เจ้าของ: Watcher

[หอว่านหงเหริน]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-7-3 22:47:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 03 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 22.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าหอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)


แสงโคมหน้าหอว่านหงเหรินสาดสีส้มจางลงบนผืนถนนสิบลี้ที่เงียบสงัดในยามไห่ สายลมเย็นยามค่ำพัดปลายแขนเสื้อของบุรุษผู้ยืนอยู่หน้าโรงน้ำชาระดับสูงแห่งนี้ให้ปลิวไหวเบา ๆ ใบหน้าเงียบขรึมของใต้เท้าเถียนเฟิงเงยขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นจากฝั่งถนนฝั่งตรงข้าม ก่อนที่สายตาคมเรียบของเขาจะสะดุดเข้ากับร่างเล็กในชุดธรรมดาของใครบางคนที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหยุดตรงหน้าเขาในท่าทางหอบแฮ่ก


"ใต้เท้าเถียนเฟิง…??" เสียงหลินหยาดังขึ้นในจังหวะที่เธอกำลังโบกมือส่งให้ด้วยรอยยิ้มเกร็ง ๆ แววตาเธอหลุกหลิก กึ่งโล่งใจ กึ่งยังระแวดระวังเหมือนลูกแมวที่ยังไม่รู้ว่าหลุดจากกรงเล็บของหมาหรือยัง


"แม่นางหลิน?" เถียนเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ไม่ถามมากในทันที แต่เพียงยกพัดขนนกขึ้นเคาะกับฝ่ามือเบา ๆ แล้วเอียงคอเล็กน้อย "เจ้าวิ่งหนีอะไรมา?" 


"อ้อ…ข้าแค่วิ่งหนีคนแปลก ๆ มาเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ" หลินหยายิ้มแห้ง มือหนึ่งปัดชายเสื้อ อีกมือเช็ดเหงื่อแผ่วเบาแม้ใจยังเต้นรัวอยู่ในอก เถียนเฟิงจ้องใบหน้าของนางครู่หนึ่ง เห็นดวงตายังคงสะท้อนความตื่นกลัวเล็ก ๆ และลมหายใจยังไม่เป็นจังหวะ เขาจึงยกพัดขึ้นพับครึ่งอย่างใจเย็น "หากไม่มีอะไร เหตุใดเจ้าจึงมองกลับไปด้านหลังถึงสามครั้งก่อนหยุดตรงหน้าข้า"


“อะ...เอ๊ะก็เปล่านะ!” หลินหยารีบปฏิเสธ ก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าแอบขโมยขนมกิน แล้วรีบเสไปมองด้านข้าง “อากาศเย็นดีนะเจ้าคะคืนนี้ ฮ่ะฮ่า...” บอกเช่นนั้นเพื่อกลบเกลื่อนเพราะเอาตรง ๆ ไอ้คนนั้นก็แปลก ๆ อ่ะ พ่อค้ามีไก่ด้วย..อืมแปลก


เถียนเฟิงไม่ตอบ เขากลับเดินตรงเข้ามาใกล้หนึ่งก้าว พร้อมลดเสียงให้เบาลงจนเหมือนจะเป็นเสียงลมหายใจ “เจ้ามักไม่กลัวใคร แต่หากเจ้าเริ่มกลัว... แสดงว่าอีกฝ่ายคงอันตรายอยู่ไม่น้อย”


หลินหยายิ้มค้างไปชั่วขณะ "ใต้เท้าเจ้าคะ..โห.. ข้าแค่ไม่อยากวุ่นวายอีกแล้วเจ้าค่ะ วันไหนมีเรื่องข้าเหนื่อยทุกทีอ่ะ…แค่หนีคนแปลก ๆ เจ้าค่ะ มีไก่อยู่ข้างตัวแค่นั้นแหละ” นางเอ่ยบอกก่อนที่จะทำหน้าบ่จอยเท่าไร "เอ่อ..จริงสิพอดีผ่านมา ไม่คิดว่าจะเจอท่านที่นี่ ท่านมาทำอะไรเจ้าคะ...พักผ่อนเหมือนเคยหรอ?" เสียงหลินหยานุ่มลงอย่างเป็นมิตร


เถียนเฟิงสบตานางครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเบา ๆ "อืม...ที่นี่มีเครื่องหอมดี อาหารเลิศรส ช่วยให้คิดอะไรชัดเจนขึ้น" เขากล่าวระหว่างเดินทางจะกลับ หลินหยาเลยเดินไปด้วยเสียเลย หลินหยาที่เดินเคียงข้างเงียบ ๆ ไปครู่หนึ่ง พลันชะงักเล็กน้อยเมื่อสายลมยามค่ำพัดเอากลิ่นหอมแผ่วบางจากร่างของบุรุษข้างกายลอยแตะปลายจมูกอย่างอ่อนโยน กลิ่นนั้นไม่ฉุนจัด ไม่ใช่กลิ่นสมุนไพรหรือยาเหมือนยามเจอเขาในราชสำนัก แต่กลับเป็นกลิ่นหอมแบบเรียบหรู แฝงความนุ่มนวลและเยือกเย็นแบบบุรุษผู้ทรงปัญญา กลิ่นที่ไม่เคยคุ้นมาก่อน นั่นสิ ตอนก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีกลิ่นนี้


“หืม...” นางเลิกคิ้วเล็กน้อย เอียงหน้ามองคนข้างกายที่ยังคงเดินด้วยสีหน้าเรียบเย็นไร้ความรู้สึกผิดใด ๆ ทั้งสิ้น “กลิ่นนี้...หอมดีนะเจ้าคะ ใต้เท้าเปลี่ยนเครื่องหอมหรืออย่างไรเจ้าคะ?” เสียงของเธอทุ้มเบาแต่แฝงแววขบขัน ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้มตาวาวอย่างคนรู้ทัน “โหห…นี่ข้าออกจากหอว่านหงเหริน พอเผลอแวบเดียวก็เรียกสาวไปนั่งรินเหล้าคลายเหงาเสียแล้วรึเจ้าคะแหม่..ไวไฟจริง” เสียงหัวเราะของเธอใสพอจะสะท้อนในถนนที่เงียบยามค่ำ แม้จำใช้คำแปลก ๆ แต่ก็ชวนงง ๆ ราวกับเด็กสาวผู้กล้าหยอกล้อเพื่อนสนิทผู้เป็นขุนนางใหญ่เสียเต็มประดา


เถียนเฟิงหยุดฝีเท้า หันมามองอีกฝ่ายช้า ๆ ดวงตาเรียบเฉยแต่คิ้วกลับกระตุกเล็กน้อยอย่างไม่อาจห้าม ริมฝีปากยกยิ้มบางราวกับกลั้นหัวเราะ แต่กลับไม่เอื้อนเอ่ยปฏิเสธแม้สักคำเดียว เขายกพัดขนนกขึ้นกั้นปากเพียงครึ่งล่าง เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไม่ใช่เจ้าของหอว่านหงเหริน ไม่อาจใช้สิทธิ์เรียกใครมาได้ดั่งใจนักหรอก...และถ้าเจ้าหมายถึงกลิ่นนี้ มันก็แค่กลิ่นน้ำอบจากสาวแม่นางผู้หนึ่งที่ทำตกไว้บนชายเสื้อข้า”


“หึฮึมมมฮึ… ยังมีเวลารับของตกด้วยรึเจ้าคะ ท่าทางว่างเสียจริง” หลินหยาเอียงคอพึมพำแล้วเบะปากใส่ หางเสียงฟังดื้อเต็มประดา


เถียนเฟิงหัวเราะเบา ๆ จากลำคอ ไม่ตอบกลับโดยตรง แต่กลับเดินนำต่ออย่างใจเย็น “หากข้าบอกว่ามีคนตั้งใจหยดไว้ให้เจ้ารู้สึกแบบนี้ เจ้าจะหยุดแหย่หรือจะหึงแทนดีเล่า?”


“หึง? ข้าเนี่ยนะ? บ้าแล้ววจะไปหึงท่านทำไมอ่ะ ใจเย็น ได้ยินแล้วขนลุกเจ้าค่ะ” หลินหยาเบิกตาแล้วหัวเราะลั่นทันที “ไม่เอาหรอกเจ้าค่ะ ท่านจะชอบกลิ่นไหนก็เรื่องของท่านเถอะ ข้าแค่...แค่รู้สึกว่ากลิ่นหอมแบบนี้มันไม่เข้ากับคนที่ปกติหายใจเข้าออกยังมีแต่กลิ่นตำราแบบท่านเลยแค่ตกใจนิดหน่อยเจ้าค่ะ..นึกว่าจะได้ไปงานแต่งใต้เท้าเถียนเฟิงซะละ” เธอว่าพลางหัวเราะในลำคออีกครั้ง แล้วเดินชิดเข้ามาเล็กน้อย ราวกับเจ้าแมวที่ขยับเข้ามาเคียงคนสนิทอย่างเป็นธรรมชาติ


หลินหยาหันมามองเขาด้วยแววตาสงบแต่เปล่งประกายแผ่วเบา ดวงหน้าขาวจัดสะท้อนแสงจันทร์นวลบนเส้นผมที่ยังไม่ทันยาวดีหลังโดนตัด แม้ชุดจะเรียบง่ายกว่าตอนอยู่โรงอุปรากร ทว่า...ความงามธรรมชาติแบบเด็กสาวที่กลายเป็นหญิงเต็มตัวนั้น กลับชัดเจนขึ้นทุกคราที่เขาได้เห็น “ข้าอยู่บ้านหลังเล็กของอ๋องหลิวอันนะเจ้าคะ ตรงทางนั้น” นางเอ่ยเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบธรรมดา แต่ในความธรรมดานั้นแฝงด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน “แม่นางหรงเล่อคงรอข้าอยู่แล้วละมั้งเนี้ย...” แล้วรอยยิ้มบาง ๆ ก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากของเธอ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มแบบสาวใช้เสี่ยวหนาน หรือรอยยิ้มแบบคนที่ตกอยู่ใต้คำสั่งใคร หากแต่เป็นรอยยิ้มของหนาน หลินหยา ที่เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่...มีอิสระในใจ


“ไปก่อนนะ แล้วเจอกัน ท่าน” คำว่า ‘ท่าน’ ฟังดูแปลกประหลาดในน้ำเสียงเธอ เพราะมันนุ่มนวลเกินกว่าจะเป็นคำเรียกอย่างขุนนางกับชาวบ้าน และขณะเดียวกันก็ห่างไกลจากการเรียกของผู้ติดหนี้บุญคุณ


พอพูดจบ หลินหยาก็ยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย แล้วหมุนตัวกลับทันที เดินกลับไปทางอีกฟากของถนนสิบลี้ที่ทอดยาว เสียงฝีเท้าก้าวย่ำบนพื้นหินเบา ๆ เป็นจังหวะมั่นคง ร่างของเด็กสาวราวกับหายลับลงไปในความมืดอย่างรวดเร็วทว่าไม่เร่งรีบ เหมือนคนที่กำลังเดินกลับบ้านของตนเองอย่างมีจุดหมาย


และเถียนเฟิง...ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่พูดไม่ไล่ไม่รั้ง ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำลามีเพียงสายตาคู่นั้น ที่ทอดมองเงาหลังของหญิงสาวอย่างเงียบงันเหมือนกับทุกครั้งไม่มีเปลี่ยน บางครั้งนางก็มาไวไปไวเหมือนกับสายลม อยู่ไม่เคยนิ่งและไม่มีสิ่งใดขังสายลมได้แม้สักครา



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

น้องจะตอบว่า อ้อนเจ้าของก่อน ฮรุก  โพสต์ 2025-7-4 00:56
เถียนเฟิงเอ่ยทักคุณ วันนีี้ไม่มาทำงานรึ  โพสต์ 2025-7-4 00:41
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-4 00:40
โพสต์ 32538 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-3 22:47
โพสต์ 32,538 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-3 22:47
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-7-5 20:36:46 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 05 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 15.30 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าหอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


ระหว่างที่หลินหยากำลังเดินผ่านหน้าหอว่านหงเหรินเพื่อออกไปยังนอกเมืองหลังจากพบท่านเถียนเฟิงเสร็จแล้วเธอก็ต้องหยุดกึกเพราะบังเอิญ โลกกลม และพรหมลิขิต(?) ให้นางพบใครบางคนตอนนี้ นางจำได้กับชายหน้ากากครึ่งหน้าคนนั้น “ฮันแหน่…นั้นใครเอ่ย..ท่านชายห่าวหมิงมากินเหล้าเคล้านารีอ่ะดิ!”


ชายสวมหน้ากากครึ่งหน้าผู้ยืนอยู่หน้าทางเข้าประตูหอว่านหงเหรินหันขวับมาแทบจะทันทีเมื่อเสียงเรียกอันคุ้นหูดังขึ้นจากฝั่งตรงข้ามถนน…ดวงตาที่คมกริบใต้หน้ากากนั้นจับจ้องมายังร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังก้าวเท้ามาอย่างทะเล้น โบกมือหยอย ๆ เหมือนเด็กน้อยพบเพื่อนเล่นกลางตลาดฤดูร้อน น้ำเสียงยียวนคุ้นเคยพร้อมรอยยิ้มแบบคนรู้ทันของหลินหยา ดังกระแทกหัวใจเขาจนฝ่ามือแทบเผลอบีบด้ามพัดแน่นโดยไม่รู้ตัว


...ไม่สิ นางยังไม่รู้แน่ว่าเขาไม่ใช่ 'ท่านชายห่าวหมิง' อย่างที่นางเข้าใจ เงาหน้ากากนิ่งค้างเพียงครู่เดียวก่อนชายผู้นั้นจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ ขยับพัดในมือลงบังใบหน้าล่างไว้อย่างมีชั้นเชิง ร่างสูงยืดตัวตรงด้วยท่าทีสงบเงียบเฉกเช่นปกติ แต่ปลายหางตากลับยกสูงขึ้นอย่างนึกขันในความจุ้นของหลินหยา “แม่นางเสี่ยวหยา” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างเรียบเรื่อย แต่ฟังดี ๆ กลับแฝงแววเอ็นดูที่ไม่ควรปรากฏในน้ำเสียงของขุนนางชั้นสูงแม้แต่น้อย “เจ้าก็รู้ดีว่าข้า...มิใช่คนแบบนั้น” เขาเอ่ยก่อนจะขยับหมุนพัดเคาะกับฝ่ามือเบา ๆ ราวกับเล่นไปตามบทที่นางปั้นให้ ด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนครึ่งจริงครึ่งล้อ


หลินหยาขมวดคิ้วอย่างนึกสงสัยก่อนจะพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง เดินกอดอกตรงเข้ามายืนเท้าสะเอวข้าง ๆ เขาแบบไม่เกรงใจนัก “ถึงท่านจะไม่ใช่คนแบบนั้นก็ช่างเถอะเจ้าค่ะ ข้าเห็นหน้าท่านชายห่าวหมิงอยู่หอว่านหงเหรินทังที่จะให้อดแซ่วไม่ได้ปะเจ้าคะ…” คำพูดประชดประชันนั้นทำให้ชายตรงหน้าเหลือบมองนางเงียบ ๆ ก่อนริมฝีปากภายใต้หน้ากากจะขยับเล็กน้อย...เป็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่แม้ไม่มีใครเห็น แต่สัมผัสได้จากความเยือกเย็นที่ดูจะเย็นขึ้นไปอีกแต่อีกคนกลับไม่รับรู้ถึงมันสักนิด


“ข้าเพียง...มาพักผ่อน” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะในลำคอ แววตาใต้หน้ากากฉายแววลึกล้ำขึ้นชั่วขณะ “หรือเจ้าจะว่า...ข้าไม่เหมาะจะดื่มชา รำสุรา ฟังเพลง ร่ายกลอนเหมือนบุรุษอื่น?”


หลินหยาทำปากยู่ก่อนจะกลอกตาใส่เขาแบบไร้ยางอาย “เหมาะสิคะแหม่..ท่านก็ท่านเหมาะมาก เหมาะกับการมานั่งพิงม่านแพร จิบน้ำชาราคาแพง แล้วแอบฟังสาว ๆ ร้องเพลงพร้อมกระซิบข่าวสารมากกว่า” คำว่ายาวยืดนั้นแฝงการรู้ทันอย่างเจ็บแสบแต่เขากลับไม่โต้เถียง ไม่แก้ตัวแค่ปรายตามองนางอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ว่า “แม่นางนี่...จะให้เก็บเจ้าไว้เป็นดอกไม้ประดับในห้องก็คงน่าเสียดายฝีปาก”


หลินหยาหัวเราะร่วน เธอเอียงตัวเหมือนเด็กสาวในชุดเดินทางก่อนจะเหลือบตามองเขาอย่างระแวดระวัง “ว่าแต่…วันนี้ท่านชายมาคนเดียวจริงเหรอเจ้าคะ?” ห่างหมิงเงียบไปเพียงครู่เดียว ก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะไม่แน่ใจว่านางจะถามต้องการสิ่งใดกันแน่..ความคิดนางแปลก ๆ จนเดาไม่ค่อยได้ แต่บางเรื่องก็แทบไม่ต้องเดาก็เป็นไปตามนั้น “ใช่...เพียงคนเดียว เจ้ามีปัญหา?”


“หึ…ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ” หลินหยาขยิบตาให้หนึ่งที “ข้าก็แค่จะเดินเล่นออกนอกเมืองเลยเดินผ่านแวะมาสูดกลิ่นสาปแห่งความมัวเมาตรงหน้าหอว่านหงเหรินก่อนนิดหนึ่ง เผื่อเถ้าแก่ที่ร้านจะลากข้าไปทำงานเป็นนักดนตรีเหมือนเดิม”


“ไม่กลัวเจอคนชั่วหรือ?” คำถามนั้นไม่ใช่คำล้อเล่น มันแฝงแววจริงจังเสียจนหลินหยาหยุดยิ้มชั่วขณะ แต่เธอกลับยักไหล่ตอบกลับง่าย ๆ “ก็ไม่รู้สินะเจ้าคะ…ก็เจอบ้างนะเจ้าคะ เป็นไม่กี่คน ถึงเจอที่ชั่วก็ชั่วสุดขีดอ่ะบอกเลย” ก่อนจะหันมาแซวต่ออย่างรวดเร็ว “แต่ถ้าเจอพวกที่โรคจิต ๆ ล่ะก็ คงต้องแอบไว้ใจท่านชายห่าวหมิงช่วยข้าหน่อยนะคะ ฮิฮิ” จางกงกงใต้หน้ากากนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตานั้นเหลือบมองเงาของเธอที่สะท้อนบนพื้นฝนอย่างเยือกเย็น ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ชิดริมฝีปากอย่างมีนัย


“…ข้าก็เฝ้ามองอยู่เสมอ”


“งั้นข้าไปละ” หลินหยาหรี่ตามองอีกคนก่อนจะยกมือขึ้นโบกเล็กน้อยเหมือนจะลาจริง แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมาหยอกเย้าอีกหนึ่งยกตามสไตล์แม่นางน้อยผู้ยียวนที่สุดในย่านสิบลี้ “ไปละเจ้าค่ะ เจอกันที่ศาลาจื่อเถิงฮาเหมือนเดิมนะเจ้าคะ เย็นนี้ข้าจะเอาขนมไปด้วย...ท่านอย่าลืมมากินล่ะ ข้าจะเตรียมชาหอม ๆ ไว้ให้ด้วย!” น้ำเสียงสดใสราวเสียงระฆังในยามบ่ายแว่วก้อง นางยักคิ้วหนึ่งที ทำท่าเหมือนนางเอกละครที่ลงจากเวทีแล้วหมุนตัวจะจากไปอย่างอารมณ์ดี ทว่า… “อ้อ…ถ้าท่านบังเอิญมาแบบมีรอยจูบสาว ๆ ติดหน้าหรือคอมานะ...ข้าบอกเลยว่า ข้าไม่มียาประคบให้นะเจ้าคะ!” เสียงหัวเราะของหลินหยาเหมือนจะดังลั่นแถมยังเร่งฝีเท้าออกไปอย่างสนุกสนาน ราวกับตั้งใจจะหนีสายตาค้อน ๆ จากบุรุษด้านหลัง


แต่เบื้องหลังหน้ากากครึ่งหน้าของห่าวหมิงกลับปรากฏเพียงรอยยิ้มบางเฉียบมุมปาก…ไม่รู้ว่าเพราะถูกแซว หรือเพราะสิ่งที่นางพูดนั้นมีความหมายบางอย่างสะกิดใจลึก ๆ จางกงกงยกพัดขึ้นเคาะไหล่ตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าสู่หอว่านหงเหรินอย่างไม่พูดอะไรอีก ดวงตาคู่ล้ำลึกใต้หน้ากากหลุบลงต่ำ เจ้าไม่มีวันรู้หรอก เสี่ยวหยา…ว่าข้ายอมให้เจ้าเห็นรอยจูบจากใครไม่ได้




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-5 21:30
โพสต์ 27472 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-5 20:36
โพสต์ 27,472 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-7-5 20:36
โพสต์ 27,472 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-5 20:36
โพสต์ 27,472 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-5 20:36
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-7-6 00:37:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-6 16:38


วันที่ 06 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.30 - 16.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าหอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


บรรยากาศรอบหอว่านหงเหรินในยามเซินคล้ายจะผ่อนคลายจากความร้อนของแดดบ่ายแล้วเข้าสู่บรรยากาศเย็นละมุนของปลายวัน เสียงพิณเบาจากด้านในลอยมากับกลิ่นเครื่องหอมจาง ๆ ผสานกับกลิ่นแป้งร่ำและสุราหวาน ราวกับโลกภายนอกไม่มีเรื่องทุกข์ใดจะกล้ำกราย ทว่าในห้วงคิดของหลินหยากลับเต็มไปด้วยความกังวล...จางทังหายไป…หายไปนานกว่าที่ควรจะเป็น นางรู้ว่าผู้ชายคนนั้นมีฝีมือ แต่นั่นแหละ...ก็เพราะรู้ดีว่าเขาเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนอันตรายเพราะเธอ…คนที่เหมือนยิ้ม แต่เบื้องหลังแววตาคือความเคียดแค้นที่เย็นเยียบและไม่ลืมเลือน..นางกลัวว่าจางกงกงจะทำอะไรเขา…


นางมองเลยขึ้นไปบนอาคารของหอคนิกา มุมเดิม หน้าต่างบานเดิม กลับไม่เห็นใคร และกำลังจะเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งสู่นอกเมือง ทว่าเสียงประตูกระทบกับลมเบา ๆ และร่างหนึ่งที่คุ้นตาก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าประตูบานใหญ่ของหอ "ท่านชาย...ห่าวหมิง?" เสียงหลินหยาหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว


บุรุษในชุดคลุมยาวสีเข้มมีลวดลายปักทองเดินทอดน่องออกมาอย่างไม่รีบร้อน หน้ากากครึ่งซีกสีเงินดำบดบังครึ่งใบหน้าของเขาไว้อย่างงดงามและน่าเกรงขาม และแม้เงาแดดจะเฉียงตกต้อง ผ้าม่านด้านหลังปลิวไสวอยู่เพียงนิดเดียว แต่ทุกอิริยาบถของเขากลับประหนึ่งจงใจกรีดลงบนสายตาคนมองให้รู้ว่าเขาคือผู้ปกครองหอว่านหงเหรินอย่างแท้จริง ห่าวหมิงชะงักนิดเดียวขณะเห็นหญิงสาวยืนมองอยู่ริมทางยิ้มบางบนริมฝีปากไม่แน่ว่าเพราะบังเอิญหรือจงใจ


"บังเอิญดี...หรือว่าเป็นโชคชะตา?" น้ำเสียงนั้นคล้ายจะหยอก แต่น้ำหนักคำและแววตาภายใต้หน้ากากกลับไม่เบาเช่นคำพูด เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้ทีละน้อยก่อนจะหยุดยืนตรงหน้า "แม่นางเสี่ยวหยา..." เขาเอ่ยเรียกนางด้วยเสียงอ่อนโยนหากแต่ชวนรู้สึกแปลก ๆ "เจ้ากำลังจะออกนอกเมืองอีกแล้วหรือ?"


"เจ้าค่ะ ข้าแค่ไปเดินเล่นสูดอากาศ ไม่ได้ไกลอะไร..." หญิงสาวตอบอย่างระวัง แต่ก็ไม่อาจปิดบังความอยากรู้อยากเห็นในแววตาได้ "ท่านชาย...เพิ่งออกมาจากหอว่านหงเหรินหรือเจ้าคะ?"


อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ดวงตาใต้หน้ากากหรี่ลงราวกับหาความหมายนัยลึกในคำถามนั้น "ข้าเพียงเข้าไปพูดคุยธุระเล็กน้อยกับคนเก่าแก่...เป็นสถานที่ที่ข้ามักใช้สำหรับเจรจาบางอย่างที่ไม่ควรให้ใครได้ยินง่าย ๆ" น้ำเสียงเรียบนิ่งและท่าทางไม่หลบหลีกทำให้หลินหยาเงียบไปชั่วครู่...นางไม่กล้าถามตรง ๆ แต่หัวใจกลับเต้นแรงขึ้นนิดหน่อย ไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดหรือหวั่นไหว แต่เพราะจู่ ๆ ก็อดคิดไม่ได้ท่านชายผู้นี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย


"...ข้าเห็นเจ้ามองหอนั้นอยู่นานแล้วเมื่อครู่" เขาเอ่ยต่ออย่างเชื่องช้า


หลินหยาพ่นลมหายใจแผ่ว ๆ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย "เจ้าค่ะ ข้าเคยเล่าให้ท่านฟังแล้วนี้..ถึงจะไม่บ่อยว่าข้าเคยทำงานอยู่ที่นั่นนักดนตรีฝึกหัด...กับสาวใช้ชั่วคราว ที่ไม่ได้สลักสำคัญอันใดหรอก"


"หืม..." เสียงเขาลากต่ำ ดวงตาภายใต้หน้ากากไล่สายตามองนางอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งในน้ำเสียงแปลกประหลาด "ความจริง ข้าชอบคนที่เคยอยู่ในที่แบบนั้นนะ...กลิ่นอายของ 'ชีวิตจริง' ยังติดตัวอยู่เสมอ...ไม่เสแสร้ง ไม่ปลอม และมีบางอย่างที่หาไม่ได้จากพวกที่คลานออกจากจวนขุนนาง..." เขาหยุดพูดเพียงเท่านั้น


แต่หลินหยากลับตาดี นางมองหน้าเขาเล็กน้อยแล้วหรี่ตามองไปทางคอเสื้อของอีกคน "อ้อออ....ท่านนี้ท่าจะดื่มเหล้าเคล้านารีกันสนุกเลยสินะเจ้าคะ คอเสื้อท่านมีรอยสีแดงจากริมฝีปากสตรีด้วย" นางเอ่ยก่อนที่จะเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยแซวแบบเหมือนจะมีอารมณ์ขุ่นอยู่ลึก ๆ "นางสวยไหมเจ้าคะ? ลีลาดีล่ะสิ"


จางกงกงที่ยังอยู่ในร่างของ ท่านชายห่าวหมิง ชะงักฝีเท้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น ใบหน้าภายใต้หน้ากากไม่ได้เปลี่ยนสีสัน แต่แววตากลับเหมือนหยักขึ้นด้วยแสงบางอย่างที่ชวนขนลุกเขาเหลือบมองหลินหยาอย่างช้า ๆ ด้วยรอยยิ้มแผ่วจางบนริมฝีปาก ซึ่งมันเป็นรอยยิ้มของใครสักคนที่ ไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิดเดียว ห่าวหมิงยกปลายนิ้วแตะเบา ๆ ตรงคอเสื้อของตน คล้ายเพิ่งสังเกตว่ามีร่องรอยแปลกปลอมติดอยู่บนนั้น ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ...เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดู สบาย ๆ อย่างจงใจ ราวกับผู้ชายที่ไม่มีอะไรให้ปิดบัง


"อา...แบบนี้เรียกว่าตาดี หรือหึงกันแน่ล่ะ เสี่ยวหยา?" น้ำเสียงทอดต่ำยิ่งนัก เย็นชาในความสุภาพอ่อนโยนนั้น เขาก้าวเข้ามาใกล้นางหนึ่งก้าวแค่หนึ่งก้าว แต่มันเหมือนทั้งอากาศรอบตัวแน่นขนัดขึ้นในทันที "เจ้านี่มัน...มีจมูกที่ไวดีเหมือนแมวที่จำกลิ่นเจ้าของได้ไม่มีผิด" เขายื่นมือขึ้นแต่ไม่ได้สัมผัส เพียงแค่หยุดอยู่ใกล้ปลายคางของนางราวกับจะหยอกหรือเตือนหรือบีบให้เธอรู้ว่าตัวเองกำลังเล่นอยู่กับไฟที่ไม่มีวันมอด


"นางหรือ?" เขาหลุบตาลงเล็กน้อยริมฝีปากยังคงยิ้มขณะกระซิบถ้อยคำที่เยียบเย็นเสียจนรอบด้านเหมือนจะเงียบงันไป "ก็แค่แมลงเม่าที่หลงแสงไฟ...นางสวยดีในแบบที่หายไปจากความทรงจำหลังจากเช้าตรู่" เขาหยุด แล้วเลื่อนดวงตาขึ้นสบกับแววตาของหลินหยาโดยตรง "เสี่ยวหยา เจ้าอยากให้ข้าซื่อสัตย์หรืออยากให้ข้าสะอาด? เพราะหากเจ้าคาดหวังทั้งสองอย่างจากคนอย่างข้า...ข้าเกรงว่าจะทำให้เจ้าผิดหวังเสียแล้ว"


เขาโน้มตัวเข้าใกล้มากขึ้น เสียงกระซิบเบาราวกับพรายกระซิบจากขุมนรก "แต่ถ้าเจ้าโกรธ...เจ้าควรลงโทษข้านะ..แต่ยังไงล่ะ?" ดวงตาคู่นั้นฉายประกายเย้ยหยันเพียงนิดเดียว ก่อนจะยืดตัวขึ้นกลับมาเป็นชายหนุ่มผู้มีมารยาทดังเดิม




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ปลดหัวใจโว้ยยยยยยย

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 28134 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-6 00:37
โพสต์ 28,134 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-7-6 00:37
โพสต์ 28,134 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-6 00:37
โพสต์ 28,134 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-6 00:37
โพสต์ 28,134 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-6 00:37
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-7-7 16:40:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 07 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 15.30 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าหอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


ยามเซินกลางวันแสก ๆ แสงอาทิตย์อาบผิวหินและกลิ่นดอกไม้ริมถนนสิบลี้อบอวลจาง ๆ ไปทั่ว หญิงสาวผู้หนึ่งในชุดบางเบาสำหรับการเดินทางกลางแดดกำลังย่างก้าวออกจากฉางอันด้วยท่าทีอารมณ์ดี ราวคนที่ตั้งใจจะไปตกปลาหาเรื่องสงบใจอย่างสันโดษตามนิสัยเดิม ๆ ของนาง หากเพียงเสี้ยวลมหายใจ…ฝีเท้าของหลินหยากลับชะงักลงเมื่อดวงตาสะท้อนเงาร่างของใครคนหนึ่งซึ่งนางไม่อาจลืมไปได้เลยนับแต่เมื่อวาน ชายสวมหน้ากากครึ่งหน้าในชุดคลุมยาวประณีต สีเข้มเยียบดั่งหมึกหลั่งลงกระดาษ เขาเดินด้วยท่วงท่าที่ไม่เร่งรีบแต่มั่นคง เหมือนรู้ดีว่าก้าวต่อไปจะเหยียบย่ำหัวใจใครไว้บ้าง ท่านชายห่าวหมิงผู้นั้นกำลังจะก้าวเดินอยู่หน้าหอว่านหงเหรินอย่างแช่มช้า


ภาพในความทรงจำยามเช้าของหลินหยาแล่นวาบขึ้นทันควัน...เสียงคำเตือน...กลิ่นแผ่นไม้...คำว่าสองหน้ากากยังดังก้องอยู่ในหัวนาง หญิงสาวพยายามระบายยิ้มอย่างเคยแม้รอยยิ้มนั้นจะฝืนและบางเฉียบเกินกว่าปกติเล็กน้อย “สวัสดีเจ้าค่ะ...ท่านชายห่าวหมิง” นางเอ่ยเสียงเบาแต่ไม่สั่น “วันนี้ก็มาพักผ่อนที่หอว่านหงเหรินอีกแล้วหรือเจ้าคะ?”


ชายหนุ่มหันกลับมาช้า ๆ สบตากับนางผ่านช่องว่างของหน้ากาก ดวงตาคู่นั้นยังคงนิ่งราบ เรียบเฉียบเหมือนกระจกดำที่มองลึกลงไปเห็นเงาในจิตใจของอีกฝ่ายได้ เขาไม่ตอบในทันทีหากกลับย่างเท้าเข้ามาหานางอย่างไม่เร่งเร้าแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มือข้างหนึ่งซึ่งเปลือยเปล่าไร้ถุงมือยกขึ้นแตะปอยผมที่ปรกหน้าผากของหลินหยาเบา ๆ แล้วเกลี่ยมันไปทัดใบหูของนาง


"เจ้ารู้จักที่นี่ดีนี่..." เขากล่าวเสียงทุ้ม "เพราะเจ้าก็เคยอยู่ในหอนี้"


มือของเขายังไม่ผละจากเส้นผมของนาง กลับไล้ลงมาแตะข้างแก้มช้า ๆ ราวกับลองทดสอบบางสิ่ง อุณหภูมินิ้วของเขาเย็นอย่างประหลาดแต่แรงสัมผัสนั้นกลับอ่อนโยนเกินจะต้านรังเกียจ เป็นสัมผัสที่คุ้นเคยผิดเวลา ผิดสถานที่ และที่สำคัญ…ผิดจังหวะของเหตุผลทั้งหมดที่หลินหยาเคยเข้าใจ "ข้าแค่คิดถึงเสียงดนตรี...เลยมา" เสียงนั้นพร่าเบา ราวคำกล่อมฝันหากแต่ในใจแท้กลับเคลื่อนไหวดุจงูเงี้ยวเลื้อยวนอยู่กับแผนที่ไม่มีใครล่วงรู้


เขาเอียงหน้าลงมาเล็กน้อยจนเงาหน้ากากครึ่งใบทาบเงาบนพวงแก้มของนาง ห่างกันเพียงลมหายใจหนึ่งก่อนที่เสียงกระซิบจะลอดริมฝีปากเอ่ยชิดใบหู "หรือเจ้าไม่อยากให้ข้ามาฟังมันอีกแล้ว?" หลินหยาชะงักตอนนี้ที่เขาประชิดตัวอย่างแปลกประหลาด จึงขยับขาออกเพียงครึ่งเก้าแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่ออีกฝ่ายทำเช่นนี้ จางกงกงชะงักเพียงเสี้ยวลมหายใจเมื่อหลินหยาขยับถอยออกห่าง แม้เพียงครึ่งก้าวอันแผ่วเบา แต่ก็เพียงพอให้เขาสัมผัสได้ถึงความลังเลที่เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของนางเหมือนลวดบาง ๆ ที่เคยดึงรั้งแน่นเริ่มคลายตัว หากจะปล่อยให้หลุดลอยไปง่าย ๆ เขาคงไม่ใช่เขา


เขายิ้มในจังหวะที่นางยังไม่ทันตอบรอยยิ้มที่แฝงความอ่อนโยนผิดวิสัย แต่ลึกในแววตากลับฉายแสงเย็นยะเยือกของนักล่า “เจ้ากำลังระแวงข้าอยู่หรือไม่ เสี่ยวหยา?” จังหวะนี้ เขาคลี่พัดในมือซ้ายกางออกช้า ๆ แล้ววางมันลงบนบ่าของนาง


หลินหยารีบตอบทันทีหลังจากนี้ “เปล่าเจ้าค่ะ...ข้าไม่ได้จะบอกว่าไม่ให้ท่านฟังดนตรีเสียหน่อย..เพราะหากท่านคิดถึงเสียงดนตรี ท่านก็สมควรแล้วที่จะเข้าหอว่านหงเหรินนี้เจ้าคะ?” นางเอ่ยขึ้นเช่นนั้น ไม่ได้ขยับหนีอีกคน แม้จะกำลังสงสัยว่าตอนนี้เขาต้องการอะไรกันแน่แต่นางก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเขาคือคนคนนั้นแน่นอน…นางกำลังคิดว่าควรที่จะถามเขาว่าวันนี้เขาจะไปที่ศาลาจื่อเถิงฮวาหรือไม่อย่างไร แต่เพราะเสียงของเขากลับดังขึ้นมาก่อนที่นางจะได้ถามอะไรออกไปจากริมฝีปากของตนเอง


"อา...เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่ข้าจะเข้าหอว่านหงเหริน..." เขากล่าวช้า ๆ ซ้ำถ้อยคำของนางริมฝีปากคลี่ยิ้มที่ไม่แน่ว่าคือยิ้มหรือแสยะ ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อยมองนางจากใต้เงาหมวกหน้ากาก “แต่ที่นั่น...แม้จะมีเสียงดนตรีงดงามแค่ไหนก็ไม่มีเสียงใดขับกล่อมจิตใจข้าได้เท่าของเจ้า” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบเย็น หากแต่ในแววตากลับรุกเร้าจนคล้ายร้อนแรงชวนให้หลบตา เขาขยับพัดที่เคยวางบนบ่านางขึ้นมาแตะปลายคางของหลินหยาเบา ๆ เพียงชั่วพริบตาสัมผัสที่อ่อนโยนจนแทบเรียกว่าแทะเล็มความรู้สึกไม่ใช่แค่ร่างกาย


“เจ้ากำลังคิดถึงเย็นนี้หรือ?” เขาเอ่ยถามราวกับเข้าใจจิตใจนางทะลุปรุโปร่งก่อนจะค่อย ๆ ดึงพัดกลับมาแนบอกตนแล้วตอบในจังหวะที่อารมณ์คล้ายกำลังคลุมเครือ “หากเจ้ายังต้องการให้ข้าไป ข้าก็จะไป...” ดวงตาใต้หน้ากากมองนางนิ่ง “แต่ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่า...เจ้าจะเตรียมขนมไว้ หรือว่าเตรียมใจไว้มากกว่ากัน?” เขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะนั้นไม่ดังแค่พอให้ได้ยินราวเสียงขนนกสะกิดใจ มันไม่ใช่เสียงขำขันแต่มากพอจะทำให้หัวใจหลินหยาสั่นคลอนอย่างไร้เหตุผลเหมือนคนถูกลูบหลังมือกลางฝัน


เขาขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าวเต็มร่างสูงสง่าภายใต้ชุดยาวสีเข้มเอ่ยอีกประโยคอย่างผ่อนคลาย “ถ้าเจ้าเตรียมใจไว้ดีแล้วข้าจะไปรับด้วยตนเอง...ที่ศาลา” แล้วท่านชายห่าวหมิงก็หันกายเดินเข้าไปในหอว่านหงเหรินอย่างไม่หันหลังกลับอีก เส้นผมสีเข้มยาวถูกมัดอย่างเรียบง่ายสะบัดเบา ๆ ตามแรงลม หายลับเข้าไปในเงาประตูไม้แกะสลักประณีตเงาที่กลืนเอาแววตา รอยยิ้มและเจตนาอันยากหยั่งของเขาไปจนหมดสิ้น


ทิ้งให้หลินหยายืนอยู่ท่ามกลางแดดยามเซิน ใจเต้นแผ่ว ๆ กับความรู้สึกประหลาดที่เกาะกุมไม่ยอมคลาย...ไม่รู้ว่าสิ่งที่สั่นไหวอยู่ในอกขณะนี้คือความระแวง ความหวั่นไหว...หรือว่าบางสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นกันแน่




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-7 18:58
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-7 18:58
โพสต์ 27424 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-7 16:40
โพสต์ 27,424 ไบต์และได้รับ +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-7 16:40
โพสต์ 27,424 ไบต์และได้รับ +12 EXP +10 คุณธรรม +10 ความชั่ว +12 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-7 16:40
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-7-18 02:12:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-18 02:23


วันที่ 16 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าหอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)


ยามไห่คลี่คลุมเมืองด้วยม่านค่ำเงียบงันแม้จะเป็นยามพักผ่อนของคนส่วนใหญ่ แต่ย่านถนนสิบลี้ใกล้หอว่านหงเหรินยังคงมีแสงไฟสลัวจากโคมแขวนหน้าร้านเรือนหอและเสียงเพลงบรรเลงเบาจางจากภายในดังลอดออกมาให้รู้ว่าโลกยามราตรียังหายใจอยู่…หลินหยาที่เดินเหม่อกลับเรือนพักไปตามทางเดิมจนใกล้จะเลยหอที่เคยทำงาน กลับต้องหยุดฝีเท้ากะทันหัน “อืม...อะไรน่ะ?” นางหรี่ตาแล้วขยับเข้าไปใกล้พุ่มไม้ด้านข้างของหอว่านหงเหริน...พอเพ่งดูดี ๆ ถึงกับเลิกคิ้วสูงด้วยสีหน้าโคตรงงราวกับจะถามสวรรค์ให้ได้คำตอบ


“อะไรวะนั้น…” เสียงของนางพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง “เฮ้ย เดี๋ยวนะ…ไอ้คนที่พิงต้นไม้แบบงง ๆ แล้วข้าง ๆ หืม? พัดปะน่ะ…” นางชะโงกหน้าขึ้นเล็กน้อย “...ใต้เท้าเถียนเฟิง?!” หลินหยาเบิกตาโพลงทันทีแถมยังแทบจะถอยหลังไม่เป็นจังหวะเหมือนเห็นวิญญาณเร่ร่อนกลางดึก “เฮ้ยเฮ้ยเฮ้ย!! ไต้เท้าเถียน?! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นคะ!! เมาหนักมากหรอ!! เมาเหมือนหมาเลยอะท่าน!!” นางโวยวายเสียงสูงพร้อมเดินดุ่ม ๆ เข้ามาโดยไม่เกรงใจฐานะของอีกฝ่ายแม้แต่นิดแววตาเต็มไปด้วยความตกใจระคนขำปนเหลือเชื่อสุดขีด


“ท่านเถียนเฟิง เฮ้ย ท่าน…นี้ได้ยินข้าไหม? ท่านเป็นถึงมหาเสนาบดีตรวจการแห่งแผ่นดินเชียวนะ เป็นต้าซือคงมานั่งหน้าเยิ้มพิงพุ่มไม้แบบนี้ให้ข้าเห็น...เอิ่ม...ไม่น่ารอดจากพวกนางโลมตรงหอนะเนี้ยจากสภาพ!” นางเดินเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น พร้อมกับชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกคนยังลืมตาอยู่ แม้จะปรือ ๆ ก็ตาม “ท่านยังตื่นอยู่ใช่ไหม?” หลินหยาโน้มตัวลง ใช้ปลายนิ้วสะกิดแขนอีกฝ่ายเบา ๆ “ท่านดื่มอะไรมาเนี่ย...อืม...กลิ่น...เหล้าแรงเสียด้วย? ท่านลักลอบเอาออกมาดื่มรึเปล่าเนี่ย ฮึ่ย บอกแล้วว่าท่านไม่ควรดื่มตอนอารมณ์ไม่ดีโอ้ย..”


เถียนเฟิงยังกะพรายไฟใต้หม้อที่สงบนิ่งทว่าในความเมากลับยังมีประกายจาง ๆ แฝงอยู่ในดวงตานั้นหรือบางอย่างที่แม้แต่นางก็ยากจะหยั่งถึงได้หมด หลินหยาหยุดพูดทันทีที่เห็นขณะจ้องใบหน้าอีกคนที่พิงอยู่ใต้แสงจันทร์บางเบา นางเอ่ยเบา ๆ ขึ้น “...ท่านมานั่งเหงาอะไรตรงนี้ ท่านไม่ใช่คนประเภทนั้นไม่ใช่เหรอ...” นางกอดอกจ้องตาอีกฝ่าย “จะลุกดี ๆ ไหม หรือจะให้ข้าหาเกวียนมาเข็น?” ใบหน้าเรียวมีรอยยิ้มขี้แกล้งผสานความห่วงใยไว้อย่างแนบเนียนตามสไตล์หลินหยาที่เป็นหลินหยาเสมอมาดื้อดึงแต่ใส่ใจ ปากร้ายกับคนที่กวนตีนกันเก่งแต่ใจอ่อน ยิ่งเวลาเห็นอีกคนเหมือนจะ ไม่เป็นตัวเอง...นั่นแหละน่าเป็นห่วง


“.....อือ” เสียงจากใต้เท้าเหมือนจะยังไม่มีคำพูดของหลินหยาเข้าหัว


เสียงลมยามไห่แผ่วผ่านใบไผ่ที่พริ้วเหนือศีรษะ…กลบเสียงลมหายใจอ้อยอิ่งของชายผู้หนึ่งที่ปกติแล้วไม่เคยจะเสียท่าแม้แต่นิดในท่ามกลางราชสำนัก...แต่ยามนี้กลับกลายเป็นบุรุษที่นั่งพิงเก้าอี้ไม้ตรงพุ่มไม้หน้าหอว่านหงเหรินในสภาพเสื้อคลุมเปิดแง้ม หลินหยาคุกเข่าลงนั่งข้าง ๆ พอเห็นชัด ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะสบถ "โว้ยยย ท่านนี่มัน…" นางขมวดคิ้วแน่น มองใบหน้าอีกฝ่ายที่ปกติเยือกเย็นราวจันทราเยือนบึงนิ่ง แต่เวลานี้กลับเหมือนพระจันทร์ตกน้ำคลอนแคลนไม่หยุด ตรงริมฝีปากยังมีกลิ่นสุรารุนแรง ดวงตาข้างหนึ่งปรือคล้ายลืมไม่ขึ้นหลินหยาหันมองรอบตัว


“รถม้าท่านล่ะ? คนติดตามท่านล่ะ? หรือแม่งปล่อยท่านทิ้งไว้คนเดียวเนี้ย?! เถียนเฟิง!! ตอบข้าหน่อย! โอ๊ย ท่านนี่มัน…!!”


เถียนเฟิงปรือตาขึ้นเพียงเล็กน้อย ดวงตาแดงเรื่อเหมือนผู้แบกความเหนื่อยล้าหลายปีซ้อน ในความเงียบระคนเสียงจิ้งหรีด มีเพียงคำพูดอ้อแอ้ที่เล็ดลอดออกมาเบา ๆ เสียงต่ำ ราวกับเปล่งผ่านผิวลิ้นที่ขมปร่า "...หืม…เสียงเจ้า...หลินหยาหรอ?" เขาเอียงหน้าเล็กน้อย พยายามเพ่งมอง ทั้งที่เห็นหน้าอีกฝ่ายตรงหน้าเต็มสองตาแล้วแท้ ๆ แต่สติเขากลับเหมือนลอยหายไปครึ่งหนึ่ง มือข้างหนึ่งขยับพรวดคว้ากลุ่มอากาศพลางพูดงึมงำ "ไม่มีใคร…ข้าไล่กลับหมดแล้ว...ไม่มีใคร…มึน" เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหัวเราะ...เสียงแหบพร่าแฝงความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถจำแนกได้ว่าเศร้าหรือระบายเจ็บในอกตามประสาคนเมา


"ข้าดื่ม...ดื่มจนจะลืมแต่พอเงยหน้าขึ้น......ข้ากลับเห็นเจ้าชัดกว่าตอนมีสติอีก" เถียนเฟิงไม่ใช่คนที่จะเมาเพราะสุรา หากเมาเพราะความคิดตัวเอง ความเงียบที่สะสมเหมือนกับไม่รู้สิหลินหยาไม่เคยเห็นเขาไม่มีทางเป็นแบบนี้อ่ะ ทุกสิ่งในตารางบัญชีของชีวิตเขาไม่มีคำว่าผิดพลาดแต่ยามนี้ทุกอย่างมันไม่เป็นระเบียบ…


“ท่านโดนมอมยากับมอมเหล้าหรอใต้เท้า” หลินหยาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง


"ไม่มีใครมารับหรอก...ไม่มีใครรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่..." เขาว่าเบา ๆ ราวกับเงาไม้ที่ทอดยาว ตอนนี้เหมือนว่าหลินหยาจะงงหนักกว่าเดิม เพราะเขาพูดเอาแต่ไม่มีใคร ไล่กลับ ….เขาบอกกันว่า อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมาท่าจะจริง มือที่เคยกำกระดานบัญชีอย่างมั่นคงตอนนี้กลับคว้าแต่ใบไม้ที่ร่วงใต้เท้า สะท้อนภาพบุรุษผู้ควบคุมทุกอย่าง...แต่ปล่อยใจตัวเองหลุดจากการควบคุม


เถียนเฟิงขมวดคิ้วนิด ๆ ขณะกลิ่นหอมของลูกท้ออ่อน ๆ กับไม้กฤษณาที่มักจะติดกายหลินหยาลอยมาตามลม ร่างสูงที่นั่งเมาอยู่ที่นั่งริมพุ่มไม้เงยหน้าขึ้นอีกครั้งช้า ๆ ดวงตาที่พร่ามัวไปเพราะฤทธิ์สุรากระพริบถี่เหมือนจะเรียกสติกลับมา ทว่า…ก็ยังพูดช้าเหมือนบทความจากราชกิจจาฯ ที่โดนก๊อปมาครึ่งหน้า “ขะ…ข้าไม่ได้โดนยานะ…ก็แค่...แค่...หรือเปล่า?” เขาเลียริมฝีปากตัวเองนิดหนึ่ง ดวงตาปรือยิ่งกว่าแมวเมาแดด “ก็แค่…กินมากไปนิด...แถมท้องว่างด้วย…มั้ง?”


“แล้วไอ้ที่เจ้าว่าข้าพูดไม่เป็นภาษาน่ะ ข้าเรียกว่า...การแสดงออกทางวรรณศิลป์แห่งความหดหู่ในใจ...” เสียงเถียนเฟิงยานคางใบหน้าปกติที่สุขุมจนฆ่าคนตายได้โดยไม่ต้องขยับกลายเป็นใบหน้าเมาที่อึนจนอยากหยิกแก้มข้างขวาเล่น ๆ เขาเอียงคอมองหลินหยาพลางยกมือขึ้นแต่ไปคว้าได้เพียงชายแขนเสื้ออีกฝ่ายเบา ๆ นิ้วเรียวสั่นเล็กน้อย ริมฝีปากขยับเหมือนจะพูดอะไรแต่แทนที่จะเป็นประโยคฉลาด ๆ หรือเสียดสีแบบคนเจ้าเล่ห์...กลับกลายเป็นคำอ้อนครางเบา ๆ


หลินหยามองเขาด้วยสีหน้าระคนระหว่างงงปนสงสารปนอยากยัดยาดมใส่จมูกคนเมาให้ฟื้นสติกลับมา เธอส่ายหน้าแล้วว่าเสียงลอดไรฟันเบา ๆ “โอ๊ย ให้ตายสิ คนอะไรเมาแล้วยังจะทำตัวลิเกไปอีก!”


“ก็ได้…จะอยู่เป็นเพื่อนให้แป๊บนึงก็ได้…แต่บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าจะอ้วกนะข้าไม่ล้างให้นะท่าน อีกอย่างถ้านานเกินไปข้าจะเดินไปตามคนมาลากท่านให้พาไปส่งจวนท่านเองด้วย” แล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้าเล็ก ๆ ในแขนเสื้อออกมาวางใส่ตักอีกคนเบา ๆ แบบเอาคืนก่อนจะนั่งกอดเข่ามองเขาเงียบ ๆ


“...ผ้าเช็ดหน้ากลิ่นลูกท้อกับไม้กฤษณา...ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเจ้าเนี้ย...” แล้วหัวก็เอนพิงลำไม้เงียบ ๆ เหมือนจะหลับไปตรงนั้นอีกครั้ง...กุลสตรีที่ไหนจะต้องนั่งเฝ้าอสรพิษขี้เมาเงียบ ๆ ใต้แสงตะเกียงยามดึกเช่นนี้กันนะ…หลินหยาหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ ราวกับไม่อยากยอมรับว่า…บางทีเธอก็เป็นพวกเดียวกับเขา


 


@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาปลดจ้า คือ 5555 เถียนเฟิงไม่เคยหล่อในสายตาน้องเลยดิ แกงมาก

รางวัล: -



อัพความชำนาญเฉพาะตัว ศาสตร์การดนตรี

รับพลังยอดนักดนตรี
1) มีระดับปราณพรสวรรค์ถึงระดับทอง
2) มีระดับความแข็งแกร่งถึงระดับ 40
3) มีสเตตัส INT 60+ และ POW 50+


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 31007 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-18 02:12
โพสต์ 31,007 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-18 02:12
โพสต์ 31,007 ไบต์และได้รับ +25 EXP +20 คุณธรรม +9 ความชั่ว +20 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-18 02:12
โพสต์ 31,007 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-18 02:12
โพสต์ 31,007 ไบต์และได้รับ +12 EXP +10 คุณธรรม +10 ความชั่ว +12 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-18 02:12
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-7-18 16:09:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 16 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าหอว่านหงเหริน

อีเว้นท์ เงาจันทร์เหนือถนนสิบลี้


เงาจันทร์ยามยามไห่ทอดทาบลงบนถนนสิบลี้ เงียบสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจของสุนัขเร่ที่นอนพาดเท้าหน้าหอว่านหงเหริน...แต่ไม่เงียบพอที่จะกลบเสียงบ่นอ้อแอ้ของเถียนเฟิงที่ยังเมาไม่สร่างแม้จะนั่งพิงต้นไม้อยู่นานจนดอกหญ้าข้างแก้มเขาแทบจะงอกเข้าไปในหู “...ข้าบอกแล้วว่าระบบส่วยแบบเดิมมันไม่ได้ผล...พวกกรม….คิดว่ากำแพงเมืองจะซ่อมได้ด้วยงบแค่นั้นหรือไง...ต้องมีคน...ต้องมี...คน...” เสียงเขาลดหลั่นลงเป็นกระซิบแหบพร่าแทบฟังไม่รู้เรื่อง


หลินหยานั่งกอดเข่ามองเขาสักพักรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูการแสดงเดี่ยวของขุนนางสายป่วยจิตขั้นอ่อนที่กำลังเล่นบทคนบ่นใส่ฟ้าดิน ทั้งที่ตรงหน้ามีแค่ต้นหญ้ากับแมวหลับไปแล้วหนึ่งตัว นางถอนหายใจพลางบ่นเบา ๆ “อาการแบบนี้…ตัวร้อนแน่เลยคนเมาหนักเนี้ย ถ้าปล่อยไว้...” แล้วจึงขยับเข้าไปใกล้แตะหลังมืออีกฝ่ายเบา ๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งนิด ๆ เพราะมือของเถียนเฟิงร้อน ๆ อุ่น ๆ พอสมควร “เอาว่ะ…ใต้เท้า...ข้าจะพาท่านกลับจวนนะ ลุกขึ้นหน่อย อย่าอิดออด เดี๋ยวก็ป่วยเอา” เสียงเธอเอ่ยด้วยความระอาแต่แฝงความห่วงใยดวงตากลมโตเหลือบมองรอบ ๆ อย่างระวังตัวก่อนจะค่อย ๆ ประคองร่างสูงขึ้นช้า ๆ


เขาขยับตัวอย่างงุ่มง่าม ริมฝีปากยังพึมพำ “...อย่าบอกใครนะ...ว่าข้า...เป้าหมายการปฏิรูปเศรษฐกิจของฮ่องเต้...คือการลดการพึ่งพาเงินจากตลาดมืด...” หลินหยาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกรอกตา “ไม่บอกหรอกน่า ใครเขาจะอยากรู้ว่าคิดอะไรแบบนั้นอยู่วะ ไม่ใช่การทำงานนะตอนนี้อ่ะท่านเถียนเฟิง” แล้วขยับมือไปคว้าหมวกไม้ไผ่ที่หลินหยามีมาสวมลงบนศีรษะอีกฝ่าย หมวกนั้นใหญ่ไปหน่อยจนเถียนเฟิงต้องก้มหน้าเกือบครึ่งคอถึงจะไม่หล่น หลินหยาแอบหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะพูดติดตลก “ดีละ ท่านดูเหมือนชาวบ้านที่เมาเพราะเมียหลวงไม่ยอมกลับบ้านสักที…ไม่มีใครจำท่านได้แน่นอน”


จากนั้นมือบางก็ค่อย ๆ ประคองแขนอีกคนขึ้นอย่างไม่ประณีตนักแต่ก็แน่นพอให้พยุงน้ำหนักได้ เดินผ่านถนนสิบลี้ที่ไร้ผู้คนยามค่ำ เงาสะท้อนของตะเกียงบนแอ่งน้ำข้างถนนกระเพื่อมไหวตามแรงก้าวของทั้งสองร่าง เสียงฝีเท้าที่ไม่เท่ากันดังสลับไปมาพร้อมเสียงถอนหายใจเบา ๆ ของหญิงสาวที่ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะกับสภาพคนที่ปกติปั้นหน้าเย็นชาเหมือนจะวางแผนล้มขั้วอำนาจได้ทั้งแคว้นแต่วันนี้กลับโดนแบกหัวหมุนกลางดึกแบบนี้และระหว่างที่เธอกำลังนึกถึงทางลัดกลับจวนที่ไม่ต้องผ่านพวกช่างนินทาเถียนเฟิงที่อยู่ในอ้อมแขนเธอก็พึมพำเบา ๆ ข้างหู “หลินหยา...ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากเป็นหนี้ใคร...แต่คืนนี้...ให้ข้าเป็นหนี้เจ้าก็แล้วกัน...”


เสียงนั้นเบาราวกลืนไปกับลม...แต่แรงกอดที่แนบมาตามแขนข้างหนึ่งของเขาทำให้เธอต้องเม้มปากแน่น เอ่อ แกได้เป็นหนี้สมใจแน่เถียนเฟิง


เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงสาวดังต่อเนื่องท่ามกลางความเงียบของยามค่ำคืน ถนนสิบลี้ยามนี้ราวกับร้างไร้เงาคน มีเพียงแสงตะเกียงบางดวงที่ยังกรุ่นไส้ไฟริบหรี่คล้ายจะดับแต่ยังสู้ไม่สิ้นแสง เช่นเดียวกับหญิงสาวร่างบางที่แม้จะเหนื่อยจากการพยุงร่างของใครบางคนซึ่งกำลังเมาได้ที่จนแทบจะเป็นภาระระดับเสาเรือนแต่เธอก็ยังเดินไปข้างหน้า ดวงตาหวานสั่นไหวไปตามแสงที่สะท้อนผิวน้ำใต้ฝ่าเท้า


เถียนเฟิงตอนนี้...ไม่ใช่ใต้เท้าที่สงบเสงี่ยมวางแผนเงียบ ๆ อีกต่อไป ทว่าเขาคือชายเมาขาดสติที่กำลังพึมพำราวกับวิญญาณในพงไพร “ถิงเว่ย...เขาหายไป...ไม่ทันได้ถามว่าเอกสารนั้นเสร็จยัง...” น้ำเสียงพร่าลงในลำคอคล้ายละเมอ “...วันที่สอง...ยามเซิน...ไม่มีใครบอก ไม่มีร่องรอยใด...”


หลินหยาในจังหวะนั้นชะงักฝีเท้าหัวใจพลันเต้นแรง ความทรงจำหนึ่งผุดพรายขึ้นในห้วงคิด ถิงเว่ย..ท่านจางทัง วันนั้นเขาอยู่กับนางกินหม้อไฟแสนอร่อย...ก่อนจะขอตัวออกไป หายไป...แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ตอนนั้นท่านชายห่าวหมิงในคราบจางกงกงยังบอกอีกว่าเขาไปราชการต่างเมือง...นางเม้มปากแน่นกัดฟันแน่นจนกรามเกร็ง นัยน์ตากลมโตหรี่ลงอย่างคาดการณ์


"...ถ้าโกหกข้าล่ะก็ ไอ้จางกงกง...เราได้รู้กันแน่..."


เสียงกรอดเบา ๆ จากฟันที่ขบกันแน่นแทบจะสื่อความในใจออกมาทั้งหมดและในขณะเดียวกันนั้น เถียนเฟิงที่ดูเหมือนจะทรุดตัวลงเล็กน้อยกลับขยับเข้ามาแนบชิดเธอยิ่งกว่าเดิม แขนที่วางพาดบ่ากลับรั้งเบา ๆ ให้ร่างสูงเอนเข้ามา...แนบจนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร้อนจัดของผิวกาย ริมฝีปากที่เคยกล่าวโทษเหล่าขุนนางคดโกงคราวนี้กลับเลื่อนไปใกล้ใบหูเธออย่างไม่รู้ตัว หลินหยาเบ้ปากอย่างเหนื่อยใจ “ให้ตายสิ...นี่มันกอดแน่นกว่าตอนพี่ชายข้าเมาอีก…แล้วจะให้ข้าพาพ้นมุมหัวถนนสิบลี้ไหมเนี้ย...” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่มือเธอก็ยังมั่นคงไม่ปล่อย น้ำเสียงไม่แผ่วแม้หัวใจจะเต้นแรงจากข้อมูลที่ได้รับมาท่ามกลางความเมามายของอีกฝ่าย


“ท่านบอกว่าจะเป็นหนี้ข้าใช่ไหม...” เสียงเธอแผ่วเบาในลำคอก่อนจะเหยียดยิ้มจาง ๆ “งั้นก็จดไว้ให้ดี ข้าจะเก็บทบต้นทบดอกจดพร้อมวันที่ เวลา และแม้แต่ชื่อคนที่ท่านกอดแน่นแบบนี้ขณะเมา...” น้ำเสียงขี้เล่นนั้นพาให้บรรยากาศเย็นของค่ำคืนอุ่นขึ้นเล็กน้อย แม้น้ำหนักของอีกฝ่ายจะยังพาดมาจนบ่าจะหลุดแต่หญิงสาวก็ก้าวต่อไปโดยไม่คิดจะปล่อย คืนนี้...นอกจากจะต้องพาใครบางคนกลับให้ถึงจวนโดยไม่มีใครเห็นแล้ว...เธอยังได้รู้เรื่องใหม่ที่เหมือนเงาผืนผ้าไหมที่ถูกดึงออกจากมุมหนึ่งจนเห็นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิงภายใน


และหลินหยารู้ดีว่า...เรื่องนี้นางจะไม่ปล่อยให้มันจบง่าย ๆ อย่างแน่นอน




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เอาเลยคุณพี่น้องจะตีหัวจางกงกง

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 26450 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-18 16:09
โพสต์ 26,450 ไบต์และได้รับ +20 EXP +5 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-18 16:09
โพสต์ 26,450 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-18 16:09
โพสต์ 26,450 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-18 16:09
โพสต์ 26,450 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม +5 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-18 16:09
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-7-20 19:48:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 19 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


และแล้วหลินหยาก็มาที่นี่อีกครั้ง หอว่านหงเหรินที่ไม่ได้เข้ามาตั้งนาน ก่อนหน้านี้เธอไปรับเลี้ยงหมาน้อยตัวหนึ่งมาก่อนแต่มันอ่อนแอเลยพาไปส่งที่โรงหมอให้ท่านหมอรักษาก่อน แล้วก็อาบน้ำใหม่มาที่หอว่านหงเหรินแห่งนี้ สถานที่จุดเริ่มต้นของนางกับจางกงกง เธอพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ เขามาที่นี่ในฐานะท่านชายห่าวหมิง แต่ก็คงจะอยู่ที่ห้องเดิม ห้องรับรองตะวันตก ห้องที่เขามักจะไปที่นั้นนั่งฟังเสียงดนตรีและรำสุราที่หลินหยาเป็นคนบรรเลงหรือเป็นคนรินยามเมื่อนางยังเป็นเพียงนักดนตรีฝึกหัดที่หอว่านหงเหรินแห่งนี้


เสียงฝีเท้าของหลินหยากระทบลงบนพื้นไม้เนื้อดีแห่งหอว่านหงเหรินที่เงียบสงบในยามเซิน แสงแดดอุ่นอ่อนทะลุม่านผ้าแพรบางสีครามนวลย้อมเรือนร่างเธอด้วยเฉดทองอ่อนของบ่ายคล้อย หากแต่ในอกกลับรู้สึกหน่วงหนักคล้ายเดินผ่านความหลังของตนเองในทุกย่างก้าวความทรงจำในรอยยิ้ม เงาของดวงตาและเสียงทุ้มนุ่มนวลที่คล้ายจะเอ่ยชื่อของนางในทุกคืนเดือนดับ...


"ห้องรับรองตะวันตกเหมือนเดิมสินะ..." หญิงสาวพึมพำกับตนเอง ดวงตาฉายแววลังเลชั่วครู่ก่อนจะกลับมาแน่วแน่อีกครั้ง


เส้นทางเดินภายในหอยังงดงามราวภาพฝันเช่นเดิม กลิ่นดอกเหมยอบแห้งผสมกลิ่นเครื่องหอมจากเตาเผาอ่อน ๆ ยังลอยคลุ้งล้อมอยู่ในบรรยากาศไม่แปรเปลี่ยน ทุกก้าวที่ก้าวไปเหมือนมีดอกไม้โปรยไว้บนความทรงจำ บางครั้งเธอเคยหัวเราะอยู่ตรงนี้บางครั้งเธอเคยแอบยิ้มอยู่ตรงนั้น และในห้องปลายทาง...เธอเคยเกือบหลงคิดว่าเขาเป็นคนดีจนไม่ฟังคำเตือนใคร หลินหยาหยุดอยู่หน้าบานประตูไม้สลักลายเมฆซ้อนหงส์ที่เธอคุ้นเคย บานประตูนี้เคยเปิดออกมาและพบกับเขาผู้สวมหน้ากากครึ่งหน้าชายแปลกหน้าผู้มีดวงตานิ่งงันยากคาดเดา แต่กลับเอาแต่จ้องมองนางราวกับจะกลืนกินหัวใจเธอทั้งดวง


“ท่านอยู่ข้างในนั้นหรือเปล่านะ…หญิงสาวพ่นลมหายใจยาวอีกครั้งก่อนยกมือขึ้นเคาะเบา ๆ ที่ประตู


ตึก ตึก ตึก…


ไร้เสียงตอบกลับทันที มีเพียงเสียงสายลมยามบ่ายที่โบกผ่านร่มไม้ภายนอก ลมหอบกลิ่นบุหงาหอมอ่อนปลิวมาแตะปลายจมูก ก่อนที่บานประตูจะค่อย ๆ แง้มเปิดออกช้า ๆ ด้วยแรงผลักจากภายใน...กลิ่นเครื่องหอมที่เธอจำได้แม่นลอยออกมาเป็นระลอกแรก ตามมาด้วยแสงสีทองที่รินไหลจากหน้าต่างฝั่งตะวันตกทอดลงบนพรมไหมพับงามกลางห้อง และในห้องนั้นบนเบาะรองนั่งที่มีหมอนปักไหมประดับลวดลายหยินหยางใบหนึ่ง เรียงรายขวดสุราและถ้วยชาอยู่เงียบ ๆ ชายผู้หนึ่งในชุดยาวสีเข้มที่เธอรู้ดีว่าใคร...กำลังเอนกายพิงขอบหน้าต่าง มองแสงอาทิตย์ด้วยแววตาเหม่อลอย แต่เมื่อบานประตูเปิด เสียงฝีเท้าและกลิ่นเฉพาะของนางพลันเปลี่ยนทิศสายตาของเขาให้หันกลับมาในพริบตา


"เจ้ามาเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้นะ...เสี่ยวหยา" เสียงทุ้มของเขากล่าวขึ้นในที่สุด แต่ในน้ำเสียงกลับไม่แฝงความประหลาดใจ ราวกับเขาคาดไว้แล้วว่านางจะมาหาเขา...ไม่วันใดก็วันหนึ่ง หลินหยาจ้องเขาไม่กระพริบ นางไม่พูดอะไรทันทีแต่เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง นั่งลงตรงกันข้ามเขาด้วยท่าทางที่เหมือนจะบอกว่า ‘ข้ามาเพราะต้องมา ไม่ได้อยากมา’ แต่ถึงกระนั้น...ขอบตาของหญิงสาวกลับร้อนผ่าวกว่าที่คิด ทั้งที่ไม่ควรเป็นเช่นนั้นเลยก็แค่สถานที่เก่า บรรยากาศเดิมกับผู้ชายหน้าเดิม ๆ ที่แกล้งนางได้ทุกครั้ง...แล้วทำไมนางถึงใจเต้นแรงจนอยากหนีกลับไปเสียตอนนี้นะ?

 

แต่หลินหยาก็แค่เม้มปากแน่นไม่ยอมแสดงสีหน้าใด ๆ เพราะรู้ดี...ว่าถ้าเธอเผลอเผยความรู้สึกนั้นออกไป เขาจะต้องจับได้แน่นอนและจะต้องแกล้งเธออีกแน่ ๆ อย่างที่เคยทำ...แค่คิด...นางก็อยากจะเอาถ้วยชานั้นฟาดหน้าคนตรงหน้าแล้วหนีออกไปซะเดี๋ยวนั้นเลย หลินหยามองชายสวมหน้ากากครึ่งหน้าแล้วเดินมาภายในห้องแห่งนี้แล้วปิดประตู กอดอกมองเขา บอกให้มาพิสูจน์ว่ามีสตรีมายุ่งไหม แต่เขาคงไม่ทำอะไรให้เสียเรื่องเสียละมั้ง..


จางกงกงยังคงเอนกายพิงหมอนข้างบนพรมเนื้อดี ชุดยาวสีหมึกทอดตัวเรียบลื่นท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหน้าต่างแคบของห้องรับรองตะวันตก เสียงประตูปิดลงเบา ๆ ตามด้วยเสียงฝีเท้าเบาแต่หนักแน่นของหญิงสาวผู้มาเยือนและเขาไม่จำเป็นต้องเหลือบมองก็รู้ว่าใคร "จริงสิ…ข้าไม่เห็นต้องพิสูจน์อะไรเลยใช่ไหม" เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่หางเสียงแฝงรอยยียวนพลางเอียงศีรษะมาทางนางครึ่งหนึ่ง "แต่ไหน ๆ เจ้าก็มาด้วยตนเอง ข้าก็ควรแสดงความ...จริงใจหน่อยละมั้ง?" 


ดวงตาหลังหน้ากากครึ่งหน้าจับจ้องหลินหยาไม่คลาดเคลื่อน ขณะที่หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาคมหวานเดินเข้ามา กอดอกแน่น มองเขาด้วยแววตาระแวดระวังปนเหนื่อยหน่าย ไม่ต้องเดาให้ยากสีหน้าแบบนี้ของหลินหยา แปลได้ชัดถ้อยว่า ‘ข้ารู้ทันนะว่าเดี๋ยวต้องมีอะไรแน่’


“ท่านบอกให้ข้ามา ข้าก็มานี่ไง” นางบ่นในลำคอก่อนจะสะบัดหน้ามุ่ยเบา ๆ แล้วเดินวนห่างจากเขาเล็กน้อย หางเสียงงอนเล็ก ๆ แต่กลบด้วยท่าทางฮึดฮัดแบบคนที่พยายามจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร “ก็บอกให้มาพิสูจน์ดูนี่นาว่ามีสตรีใดมาเกี่ยวข้องกับท่านไหม แต่นี่คงจะไม่ทำอะไรให้ดูง่าย ๆ หรอก ข้าไม่หลงกลท่านหรอกนะอย่าคิดจะมาหยอกหรือแกล้งอะไรอีกล่ะ!”


“หืม? แต่หน้าตาเจ้าดูเหมือน...คาดหวังอยู่นะ” จางกงกงหรี่ตาลง มุมปากยกยิ้มบาง ๆ อย่างผู้กำลังจะล่าเหยื่อ มือหนึ่งค่อย ๆ ยกถ้วยสุราขึ้นจิบช้า ๆ ดวงตานั้นยังไม่ละจากร่างของหญิงสาวแม้แต่วินาทีเดียว


หลินหยาหันขวับส่งสายตาราวกับจะฆ่าเขาด้วยลูกตา แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ผล “คาดหวังบ้านท่านสิ!” นางแทบจะตะโกนเสียงเขียวแต่ก็ยังคงรักษาสง่าราศีของสาวชาววังไว้ไม่ให้กลายเป็นแม่ค้าตลาดล่างเสียก่อน นางจงใจเดินเข้าไปใกล้หยิบถ้วยชาตรงหน้าเขามาวางเปรี้ยงลงข้างตัว ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามอีกคนอย่างท้าทาย คางเชิด ดวงตาหวานร้อนแรงกว่าคำพูดเสียอีก “ถ้าจะเล่นลิ้นนักล่ะก็...รีบ ๆ พิสูจน์ให้มันจบ ๆ ไปเสียที ข้าจะเข้าเรื่อง”

 

จางกงกงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะนั้นไม่ได้ดังกึกก้องแต่มันกลับทำให้บรรยากาศรอบห้องเหมือนจะอุ่นวาบขึ้นในทันที “เช่นนั้นก็รอดู...เพราะข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดูด้วยวิธีของข้าเท่านั้น” เขาค่อย ๆ วางถ้วยสุราลง ก่อนจะเอนตัวเข้ามาใกล้ ใกล้จนหลินหยาเริ่มอยากจะลุกหนี แต่ก็ดันยืดอกท้าทายเข้าใส่ทั้งที่ใจเต้นแรงแทบระเบิด ก่อนที่หากเมื่ออีกคนดูท่าจะยื่นมือมาหลินหยาเบี่ยงตัวหลบอย่างมีจังหวะ มือเรียววางถ้วยชาเปล่าลงโต๊ะอย่างไม่เบานัก ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ดวงตาคมหวานที่เคยฉายแววขี้เล่นระริกกลับฉายเงาเครียดจัดเจน นางยกมือกอดอกไว้แน่นก่อนเอ่ยเสียงขุ่น


"ไม่ต้องพิสูจน์อะไรหรอก ข้าไม่ได้มาวันนี้เพื่อให้ท่านมาแกล้งหรือเล่นลิ้นอีกแล้ว" น้ำเสียงของนางฟังดูเด็ดขาดกว่าทุกครั้ง “ข้ามาเพราะเรื่องของท่านจางทังอย่าทำลืมสิ”


จางกงกงยังคงเอนพิงหมอนหนุนหลัง ท่าทีของเขายังคงดูผ่อนคลายจนเกินเหตุ แม้จะมีแววระวังลึก ๆ ใต้ดวงตาใต้หน้ากากที่เหลือบมองนางไม่วาง จนเมื่ออีกฝ่ายหยิบประเด็นที่เขาอยากจะหลีกเลี่ยงขึ้นมา ใบหน้าหล่อใต้หน้ากากครึ่งซีกนั่นกลับเผยรอยยิ้มเหี้ยมเยือกบาง ๆ คล้ายคนที่กำลังจะเล่นสนุกกับของที่ตนเองจับทางได้หมดแล้ว "เรื่องของเขาน่ะหรือ? โอ้...เจ้าอยากรู้จริง ๆ งั้นหรือเสี่ยวหยา?" เสียงของเขาเอ่ยเนิบนาบคล้ายล้อเลียน คล้ายทดสอบใจนางไปพร้อมกัน “ถามข้าตรง ๆ เช่นนี้ ทำไมกัน? หรือว่า...เจ้ากลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไปเพราะเจ้า?”


“ท่านทำอะไรเขา?” นางย้อนถามเสียงต่ำ ใจร้อนจนสายตาลุกวาว หากเป็นดาบคงฟาดลงมากลางคอเขาแล้ว “ตอบมาเถอะ ข้าไม่เล่นด้วยouhไม่ใช่เรื่องที่จะหยอกเย้านะ!”


“หืม… ใจร้อนจังนะ” จางกงกงลุกขึ้นจากท่านั่งสบาย ๆ ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะไม้ลายครามมายืนตรงหน้านางอย่างไม่รีบร้อน ฝีเท้าเนิบช้าแต่แฝงอำนาจมือหนึ่งไขว้หลังอีกมือแตะขอบโต๊ะ ก่อนจะโน้มกายลงมาจนใบหน้าของเขาอยู่ในระดับเดียวกับหลินหยา “ข้าสัญญาแล้วมิใช่หรือ?” เขาเอ่ยเสียงนุ่มแต่เย็นเยียบ “ว่าจะตามหาเขาให้และจะพากลับมา หากข้าทำได้…เจ้าก็ต้องให้รางวัลข้าเหมือนที่เจ้าพูดไว้ ใช่หรือไม่?”


หลินหยาขบฟันแน่นอย่างอดกลั้นทั้งอยากผลักใบหน้าทะลึ่งทะเล้นนั่นออกให้พ้นทาง แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องแกล้งกลับอยู่ดี “ท่านอย่าคิดว่าข้าจะลืมเรื่องนั้น แล้วเอามาเล่นลิ้นต่อรองกับเรื่องของท่านจางทังนะ!”


“แล้วข้าเล่นตรงไหนกัน?” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกือบสุภาพเกินควร “ข้าแค่...ถามไถ่ถึงข้อตกลงระหว่างเราก็แค่นั้น” ดวงตาของเขาฉายแววเยือกเย็นขึ้นชั่วขณะก่อนจะกลับเป็นรอยยิ้มแฝงเงาเงียบ “และตอนนี้ข้าก็กำลังทำตามสัญญาอยู่...แม้ว่าจะมีอุปสรรคบางอย่าง”


หลินหยาขมวดคิ้ว “อุปสรรคอะไร?”


“เจ้า” เขาตอบทันทีพร้อมรอยยิ้มเยือกเฉียบในดวงตา “เจ้านั่นแหละคืออุปสรรคของข้า ไม่ว่าจะมองยังไง” ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือขึ้น...แตะที่ปลายคางนางเบา ๆ แล้วเอ่ยแผ่วเบาในระยะที่ลมหายใจแทบผสานกัน “แต่ข้าไม่ถือสา...หรอกนะ เพราะอุปสรรคที่ทำให้ข้าหลงหัวปักหัวปำได้ขนาดนี้ ก็มีแค่เจ้านี่แหละ”


หลินหยาเบิกตากว้างนางอยากผลักไส อยากด่ากลับให้เจ็บใจ แต่กลับพูดไม่ออก คำพูดพวกนั้น...มันคล้ายจริงจังเสียจนนางสับสนว่าจะโกรธ หรือจะหลุดหัวเราะออกมาก่อนกันแน่ แต่สิ่งเดียวที่แน่ชัดคือเขายังไม่ได้ตอบเลยว่า ท่านจางทังอยู่ที่ไหนกันแน่?


หลินหยาแทบอยากจะด่าเขา กำลังด่าเลยแหละ "อย่ามาเล่นลิ้นกับข้านะ!" เสียงหวานแปร่งด้วยความขุ่นเคืองพุ่งแหลมขึ้นในห้องแคบ หลินหยายืนตึงขากรรไกรแน่นเสียจนข้างแก้มขึ้นสัน ดวงตาเบิกกว้างราวจะพ่นไฟใส่คนตรงหน้า "บอกมาเสียที! ท่านจางทังอยู่ไหน? อย่าคิดจะยื้อเพื่อแกล้งข้าเล่นอีก!" นางกัดฟันพูดมือกำชายเสื้อจนข้อนิ้วซีดขาว ทั้งจากความโกรธและความกลัวที่กัดกินใจตนเองอย่างเงียบงัน ความกังวลในน้ำเสียงนางไม่อาจปิดบังได้ ถึงหลินหยาจะเก่งในเรื่องแสดงละครขนาดไหน แต่เมื่อนึกถึงท่านจางทังมิตรสหายชายหนุ่มผู้เคยมีบุญคุณต่อนางมันก็ยากเหลือเกินที่จะข่มอารมณ์ให้ราบเรียบ และยิ่งอยู่ต่อหน้าชายสวมหน้ากากครึ่งหน้าตรงหน้า นางยิ่งปิดบังมันไม่ได้


ตรงกันข้ามกับความตึงเครียดของนาง ใบหน้าของจางกงกงภายใต้หน้ากากครึ่งซีกกลับคลี่ยิ้มออกมาอย่างเนิบช้า ดวงตาฉายแววขำขันปนเวทนา และนั่นนั่นแหละ...ที่ทำให้หลินหยาอยากจะพุ่งเข้าไปผลักเขาให้ล้ม "ใจเย็นสิแม่เสี่ยวหยาตัวน้อย" เขาเอ่ยเสียงนุ่ม ทว่าความนุ่มนั้นกลับเต็มไปด้วยหนามแหลมพาดพิงถึงความไร้พลังของนางอย่างไม่บอกกล่าว "คนของข้ากำลังจัดการเรื่องนั้นอยู่"


เขาหยุดไปครู่ก่อนจะเอียงศีรษะเบา ๆ แล้วเดินเข้าใกล้ช้า ๆ ทีละก้าว...ทีละก้าว ราวกับนักล่าที่รู้แน่ว่าเหยื่อไม่อาจหนีได้พ้นกรงเล็บตน "หอว่านหงเหรินน่ะ...เจ้าคิดว่ามันเป็นเพียงสถานที่หาความบันเทิงธรรมดาเท่านั้นหรือ?" เสียงทุ้มเจือเย็นเอ่ยกระซิบเมื่อระยะห่างเหลือไม่ถึงสองคืบ มือเรียวยาวยกขึ้นแตะปลายเส้นผมของนางที่ปรกแก้มอย่างแผ่วเบา เกลี่ยมันออกเบา ๆ คล้ายจะห่วงหา ทั้งที่รอยยิ้มใต้หน้ากากนั้นกลับบิดเบี้ยวด้วยความคิดน่าสะพรึงในหัวของตน "มีใครบางคนในเงามืดหรือแสงสว่าง...ที่ข้าไม่อยากให้เจ้าได้พบเขาอีก ข้าเพียงกำจัดสิ่งกีดขวาง...และรอให้คนของข้าจัดการลากตัวกลับมา"


“ข้าไม่ต้องการคำอธิบายครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือคำแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ จากปากท่านหรอก” หลินหยาขยับถอยหลังอย่างไม่ไว้ใจ “ข้าอยากได้คำตอบว่าท่านจางทังปลอดภัยหรือไม่!”


“ปลอดภัยดี…ตราบเท่าที่เจ้ายังว่างมาพบข้าแบบนี้ได้ทุกวัน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายหยอกคล้ายล้อ แต่นัยน์ตาที่จ้องนางไม่ใช่เล่นไม่เคยเล่นเลยแม้สักครั้ง และก่อนที่นางจะทันตอบโต้อะไร จางกงกงก็ก้าวเข้ามาอีกครั้ง ฝ่ามือหนาแตะที่ผนังด้านหลังใบหน้านาง ร่างสูงแผ่รัศมีคุกคามปิดทางหนีทุกทิศไว้แน่น "เจ้าน่ะ…มันปีศาจในคราบแมวเชื่อง" เสียงเขาแผ่วกระซิบที่ข้างใบหู "แต่ข้าน่ะหรือ…ข้าคือมัจจุราชที่จับเจ้าไว้ใต้กรงเล็บตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้ว" คำพูดของเขาเย็นชาแต่ลุ่มลึก ราวกับผู้อ้างสิทธิ์ครอบครองในสิ่งที่ไม่ควรครอบครองและหลินหยาก็รู้...รู้ดีว่าทุกคำพูดนั่นไม่ได้เป็นเพียงลมปาก


ความรู้สึกเยือกเย็นและร้อนรุ่มปะทะกันกลางอกนาง ราวกับกำลังยืนอยู่บนเหวน้ำแข็งที่ลุกเป็นไฟ นางจะรับมือกับเขาอย่างไรดีในเมื่อตอนนี้เงารอยยิ้มใต้หน้ากากนั้นช่างเหมือนคนที่ พร้อมจะกลืนกินนางทั้งเป็น...โดยไม่เหลือซากเลยแม้แต่นิดเดียว


ดวงตาคมใต้หน้ากากครึ่งซีกของจางกงกงทอดมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนอะไรบางอย่างในห้วงความคิดได้ถูกสะกิดขึ้นมา... เงาในม่านความทรงจำทาบซ้อนกับภาพตรงหน้าราวกับฉากละครซ้อนเงา


...ที่นี่...ห้องนี้

...แสงเทียนสลัวเย็นรินผ่านม่านบาง

...กลิ่นกฤษณาอ่อนๆ จากกระถางธูปที่วางมุมห้อง


"เจ้ายังจำได้ไหม" เสียงแหบพร่าชวนเคลิบเคลิ้มกระซิบที่ข้างหูนางคล้ายหยอก คล้ายจงใจสะกิดบางสิ่งให้ตื่นขึ้น "ที่นี่...คือที่ที่ข้าเจอเจ้าครั้งแรก" 


หลินหยาเบิกตากว้างนิดๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีดวงตานั้น กลิ่นน้ำหอมจากอาภรณ์เขายังคงรวยริน เสียดแทงความทรงจำเก่าก่อนให้พุ่งขึ้นราวคลื่นกลืนสติ ตอนนั้นนางยังไม่รู้จักเขา ยังไม่รู้ว่าเบื้องหลังหน้ากากคนนั้นคือปีศาจเงียบงันในวังหลวง…นางในวัยนั้นแค่เด็กสาวคนหนึ่งในหอว่านหงเหริน ผิวขาวจัด ตาคมหวาน ใบหน้าเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบร่างเล็กผอมบางจนเสื้อคลุมยังหลวมโพรก มือที่ถือถาดยังสั่นไม่หายจากแรงตื่นเต้น...วันที่เขาเดินเข้ามาในห้องตะวันตก ห้องนี้ ห้องที่ตอนนี้กลายเป็นสนามอารมณ์ระหว่างทั้งสอง


เสียงฝีเท้าของเขาในความทรงจำยังคงชัดเจน เงาร่างสูงในชุดคลุมดำทาบทับกับแสงไฟ สวมหน้ากากครึ่งซีกเหมือนทุกครา ดวงตาคมดั่งหมาป่าทะลุม่านทุกสิ่ง...และประโยคแรกที่เขาพูดกับนาง


‘เจ้าชื่ออะไร’ แม้ผ่านมานานแค่ไหน เสียงนั้นก็ยังคงดังก้องเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ‘หลินหยาเจ้าค่ะ’ คำตอบของเด็กสาวเหมือนจะสั่นแต่กลับนิ่งขึ้นได้อย่างน่าประหลาด มือประสานแน่นอยู่หน้าท้อง เสียงของนางเบาจนแทบกลืนหายไปกับสายลม แต่เขาได้ยินเขาจำได้และเขาก็จดจำมันไว้เสมอ


"เจ้าพูดคำนั้นด้วยดวงตาที่นิ่งแต่สั่นเหมือนหวาดกลัวนัก...แต่ก็ยังนิ่งได้อยู่" จางกงกงพูดต่อเบา ๆ นิ้วเรียวแตะที่ปลายคางของนางเกลี่ยขึ้นอย่างนิ่มนวลเกินกว่าจะเชื่อว่ามาจากผู้ชายที่เคยบีบคอคนตายโดยไม่กะพริบตา "แต่ข้ากลับรู้สึกว่าชื่อของเจ้ามัน...หวานเสียจนกลืนไม่ลง" หลินหยาเม้มปากแน่นนางไม่อยากจำ แต่มันก็จำขึ้นมาเสียหมด เขาเคยมองนางเหมือนตุ๊กตาใบหนึ่งที่เขาแค่อยากเล่นด้วยชั่วคืนหรือชั่วอารมณ์ แต่เขา...ไม่เคยแตะต้องนางในครั้งนั้นเลยแม้แต่น้อย กลับนั่งนิ่งฟังเสียงขลุ่ย ฟังเสียงรินสุรามองนางราวกับกำลังมองบางสิ่งที่ตนเองยังไม่เข้าใจ


"เจ้าน่ะ...เปลี่ยนไปนะ" เขากระซิบชิดหูอีกครั้ง ริมฝีปากร้อนแนบแน่นแทบจะแตะเนื้อนวลขาวใต้ใบหู "จากลูกแมวสั่นกลัว...กลายเป็นแมวป่าขนพองที่พร้อมจะข่วนข้าทุกครั้งที่มีโอกาส...แต่มันก็น่ารัก...จนข้าอดใจไม่ได้ทุกครั้งที่เห็น"


"ท่านจางกงกง..." หลินหยาพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่นนางอยากพูดอะไรสักอย่างเพื่อขัดจังหวะสายตานั้นเพราะเขานั้นแหละที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้ เพราะเขาคนเดียวที่พรากเอาความสุขของนางไปตอนนั้น ความจดจำบ้าคลั่งนั้นแต่ก็พูดอะไรไม่ออกได้แต่ยกมือขึ้นปัดมือเขาออกแต่กลับถูกคว้าไว้เสียก่อน


"ไม่ต้องขัดขืนหรอก เจ้าน่ะ...ยังไงก็ไม่มีวันหนีข้าพ้นอีกแล้ว" และก่อนที่นางจะทันเอ่ยถ้อยคำใด ดวงตาคู่นั้นก็มองลึกเข้าไปในใจของหลินหยาอีกครั้งดวงตาที่ไม่เคยเปลี่ยน ดวงตาของผู้ชายที่มองนางมาตั้งแต่วันแรก...ดั่งหมาป่าที่จ้องเฝ้าเหยื่อของตนเองมาโดยตลอด…จนกว่าวันหนึ่งจะถึงเวลา ลงมือ จริง ๆ


จางกงกงที่อยู่ตรงหน้าเงียบไปชั่วอึดใจ ขณะดวงตาภายใต้หน้ากากครึ่งซีกยังคงจับจ้องหลินหยาด้วยแววตานิ่งราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ราวกับภาพของวันแรกที่ได้พบเธอในหอว่านหงเหรินยังคงติดตรึงอยู่ในใจ และตอนนี้เธอก็ยังอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง ในฐานะผู้ต่อรอง…หรือในฐานะเหยื่อล่อสำหรับบางอย่างที่เขายังไม่อาจกล่าวออกมา มือของหลินหยาที่พยายามขยับจะปัดเขาออกในตอนแรกที่ตอนนี้กลับถูกชายผู้ครองตำแหน่งจงฉางชื่อรวบไว้มั่น เขาไม่พูดอะไร ไม่แม้แต่จะเอ่ยชื่อเธอซ้ำอย่างอ่อนโยนเหมือนก่อน จางกงกงโน้มตัวเข้ามาใกล้ เลื่อนปลายนิ้วของหลินหยาเข้าหาตนเองอย่างแช่มช้า ชั่ววินาทีนั้น ราวกับทั้งอากาศภายในห้องรับรองตะวันตกในหอว่านหงเหรินนั้นหยุดนิ่ง


ริมฝีปากของเขาแตะลงที่ปลายนิ้วของเธอเบา ๆ อย่างไม่รีบร้อน แต่ไม่ได้แผ่วเบาหรืออ่อนหวาน มันไม่ใช่การสัมผัสของผู้ปรารถนาดี ไม่ใช่ความละเมียดละไมแบบคนรัก...มันคือการแตะที่แฝงเร้นความหมาย การกระทำที่จงใจ และมีจุดมุ่งหมาย มันคือสัญลักษณ์ของการตีตรา ความท้าทาย และการครอบครองไม่ใช่ด้วยสิทธิของหัวใจ แต่ด้วยอำนาจและความปรารถนาอันเร้นลึกที่เก็บงำไว้ในความมืด


หลินหยาเบิกตาน้อย ๆ ดวงหน้าแดงวูบวาบเพราะความรู้สึกประหลาดแล่นวูบขึ้นมาจากปลายนิ้วจนถึงท้ายทอย นางสะดุ้งเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้ หัวใจเต้นถี่อย่างสับสน มืออีกข้างรีบยกขึ้นผลักอกเขาเพื่อขอระยะห่าง "ท่าน!" เสียงเธอหลุดครางทั้งที่ตั้งใจจะเอ่ยเสียงแข็ง แต่จางกงกงกลับเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาที่เปล่งประกายเจือรอยขบขันและความลุ่มหลงในเวลาเดียวกัน เขาไม่พูดสักคำเพียงปล่อยนิ้วเรียวของเธอช้า ๆ ราวกับเสียดายทุกสัมผัส แล้วเอียงศีรษะเพียงเล็กน้อยกระซิบเบา ๆ ตรงข้างหู


"ครั้งแรกที่เจ้าเสิร์ฟสุราในห้องนี้ เจ้าก็ทำให้ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนธรรมดา...น่าขันที่ตอนนี้ เจ้ากลับกลายเป็นคนเดียวที่ข้าไม่อาจละสายตาได้เลย"


น้ำเสียงเขาเรียบเย็นแต่หัวใจหลินหยากลับเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่ เพราะเธอรู้ดี...ว่าเขาไม่ใช่แค่พูดเล่นและหากวันนี้เขายังไม่ยอมบอกเรื่องของจางทัง นางคงต้องใช้วิธีอื่นที่คาดไม่ถึงบ้างเสียแล้ว เกมระหว่างเธอกับเขายังไม่จบ...แต่ตอนนี้คนที่ถูกไล่ต้อนกลับกลายเป็นเธออีกครั้ง


ขณะหลินหยาเบี่ยงกายถอยหลังเล็กน้อยเพื่อจะดึงมือตัวเองกลับมา ทว่ากลับไม่อาจดึงออกจากแรงบีบแผ่วเบาแต่หนักแน่นของจางกงกงได้ ราวกับนิ้วเรียวของนางถูกเขากักไว้ภายใต้อุ้งมือเพียงเพื่อกลั่นแกล้งหรือกระทำอะไรที่มากกว่านั้น...นัยน์ตาคมใต้หน้ากากจ้องมองนางนิ่งงันราวกับล่วงรู้ความคิดอันแสนซนในใจของหลินหยาเสียหมดสิ้น ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายยิ้ม คล้ายสมเพช คล้ายหลงใหล "เจ้ากำลังคิด…ว่าข้าจะหักนิ้วเจ้าใช่หรือไม่?" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบาดุจเงาที่คลืบคลานขึ้นจากผืนดิน เสียงนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์แปลกประหลาด ชวนให้อารมณ์ตีวนระหว่างหวาดหวั่นกับหวั่นไหว "หึ..." เขาหัวเราะในลำคอ ไม่ดังกึกก้อง แต่กลับก้องสะท้อนในอกของหลินหยาแทน


"หากเป็นคนอื่น…อาจใช่" เขาโน้มตัวเข้าใกล้อีกครั้ง จงใจจนได้กลิ่นลมหายใจสลับของกันและกัน มือที่กุมมือของนางไว้เปลี่ยนจากรั้งเป็นลูบไล้เบา ๆ ทีละปลายนิ้วราวกับกำลังลิ้มรสสัมผัสด้วยปลายนิ้วตนเองก่อนจะเอ่ยถ้อยคำแผ่วพร่า


"แต่นิ้วของเจ้า…เรียวงามบอบบางขาวสะอาดและ...อ่อนหวานจนไม่น่าเชื่อ" ปลายเสียงแผ่วลงราวกับชิมคำในปากก่อนกลืนลงไปอย่างพึงใจ ท่าทางของเขาไม่ต่างจากนักล่า...นักล่าผู้รอบจัดที่ไม่รีบเขมือบเหยื่อ แต่กลับละเลียดจนเหยื่อหวาดหวั่นในความเชื่องช้าทว่าเร้าเร่งนั้น ปลายนิ้วโป้งของเขาเกลี่ยเบา ๆ ที่รอยข้อของนิ้วก้อยหลินหยา ราวกับจะย้ำให้รู้ว่าเขาจำได้แม้แต่กระดูกนิ้วมือนางเป็นอย่างไร ก่อนจะประทับจูบแผ่ว ๆ ลงบนหลังมืออีกครั้งจนหลินหยาสะดุ้ง แต่ต่างจากเมื่อครู่ที่มันเย็นยะเยือกด้วยแรงกลั่นแกล้งครั้งนี้มันกลับแฝงความกระหายชนิดที่สัมผัสได้ชัดเจน


"หากหักไปเสียแล้ว ข้าจะเอาอะไรมา…ลูบไล้ข้าคืนตอนเจ้าโกรธล่ะ? เหมือนคืนนั้นไงลูบไล้ข้าไปห้าหมัดถ้วน" น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของเขาเปล่งออกมาทั้งรอยยิ้ม ราวกับรู้ว่าหลินหยานั้นทั้งอยากด่าเขา ทั้งอยากผลักไส ทั้งอยาก…เข้าใกล้กว่านี้อย่างไม่รู้ตัว และนั่นคือสิ่งที่จางกงกงชื่นชอบที่สุดในตัวของนาง


เขามิได้เพียงต้องการครอบครองนางหากแต่ต้องการล้วงลึกทุกความคิด ทุกอารมณ์ จนกระทั่งวันหนึ่งที่นางไม่มีทางหลบหนีได้อีกต่อไป แม้แต่หัวใจที่พยายามปิดบังไว้...ก็จะต้องถูกเขาค่อย ๆ แกะทีละชั้น ทีละชั้น จนเหลือเพียงแค่ชื่อเขาในนั้น เช่นเดียวกับที่เขาฝังชื่อของนางไว้แน่นในใจ ไม่อาจถอนออก


"ไม่ต้องมาเล่นลิ้นเลย วันนี้ข้ามาถามเรื่อง..!" เสียงแข็ง ๆ ที่หลินหยาเอ่ยออกมาพร้อมแววตาเอาเรื่องต้องหยุดลงกลางประโยค ริมฝีปากนุ่มนวลที่กำลังขยับเอ่ยกลับถูกหยุดไว้ด้วยปลายนิ้วเย็นจัดของชายตรงหน้านิ้วเรียวที่เชยคางนางขึ้นแผ่วเบาแต่แน่นหนาราวกับเชือกที่ผูกแน่นไปทั่วสติ หลินหยาสะดุ้ง เงยตาขึ้นสบดวงตาหลังหน้ากากที่สวมอยู่ครึ่งใบ ทว่ากลับเผยเพียงแววตาคมที่ทั้งร้อนแรงและคุกคามอย่างแฝงความวาบหวิวสายหนึ่ง ในนั้นไม่มีแม้แต่ความขอโทษกับการล่วงเกิน กลับมีเพียงเสียงเงียบของคำสั่งซึ่งเปล่งผ่านสายตาแวววาวดั่งเปลวไฟในเงามืดนั้น


"พอเถอะ" เสียงแผ่วทุ้มของเขาดังขึ้นข้างหูดั่งคำสั่งอันนุ่มนวลของเจ้านายต่อสัตว์เลี้ยงที่กำลังดิ้นรนกระเสือกกระสนจะหนีออกนอกกรอบ "อย่าพูดถึงมันในตอนนี้"


ปลายนิ้วไล้จากคางลากผ่านแก้มก่อนจะลูบกลุ่มผมข้างหูของนางราวกับกล่อมเด็กสาวไม่ให้ฝันร้าย ขณะสายตาไม่ผละออกจากใบหน้าของหลินหยาแม้แต่วินาทีเดียว เขาไม่เร่งเร้า ไม่บีบบังคับแต่ก็ไม่เปิดช่องให้ขัดขืน "หากถึงเวลา...คนของข้าจะมาเอง" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่ความเยือกเย็นแฝงอยู่ในนั้นประหนึ่งว่าการเคลื่อนไหวของผู้ใต้บัญชาเป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะหยุดได้ แม้แต่เทพเจ้าก็ต้องรอ


จางกงกงโน้มตัวลงอีกเล็กน้อยดวงหน้าอยู่ใกล้กับหลินหยาจนนางแทบไม่ได้หายใจโดยไม่สัมผัสกลิ่นสุราอ่อน ๆ ผสมน้ำมันหอมแปลกประหลาดจากอาภรณ์ชั้นนอกของเขา กลิ่นนั้นราวกับกลิ่นไม้แห้งในห้องสมุนไพรที่หมักเคล้ากับกลิ่นโลหิตและความลับของคนทั้งวัง บรรยากาศรอบห้องรับรองแปรเปลี่ยนไปจากเดิม แม้จะยังเป็นห้องที่เต็มไปด้วยม่านบางและกลิ่นบุปผา แต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นกรงทองลวงตา


"ตอนนี้...เจ้าต้องอยู่กับข้าก่อน" เสียงนั้นต่ำและหนักราวกับอ้อมแขนที่พันธนาการ ดึงนางกลับไปยังโลกที่เขาเป็นเจ้าของและไม่มีที่ให้หลบเร้น หลินหยาแม้จะเบี่ยงหน้าเล็กน้อยพยายามไม่ตกหลุมพรางแต่ก็ไม่อาจหลีกพ้นแรงดึงดูดที่ชวนให้โกรธขนลุก และใจเต้นในคราวเดียวกันนางรู้ดีว่ากำลังเผชิญหน้ากับบุรุษผู้ไม่ได้เพียงสวมหน้ากาก…แต่ยังสวมบทบาทของปีศาจผู้รู้จักหัวใจนางดีกว่านางเอง


หลินหยาเบือนหน้าหนีทันทีที่สัมผัสจากปลายนิ้วของเขาเคลื่อนไปตามแนวกราม ก่อนจะขมวดคิ้วนิ่วแน่นอย่างสุดจะทน ดวงตาคมหวานฉายแววระแวดระวังชัดเจน นางยกมือดันอกอีกฝ่ายพลางว่าเสียงห้วน "อยู่อะไรของท่าน ข้าไม่อยากอยู่เลย! ถอยออกไปเถอะ ข้าไม่ได้เชิญให้มานั่งตบยุงใกล้ ๆ แบบนี้สักหน่อย!" คำพูดของนางนั้นตรงและแข็ง หากเป็นใครทั่วไปคงจะหน้าเสียแล้วล่าถอยไปเป็นวา แต่นี่คือ เขา ชายสวมหน้ากากผู้มีสายตาดำมืดยิ่งกว่าหมึกที่ใช้ลบชื่อคนออกจากบัญชีชีวิตแถมยังหน้าด้านยิ่งกว่าหนังช้างแห้ง


จางกงกงไม่เพียงไม่ขยับออกหากยังหรี่ตามองนางด้วยรอยยิ้มบางที่ไม่น่าไว้วางใจนัก ก่อนเอียงหน้าเข้ามาใกล้อีกนิด จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายที่เป่ารินเหนือข้างแก้มบาง "อืม...เจ้าจะไล่ข้าอย่างนี้ทุกครั้งที่เราสนิทกันหรือ?" น้ำเสียงนั้นแฝงรอยขบขันเย็นเยียบ หากหูดีพอจะจับความนัยกวนประสาทใต้คำพูดได้เต็มเปา


"ฟังดูน่าขันดีนี่…ข้าคนที่เจ้าเคยให้รินสุรา จับขลุ่ย บรรเลงเพลงกล่อมแทบทุกเย็น กลับถูกไล่เหมือนแมวขโมยปลาทอดตอนเช้ามืด"


หลินหยาแทบกัดปากตัวเองนางรู้ว่าเขาจงใจยั่ว ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งหวานในแบบที่น่าถีบให้หน้าทิ่มพื้น “ท่านอย่ามาเล่นลิ้นนะ ข้าชักจะประสาทเสียเพราะท่านแล้ว!” นางตวาดเบา ๆ แต่เสียงแหบสั่นจากความโมโหปนเขิน ไม่รู้เพราะอากาศในห้องร้อน หรือเขาอยู่ใกล้เกินไป ร่างของหลินหยาถอยหลังติดพนักไม้ในที่สุดแต่เพราะนั่งอยู่บนเบาะพื้นต่ำ แถมเขายังอยู่สูงกว่าเล็กน้อยตอนโน้มตัวมาทำให้เธอไม่มีทางถอยอีกแล้ว


และนั่นคือสิ่งที่ จางกงกงชอบนัก การเห็นแมวตัวน้อยจนตรอกจนขนฟู


"ก็เจ้านั่นแหละผิดก่อน" เขาว่าเสียงเบายกมือเรียวลูบผมสลวยข้างแก้มของนางอย่างจงใจช้า "ที่กลับมาที่นี่...มาหาข้าเอง ถึงแม้จะอ้างเรื่องคนอื่นก็ตามที" หลินหยากัดฟันแน่น แววตาฉายแววเหมือนจะเถียงกลับ แต่กลับต้องสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมาดึงชายเสื้อของนางเบา ๆ พลางทำเสียงเรียบว่า


"แต่ก็ดีข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดู...ว่าอยู่กับข้าแล้วมันทรมานหรือสุขใจมากกว่ากันแน่"


ในใจของหลินหยาตอนนี้แทบอยากจะก้นด่ากราดคนตรงหน้า โอ๊ย…อีตานี่มันจะแกล้งกันจนข้าสติหลุดไปก่อนหรือไม่ก็เผลอฟาดหน้าเขาเสียก่อนแน่ ๆ! หลินหยาได้แต่กำหมัดแน่นในอกในใจพลางกรอกตาแรงจนแทบกลิ้งออกนอกเบ้า...หลินหยาเจ้าต้องคิดว่าเจ้าควรเตรียมใจไว้ให้ดีเสียแล้วเพราะเกมของจางกงกงครั้งนี้กำลังเริ่ม


“ท่านจะพิสูจน์ยังไง” 


จางกงกงชะงักยิ้มตรงมุมปาก รอยยิ้มนั้นชวนให้คลื่นสยองกับกระแสวาบหวามไหลบรรจบกันอย่างแปลกประหลาด เขาไม่พูดตอบในทันที แต่เพียงทอดสายตามองหลินหยาที่ยังขมวดคิ้วแน่นจนแทบจะเอาหนังสือหนา ๆ มาสอดได้ด้วยความไม่พอใจปนระแวงและนั่นยิ่งทำให้แววตาของเขาดูมีความบันเทิงจิตเบื้องลึกเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว มือเรียวขาวซีดของเขาเลื่อนจากข้างแก้มของนางลงสู่ปลายคาง ลูบเบา ๆ แล้วเชยขึ้นอย่างละเมียดละไมจนราวกับจะเห็นนางเป็นผลงานศิลป์ชิ้นเอกในค่ำคืนอันเปลี่ยวเหงา


"จะพิสูจน์อย่างไรหรือ?" เสียงของเขาแผ่วพรายชิดริมใบหูของหลินหยาราวกับพรมด้วยกลีบกลิ่นไม้หอมควันบาง ผสมสุราจาง ๆ กับกลิ่นอำพันจากหอว่านหงเหรินที่ยังไม่จางจากปลายผม "ย่อมไม่ใช่ด้วยคำพูดแน่นอนหรืออาจจะ? เพียงข้าไม่ใช่พวกพูดจาหว่านล้อมให้เชื่อหากเป็นเจ้า..."


เขาเว้นช่วงแววตาเยียบเย็นขึ้นเล็กน้อย ทว่าปลายนิ้วที่แตะปลายคางกลับลากเบา ๆ ลงมาตามลำคอของนางแล้วหยุดตรงตำแหน่งชีพจรเต้นสั่นใต้ผิวเนียน "หากจะพิสูจน์ว่าข้า...ไม่มีสตรีอื่นแล้วน่ารำคาญใจ ไม่ง่ายกว่าหรือหากเจ้า... ลองมาเป็นของข้าเสียเอง" เสียงกระซิบของเขายิ่งเบายิ่งเสียดเข้าโสตประสาทของหญิงสาวดั่งมีเล็บครูดลงแก้วบาง ๆ


หลินหยาขมวดคิ้วทันที สีหน้าผันผวนแบบที่เขาชื่นชอบที่สุดระหว่างขัดเคืองกับสับสน ระแวดระวังแต่ก็ใจเต้นอยู่ไม่รู้ตัว และก่อนที่นางจะได้ด่าอะไรกลับไป มือของเขาก็เอื้อมมาคว้าข้อมือของเธอไว้แน่น...แต่อย่างประหลาด เขาไม่ได้ดึงให้นางถลาเข้าหาแบบคราวก่อน ทว่าเพียงยกมือของนางขึ้นแนบกับแผ่นอกด้านในเสื้อคลุมแพรบางที่สวมอยู่


"รู้สึกหรือไม่ ว่าที่นี่..." เขาวางมือนางลงตรงจุดที่หัวใจเขาเต้นชัดอยู่ใต้ฝ่ามือ "ไม่มีใครอยู่ในนี้เลย...นอกจากเจ้า" ประโยคนั้นช่างอ่อนหวานแต่กลับปนความบิดเบี้ยวของคนที่ไม่เคยรู้จักคำว่า ‘รัก’ อย่างแท้จริง พิษในน้ำผึ้งชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน หลินหยารู้...ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น แต่ก็ไม่ได้พูดจริง และก่อนที่เธอจะได้เอ่ยสิ่งใด ใบหน้าของจางกงกงก็โน้มลงช้า ๆ ราวกับเวลาชะงักงัน...ปลายจมูกของเขาแทบจะชนกับหน้าผากของเธออยู่แล้ว


"หึ...หากจะพิสูจน์กับข้า" เขากระซิบทั้งที่ยังยิ้มเยียบ "ก็มีเพียงเจ้าที่ต้องทดสอบ...ว่าใจของเจ้าพร้อมจะถูกกลืนกินทั้งเป็นหรือยัง" เสียงฝีเท้านางรำด้านนอกกำลังเคาะบทเพลงขึ้นสู่บทเพลงอีกบทแต่ในห้องนี้ เสียงหัวใจของหลินหยาเต้นดังยิ่งกว่าสายกู้เจิงที่ถูกดีดครั้งแรกเสียอีก และตอนนี้เธอก็ภาวนาให้คนของจางกงกงรีบมาสักทีเพราะคนตรงหน้าเริ่มน่ากลัวและดูเหมือนเลี้ยวกายรัดนางเหมือนอสรพิษจนแทบหายใจไม่ออกอยู่แล้ว




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เริ่มด้วยหอว่านหงเหริน ก็จบด้วยหอว่านหงเหริน สุดจ๊าดดด

(เอาจางทังกลับม๊าาา)

รางวัล: ปลดหัวใจจจ 99.9999999999999999 เปอร์เซ็นต์


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 114876 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-20 19:48
โพสต์ 114,876 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-20 19:48
โพสต์ 114,876 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-20 19:48
โพสต์ 114,876 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-20 19:48
โพสต์ 114,876 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 คุณธรรม +15 ความชั่ว +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-20 19:48
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-7-20 22:51:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 19 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


ขณะที่ปลายนิ้วเรียวแตะค้างตรงตำแหน่งหัวใจของเขา หัวใจของหลินหยากลับเต้นรัวยิ่งกว่าเสียงระนาดจากด้านล่างเสียอีก ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นทำให้นางเบิกตากว้างเล็กน้อย ขยับตัวจะถอย ทว่าอีกฝ่ายกลับโน้มหน้าลงมาชิดจนแทบจะประทับริมฝีปากบนหน้าผากของนาง "ข้าไม่ใช่คนดี...แต่สำหรับเจ้า ข้ายังอยากจะเป็นใครสักคนที่..."


“หยุดนะ!” หลินหยาทำเสียงลั่นปัดหน้าของจางกงกงออกแทบจะทันทีที่ได้สติพร้อมรีบขยับตัวถอยหลังราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะจู่โจมเข้ามาอีกครั้งอย่างที่เขาชอบทำ ทว่าทันใดนั้นประตูไม้ก็เปิดออกเสียก่อน  บุรุษร่างสูงในชุดพ่อบ้านสีเข้มเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าเรียบเฉย...สายตาไม่แม้แต่จะมองหลินหยาเลยสักนิด เขาโน้มตัวเล็กน้อยกระซิบบางสิ่งข้างหูจางกงกง แม้หลินหยาจะไม่ได้ยินชัดเจนแต่กลับเห็นได้ชัดว่าแววตาของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปทันที รอยยิ้มที่มุมปากของเขาหายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ก่อนหน้านั้น “หึ...” เขาส่งเสียงในลำคอแผ่วเบา มุมปากยกขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่ดวงตากลับไม่ยิ้มตามเลยแม้แต่น้อย


“มีเรื่องอะไรหรือ?” หลินหยาขมวดคิ้วถามขึ้นแม้ในใจจะรู้ว่าเขาไม่มีวันตอบตรง ๆ


จางกงกงปรายตามามองนางช้า ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตนเบา ๆ แล้วยิ้มจาง ๆ “ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่...ข้าว่ามีคนลืมกฎของข้าไปบ้างแล้ว ข้าว่าคืนนี้ควรจะมีคนบางคนได้รู้ว่าผนังของหอว่านหงเหรินบางห้องนั้นบางยิ่งกว่าใจของคน”


พรึ่บ


เสียงเตียงจากชั้นล่างกระทบผนังดัง ตึง! ตึง! ตึง! ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของสตรีเจื้อยแจ้วปนเสียงร้องครางที่ลอดขึ้นมาพร้อมกลิ่นสุราจาง ๆ ในอากาศ หลินหยาชะงักไปทันที ใบหน้าร้อนวูบแบบห้ามไม่อยู่ “เจ้าได้ยินไหม?” จางกงกงเอียงหน้ากระซิบถาม ดวงตาเปล่งประกายความเจ้าเล่ห์ชัดเจน “เตียงนั้น...ก็เคยเป็นของข้า เจ้าที่เจ้ารินสุราให้ข้า จนข้ารู้ว่าเจ้าช่างเหมาะกับการถูกจับวางไว้บนมันอย่างยิ่ง”


"อะ…อีตาบ้า!" หลินหยาขึ้นเสียง พลางยกมือจะตีเขาทว่าจางกงกงกลับคว้ามือนางไว้ได้ก่อนอย่างแม่นยำ “อย่าใจร้อนนักสิ แม่นางเสี่ยวหยาตัวน้อยข้ายังไม่ได้พูดเลยว่าข้าอยากให้เจ้าไปลองนอนดูตอนนี้...” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วพูดต่ออย่างเนิบนาบราวกับมีแผนซ่อนอยู่ในทุกคำ “...แต่อีกไม่นาน เจ้าอาจจะได้ รู้ ว่าข้าจำเสียงของเจ้า...ดีกว่าเสียงดนตรีใดทั้งสิ้น”


ดวงตาของหลินหยาเบิกเล็กน้อยปากอ้าเตรียมจะสบถอีกคำใส่ แต่นางกลับพูดไม่ออกเพราะมือเขายังคงกุมมือของนางไว้อย่างแน่นหนา เสียงหัวเราะเบา ๆ จากจางกงกงยังดังแผ่วในลำคออย่างเยือกเย็นราวกับภูติราตรีที่กระซิบคำสาปให้คนขวัญอ่อนสะท้าน...แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น ราวกับความห่วงหา ความโกรธเกรี้ยว...และบางทีความหวาดหวั่นเล็ก ๆ ที่เจ้าตัวไม่ยอมรับว่ามี เขายังคงไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น และในหัวของหลินหยาก็เริ่มตั้งคำถามใหม่...ว่าเสียงเตียงที่ดังนั่น ใช่แค่เสียงของคนอื่นจริงหรือเปล่า หรือว่าเขา...กำลังเตือนนางอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น


จางกงกงที่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หรูประดับลายเมฆทอง ครั้นได้ยินคำถามของหลินหยา น้ำเสียงนางที่เริ่มเครียดขึ้น…แววตาที่จ้องตรงมาอย่างจับผิดเช่นนั้นเขากลับเผยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นอย่างพอเหมาะ ดวงตาหม่นแสงไปเพียงนิดก่อนจะทอดถอนหายใจแผ่วเบาราวกับแบกภาระหนักอึ้งเอาไว้บนบ่าทั้งสองข้าง "หากข้าจะบอกเรื่องถิงเว่ยนั้นข้าว่าเจ้าคงไม่เชื่อหรอก..." เขาเอ่ยแผ่ว เสียงนุ่มเจือความหนักแน่นประหลาด ดวงตาคู่นั้นจ้องหลินหยาแนบแน่นไม่กระพริบแม้ครึ่งห้วง


"แต่ข่าวจากสายของข้า...ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น"


หลินหยาเลิกคิ้ว ขมวดหน้านิด ๆ ไม่มั่นใจว่าที่เห็นอยู่นั้นเป็นการแสดงอีกบทของจางกงกงหรือเขาพูดจริงเสียทีแต่กระนั้นก็เผลอฟังต่อโดยไม่แทรก


"จางทัง..." จางกงกงทอดเสียงยาว เงียบไปอึดใจราวกับเรียบเรียงถ้อยคำที่แนบด้วยคมมีด ก่อนจะกล่าวเรียบ ๆ ว่า "เขาไม่ได้แค่ไปทำงานต่างเมือง เขา...กำลังรวบรวมคนในเขตตุนหวง ซ่องสุมกองกำลังเงียบ ๆ ตั้งแต่กลางฤดูที่ผ่านมา ผู้คนที่เข้าร่วมล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ของกองตรวจการ…บางคนมีประวัติไม่โปร่งใส บางคน…เคยมีข้อพิพาทกับราชสำนัก" จางกงกงเหลือบมองใบหน้าหลินหยาชั่วครู่ ก่อนคลี่ยิ้มเยียบเย็นแบบที่เขาถนัดยิ้มบางเฉียบราวกับใบมีดโกนที่ซ่อนในรอยยิ้มของชายใจคด


"เขากำลังวางหมากอะไรบางอย่าง…และข้าไม่แน่ใจว่าคนที่อยู่ตรงกลางอย่างเจ้า จะเป็นหมาก…หรือตัวประกันกันแน่"


หลินหยาเบิกตานิด ๆ ขมวดคิ้วพลางเอ่ยแทรก "ท่านกำลังใส่ร้ายเขาใช่ไหม? ท่านจางทังเป็นคนตรงไปตรงมา และเขาเป็นถิงเว่ยที่ภักดีมาตลอด"


"ใช่…ใช่ที่เขา เคย ภักดี" จางกงกงตอบทันควันพร้อมยกนิ้วแตะริมฝีปากนางเบา ๆ เป็นเชิงให้เงียบและฟังต่อ มืออีกข้างแตะเอวหลินหยาไว้ไม่ให้นางถอยหนีไปเสียก่อน "แต่ความภักดีของคนมันเปลี่ยนได้ เมื่อกลิ่นของอำนาจเริ่มหอมหวานกว่ากลิ่นชาดำที่เจ้าชอบ" เขาหัวเราะเบา ๆ คล้ายหยาม “และเขาคงรู้ดี…ว่าเจ้ากำลังแอบเกี่ยวข้องกับข้า”


หลินหยาชะงักนิด ดวงตาสั่นระริก ครั้นกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ อีกฝ่ายก็ยกมือแตะคางนางก่อนเอียงหน้าเข้าใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจอุ่นร้อน "ข้าเพียงอยากเตือนเจ้า...ด้วยความหวังดีหรืออย่างน้อยก็ในแบบของข้า" เขากระซิบเสียงแผ่วราวเสียงลมหายใจยามค่ำคืนที่กระซิบข้างหูผู้หลับใหล “ว่าระวัง...บางทีคนที่เจ้าหวังพึ่ง…อาจเป็นคนที่ผลักเจ้าให้จมลึกลงกว่าเดิม” แล้วเขาก็ยิ้มอีกครั้ง ยิ้มเย็นเฉียบที่ไม่มีแม้เงาความอบอุ่น ปลายนิ้วยังค้างอยู่ตรงมุมปากของหลินหยา ราวกับจะบอกว่าเรื่องที่เขาพูดนั้น…หากนางยังคิดจะค้าน ก็เชิญลองเสี่ยงดู ว่าเขาจะยอม…หรือจะทำให้เธอ เจ็บปวด กว่าเดิม


"ให้ตายยังไงข้าก็ไม่เชื่อ! คนที่ข้าควรระวังมีท่านคนเดียวนั้นแหละในโลกนี้น่ะ!" หลินหยาแหวกลับ มือเรียวเล็กฟาดเพียะเข้ากับมือใหญ่ที่ยังแตะที่เอวของนางอย่างหน้าด้าน ท่าทางของนางเต็มไปด้วยแรงโทสะปนความเจ็บร้าวจากความพยายามบิดเบือนความทรงจำอันแสนจริงแท้ของนาง ใบหน้าแดงเรื่อด้วยอารมณ์ไม่ใช่เขินอาย แต่เป็นความรู้สึกของคนที่กำลังปกป้องสิ่งสำคัญที่สุดของตนเอง


"ข้ายังจำวันนั้นได้แม่น ท่านจางทัง...เขาบอกข้าว่าจะไปเอาของขวัญมาให้ข้า เขายิ้ม เขาไม่ได้มีแผนชั่ว ไม่ได้พูดลวง ข้าเห็นแววตาเขา...เขาดีใจที่ข้ารอดพ้นจากคดีนั้น เพราะเขาเองก็เป็นถิงเว่ยที่ลงมือทำคดี ข้าเห็น! ข้ารู้! แล้วเขาก็หายไป ถ้าเขาคิดร้ายกับข้าอย่างที่ท่านพูดเขากลับมาทำลายข้าไปนานแล้วล่ะ ไม่ใช่หายเงียบราวกับคนที่ตายจากกันไป!" นางขบกรามแน่น หอบลมหายใจถี่เพราะแรงสะอื้นที่ยังกลั้นอยู่ในอกแล้วแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ "ข้าไม่ใช่คนโง่แบบเมื่อก่อนแล้วนะ จางกงกง…ไม่สิท่านชายห่าวหมิง" น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นชัดเจนในถ้อยถาง ดวงตาของหลินหยาฉายแววแน่วแน่ และสิ่งนั้น...ทำให้จางกงกงนิ่งไปชั่วครู่


ชายผู้มีหน้ากากครึ่งหน้าปิดบังสีหน้าท่อนบนของตนไว้กลับคลี่ยิ้มบางออกมาอย่างเงียบงัน ยิ้มที่ไม่ได้แสดงถึงความผิดหวังแม้แต่น้อย หากแต่กลับมีแวว...พึงใจ "เจ้าดื้อรั้นขึ้นนเสี่ยวหยา..." เสียงเขาแผ่วลงคล้ายกระซิบแต่หนักแน่นราวกับตรึงลมหายใจของห้องไว้


"ดื้อขึ้น...ฉลาดขึ้น...แล้วก็งดงามขึ้นกว่าเดิมเสียอีก…"


เขากล่าวพร้อมค่อย ๆ โน้มหน้าเข้าใกล้พลางเลิกมือขึ้นรั้งปอยผมของนางที่ปรกแก้มไปด้านหลังอย่างแผ่วเบา ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารินข้างหูอีกฝ่าย ไม่ใช่เพื่อหว่านล้อมด้วยคำหวาน แต่เพื่อจงใจให้หล่อนหวั่นไหวในแบบที่เขาต้องการ "เจ้าคิดว่าข้าจะหยุด...แค่เพราะเจ้าไม่หลงกลข้าแล้วงั้นหรือ?" เสียงของเขานุ่มลึกแต่แฝงความเย็นเยียบราวกับมีดคมปลายที่คอยจ่อจังหวะหัวใจนางทุกวินาที "ไม่หรอกเสี่ยวหยา...เจ้าคงไม่รู้เลยว่ายิ่งเจ้าฉลาดขึ้นเท่าไร ยิ่งต่อต้านข้าเท่าไร…ข้าก็ยิ่งอยากทำลายเจ้าให้พังทั้งเป็นมากเท่านั้น"


เขายิ้มแต่รอยยิ้มนั้นราวกับฉีกออกมาจากเงาแห่งหายนะ ยามที่นัยน์ตาสีดำคู่นั้นสั่นไหวด้วยแรงปรารถนาบิดเบี้ยวที่คล้ายหลงใหลในความบริสุทธิ์ของนางมากพอ ๆ กับที่อยากฉีกกระชากมันออก "แต่เจ้าจะไม่พังหรอก...ไม่ใช่ตอนนี้ อย่างน้อย...ข้าจะถนอมมันไว้อีกหน่อย ก่อนจะดูซิว่าเจ้าจะทนได้นานเท่าใดกัน" เสียงกระซิบจบลงพร้อมกับการละมือออกช้า ๆ ราวกับเขาเป็นนักเชิดหุ่นที่เพิ่งคลายสายใยบางส่วนที่รัดแน่นจากหางตาถึงปลายเท้า...แต่ไม่ได้ปล่อยให้เป็นอิสระอย่างแท้จริง และหลินหยาที่ดวงตายังลุกวาบด้วยเพลิงแห่งความไม่ยอมจำนน ก็คือของเล่นที่เขาจะไม่ปล่อยมือเด็ดขาด ไม่ว่าเธอจะดิ้นรนอย่างไร




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: อย่ามาขี้จุ!!

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 39405 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-20 22:51
โพสต์ 39,405 ไบต์และได้รับ +35 EXP +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-20 22:51
โพสต์ 39,405 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-20 22:51
โพสต์ 39,405 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-20 22:51
โพสต์ 39,405 ไบต์และได้รับ +25 EXP +20 คุณธรรม +9 ความชั่ว +20 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-20 22:51
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-7-21 15:48:42 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-9-7 03:06




วันที่ 19 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)

Part 1


เสียงกระดิ่งเล็กในมือของเขาดังกังวานเบา ๆ แต่ทว่าแฝงด้วยอำนาจเหนือการควบคุมใด ๆ ในห้องนั้น ไม่ถึงอึดใจบานประตูไม้บานใหญ่ก็ค่อย ๆ เปิดออกอย่างแผ่วเบา เสียงฝีเท้าของรองเท้าปักไหมสัมผัสพื้นไม้ขัดมันดังแผ่วชวนให้บรรยากาศยิ่งกว่าภวังค์ในโรงละครยามม่านเปิด หญิงงามในชุดผ้าแพรโปร่งบางสีลูกท้อหวานกับสีชมพูอมม่วงจำนวนสี่ถึงห้าคนเดินเรียงแถวเข้ามาในห้องรับรองอย่างเป็นระเบียบ บางคนหลินหยาเคยทำงานร่วมในฐานะนักดนตรีฝึกหัด บางคนเคยเป็นนางโลมรุ่นพี่ผู้คอยสอนการรินสุราและการเสิร์ฟอาหาร แต่วันนี้ พวกนางคือ “นักปรนนิบัติ” ที่เดินเข้ามาหาเขาบุรุษในหน้ากากที่วันนี้นั่งอิงหมอนพิงราคาสูงระยับอย่างสง่าราวแขกหลวง


หลินหยายืนนิ่งมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


หนึ่งในนางโลมย่อตัวลงข้าง ๆ เขา มือเรียวงามถือพัดกลิ่นกุ้ยฮวาค่อย ๆ โบกเบา ๆ อย่างมีจังหวะ อีกคนหยิบผ้าเย็นจากชามหยกเช็ดที่ข้อมือของเขาด้วยความเคารพ ขณะที่อีกสองคนย่อตัวด้านหลัง คลึงบ่าและไหล่ของชายสวมหน้ากากราวกับนี่คือพิธีกรรมประจำวันสำหรับเทพเจ้าผู้แฝงอยู่ในร่างบุรุษ จางกงกงหรือในคราบของท่านชายห่าวหมิง ไม่ได้มองหลินหยาโดยตรง เขาเพียงเอนตัวไปข้างหลัง ยกศอกพาดพนักตั่งอย่างผ่อนคลาย ปล่อยให้นิ้วเรียวเคาะกระดิ่งในมือตัวเองเบา ๆ อีกหนึ่งครั้งแล้วหลุบตามองหญิงสาวตรงหน้า


"ที่นี่...ยังคงเป็นสถานที่สำหรับรับรองข้าได้ดีเสมอใช่หรือไม่?" เขากล่าวคล้ายจะพูดลอย ๆ หากแต่ทุกถ้อยคำกลับพุ่งเข้าใส่หลินหยาโดยตรง


"นางโลมในหอว่านหงเหริน ล้วนได้รับการฝึกมาอย่างดี...ทั้งการพัดวี นวดเฟ้น หรือแม้แต่กลิ่นผิวกาย" เขาว่าพลางเหลือบมองหนึ่งในหญิงสาวที่กำลังนวดบ่าให้เขา ก่อนจะหันกลับมายังหลินหยาและเอียงหน้าถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อที่ฟังแล้วพาให้คันยิบในอก


"เจ้าว่า...มีผู้ใดในนี้ที่ ‘ทำหน้าที่’ ได้ดีกว่าเจ้าเมื่อก่อนหรือไม่?"


คำถามนั้น แม้จะดูเหมือนพูดเล่น แต่ในสายตาหลินหยา มันคือคำเยาะเย้ย ความท้าทาย และการลองใจในคราเดียวกัน


หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น กำมือจนแน่น ตอนที่เธออยู่กับเขาเขาไม่เคยขอให้นางทำสิ่งนี้ให้ทำเพียงเสิร์ฟอาหารรินสุรารสเลิศหรือเล่นดนตรี ดวงตาคมหวานลุกวาบด้วยแรงขับเคลื่อนของอารมณ์ ทั้งโกรธ ทั้งเสียหน้า ทั้งรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังบดขยี้ศักดิ์ศรีของตนด้วยรอยยิ้มที่ไม่ควรค่าแก่การยิ้มให้...แต่ก็อย่างที่รู้ดี ว่านี่คือจางกงกง เขาไม่เคยปล่อยให้เธอสงบได้ง่าย ๆ


"ท่านจะทำอะไรกับสตรีเหล่านั้น ข้าก็จะไม่สนใจ" นางตอบกลับเสียงเรียบ ดวงตาจ้องเขม็งราวกับไม่อยากแสดงความรู้สึกใด ๆ ให้เขาเห็น แต่รอยแดงจาง ๆ บนพวงแก้มกลับฟ้องว่านางกำลังรู้สึกอะไรอยู่ "แต่หากท่านคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้ข้า ‘อ่อนข้อ’ ให้ท่านล่ะก็..." นางยิ้ม...ยิ้มแบบเดียวกับที่จางกงกงเคยทำให้ผู้อื่นหนาวสะท้านมานักต่อนัก "...ข้าเสียใจด้วย ท่านหลอกข้าไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว" สิ้นคำ ท่าทางของหลินหยากลับตั้งตรงขึ้นอย่างน่าประหลาด ราวกับพร้อมจะพลิกเกม หากอีกฝ่ายคิดจะใช้คนรอบข้างเป็นเครื่องมือเผด็จศึกนางอีกครั้ง


หลินหยาไม่ได้ขยับตัวหนี ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหรือไม่พอใจอย่างที่ใครบางคนคาดไว้และนั่นเองที่ทำให้จางกงกงยิ่งพึงใจ รอยยิ้มบางประดับริมฝีปากใต้หน้ากากของเขารอยยิ้มที่บอกชัดว่ากำลังเพลิดเพลินกับเกมที่เขาเป็นคนจุดไฟ และตอนนี้กำลังดูเหยื่อของเขานิ่งงันราวกับกลืนคำด่าไว้ในลำคออย่างอดทน เขาไม่มองหญิงสาวคนใดที่รายล้อมเขาอยู่เลยไม่แม้แต่เสี้ยววินาที แต่กลับหันสายตามาหาหลินหยาทุกจังหวะราวกับเจ้าตัวคือศูนย์กลางของจักรวาล


"เจ้าไม่ขยับ ไม่หลบ หรือเอ่ยคำใดเลย..." เสียงนุ่มลึกเอ่ยแผ่วเบา ขณะมือหนึ่งของเขายกพัดไม้จันทน์ขึ้นเคาะเบา ๆ ที่ต้นขาของตนเองสองทีราวกับจังหวะสั่งจังหวะกระตุ้น และเหล่าสตรีทั้งสี่ก็แนบชิดเข้าหาเขามากขึ้นอย่างคล่องแคล่วตามท่วงท่าที่ฝึกฝนมา บางคนเอนศีรษะซบลงบนบ่าเขาอย่างแผ่วเบา เส้นผมเงางามปลิวระเรื่อจากลมพัดของคนที่ยังโบกพัดให้เขาอย่างไม่ขาดตอน บางคนก็ค่อย ๆ นวดขาให้ด้วยจังหวะที่ไม่ได้เกินเลยแต่ชัดเจนถึงความคุ้นเคยในเรือนร่างของชายตรงหน้า


"พวกนาง...ล้วนชำนาญ หน้าที่เช่นนี้ทำทุกวัน" เขาเอ่ยเสียงเบาราวกับบ่นแต่ความจริงแล้วคือถ้อยคำที่ประทับลงกลางอกของหลินหยาอย่างแม่นยำและตั้งใจทุกพยางค์ "และในเมื่อเจ้า...ไม่ขยับ และไม่โต้ตอบ..." เขาเว้นวรรคพลางโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ร่างใต้หน้ากากนั้นชิดขอบโต๊ะน้ำชาในห้องรับรองมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาคู่นั้นมองนางด้วยแววตาท้าทาย


"...ก็แปลว่าเจ้ากำลังยินยอม?"


หลินหยาเลิกคิ้วยิ้มมุมปากจาง ๆ เหมือนจะบอกว่าเขากำลังคิดไปเอง และใช่ นางยังคงนั่งนิ่งอย่างน่ากลัวเช่นเดิม คล้ายคนที่กำลังนับลมหายใจของตัวเองอย่างเยือกเย็นในสนามรบทั้งที่จริงในอกนั้นเดือดปุดอย่างกับหม้อซุปซาเปาที่ตั้งไฟแรงจัด "ข้าแค่ขี้เกียจเปลืองแรงกับคนบ้า ๆ อย่างท่านก็เท่านั้นเอง..." หลินหยาพึมพำเสียงเบาแต่ยังชัดเจนพอให้เขาได้ยิน คำตอบนั้นแทนที่จะทำให้จางกงกงเสียหน้า กลับยิ่งทำให้แววตาเขาทอประกายขึ้นดั่งคนพบของเล่นชิ้นโปรดที่ยิ่งต่อต้านก็ยิ่งอยากครอบครอง


"บ้าเหรอ?" เขาหัวเราะเบา ๆ สะบัดพัดขึ้นเคาะนิ้วตัวเองเล่นสองสามที ดวงตาภายใต้หน้ากากครึ่งหน้านั้นยังคงไม่ละไปจากเธอแม้แต่น้อย "หากข้าเป็นบ้า เจ้าก็อย่าลืมว่า…ข้านี่แหละ...คือคนบ้าเพียงผู้เดียวที่ยังหอบหิ้วข่าวของจางทังมาให้เจ้า และอาจเป็นเพียงคนเดียวในวังนี้ที่ยอมเปลืองตัวให้เจ้า ‘เล่นงาน’ ได้โดยไม่ฟ้องร้องให้ตกคุกอีกหน" พอพูดจบเขาก็หลับตานิ่ง ให้เหล่าสตรีรายรอบยังคงทำหน้าที่ต่อไปราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าแววตาที่หลับลงนั้นหาได้เป็นการพักผ่อน แต่กลับเหมือนยอมให้บรรยากาศในห้องคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอม ผสมกลิ่นเย้ยหยัน ความเย็นเยียบของห้องรับรองกลับกลายเป็นเตาไฟขนาดย่อมที่สองฝ่ายกำลังเล่นสงครามเย็นกันอยู่...ด้วยเพียงแค่คำพูดและแววตา


ในห้องรับรองตะวันตกของหอว่านหงเหริน กลิ่นกฤษณาอวลในอากาศผสานกับกลิ่นของสุราบ๊วยหวานลึก เสียงดนตรีที่บรรเลงจากห้องข้างเคียงคลอแผ่ว ๆ อย่างเกียจคร้าน ในขณะที่บนเบาะรองตัวไม้แกะลายลายเมฆนั้นชายสวมหน้ากากครึ่งหน้าเอียงกายพิงหมอนผ้าทอไหม เขาไม่พูด ไม่มอง ไม่ขยับ แค่ปล่อยให้หลินหยานั่งตรงข้ามพลางลอบใช้หางตาสำรวจทุกอิริยาบถของนางอย่างอดกลั้นไม่ไหว


"พอใจหรือยัง?" หลินหยาพูดขึ้น สีหน้าเย็นชาอย่างจงใจ "เชิญท่านชายสำราญกับนางโลมพวกนี้ให้เต็มที่ ข้าจะนั่งเงียบ ๆ"


"อืม...นั่งเงียบ ๆ แล้วจ้องหน้าข้า แสดงว่าไม่พอใจอยู่ดีล่ะสิ?" เขาตอบกลับราวกับอ่านใจ แล้วหยิบพัดงาช้างขึ้นกั้นริมฝีปากตนเองเล็กน้อย แสร้งทำเป็นเขินอาย แต่ดวงตาใต้หน้ากากกลับแวววาวเป็นพิเศษ


"เจ้ารู้ไหมหลินหยา คนที่บอกว่าไม่หึง...มักจะไม่พอใจที่สุด" หลินหยาสูดลมหายใจลึก มือเรียวกำแน่นเป็นหมัด "ท่านคิดว่าข้าเป็นสุนักหรือไง จะได้คิดว่าข้าจะดมหาเจ้าของไปทั่ว?"


"โอ้? ข้าว่าถ้าเจ้าดมได้จริง ข้าคงไม่ให้ใครมาดมเจ้าก่อนแน่" เขาว่าดวงตาคมกริบใต้หน้ากากสบตานางแน่นิ่ง และนั่นแหละคือประโยคที่ทำให้อุณหภูมิในห้องพุ่งขึ้นราวกับมีไฟสุมในอก "อย่ามา…!" หลินหยาจะเถียงแต่เขากลับจ้องมองเธอราวกับจะใช้ระยะห่างเป็นอาวุธในการบีบหัวใจนาง


“หรือเจ้าชอบแบบนั้นจริง ๆ หืม? ให้ข้าจูบมือเจ้าตรงนี้อีกครั้งก็ได้ จะได้รู้ว่าใครเป็นคนเดียวที่มีสิทธิ์…” เสียงเขาแผ่วลงเรื่อย ๆ 


"ข้าเตือนท่านแล้วนะจางกงกง!"


ทันใดนั้นคือความเงียบกริบ ชื่อของเขา…ชื่อนั้น…เสียงเรียกที่ควรถูกกลืนหายไปในใจของนางกลับกระแทกออกมาเต็มประโยค หลินหยาตาเบิกโพลงไม่ใช่เพราะเขาแปลกใจ แต่เพราะ เธอเองต่างหากที่ดันเผลอพูดออกมา ริมฝีปากของจางกงกงกระตุกขึ้นเล็กน้อย เหมือนอารมณ์ทั้งหมดที่อดกลั้นไว้ถูกปลดปล่อยด้วยความพึงพอใจถึงขีดสุด "อาาา...เจ้าเรียกชื่อนั้นออกมา..." เขากล่าวช้า ๆ ดวงตาสีเข้มใต้หน้ากากฉายแววบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ชั่วแวบหนึ่งเหมือนนักล่าที่จับเหยื่อได้หลังตามมานาน "เรียกชื่อข้าออกมาดัง ๆ ต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้… ข้ายังไม่ต้องทำอันใด เจ้าเป็นคนประกาศให้เอง..." เขาหัวเราะในลำคอ แผ่วและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก


"จางกงกง!!"


เสียงหลินหยากระแทกออกจากริมฝีปากในจังหวะที่หัวใจของนางเต้นกระหน่ำราวกลองศึก นัยน์ตาของหญิงสาวลุกวาบ ริมฝีปากเม้มแน่นจนเผลอเงื้อฝ่ามือจะฟาดเขาให้หายซ่า แต่ก็รู้ดีว่าแค่การเอ่ยชื่อเขาเต็มปากกลางหอว่านหงเหรินเช่นนี้ก็เหมือนโยนฟืนเข้ากองเพลิงแล้ว หลินหยาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรกับเธอ…กับคนในห้องนี้ 


เหล่านางโลมทั้งสี่ถึงกับชะงักค้างชั่วขณะนิ้วมือที่กำลังนวดคลึงหลังไหล่ ท่าทางที่กำลังเอนแนบข้าง และพัดในมือที่เคลื่อนไหวอยู่เหนือศีรษะเขาชะงักราวกับเวลาถูกสาปให้หยุดลง เพียงชื่อนั้นหลุดจากปาก ดุจสายฟ้าฟาดผ่าลงกลางบรรยากาศ รอยยิ้มพริ้มพรายบนกลีบปากของนางโลมทั้งสี่แข็งค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก สายตาของพวกนางไล่มองระหว่างจางกงกงผู้สวมหน้ากากครึ่งหน้ากับหญิงสาวที่เอ่ยชื่อต้องห้ามออกมาอย่างไม่ทันระวัง ใครจะไปคิดเล่าว่าชายหนุ่มผู้สวมหน้ากากครึ่งหน้านาม ‘ท่านชายห่าวหมิง’ แขกพิเศษผู้เยียบยโสและเป็นที่เกรงใจของเจ้าของหอ กลับเป็น เขา... จางกงกง ผู้นั้น จงฉางชื่อผู้ควบคุมสำนักขันทีแห่งวังหลวง บุรุษผู้หนึ่งในไม่กี่คนที่เหล่าสตรีถึงกับก้มหน้าให้เงียบเชียบ แม้จะเคยเห็นเขาอยู่ห่าง ๆ เพียงไม่กี่ครั้งในรอบหลายปี


บุรุษใต้หน้ากากนั้นไม่ได้ปริปากตอบโต้ เพียงแต่ร่างของเขาแข็งทื่อชั่วขณะหนึ่ง รอยยิ้มเสแสร้งบนใบหน้าพลันเลือนหายไปอย่างสิ้นเชิงเหลือเพียงความว่างเปล่าที่มิอาจหยั่งถึง สองตาหลังหน้ากากนั้นทอประกายเยือกเย็นกว่าน้ำแข็งพันปี พลางตวัดมองหลินหยา เสียงหัวเราะต่ำลึกแล่นราวลมพัดหวิวจากอีกภพหนึ่ง… มันไม่ใช่เสียงที่หัวเราะเพราะความขบขัน หากแต่แฝงไปด้วยเงามืด แฝงไปด้วยกลิ่นอายของเลือดและการตัดสินที่ไม่จำเป็นต้องมีศาล เขาหัวเราะอยู่เช่นนั้น ขณะนั่งเอนหลังกลางบรรยากาศที่เหมือนจะสงบ หากแต่หลินหยาและวิญญาณทั้งห้องล้วนจับสั่นอยู่เงียบ ๆ


เสียงทุ้มต่ำที่เคยฟังดูผ่อนคลายพลันกลายเป็นเสียงที่เยียบเย็นและแฝงด้วยความผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง "ดูเหมือนเจ้ากำลังบีบให้ข้ามือเปื้อนเลือดพวกนี้...เสี่ยวหยา" ถ้อยคำนั้นกล่าวออกมาอย่างเชื่องช้า แต่มันกลับกรีดลึกลงไปในโสตประสาทของหลินหยาราวกับทุกสิ่งคือความผิดของเธอ “บางที…ข้าก็คิดว่า เจ้าช่างล่อลวงยิ่งกว่าหญิงใดในโลกนี้ ไม่ใช่ด้วยเรือนร่าง ไม่ใช่ด้วยริมฝีปาก…แต่ด้วยสายตาที่มองใครต่อใครราวกับพวกมันยังมีค่า”


สิ้นเสียงคำพูดอันคมกริบนั้นมิรอให้ผู้ใดได้หายใจ เสียงโลหะเสียดสีกันดัง แคว๊ก! คมมีดสั้นวาววับพลันปรากฏขึ้นในมือของจางกงกง ราวกับเสี้ยวหนึ่งของประกายแสงที่มิอาจจับต้องได้ ร่างของเขาพุ่งทะยานออกไปดุจพยัคฆ์ที่ตะครุบเหยื่อ การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วดุจสายฟ้าฟาดไร้ซึ่งสุ้มเสียง นางโลมนางแรกที่นั่งใกล้ที่สุดยังมิทันได้เปล่งเสียงกรีดร้อง ลำคอระหงก็ถูกคมมีดเชือดเฉือนขาดสะบั้น เลือดสีสดพุ่งกระฉูด ดุจน้ำพุที่พวยพุ่งขึ้นกลางอากาศ ดวงตาของนางยังคงเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ก่อนที่ร่างจะทรุดฮวบลงกับพื้น ส่งเสียง "ตุ้บ" แผ่วเบา ก่อนที่นางโลมนางที่สองจะได้ทันตั้งสติ มีดในมือของจางกงกงก็บิดพลิกในอากาศ พุ่งเข้าปักกลางแสกหน้าของนางอย่างแม่นยำ เลือดและสมองกระจายเปื้อนพรมหรูหรา วินาทีต่อมา ร่างของนางก็ร่วงลงไร้ลมหายใจ มิมีแม้แต่เสียงร้องเล็ดลอด


นางโลมนางที่สามและสี่ซึ่งอยู่รายล้อมตัวสั่นเทา พยายามจะลุกหนีด้วยความหวาดกลัวสุดขีดแต่จางกงกงมิให้โอกาส เขาก้าวข้ามร่างไร้วิญญาณของนางแรกไปอย่างเยือกเย็น ราวกับย่างเหยียบเศษใบไม้ คมมีดในมือฟาดผ่านอากาศราวกับสายลม มันเชือดเฉือนเส้นเอ็นที่ข้อเท้าของนางที่สาม นางทรุดฮวบลงพร้อมเสียงร้องที่สำลักเลือด ก่อนที่คมมีดจะพุ่งเข้าแทงทะลุหัวใจอย่างรวดเร็วและไร้ความปรานี


นางโลมนางสุดท้าย ตัวสั่นเทา พยายามคลานหนีด้วยมือที่จิกไปบนพื้นพรมอย่างบ้าคลั่ง ทว่าก็ไม่ทันคมมีดที่บัดนี้เปรอะเปื้อนโลหิตสีแดงฉาน จงฉางชื่อเดินเข้าประชิด พลางใช้ปลายมีดเชยคางนางขึ้น ดวงตาหลังหน้ากากครึ่งหน้านั้นเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ปราศจากความรู้สึกผิดใดๆ คมมีดปักลงบนตำแหน่งชีพจรที่ลำคออย่างเชื่องช้า แล้วกรีดลงอย่างเฉียบขาด ราวกับกำลังปอกผลไม้ เสียงสุดท้ายที่เล็ดรอดออกมาคือเสียงเฮือกสุดท้ายแห่งชีวิต


“.......” 


เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นพรมที่เคยหรูหรา เสื้อผ้าแพรพรรณของเหล่านางโลมเปื้อนเปรอะไปด้วยคาวเลือด ร่างทั้งสี่กองอยู่เบื้องหน้าดุจตุ๊กตาที่ถูกทอดทิ้ง จางกงกงยืนอยู่กลางวงล้อมของความตาย ร่างของเขาเปื้อนหยาดเลือดเพียงเล็กน้อยจากการเคลื่อนไหวที่เชี่ยวชาญ คมมีดในมือของเขาแดงฉาน หากแต่ท่าทางกลับยังคงสงบนิ่งราวกับมิได้เพิ่งสังหารผู้คนไปสี่ชีวิต


หลินหยาจ้องมองภาพเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง ใบหน้าขาวซีด ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวและขยะแขยง ภาพของการสังหารที่รวดเร็วโหดเหี้ยม และไร้ซึ่งความปรานีนี้ ตรึงแน่นอยู่ในความทรงจำของเธอราวกับเพิ่งได้เห็น ปีศาจ ตัวจริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากและรอยยิ้มเย็นชา จางกงกงเงยหน้าขึ้นสองตาคมกริบจ้องตรงมายังหลินหยาอย่างไม่ลดละ รอยยิ้มบางเบาผุดขึ้นที่มุมปากใต้หน้ากาก แม้จะถูกบดบัง แต่มันกลับสื่อถึงความพอใจอันบิดเบี้ยว 


ที่ราวกับกำลังบอกว่า... ‘นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือกให้ข้าทำ…’


ดวงตากลมโตของหลินหยาที่เบิกกว้าง ม่านตาสะท้อนภาพนองเลือดตรงหน้า ขณะที่ปลายคางนวลบางสั่นระริกไม่อาจควบคุมได้ ภาพของร่างของสตรีเหล่านั้นทรุดลงทีละคน ทีละคน อย่างสงบเงียบราวกับไม่มีเสียงใดสะท้อนออกมาในความเป็นจริง แต่ในหูของหลินหยา ทุกสิ่งกลับดังก้องชัดเจนราวเสียงฟ้าผ่ากลางใจ พวกนางคือคนรู้จักของเธอ…เป็นคนที่เธอแค่เพียง…นางนั่งนิ่ง ตัวแข็งราวรูปปั้น แต่ในอกกลับปั่นป่วนยิ่งกว่าพายุกลางท้องทะเล ดวงหน้าอ่อนหวานที่เคยสดใสบัดนี้ซีดเผือด สีเลือดถอยหายจากปลายริมฝีปากไปหมดสิ้นไม่ใช่เพราะไม่เคยเห็นความตาย แต่เพราะสิ่งที่เพิ่งได้เห็นนั้น…ไม่ใช่ ‘ความตาย’ ธรรมดา แต่คือการลบล้าง ‘การมีอยู่’ ของมนุษย์ด้วยความเย็นชาที่น่ากลัวถึงกระดูก


"เพียงเพราะ…?" เสียงนางหลุดออกมาระคนอึดอัดและหวาดกลัวแม้เสียงจะเบาราวกับลมหายใจ แต่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นที่แทบจะกลั่นออกมาเป็นน้ำตา


จางกงกงยืนอยู่ท่ามกลางร่างไร้วิญญาณที่กองอยู่บนพรมแดงฉาน คมมีดในมือยังคงเปื้อนคาวเลือด เขาเมินเฉยต่อซากศพเหล่านั้นราวกับพวกนางเป็นเพียงเศษธุลี สองตาคมกริบใต้หน้ากากจับจ้องตรงมายัง หลินหยา อย่างไม่ลดละ ใบหน้าของเขาไม่มีแววสำนึกผิดหรือความรังเกียจในสิ่งที่ตนเพิ่งทำลงไปแม้แต่น้อย เสียงก้าวเท้าช้า ๆ ของเขาท่ามกลางคราบเลือดเหมือนเสียงของผู้ควบคุมโชคชะตา ใบหน้าภายใต้หน้ากากครึ่งซีกไม่แสดงความสะทกสะท้านใด ๆ ไม่ใช่เพราะความไร้สำนึก แต่เพราะเขาไม่เห็นว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้น ‘ผิด’ แม้แต่น้อย


"เสี่ยวหยา..." เสียงเขากลับอ่อนโยนผิดแผกจากสิ่งที่นางเห็นนัก "เจ้าควรรู้ว่าในโลกใบนี้ ความลับยิ่งกว่าลมหายใจ ไม่ใช่ทุกคนที่มีสิทธิ์ได้ยินมัน... และไม่ใช่ทุกคนที่ข้าจะไว้ชีวิตเมื่อได้ยินมัน"


"เจ้าจำไว้นะ...ที่คนพวกนี้เป็นเช่นนี้คือฝีมือเจ้า" เสียงของเขาแหบพร่าลงเล็กน้อยหากแต่กลับยิ่งเพิ่มความหนักหน่วงน่าขนลุก "ที่บังคับข้าลงมือ พวกนางได้ยินมากเกินไปโดยเฉพาะชื่อ 'จางกงกง' ที่เจ้าหลุดปากออกมา" ทุกคำพูดของเขากรีดลึกเข้าไปในจิตใจของหลินหยา ราวกับคมมีดที่กำลังกรีดแทงซ้ำแผลเก่าให้ฉีกขาด เธอพยายามจะถอยหนีแต่ทว่าขาของเธอกลับอ่อนแรงจนก้าวไม่ออก มันไม่ใช่ความกลัวในคมมีดหรือเลือดที่อาบย้อมพื้น หากแต่เป็นความหวาดหวั่นต่อ บุคคลเบื้องหน้า ที่เพิ่งเผยธาตุแท้แห่งความอำมหิตออกมาอย่างหมดเปลือก


จางกงกงก้าวเข้ามาใกล้นางทีละน้อย ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งจนน่าเวียนหัว ร่างของเขาย่างเหยียบข้ามศพเหล่านั้นมาอย่างไม่แยแส เสียงรองเท้ากระทบพื้นแผ่วเบาในความเงียบที่น่าสะพรึงกลัว หลินหยาหายใจติดขัดหัวใจเต้นรัวรุนแรงจนเจ็บแน่นอก เธอรู้สึกราวกับว่าเงามืดแห่งความตายกำลังคืบคลานเข้ามาปกคลุม "เสี่ยวหยา..." น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนลงอย่างผิดปกติ เมื่อมือเรียวยาวของเขาเอื้อมมาเชยปลายคางของหลินหยาขึ้น ใบหน้าของเขาก้มต่ำลง จนดวงตาที่วาววับหลังหน้ากากนั้นจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ 


"ข้าจะให้เจ้าเห็นว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นจริง"


ปลายนิ้วเย็นเยียบของเขาสัมผัสไล้ไปตามแนวสันกรามของหลินหยาอย่างเชื่องช้า ละเลียดดุจกำลังสำรวจสมบัติล้ำค่าที่ไม่เคยได้ครอบครองมาก่อน สัมผัสนั้นมิได้รุนแรง หากแต่กลับแฝงไปด้วยพลังกดดันอันมหาศาลที่ทำให้หลินหยารู้สึกราวกับถูกตรึงไว้กับที่ ไม่อาจขยับกายหนีได้ หลินหยารู้ดีว่าบัดนี้จางกงกงจะไม่หยุดแค่การสัมผัสด้วยมือและปลายนิ้วอีกต่อไป ทุกคำพูดทุกสัมผัสที่จางกงกงมอบให้ หลินหยารับรู้ได้ถึง อารมณ์ที่หลากหลายอย่างบิดเบี้ยว ที่อัดแน่นอยู่ภายในตัวเขา มันคือความ หวงแหน ที่คล้ายจะบดขยี้เธอให้แหลกคามือ ความ ต้องการครอบครอง ที่รุนแรงจนน่ากลัว ความ รัก ที่ดำมืดบิดเบี้ยว ความ เกลียดชัง ที่สะท้อนบาดแผลในจิตวิญญาณของเขา และความ หลงใหล ที่พลุ่งพล่านจนอยากจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางกั้น


ปลายนิ้วของเขาไล้ไปตามเรียวคอของหลินหยาอย่างช้าๆ แผ่วเบา หากแต่กลับสร้างความรู้สึกหวาดเสียวจนขนลุกซู่ ราวกับคมมีดกำลังจ่ออยู่ตรงเส้นชีพจร ดวงตาของเขาฉายแววปรารถนาอย่างบ้าคลั่ง ยากจะอ่าน แต่ชัดเจนว่ามันคือความปรารถนาที่พร้อมจะทำทุกสิ่งเพื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ แม้จะต้องแปดเปื้อนเลือดและทำลายทุกอย่างก็ตาม


หลินหยากลืนน้ำลายอย่างฝืดเฝื่อนนางเคยรู้ว่าชายผู้นี้โรคจิต มีความคิดบิดเบี้ยว ไม่ยึดติดกับศีลธรรมแบบใคร แต่ไม่มีสักครั้งที่ภาพของเขาชัดเจนเท่าครั้งนี้ไม่ใช่ภาพของท่านชายห่าวหมิงผู้ยิ้มเย็น แต่เป็น ปีศาจในคราบบุรุษงามผู้พูดคำว่า ‘รัก’ ขณะยังมีเลือดติดปลายนิ้ว นางสั่นเล็กน้อยแต่กัดฟันแน่น ไม่เอ่ยคำใดออกมาเพียงเพราะนางสับสนภาพยังคงติดตาและสั่นกลัวทั้งยังโทษตัวเอง ว่าไฉนถึงหลงรักปีศาจในคราบมนุษย์นี้ได้ ทำไมถึงได้เผลอใจไปกับคำหวานของเขาที่เคลือบอาบยาพิษร่ายแรงถึงตาย


"ยิ่งเจ้าต่อต้าน ข้าก็ยิ่งอยากทำให้เจ้าจำข้าได้…ลึก…และยิ่งกว่าใคร"


ถ้อยคำสุดท้ายของจางกงกงยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของหลินหยา เสียงที่เย็นยะเยือกหากแต่กลับจุดไฟแห่งความหวาดกลัวและความสับสนให้ลุกโชนในใจเธอ ร่างไร้วิญญาณของนางโลมทั้งสี่ยังคงกองอยู่บนพื้นพรมแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งราวกับต้องการตอกย้ำถึงการกระทำอันเหี้ยมโหดที่เพิ่งผ่านพ้นไป จางกงกงก้าวเข้ามาใกล้หลินหยาอีกก้าว แววตาหลังหน้ากากครึ่งหน้านั้นพร่าเลือนไปด้วยความปรารถนาที่ยากจะเข้าใจ มันไม่ใช่แค่ความใคร่ แต่เป็นความหิวโหยที่ลึกซึ้งกว่านั้น...ความหิวโหยของจิตวิญญาณที่ถูกทำลาย สายตาของเขาจ้องมองเธอราวกับเธอคือสมบัติล้ำค่าที่เขาตามหามาทั้งชีวิต เป็นความหลงใหลที่บริสุทธิ์ทว่ากลับบิดเบี้ยวจนน่าขนลุก มันคือแววตาของผู้ที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่ง เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาครอบครอง


เขาไม่พูดอะไรอีกเพียงแต่ยกมือขึ้นช้า ๆ มือที่เพิ่งเปื้อนคาวเลือดหมาด ๆ นั้นช่างขัดแย้งกับท่าทางที่ดูเชื่องช้าและพิถีพิถันของเขา ปลายนิ้วเรียวยาวค่อย ๆ ไล้ไปตามโครงหน้าของหลินหยา สัมผัสแรกนั้นเย็นเยียบ หากแต่กลับทิ้งกระแสไฟอ่อน ๆ ไว้บนผิวเนื้อ เธอพยายามจะเบือนหน้าหนี แต่แรงกดจากปลายนิ้วโป้งที่เชยคางเธอกลับหนักแน่นจนไม่อาจขยับได้


"เจ้าจะได้เห็นว่าในใต้หล้านี้...มีเพียงข้าที่ห่วงใยเจ้าเท่านั้น" เสียงของเขาพร่าเลือนลง แผ่วเบาราวเสียงกระซิบจากเงามืด แต่แฝงด้วยคำมั่นสัญญาที่ผูกมัดและน่ากลัว เขาก้มลง สัมผัสจากริมฝีปากบางเฉียดผิวแก้มของเธอลงไปที่ลำคอ แผ่วเบาจนขนกายลุกชันทุกเส้น


“เสี่ยวหยา... เจ้ายังจะดื้ออีกหรือไม่”


ปลายนิ้วที่เคยประคองโครงหน้า บัดนี้ไล้ลงมาตามแนวสันคอ ลูบไล้เส้นผมดำขลับอย่างช้าๆ ราวกับต้องการจะซึมซับทุกอณูของเธอไว้ในความทรงจำ การสัมผัสนั้นไม่ได้อ่อนโยนรุนแรง แต่มันเต็มไปด้วยความต้องการอันแรงกล้าที่จะ บีบอัด ให้หลินหยากลายเป็นส่วนหนึ่งของเขา ความหวงแหน ที่ไม่เคยมีให้ใครมาก่อนปรากฏชัดในทุกการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ ความต้องการครอบครอง ที่รุนแรงจนแทบจะกลืนกินจิตวิญญาณของเขาเอง จางกงกงปรารถนาหลินหยาอย่างบ้าคลั่ง หลงใหลจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ แต่ในความหลงใหลนั้นกลับแฝงความ เกลียดชัง ที่มีต่อโลกทั้งใบ และความ เจ็บปวด จากอดีตที่กัดกินตัวตนของเขา จนกลายเป็นการโหยหาที่จะ ทำลาย เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง


“ข้ารอมานานเหลือเกิน...เสี่ยวหยา เพียงผ่านไปชั่วนาทีข้าก็รู้สึกว่ามันนานโขแล้ว” เขากระซิบเสียงเบาแต่เร้าร้อน ก่อนจะโน้มหน้าลงกระซิบข้างหูนางอีกครั้ง “...และข้าก็จะทำให้มัน...สมค่ากับที่ข้ารอ”


ลมหายใจอุ่นร้อนผ่าวของเขาเป่ารดผิวต้นคอ ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะกดลงบริเวณต้นคอขาวของนางดูดดึงผิวเนื้ออย่างจงใจจนเกิดเสียงดังแผ่วเบาด้วยริมฝีปากของตนเอง ทิ้งรอยแดงจางๆ เป็นสัญลักษณ์แห่งการ ตีตรา เธอบนร่างกาย


ไม่รอให้หลินหยาได้ทันตั้งตัว ริมฝีปากของจางกงกงก็บดเบียดลงมาประกบกับริมฝีปากของเธออย่างจาบจ้วง ร้อนแรงดุจเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ไม่มีการรอคอย ไม่มีการหยอกเย้า มีแต่ความรุนแรงของอารมณ์ที่อัดแน่นจนระเบิดออกมา ปลายลิ้นร้อนชื้นสอดแทรกเข้ามาในช่องปากอย่างไม่รีรอ ไล่ต้อนลิ้นของเธอ สัมผัสดูดดึงกลีบปากของหลินหยาอย่างหนักหน่วง ราวกับต้องการสูดลมหายใจของเธอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง


ในห้วงจุมพิตที่ยาวนานและครอบงำนั้น หลินหยารับรู้ได้ถึงรสเค็มปร่าของเลือดที่ยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปากของเขา ผสมกับกลิ่นกำยานและรสขมขื่นของความปรารถนาอันบิดเบี้ยว เธอรู้สึกราวกับถูกกลืนกิน จมดิ่งลงไปในวังวนแห่งความมืดมิดที่ปั่นป่วนและเร่าร้อนของชายคนนี้ เขามอบความรู้สึกอัดในอกให้เธอในแบบที่ไม่มีใครเคยทำได้ แต่มันกลับมาพร้อมกับความรู้สึกว่าเธอได้สูญเสียบางสิ่งไป...บางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต จางกงกงไม่ยอมปล่อยจูบนั้นเลยแม้แต่วินาทีเดียว เขาจูบซึมซับเอาทุกอย่างจากเธอ ราวกับกำลังเติมเต็มความว่างเปล่าที่กัดกินจิตใจเขามาตลอดทั้งชีวิต ทุกสัมผัส ทุกการดูดดึง เป็นการตอกย้ำถึง "ความเป็นของเขา" ที่มีต่อเธอ


จางกงกงยังคงจูบหลินหยาอย่างเร่าร้อนและไม่ยอมปล่อยเนิ่นนาน ราวกับต้องการผนึกรวมสองชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียว ลมหายใจของทั้งคู่หอบกระชั้น รสคาวเลือดจางๆ ผสมกับความหวานชื้นในโพรงปากยิ่งกระตุ้นความรู้สึกให้ลึกซึ้งและอันตรายยิ่งขึ้น 



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: ว้ายยยยยยยย ทำไมมันร้อนขนาดนี้ล่ะ เอ่อออออ ก็ 200K ไปเลยดิ เก๋ ๆ

รางวัล: ว๊าย ๆ จูบแรก


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 103460 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-21 15:48
โพสต์ 103,460 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-21 15:48
โพสต์ 103,460 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-21 15:48
โพสต์ 103,460 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-21 15:48
โพสต์ 103,460 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 คุณธรรม +15 ความชั่ว +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-21 15:48
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-7-21 15:50:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-9-7 03:06




วันที่ 19 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)

Part 2


ในที่สุด เขาก็ผละริมฝีปากออกอย่างช้าๆ ดวงตาคมกริบภายใต้หน้ากากจ้องมองหลินหยาด้วยความปรารถนาที่เผาไหม้ ทุกอณูในร่างของเขาดูเหมือนจะปั่นป่วนด้วยความต้องการที่ถูกเก็บกดมานานแสนนาน ริมฝีปากของเขายังคงชื้นแววไปด้วยน้ำลายและหยาดเลือดจางๆ โดยไม่ปล่อยให้หลินหยาได้ทันตั้งสติ จางกงกงก็เริ่มลงมือปลุกเร้าอารมณ์เธออย่างเชี่ยวชาญและบิดเบี้ยว ปลายลิ้นร้อนชื้นของเขาไล้เลียไปตามลำคอขาวผ่องของหลินหยาอย่างเชื่องช้า ละเอียดละออ ราวกับกำลังวาดลวดลายบนผืนผ้าใบอันแสนบอบบาง สัมผัสที่เปียกชื้นและร้อนผ่าวสร้างความเสียวซ่านไปทั่วร่างของหลินหยาจนเธอต้องเผลอตัวสั่นเทิ้ม


“จะ…จาง..” หลินหยาที่พยายามพูดออกมากลับรู้สึกว่ามันยากยิ่งกว่าสิ่งใดที่จะมีเสียงอื่นนอกจากเสียงหอบและเสียงกลั้นอันน่าอายวาบหวามออกจากริมฝีปากของนางในตอนนี้..


จากลำคอลิ้นของเขาก็เลื่อนขึ้นไปงับติ่งหูเล็กๆ ของเธอเบาๆ ก่อนจะใช้ฟันคมขบเม้มอย่างแผ่วเบา แต่กลับส่งความรู้สึกวาบหวามไปทั่วศีรษะของหลินหยา เธอรู้สึกราวกับถูกกระแสไฟฟ้าช็อต ปฏิกิริยาของเธอทำให้ในดวงตาของจางกงกงทอประกายพึงพอใจอย่างน่าประหลาด มือข้างที่โอบเอวหลินหยาอยู่กระชับแน่นขึ้น ราวกับต้องการยึดร่างที่กำลังอ่อนระทวยของเธอไว้แนบชิดกับกายของเขามากขึ้น มืออีกข้างเลื่อนขึ้นไปลูบไล้แผ่นหลังของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะสอดเข้าไปใต้เสื้อผ้าเนื้อบาง เลื่อนสัมผัสไปตามแนวโค้งเว้าของแผ่นหลังอย่างยั่วยวน


จางกงกงค่อยๆ เลื่อนเสื้อของหลินหยาลงจากบ่าช้าๆ เผยให้เห็นผิวเนื้อขาวเนียนบริเวณไหล่และเนินอกของอิสตรีสาววัยแรกแย้ม แสงสลัวภายในห้องขับให้ผิวของเธอดูเปล่งปลั่งราวไข่มุกน้ำเอก ทันใดนั้นเอง เขาก็ก้มลงฝากร่องรอยความเป็นเจ้าของบนผิวกายของเธอ ริมฝีปากของเขากดลงบนไหล่มน งับแล้วดูดดึงอย่างแรงจนเกิดรอยแดงเถือกจางๆ แผ่กระจายไปทั่วบริเวณอกของหลินหยา ราวกับเขากำลังประทับตราสัญลักษณ์ของตนเองลงบนผืนดินที่เขาหมายตาไว้


ระหว่างที่ลงมือปลุกเร้าอารมณ์หลินหยาอย่างบิดเบี้ยว จางกงกงก็พร่ำกระซิบข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เต็มไปด้วยความปรารถนาที่อัดอั้นมานาน


"ข้าทน...มากพอแล้ว เสี่ยวหยา..." เสียงของเขาต่ำลึก สั่นเครือเล็กน้อย


จากนั้นเขาก็กระซิบอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความอดกลั้นที่แทบจะถึงขีดสุด "เจ้า...ไม่รู้เลยว่าข้าอดกลั้นกับเจ้ามานานเท่าไร" ทุกคำพูด ทุกสัมผัสของจางกงกงเต็มไปด้วยความปรารถนาที่รุนแรง ความต้องการครอบครองอย่างบ้าคลั่ง และความหลงใหลที่พร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่งให้เป็นจุณ แม้ภายนอกเขาจะดูสงบนิ่งและเชี่ยวชาญ แต่ภายในกลับปั่นป่วนด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนและอันตราย หลินหยาสัมผัสได้ถึงความบิดเบี้ยวในจิตใจของเขา ความรักที่กลายเป็นความคลั่งไคล้ และความปรารถนาที่จะครอบครองเธออย่างสมบูรณ์แบบ...ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ


มือบางของหลินหยาที่สั่นเล็กน้อยจากทั้งความกดดันในอกและแรงสั่นสะเทือนของสถานการณ์ ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปวางที่ไหล่ของเขา เธอไม่ได้ผลักออก ไม่ได้ต่อต้านด้วยความรุนแรงอย่างที่เคย...แต่กลับบีบเบา ๆ ราวกับจะห้าม


“ทะ…ท่าน”


จางกงกงชะงักไปวูบหนึ่งราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงยังมีสติเหลือพอจะพูด ทั้งที่เมื่อครู่ร่างกายบอบบางนั้นสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนของเขาราวกับใบไม้กลางพายุ เขาจ้องมองนางใต้หน้ากากครึ่งซีก...จ้องลึกลงไปในดวงตาที่เจือแววกล้า กลัว ปนเปในเวลาเดียวกันแฝงแรงสั่นของกล้ามเนื้อบางเบา นางแตะกายของเขาอย่างคนที่ตัดสินใจได้แล้วคนที่ไม่อยากวิ่งหนีอีกต่อไป ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้าใส่หลินหยาจนแทบประคองสติไม่อยู่ ร่างกายเธอสั่นเทิ้มด้วยความเสียวซ่าน ความหวาดกลัว และความสับสน จุมพิตที่เร่าร้อนและการกระทำที่แสดงความเป็นเจ้าของของจางกงกงปลุกเร้าความรู้สึกที่ซ่อนลึกในใจเธอให้ตื่นขึ้นอย่างรุนแรง


เมื่อจางกงกงผละริมฝีปากออกเล็กน้อย หลินหยาก็รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือยกมือขึ้นอย่างช้าๆ มือของเธอสั่นระริกอย่างเห็นได้ชัด ปลายปลายนิ้วเย็นเยียบแตะลงบนอกของเขาอย่างแผ่วเบา พยายามที่จะผลักร่างสูงใหญ่ที่ยืนค้ำศีรษะเธอออกไป "พะ...พอแล้ว..." เสียงของเธอแหบพร่า สั่นเครือ แทบจะเป็นเพียงกระซิบแผ่วเบาในความเงียบที่น่าอึดอัด เธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ถูกบดบังด้วยหน้ากากกึ่งใบหน้า ดวงตาของเธอสั่นไหวมองลึกเข้าไปในดวงตาคมกริบที่จ้องมองกลับมาอย่างลึกล้ำราวกับต้องการอ่านทุกความคิดในใจเธอ


"พอก่อน..." เธอพยายามเอ่ยอีกครั้งน้ำเสียงหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงแฝงไปด้วยความสั่นเทา ลมหายใจของเธอสะดุดเป็นห้วงๆ เมื่อเงยหน้ามองจางกงกงที่สูงกว่า ร่างกายของเขาแข็งแกร่งและน่าเกรงขาม ยืนตระหง่านอยู่เหนือร่างที่อ่อนแรงของเธอ


"ขะ...ข้าขอ..." เธอเว้นจังหวะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก "ขอให้ท่านรอก่อน..."


คำพูดนั้นออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ เป็นความปรารถนาที่แท้จริงของเธอในเวลานี้ หลินหยารู้ดีว่าหากปล่อยเลยตามเลย เหตุการณ์จะดำเนินไปอย่างไร เธอไม่ต้องการหนีอีกแล้ว ไม่ต้องการหลีกเลี่ยงความจริงที่ซับซ้อนระหว่างเธอกับเขา มือที่สั่นเทาของเธอค่อยๆ ขยับขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ปลายนิ้วของเธอสัมผัสกับขอบของหน้ากากเย็นเยียบที่ปิดบังใบหน้าของจางกงกงไว้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนหน้ากากนั้นออกอย่างช้าๆ ทีละน้อย


เมื่อหน้ากากถูกปลดเปลื้องออกจนหมด เผยให้เห็นใบหน้าที่เธอคุ้นเคย...ใบหน้าที่ทั้งรัก ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด ใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามที่ถูกทรมานมานานแสนนาน ดวงตาคมกริบที่เคยฉายแววเย็นชา บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความสับสน ความปรารถนา และความเจ็บปวดที่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจน มันคือดวงตาของคนที่สับสนอย่างลึกล้ำ...แววตาของใครบางคนที่กลัว...กลัวการถูกมองเห็น กลัวการถูกเข้าใจ กลัวการถูกปฏิเสธในความเป็นตัวตนที่แท้จริง


ใบหน้างามหวานแต่เฉียบคมนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้าเธออย่างชัดเจน ไม่มีสิ่งใดปิดบังอีกต่อไป หลินหยามองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา พยายามอ่านความรู้สึกที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกนอกที่แข็งกระด้าง นี่คือใบหน้าจริงๆ ของเขา ไม่ใช่หน้ากากที่ใช้ปกปิดความอ่อนแอและความบิดเบี้ยว ใบหน้าที่หล่อหลอมจากความเจ็บปวดและการทรมาน แต่ก็ยังคงความงดงามที่เคยทำให้เธอหวั่นไหว


ในที่สุด การเผชิญหน้าก็มาถึงแล้วไม่มีหน้ากากใดๆ มาขวางกั้นระหว่างเธอกับเขาอีกต่อไป มีเพียงสองดวงตาที่จ้องมองกันอย่างลึกซึ้ง ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและความรู้สึกที่คุกรุ่น “ในที่สุด…เจ้ายอมให้ข้ามองเจ้าด้วยดวงตาของข้าเองเสียที เสี่ยวหยา” เสียงเขาเอ่ยเบา ๆ “ข้าเก็บเจ้ามานาน…อดทนมานาน” มือของเขาวางทาบบนแก้มขาวจัดของนางอีกข้าง นิ้วหัวแม่มือไล้เบา ๆ อย่างแนบเนียน “แล้วเจ้าก็ยังงาม…งามจนข้าชัง”


ริมฝีปากร้อนจัดนั้นประทับลงมาอีกครั้ง คราวนี้ไร้การลังเลไร้ความยั้งคิด มือของเขารั้งเอวนางไว้แน่น ราวกับกลัวว่านางจะละลายหายไปต่อหน้า จางกงกงจูบหลินหยาอย่างรุนแรง รุนแรงเสียจนลมหายใจของนางแทบหลุดออกจากปอด ความรู้สึกร้อนวูบแล่นปราดไปทั่วร่างราวกับเปลวเพลิงแผดเผา ความตึงเครียด ความโกรธ ความโหยหาที่ถูกกักเก็บ...ถูกถ่ายทอดทั้งหมดลงในสัมผัสเดียว


หลินหยาเบิกตากว้างในตอนแรก มือของนางเผลอยกขึ้นดันอกของเขา แต่ไร้เรี่ยวแรง เธอไม่เคยถูกจูบมาก่อนเลย ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะโดนจูบด้วยความดิบเถื่อนเช่นนี้อีกครั้งจากคนเดียวกัน และสิ่งที่แย่ที่สุด…หรืออาจดีที่สุดสำหรับจางกงกงก็คือนางตอบสนองไม่เป็นเลยแม้แต่น้อย ริมฝีปากของเธอสั่นไหว ไม่รู้จะทำอย่างไร นางได้แต่หลับตาแน่น ปล่อยให้เขาพัดพาร่างเธอไหวโยกไปกับจังหวะของผู้เชี่ยวชาญ ทว่า…ในความไม่รู้ของหลินหยา ในท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของนางนั้นเองกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ชายตรงหน้าแทบบ้าเสียให้ได้


จางกงกงถอนจูบออกเพียงเล็กน้อย ปลายนิ้วไล้เรียวคางนางบังคับให้สบตา ดวงตาของเขาวาววับราวสัตว์ร้ายที่เพิ่งพบเหยื่อบริสุทธิ์ผุดผ่อง ใสสะอาด เพราะนางไม่เคยตกเป็นของใครมาก่อน “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจูบไม่เป็น…” เขากระซิบชิดกลีบปากแดงระเรื่อดวงตาแคบลงช้า ๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่แทบไม่ใช่ของมนุษย์ “เจ้ามิได้เกิดมาเพื่อเรียนรู้จากใคร…เพราะเจ้าถูกลิขิตมาเพื่อเรียนรู้จากข้าเพียงคนเดียว เสี่ยวหยา”


ปลายนิ้วไล้แผ่วผ่านเรียวปากที่เปียกชื้นเริ่มแดงจ้ำอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนเขาจะบรรจงประกบจูบอีกครั้ง คราวนี้ช้ากว่าเดิม ลึกซึ้งกว่าเดิม และตั้งใจ ‘สอน’ เขาไม่เร่งรีบ แต่กลับแนบชิดราวกับต้องการปลูกฝังบางสิ่งไว้ในจิตใจของนางตลอดกาล ให้ทุกสัมผัส…ทุกคราวที่ริมฝีปากแตะกัน นางจะไม่มีวันลืมว่าใครคือคนแรกและคนสุดท้ายของนาง และเมื่อเขาผละออกอีกครั้ง หลินหยาก็หายใจไม่ทัน หน้าแดงจัดจนแทบระเบิด หัวใจเต้นรัวเกินบรรยายจนรู้สึกเจ็บ จางกงกงยิ้มเย็น ยิ้มอย่างสมใจ และกระซิบด้วยเสียงเบาราวคำสาป


“เจ้าไม่ต้องเรียนรู้จากใครอีกต่อไปแล้ว…ข้าจะ ‘สอน’ เจ้าทุกอย่าง ด้วยมือของข้าเอง”


กลีบปากยังร้อนรุ่มจากสัมผัสเมื่อครู่ หลินหยาเบือนหน้าหนีเพียงเล็กน้อย หายใจหอบ ริมฝีปากของนางสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งจากความตื่นตระหนกและความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ด้วยถ้อยคำ มือใหญ่ของจางกงกงโอบแน่นรอบเอวนางไม่ให้ขยับหนี เขาย่อตัวลงเล็กน้อย ประคองใบหน้าเธอขึ้นด้วยมือทั้งสองข้างอย่างทะนุถนอมจนน่ากลัว เหมือนสัมผัสของคนที่กลัวจะทำของล้ำค่าพัง หากในความทะนุถนอมนั้นแฝงไว้ด้วยความคลั่งไคล้ที่แทบจะกัดกินสติ


“เจ้ายังกลั้นหายใจอยู่นะ…” เสียงต่ำแผ่วเบาราวเสียงกระซิบของงูพิษ “…ไม่ใช่ว่าเจ้ากลัวข้าใช่หรือไม่…?” หลินหยาไม่ตอบคำถามเขานางข่มใจไม่กลัวแล้วแต่หัวใจเจ้ากรรมกลับไม่ยอมเชื่อเพราะใบหน้านั้น..ใบหน้าที่โดนปลดหน้ากากออก


เมื่อหน้ากากถูกปลดออกเผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลา ทว่าแฝงด้วยร่องรอยของความทรมานที่กัดกิน ดวงตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องมาที่หลินหยาอย่างไม่ลดละ ไม่มีสิ่งใดปิดบังอีกต่อไปมีเพียงความจริงเปลือยเปล่าที่เผชิญหน้ากัน จางกงกงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงความสั่นสะท้านที่ยังคงอยู่ในร่างของหลินหยา รวมถึงปฏิกิริยาแข็งทื่อของริมฝีปากที่เพิ่งผ่านจุมพิตเร่าร้อนไปเมื่อครู่ เขาผู้เป็นปรมาจารย์แห่งตำรากามสูตร ย่อมรู้ได้ในทันทีว่า หลินหยาผู้นี้...ยังมิได้รู้จักศิลปะแห่งจุมพิตอย่างแท้จริง


รอยยิ้มบางเฉียบผุดขึ้นที่มุมปากของเขา มิใช่รอยยิ้มที่อ่อนโยน แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงความเหนือกว่าและความเจ้าเล่ห์ดุจจิ้งจอกเฒ่า เขาเชยคางของหลินหยาขึ้นอีกครั้ง สองตาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาที่ยังคงสั่นไหวของเธอ "ดูเหมือนเจ้า...ยังขาดทักษะไปมาก" เสียงของเขาแหบพร่า แต่แฝงด้วยความเยือกเย็นที่ชวนขนลุก "ข้ายังไม่ลงโทษเจ้าหรอก หากเจ้าตั้งใจเรียนรู้ให้ดี..." หลินหยาเบิกตากว้าง เธอพยายามจะเอ่ยปากค้าน ความรู้สึกหลากหลายตีรวนในอก ทั้งความอับอาย ความโกรธ และความหวาดหวั่น "ไม่...ไม่ต้อง..." เธอพึมพำเสียงแผ่ว พยายามจะขยับตัวออกห่าง แต่กลับถูกมือแข็งแกร่งของจางกงกงตรึงร่างไว้แน่น


แต่จางกงกงมิได้ฟังเขาไม่สนใจคำทัดทานนั้นเลยแม้แต่น้อย ราวกับมันเป็นเพียงเสียงลมผ่าน เขาก้มลงอีกครั้ง ประทับริมฝีปากลงบนของหลินหยาอย่างช้าๆ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การบดขยี้หรือดูดดึงรุนแรงหากแต่เป็นการจูบที่เน้น การนำทางและการสั่งสอน


ลิ้นของเขาแตะลงบนกลีบปากของหลินหยาแผ่วเบา สัมผัสอย่างเชื่องช้า แต่ก็กระตุ้นความรู้สึกได้อย่างน่าประหลาด เขาใช้ปลายลิ้นวนเวียน หยอกล้อ ก่อนจะผละออกช้าๆ พร้อมกระซิบแนะนำข้างริมฝีปาก "เงยหน้าหน่อย...แบบนั้น...ดีมาก" เสียงของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ "เอียงอีกนิดสิ...ให้มุมปากเราสองแนบชิดกัน" เขาจูบลงไปอีกครั้ง คราวนี้เน้นที่การประทับริมฝีปากให้แนบสนิทขึ้น สัมผัสที่อ่อนโยนขึ้นแต่แฝงด้วยความกดดันที่ทำให้หลินหยาต้องทำตาม ลมหายใจของเธอเริ่มติดขัดอีกครั้ง จางกงกงผละออกพร้อมคำแนะนำถัดไป


"ดีมาก...คราวนี้อย่ากลั้นหายใจ ปล่อยให้มันไหลไปตามจังหวะหัวใจเจ้า..."


เขากดจูบลงมาอีกครั้งและเมื่อริมฝีปากประกบกันลิ้นของเขาก็สอดแทรกเข้ามาอย่างช้าๆ คราวนี้ไม่ได้เป็นการรุกราน แต่เป็นการเชิญชวนให้ลิ้นของหลินหยาขยับตาม "ขยับลิ้นเจ้า...เข้ามาเกี่ยวกับของข้า..." หลินหยาทำตามอย่างงกเงิ่น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงยอมทำตามคำสั่งนั้น ร่างกายของเธอตอบสนองต่อทุกสัมผัสและทุกคำพูดของจางกงกงอย่างควบคุมไม่ได้ แม้ในใจจะทั้งโกรธและอับอาย แต่ความเร่าร้อนที่เขาสร้างขึ้นมันกลับเกินต้านทาน


เมื่อหลินหยาขยับลิ้นตอบสนองได้ดีขึ้น เสียงครางในลำคอของจางกงกงก็ดังแผ่วเบาออกมาอย่างพึงพอใจ "อืม...แบบนั้น...ไม่เลวเลยเสี่ยวหยา..." น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างจริงใจ แต่กลับแฝงด้วยความเย้ยหยันและเจ้าเล่ห์อย่างวิปริต เขาผละจูบออกช้าๆ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาอยู่ห่างจากเธอเพียงคืบ ดวงตาคมกริบมองสำรวจใบหน้าที่แดงระเรื่อของหลินหยา รอยยิ้มบางเฉียบแต่แฝงความเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาอีกครั้ง


"ข้าเองก็ประหลาดใจ...ว่าทำไมเจ้าถึงเรียนรู้ไวถึงเพียงนี้..." เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวน กัดกินเข้าไปในใจของหลินหยา "หรือว่าลึกๆ แล้ว...เจ้าเองก็อยากให้ข้าสอนอยู่เหมือนกัน?" คำพูดนั้นราวกับถูกมีดกรีดแทงลงมากลางใจของหลินหยา ทำให้เธอทั้งโกรธทั้งอับอาย และสับสนในตัวเองจนแทบอยากจะหลีกหนีให้พ้นจากสายตาคมกริบคู่นั้น แต่ทว่าร่างของเธอกลับไม่อาจขยับไปไหนได้ และดวงตาก็ไม่อาจละไปจากใบหน้าของเขาได้เลย


จางกงกงมองผลงานของตัวเองด้วยความพึงพอใจ เขารู้ดีว่าได้จุดไฟบางอย่างในตัวหลินหยาขึ้นมาแล้ว ไฟที่เขาต้องการจะควบคุมและเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว มือของเขาเลื่อนมาแตะแก้มแดงจัดของนาง คลึงเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูบิดเบี้ยว “ต่อจากนี้ หากเจ้าทำดี ข้าจะชม…แต่หากยังขืนดื้อดึงกับข้า…” เขาหยุดพูด แล้วโน้มลงแนบริมฝีปากอีกครั้งแต่ไม่จูบ เพียงกระซิบเบา ๆ “…ข้าก็มีวิธีสอนให้จำไปทั้งชีวิตเช่นกัน…”


เสียงหอบหายใจยังไม่ทันจางดีจากจุมพิตอันร้อนรุ่ม หลินหยาก็ใช้มือทั้งสองแนบอกของอีกฝ่ายไว้ เสียงอ่อนหวานแต่สั่นสะท้านเปล่งออกมาเบา ๆ จนแทบจะเป็นคำขอร้อง “…วันนี้แค่…แค่จูบก่อนได้ไหม…” เสียงนางเบา ราวเสียงสายลมที่ออดอ้อนพัดผ่านดอกไม้ยามเหมันต์ “…ถ้ามากกว่านี้…ข้าไม่ไหวแน่…”


แววตาของจางกงกงเป็นประกายวาววับอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับมีเพลิงบางอย่างลุกโชนใต้รอยยิ้มอันเยือกเย็น ใบหน้าเขาเลื่อนเข้าใกล้ กดปลายจมูกลงข้างแก้มนางเบา ๆ กลิ่นหอมอ่อนประจำตัวหลินหยายิ่งยั่วประสาทสัมผัสที่ถูกทดสอบมานานเกินควร “ขอข้า…?” เขาหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำพูดแบบนั้นมันเหมือนจุดไฟราดน้ำมันมากเพียงใด…” มือของเขาเลื่อนขึ้นลูบเส้นผมนางอย่างเบา ๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงข้างหูกระซิบด้วยเสียงทุ้มต่ำ


“แต่ในเมื่อเจ้า วอนขอ…ข้าก็จะเมตตา…”


พูดจบ จางกงกงก็ผละจากนางเพียงครู่ ก่อนจะจู่โจมกลับมาอย่างรวดเร็วนิ้วเรียวยาวเลื่อนไปแตะแก้ม แล้วลูบลงปลายคางอย่างหยอกล้อก่อนจะกระตุกยิ้มชั่วร้าย “วันนี้ข้าจะไม่ ‘ล้ำเส้น’…แต่ไม่ได้สัญญาว่าจะไม่แกล้ง…”


แล้วเขาก็โน้มลงประทับจูบอีกครั้งแต่ไม่ใช่จูบเดียว ไม่ใช่จูบเดียวเลย…จางกงกงจูบหลินหยาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเบา ๆ หนัก ๆ สลับกันราวกับกำลัง ‘ชิม’ ปฏิกิริยาทุกหยาดหยดจากริมฝีปากนาง เสียงหัวเราะต่ำในลำคอหลุดรอดมาเป็นระยะยามเห็นนางหน้าแดงหูแดง สติหลุดลอยทุกครั้งที่เขาโน้มลง ครั้งหนึ่งเขาหยุดจ้องตานางอย่างมีเลศนัยแล้วยกมือนางมาจูบฝ่ามือ


“เจ้าเคยบอกว่าข้าโรคจิต…เช่นนั้นยอมให้ข้าแกล้งจนเจ้าเสพติดข้าดีหรือไม่ล่ะ เสี่ยวหยา…”


“วันนี้แค่จูบ ข้าสัญญา…แต่วันพรุ่งล่ะ?” ก่อนที่หลินหยาจะได้ทันเอื้อนเอ่ยสิ่งใด ริมฝีปากของจางกงกงก็โน้มลงมาอีกครั้งทว่าเป้าหมายคราวนี้…ไม่ใช่ปาก ปลายจมูกเฉียดผิวนวลบริเวณข้างแก้ม แล้วเลื่อนไปซุกซอกคอขาว ลมหายใจร้อนจัดเป่ารินชิดผิวเนื้อที่บอบบางที่สุด เขาไม่ได้เร่งเร้า แต่กลับทำทุกอย่างอย่าง แนบเนียนและคาดเดาไม่ได้ จากนั้น…เสียงดูดเนื้อเบา ๆ ดังขึ้น


“อื้ม…” หลินหยาหลุดเสียงเผลอหายใจแรงจนแทบสะดุ้งเมื่อสัมผัสนั้นเริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ จางกงกงไม่ได้แค่ดูด เขากำลัง จงใจ ทิ้งร่องรอยนั้นไว้อย่างถี่ถ้วนอีกครั้งบนผิวนวลที่ไม่มีสิ่งใดเคยแตะต้องมาก่อนแม้ก่อนหน้านี้เขาจะทำรอยกับนางไปมากแล้วก็ตาม เขาเคลื่อนริมฝีปากไปยังอีกฝั่ง และซ้ำรอยอีกครั้งเบาก่อน หนักขึ้น แล้วลงฟัน…


กึก…!


ฟันของเขาขบผิวเนื้อบางนั่นเข้าจริง ๆ ไม่แรงจนเลือดไหล แต่แรงพอให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนคือ สิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือกว่า ในค่ำคืนนี้ เขาผละออกจ้องรอยกัดที่ปรากฏชัดเจนแล้วเลียริมฝีปากตัวเองเบา ๆ เสมือนลิ้มรสชัยชนะ "ข้าเคยบอกหรือยังว่า…ผู้ที่กล้าต่อต้านข้าทุกคนมักต้องยอมพ่ายในที่สุด และข้าก็ไม่เคยลืม ตีตรา ทรัพย์สินของตัวเองเลยแม้แต่รายเดียว" ปลายนิ้วของเขาแตะเบา ๆ ลงตรงรอยกัดนั้นก่อนจะลากปลายนิ้วไล้ลงตามแนวกระดูกไหปลาร้าเบา ๆ


“เสี่ยวหยา…เจ้าจะมีรอยจากข้าอยู่บนตัวตลอดคืน จนกว่าจะหายไป แล้วข้าจะทำใหม่อีกครั้ง…ให้มากขึ้นกว่านี้ มากพอจนไม่มีใครกล้าคิดว่าเจ้าสะอาดพอจะเป็นของใครอื่นอีก…” คำพูดนั้นไม่ได้เปล่งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด แต่กลับเยือกเย็นอ่อนโยนราวจะกล่อมให้สตรีในเงามืดเคลิบเคลิ้มลืมความกลัว…ในขณะเดียวกันก็เป็นการขังนางไว้ในกรงที่ไร้ทางออกอย่างแท้จริง


“ท่านนี่มัน!…นี่ท่านคิดจะทำรอยให้ข้ากี่ที่กันแน่ จางกงกง!” เสียงของหลินหยาเอ่ยดุทั้งที่ใบหน้าแดงจัด มือบางที่กำชายเสื้ออีกคนไว้ถึงกับยกขึ้นทุบต้นไหล่แน่นหนานั่นเบา ๆ อย่างไม่รู้จะห้ามอย่างไรดีอีกแล้ว "จะกัด จะจูบ จะตีตราอะไรนักหนาบอกแล้วว่าวันนี้พอแค่นี้..."


“หืม?” เสียงทุ้มนั้นเปล่งออกมาอย่างไม่ใส่ใจนักในถ้อยคำห้ามปรามของนาง จางกงกงเอียงหน้ามองนางด้วยสายตาคล้ายจะเอ็นดู แต่ก็แฝงแววเจ้าเล่ห์เต็มเปี่ยมก่อนจะยกมือขึ้น ลูบแก้มนวลของนางเบา ๆ “ใครบอกเจ้าว่าข้าแกล้ง?” น้ำเสียงของเขาช่างนิ่ง แต่แววตากลับกระหาย “ข้าไม่เคยแกล้ง...เพราะข้าจะ เอา จริง


ไม่รอให้คนตรงหน้าตั้งสติทันร่างสูงก็ฉวยช่วงที่หลินหยายังตั้งตัวไม่ติด รวบเอวบางเข้ามาหาแล้วจับใบหน้าเล็ก ๆ นั่นเชยขึ้นด้วยปลายนิ้ว “พูดบ่นดีนัก...” เขาโน้มลง จูบอีกครั้ง คราวนี้แรงกว่าครั้งก่อน ทันควัน จูบที่ไม่มีคำอนุญาต ไม่มีการเตือน ไม่มีความละมุนเหมือนครั้งแรก เป็นจูบที่แสดงออกถึงความ เอาแต่ใจ ของจางกงกงอย่างถึงที่สุด


หลินหยาเบิกตากว้าง ขยับจะผลักอีกฝ่ายออก แต่กลับโดนแขนแกร่งกอดรัดแน่นจนทำได้เพียงยกมือขึ้นยันอกอีกคนไว้เท่านั้นและเพียงชั่วพริบตา ริมฝีปากร้อนจัดที่ประกบลงมาอย่างไม่มีความลังเลก็เปลี่ยนเป็นการบดเบียดลากช้า ๆ เหมือนจะลงโทษ บางจังหวะก็กัดเบา ๆ ตรงริมฝีปากล่างของเธอเหมือนจะแกล้งให้สะดุ้ง ก่อนที่จางกงกงผละออกนิดหนึ่งเท่านั้น เพื่อมองดวงตาของอีกฝ่ายที่เริ่มพร่าเบลอจากอารมณ์ และรอยยิ้มจาง ๆ ก็ผุดขึ้นที่มุมปากเขาอีกครั้งอย่างพึงใจ


“เห็นไหม ข้าไม่ได้แกล้ง...” เสียงทุ้มนั้นพร่าต่ำ “ข้าแค่เริ่มนับรอยของข้า...ที่อยู่บนกายเจ้าเท่านั้น”


ลมหายใจของหลินหยากระชั้นถี่ยิบแผ่นอกบางกระเพื่อมไหวใต้ร่างกายที่ยังถูกโอบไว้แน่น แม้ตอนนี้จางกงกงจะยอมหยุดจูบชั่วครู่ แต่เขายังไม่ละแขนที่รัดร่างนางไว้แม้แต่น้อย ริมฝีปากของเธอแดงจัดจนแทบเจ็บ ยิ่งลิ้นไปสัมผัสยิ่งรู้ว่ารสจูบของเขานั้นช่างรุนแรง เผ็ดร้อน และแฝงไปด้วยไฟที่พร้อมเผาทุกอย่างให้มอดไหม้ นางสูดลมหายใจลึกเพื่อประคองสติที่กำลังจะปลิวไปไกล สองแก้มแดงซ่าน ส่วนดวงตาคู่งามที่ยังพร่าจากแรงจูบเมื่อครู่ก็กะพริบถี่อย่างพยายามรวบรวมคำพูด


"ท่านได้...จูบไปแล้ว..." เสียงนางแหบพร่าเล็กน้อยแต่ยังมั่นคง น้ำเสียงแฝงแววเหนื่อยหอบแต่น่าเอ็นดูนัก นางยกนิ้วชี้ขึ้นจิ้มอกอีกคนแรง ๆ หนึ่งทีอย่างหมั่นไส้ "งั้นก็อย่าลืม...พาท่านจางทังกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยล่ะ" หลินหยามองสบตาเขาแน่วแน่ แม้ใบหน้าจะยังร้อนผ่าวจากแรงสัมผัส "และห้ามไม่พอใจด้วย เข้าใจไหม? เพราะตอนนี้...ข้าไม่คิดหนีท่านแล้ว"


จางกงกงที่ยังยืนประจันหน้าอยู่นั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย ขณะที่ใบหน้าใต้แสงตะเกียงสลัว ๆ ยังคงนิ่งเสียจนจับใจความไม่ได้ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่มุมปากจะโค้งขึ้นช้า ๆ เป็นรอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าอ่อนโยนหรืออันตรายกันแน่ “ไม่หนีแล้ว?” เขาทวนเสียงต่ำพร่า ขยับปลายนิ้วไปลูบปลายเส้นผมที่หลุดรุ่ยข้างแก้มนวลของนางอย่างแผ่วเบา “เช่นนั้นข้าก็คงต้องเตรียมโซ่ทองคล่องใจไว้ใส่ให้เจ้าสักเส้นล่ะกระมัง เสี่ยวหยา…” เขายังพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ทุกถ้อยคำของเขากลับคล้ายหยอกล้อในคราบของคำขู่บางเบาที่ฟังแล้วหลินหยาถึงกับต้องเบือนหน้าหนี ตวัดดวงตาใส่มองเขาแบบไม่ไว้ใจ


“อย่าคิดจะทำอะไรมากกว่านี้ล่ะ!” เธอรีบเอ่ยเสียงสูงกลบความหวั่นไหวในใจตนเองทันที “ข้าหมายถึง...พอแค่นี้ก่อน เข้าใจไหม!”


จางกงกงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะนั้นไม่ดังมากนักแต่กลับเย็นยะเยือกจนหลังนางสะท้าน “เช่นนั้น...ก็ได้” สิ้นคำ เขาก็ยื่นหน้าเข้ามาอีกครั้ง…แต่ไม่ใช่เพื่อจูบ ทว่าเพื่อกระซิบเบา ๆ ข้างหูนางด้วยเสียงพร่าที่แทบละลายหัวใจ


“จำคำของเจ้าไว้ด้วยนะ เสี่ยวหยา เจ้าเป็นคนบอกเองว่าจะไม่หนีแล้ว”


บรรยากาศในห้องคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือดที่เริ่มจางลง ทว่าความตึงเครียดกลับทวีคูณขึ้น เมื่อหน้ากากที่เคยบดบังถูกปลดออก เผยใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงร่องรอยความเจ็บปวดและบิดเบี้ยว ดวงตาคมกริบของจางกงกงจ้องมองหลินหยาอย่างลึกล้ำ ยากจะหยั่งถึงน้ำเสียงเยือกเย็นยังคงอวลด้วยความหมายลึกซึ้งที่เกินกว่าจะตีความเรียบง่ายได้ มันไม่ใช่แค่การทวงสัญญา แต่เป็นการประกาศกร้าวถึงการครอบครองที่กำลังจะเริ่มขึ้น หลินหยาตัวชาวาบไปทั้งร่าง เธอทั้งโกรธ ทั้งกลัว และสับสนในห้วงอารมณ์ที่จางกงกงสร้างขึ้น


ทว่าก่อนที่หลินหยาจะทันหันหนีหรือกลบเกลื่อนความเขินอายที่แล่นพล่านไปถึงใบหู เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูนั้นกลับกระซิบขึ้นอีกครั้งใกล้แก้มนวล ลมหายใจอุ่นร้อนผ่าวเป่ารดผิวจนขนกายลุกชันทุกเส้น "เช่นนั้น...ข้าขอทบต้นทบดอกเสียหน่อยเถอะ" เสียงของเขาแฝงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ดุจมารร้าย "จากวันที่เจ้ากล้าตบหน้าข้า ถีบข้า และต่อยหน้าข้าเต็มๆ..."


หลินหยาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อด้วยความอับอายและไม่คาดคิด เธอพยายามขัดขึ้นเสียงสูง "เดี๋ย..! เดี๋ยวก่อนนะ! ทบต้นทบดอกอะไรของท่าน!" คำพูดของเธอยังไม่ทันจบดี จางกงกงกลับจู่โจมโดยไม่ให้โอกาสเอ่ยต่อนานกว่านั้น ริมฝีปากของเขาประกบเข้ากับมือที่หลินหยาเคยใช้ตบหน้าเขา ก่อนจะดูดดึงและขบเม้มอย่างแรงจนเธอรู้สึกเจ็บแปลบ แล้วก็เสียวซ่านไปพร้อมกัน


"อันนี้...สำหรับมือที่ตบหน้าข้า" เสียงกระซิบพร่าเลือนดังข้างมือ ก่อนที่เขาจะเลื่อนริมฝีปากขึ้นมาจุมพิตที่ข้อมือของเธออย่างหนักหน่วง ทิ้งรอยแดงจางๆ ไว้ "นี่ท่าน—!" หลินหยาโวยวาย ดวงตาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อสายตา


จางกงกงไม่สนใจคำประท้วง เขาไล่กดจูบเบา ๆ เลื่อนตัวลงไปข้างล่างเธอแล้วแหวกกระโปรงผ้าพลิวออกกดยกขาของเธอขึ้นมาด้วยแรงของมือเดียวตนเอง จูบลงบนต้นขาของนางบริเวณใกล้เคียงที่สุดที่เธอเคยถีบเขา พลางใช้ฟันขบเม้มเบาๆ จนหลินหยาแทบจะสะดุ้งสุดตัว "สำหรับขาของเจ้าที่ถีบเข่าข้า" เสียงของเขามีรอยยิ้มแฝงอยู่ ดวงตาคมกริบกวาดมองใบหน้าที่แดงก่ำของหลินหยาด้วยความพึงพอใจอันบิดเบี้ยว


"ท่านทำอะไรของท่านเนี่ย!" หลินหยาโวยวายอีกครั้ง ใบหน้าเห่อร้อนจนแทบจะระเบิดเพราะโดนทำแบบนั้น จางกงกงยิ้มมุมปาก ความสนุกปรากฏชัดในแววตา เขาเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ ปลายลิ้นร้อนชื้นแตะลงบนแก้มของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะดูดดึงอย่างเชื่องช้าแต่เร่าร้อนจนร่างหลินหยาอ่อนยวบไปทั้งตัว "สำหรับหมัดแรก" เขาพึมพำเสียงพร่าจุมพิตนั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหาย "เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าหน้ามืดไปหลายวันเพราะเจ้าต่อยหน้าข้าแบบนั้น" เขาเลื่อนริมฝีปากขึ้นมาจุมพิตที่หางตาของเธอ พลางใช้ปลายลิ้นแตะไล้หยอกเย้าอย่างจงใจ


"ข้าไม่อยากรู้!" หลินหยาตอบเสียงสูงใบหน้าแดงก่ำไปถึงใบหู เธอหลบสายตาของเขาด้วยความอับอาย ปฏิกิริยานั้นยิ่งทำให้รอยยิ้มของจางกงกงกว้างขึ้นอีกนิด


"หมัดที่สอง..." เขากระซิบเสียงเบาหวิวราวกับกำลังบอกความลับสำคัญ ก่อนจะขยับลงมาจูบที่มุมปากของเธออย่างเจ้าเล่ห์ ดูดดึงและคลึงเคล้ากลีบปากของเธออย่างยั่วเย้า หลินหยาย่นคอหนีตามสัญชาตญาณขยับถอยหลังเล็กน้อยอย่างตื่นตระหนก ทว่าเขากลับรู้ทันมือแข็งแกร่งของจางกงกงโอบรัดเอวเธอไว้แน่นขึ้น พลางดึงรั้งร่างเธอเข้ามาประชิด เขาไม่ให้เธอหนีไปไหนได้ แล้วจู่โจมต่อโดยไม่รีรอ


"หมัดที่สาม..." คราวนี้เขาจูบที่หน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนผิดวิสัย แต่การกระทำนั้นกลับแฝงความน่ากลัวที่ว่าเขากำลังครอบครองทุกส่วนของเธอ "ข้าคิดถึงเสียงเจ้าที่ตะโกนใส่ข้าในคืนนั้น" เขาเลื่อนริมฝีปากลงมากระซิบข้างหู ใช้ปลายลิ้นไล้เลียเบาๆ จนหลินหยาสะท้านไปทั้งร่าง "เจ้า...เจ้าคนโรคจิต!" หลินหยาโวยวายอีกครั้งสิ้นเรี่ยวแรงจะขัดขืน


จางกงกงหัวเราะในลำคอแผ่วเบา คล้ายเสียงกระซิบของปีศาจ เขาก้มลงจูบที่ซอกคอขาวผ่องของหลินหยาอย่างหนักหน่วงดูดดึงจนเกิดรอยแดงช้ำ "หมัดที่สี่" เขาหยุดเล็กน้อย ปล่อยให้ลมหายใจอุ่นร้อนผ่าวเป่ารดผิวของเธอ "เพราะเจ้าไม่รู้จักเอ่ยคำขอโทษให้ข้าเลย..." จากนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววความหลงใหลคลั่งไคล้อย่างถึงที่สุด ปลายนิ้วของเขาไล้ไปตามแนวสันหลังของหลินหยา แผ่วเบา แต่กลับทิ้งกระแสไฟที่เร่าร้อนไว้ทั่วกาย ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะกดลงบนริมฝีปากของเธออีกครั้งอย่างดุดัน ร้อนแรง และหิวโหยยิ่งกว่าครั้งไหนๆ


"สุดท้าย...หมัดที่ห้า"


เขาบดจูบริมฝีปากของหลินหยาอย่างลึกซึ้ง ดูดกลืนทุกสิ่งอย่างไม่รู้จักพอ จูบที่แฝงไว้ด้วยความรักอันบิดเบี้ยว ความต้องการครอบครองอย่างสมบูรณ์ และความบ้าคลั่งที่ยากจะเข้าใจ จูบนั้นไม่ใช่แค่การชดใช้ แต่เป็นการตอกย้ำว่าจากนี้ไป หลินหยาจะเป็นของเขา...ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ตราตรึงอยู่ในวังวนแห่งความปรารถนาที่เขาเป็นผู้สร้างขึ้นมาแต่เพียงผู้เดียว




@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: ลงแบบสวย ๆ เอาจางทังกลับมาด้วยสัญญาแล้ว!! เอากลับม๊าาาาา จะไปทำเควสสสสสสส

รางวัล: รางวัลคือไร ขอรางวัลด้วย เอาจางทังกลับม๊าาาาาา


(คือ...เอาคืนน่ากลัวมาก ถ้ามีโจยมันไม่ทำหลินหยาท้องลูก 7 คนไปเลยอ่ะจังหวะนี้)


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 116695 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-21 15:50
โพสต์ 116,695 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-21 15:50
โพสต์ 116,695 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-21 15:50
โพสต์ 116,695 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-21 15:50
โพสต์ 116,695 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 คุณธรรม +15 ความชั่ว +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-21 15:50

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงทอง +30 ย่อ เหตุผล
Watcher + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้