลักลวดลายมังกรคาบเพลิง เครื่องคู่กายที่แทบไม่เคยห่าง เขามักสูบมันยามว่างหรือยามที่ต้องการบดบังความคิดของตนเองไม่ให้ใครหยั่งถึง กลิ่นควันอ่อน ๆ ลอยคลุ้งไปตามสายลมเย็นของยามค่ำ ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านเหลือบมองเขาเป็นระยะ บ้างแปลกใจ บ้างก็แอบชำเลืองอย่างสนใจ

ถนนสายใหญ่ทอดตรงสู่เขตบันเทิงของนครหลวง ที่ซึ่งเสียงพิณ เสียงขลุ่ย และเสียงหัวเราะก้องกังวานไปทั่วทุกตรอกซอกซอย ร้านสุราเปิดไฟสว่างจ้า ดึงดูดเหล่าบัณฑิตนักเลงและทหารหนุ่มผู้ห้าวหาญให้เข้าไปดื่มกินอย่างไม่ขาดสาย เด็กหนุ่มเด็กสาวแต่งกายฉูดฉาดร้องเรียกลูกค้าหน้าร้าน จนบางครั้งแทบกลืนเสียงหัวเราะเยาะของหญิงชายที่เพิ่งออกมาจากวงพนัน

ฉีชิงหลงก้าวเดินอย่างไม่เร่งร้อน ท่ามกลางความอึกทึกนั้นเขากลับดูเหมือนเดินอยู่ในโลกอีกใบ เขาไม่ใส่ใจเสียงเรียก ไม่หันมองรอบกายมากนัก แค่พ่นควันจากไปป์ออกมาเป็นระยะราวกับทุกอย่างรอบตัวไม่มีค่าอะไรให้เก็บมาใส่ใจ

แต่ปลายทางของเขาไม่ใช่ร้านเหล้าธรรมดา หากเป็น หอว่านหงเหริน หอฟ้อนรำชื่อกระฉ่อนที่ใครต่อใครต่างใฝ่ฝันจะได้เข้าไปสัมผัสสักครั้ง ที่นั่นไม่เพียงมีนางรำลือชื่อ หากยังเป็นสถานที่รวมผู้คนระดับสูง ตั้งแต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ บัณฑิตผู้มีชื่อเสียง ไปจนถึงพ่อค้าเศรษฐี แม้แต่ทหารยามผู้มีบุญวาสนาก็อาจได้เหยียบย่าง หากเพียงมีเงินตราหรือฝีปากมากพอจะทำให้เจ้าของหอและนางรำคนงามเอ่ยยอมรับ

การจะเดินทางไปยังหอว่านหงเหรินนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดาย หอแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านที่หรูหราที่สุดของนคร ถนนสายที่ทอดไปยังหอนั้นปูด้วยศิลาเรียบแวววาว สองข้างทางปลูกต้นหลิวเรียงราย ใบหลิวพลิ้วไหวในยามลมพัด ยิ่งตอกย้ำบรรยากาศโรแมนติกเย้ายวนใจ ทุกก้าวที่ใกล้เข้าไป ของถนนสายใหญ่ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเสียงดนตรีจากขลุ่ยพิณที่ดังแผ่ว แต่ฟังแล้วกลับกระแทกใจ

ชิงหลงหยุดยืนอยู่หน้าประตูโค้งใหญ่ที่แกะสลักลวดลายมังกรพันเลื้อยกับดอกโบตั๋น ประตูนั้นทาด้วยสีแดงชาดเข้ม ตัดกับโคมกระดาษสีทองที่แขวนเรียงรายตลอดแนวกำแพงสูง ด้านบนปรากฏป้ายไม้ประดับอักษร “หอว่านหงเหริน” เขียนด้วยพู่กันใหญ่ทรงพลัง น้ำหมึกดำขลับขับให้เด่นชัดยิ่งนัก

หน้าประตูมีคนพลุกพล่าน ทั้งบ่าวรับใช้ที่พานายตนมาส่ง ทั้งรถม้าที่เรียงราย บ้างหรูหราประดับลายมุก บ้างก็เป็นเพียงเกวียนธรรมดาแต่ยังกล้าจอดใกล้ ๆ เพื่ออวดว่าตนมีสิทธิ์เหยียบย่างเข้าไปในสถานที่สูงศักดิ์นี้ เสียงหัวเราะของบัณฑิตเมามายปะปนกับเสียงกีบม้าและเสียงเรียกของเด็กรับใช้ ยิ่งทำให้บรรยากาศด้านหน้ายิ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ชิงหลงเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปโดยไม่เหลียวมองสายตาที่จ้องมา หลายคนหันไปซุบซิบถึงบุรุษแปลกตาผู้นี้ บ้างกระซิบว่าเขาคือคุณชายเหลวแหลกแห่งตระกูลฉี บ้างก็มองด้วยความสงสัยว่าคนเช่นเขาจะมีคุณสมบัติอันใดถึงได้กล้าเข้ามายังหอที่ขึ้นชื่อว่าคัดสรรผู้คนเข้มงวดที่สุด แต่ไม่ว่าผู้คนจะคิดเช่นไร ชิงหลงก็ยังคงก้าวเท้าอย่างสงบนิ่ง

เมื่อถึงประตูใหญ่ บ่าวชายผู้สวมชุดสีดำสนิทเข้ามากั้นไว้ เขากวาดตามองชิงหลงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สีหน้าที่เดิมแข็งกร้าวกลับแปรเป็นแววครุ่นคิดยามเห็นผมขาวและดวงตาทองอันเป็นเอกลักษณ์

“ท่าน...จะเข้าไปหรือขอรับ?” บ่าวเอ่ยสุภาพ แต่ยังแฝงความระแวงในน้ำเสียง

ชิงหลงเพียงยกไปป์ขึ้นแตะริมฝีปาก พ่นควันออกมาแผ่วเบา ก่อนเอื้อมมืออีกข้างหยิบหยกขาวสลักตราประจำตระกูลฉีออกมาโชว์เพียงครู่เดียว แสงโคมไฟสะท้อนบนผิวหยกใสกระจ่างจนผู้เฝ้าประตูเบิกตากว้าง รีบก้มหัวต่ำลงทันที

“เชิญคุณชายได้เลยขอรับ” น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นนอบน้อมอย่างไม่กล้าแม้แต่จะสบตาอีกครั้ง

ชิงหลงไม่พูดอะไร เขาเก็บหยกกลับเข้าอกเสื้อแล้วก้าวผ่านประตูเข้าไปทันที

ภายในเขตหอว่านหงเหริน ราวกับเป็นโลกอีกใบที่ตัดขาดจากของถนนด้านนอก สวนหย่อมกว้างใหญ่ประดับด้วยโคมไฟนับร้อย แขวนอยู่ตามต้นซากุระที่กำลังผลิดอกสีชมพูอ่อน ๆ แม้จะเป็นยามค่ำคืน กลีบดอกยังคงปลิวล่องกลางอากาศราวกับหิมะโปรยปราย เสียงน้ำไหลจากลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลผ่านกลางสวนประสานกับเสียงพิณแผ่วไพเราะจากห้องโถงใหญ่ ทำให้ที่นี่เหมือนแดนสวรรค์ที่ตั้งอยู่กลางหลวง

ชิงหลงหยุดยืนชั่วครู่ สูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ที่ลอยมาตามลม ใบหน้าที่เคยนิ่งเรียบคล้ายจะผ่อนคลายลงนิดหน่อย แต่เพียงชั่ววูบเขาก็กลับมามีสีหน้าเย็นชาอีกครั้ง ก้าวเท้าเดินต่อไปสู่โถงใหญ่ของหอ ที่ซึ่งประตูไม้เลื่อนเปิดอ้า ต้อนรับเขาเข้าสู่ค่ำคืนที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของตนเองไปอย่างไม่รู้ตัว…

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 14189 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-9-25 21:35
โพสต์ 14,189 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-9-25 21:35
โพสต์ 14,189 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก น่ารัก  โพสต์ 2025-9-25 21:35
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ขลุ่ย
พัดคุณชาย
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x10
x1
x1
x1
x60
x34
x1
x30
โพสต์ 2025-9-26 21:34:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 26 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามซวี เวลา 19.00 - 21.00 น.
╰┈➤ พบเจอหลี่หยาง


เสียงพิณดังแว่วลอดม่านไหมออกมาเป็นระลอก บรรยากาศหอว่านหงเหรินคึกคักเช่นทุกคืน เสียงหัวร่อของบรรดาลูกค้าผสานเข้ากับกลิ่นสุราและขนมหวานลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ ทว่าภายใต้ความครึกครื้นนั้น กลับมีสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ยังชั้นบน ซึ่งห้องหนึ่งมีแสงโคมสว่างไหวอยู่เบื้องหลังม่านแดง

เสวี่ยซีในอาภรณ์สีอ่อนนั่งอยู่ใกล้โต๊ะเตี้ยเล็ก มือเรียวกำถ้วยสุราไว้หลวม ๆ แววตาสีอำพันหม่นลงอย่างยากจะอธิบาย หลังจากเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น หัวใจของเขาเหมือนถูกกดทับด้วยความไม่มั่นคงและหวาดหวั่น แม้เถียนเฟิงได้ก้าวเข้ามาในชีวิตอย่างมั่นคงขึ้น แต่เงาในอดีตก็ยังคงตามหลอกหลอน

บานประตูไม้เลื่อนเบา ๆ ส่งเสียงครืด เสียงฝีเท้าแผ่วเบาค่อย ๆ ก้าวเข้ามา ก่อนร่างสูงสง่างามผู้หนึ่งจะปรากฏในเงาม่านไฟ หลี่หยางเขาแต่งกายเรียบหรู ทว่าดวงตาคมเข้มกลับเต็มไปด้วยความอ่อนล้า และแฝงแววสำนึกผิดที่ไม่ค่อยได้เห็นจากชายผู้ทะนงตนเช่นนี้มาก่อน เสียงทุ้มที่มักแข็งกร้าวกลับอ่อนลงราวกับแค่ลมกระซิบ

“ซีเอ๋อร์”

เสียงนั้นเพียงคำเดียวก็ทำให้หัวใจเสวี่ยซีสะท้าน เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีอำพันสั่นไหว ทว่าก็รีบหันหลบไปทางอื่น มือที่ถือถ้วยสุรากระชับแน่นขึ้นเหมือนเพื่อหาที่พึ่ง

“ท่าน…มาที่นี่ทำไม” น้ำเสียงของเสวี่ยซีราบเรียบ แต่แฝงความเหน็ดเหนื่อยราวไม่อยากต่อกร

หลี่หยางยืนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว แสงไฟสาดเงาให้เห็นใบหน้าคมที่ดูอ่อนลงกว่าทุกที ไม่มีแววเย่อหยิ่ง แต่กลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่นใจ “ข้ามาเพื่อเจ้า…เพื่อขอโทษ ข้ารู้ว่าข้าทำผิดไปมาก ซีเอ๋อร์”

คำเรียกนั้นชวนให้บรรยากาศในห้องแน่นขนัดขึ้น เสวี่ยซีหลับตาลง สูดลมหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “ท่านไม่ควรเอ่ยคำนั้นอีกแล้ว”

“แต่เจ้าก็ยังเป็นซีเอ๋อร์ของข้า” หลี่หยางตอบทันควัน แววตาเขาเต็มไปด้วยความดื้อดึงปนกับความเจ็บปวด “ข้ารู้ว่าข้าพูดไม่ได้อ่อนหวานเช่นผู้อื่น รู้ว่าข้าทำเจ้าต้องร้องไห้ แต่หัวใจข้ามันยังยึดติดอยู่กับเจ้าไม่เปลี่ยน”

เสวี่ยซีสะอื้นในใจ เขาเงยหน้าขึ้นสบสายตานั้นอย่างกล้าหาญ ดวงตาสีอำพันสะท้อนทั้งความปวดร้าวและความกรุ่นโกรธที่ยังคงเหลือ “ท่านเพียงพูดตอนที่อยากได้ พอถึงเวลาสำคัญกลับทอดทิ้งข้า ทำให้ข้าต้องเผชิญสิ่งต่าง ๆ เพียงลำพัง”

หลี่หยางขยับเข้ามาอีกจนระยะห่างเหลือเพียงก้าวเดียว เขายกมือขึ้นคล้ายอยากแตะไหล่บาง แต่ก็ชะงักกลางอากาศ ดวงตานั้นวูบไหว “ครั้งนั้นข้าโง่เอง ข้าเลือกผิด ข้าไม่ควรปล่อยมือเจ้าไป”

คำพูดนั้นราวกับคมมีดกรีดลงกลางหัวใจ เสวี่ยซีหายใจติดขัดไปชั่วขณะ เขาไม่อยากให้ใครเห็นร่องรอยน้ำตาที่กำลังคลอ เขาจึงเบือนหน้าหนีไปทางประตู “ที่นี่ไม่ใช่ที่คุยเรื่องพรรค์นี้ ท่านตามข้ามาเช่นนั้นเราควรไปคุยกันข้างนอก”

เสียงเขานุ่ม แต่หนักแน่นพอที่จะทำให้หลี่หยางชะงักไปชั่วครู่ ก่อนพยักหน้ารับ “ได้ถ้าเจ้าไม่ผลักข้าออกไปเสียก่อน”

เสวี่ยซีลุกขึ้นยืน ร่างผอมบางงดงามในอาภรณ์ไหมพริ้วบาง แสงโคมสาดต้องผิวขาวดุจหิมะยิ่งทำให้ดวงหน้าดูเปราะบาง เขาเดินนำไปยังประตูโดยไม่หันกลับ ด้านหลังมีหลี่หยางเดินตามเงียบ ๆ ทุกฝีก้าวที่ใกล้ประตูนั้น เต็มไปด้วยความรู้สึกถาโถม ทั้งความเจ็บปวด ความโกรธ และความหวังที่ยังไม่สิ้นไป

บรรยากาศห้องส่วนตัวที่เมื่อครู่เคร่งเครียด เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นสุราเจือขมปนหวาน ลอยค้างอยู่เป็นร่องรอยของการเผชิญหน้าที่เพิ่งจบลง แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองเพิ่งจะเริ่มต้นอีกบทเท่านั้น

ใต้แสงจันทร์ที่ทาบทออยู่เหนือกำแพงเมือง เสียงจอแจของผู้คนในหอว่านหงเหรินค่อย ๆ เลือนหายไปเมื่อเสวี่ยซีก้าวออกมายืนท่ามกลางลานหินเย็น เสียงรองเท้าปะทะพื้นก้าวตามมาอย่างไม่ห่างคือหลี่หยาง ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยเป็นทุกสิ่งในชีวิตเขา—พี่ชาย คนรัก และเพื่อนร่วมทุกข์สุขมานานกว่าสิบปี

เสวี่ยซีสูดลมหายใจลึก หัวใจเขาสั่นระรัวจนแทบเจ็บแน่นอก เขาบอกตัวเองไม่รู้กี่ครั้งว่า "ไม่ควรแล้ว...ไม่ควรอีก" แต่เมื่อหันไปสบสายตาของหลี่หยางที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน แวววาวเหมือนคนไม่เคยทำผิดใด ๆ ความแน่วแน่ที่พยายามสร้างมากลับสั่นคลอนเหมือนเถาวัลย์บางที่พร้อมจะขาดทุกเมื่อ

"ซีเอ๋อร์..." เสียงนั้นเอ่ยเรียกอ่อนโยน จนทำให้เสวี่ยซีเผลอใจสั่นไปอีกครั้ง คำนี้...เขาได้ยินมานับพันนับหมื่นครั้งตลอดสิบปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เหนื่อย ทุกครั้งที่เจ็บปวด ทุกครั้งที่อบอุ่น คำเรียกนี้เคยเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเขาเอาไว้กับโลกใบนี้

"เจ้าจะไม่ให้โอกาสข้าสักครั้งจริง ๆ หรือ?" หลี่หยางเอื้อมมือมาแตะหลังมือเขาเบา ๆ ราวกับเกรงว่าความอบอุ่นนั้นจะทำให้คนตรงหน้าสลายหายไป

เสวี่ยซีสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าขาวนวลคล้ายจะซีด แต่หัวใจกลับร้อนวูบ ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาไม่หยุดตั้งแต่วันที่เขายังเป็นเด็กชายวัยสิบห้า ตัวเล็กอ่อนแอ ถูกทอดทิ้งและไร้ที่พึ่งพา มีเพียงหลี่หยางที่ยื่นมือเข้ามา โอบอุ้ม ให้ที่พักพิงและให้คำมั่นว่าชีวิตนี้จะไม่ปล่อยเขาลำพัง

สิบปี...ช่วงเวลาอันยาวนานที่ไม่มีใครลบเลือนออกไปได้ง่าย ๆ

“ข้า...” เสวี่ยซีเม้มริมฝีปาก นัยน์ตาสีอำพันไหวระริกอย่างเจ็บปวด "ข้าควรลืมทุกสิ่งที่ผ่านมานั้นเสียแล้ว...ควรลืมเจ้า...แต่หัวใจข้ามันช่างดื้อด้านยิ่งนัก"

หลี่หยางยิ้มมุมปาก คล้ายคนที่รู้อยู่แล้วว่าจะทำให้เขาหวั่นไหวได้ "ซีเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่...ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ข้าเองก็มิได้เคยคิดจะละทิ้งเจ้าอย่างแท้จริง ทุกสิ่งที่ข้าทำ—ก็เพราะอยากให้เจ้ามีชีวิตที่ดีกว่าเดิม"

ถ้อยคำนั้นราวกับพิษร้ายที่เคลือบด้วยน้ำผึ้ง เสวี่ยซีรู้แก่ใจดีว่าไม่ควรเชื่อ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเผลอใจไปชั่วครู่ เขากัดริมฝีปากแน่น มองคนตรงหน้าที่ยังคงส่งแววตาอ่อนโยนเข้ามาเหมือนครั้งอดีต

เถียนเฟิง...ภาพชายผู้มอบแหวนหยกให้เขาผุดขึ้นในห้วงความคิด แต่ก็ถูกกลบอย่างรวดเร็วด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหลี่หยางที่เคยเป็นเสียงคุ้นเคยในทุกค่ำคืนสิบปีนั้น

เสวี่ยซีหนักใจราวกับถูกก้อนหินกดทับอก รู้ว่าตนกำลังโง่เขลา แต่ก็ไม่อาจตัดใจหักหาญได้ในทันที

...และในยามนั้นเอง เหมือนเขาลืมเถียนเฟิงไปโดยสิ้นเชิง เหลือเพียงความทรงจำกับหลี่หยางที่ยังคงพันธนาการหัวใจเขาไว้อย่างแน่นหนา

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 19071 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-26 21:34
โพสต์ 19,071 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2025-9-26 21:34
โพสต์ 19,071 ไบต์และได้รับ +5 EXP +4 คุณธรรม +4 ความโหด จาก แหวนหยกสลักนาม   โพสต์ 2025-9-26 21:34
โพสต์ 19,071 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 คุณธรรม จาก ยาหยกบูรพา  โพสต์ 2025-9-26 21:34
โพสต์ 19,071 ไบต์และได้รับ +6 EXP +6 คุณธรรม +6 ความโหด จาก พู่หยกสลักลายมังกร  โพสต์ 2025-9-26 21:34
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3
โพสต์ 2025-9-27 11:30:22 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 27 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามซวี เวลา 19.00 - 20.00 น.
╰┈➤ พบเจอเว่ยชิง

ค่ำคืนนี้ แสงจันทร์สาดกระจ่างเหนือเมืองฉางอัน ถนนทุกสายที่ทอดสู่ย่านหอรื่นรมย์ต่างคึกคักเป็นพิเศษ แต่ไม่ว่าจะเป็นหอใดก็ไม่มีแห่งใดจะครึกโครมเทียบได้กับ หอว่านหงเหริน ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางย่าน โคมไฟสีชาดและทองนับร้อยนับพันแขวนเรียงรายตั้งแต่ประตูหน้าจนถึงโถงใน เปล่งประกายอบอุ่นจับตา ราวกับแสงดาวถูกเชื้อเชิญมาสถิตอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้โดยเฉพาะ

แขกเหรื่อจากทั่วสารทิศ ทั้งพ่อค้า คหบดีผู้มั่งคั่ง ตลอดจนขุนนางผู้มีอำนาจต่างพากันหลั่งไหลเข้ามา บางกลุ่มแต่งกายด้วยผ้าไหมหรูหราลายทอง บางกลุ่มสวมชุดยาวสีน้ำเงินเข้มประดับขอบหยก ก้าวย่างมั่นคงสะท้อนถึงอำนาจและบารมี เสียงสนทนาขับเคลื่อนประหนึ่งคลื่นทะเลที่ถาโถมอยู่ในโถงรับรอง ทุกคนต่างเฝ้ารอการแสดงพิเศษในคืนนี้การร่ายรำของบุรุษผู้เลื่องลือว่างามยิ่งกว่าสตรีใดในฉางอัน

ห้องโถงใหญ่ภายในหอถูกประดับอย่างวิจิตร บนเพดานมีโคมระย้าทรงดอกโบตั๋นแกะสลักจากไม้หอม ห้อยด้วยพู่ไหมสีแดงสดพริ้วไหวไปตามลมเบา กลิ่นธูปหอมจันทน์อบอวลคลุ้ง ชวนให้ใจสงบ ขับกล่อมบรรยากาศให้เต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์

ท่ามกลางความอลังการนั้น ห้องแต่งตัวด้านหลังม่าน กลับเงียบสงบกว่ามาก ที่นั่น เสวี่ยซีกำลังนั่งอยู่เบื้องหน้ากระจกทองเหลืองขัดเงา แสงตะเกียงนวลส่องต้องใบหน้าของเขา เผยให้เห็นผิวขาวผ่องราวหยก ดวงตาสีอำพันทอดมองเงาตนเองด้วยความสงบ แต่แววลึกในนั้นกลับฉายแววหวั่นไหวเล็กน้อย เพราะคืนนี้คือการแสดงที่สำคัญที่สุดที่เขาเคยมี

เบื้องข้างมีสาวใช้และพี่เลี้ยงประจำหอช่วยจัดแต่งผมยาวสีดำสนิทของเขา เกล้าขึ้นอย่างประณีตประดับปิ่นเงินเล็กน้อยให้ดูงดงามสมบูรณ์แบบ แสงเงาทอดลงบนลำคอบอบบาง เสวี่ยซีหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ พยายามข่มความกังวลในใจ เขารู้ดีว่านับตั้งแต่ก้าวเท้าออกไปสู่เวที ทุกสายตาจะจับจ้องที่เขาเพียงผู้เดียว

เสียงฝีเท้าดังแว่วจากโถงใหญ่ ไกล ๆ คล้ายสัญญาณเตือนว่าเวลาใกล้มาถึงแล้ว บรรดานักดนตรีกำลังเตรียมเครื่องดนตรีโบราณ พิณเจ็ดสาย กลองหนัง ขลุ่ยไม้ไผ่ พร้อมบรรเลงกลอนขับขานที่ร้อยเรียงมาเป็นพิเศษสำหรับคืนนี้ ทุกอย่างบ่งบอกว่าไม่ใช่เพียงการแสดงธรรมดา แต่คือศิลปะแห่งราตรีที่จะถูกจดจำ

เสวี่ยซีหลับตาลงชั่วครู่ ความทรงจำเรื่องคำมั่นของตนผุดขึ้นเขาเคยบอกไว้เสมอว่า "ตราบใดที่ยังยืนอยู่บนเวที จะทุ่มเททั้งกายใจให้ผู้ชมไม่อาจลืม" และคืนนี้ เขาจะต้องทำให้มันเป็นจริง

ลมค่ำพัดผ่านเฉลียงด้านหลังม่าน เสียงซอจากนักดนตรีเริ่มขับเคลื่อนเป็นทำนองเบา ๆ ราวกับเตรียมใจผู้คนให้เข้าสู่โลกแห่งศิลป์ ทว่าเสวี่ยซียังไม่ได้ก้าวออกไป เขาเดินเลียบไปยังระเบียงเงียบ เพื่อหายใจลึก ๆ คลายความตึงเครียดก่อนเวลาสำคัญ

เงาร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมเงียบสงัด จ้งชิงเขาสวมอาภรณ์ธรรมดา ไม่เด่นสะดุดท่ามกลางเหล่าแขกผู้มั่งคั่ง แต่สายตาคมสงบของเขากลับตรึงความสนใจได้ในทันที ราวกับตั้งใจมารออยู่แล้ว

“ซีซี” เสียงทุ้มเรียบเอ่ยขึ้น เสวี่ยซีชะงักก้าว ดวงตาสีอำพันสะท้อนแสงตะเกียง เขายกมือประสานคารวะเบา ๆ

“ท่านจ้งชิง ท่านก็มาด้วยหรือ” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนปนประหลาดใจ

จ้งชิงยกยิ้มบาง ไม่ใช่ยิ้มอวดอ้างแต่เป็นรอยยิ้มที่มั่นคง “ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานาน จนไม่อาจทนอยู่ห่างอีกต่อไป คืนนี้จึงตั้งใจมาชมด้วยตาตนเอง… ข้าหวังว่าเจ้าจะทำให้ข่าวลือเหล่านั้นเป็นจริง”

คำพูดนั้นแฝงแรงกดดัน แต่ก็ไม่ใช่การท้าทาย หากเป็นการผลักดันให้เสวี่ยซีเผยศักยภาพที่แท้จริง

เสวี่ยซีลดดวงตาลงเล็กน้อย ริมฝีปากโค้งยิ้มอ่อน เขาเอ่ยเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยความจริงใจ “ขอบคุณท่านที่ให้เกียรติมา ข้าจะทำให้ท่านไม่ผิดหวัง”

ลมเย็นพัดชายแขนเสื้อบางพริ้วไหว เงาสองร่างทอดยาวบนระเบียง ดวงตาของจ้งชิงสั่นไหวเพียงชั่ววูบ แต่เขาเพียงพยักหน้าสั้น ๆ “ข้าจะรอชม”

เสียงฆ้องสามครั้งดังขึ้นจากโถงใหญ่ ประกาศว่าการแสดงจะเริ่มต้นในไม่ช้า เสวี่ยซีเงยหน้ามองแสงโคมที่ทอประกาย ราวกับรับพลังใจใหม่อีกครั้ง ก่อนหันกลับไปยังทางเดินเข้าสู่เวที แขกเหรื่อที่พลอดคุยกันพลันเงียบสงบลงราวกับถูกดึงเข้าสู่บรรยากาศใหม่ ผ้าม่านสีชาดค่อย ๆ ถูกเลื่อนขึ้น เผยให้เห็นเวทีไม้แกะสลักลวดลายดอกโบตั๋นซ้อนพฤกษา เสวี่ยซีก้าวออกมาช้า ๆ ทุกก้าวย่างชวนให้ลมหายใจของผู้คนหยุดค้าง

ดนตรีเริ่มบรรเลงเสียงพิณเจ็ดสายทอทำนองอ่อนหวาน คลอด้วยขลุ่ยไม้ไผ่สูงต่ำสลับรับกัน ราวสายลมและธารน้ำโอบกอดกันอย่างอ่อนโยน กลองหนังขับจังหวะเบา ๆ เป็นหัวใจของเสียงเพลง และเหนือสิ่งอื่นใด คือบทกลอนที่ถูกขับขานโดยนักขับร้องผู้มากฝีมือ

“จันทร์ฉายกลางฟ้า ดอกเหมยบานกลางหิมะ
งามหนึ่งเดียว มิอาจหาผู้ใดเทียบเคียง…”


เสียงกวีดังไปพร้อมกับการเริ่มต้นท่วงท่าของเสวี่ยซี แขนเรียวงามค่อย ๆ เหยียดออก ปลายนิ้วพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ปลิดจากกิ่ง ทุกก้าวราวกับน้ำที่ไหลไม่มีสิ้นสุด ชุดร่ายรำอาบแสงโคมกลายเป็นประกายระยิบระยับประดุจหมู่ดาว

แขกผู้คนในโถงใหญ่ตะลึงงัน บ้างเบิกตากว้าง บ้างกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ดวงตาหลายคู่สะท้อนภาพเพียงร่างอรชรที่หมุนตัวกลางเวที บรรยากาศทั้งหอเหมือนถูกพันธนาการด้วยมนตร์เสน่ห์

กลอนยังดำเนินต่อ “ผู้ใดได้พบ ลืมมิได้ชั่วกาล
งามนี้ดุจความฝัน แต่อยู่ตรงหน้าแท้จริง”

เสวี่ยซีร่ายรำไปตามถ้อยคำ ขยับกายอ่อนช้อยแต่มั่นคง เขาหมุนตัวช้า ๆ ชายแขนเสื้อปลิวราวสายหมอก ดวงตาสีอำพันสะท้อนประกายไฟโคม ประหนึ่งดวงดาวหล่นลงมาโลมเลียหัวใจผู้ชม

เสียงขลุ่ยสูงขึ้นทีละน้อย จังหวะกลองหนักแน่นขึ้น เขาเปลี่ยนท่วงท่าเป็นการก้าวย่างอันอ่อนหวานราวผีเสื้อโบยบิน แขกเหรื่อหลายคนเริ่มกระซิบกระซาบ แต่ไม่มีใครละสายตาได้แม้แต่วินาทีเดียว

ที่มุมหนึ่งของหอ จ้งชิงยืนรวมตัวอยู่กับฝูงชนแม้จะมิได้ก้าวไปนั่งโต๊ะด้านหน้า แต่สายตาของเขาจับจ้องไม่ละไปไหน สีหน้าสงบนิ่ง แต่ในแววตาแฝงประกายที่ยากจะปิดบัง

ยามเสียงพิณดังกังวานสูงสุด เสวี่ยซีก็เหยียดแขนออก ก้าวขาเบา ๆ ก่อนหมุนตัวพลิ้วราวสายลมพัด กลีบดอกเหมยแห้งที่โปรยปรายจากเบื้องบนลงมาเป็นการปิดฉาก เขาหยุดนิ่งในท่วงท่าสุดท้ายสง่างาม อ่อนหวาน ราวรูปสลักมีชีวิต

ความเงียบครอบคลุมทั้งหอเป็นอึดใจ ก่อนเสียงปรบมือโห่ร้องชื่นชมจะดังลั่นไปทั่ว แขกผู้ใหญ่หลายคนยกถ้วยสุราขึ้น กล่าวชมเสียงดังว่า “งดงามดุจเทพธิดา!” “สมแล้วที่ร่ำลือ!” บางคนเอ่ยถึงชื่อเขาอย่างเปิดเผย บางคนเพียงสบตากันด้วยความหมายลึกซึ้ง

เสียงดนตรีค่อย ๆ เบาลง ท่วงท่ารำสุดท้ายของเสวี่ยซียังคงค้างอยู่ในอากาศ แขนเรียวปลิวราวสายลม ดวงตาสีอำพันทอดมองไปยังฝูงชนที่แน่นเต็มโถง ทุกสายตาหยุดนิ่ง เงยขึ้นสู่เวทีไม้แกะสลักที่เปล่งประกายด้วยแสงโคมแดงและทอง

แขกเหรื่อแทบทุกคนในหอหันหน้าไปยังเสวี่ยซี ตั้งแต่กลุ่มขุนนางผู้สูงศักดิ์ในชุดผ้าไหมประดับหยก ไปจนถึงพ่อค้าและคหบดีจากแดนไกล ผู้ที่ไม่เคยเห็นการร่ายรำของนายโลมแห่งหอว่านหงเหรินมาก่อน ต่างเบิกตากว้างด้วยความตื่นตา บางคนถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก ไม่อยากให้เสียงของตนขัดขวางความสง่างามนั้น

“งดงามเกินคาด…” เสียงหนึ่งกระซิบข้างหูเพื่อนสนิท
“ราวกับเทพธิดาเดินลงมาจากสรวงสวรรค์” อีกเสียงตอบกลับ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นตา

กลุ่มขุนนางที่นั่งเรียงรายอยู่ทางฝั่งซ้ายของเวที ต่างยื่นมือมาประสานกันราวกับต้องการค้ำประกันความจริงของสิ่งที่เห็น ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความประทับใจ พวกเขาไม่ได้ชมเพียงท่วงท่า แต่จับจ้องทุกอารมณ์ที่เสวี่ยซีถ่ายทอดออกมาความอ่อนช้อย ความสง่างาม และความอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้มเพียงเบา ๆ

เด็กสาวหลายคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง กลั้นหายใจด้วยความตื่นเต้น บางคนซุกผ้าเช็ดหน้าแนบอก ขณะที่ชายหนุ่มบางคนเอียงคอมองไม่ละสายตา แม้แต่คนเฒ่าคนแก่ก็พยักหน้าเบา ๆ อย่างพึงพอใจ

เสียงขลุ่ยและพิณสอดประสานในท่วงทำนองสุดท้าย เสวี่ยซีย่อเข่าลงช้า ๆ พลางยืดแขนออกสุดปลายนิ้ว ชายเสื้อและริ้วผ้าไหมปลิวราวกลีบดอกไม้กลางสายลม ทุกการเคลื่อนไหวประหนึ่งหยุดเวลา ผู้ชมทั้งหอเงียบสนิท ราวกับว่าหากมีใครกลืนน้ำลาย เสียงนั้นจะรบกวนความงดงามของฉากนี้

เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นทีละน้อย
“ท่ารำ… ราวกับมีชีวิตจริง ๆ”
“สายตาและรอยยิ้มของเขา… ทำให้ข้าลืมหายใจ”
“ใครเลยจะคิดว่าบุรุษจะงดงามเช่นนี้…”

เสวี่ยซีค่อย ๆ ก้าวลงจากเวที แสงโคมสะท้อนกับริ้วผ้าไหมและเครื่องประดับเงิน ทำให้ทุกย่างก้าวดูประหนึ่งดาวลอยลงมาบนเวทีไม้

แขกเหรื่อทั้งหอพากันปรบมือ โห่ร้องด้วยความตื่นเต้น มีผู้หญิงบางคนถึงกับยกมือขึ้นโบกไหว้ด้วยความยินดี บางกลุ่มขุนนางส่งสายตาแฝงความเคารพและชื่นชม

ท่ามกลางความคึกคักนี้ เสวี่ยซียังคงสงบดวงตาอำพันเปล่งประกายความอ่อนโยนแต่มั่นคง เขาหมุนตัวช้า ๆ มองไปรอบโถง จับทุกสายตาที่จับจ้องเขาอยู่ แต่ละสายตาเหมือนบันทึกทุกท่วงท่าไว้ในใจ

และในฝูงชนมุมหนึ่งจ้งชิง ยืนเงียบแต่มั่นคง สายตาของเขาจับจ้องร่างนั้นไม่ละ จนกระทั่งเสวี่ยซีก้าวลงจากเวทีเต็มตัวแล้ว จ้งชิงเพียงพยักหน้าเบา ๆ อย่างประทับใจ สายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพและชื่นชม แฝงอยู่ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและปรบมือของแขกทั้งหอ


100 ตำลึงเงิน - 15 EXP (รายวัน)


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2025-9-27 13:25
โพสต์ 27687 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-27 11:30
โพสต์ 27,687 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +15 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2025-9-27 11:30
โพสต์ 27,687 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 คุณธรรม +9 ความโหด จาก แหวนหยกสลักนาม   โพสต์ 2025-9-27 11:30
โพสต์ 27,687 ไบต์และได้รับ +6 EXP +6 คุณธรรม จาก ยาหยกบูรพา  โพสต์ 2025-9-27 11:30

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +100 ย่อ เหตุผล
Watcher + 100

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3

7

กระทู้

79

ตอบกลับ

4204

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
3759
ตำลึงทอง
125
ตำลึงเงิน
660
เหรียญอู่จู
12577
STR
4+2
INT
4+0
LUK
10+7
POW
3+0
CHA
9+0
VIT
5+5
คุณธรรม
365
ความชั่ว
0
ความโหด
182
โพสต์ 2025-9-27 23:18:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ยาขวดหนึ่ง

หมิงชุนสุ่ยและเจียวจ้านเดินท่องเที่ยวทั่วทั้งตลาดตลอดทั้งวันจนดวงตะวันลาลับขอบฟ้าชายหนุ่มทั้งสองจึงพากันเดินทางกลับถนนตะวันตกเพื่อกลับไปยังหอว่านหงเหรินที่เปรียบได้ดั่งที่ซุกหัวนอนและที่ทำงาน

“โอ้ว กลับมากันแล้วหรือ เที่ยวเตร่ทั้งวันเลยสิ”พนักงานของหอชายที่ทำหน้าที่ยืนรับลูกค้าของหอร้องทักหมิงชุนสุ่ยและเจียวจ้านที่เดินกลับเข้ามาในหอด้วยท่าทีเป็นมิตร

“ใช่ ได้วันหยุดทั้งทีก็ต้องใช้ให้คุ้ม ข้าซื้อเนื้อย่างจากร้านป้าซ่งที่ตลาดตะวันออกมาด้วย เดี๋ยวให้เจียวจ้านเอาไปไว้ในครัว เสร็จงานแล้วก็เอาไปกินกันนะ”หมิงชุนสุ่ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกห่อเนื้อย่างที่ส่งกลิ่นหอมห่อใหญ่ขึ้นชูให้พนักงานคนอื่นๆเห็น

“จริงรึ ร้านป้าซ่งที่แถวยาวๆนั่นน่ะนะ”

“สุดยอดเลย แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าต้องอร่อยมากแน่ๆ”

“ข้าอดใจรอให้เลิกงานไม่ไหวแล้ว”

เหล่าพนักงานพากันเข้ามามุงห่อเนื้อย่างในมือของหมิงชุนสุ่ยกันด้วยท่าทีตื่นเต้น ดวงตาของทุกคนเป็นประกายราวเด็กได้ขนมหวาน ทำเอาหมิงชุนสุ่ยถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“อย่ามุงสิ ข้าซื้อมาเยอะพอให้พวกเจ้าเอาไปกินแน่ ไปๆแยกย้ายไปทำงานประเดี๋ยวเถ้าแก่ก็เดินมากินหัวหรอก”เขาว่าพร้อมกับโบกมือไล่พวกคนงานให้กลับไปทำงานของตนเองเมื่อการเริ่มมีกลุ่มลูกค้าที่มาพักผ่อนที่หอเริ่มหันมามองด้วยความสนใจ

“เข้าใจแล้วๆ ขอบใจเจ้ามาน้าอาสุ่ย เจ้าไปพักเถอะเดินเที่ยวมาทั้งวันเหนื่อยแย่”

หมิงชุนสุ่ยพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าหอไปโดยหลบไปใช้เส้นทางที่สร้างเอาไว้ให้เฉพาะพนักงานของหอเดินเข้าหอเพื่อที่จะได้ไม่เป็นการรบกวนลูกค้า ชายหนุ่มวานให้เจียวจ้านช่วยเอาเนื้อย่างที่ซื้อมาไปเก็บที่ครัว ส่วนตัวเขาก็ตรงไปยังที่ห้องพักของตนเพื่อพักผ่อน

เพียงแต่ ทันทีที่หมิงชุนสุ่ยก้าวเข้าห้องพักก็พบเข้ากับเถ้าแก่ของหอที่กำลังนั่งคอยอยู๋ก่อนแล้วด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเสียจนเขาอดเสียวสันหลังไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะใช้งานอะไรเขาอีก

“ท่านไร้มารยาทขนาดที่เข้าห้องคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตเลยหรือขอรับ”

“เจ้าผิดแล้วเจียวสุ่ย ข้าเป็นเถ้าแก่จะเข้ามาตรวจตราห้องของคนงานในหอจะเรียกว่าเสียมารยาทได้อย่างไร”คำตอบของหลิวไค่ทำเอาหมิงชุนสุ่ยอดจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิดไม่ได้

“จิ๊ แต่ก็ไม่ใช่ในยามที่เจ้าของห้องไม่อยู่ไหม แล้วสรุปท่านมาทำอะไรในห้องข้ากัน”

“กิริยาเช่นนี้ อย่าไปทำต่อหน้าแขกเชียว”หลิวไคกล่าวเสียงดุ นัยน์ตาสีเข้มองกิริยาที่ชายหนุ่มตรงหน้าทำด้วยแววตาไม่ใคร่พอใจนัก ก่อนจะล้วงหยิบเอาขวดหยกสีขาวขวดเล็กๆขึ้นมาวางบนโต๊ะ

“ไม่ต้องห่วงข้าทำเช่นนี้แค่ต่อหน้าท่านนั้นแหละ”หมิงชุนสุ่ยตอบออกไปแล้วเดินเข้าไปหยิบขวดหยกสีขาวบนโต๊ะขึ้นมาดูด้วยความสนใจ “นี่อะไร”

“เฮ้อ…ข้ามิเคยเจอนายโลมคนใดที่แก่นแก้ว ดื้นดึง เช่นเจ้ามาก่อน”หลิวไค่ส่ายหัวไปมาอย่างปลดปรง “ในมือของเจ้าเป็นยาที่จะช่วยรักษาพวกรอบช้ำกับรอยแผลบนตัวเจ้า ต้องทาทุกสองชั่วยามเข้าใจรึไม่”

“ของดีถ้ามีเยอะจะเป็นของดีได้อย่างไรเล่าเถ้าแก่”หมิงชุนสุ่ยกล่าวพลางหัวเราะพร้อมกับวางขวดยาลงที่โต๊ะข้างเตียงแล้ว "ท่านมีธุระอะไรอีกหรือ สำคัญมากหรือถึงถ่อมารอข้าถึงห้องคงไม่ได้คิดใช้ข้าไปทำงานอะไรแผลงๆอีกหรอกนะ”

“เจ้าอย่ามองข้าในแง่ร้ายนักสิ”หลิวไค่กล่าวแก้ต่างในตนเอง ดวงตาของชายหนุ่มยังคงจับจ้องร่างสูงโปร่งของนายโลมของหอตรงหน้าราวกำลังพิจารณาสินค้า

“อย่ามาใช้สายตาราวกำลังมองผักบนแผงเช่นนั้นมองข้า ข้าไม่ชอบ”

        “รู้หรือว่าข้ามองเจ้าอย่างไร”

        “หึ ข้ามาจากตระกูลพ่อค้า สายตาเช่นนั้นของท่านข้าเห็นมาตั้งแต่ลืมตาอ้าปากนั่นแหละ”หมิงชุนสุ่ยยกแขนขึ้นกอดอก หรี่ตามองเถ้าแก่ของหออย่างไม่พอใจ "หรือว่า…“

        “...”

        “เถ้าแก่...ท่านเถ้าแก่หลิวไค่แห่งหอว่านหงเหรินจคิอยากจะตรวจสอบของที่จะนำขึ้นประมูลกันนะ”หมิงชุนสุ่ยเดินนวยนาดไปหาหลิวไค่พลางไล้ปลายนิ้วมือไปตามใบหน้าและลำคอของเถ้าแก่เบาๆ ก่อนจะผละตัวถอยออกมาในตอนที่มือของหลิวไค่ยกขึ้นมาหมายจะคว้าจับร่างของตนเอาไว้

        “จุ๊ๆ ถ้าของมีตำหนิมันจะราคาตกนะขอรับ”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขันแกมไล่ “ด้านนอกแขกเยอะแยะ เถ้าแก่ไม่ออกไปตรวจดูความเรียบร้อยหรือขอรับ”

        “เห้อ เจ้านี่ช่างเป็นเด็กที่รับมือด้วยยากจริงๆ แต่ก็สมแล้วที่เจ้าจะกลายดาวเด่นในคือประมูลที่ใกล้จะถึงนี้”หลิวไค่พ่นลมหายใจออกมาก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป โดยไม่ลืมที่จะหันกลับมาเอ่ยกับเจ้าของห้องด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

        “วันมะรืนนี้จะเป็นวันประมูลของเจ้า อย่าลืมเสียละ”

        “ข้ารู้แล้วขอรับเถ้าแก่”

        หมิงชุนสุ่ยมองประตูที่ปิดลงก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกับชายหนุ่มที่เดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงของตนด้วยความเหนื่อยล้า ร่างสูงโปร่งพลิกกายไปหยิบเอาขวดยามาดูก่อนจะเปิดฝาและลองเทยาในขวนนั้นออกมาทาบริเวณลองจ้ำที่ต้นขาด้านใน

        กลิ่นหอมเย็นๆของสมุนไพรโชยออกมาจากขวด เขาลองทาๆ นวดๆวนบริเวณรอบจ้ำนั้นไปเรื่อยๆจนตัวยาซึมเข้าสู่ผิวแล้วก็พบว่ารอบจ้ำเข้มนั้นดูจางลงเล็กน้อยบ่งบอกว่ายาที่เถ้าแก่ให้มานั้นเป็นยาดีและคงมีราคาแพงน่าดู

        “รอยที่หลังคงต้องให้เจียวจ้านมาช่วยทากับนวดให้แล้วละมั่งแบบนี้”หมิงชุนสุ่ยพูดกับตัวเองก่อนจะเทยาออกมาทาๆนวดๆบริเวณรอยจ้ำอื่นๆที่ตนเองพอจะทาถึงก่อนจะปิดฝาขวดยาวางไว้ที่ข้างหัวเตียงรอให้เจียวจ้านกลับมาแล้วค่อยให้อีกฝ่ายช่วยทายาในจุดอื่นๆให้ ส่วงนตัวเขาก็ทิ้งกายนอนมองเพดานไม้อยู่ในห้องพักที่แสนสงบต่างจากภายนอกที่คลึกคลื้นและเต็มไปด้วยความหรรษาและกลิ่นคาวโลกีย์ในหอโคมแดงขึ้นชื่อของฉางอัน







พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 17276 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-9-27 23:18
โพสต์ 17,276 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-9-27 23:18
โพสต์ 17,276 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-9-27 23:18
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกถังเจียน
ผีผา
พัดคุณชาย
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x10
x1
x2
x2
x2
x2
x2
x1
x1
x10
x10
x30
x4
x10
x27

1

กระทู้

91

ตอบกลับ

1161

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
888
ตำลึงทอง
39
ตำลึงเงิน
114
เหรียญอู่จู
9349
STR
0+6
INT
0+1
LUK
0+5
POW
0+0
CHA
20+5
VIT
5+7
คุณธรรม
130
ความชั่ว
694
ความโหด
1563
โพสต์ 2025-9-29 20:30:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 29 เดือน 8  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

เวลา 20.30 - 21.30 น


แสงตะเกียงโคมไฟสีเหลืองส้มสาดส่องในหอว่านหงเหริน สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แววตาเปล่งประกาย และกลิ่นหอมของน้ำหอมจากหญิงงามผู้คัดสรรมาอย่างดี ทว่ากลางความวุ่นวายนี้ กลับมีชายคนหนึ่งปรากฏตัวในชุดคลุมสีดำสนิท สวมหน้ากากรูปปลาหมึกที่ซ่อนเร้นรอยยิ้มลึกลับไว้เบื้องหลัง



ชายผู้นั้นคือ จี เทียนเต้า ผู้เร่ร่อนที่ไร้บ้าน ไร้ชื่อเสียง แต่คืนนี้เขาไม่ได้มาในสภาพที่โลกเคยรู้จัก เขาปลอมตัวเป็นนักดนตรีในหอมหรสพชั้นสูง เพื่อหาเงินเล็กน้อยและหลบซ่อนจากโลกที่ไม่เคยให้โอกาสเขา



ในมือหยาบกร้านของเขาคือซอด้วงเก่าที่ผ่านการซ่อมแซมอย่างลวกๆ แต่ยังคงเสียงหวานเศร้า ท่วงทำนองของสายดนตรีส่งผ่านความเจ็บปวดและความหวังสู่หัวใจผู้ฟัง เสียงซอผสมผสานกับเสียงร้องของเขาที่พึมพำบทกวีโบราณ เหมือนเสียงจากอดีตที่ยังไม่สิ้นหวัง



“โอ้ ความเหงาและความเศร้า ซ่อนอยู่ในม่านหมอกแห่งเมืองหลวง ท่ามกลางความวุ่นวาย ผู้ใดจะเห็นหัวใจที่สลาย” เสียงเขาค่อยๆ ดังก้องไปทั่วหอ หญิงงามที่กำลังพูดคุยกันในมุมหนึ่งหยุดฟังด้วยความสงสัย ขณะที่บัณฑิตหนุ่มหนึ่งนิ่วหน้าอย่างเข้าใจถึงความหมายลึกซึ้ง



จี เทียนเต้ารู้ดีว่าเขาไม่มีหน้าตาหล่อเหลา หรือพลังปราณเหนือใคร แต่เขามีเสียงและเรื่องราวที่แตกต่าง เขาไม่หวังให้ใครเห็นเขาในแง่ดี หรือหวังการยกย่องจากโลกนี้ เพียงแต่เสียงเพลงของเขาจะทำให้คนได้รู้สึก ได้เข้าใจความเจ็บปวดและความหวังเล็กๆ ในใจของเขา



ใต้หน้ากากปลาหมึกที่แปลกตา เขากำลังหลอมรวมความเป็นชายเร่ร่อนที่ผ่านความลำบากและความโดดเดี่ยวเข้ากับโลกแห่งเสียงเพลงและบทกวีที่เขารัก แม้จะไม่มีเวทีใหญ่หรือแฟนเพลงมากมาย แต่คืนนี้เขาได้พบความสงบในเสียงซอและบทกวีที่เขาถ่ายทอด



เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ เสียงเพลงและบทกวีของจี เทียนเต้ากลายเป็นสิ่งที่เยียวยาหัวใจคนในหอว่านหงเหรินหลายคน บางคนร้องไห้ บางคนยิ้ม และบางคนกลับเงียบไปกับความรู้สึกอันลึกซึ้ง



เมื่อยามค่ำคืนสิ้นสุด จี เทียนเต้าปลดหน้ากากออกและมองไปรอบตัวอย่างเงียบๆ ไม่มีใครรู้ว่าใต้หน้ากากนั้นคือชายเร่ร่อนผู้มีเรื่องราวอันยาวนานและลึกลับ ในความมืดมิดของหอว่านหงเหริน คืนนี้เขาเป็นเพียงผู้ส่งเสียงแห่งความหวังและความเศร้า ท่ามกลางทะเลผู้คนที่สับสนและหลงทางในชีวิต


________________________________________________________________________________________________________________

โรลเพลย์ทำงานพาร์ทไทม์

ค่าจ้าง: 30 ตำลึงเงิน - 10 EXP (รายวัน)


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 7901 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2025-9-29 20:30
โพสต์ 7,901 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม +2 ความโหด จาก กระบี่คู่สลักจันทรา  โพสต์ 2025-9-29 20:30
โพสต์ 7,901 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก เกราะทองแดง  โพสต์ 2025-9-29 20:30
โพสต์ 7,901 ไบต์และได้รับ +2 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม +2 ความโหด จาก เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ  โพสต์ 2025-9-29 20:30
โพสต์ 7,901 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม +2 ความชั่ว +3 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-9-29 20:30
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่คู่สลักจันทรา
เกราะทองแดง
เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ
พู่กันคัดอักษร
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1

2

กระทู้

21

ตอบกลับ

692

เครดิต

คนสร้างตัว

พลังน้ำใจ
617
ตำลึงทอง
1
ตำลึงเงิน
164
เหรียญอู่จู
7977
STR
0+2
INT
0+0
LUK
0+2
POW
0+0
CHA
15+5
VIT
0+0
คุณธรรม
87
ความชั่ว
0
ความโหด
59
โพสต์ 2025-9-30 17:22:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด
เสียงพิณเคล้าเสียงจะเข้ก้องอยู่ภายในโถงใหญ่ของ หอว่านหงเหริน กลิ่นกำยานหอมหวานผสมกลิ่นไวน์องุ่นชั้นเลิศอบอวลไปทั่วห้องโถง ม่านไหมสีแดงสดถูกแขวนเรียงรายรอบทิศ เมื่อโคมไฟนับร้อยสาดแสงส่องผ่านผืนผ้าเนื้อละเอียด แสงจึงกลายเป็นระลอกคลื่นสีแดงระยิบระยับ ให้บรรยากาศทั้งเร่าร้อนและเย้ายวนราวกับสรวงสวรรค์ในนิทาน

แขกผู้มีเกียรติหลากชนชั้นนั่งเรียงรายอยู่รอบโต๊ะไม้ทรงเตี้ย บ้างเป็นขุนนางชั้นสูงที่มากับขบวนบ่าวไพร่ บ้างเป็นพ่อค้าเร่ผู้มั่งคั่งที่กล้าเหวี่ยงเงินทอง แล้วยังมีบัณฑิตหนุ่มสาวผู้กระหายความหรูหรา พวกเขานั่งดื่มสุรา สนทนาเสียงดังหัวเราะกันลั่น ทั้งหมดกำลังจับจ้องไปยังเวทีไม้ที่ตั้งอยู่กลางโถง ที่ซึ่งนางรำผู้เลอโฉมกำลังจะปรากฏตัว

ฉีชิงหลงเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะดึงดูดสายตาผู้ใด เขาเลือกนั่งลงข้างเสาใหญ่ที่เงียบสงบที่สุด พลางวางไปป์ไม้ไว้บนโต๊ะ กลิ่นควันจาง ๆ ยังคงติดปลายเสื้อผ้าของเขา ร่างสูงโปร่งพิงพนักเบา ๆ สายตาสีทองเหลือบมองบรรยากาศรอบกายอย่างไม่เร่งรีบ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง

ทันใดนั้น เสียงฆ้องดังขึ้นเบา ๆ ก่อนม่านไหมด้านหน้าเวทีจะถูกเลื่อนเปิดออก นางรำลือชื่อก้าวออกมาอย่างอ่อนช้อย ใบหน้างดงามใต้แสงโคมยิ่งงดงามดุจจันทร์ท่ามกลางหมู่ดาว เธอสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีขาวปักลายโบตั๋นด้วยด้ายเงินยามเคลื่อนไหวชวนให้ดอกไม้บานสะพรั่งราวกับมีชีวิต เสียงฮือฮาของแขกผู้มาชมดังลั่นทั่วทั้งโถง

นางเริ่มขยับก้าวเท้า ร่ายรำอย่างสง่างาม ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงพิณที่ขับกล่อมประกอบกลับขาดหายไปชั่วขณะ นักดนตรีคนหนึ่งทำสายขาดโดยไม่ตั้งใจ เสียงแตกพล่าทำเอานางรำเสียจังหวะ แขกหลายคนเริ่มกระซิบกระซาบ สีหน้าไม่พอใจแผ่ไปทั่วโถงใหญ่

เธอพยายามจะควบคุมสถานการณ์ แต่ดนตรีที่เหลือกลับไม่อาจโอบรับก้าวร่ายรำได้พอดี จังหวะที่เสียเพียงเล็กน้อยกลับเสมือนคมมีดบาดความสมบูรณ์ของการแสดง

ฉีชิงหลงซึ่งนั่งอยู่เงียบ ๆ เลื่อนสายตาสีทองไปยังนักดนตรีที่กำลังลนลาน ความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามาในใจเขาอย่างฉับพลัน มือใหญ่ค่อย ๆ เอื้อมไปหยิบขลุ่ยไม้ที่เหน็บอยู่ในผ้าคาดเอว เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องใช้มันที่นี่ แต่เสียงดนตรีที่ขาดหายไปกำลังรบกวนใจเขาราวกับโลกทั้งใบกำลังสั่นคลอน

โดยไม่ทันได้ตัดสินใจด้วยเหตุผล เขาก็ลุกขึ้น ก้าวเท้าออกจากมุมเงียบที่นั่งอยู่ และเดินตรงไปยังเวทีท่ามกลางสายตาหลายร้อยคู่ที่จับจ้อง ทุกคนต่างตะลึงที่เห็นบุรุษผมขาวร่างสูงเดินขึ้นไปโดยไร้การเชิญ

เขาไม่สนเสียงซุบซิบ ไม่สนสายตากังขา เพียงหยุดยืนด้านข้างวงดนตรี เงยหน้ามองหยาปี้เหลียนที่ยังพยายามร่ายรำอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะยกขลุ่ยขึ้นแนบริมฝีปาก

เสียงทุ้มกังวานแผ่วแรกดังออกมา ละมุนและใสกังวานราวกับหยาดน้ำค้างร่วงหล่นยามอรุณรุ่ง เสียงขลุ่ยนั้นมิใช่แค่เพื่อแทนที่พิณที่ขาด แต่กลับสอดประสานกับจังหวะเท้าของนางรำได้อย่างสมบูรณ์ ราวกับทั้งสองเคยซ้อมร่วมกันมานับพันครั้ง

แขกผู้ชมพลันเงียบเสียงลง เหลือเพียงเสียงดนตรีและเสียงก้าวเท้าของหยาปี้เหลียนที่ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนจากความตะกุกตะกักเป็นความพลิ้วไหวเหนือเปลวไฟ กลายเป็นการร่ายรำที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าที่คาดคิดไว้

นางรำผู้นั้นเหลือบตามองชายแปลกหน้าที่เล่นขลุ่ยอยู่ข้างเวที สายตาของนางมีทั้งความแปลกใจและความชื่นชมแฝงอยู่ ก่อนที่นางจะหันกลับมาหมุนกาย กรีดกรายมือราวกับดอกโบตั๋นกำลังผลิบานกลางหิมะ เสียงขลุ่ยของชิงหลงลื่นไหลเป็นสายธารคอยโอบรับทุกท่วงท่าของนาง ราวกับสองสิ่งกลายเป็นหนึ่งเดียว

เมื่อท่ารำสิ้นสุดลง นางหยุดกายกลางเวที เสียงขลุ่ยก็ดับลงพอดี ความเงียบปกคลุมโถงใหญ่เพียงเสี้ยวอึดใจ ก่อนจะระเบิดเป็นเสียงปรบมือกึกก้อง แขกเหรื่อหลายคนลุกขึ้นยืนโห่ร้องชื่นชม

“ช่างงดงามยิ่งนัก!”
“เสียงขลุ่ยผสานกับร่ายรำได้ดุจสวรรค์!”
“บุรุษผู้นั้นเป็นใครกันแน่?”

สายตาหลายคู่จับจ้องมายังชิงหลง แต่เขากลับยกขลุ่ยลงอย่างสงบ มิได้ยิ้ม มิได้พูดสิ่งใด เพียงเก็บมันกลับสู่ผ้าคาดเอว แล้วเดินลงเวทีอย่างไม่หวั่นไหวต่อเสียงสรรเสริญที่ดังลั่น

ภายนอกเขาดูสงบนิ่งเย็นชา ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความเร่าร้อนที่ยากจะบรรยาย ความรู้สึกที่เขาไม่เคยยอมรับต่อผู้ใด... ความปรารถนาลึก ๆ ที่อยากให้เสียงดนตรีของตนเป็นที่ต้องการ อยากให้ร่างกายและเสน่ห์ของตนเป็นที่หลงใหลในสายตาผู้คน เขาอยากมีค่ามากกว่าคุณชายเหลวแหลก — อยากเป็นผู้ที่ใคร ๆ ต่างไขว่คว้า

แต่ความคิดนั้นเขาเก็บซ่อนลึกไว้ในห้วงใจ ไม่เอ่ยออกมาแม้แต่ครึ่งคำ

เสียงปรบมือยังดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย ขณะที่ฉีชิงหลงกลับไปนั่งที่มุมเดิม หยิบไปป์ขึ้นสูบอีกครั้ง ราวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นไม่เคยมีความหมายอะไร ทว่าดวงตาสีทองกลับส่องประกายวาวแววราวกับเปลวไฟเล็ก ๆ ที่เริ่มก่อกำเนิดในความมืด

…และในที่สุด เมื่อได้แสดงน้ำใจเข้ามาช่วยเหลืองานนี้ ก็ถูกชักชวนให้เป็นส่วนหนึ่งของงานอย่างจริงจังในวันนี้ พร้อมทั้งได้รับค่าจ้างตอบแทนเล็กน้อย เป็นทั้งเกียรติและความสุขใจที่ได้ช่วยเหลือและร่วมแรงร่วมใจกันในครั้งนี้

โรลเพลย์ทำงานพาร์ทไทม์


ค่าจ้าง: 30 ตำลึงเงิน - 10 EXP (รายวัน)

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 10 EXP โพสต์ 2025-10-1 12:42
โพสต์ 12474 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-9-30 17:22
โพสต์ 12,474 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-9-30 17:22
โพสต์ 12,474 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก น่ารัก  โพสต์ 2025-9-30 17:22

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +30 ย่อ เหตุผล
Watcher + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ขลุ่ย
พัดคุณชาย
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x10
x1
x1
x1
x60
x34
x1
x30
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้