เจ้าของ: Watcher

[หอว่านหงเหริน]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-7-28 05:06:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 27 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)


บรรยากาศในหอว่านหงเหรินค่ำคืนนี้คล้ายกับจะสงบลงกว่าวันก่อน แสงโคมแดงที่แกว่งไหวอาบท้องถนนให้เป็นสีชาดอุ่น ๆ เสียงหัวเราะคิกคักของเหล่าลูกค้าแว่วแทรกกับเสียงเครื่องสายอันแผ่วหวาน หลินหยาที่สวมชุดสาวใช้สีหม่นเดินอย่างคล่องแคล่วในหมู่โต๊ะ แขนเล็ก ๆ ถือถาดอาหารและเหล้าสลับไปมาในจังหวะที่ชินเสียจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ ทว่าความเรียบง่ายก็ไม่อาจหลีกหนีสายตาเจ้าเล่ห์ของชายบางคนได้ นักค้าความสุขบางคนยกจอกเหล้า หันมาส่งยิ้มพราวอย่างหมายมาด สายตาลามเลียไล่ตามรูปร่างของนางอย่างไร้มารยาท "แม่นาง เสิร์ฟเหล้าให้ข้าอีกจอกสิ" เสียงนั้นแฝงความหยอกล้อที่มากกว่าปกติ


หลินหยาหยุดเท้าเพียงชั่วครู่ หันใบหน้าซื่อ ๆ ของนางไปตอบรับตามมารยาท รอยยิ้มเล็กจางราวกับละอองควัน “เจ้าค่ะ” ก่อนจะวางจอกลงอย่างเรียบเฉย หญิงสาวไม่แม้แต่จะสบตา ชายคนนั้นยังคงส่งเสียงหัวเราะขบขัน พยายามจะหยอกอีกครั้ง ทว่า...นางเมินเสียสนิท เดินผละออกไปอย่างไม่เหลียวหลัง ในหัวนางเพียงคิดหงุดหงิดเล็ก ๆ ชิ...พวกคนพวกนี้ เอะอะก็เกี้ยว อยากให้ข้ากำหมัดใส่สักทีไหม? แต่หลินหยาก็รู้ดีว่าการอยู่ในที่เช่นนี้ ต้องรู้จักเลือกสู้และเลือกนิ่ง บางครั้งการเมินเฉยก็ทำให้พวกนั้นเสียหน้าได้มากกว่าคำตอบใด ๆ ขณะนางกำลังจะเดินไปเสิร์ฟโต๊ะถัดไป สายลมเย็นพลันพัดพาเอากลิ่นที่คุ้นเคยมากลิ่นไม้กฤษณาเจือจางปนกับความสงบอันน่าหวาดหวั่น หลินหยาเหลือบตามอง และในมุมหนึ่งของห้องพิเศษ…


หลังจากนั้นหลินหยาก็เลือกเสิร์ฟอาหารต่อไปอย่างเงียบ ๆ แต่ทว่าอยู่ ๆ ผู้ดูแลก็เดินมาเรียกเธอในชื่อ เสี่ยวหนาน บอกว่าวันนี้ไปเป็นนักดนตรีให้หน่อยได้ไหมแขกห้องพิเศษขอมาน่ะ หลินหยารู้ทันทีว่าเป็นแขกห้องไหน


เถียนเฟิงที่นั่งพิงเบาะอย่างสง่างามเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เมื่อประตูห้องพิเศษถูกเลื่อนออก เสียงของหลินหยาในคราบเสี่ยวหนานดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มแซวที่ทำให้บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากความนิ่งขรึมกลายเป็นมีประกายบางอย่างที่แฝงอยู่ในแววตาของเขา “หืม?...เจ้ามาแล้วหรือ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มเรียบ แต่หางเสียงแฝงความพึงใจชัดเจน พัดขนนกในมือหมุนเล่นช้า ๆ ก่อนวางลงบนโต๊ะ “ข้าไม่ได้เพียงแค่อยากฟังเพลงหรอก ข้าอยากฟังว่า วันนี้เจ้า...จะบรรเลงอะไรให้ข้าฟังต่างหาก”


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ เดินเข้าไปใกล้แล้วจัดเรียงเครื่องดนตรีที่เตรียมมา วันนี้นางเลือกกู่เจิง เครื่องสายที่สะท้อนเสียงได้ทั้งอ่อนหวานและแฝงความเด็ดเดี่ยว เธอเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง แววตาซุกซนคล้ายจะบอก ข้าจะเล่นให้ท่านฟัง แต่ไม่ได้เล่นตามใจท่านทั้งหมดหรอกนะ


เถียนเฟิงมองเธอไม่กะพริบ ริมฝีปากยกยิ้มบางเหมือนคนที่กำลังวางหมากเงียบ ๆ “เช่นนั้นข้าจะรอฟัง” เขาเอนกายลงเล็กน้อย ดวงตาลึกซึ้งราวกับพร้อมจะจับทุกจังหวะที่ปลายนิ้วของนางสัมผัสลงบนสายเครื่องดนตรี หลินหยาวางนิ้วลงบนสายกู่เจิงลมยามค่ำพัดลอดหน้าต่างเข้ามา เสียงแรกที่กรีดกรายดังกังวาน คล้ายหยอกเย้าแต่มีพลัง ส่งผ่านไปถึงบุรุษที่นั่งอยู่ เถียนเฟิงฟังเงียบ ๆ ราวกับวิเคราะห์ทุกตัวโน้ตที่เล่นออกมา ความจริงในน้ำเสียงนั้นไม่ใช่แค่เพลงสำหรับแขก...แต่มันคือเสียงที่สื่อใจของนางโดยไม่ต้องเอ่ยคำ


ปลายนิ้วของหลินหยาลูบไล้สายกู่เจิงอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกดลงสร้างเสียงกังวานที่ลื่นไหลราวสายน้ำกลางหุบเขา เสียงแรกพัดพาจิตใจให้สงบ เย็นเยือกเหมือนน้ำค้างที่กลั่นตัวบนกลีบดอกไม้ในยามรุ่งสาง ต่อมาเสียงสายที่สองดังกระชับ สะบัดแรงดุจพายุพัดฝุ่นในทะเลทราย จังหวะต่อไปแผ่วหวานและลึกล้ำดุจเสียงพร่ำรักของคนในฝัน และเสียงที่สาม...สะท้อนลึกไปในหัวใจผู้ฟัง ราวกับเสียงเรียกของวิญญาณที่เคยหลับใหลมานาน


ห้องทั้งห้องตกอยู่ในมนต์ขลัง ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของเถียนเฟิงจะดังเกินไป ทุกสายตาถูกตรึงด้วยภาพหญิงสาวที่นั่งตัวตรง หน้าตาสงบ ปลายนิ้วพริ้วไหวราวกับกำลังวาดเส้นสายบนผืนฟ้า เส้นเสียงของเธอกลายเป็นคลื่นพลังที่สัมผัสได้ แม้เพียงเป็นเสียงดนตรี แต่เหมือนมีแรงอุ่นอ่อนแผ่วพัดซึมเข้าสู่ร่างกายของเขา ดวงตาของเถียนเฟิงที่ปกติคมกริบเย็นชากลับสะท้อนประกายบางอย่างคล้ายถูกชะล้างจากคลื่นเสียงนี้ ทุกโน้ตที่หลินหยาบรรเลงมีลายเซ็นเฉพาะของนางความสดใส ขี้เล่นปนดื้อรั้น ความอ่อนโยนที่ไม่ยอมถูกเหยียบย่ำ และเสี้ยวหนึ่งของความเข้มแข็งที่เงียบสงัดแต่ร้อนแรง


เถียนเฟิงรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แผ่ซ่านเข้ามาในใจ ไม่ใช่เพียงเพราะฤทธิ์ของเสียงที่สัจเทพประทานพร หากเป็นเพราะคนที่นั่งตรงหน้าผู้นี้ต่างหาก หญิงสาวที่ไม่มีอำนาจ ไม่มีตำแหน่ง แต่กลับปลุกความรู้สึกในส่วนที่เขาเก็บซ่อนไว้ลึกที่สุด ความรู้สึกที่ไม่ใช่ความรัก หากเป็นความคารวะต่อจิตวิญญาณที่ไม่ยอมจำนนต่อชะตา


ท่วงทำนองเร่งขึ้นเสียงดังกังวานจนโคมไฟในห้องสั่นไหวเบา ๆ เถียนเฟิงมองเธอด้วยสายตาที่ลึกขึ้นทุกที ใบหน้าของเขายังคงสวมรอยยิ้มบาง ๆ ของสุภาพบุรุษผู้สุขุม แต่ในความนิ่งนั้นเต็มไปด้วยแรงสะท้อนที่บอกไม่ถูก นี่หรือ…ความสามารถที่แท้จริงของนาง เขารู้ว่าแม้สตรีตรงหน้านี้จะปฏิเสธว่าไม่มีอะไรพิเศษ แต่เสียงเพลงที่บรรเลงกลับประกาศความพิเศษของนางต่อฟ้าและดิน เสียงสุดท้ายถูกปล่อยออกมาอย่างแผ่วเบาแต่ยาวนาน ราวกับเส้นด้ายทองที่ขึงระหว่างดวงจันทร์กับผืนน้ำ เมื่อสายสุดท้ายหยุดนิ่ง ความเงียบปกคลุมห้องเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงลมหายใจของเถียนเฟิงที่เหมือนถูกคลายพันธนาการ


หลินหยาเชยตาช้า ๆ ดวงตาของนางยังส่องประกายสดใสและเต็มไปด้วยชีวิต แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยราวกับไม่รู้ว่าตนเองเพิ่งสร้างปาฏิหาริย์ แต่หัวใจของทุกคนที่ได้ฟังกลับสั่นไหว


เถียนเฟิงเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย แววตาคมดุจเหยี่ยวแต่แฝงความชื่นชมลึกลับ ยามสบตาหลินหยาเขากล่าวเสียงต่ำ ละมุนแต่แฝงแรงดึงดูดจนหัวใจนางสะท้าน “เสียงเพลงของเจ้า…มิใช่เพียงเพลง หากเป็นอาคมที่สะกดทุกสรรพสิ่ง ข้าเคยได้ยินกู่เจิงมานับไม่ถ้วน แต่ไม่มีครั้งใดที่ทำให้ข้า…หลงฟังจนลืมตัวเช่นนี้”


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ เหมือนคนที่ไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ “ข้าแค่เล่นตามใจตัวเองต่างหากล่ะเจ้าค่ะ” เธอตอบไปพลางยิ้มหวาน ราวกับไม่รู้ตัวว่าท่วงทำนองที่เธอสร้างขึ้นได้สั่นสะเทือนหัวใจของมหาเสนาบดีผู้เยือกเย็นตรงหน้าไปแล้วทั้งดวง


หลินหยาวางกู่เจิงลงอย่างเบามือ ก่อนจะขยับตัวไปนั่งตรงมุมใกล้โต๊ะที่มีน้ำชาอยู่ เธอยกจอกขึ้นจิบเล็กน้อยให้ชุ่มคอ จากนั้นก็เอนหลังเล็กน้อยพลางถอนหายใจยาว เหงื่อที่ซึมบนหน้าผากถูกเธอลูบออกไปอย่างไม่รีบร้อน ดวงตาหวานฉายแววสดใสกว่าทุกวัน ทำให้เถียนเฟิงที่นั่งมองเงียบ ๆ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่เต็มไปด้วยความสังเกต “วันนี้ใบหน้าเจ้าดูสดใสขึ้นนัก…ได้พักผ่อนหรืออย่างไร?”


หลินหยาหันมามองเขาแล้วยิ้มบาง “พักผ่อนหรือเจ้าคะ? ไม่หรอกเจ้าค่ะ ยังไม่ได้พักเหมือนเดิมนั่นแหละ” เธอยักไหล่เล่น ๆ “แค่ตอนเช้าไปทำบัญชีร้านเซียงเฉินเสี่ยวพู้แล้วพบว่าขายดีเกินคาด ข้าก็เลยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย” เถียนเฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองเธอต่อราวกับกำลังรอฟัง “แล้วข้าก็ได้ซื้อหินอัปเกรดมาแล้วนะ” หลินหยาพูดต่อ พลางทำหน้ายู่เหมือนจะโวยวายกับโลก “สามก้อนเลยนะ! 258 ตำลึงทอง 21 ตำลึงเงิน ตอนนี้เงินข้าหมดเกลี้ยง”


ฟังถึงตรงนี้เถียนเฟิงเอียงหน้ามองเธอ ดวงตาหรี่เล็กน้อยด้วยความสงสัย “แล้วเหตุใดเจ้าถึงทำหน้าเหมือนเพิ่งเสียพนันทั้งที่ได้ของที่ต้องการแล้ว?”


หลินหยาหันไปมองเขาแบบคนที่เซ็งสุดในโลก ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “ก็เพราะข้าลองเอามาใช้แล้วมันไม่เป็นผลน่ะสิ!” เธอเอามือเท้าคางพลางมองพื้นอย่างเอือมระอา “เหมือนมันรับพลังงานจากข้าไม่ไหวหรือไม่ข้าก็อาจจะเกินเยียวยา พังไปเลย…เจ้าว่ามันตลกไหม?” เถียนเฟิงยกพัดขนนกขึ้นมาเคาะกับคางตัวเองเบา ๆ สายตาเขามีแววขำที่ถูกกลบไว้ใต้ใบหน้าสุภาพ “หึ…หินอัปเกรดรับพลังไม่ได้ แปลว่าพลังเจ้ามันเกินกว่าที่หินนั้นจะรับไหวกระมัง”


หลินหยาเบะปาก หันมามองเขาพร้อมเสียงประชด “ท่านนี่ก็พูดเก่งไปเรื่อย ถ้ามันเกินจริงทำไมพังล่ะเจ้าคะ” เถียนเฟิงหัวเราะเบาในลำคอเสียงหัวเราะนั้นแฝงความนุ่มนวลไม่เหมือนเวลาปกติที่มักเย็นชา “อย่างน้อยเจ้าก็ได้เรียนรู้อะไรสักอย่าง…ว่าบางทีสิ่งล้ำค่าก็ไม่ใช่สิ่งที่เงินซื้อได้เสมอไป”


หลินหยาหันไปค้อนใส่ทันที “ข้ารู้แล้วน่า ท่านอย่ามาสอนเหมือนข้าเป็นเด็กหน่อยเลยเจ้าค่ะ” แล้วเธอก็พ่นลมหายใจทำหน้าบึ้ง เล่นเอาเถียนเฟิงยกยิ้มมุมปากโดยไม่พูดอะไรต่อ เพราะแค่ได้เห็นเธอโวยวายเล็ก ๆ แบบนี้ก็ทำให้บรรยากาศในห้องอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด หลินหยากอดอกแน่นจนอกกระเพื่อมตามแรงถอนหายใจ ใบหน้าของเธอย่นยู่ไปหมดเหมือนเด็กสาวที่เพิ่งถูกหลอกขายของแพง เธอพึมพำบ่นเสียงอู้อี้ “ข้าอุตส่าห์หวังไว้มากนะเจ้าคะ…คิดว่ามันจะช่วยได้สักหน่อยแต่พอแตกปุ๊บ…ข้าก็ไปสืบข้อมูลเพิ่ม มันเขียนชัดเลยว่าโอกาสสำเร็จแค่ 30 ใน 100 โอ้ยยย ข้าจะบ้าตาย…” เธอเงยหน้ามองเถียนเฟิงดวงตาเหมือนแมวที่โดนขโมยปลาต้ม ใบหน้าหงอยแบบสุด ๆ ก่อนจะฟุบแขนลงกับโต๊ะเสียงดัง “นี่มันโคตรเหนื่อยเลยนะ! ทำไมมันต้องพังด้วยเนี่ย…”


เถียนเฟิงที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ แรกเริ่มทำเพียงแค่ยกพัดขึ้นปิดปาก กลั้นหัวเราะไว้ แต่พอเห็นท่าทางหลินหยาที่ทำตัวน่าหมั่นไส้สุดขีด ทั้งกอดอกแน่น ทั้งหน้าบึ้งเหมือนเด็กเสียของเล่น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นแม้จะแผ่วแต่นุ่มลึกพอจะทำให้อากาศรอบตัวอุ่นขึ้น “เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าหินพวกนั้นจะยอมศิโรราบต่อใครง่าย ๆ” เถียนเฟิงวางพัดลงกับโต๊ะ ขยับตัวเอนเล็กน้อยไปข้างหน้า มุมปากยกขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ “หากทุกคนทำสำเร็จได้ มันก็คงไม่ชื่อว่าหินล้ำค่าหรอก เสี่ยวหนาน” เขาบอกตั้งใจพูดชื่อในหอของหลินหยา


หลินหยายู่ปากมองเขาอย่างเอาเรื่อง “ก็ไม่เห็นต้องพูดให้ดูข้าโง่แบบนั้นนี่เจ้าคะ! ข้าแค่…คาดหวังเกินไปก็เท่านั้น”


เถียนเฟิงหัวเราะอีกครั้ง คราวนี้ไม่กลั้นแล้ว เขามองใบหน้างอแงของนางพลางเอ่ยเสียงทุ้ม “บางที…เจ้าก็น่าขำยิ่งกว่าสิ่งที่เจ้าบ่นเสียอีก” หลินหยาค้อนวงใหญ่ใส่ “ท่านนี่! หัวเราะอะไรนักหนา!” แต่แม้จะค้อนแก้มของนางก็แดงระเรื่อเล็กน้อยด้วยความเขินในความสนิทที่ทำให้เขาหัวเราะกับเธอได้ง่ายดายเช่นนี้


หลินหยาพ่นลมหายใจออกแรง ๆ พลางเอนตัวเหมือนปลาทูตากแห้ง เธอสบตาเถียนเฟิงที่ยังคงยิ้มบาง ๆ อยู่ตรงนั้นแล้วบ่นเสียงแผ่ว “ข้าเหนื่อยนะเจ้าคะ…เหนื่อยกับเรื่องพัง ๆ ที่ต้องเจอทุกวัน แต่ก็คงต้องกัดฟันซื้อหินพวกนั้นต่อไป เพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ” ดวงตาของนางส่องประกายปนดื้อรั้นราวกับจะบอกว่าต่อให้ล้มกี่ครั้งนางก็ยังจะลุกขึ้นสู้


เถียนเฟิงมองนางนิ่ง รอยยิ้มที่มักมีไว้ปกปิดความคิดข้างในดูอ่อนลง เขาวางพัดลงบนโต๊ะเบา ๆ เอ่ยช้า ๆ แต่ชัด “ในเมื่อเหนื่อยนัก เจ้าก็มากินอาหารกับข้าเสียสิ”


หลินหยาหรี่ตา มองเขาอย่างระแวงปนขำ “ท่านรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ข้ายังอยู่ในเวลางานนะเจ้าคะ? ข้าไม่ได้แอบอู้งานเหมือนตอนนอนแผ่วานนะ”

 

เถียนเฟิงเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ดวงตาคมวาวขึ้นอย่างคนกำลังข่มกลั้นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “วันนี้ งานของเจ้าคือเล่นดนตรีให้ข้า และตอนนี้เจ้าก็กำลังพักระหว่างเพลง…ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานแล้วกัน” น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงด้วยความมั่นคงจนเธอเถียงไม่ออก หลินหยาเบ้ปากเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าแบบยอมจำนน เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปร่วมโต๊ะกับเขาอย่างเสียไม่ได้ พอหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ก็แอบกวาดตามองอาหารที่จัดเรียงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง “ข้าหวังว่าจะไม่มีถั่วเหลืองซ่อนอยู่ในนี้นะ…” หลินหยาพึมพำพลางจิ้มอาหารบนจานด้วยตะเกียบอย่างระแวดระวัง เถียนเฟิงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เอื้อมมือขยับจานบางจานเข้ามาใกล้ตัว “สบายใจเถอะ ไม่มีสิ่งที่เจ้ากินไม่ได้หรอก ข้าสั่งไว้แล้ว”


หลินหยาชะงักเล็กน้อยก่อนจะเหลือบมองหน้าเขา ดวงตาหวานปรือขึ้นนิด ๆ ด้วยความประหลาดใจและขอบคุณ “ท่าน…รู้ด้วยเหรอ...ไม่สิต้องเรียกว่าจำได้ด้วยสินะ” เถียนเฟิงยักคิ้วเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรียบแต่ทุ้มอบอุ่น “เรื่องของคนที่ข้าเรียกว่าสหาย ข้าจำได้เสมอ” คำพูดนั้นทำให้หลินหยาหัวเราะเบา ๆ รอยยิ้มสดใสแต้มบนใบหน้า เธอหยิบอาหารเข้าปากด้วยท่าทางสบายใจขึ้น “ก็ได้…ถือว่าคะแนนความใส่ใจท่านบวกเพิ่มสักนิดหนึ่งแล้วกันนะ” เถียนเฟิงเพียงยิ้มบาง ๆ แต่แววตาที่มองนางกลับลึกซึ้งเกินคำพูดใด ๆ ขณะที่ทั้งสองเริ่มลิ้มรสอาหารร่วมกันในค่ำคืนนั้น ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูเหมือนจะเป็นแค่การกินอาหารธรรมดา แต่กลับแฝงไว้ด้วยสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว


เสียงช้อนตะเกียบกระทบถ้วยชามเบา ๆ แทรกอยู่ในความเงียบสบาย ๆ เถียนเฟิงวางพัดลงข้างตัว ครู่หนึ่งมองหลินหยาที่กำลังง่วนเคี้ยวอาหารด้วยท่าทางไม่ระวังตัวนัก ดวงตาคมจับจ้องเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนเอ่ยเสียงราบเรียบแต่แฝงแววเจาะลึก 


“หลินหยา…” เขาเรียกชื่อจริง ไม่ใช่เสี่ยวหนาน ทำให้นางชะงักช้อนในมือเงยหน้าขึ้น “ช่วงนี้เจ้าดูเหนื่อยเกินไป ข้าสงสัยว่า…เจ้าไม่ได้บอกใครใช่ไหมว่าอาการพิษในร่างเจ้าเริ่มกำเริบบ่อยขึ้น?”


หลินหยาเบือนสายตาหนีเล็กน้อย ดวงตาวูบไหว ก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ “อืม…ก็ใช่เจ้าค่ะ แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ข้ายังทำงานได้ ยังวิ่งเล่นได้เห็นไหม” นางยกมือโบกโชว์เหมือนไม่มีอะไร ทั้งที่ปลายนิ้วยังมีรอยซีดจากความอ่อนแรง เถียนเฟิงมองเงียบ ๆ ไม่ได้พูดแทรกทันที แต่เสียงเขาต่ำลงนิด “เจ้าชอบทำให้คนรอบตัวคิดว่าเจ้าสบายดีเสมอ…จนบางที ข้าเริ่มสงสัยว่าใครกันจะเป็นคนคอยดูแลเจ้าเวลาที่เจ้าล้มลงจริง ๆ” หลินหยาหยุดเคี้ยวอาหารหันมามองเขาตรง ๆ แทนจะตอบกลับด้วยความกวน นางกลับเอ่ยช้า ๆ “ข้าไม่อยากให้ใครต้องลำบากเพราะข้าหรอก ท่านเถียนเฟิง…ชีวิตข้าข้าเลือกเดินเอง ถ้าล้มก็ลุกเองได้อยู่”


คำพูดนั้นทำให้เขาหรี่ตานิด ดวงตาคล้ายจะยอมรับแต่ก็ไม่ปล่อยผ่านง่าย ๆ “แล้วเจ้าเลือกได้หรือ…ถ้าวันหนึ่งสิ่งที่เจ้าต้องเผชิญ มันใหญ่เกินตัวเจ้าจนคนที่เจ้าเรียกว่าสหายต้องมองดูเฉย ๆ?”


หลินหยากระพริบตา หัวเราะเบา ๆ แต่หัวใจกลับสั่น นางวางตะเกียบลงพิงคางกับฝ่ามือ เอียงคอมองเขา “ท่านนี่…ถามยากนะ เถียนเฟิง แต่เอาเถอะ หากวันนั้นมาถึง ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้สหายต้องเป็นคนดูเฉย ๆ อย่างน้อยก็…ให้สหายนั่งหัวเราะเยาะในงานศพข้าได้แบบสบายใจ” 


คำตอบนั้นทำเอาเถียนเฟิงนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตาคมส่องประกายบางอย่างที่ยากจะอ่าน ก่อนจะหลุดหัวเราะแผ่วในลำคอ “เจ้า…ปากดีเกินไปแล้ว”


หลินหยายักไหล่ “ก็ข้าเป็นแบบนี้แหละ”


บรรยากาศบนโต๊ะเงียบลงชั่วครู่ แต่กลับเต็มไปด้วยความเข้าใจที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำ เถียนเฟิงเพียงหยิบจอกเหล้ามารินให้หลินหยาด้วยมือเขาเอง ขณะเอ่ยเสียงนุ่มที่ฟังแล้วเหมือนคำสัญญา “ดื่มเสียเถอะ…สหายของข้า”


หลินหยารับจอกนั้นด้วยรอยยิ้มสดใส “ได้สิ…สหายของข้า”


เงาของโคมไฟน้ำมันส่องทาบลงบนโต๊ะไม้ กลิ่นอาหารหอมกรุ่นเจือกับกลิ่นเหล้าจาง ๆ หลินหยาจิบจอกเหล้าเบา ๆ ก่อนจะวางลงด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าแต่ยังพยายามยิ้ม เธอเอนหลังพิงเก้าอี้ ถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าลองไปทำงานอย่างอื่นดูแล้วนะเถียนเฟิง…ทั้งงานเสิร์ฟร้านเหล้าแถวตลาดตะวันตก ทั้งช่วยขนของที่ขบวนคหบดีลู่…แต่พอทำแล้วพิษในกายมันกำเริบตลอดเลย” ดวงตาของเธอพร่ามัวเล็กน้อยคล้ายคนระลึกถึงความทรมานนั้น พลางหัวเราะแห้ง “เจ็บไปหมด แทบล้มทั้งยืน สุดท้ายเลยต้องกลับมาที่นี่แหละ หอว่านหงเหริน ถึงจะเหนื่อยก็จริง แต่เหนื่อยน้อยกว่าที่อื่น อย่างน้อยทำแล้วไม่ตายคาที่” 


เธอยกนิ้วขึ้นนับพลางบ่นเหมือนประชดชีวิต “ข้าได้ที่อื่นแค่ 300 เหรียญอู่จูเองนะเถียนเฟิง! 300! ในขณะที่ที่นี่ได้ 30 ตำลึงเงิน…มันห่างกันมากเลยนะเจ้าคะ?”


เถียนเฟิงที่ฟังเงียบ ๆ เอียงพัดในมือ พลิกช้า ๆ ดวงตาคมมองนางด้วยสายตาแฝงรอยกังวลที่ไม่ค่อยเผยให้ใครเห็น “เจ้ารู้หรือไม่ว่า…300 เหรียญอู่จู เท่ากับไม่ถึงตำลึงเงินด้วยซ้ำ” เสียงของเขาเรียบ แต่กลับกรีดลึกเหมือนบอกให้เธอรู้ว่าเขาเข้าใจทุกอย่าง


หลินหยากอดอก ทำหน้าเหมือนแมวหงุดหงิด “ข้ารู้น่า! 1 ตำลึงเงินก็ 400 เหรียญอู่จูนี่…มันต่างกันมากเลยใช่ไหมล่ะ? เพราะงั้นข้าถึงต้องมาที่นี่ไงเจ้าคะ”


เถียนเฟิงยกคิ้วเล็กน้อย แฝงรอยยิ้มมุมปากที่อ่านยาก “เจ้าคือคนที่คำนวณเก่งเหลือเกินแม้จะทำตัวเหมือนไม่สนอะไร…แต่เจ้าก็เลือกทางที่เจ็บน้อยกว่าเสมอ” หลินหยาหันมาจ้องตาเขา ขยับยิ้มขี้เล่น “แล้วมันผิดไหมล่ะที่ข้าเลือกทางที่เจ็บน้อยกว่า…อย่างน้อยข้าก็ยังได้เจอท่านบ่อย ๆ นี่นา” คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศบนโต๊ะเหมือนหยุดชั่วขณะ เถียนเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้เย้ยหยัน แต่เหมือนยอมแพ้ต่อความเป็นตัวของนาง “ไม่ผิด…ไม่ผิดเลยหลินหยา” เขายื่นมือมารินเหล้าเพิ่มให้เธอโดยไม่พูดต่อ ราวกับบอกเป็นนัยว่า เขายอมรับในเส้นทางที่เธอเลือกแล้ว


“จริงสิ ข้าไม่ค่อยอยากรับจดหมายจากบ้านเลยนะช่วงนี้…ทุกครั้งที่เห็นตราสัญลักษณ์สกุลหนาน ข้าก็แทบจะถอนหายใจออกมาเป็นสิบครั้ง” เถียนเฟิงเอนหลังเล็กน้อย พัดขนนกในมือเขากวัดแกว่งช้า ๆ ดวงตาคมจับจ้องหลินหยาที่พ่นลมหายใจราวกับระบายความกังวล เธอยกจอกเหล้าขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะวางลงแล้วกอดอกเหมือนเด็กดื้อที่กำลังทำใจพูดอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มเลิกคิ้วคลี่ยิ้มบาง แต่ในรอยยิ้มมีความสนใจอย่างจริงจัง “เพราะอะไร? ข้ารู้ว่าท่านพ่อของเจ้ามิใช่คนกดดันเจ้ามากนัก” เขาเอ่ยเสียงเรียบ แต่สายตาอ่านทุกการเคลื่อนไหวของนาง


หลินหยาขยับไหล่ ยกมุมปากแบบฝืนยิ้ม “ท่านพ่อไม่เท่าไรหรอก…แต่ท่านแม่ข้าน่ะสิ คงส่งจดหมายมาถามว่า ‘ได้คนรักหรือคนที่อยากแต่งงานด้วยแล้วหรือยัง’ น่ะสิ” เธอหัวเราะแห้ง ๆ “ไม่งั้นข้าได้โดนจับหมั้นหมายกับใครก็ไม่รู้แน่”


เถียนเฟิงฟังเงียบ ๆ พัดในมือหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาใต้คิ้วเรียวยังคงนิ่งแต่แฝงความเฉียบ “แล้วเจ้ามีคนที่อยากแต่งงานด้วยไม่ใช่หรือหลินหยา?” หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะระบายยิ้มบางอย่างที่ไม่ได้ร่าเริงอย่างปกติ “มีสิ…ข้ามีคนที่ชอบแล้ว” เธอพูดพลางมองลงที่จอกเหล้า คล้ายไม่กล้าสบตาเขาในตอนนี้ “แต่ปัญหามันใหญ่…ใหญ่โคตร ๆ ใหญ่จนข้าไม่รู้จะทำยังไงดี”


เถียนเฟิงเอียงศีรษะเล็กน้อย แววตาเหมือนพญาอสรพิษที่กำลังจับความจริงในความมืด เขาไม่ได้เร่งถามว่าคือใคร แต่เสียงต่ำเย็นกลับเล็ดลอด “ใหญ่แค่ไหนกันเชียว…ใหญ่พอจะทำให้เจ้าที่กล้าดื้อรั้นกับฟ้าดินยังต้องลังเลหรือ?”


หลินหยาหัวเราะนิด ๆ ทั้งที่แววตาแอบเศร้า “ก็ใหญ่ขนาดนั้นแหละท่านเถียนเฟิง…เพราะเขาเป็นคนที่น่ากลัว โหดร้ายเหมือนปีศาจ ข้าเองยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงชอบเขา” เถียนเฟิงวางพัดลงบนโต๊ะช้อนตามองนางราวกับกำลังอ่านใจ แม้เขาจะรู้ดีว่านางคิดกับเขาเพียงสหาย แต่ก็ไม่อาจห้ามหัวใจตัวเองไม่ให้สะกิดอะไรบางอย่าง “แล้วเจ้าจะทำเช่นไร…จะยอมให้ผู้ใดจับหมั้น หรือจะดื้อรั้นเดินบนเส้นทางของตนต่อไป?” หลินหยาหันมามองเขา ดวงตาวาววับทั้งดื้อและเศร้าในคราวเดียว “ข้าจะดื้อรั้นต่อไปสิ…ก็ข้าเป็นหนานหลินหยา ข้าไม่ยอมให้ใครกำหนดชีวิตข้าได้หรอก”


เถียนเฟิงหัวเราะเบาในลำคอ คล้ายชื่นชมในความดื้อรั้นนั้น รอยยิ้มของเขามีทั้งความอบอุ่นและความลึกซึ้ง “ดี…เจ้าก็เป็นตัวของเจ้าแบบนั้นแหละ หลินหยา”


เสียงลมจากหน้าต่างเลื่อนเข้ามาในห้องที่มีกลิ่นสุราจาง ๆ คลออยู่ หลินหยาพิงข้อศอกกับโต๊ะ ดวงหน้าซีดจางแต่ดวงตาสุกใส เธอพ่นลมหายใจยาว “แต่ก็นะหากข้าชอบเขา ข้าก็จะไม่มีวันได้แต่งงานหรอกท่านเถียนเฟิง” เสียงของนางเบาจนแทบจะกลืนไปกับเสียงดนตรีจากด้านนอกห้อง เธอยักไหล่ราวกับไม่แยแส “แต่ข้าไม่เคยสนเลยนะ ข้าไม่ได้อยากเป็นแม่ที่ดีอะไรแบบนั้น การแต่งงานหรือไม่แต่งงาน…มันไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ข้ากังวลสักนิด” หญิงสาวหยุดชั่วครู่ สายตาว่างเปล่ามองไปยังจอกเหล้าตรงหน้า ก่อนเสียงหัวเราะแผ่วจะหลุดออกมา “ก็แค่…ข้าเป็นบุตรสาวคนสุดท้องที่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านพ่อกับท่านแม่คงหวังให้ข้าเป็นฝั่งเป็นฝาบ้าง”


เถียนเฟิงจ้องมองนางอย่างเงียบงัน ปลายนิ้วเคาะพัดในมือเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบแฝงเย้า “งั้นก็แต่งงานซะสิ จะได้จบเรื่อง”


หลินหยาหันขวับมามองเขา ดวงตากลมโตวาวด้วยแววประชด นางพ่นลมหายใจใส่เขาอย่างแรงราวกับจะระบายอารมณ์ ก่อนจะพูดเสียงนิ่งเรียบแต่เจือรอยขบขันที่บาดลึก 


“ข้าชอบขันทีนะ”


คำพูดนั้นเหมือนคมมีดที่ตัดผ่านความเงียบ เถียนเฟิงชะงักไปชั่ววูบ พัดในมือหยุดเคลื่อนไหว แววตาคมหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายประเมินว่าหลินหยาพูดเพื่อล้อเล่นหรือประกาศความจริงที่เขาไม่อยากได้ยิน บนใบหน้าของเขามีเพียงรอยยิ้มบางที่ไม่อาจคาดเดาความคิดได้ “ขันทีงั้นหรือ…” เสียงของเถียนเฟิงแผ่วต่ำอย่างแปลกประหลาด คล้ายกลืนบางอย่างลงไปในอก เขามองนางนิ่ง ดวงตาซ่อนประกายยากจะอ่านออก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นที่คล้ายระคนหัวเราะ “เจ้านี่…รู้จักทำให้คนฟังเสียอารมณ์ได้เก่งจริง ๆ”


หลินหยาหัวเราะคิกกับท่าทีของเขา “ก็จริงนี่ ข้าไม่ได้โกหกสักหน่อย” เธอยักคิ้ว ทำเหมือนพูดเรื่องธรรมดาที่สุดในโลก แต่หัวใจกลับเต้นระรัวเมื่อสบตากับดวงตาคมที่เหมือนจะลุกวาบขึ้นชั่วขณะหนึ่งจากเถียนเฟิง


ชายหนุ่มหลุบตาลงเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ใต้รอยยิ้มสุขุม “เจ้ามัน…กล้าพูดเกินไปแล้ว หลินหยา” เสียงของเขานั้นนิ่ง ทว่ามีแรงกดดันบางอย่างคล้ายอสรพิษที่ขดตัวรอจังหวะ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่ยกจอกเหล้าขึ้นจิบแล้วมองนางด้วยสายตาที่ทำให้อากาศรอบตัวเย็นลงนิด ๆ และร้อนขึ้นในเวลาเดียวกัน ในห้องพิเศษของหอว่านหงเหริน ไฟจากโคมกระดาษส่องแสงอุ่นคลอเคลียบนโต๊ะไม้กลม เถียนเฟิงเอนหลังพิงพนักเบา ๆ พลางหมุนพัดในมืออย่างเคยชิน ดวงตาคมทอดมองหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามราวกับอ่านใจอยู่ตลอดเวลา เสียงของเขาเปล่งออกมาอย่างเรียบเฉย แต่มีแววขันในที 


“ข้าสงสารหวยหนานหวางจริง ๆ นะ เป็นถึงหวางผู้สูงศักดิ์ เป็นพระปิตุลาในองค์ฮ่องเต้ แต่กลับโดนสตรีที่ชอบขันทีปฏิเสธ…น่าสงสารเหลือเกิน”


หลินหยาทำหน้ายู่ทันทีที่ได้ยิน นางถอนหายใจหนักราวกับไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก “อย่าย้ำได้ไหมเถียนเฟิง…ข้ารู้สึกผิดจะตายอยู่แล้วตอนต้องตัดสินใจน่ะ ถ้าท่านรู้มากกว่านี้ ท่านจะอึ้งทึ้งจิมกี่” น้ำเสียงปนขุ่นเล็ก ๆ ทำให้มุมปากของชายหนุ่มกระตุกขึ้นด้วยความขบขัน เขาเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลงเหมือนเหยี่ยวจ้องเหยื่อ “ถ้าเจ้าบอกว่าข้าอึ้งได้ ข้าก็อยากรู้สิ ว่ามันคืออะไร เล่าได้ไหมหลินหยา?” เสียงนุ่มนั้นราวกับคำเชิญที่ยากจะปฏิเสธ แต่ยังคงบังคับให้นางต้องเผชิญหน้ากับสายตาคมกริบของเขา


หลินหยากัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ สายตาหลุบต่ำเล็กน้อยก่อนเงยขึ้นมองเขา “แล้วถ้าข้าเล่า…ท่านจะเอาไปบอกใครไหม?” น้ำเสียงของนางจริงจังขึ้น แม้จะยังมีแววท้าทายแบบหลินหยา เถียนเฟิงยกพัดขึ้นเคาะโต๊ะเบา ๆ ก่อนตอบเสียงเรียบ “หากเจ้าบอกว่าเป็นความลับ ข้าจะเก็บมันไว้ในใจ…ไม่มีวันเอาไปพูดต่อ” น้ำเสียงนั้นมั่นคงแต่เจือรอยร้ายกาจบาง ๆ ราวกับกำลังล่อให้นางเผยความลับที่ซ่อนลึกสุดใจ


สายตาของทั้งสองปะทะกันกลางโต๊ะเงียบงัน ราวกับทั้งห้องมีเพียงพวกเขาเท่านั้น หลินหยาหลุบตาลง พ่นลมหายใจช้า ๆ เหมือนกำลังตัดสินใจอะไรสักอย่าง…


“ข้าชอบจางกงกง”


บรรยากาศในห้องพิเศษพลันเงียบงันทันทีหลังคำพูดนั้นหลุดออกจากริมฝีปากของหลินหยา นางนั่งนิ่ง สีหน้าตึงเครียดจนมือที่จับปลายกู่เจิงสั่นเล็กน้อย ขณะที่เถียนเฟิงชะงักราวกับถูกกระแทกด้วยคำที่ไม่คาดคิด “เจ้า…ว่าอย่างไรนะ?” น้ำเสียงของเขาต่ำลงกว่าทุกที ดวงตาคมฉายแววเย็นวาบในเสี้ยววินาที ทั้งที่ใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง


หลินหยาหลุบตา ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนเอ่ยซ้ำด้วยเสียงที่เบาแต่หนักแน่น “ข้าบอกว่าข้าชอบ…จางกงกง”


พัดในมือของเถียนเฟิงหยุดหมุนกลางอากาศ ก่อนที่เขาจะวางมันลงบนโต๊ะช้า ๆ แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความตกตะลึงที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ความสุขุม “จางกงกง…” เขาทวนชื่อราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง เขาเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาเย็นเฉียบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ชายคนนั้นทำอะไรกับเจ้าไว้บ้าง? หรือเจ้าลืมแล้ว ว่าเขาใช้เจ้าเป็นเครื่องมือทางอำนาจอย่างไร?” น้ำเสียงของเขาแฝงความกดดันหนักหน่วง


หลินหยาหลับตา สูดหายใจลึก “ข้าไม่ได้ลืม…ทุกอย่างที่เขาทำ ข้าจำได้หมด จำจนฝันร้ายยังไม่ยอมจางหายไปไหน แต่…” ดวงตาของนางสั่นไหว “แต่ข้ากลับทั้งชอบทั้งเกลียด ทั้งกลัว..ไม่รู้สิมันเยอะแยะไปหมด”


เถียนเฟิงมองนางนิ่งนาน ลมหายใจเย็นเฉียบของเขาช่างต่างจากภายในที่กำลังคุกรุ่นไปด้วยความโกรธและสับสน เขาอยากตะโกนถามว่าทำไม แต่กลับเพียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงนั้นทั้งขมและเจ็บปวด “น่าขันเหลือเกินหลินหยา…เจ้าเจ็บปางตายเพราะเขา แต่เจ้ากลับ…” หลินหยาเงยหน้ามองเขาดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและดื้อรั้น “เพราะหัวใจมันไม่ได้ฟังเหตุผลเลยท่านเถียนเฟิง…เจ้าคิดว่าข้าอยากชอบเขาหรือ? ข้าไม่อยากเลยสักนิด แต่ข้าโกหกตัวเองไม่ได้”


เถียนเฟิงนิ่งงันไปครู่ใหญ่ ดวงตาคมหรี่ลงราวกับพยายามเก็บความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างใน เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ช้า ๆ หัวเราะเย็นเหมือนเสียดแทงตัวเอง “ข้าอึ้ง…อึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไรดี” บรรยากาศเต็มไปด้วยแรงกดดันที่พูดไม่ออก ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเถียนเฟิงจะยกจอกเหล้าขึ้นจิบช้า ๆ ดวงตาคมจ้องนางไม่กะพริบ “เจ้ารู้หรือไม่หลินหยา…หัวใจเจ้ามันบ้ากว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”


หลินหยาสบตาเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ “ข้าเองก็คิดว่าข้ามันบ้าเหมือนกัน”


เถียนเฟิงวางจอกเหล้าลงบนโต๊ะ เสียงกระทบเบา ๆ แต่หนักพอจะสะท้อนถึงอารมณ์ที่ปะทุอยู่ในใจ ดวงตาคมมองหลินหยาอย่างจับจ้อง “แล้วหวยหนานหวางรู้หรือยัง ว่าเจ้ามีใจให้กับจางกงกง?” น้ำเสียงเรียบแต่กดต่ำ เหมือนอยากรู้คำตอบแท้จริง หลินหยานิ่งไปชั่วอึดใจก่อนพ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบา ราวกับแบกรับความหนักอึ้งของเรื่องราวทั้งมวล “ข้าไม่เคยบอกเขา…แต่ข้าว่าเขาคงฉลาดพอจะรู้เอง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือเศร้า มือบางกำชายกระโปรงแน่น ดวงตาหม่นหมองมองต่ำไปที่พื้น


เถียนเฟิงเอนพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคมฉายแววประเมิน สายตานั้นคล้ายกดดันให้หลินหยาเปิดใจต่อไป “แล้วเจ้ารู้สึกยังไงกับสิ่งนั้น”


หลินหยาหัวเราะในลำคอแผ่ว ๆ แต่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ข้ารู้สึกผิดมาก…มากจนแทบจะหายใจไม่ออก วันที่หวยหนานหวางสารภาพรักกับข้าขอข้าแต่งงาน ความรู้สึกผิดมันถาโถมจนพิษในร่างกายของข้ากำเริบ” นางยกมือแตะอกตัวเองเบา ๆ เหมือนยังจดจำอาการในวันนั้นได้ชัดเจน “ข้าทรมานจนคิดว่า…อาจจะตายเพราะความรู้สึกนี้เสียแล้ว”


ดวงตาของเถียนเฟิงหรี่ลงเล็กน้อย สีหน้าของเขาเคร่งขรึม แต่ไม่เอ่ยแทรกปล่อยให้คำพูดของหลินหยาลอยอยู่ในอากาศ เขาจิบเหล้าอีกครั้งช้า ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเย็นแต่แฝงความจริงจัง “เจ้ารู้ไหมหลินหยา…ความรู้สึกผิดมันคือดาบที่เจ้าใช้แทงตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งเจ้ารักผิดคน ดาบเล่มนั้นก็จะยิ่งลึกขึ้น” หลินหยาสบตาเขาดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าแต่ก็มีประกายของความดื้อรั้น “ข้ารู้…แต่หัวใจมันไม่ยอมฟังเหตุผลเลยท่านเถียนเฟิง” นางระบายยิ้มบาง ๆ ที่เจือความเจ็บปวด “ข้าไม่อาจโกหกตัวเองได้ว่าไม่ได้รักเขา ถึงแม้ว่ามันจะทำร้ายตัวข้ามากแค่ไหน”


เถียนเฟิงหัวเราะในลำคอเย็นเยียบ ราวกับกำลังหัวเราะให้กับชะตากรรมที่บิดเบี้ยวของนางและอาจรวมถึงตัวเขาเอง “เจ้ามัน…ทั้งโง่ ทั้งกล้าในเวลาเดียวกัน”


หลินหยาเพียงก้มหน้ายอมรับคำพูดนั้น เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วราวกับพูดกับตัวเอง “บางทีข้าอาจจะผิดมาตั้งแต่แรก…ที่ดันไปเปิดใจให้ปีศาจคนนั้น”


เถียนเฟิงจ้องมองนางเนิ่นนาน ลมหายใจของเขาหนักขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำช้า ๆ “ปีศาจตัวนั้น…ถ้าวันหนึ่งมันทำลายเจ้า ข้าจะไม่ปล่อยให้มันลอยนวล” น้ำเสียงนั้นไม่ได้ดัง แต่หนักแน่นจนหลินหยาต้องเงยหน้ามองเขา ดวงตาสองคู่สบกันท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด…แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจของสหายที่ห่วงใยอย่างที่สุด เถียนเฟิงวางพัดลงบนโต๊ะอย่างช้า ๆ ก่อนโน้มตัวเล็กน้อย ดวงตาคมที่มักจะเต็มไปด้วยแผนการตอนนี้กลับมีเพียงแววห่วงใยปนตำหนิ “หลินหยา…เจ้ามีโชคติดตัว มีแต่ผู้คนรักใคร่ เจ้ามีค่ามากกว่าที่เจ้าคิด แล้วทำไมถึงไปหลงรักคนที่พร้อมจะทำร้ายเจ้าได้ทุกเมื่อ?” น้ำเสียงของเขานั้นเรียบ แต่หนักพอจะทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกดุจริง ๆ


หลินหยาก้มหน้างุดทันที ไม่กล้าสบตาเขา ปลายนิ้วเกลี่ยชายกระโปรงตัวเองอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ความรู้สึกเหมือนถูกต่อว่าแล่นขึ้นมาในอก “ข้า…ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงชอบเขา” เสียงของนางแผ่วลงราวกับคนสารภาพผิด “ข้าไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่หัวใจมันดื้อเกินไป ข้าก็ไม่เข้าใจตัวเอง”


เถียนเฟิงถอนหายใจแรงเล็กน้อย เขายกจอกเหล้าขึ้นจิบ แล้ววางลงช้า ๆ ราวกับใช้เวลาไตร่ตรองคำพูดของตัวเอง “เจ้ารู้ไหมว่าเวลาที่เจ้าเอ่ยถึงเขา ดวงตาเจ้ามันทั้งเจ็บ ทั้งอ่อนแอในเวลาเดียวกัน…ข้าเกลียดสายตาแบบนั้น” เขาเอ่ยเสียงนิ่งแต่ทุกคำเหมือนกดดันให้หลินหยาเงยหน้าขึ้นมา


หลินหยายังคงก้มหน้าอยู่ น้ำเสียงแผ่วเหมือนคนกำลังถูกตำหนิจากพี่ชายที่ห่วงใย “ข้ารู้ว่าท่านคิดว่าข้าโง่…บางทีข้าเองก็คิดเหมือนกัน”


เถียนเฟิงขยับเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย มือที่ถือพัดเอื้อมขึ้นมาเกือบจะวางบนศีรษะนางแต่ก็หยุดกลางอากาศ เขาเพียงสบตานางด้วยแววตาที่ดุผสมอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เรียกว่าเจ้าโง่หรอก แต่เจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายที่ข้ากลัวว่ามันจะขาดในสักวัน…และข้าไม่อยากเห็นเจ้าตกลงมา”


“ท่าน…เป็นห่วงข้าหรอ?” คำพูดนั้นทำให้หลินหยาชะงัก เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นระริก


เถียนเฟิงหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่ใช่หัวเราะเย้ย หากเป็นหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู “แน่นอนสิ ไม่อย่างนั้นข้าจะมานั่งฟังเจ้าโอดครวญอยู่ตรงนี้ทำไม” น้ำเสียงเขาแผ่วลงก่อนเอ่ยต่อ “อย่าก้มหน้าแบบนั้นอีก…ข้าไม่ได้อยากเห็นเจ้าเหมือนคนถูกตำหนิ แต่เจ้าควรรู้ไว้ ว่าข้าจะพูดตรง ๆ เพราะข้าอยากให้เจ้ารอด ไม่ใช่จมไปกับคนที่ไม่คู่ควร” หลินหยาหลุดยิ้มบาง ๆ อย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ในแววตานั้นกลับมีประกายอุ่นที่เธอรู้สึกได้จากคำตำหนิของเขา เธอเอ่ยเสียงเบาเหมือนเด็ก 


“ขอบคุณนะท่านเถียนเฟิง…ที่เป็นห่วงข้า…ข้าน่ะอยากลองสักครั้งหนึ่ง…ถ้าจางกงกงทำร้ายข้าอีก ไล่ข้าอีกข้าจะกลับผานอวี้แล้วใช้ชีวิตที่นั้นไม่หวนกลับฉางอันอีก”


เถียนเฟิงชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของหลินหยา ดวงตาคมดุจอสรพิษมองตรงไปยังใบหน้าที่เอ่ยคำเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงนิ่งแน่วแน่ ไม่มีแววลังเลแม้แต่น้อย ความสงบที่เขามักควบคุมไว้กลับสั่นไหวเพียงเสี้ยววินาที ริมฝีปากยกยิ้มบางแต่ไม่ใช่รอยยิ้มอบอุ่นที่นางคุ้นเคย หากเป็นรอยยิ้มที่ปกปิดความคิดอันซับซ้อนลึก ๆ “เจ้ากำลังพูดเหมือนจะเดิมพันทั้งชีวิตของเจ้าเลยนะ หลินหยา” น้ำเสียงเรียบเย็นเอ่ยออกมา แต่แฝงไปด้วยความขุ่นบาง ๆ จนแทบจับไม่ได้ เถียนเฟิงเอนหลัง ดวงตาลึกคมไล่จับเสี้ยวหน้าของนางอย่างช้า ๆ 


“เจ้าแน่ใจหรือว่า...คนผู้นั้นคู่ควรกับหัวใจที่เจ้าจะทุ่มให้ทั้งดวง? หัวใจที่แสนซื่อและบริสุทธิ์ของเจ้า เจ้ากำลังเดินเข้าไปในปากอสรพิษร้ายโดยสมัครใจอยู่นะ”


หลินหยาหันกลับมามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยประกายที่มั่นคง เธอพ่นลมหายใจยาว ราวกับรู้ว่ากำลังทำให้เขาไม่พอใจ แต่ก็ยังเลือกพูดออกไป “ข้าแน่ใจ...อย่างน้อยข้าอยากรู้สักครั้งหนึ่ง ว่าเขาจะรับข้าไว้หรือผลักข้าออกไป ถ้าเขาไล่...ข้าก็จะกลับผานอวี้ ข้าจะไม่เหลืออะไรที่ฉางอันอีกต่อไป” น้ำเสียงนางอ่อนนุ่มทว่าทุกคำหนักแน่นราวคมดาบ


เถียนเฟิงจ้องนางนิ่ง ดวงตาเย็นจัดและร้อนระอุในคราวเดียว ความขัดแย้งในตัวเขาก่อคลื่นกระเพื่อมที่แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่รู้สึกตัว เขาอยากจะหัวเราะในความบ้าบิ่นของนาง แต่อีกใจก็อยากคว้าตัวนางไว้ไม่ให้เดินไปทางนั้น “เจ้าเด็ดขาด บ้าบิ่น...และมั่นคง...มั่นคงจนน่ากลัว” เขาเอ่ยช้า ๆ ราวกับกลืนคำพูดไว้ครึ่งหนึ่ง


หลินหยาหลุบตาลงเล็กน้อย เหมือนรู้ว่าเถียนเฟิงกำลังคิดอะไร แต่เธอก็ยังยิ้มบาง ๆ “ก็ใช่เจ้าค่ะ...เพราะข้าเป็นข้า ไม่ใช่ใครอื่น ข้าเป็นแบบนี้แหละ ข้าแก้ไขตัวเองมากกว่านี้ไม่ได้หรอก”


เถียนเฟิงกุมพัดในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนคลายออกอย่างรวดเร็วราวกับกลบเกลื่อนอารมณ์ของตนเอง ดวงตาคมวาวขึ้นเล็กน้อยราวกับซ่อนอะไรบางอย่าง “ดี...ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่ขวาง เพียงจำไว้ว่า ถ้าวันนั้นมาถึง...และเจ้าถูกผลักตกจากที่สูง ข้าจะเป็นคนแรกที่หัวเราะเยาะเจ้า และ...คนแรกที่ยื่นมือไปดึงเจ้ากลับขึ้นมา”


คำพูดนั้นเรียบ แต่แรงจนหลินหยาชะงักไปชั่ววินาที ก่อนที่มุมปากของนางจะโค้งยิ้มอ่อนโยนออกมา “เช่นนั้น...ข้าก็วางใจได้แล้วละนะ”


บรรยากาศระหว่างทั้งสองในห้องส่วนตัวนั้นนิ่งสนิท มีเพียงเสียงหายใจแผ่วและแววตาที่ประสานกันอย่างไม่มีใครยอมละ จนเถียนเฟิงต้องหันหน้าหนีไปจิบเหล้า คลายบรรยากาศที่ตึงเครียดลงเล็กน้อย แต่ลึก ๆ ในใจของเขาไฟบางอย่างกลับคุโชนขึ้นโดยไม่อาจดับได้ง่าย ๆ




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เอาไว้ปลดเถียนเฟิง เด๋วมาปลดนะมายเฟรน 5555


รางวัล: 30 ตำลึงเงิน


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 134,812 ไบต์และได้รับ +20 EXP +2 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-7-28 05:06
โพสต์ 134812 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-28 05:06
โพสต์ 134,812 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-7-28 05:06
โพสต์ 134,812 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-7-28 05:06
โพสต์ 134,812 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-28 05:06

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +30 ย่อ เหตุผล
Watcher + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-7 01:25:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 5 ชีเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 

ยามไฮ่ (เวลา 21.00 - 23.00 น.)



หอว่านหงเหรินตั้งตระหง่านอยู่ฝั่งตะวันตกของถนนสิบลี้เป็นดั่งดอกโบตั๋นที่ผลิบานยามราตรี ภายในอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้และเสียงดนตรีที่ขับกล่อมอย่างไพเราะ แต่ค่ำคืนนี้กลับมีหญิงสาวคนหนึ่งก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ด้วยภารกิจที่ต่างออกไป นั่นคือซูเหยาหมอฝึกหัดจากโรงหมอเจิ้งเทียน ที่ได้รับมอบหมายให้มาตรวจดูอาการของคณิกาในหอ ครานี้ไม่ใช่แม่นางเซี่ยวยวี่ หากแต่เป็นคณิกาอีกคนหนึ่งนามว่าจิ่นซิ่ว หญิงสาวผู้ซึ่งความงามได้ถูกบดบังด้วยความเจ็บป่วยอันน่าเวทนา


"เอาล่ะ อาเหยาเจ้าไปดูอาการแม่นางจิ่นซิ่วที่หอว่านหงเหรินให้ที" เสียงทุ้มนุ่มของท่านหมอเจิ้งเอ่ยขึ้นขณะจัดสมุนไพรในโรงหมอไปพลาง "คราวนี้ไม่ใช่แม่นางเซี่ยวยวี่ แต่เป็นแม่นางอีกคน นางไม่สบายมาสองสามวันแล้ว ขอให้เจ้าดูอย่างละเอียด"


ซูเหยารับคำอย่างนอบน้อมพร้อมกับเก็บเข็มเงินและสมุนไพรจำเป็นลงในห่อผ้าอย่างคล่องแคล่ว นางเดินออกจากโรงหมอเจิ้งเทียน มุ่งหน้าสู่ หอว่านหงเหริน สถานที่ซึ่งนางคุ้นเคยดีจากการที่เคยมาดูแลแม่นางเซี่ยวยวี่ ยามนี้บรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองหลวงดูมีชีวิตชีวา ผู้คนยังคงเดินขวักไขว่ แต่ซูเหยากลับรู้สึกว่าหอว่านหงเหรินนั้นเงียบสงบอย่างน่าประหลาดเมื่อเทียบกับความคึกคักภายนอก


เมื่อมาถึงหน้าหอว่านหงเหริน ประตูใหญ่สีแดงเข้มเปิดต้อนรับ ซูเหยาเห็นสาวใช้ร่างเล็กคนหนึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นนางก็รีบยิ้มทักทายพร้อมก้มตัวเล็กน้อย 


"หมอหญิงซูเหยาใช่หรือไม่เจ้าคะ? เชิญทางนี้เจ้าค่ะ"


ซูเหยาพยักหน้า ก่อนจะเดินตามสาวใช้เข้าไปในหอ บรรยากาศภายในหอว่านหงเหรินยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดและกลิ่นน้ำอบจาง ๆ ผสมผสานกันอย่างลงตัว โคมไฟกระดาษสีแดงประดับประดาตามทางเดินส่องแสงเรืองรอง สองข้างทางมีม่านลูกปัดห้อยระย้า เมื่อลมพัดผ่านก็เกิดเสียงกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งไพเราะ


สาวใช้พาซูเหยาเดินขึ้นบันไดไม้แกะสลักอย่างประณีตไปยังชั้นบนของหอ ระหว่างทางมีสตรีนางรำหลายคนแต่งกายด้วยอาภรณ์หลากสีสันสดใส บ้างกำลังหยอกล้อกัน บ้างก็กำลังฝึกร่ายรำ พวกนางต่างมองซูเหยาอย่างสนใจ เพราะปกติแล้วผู้ที่เข้ามาในหอนี้มักจะเป็นบุรุษ แต่ซูเหยาก็ทำเพียงแค่เดินอย่างสงบตามหลังสาวใช้ไปเท่านั้น ไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เมื่อมาถึงหน้าห้องหนึ่งสาวใช้ก็หยุดยืน 


"ถึงแล้วเจ้าค่ะหมอหญิง แม่นางจิ่นซิ่วพักอยู่ที่นี่" นางเอ่ยเบา ๆ พลางเคาะประตูเบา ๆ สามครั้ง "แม่นางจิ่นซิ่วเจ้าคะ หมอหญิงมาแล้วเจ้าค่ะ"


เสียงตอบรับเบา ๆ ดังมาจากภายในห้อง สาวใช้จึงเปิดประตูให้ซูเหยาเข้าไป ภายในห้องนั้นมีเตียงขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง รายล้อมด้วยม่านโปร่งบางสีขาวสะอาดตา มีโต๊ะเครื่องแป้งไม้จันทน์วางอยู่มุมหนึ่ง พร้อมด้วยแจกันดอกโบตั๋นที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ไปทั่วห้อง บนเตียงนั้นมีสตรีร่างบอบบางคนหนึ่งนอนอยู่ นางมีใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากแห้งผาก แต่โครงหน้ายังคงงดงามหมดจด


ซูเหยาค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง สัมผัสถึงไอความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวของนางเบา ๆ 


"แม่นางจิ่นซิ่วใช่หรือไม่? ข้าคือซูเหยา ได้รับมอบหมายจากท่านหมอเจิ้งให้มาดูอาการของท่านเจ้าค่ะ"


สตรีผู้นั้นค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา มองซูเหยาด้วยแววตาที่อ่อนล้า 


"คารวะหมอหญิง...ข้าป่วยมาหลายวันแล้ว...รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว..." เสียงของนางแหบพร่าและอ่อนแรงจนแทบจะจับใจความไม่ได้


ซูเหยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ 


"โปรดให้ข้าตรวจดูอาการท่านหน่อยเจ้าค่ะ" นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ พับอย่างประณีตแล้ววางลงบนข้อมือของแม่นางจิ่นซิ่ว ก่อนจะค่อย ๆ วางนิ้วลงเพื่อตรวจชีพจรอย่างแผ่วเบา


ซูเหยาหลับตาลงเล็กน้อย สัมผัสถึงจังหวะการเต้นของชีพจรใต้นิ้ว ชีพจรของแม่นางจิ่นซิ่วเต้นเร็วและอ่อนแรง อีกทั้งผิวกายก็ร้อนจัดแต่กลับมีเหงื่อเย็นซึมออกมา ซูเหยาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนไข้ นางซีดเซียวแต่กลับมีริ้วแดงบาง ๆ บนแก้ม ลิ้นเป็นสีชมพูซีด มีฝ้าขาวบาง ๆ ปกคลุม


"แม่นางจิ่นซิ่ว ช่วงนี้ท่านมีอาการไอ เจ็บคอ หรือปวดเมื่อยตามตัวบ้างหรือไม่เจ้าคะ?" ซูเหยาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


"มีเจ้าค่ะ...ไอเป็นบางครั้ง...เจ็บคอด้วย...ปวดเมื่อยไปทั้งตัว...โดยเฉพาะกลางดึกจะหนาวสั่นมากจนนอนไม่หลับ" จิ่นซิ่วตอบอย่างยากลำบาก


ซูเหยาประมวลผลจากอาการที่สอบถามและจากการตรวจวินิจฉัยทั้งสี่ คือการดู การฟังและดม การซักประวัติ และการคลำชีพจร "ท่านถูกความเย็นกระทบ" ซูเหยาสรุป "แต่เป็นความเย็นที่ทำให้ร้อนในร่วมด้วย ซึ่งอาจเกิดจากการที่ร่างกายอ่อนแออยู่ก่อนแล้ว"


"แล้วข้าจะเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะหมอหญิง?" จิ่นซิ่วถามอย่างกังวล


ซูเหยายิ้มบาง ๆ เพื่อปลอบประโลม 


"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อาการเช่นนี้รักษาไม่ยาก ข้าจะจัดยาบำรุงและขับพิษให้ ท่านต้องดื่มยาให้ครบทุกมื้อ และพักผ่อนให้เพียงพอ ห้ามโดนลมเย็นเด็ดขาด"


นางคลี่ห่อผ้าออก หยิบเข็มเงินที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วมาหลายเล่มอย่างบรรจง 


"ข้าจะทำการฝังเข็มเพื่อกระตุ้นจุดชี่ให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น จะช่วยบรรเทาอาการหนาวสั่นและปวดเมื่อยของท่านได้เจ้าค่ะ"


จิ่นซิ่วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ซูเหยาเริ่มทำการฝังเข็มลงบนจุดที่สำคัญ เช่น บริเวณคอ บ่า แขน และขา เข็มเงินแวววาวปักลงไปอย่างแม่นยำ ไม่นานนักจิ่นซิ่วก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย อาการปวดเมื่อยและความหนาวสั่นค่อย ๆ บรรเทาลง นางรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ทำให้ร่างกายเริ่มอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ


หลังจากถอนเข็มออกหมดแล้ว ซูเหยาก็เขียนตำรับยาอย่างรวดเร็ว 


"นี่คือตำรับยาสำหรับขับพิษร้อนและบำรุงร่างกาย ให้คนไปต้มยาตามนี้วันละสามเวลา ดื่มก่อนอาหาร ห้ามดื่มสุราและของเย็นเด็ดขาดนะเจ้าคะ" ซูเหยากำชับอย่างหนักแน่น


"ขอบใจหมอหญิงมากเจ้าค่ะ...ข้าจะทำตามที่ท่านบอกทุกอย่าง" จิ่นซิ่วกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้นเล็กน้อย


ซูเหยายิ้มอีกครั้ง 


"พรุ่งนี้ข้าจะมาดูอาการท่านอีกครั้ง ขอให้ท่านพักผ่อนให้เต็มที่เถิดเจ้าค่ะ" นางโค้งคำนับเล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องไป


ตอนแรกซูเหยาตั้งใจว่าจะกลับในทันที แต่เมื่อเดินผ่านห้องรับรองพิเศษห้องหนึ่ง นางก็ชะงักเท้าลงกะทันหัน อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงใครบางคนที่มักจะปรากฏตัวอยู่ในห้องนี้เป็นประจำ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซูเหยาจึงแอบชะเง้อมองลอดช่องเล็ก ๆ ระหว่างบานประตู


เป็นจริงดังคาด…ใต้เท้าเถียนกำลังนั่งอยู่ที่ประจำของเขาอย่างสบายอารมณ์ คณิกาสาวคนหนึ่งกำลังรินสุรา ส่วนอีกคนกำลังบีบนวดแขนให้ ชั่ววินาทีนั้นสายตาของใต้เท้าเถียนก็เหลือบมาทางประตูแวบหนึ่ง ราวกับจะรับรู้ได้ว่ามีใครบางคนกำลังแอบมองอยู่ 


"ใครน่ะ!"


ซูเหยาถึงกับสะดุ้งสุดตัว หัวใจเต้นรัว นางรีบก้มหน้าและเดินออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ จากความอยากรู้อยากเห็นเพียงชั่วครู่ บัดนี้กลับกลายเป็นความรู้สึกผิดและกลัวว่าความลับจะถูกเปิดโปง


แต่แล้วเสียงประตูเลื่อนก็ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ก้าวตามมาด้านหลัง ก่อนที่แขนของนางจะถูกคว้าไว้ 


"เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาสอดรู้สอดเห็นห้องของข้า!" น้ำเสียงเข้มและเต็มไปด้วยอำนาจทำให้ซูเหยาตกใจยิ่งกว่าเดิม


เมื่อนางหันกลับไปเผชิญหน้ากับชายตรงหน้า ใบหน้าของซูเหยาซีดเผือดด้วยความตกใจและหวาดผวาเล็กน้อย เมื่อใต้เท้าเถียนเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือใคร ดวงตาคมกริบของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย 


"หมอหญิง..."


"ขะ...ข้าไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ ต้องขออภัยท่านใต้เท้าหากขัดความสำราญของท่าน ข้าขอตัว" ซูเหยาพูดอย่างตะกุกตะกัก พยายามจะดึงแขนตัวเองกลับ แต่กลับถูกเขาขวางทางไว้


"เดี๋ยวก่อน" ใต้เท้าเถียนขวางทาง ซูเหยาพยายามขยับเพื่อเลี่ยงไป แต่เขาก็ขยับตาม ทำให้ใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ซูเหยาได้กลิ่นสุราและกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาผสมกันจนทำให้เธอรู้สึกประหม่าขึ้นมา "เจ้ามาทำอะไรที่นี่ในยามวิกาล?"


"ขะ...ข้าได้รับมอบหมายจากท่านหมอเจิ้งให้มาดูอาการของแม่นางจิ่นซิ่วเจ้าค่ะ" ซูเหยาตอบเสียงสั่น พยายามควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ให้เขาจับได้ว่านางกลัว


"แม่นางจิ่นซิ่ว?" ใต้เท้าเถียนทวนคำ สีหน้าฉงน "นางไม่สบายหรือ?"


"เจ้าค่ะ นางมีไข้และถูกความเย็นกระทบ ข้าได้ทำการฝังเข็มและจัดยาให้แล้ว" ซูเหยาอธิบายสั้น ๆ แต่ใจยังคงเต้นระรัว พยายามจะหาทางหนีจากสถานการณ์อึดอัดนี้ "หากท่านไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน"


แต่ใต้เท้าเถียนกลับไม่ปล่อยให้ซูเหยาไปง่าย ๆ เขาจ้องมองใบหน้าเล็ก ๆ ที่ซีดเผือดของนางอย่างพิจารณา 


"เจ้ากำลังกลัวข้าหรือ?" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย


ซูเหยาเม้มปากแน่นไม่ตอบคำถาม นางก้มหน้าหลบสายตาคมกริบของเขา ความอยากรู้อยากเห็นในตอนแรกได้ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวและอับอายอย่างสิ้นเชิง


"เจ้าแอบมองอะไรข้า?" เขาถามต่ออย่างตรงไปตรงมา


"ขะ…ข้าเห็นท่านมาที่นี่บ่อย ๆ เจ้าค่ะ เลยแค่สงสัยว่าวันนี้ก็มาด้วยหรือไม่…" ซูเหยาพูดความจริงออกไปอย่างซื่อสัตย์ แต่ก็อดรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองไม่ได้


ใต้เท้าเถียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขากระตุกยิ้มที่มุมปาก 


"เจ้าแค่สงสัยว่าข้ามาที่นี่หรือไม่เพียงอย่างเดียว หรือคิดว่าข้ากำลังทำเรื่องบัดสีกับหญิงคณิกาอยู่กันแน่?"


"ขะ…ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ ขะ...ข้าแค่..." ซูเหยาพูดไม่ออก นางไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี


"เอาเถอะ" ใต้เท้าเถียนถอนหายใจออกมาเบา ๆ "คราวหน้าหากอยากรู้สิ่งใด ก็ให้เดินเข้ามาถามข้าตรง ๆ อย่าได้ทำเช่นนี้อีก"


เขาปล่อยแขนนาง แต่ยังคงยืนขวางทางไว้ 


"เจ้าเป็นคนซื่อเสียจริง" เขาเอ่ยเสียงเรียบ "ข้าจะให้คนไปส่งเจ้าที่โรงหมอเจิ้งเทียน"


"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขะ...ข้ากลับเองได้" ซูเหยาปฏิเสธอย่างรวดเร็ว 


ใต้เท้าเถียนจ้องมองใบหน้าที่ยังคงซีดเผือดของซูเหยา 


“ถนนยามวิกาลไม่ปลอดภัยนัก เจ้าเป็นสตรีตัวคนเดียว ข้าไม่วางใจ”


ซูเหยาเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างลังเล ก่อนจะยอมแพ้ต่อความหวังดีที่เขาแสดงออกมา 


“ขอบคุณท่านใต้เท้าเจ้าค่ะ”


เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันไปเรียกชายรับใช้คนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลให้มาเตรียมรถม้าเพื่อไปส่งนาง เมื่อเขากลับมาซูเหยาก็ดึงห่อผ้าเล็ก ๆ ในแขนเสื้อออกมา


“เอ่อ…ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวเสียมารยาทเจ้าค่ะ ข้านำขนมบัวหิมะกับน้ำชานี้ติดตัวมาเป็นเสบียงเผื่อหิว แต่ตอนนี้ขอยกให้ท่านใต้เท้าเพื่อเป็นการขอโทษแทนได้หรือไม่เจ้าคะ?”


ใต้เท้าเถียนรับห่อผ้ามา ดวงตาคมกริบมองขนมในห่อด้วยความประหลาดใจ ขนมบัวหิมะที่ซูเหยามอบให้รูปร่างไม่สวยงามนัก แต่ก็มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน


“เจ้าทำเองหรือ?” เขาถาม


“เจ้าค่ะ ข้าลองทำตามสูตรที่ท่านหมอเจิ้งสอน” ซูเหยาตอบอย่างประหม่า


ใต้เท้าเถียนหยิบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วลองชิมดู ใบหน้าของเขาดูนิ่งเฉยจนซูเหยาอดรู้สึกกังวลไม่ได้ว่าเขาจะไม่ชอบมัน แต่แล้วเขาก็ยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย


“รสชาติดี” เขาเอ่ยสั้น ๆ “แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์นัก”


ซูเหยาอึ้งไปเล็กน้อย 


“ข้าจะพยายามทำให้ดีกว่านี้เจ้าค่ะ”


“ไม่จำเป็น” ใต้เท้าเถียนกล่าว “แต่คราวหน้าหากเจ้าทำอีก ก็ทำให้ข้าด้วยก็แล้วกัน”


ซูเหยาเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง นางเห็นแววตาที่อบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาดใจจากชายที่ได้ชื่อว่ามีอำนาจและเพียบพร้อมผู้นี้


“เอ่อ…เจ้าค่ะ” นางตอบอย่างตะกุกตะกัก


“รถม้ามาแล้ว” ใต้เท้าเถียนกล่าว “ไปเถิด”


ซูเหยาพยักหน้าแล้วเดินตามใต้เท้าเถียนออกไป นางยังคงรู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างนางกับเขาในคืนนี้อย่างบอกไม่ถูก จากความผิดที่นางได้ทำลงไป กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ซูเหยาได้รับรู้ถึงอีกแง่มุมหนึ่งของใต้เท้าเถียนที่นางไม่เคยรู้มาก่อน


เมื่อซูเหยาขึ้นรถม้าแล้ว ใต้เท้าเถียนก็พยักหน้าให้คนขับรถ ก่อนจะหันมามองนางเป็นครั้งสุดท้าย


“รีบกลับไปพักผ่อนเถิด” เขากล่าว “ครั้งหน้าข้าจะรอชิมขนมที่สมบูรณ์กว่านี้”


ใบหน้าของซูเหยาแดงก่ำด้วยความเขินอาย หาใช่เขินอายชายหนุ่มแต่เขินอายในฝีมือการทำขนมของตนเอง นางรีบโค้งคำนับให้เขา 


“ขอบพระคุณท่านใต้เท้าเจ้าค่ะ!”


รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปจากหอว่านหงเหริน ทิ้งให้ซูเหยาอยู่กับความคิดของตัวเองและความรู้สึกที่ไม่อาจจะอธิบายได้ ส่วนใต้เท้าเถียน เขากลับเข้ามาในห้องของเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าอย่างหาได้ยากยิ่ง เขาก้มลงมองขนมในห่อผ้าและส่ายหน้าเบา ๆ พลางหัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยน


“หมอหญิงซู เจ้าช่างเป็นคนประหลาดเสียจริง…”



ทุกการโรลเพลย์รักษาชาวบ้านในอาการเล็ก ๆ อย่าง ไข้หวัด , โรคกระเพาะ , หมดสติจมน้ำ และโรคเล็กอื่น ๆ ได้รับ EXP +10


[NPC-08] มอบ ขนมบัวหิมะ และ ชาขาวเข็มเงิน ให้ เถียน เฟิง

+20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง + ชาเกรดทอง (+10)

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5

โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 75 โพสต์ 2025-8-7 10:34
คุณได้รับ 10 EXP โพสต์ 2025-8-7 10:34
โพสต์ 40451 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-7 01:25
โพสต์ 40,451 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-8-7 01:25
โพสต์ 40,451 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก หมอป่า  โพสต์ 2025-8-7 01:25
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x6
x8
x2
x6
x8
x2
x11
x28
x50
x90
x90
x1
x2
x2
x10
x12
x42
x18
x20
x1
x14
x2
x100
x2
x2
x442
x1
x32
x2
x2
x1
x20
x30
x30
x20
x10
x10
x6
x23
x34
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4
โพสต์ 2025-8-7 23:28:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 6 ชีเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 

ยามไฮ่ (เวลา 21.00 - 23.00 น.)



ยามไฮ่ ซูเหยาสาวเท้ามาตามถนนสิบลี้อีกครั้ง โคมไฟสีแดงยังคงส่องสว่างนำทาง แต่ค่ำคืนนี้บรรยากาศดูคุ้นเคยขึ้นกว่าเมื่อวาน หญิงสาวมุ่งหน้าสู่หอว่านหงเหรินด้วยความตั้งใจที่จะติดตามอาการของแม่นางจิ่นซิ่วอย่างละเอียดตามที่ได้ให้คำมั่นไว้เมื่อคืน


เมื่อมาถึงหญิงรับใช้คนเดิมก็ออกมายืนรออยู่แล้วพร้อมรอยยิ้มสดใสราวกับดอกไม้บานยามเช้า ซูเหยาพยักหน้าเล็กน้อยและเดินตามนางเข้าไปในหอว่านหงเหริน บรรยากาศในยามค่ำคืนยังคงคึกคักเหมือนเดิม เสียงดนตรีดังแว่วมาตามลมและกลิ่นหอมของน้ำอบก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว ซูเหยารับรู้ถึงบรรยากาศเหล่านี้ได้ด้วยประสาทสัมผัสที่แหลมคมของผู้เป็นหมอ แต่จิตใจกลับจดจ่ออยู่กับการรักษาผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว


เมื่อมาถึงหน้าห้องของจิ่นซิ่ว สาวใช้ก็เคาะประตูและแจ้งข่าวการมาถึงของซูเหยา เสียงตอบรับยังคงแผ่วเบาแต่มีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเมื่อวาน ซูเหยาเข้าไปในห้องและพบว่าจิ่นซิ่วกำลังนั่งพิงหมอนอย่างสงบ อาการอ่อนเพลียที่เคยเห็นเมื่อคืนได้ทุเลาลงไปมาก


"หมอหญิงซูเหยา" จิ่นซิ่วเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มบาง ๆ "ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ อาการหนาวสั่นหายไปแล้ว ส่วนอาการปวดเมื่อยตามตัวก็ลดน้อยลงมาก"


ซูเหยาพยักหน้ารับอย่างพอใจ เธอหยิบผ้าสะอาดออกมาวางบนข้อมือของจิ่นซิ่วอีกครั้งเพื่อตรวจดูชีพจรอย่างตั้งใจ ชีพจรของจิ่นซิ่วเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอและมีกำลังขึ้น ซูเหยาใช้เวลาสักครู่เพื่อตรวจสอบลิ้นและสีหน้าของจิ่นซิ่วอย่างละเอียด แล้วจึงกล่าวว่า 


"ถือว่าดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ แต่ข้ายังคงต้องทำการรักษาเพิ่มเติมเพื่อให้อาการหายขาด"


จิ่นซิ่วพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ซูเหยาคลี่ห่อผ้าออกอีกครั้ง หยิบเข็มเงินที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วออกมาอย่างบรรจง 


“ข้าจะฝังเข็มเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นจุดชี่ให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้นและช่วยให้ร่างกายของท่านฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น” ซูเหยาอธิบาย


เข็มเงินถูกปักลงบนจุดที่สำคัญอีกครั้งอย่างแม่นยำ จิ่นซิ่วรู้สึกได้ถึงพลังงานที่ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ ความรู้สึกผ่อนคลายแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย หลังจากถอนเข็มออกหมดแล้ว ซูเหยาก็เขียนตำรับยาเพิ่มเติมอย่างรวดเร็วโดยกำชับว่า… 


“นี่เป็นยาขนานที่สอง ให้ท่านดื่มต่อจากยาขนานแรกอีกสามวัน ห้ามดื่มสุราและของเย็นเด็ดขาดนะเจ้าคะ”


ในขณะที่ซูเหยากำลังเก็บอุปกรณ์อยู่นั้น จิ่นซิ่วก็กล่าวขึ้นว่า 


"หมอหญิงซูเหยา ข้าได้ยินมาว่าเมื่อคืนนี้ท่านได้พบกับใต้เท้าเถียนด้วยหรือเจ้าคะ?"


ซูเหยาเก็บเข็มเงินลงในห่อผ้าอย่างใจเย็น 


"เจ้าค่ะ...ข้าบังเอิญพบกับใต้เท้าเถียนที่ทางเดิน"


"ช่างน่าอิจฉานัก" จิ่นซิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมจนออกนอกหน้า "ใต้เท้าเถียนผู้นี้มิใช่บุรุษธรรมดานัก เป็นถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มีอนาคตไกล เป็นที่ปรารถนาของสตรีทั่วฉางอันเลยเชียว หากบุรุษใดในเมืองนี้มีพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และสติปัญญาก็คงต้องเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย"


จิ่นซิ่วหยุดพูดไปชั่วครู่ 


"ปกติแล้วใต้เท้าเถียนคือลูกค้าประจำของหอว่านหงเหรินแห่งนี้ มาแทบทุกคืนเลย เรียกได้ว่านางคณิกาทั่วทั้งหอไม่มีใครที่เขาจะไม่รู้จัก บุรุษก็แบบนี้แหละทำงานมาเหนื่อย ๆ ก็ต้องหาสถานที่ผ่อนคลาย"


จิ่นซิ่วเล่าด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ปิดบังว่าภายใต้ท่าทางอันสงบเสงี่ยมของใต้เท้าเถียนนั้นมีความเป็นชายเจ้าสำราญซ่อนอยู่ และเขามักจะเลือกนางคณิกาเป็นคู่คุยเป็นประจำ ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับธรรมชาติของบุรุษทั่วไป


ซูเหยารับฟังอย่างเงียบ ๆ นางยกมือขึ้นแตะหน้าผากของจิ่นซิ่วเพื่อตรวจดูอุณหภูมิอีกครั้ง ก่อนจะกล่าว


"ถึงแม้ร่างกายของท่านจะฟื้นตัวแล้ว แต่การพักผ่อนก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุดนะเจ้าคะ ข้าขอตัวก่อน หากมีอาการผิดปกติใด ๆ ให้รีบส่งคนไปตามข้าได้ทันที"


หลังจากบอกลา จิ่นซิ่วก็เอ่ยทิ้งท้ายอย่างนุ่มนวลว่า 


"ขอบคุณมากนะเจ้าคะ...หมอหญิงซูเหยา ข้าดีใจจริง ๆ ที่ได้รู้จักท่าน"


ซูเหยาออกมาจากห้องของจิ่นซิ่วด้วยรอยยิ้มจาง ๆ เธอรู้สึกได้ถึงความจริงใจของจิ่นซิ่ว หลังจากเก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์เรียบร้อยแล้ว ซูเหยาก็เตรียมตัวเดินทางกลับ


ขณะที่นางกำลังจะเดินออกจากหอว่านหงเหริน ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง 


"หมอหญิงซู"


ซูเหยาหันกลับไปก็พบกับชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ใต้แสงโคมไฟ เขาสวมชุดผ้าไหมสีดำ ใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาคมกริบที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม


"ใต้เท้าเถียน..." ซูเหยาเอ่ยด้วยความประหลาดใจ


เถียนเฟิงก้าวเข้ามาหานางด้วยรอยยิ้ม 


"บังเอิญจริง ๆ ที่เราได้พบกันอีก"


"ใต้เท้าเถียนก็มาที่นี่อีกหรือเจ้าคะ?" ซูเหยาถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เป็นกลาง


"ใช่สิ" เถียนเฟิงตอบ "ที่นี่เป็นสถานที่ที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานได้ดีทีเดียว แล้วหมอหญิงล่ะ มาทำอะไรในยามวิกาลเช่นนี้"


"ข้ามาที่นี่เพื่อรักษาอาการป่วยของคนไข้เจ้าค่ะ" ซูเหยาตอบไปตามตรง เถียนเฟิงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ


"อืม...คนไข้หรือ?" เถียนเฟิงทำท่าครุ่นคิดพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ "ถ้าอย่างนั้น คงจะเป็นแม่นางจูเม่ยที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือแม่นางฉินเอ๋อร์ที่เท้าพลิกตอนฝึกซ้อมระบำ หรือแม่นางหยางซูที่ปวดหัวข้างเดียวเพราะใช้ความคิดมากไปหน่อย"


ซูเหยาได้แต่ยืนฟังอย่างเงียบ ๆ ความรู้สึกปนเปไปหมด คำพูดของจิ่นซิ่วลอยเข้ามาในหัวของนางอีกครั้ง 'ปกติแล้วใต้เท้าเถียนคือลูกค้าประจำของหอว่านหงเหรินแห่งนี้ มาแทบทุกคืนเลย เรียกได้ว่านางคณิกาทั่วทั้งหอไม่มีใครที่เขาจะไม่รู้จัก'


"หรือว่าจะเป็นแม่นางจิ่นซิ่ว?" เถียนเฟิงเอ่ยชื่อสุดท้ายด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อย "เมื่อวานเห็นเจ้าก็มารักษานาง"


ซูเหยาพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าของนางดูสงวนท่าทีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 


"ใช่เจ้าค่ะ ข้ามาดูแลอาการของนาง"


"อ้อ...เป็นนางจริง ๆ ด้วย" เถียนเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ข้าเองก็อดเป็นห่วงไม่ได้เมื่อทราบข่าวว่านางป่วย"


จินตนาการของซูเหยาเริ่มทำงาน เมื่อนางได้ยินชื่อเหล่านางคณิกามากมายหลุดออกจากปากของเถียนเฟิงอย่างคล่องแคล่ว ความคิดที่ว่าเขาเป็นบุรุษเจ้าสำราญก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ซูเหยารู้สึกว่าตนเองกำลังยืนอยู่ใกล้กับบุรุษผู้หนึ่งซึ่งน่าจะอันตราย มันไม่ใช่ความรู้สึกรังเกียจ แต่เป็นความรู้สึกที่ต้องระวังตัว


เถียนเฟิงสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของซูเหยาได้อย่างรวดเร็ว จากที่เคยเป็นธรรมชาติและสบาย ๆ ตอนนี้นางกลับมีกำแพงบางอย่างกั้นไว้ เขาลองก้าวเข้าไปใกล้นางอีกหนึ่งก้าว แต่ซูเหยากลับก้าวถอยหลังออกห่างหนึ่งก้าว ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ


"เป็นอะไรไปหรือ หมอหญิงซู?" เถียนเฟิงถามด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนลง "ทำไมจู่ ๆ ท่านถึงได้ดูห่างเหินเช่นนี้"


ซูเหยาส่ายหน้าเล็กน้อย 


"เปล่าเจ้าค่ะ ใต้เท้าเถียน...ข้าเพียงแค่รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจากการรักษา" นางเลือกที่จะโกหกเพื่อให้บทสนทนาจบลงอย่างรวดเร็ว


"เช่นนั้นหรือ?" เถียนเฟิงพยักหน้าแต่ดวงตาของเขายังคงจ้องมองนางอย่างพิจารณา "ถ้างั้นเจ้าก็กลับไปพักเถิด"


"เจ้าค่ะ งั้นข้าขอตัว" ซูเหยายิ้มอย่างโล่งใจ 


"แต่ถ้าเจ้าจะกลับแล้วก็ปล่อยให้เจ้ากลับไปคนเดียวไม่ได้…" เขาหันไปโบกมือให้องครักษ์ผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงมุมมืด


"แต่ว่า..." ซูเหยาปฏิเสธอย่างสุภาพ


"ไม่ต้องปฏิเสธหรอก" เถียนเฟิงพูดตัดบท "ให้คนไปส่งเจ้า จะได้สบายใจ ข้าเองก็มีเรื่องต้องทำต่อ"


ซูเหยาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็พยักหน้าอย่างยินยอม ในใจของนางคิดว่าบุรุษเจ้าสำราญผู้นี้ก็มีมุมที่เป็นสุภาพบุรุษเหมือนกัน ซูเหยายื่นห่อผ้าในมือห่อหนึ่งให้กับใต้เท้าเถียนอย่างไม่กล้าสบตา


"ใต้เท้าเถียน ข้ามีของเล็ก ๆ น้อย ๆ จะมอบให้เจ้าค่ะ เพื่อเป็นการตอบแทน"


เถียนเฟิงรับห่อผ้านั้นมาอย่างแปลกใจ 


"นี่คืออะไรหรือ? หรือจะเป็นขนมบัวหิมะเช่นเมื่อวาน"


"ซิ่งเหรินโต้ฟูเจ้าค่ะ...กับน้ำชา" ซูเหยาตอบด้วยน้ำเสียงที่ค่อย ๆ เบาลง "ใต้เท้าทำงานหนักคงจะเหนื่อยล้า...ดื่มชาจะช่วยให้ผ่อนคลาย"


"ขอบคุณหมอหญิงซูมาก"


"ถ้าเช่นนั้น...ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ" ซูเหยารีบโค้งคำนับแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว


เถียนเฟิงมองตามหลังของซูเหยาไปจนลับตา รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อย ๆ จางหายไป เขาหันไปเรียกองครักษ์ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ 


"เฝิงหมิง"


"ขอรับ ใต้เท้า" องครักษ์ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดราวกับภูตผี


"ไปสืบมาว่าช่วงนี้นางไปพบเจออะไรหรือได้ยินอะไรมา" เถียนเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ท่าทางของนางดูแปลกไป...เหมือนกับว่ากำลังระวังตัวอะไรบางอย่าง"


"ขอรับ" องครักษ์รับคำและหายตัวไปในความมืดอีกครั้ง


เถียนเฟิงกำห่อขนมและน้ำชาในมืออย่างแนบแน่น เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความห่วงใยจากมัน ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมาย 'หมอหญิงซู...ไปได้ยินอะไรมากันแน่'



ทุกการโรลเพลย์รักษาชาวบ้านในอาการเล็ก ๆ อย่าง ไข้หวัด , โรคกระเพาะ , หมดสติจมน้ำ และโรคเล็กอื่น ๆ ได้รับ EXP +10


[NPC-08] มอบ ซิ่งเหรินโต้ฟู และ ชาขาวเข็มเงิน ให้ เถียน เฟิง

+20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง + ชาเกรดทอง (+10)

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5

โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 10 EXP โพสต์ 2025-8-7 23:31
หัวใจเถียนเฟิงตัน 4 ดวงแล้ว  โพสต์ 2025-8-7 23:30
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 40 โพสต์ 2025-8-7 23:30
โพสต์ 29836 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-7 23:28
โพสต์ 29,836 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-8-7 23:28
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x6
x8
x2
x6
x8
x2
x11
x28
x50
x90
x90
x1
x2
x2
x10
x12
x42
x18
x20
x1
x14
x2
x100
x2
x2
x442
x1
x32
x2
x2
x1
x20
x30
x30
x20
x10
x10
x6
x23
x34
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4
โพสต์ 2025-8-17 00:34:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย SuYao เมื่อ 2025-8-18 00:03

วันที่ 8 ชีเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 

ยามซวี (เวลา 19.00 - 21.00 น.)



พลบค่ำของวันนั้น ซูเหยาเดินไปเส้นทางของถนนสิบลี้ที่เริ่มจะสลัวลง แสงสีแดงของตะวันลับฟ้าแตะต้องหลังคาบ้านเรือนให้ดูงดงามราวกับถูกแต่งแต้มด้วยปลายพู่กันของจิตรกรชั้นครู ทว่าในมุมมืดของเมืองหลวงนี้ อาชญากรรมและการสมรู้ร่วมคิดก็เติบโตไปพร้อม ๆ กัน เงาของซูเหยาเคลื่อนไปตามทางเดินอันว่างเปล่าและคับแคบราวกับเป็นเงาที่ไม่อาจจับต้องได้ ชุดคลุมสีน้ำตาลเข้มที่ดูธรรมดาจนกลืนหายไปกับความมืดมิดของยามค่ำคืน ปกปิดรูปร่างบอบบางของนางไว้ทั้งหมด ท่ามกลางเสียงดังอึกทึกของตลาดในยามค่ำคืน แต่นางกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น ดวงตาคู่เรียวเล็กของนางทอประกายคมกริบเกินกว่าท่าทีอ่อนหวานที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเงียบงัน ทุกก้าวที่เหยียบย่ำลงบนพื้นดินที่ยังคงอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ยามบ่ายนั้นช่างแผ่วเบาราวกับผีเสื้อที่กำลังบินผ่านไป เพียงไม่นานนางก็มาหยุดอยู่ตรงหัวมุมถนนที่มีร้านขายโคมไฟตั้งอยู่ โคมไฟกระดาษสีสันสดใสหลายอันแขวนห้อยอยู่หน้าร้าน ลมที่พัดผ่านเบา ๆ ทำให้โคมไฟเหล่านั้นแกว่งไกวไปมาเป็นจังหวะ และในชั่วขณะที่ลมพัดผ่าน ซูเหยาก็เห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของคนงานสองคนอยู่ทางเข้าหอว่านหงเหริน ท่าทางของพวกเขาดูไม่แตกต่างไปจากสิงโตที่กำลังงีบหลับ ไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดรอบข้างนอกไปเสียจากหน้าที่ของตัวเองที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าหอ


ซูเหยาถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ร่างกายอันบอบบางของนางยังคงยืนนิ่งอยู่ภายใต้ความมืดมิด รอคอยจังหวะที่เหมาะสม ดวงตาของนางกวาดสายตาสำรวจไปทั่วบริเวณอย่างละเอียด ทุกสิ่งทุกอย่างในยามค่ำคืนดูแตกต่างจากในยามกลางวันโดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นมีหญิงวัยกลางคนสวมอาภรณ์หรูหราเดินออกจากร้านค้าทางด้านขวามือของนาง กลิ่นหอมฟุ้งของเครื่องหอมชั้นดีจากนางลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ นางจ้องมองมาที่ซูเหยาด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ซูเหยาเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งหนึ่งในยามที่กลุ่มควันจากรถเข็นขายอาหารข้างถนนลอยฟุ้งไปทั่วทางเดิน สองคนงานหน้าประตูหอว่านหงเหรินยังคงยืนอยู่ที่เดิม


หลังจากรอคอยมาเป็นเวลานาน ในที่สุดซูเหยาก็เห็นชายหนุ่มสองคนกำลังเมามายอยู่ เดินโซซัดโซเซมาตามถนนและมุ่งหน้าไปทางประตูทางเข้าของหอว่านหงเหริน พวกเขายิ้มอย่างบ้าคลั่งและหัวเราะเสียงดัง ขณะที่ยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อและล้วงเอาเงินออกมาให้คนงานคนหนึ่ง เมื่อเห็นว่าประตูทางเข้าเปิดอยู่ ซูเหยาจึงรีบเดินไปที่ประตูบานใหญ่ ขณะที่คนรับใช้กำลังง่วนอยู่กับการดูแลชายหนุ่มที่กำลังเมามายเข้าประตูไป นางก็สอดแทรกตัวเข้าไปในหอว่านหงเหรินอย่างรวดเร็วราวกับเป็นผีไร้ตัวตนโดยไม่มีใครสังเกตเห็น และเมื่อเดินเข้าไปในตัวอาคาร ซูเหยาก็รู้สึกถึงกลิ่นหอมแรงของเครื่องหอมที่ปะปนกับกลิ่นสาบของเหงื่อและกลิ่นของเหล้าที่ทำให้รู้สึกวิงเวียนไปทั่ว


แสงไฟจากตะเกียงสีเหลืองนวลให้แสงสว่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และทันทีที่ซูเหยาสังเกตเห็นคนรับใช้ในชุดผ้าฝ้ายสีน้ำตาลที่กำลังง่วนอยู่กับการกวาดพื้น นางก็ค่อย ๆ เดินเลียบไปตามกำแพงและหดตัวลงจนชิดผนังราวกับต้องการกลมกลืนไปกับความมืดมิดเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น เงาที่ทอดยาวของนางดูบิดเบี้ยวไปตามความสว่างของแสงตะเกียง และซูเหยาก็ยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างระมัดระวังในความมืด นางใช้เวลาสังเกตและเดินเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่ได้มีผู้คนเดินผ่านไปมามากนัก เมื่อเข้าไปในตรอกนั้น ก็มีกลิ่นเหม็นอับของความชื้นและกลิ่นเน่าเหม็นของขยะลอยขึ้นมาอย่างน่ารังเกียจ นางรีบสาวเท้าไปข้างหน้าต่ออย่างรวดเร็วเพื่อเดินเลี่ยงกองขยะที่ส่งกลิ่นเหม็นออกมา


ตามคำบอกเล่าของชายคนงาน ศพของเหมยฮวาถูกทางการชันสูตรอย่างเร่งรีบและถูกส่งคืนให้แก่หอว่านหงเหรินซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของชีวิตของนางในฐานะคณิกา เมื่อการไต่สวนเสร็จสิ้น ทางการจึงไม่มีเหตุผลที่จะเก็บศพไว้ต่ออีก จะเอาไปฝังหรือทำพิธีอะไรก็ตามแต่หอว่านหงเหรินจะเห็นสมควร นี่จึงเป็นเหตุให้ซูเหยาพยายามที่จะตามหาร่างของนางเพราะน่าจะยังไม่ถูกนำไปฝังและคงเก็บไว้ที่ใดสักที่ในหอว่านหงเหรินแห่งนี้


ไม่นานนักซูเหยาก็เดินมาถึงห้องเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่หลังโรงครัวซึ่งมีกลิ่นเหม็นอับคลุ้งไปหมด ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นห้องเก็บของและซูเหยารู้สึกได้ถึงกลิ่นผิดปกติที่ลอยออกมาจากห้อง เมื่อก้าวเข้าไปในห้องเก็บของ ร่างของซูเหยาก็หยุดชะงักลงด้วยความตกใจ มีก้อนหินมากมายวางเรียงรายอยู่ทั่วพื้นห้อง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือผ้าขาวที่มีคราบสีคล้ำห่อหุ้มวัตถุบางอย่างไว้อย่างแน่นหนา กลิ่นอับชื้นและกลิ่นที่ไม่สดชื่นลอยออกมาเบา ๆ ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ ใบหน้าของนางจึงบิดเบี้ยวเล็กน้อยด้วยความกังวล นางตัดสินใจที่จะลงไปนั่งยอง ๆ บนพื้น ก่อนจะค่อย ๆ ใช้นิ้วมือที่สั่นเทาเล็กน้อยจับปลายผ้าและคลี่ออกช้า ๆ ภายในห่อผ้าที่ถูกคลี่ออกคือร่างที่เคยงดงามของเหมยฮวาที่บัดนี้ดูซีดเซียว ไร้ซึ่งสีเลือด ดวงตาของนางปิดสนิทราวกับหลับใหลไปชั่วนิรันดร์


ซูเหยาจุดโคมไฟที่พกติดตัวมา แสงสว่างสาดส่องไปทั่วห้อง ทำให้มองเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน นางเริ่มทำการชันสูตรศพอย่างละเอียดโดยอาศัยความรู้ทางการแพทย์ที่ร่ำเรียนมา แม้จะไม่มีเครื่องมือใด ๆ แต่มือที่คุ้นเคยกับการตรวจรักษาคนไข้นับไม่ถ้วนก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นางสัมผัสไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเหมยฮวา สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการเสียชีวิต


“สองวันแล้วหรือนี่...” ซูเหยาพึมพำกับตนเอง น้ำเสียงของนางแผ่วเบาราวกับสายลมที่พัดผ่าน เมื่อสัมผัสผิวหนังที่เริ่มเย็นชืดและแข็งกระด้างจากการตายมาพักใหญ่แล้ว นางจดจำได้จากตำราว่าปกติแล้วร่างกายของผู้เสียชีวิตจะเริ่มแข็งเกร็งภายใน 1-2 ชั่วยามหลังจากเสียชีวิต และจะเริ่มคลายตัวลงหลังจาก 12 ชั่วยามไปแล้ว แต่ร่างกายของเหมยฮวาดูเหมือนจะผ่านกระบวนการนี้มาแล้วจนผิวเริ่มมีรอยคล้ำเป็นจ้ำ ๆ อย่างเห็นได้ชัดในบางจุด นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าการเสียชีวิตได้ผ่านไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งถึงสองวัน


ซูเหยาลองกดเบา ๆ ที่ผิวหนังบริเวณท้องของเหมยฮวา จากนั้นก็สำรวจช่องปากและลำคออย่างละเอียด นางต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับร่างที่บอบช้ำอยู่แล้ว 


“ไม่มีร่องรอยการต่อสู้...หรือการขัดขืนใด ๆ เลย” ซูเหยาคิดในใจ นั่นหมายความว่าพิษถูกให้ในลักษณะที่เหมยฮวาไม่ทันรู้ตัว หรืออาจจะถูกทำให้หมดสติก่อนแล้วค่อยให้พิษ การชันสูตรของซูเหยาดำเนินไปอย่างรอบคอบ ทุกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ล้วนมีความสำคัญ นางตรวจสอบอวัยวะภายในอย่างละเอียดเท่าที่ทำได้ในสภาพการณ์เช่นนี้ และในที่สุด...นางก็พบสิ่งที่ตามหา


บริเวณใต้ลิ้นและผนังคอของเหมยฮวามีร่องรอยของรอยช้ำสีคล้ำบาง ๆ ซึ่งไม่ปรากฏให้เห็นในสภาพศพทั่วไป หากไม่มีความรู้เกี่ยวกับพิษแล้วย่อมไม่มีทางสังเกตเห็นได้อย่างแน่นอน ซูเหยาหยิบเข็มเงินที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วแทงลงไปในบริเวณรอยช้ำนั้นเพียงเล็กน้อยเพื่อเก็บตัวอย่างพิษมาวิเคราะห์อย่างลับ ๆ เมื่อเข็มถูกแทงลงไป เข็มก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำทันที นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีสารพิษในปริมาณมากสะสมอยู่ที่บริเวณนั้นจริง ๆ


ซูเหยารีบเก็บเข็ม เก็บตัวอย่างที่จำเป็นจากร่างของเหมยฮวาและปิดผ้าคลุมร่างของเหมยฮวาให้เรียบร้อยดุจเดิม ดวงตาของนางยังคงจ้องมองใบหน้าที่สงบนิ่งของคณิกาผู้เคราะห์ร้าย 


“แม่นางเหมยฮวา...ท่านต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใดกัน” นางรำพึงด้วยความสงสารและเห็นใจอย่างสุดซึ้ง “พวกเขาบอกว่าท่านจากไปเพราะอุบัติเหตุ...แต่รอยช้ำนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย”


นางนำตัวอย่างที่เก็บมาใส่ในถุงผ้าเล็ก ๆ อย่างระมัดระวังที่สุด และพยายามหาทางออกอีกครั้งโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้เบื้องหลัง ข้อมูลที่ได้จากการชันสูตรศพในครั้งนี้ยืนยันสิ่งที่นางสงสัย มีการใช้พิษเพื่อปลิดชีพเหมยฮวาจริง ๆ และวิธีการใช้พิษก็เป็นไปอย่างแยบยลจนยากที่จะหาหลักฐานได้ ซูเหยาเดินออกจากหอว่านหงเหรินท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลวง ในหัวของนางเต็มไปด้วยปริศนาและความมุ่งมั่นที่จะหาตัวฆาตกรตัวจริงให้ได้ บุคคลที่ทำเช่นนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจและอิทธิพลมากพอที่จะบิดเบือนการชันสูตรพลิกศพของทางการได้ นางจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เงียบหายไปเฉย ๆ การตายของเหมยฮวา จะต้องไม่เป็นเพียงอุบัติเหตุอย่างแน่นอน…



เควสปลดหัวใจ : เงาอดีตในคดีปริศนา (2)


ภารกิจ : แอบเข้าไปในหอว่านหงเหรินอย่างระมัดระวัง ชันสูตรศพ และเก็บตัวอย่างพิษ


รางวัลหลัก : ได้หลักฐานยืนยันว่าเหมยฮวาถูกวางยาพิษ และได้ตัวอย่างพิษเพื่อวิเคราะห์


ไอเท็มประกอบฉาก : เข็มเงินสำหรับตรวจพิษ


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 23480 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-17 00:34
โพสต์ 23,480 ไบต์และได้รับ +12 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +10 ความโหด จาก พัดบุปผาบานจันทร์เพ็ญ  โพสต์ 2025-8-17 00:34
โพสต์ 23,480 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 2025-8-17 00:34
โพสต์ 23,480 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก หมอป่า  โพสต์ 2025-8-17 00:34
โพสต์ 23,480 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-8-17 00:34
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x6
x8
x2
x6
x8
x2
x11
x28
x50
x90
x90
x1
x2
x2
x10
x12
x42
x18
x20
x1
x14
x2
x100
x2
x2
x442
x1
x32
x2
x2
x1
x20
x30
x30
x20
x10
x10
x6
x23
x34
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4
โพสต์ 2025-8-21 06:37:19 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 20 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หอว่านหงเหริน (ทำงานหาเงิน)


ยามไห่ล่วงมาเกือบกลางคืนแล้ว ท้องฟ้าเหนือฉางอันแต่งแต้มด้วยสีรัตติกาลสนิท มีเพียงแสงจันทร์แหว่งเล็กน้อยที่ลอดผ่านม่านเมฆบางเบา กับแสงโคมไฟน้ำมันที่ประดับเรียงรายตลอดทางเดินสายสำราญของถนนสิบลี้เท่านั้นที่ให้แสงไหววูบตามลมค่ำ เสียงหัวเราะ เสียงขลุ่ย เสียงกู่เจิง และเสียงเชิญชวนหลากหลายภาษาสับสนอยู่ในย่านหอมหรสพของนครหลวง บรรดาผู้เดินทางไกล พ่อค้า นักดนตรี ขุนนาง นักรบ หรือแม้แต่วิญญูชนผู้เบื่อหน่ายโลกก็ล้วนพากันหลั่งไหลมาในย่านหรูแห่งนี้ด้วยความประสงค์ที่แตกต่างกัน บ้างมาเพื่อหาความสำราญ บ้างมาเพื่อสังเกตการณ์ และบางคน...มาเพียงเพราะ 'เธอ' อยู่ที่นี่


  หลินหยาหรือในชื่อปลอมว่าเสี่ยวหนานเดินลัดเลาะตามตรอกหลังของหอว่านหงเหริน สาวเท้าเบาแต่คล่อง ม้วนชายกระโปรงเล็กน้อยไม่ให้เปื้อนดิน เปลือกตาคมหวานกวาดมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่า เขา ไม่ได้ผ่านมาแถวนี้ในคืนนี้ "จางกงกง...ท่านอย่ามาในคืนนี้เลย..." เธอบ่นในลำคอพลางถอนใจเงียบ ๆ ถ้าโดนจับได้ล่ะก็ ไม่ใช่แค่โดนโกรธต้องโดนลงโทษจนสลบอีกไม่เอาแล้วนะ


เสียงหัวเราะดังแว่วจากด้านในอาคารสามชั้นสีแดงเข้มหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเยี่ยงวังน้อยประจำถนนสิบลี้นั้น บานประตูใหญ่ถูกประดับด้วยแพรแดงและแผ่นทองเหลืองแกะลายนกร่ายรำ ส่วนทางเดินเข้าโรยหินหยกสลับม่านไหม ด้านในส่งกลิ่นหอมของกำยานควันบางผสมกลิ่นเหล้าดอกท้อและกลิ่นกายของผู้คนปะปนกันชวนมึนหัว หลินหยาสูดลมหายใจลึก ยามเธอเดินอ้อมเข้าทางห้องด้านข้างที่สงวนไว้สำหรับพนักงานรับใช้ประจำหอ ขณะนั้นเอง เสียงกระซิบจากพวกพี่สาวในหอที่ยืนหน้ากระจกแต่งตัวก็ดังขึ้นอย่างคึกคัก

 

"เจ้าเห็นไหมวันนี้ตอนเย็นนั้น...เขามาจริงด้วย ไม่ได้มาตั้งนานแขกห้องพิเศษคนนั้นน่ะ!" หือออ ใครวะ? "ข้าเห็น ข้าเห็น! ที่รูปงามกว่านักรำเสียอีกเดาไม่ถูกเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ เห็นว่าเขาเป็นคนสำคัญของท่านเถ้าแก่หลิวไค่เลยใช่หรือไม่?" หลินหยาที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งหน้าซีด มันจะมีใครที่ทำให้เถ้าแก่หลิวไค่กลัวหากไม่ใช่…


"มีคนลือด้วยว่าเขาอาจจะเป็นคู่ขาของท่านหลิวไค่ก็ด้วยนะที่ลือกันแต่เห็นว่าคนพูดตายเหี้ยน ข้าได้ยินว่าเขาจะมาทุกวันห้ามมีเด็กรับใช้คนใดพลาดท่าต่อหน้าเขาเด็ดขาด ไม่งั้นโดนเนรเทศออกหอแน่! หรือคอขาด!"


หลินหยาหรือเสี่ยวหนานหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม นั้นมันจางกงกงในคราบท่านห่าวหมิงนี้หว่า ลืมไปว่าหมอนั้นพึ่งกลับมาจากการเดินทางกับเธอ หลินหยางรีบก้าวเร็วขึ้นตรงไปยังห้องพักของพนักงาน หัวใจเต้นแรงจนได้ยินเสียงตัวเอง เหงื่อซึมมือทั้งที่อากาศเย็นจัดในยามค่ำ สุดท้ายก็รีบเปลี่ยนเป็นชุดเด็กรับใช้สีครามเรียบ พันผ้าเอวให้กระชับแล้วหยิบถาดไม้ขนาดเล็กออกมาเดินตามหน้าที่ประจำยามไห่คือเดินเสิร์ฟสุราและเก็บถ้วยในโถงรองรับแขกที่ไม่ใช่ห้องวีไอพี


ขณะที่นางเดินผ่านหน้าฉากกั้น เงาของนางรำคนหนึ่งที่กำลังร่ายรำอยู่ในท่วงท่าคล้ายมังกรร่ายบนทะเลเมฆปรากฏอยู่ในสายตา แสงไฟสีส้มสะท้อนบนผิวเงาของถ้วยสุราในมือ เสียงขลุ่ยผิวโลหะล่องลอย แสงที่ตวัดผ่านแววตาของแขกผู้มาเยือนแต่ละโต๊ะฉายชัดถึงความหลงใหล มึนเมา และความทะเยอทะยานแฝงเร้น บางคนคือขุนนาง บางคนคือพ่อค้าใหญ่ บางคนอาจเป็นปีศาจในคราบบุรุษด้วยซ้ำไป


"เสี่ยวหนาน! มานี่เร็ว! โต๊ะสามอยากได้สาวรินสุราหน้าตาน่ารัก ไปเลยไป!" พี่สาวที่คุมโซนหันมากระซิบเร่ง นางได้แต่กัดฟันตอบรับแล้วเดินเข้าไปพร้อมกับถาดในมือ หลินหยาไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย แต่ลูกค้าตรงหน้าคือชายหนุ่มปิดหน้าตาแต่รู้ว่ารูปงามผิวขาวสะอาด บรรจงแต่งกายในชุดประจำตำแหน่งชั้นสูง แม้ไร้ตราราชการให้เห็นแต่แววตาของเขาคมเฉียบ สายตาอ่านคนได้ทะลุราวกับเสือผู้เฝ้ามองเหยื่ออยู่ห่าง ๆ


"เจ้าชื่อเสี่ยวหนานหรือ?" เสียงทุ้มของเขากล่าวเรียกเมื่อเห็นนางเดินมาถึง


"เจ้าค่ะท่าน" หลินหยาตอบพร้อมย่อตัวลงวางถ้วยสุรา มือไม้นางสั่นน้อย ๆ อย่างควบคุมไม่ได้…เชี้ย ใครวะเนี้ยฉันเคยเจอแกเราะ?  


ชายผู้นั้นเหลือบมองเธอเพียงครู่ แล้วกล่าวยิ้มละมุนแต่เย็นเยียบ "ข้าเคยพบเจ้าที่ไหนมาก่อนหรือไม่?"


หัวใจหลินหยาหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ...บัดซบเอ๊ย เสียงโคมไฟแก้วด้านบนไหวตามลม เสียงกู่เจิงแปรเปลี่ยนเป็นทำนองที่เร็วขึ้น และในเงานั้นแววตาของชายตรงหน้าเจิดจ้าเยี่ยงเสือที่กำลังเพ่งมองลูกกวางน้อย...ดวงตาของชายแปลกหน้าใต้แสงโคมช่างลุ่มลึกน่าพรั่นพรึงนัก หลินหยาในคราบของ เสี่ยวหนาน เพียงชำเลืองสบตาเขาแวบเดียวเท่านั้น ความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายดั่งจะถูกกลืนหายเข้าไปในหลุมลึกของสายตานั้นก็พุ่งพรวดขึ้นมา ร่างบางก้มหน้าลงต่ำ หัวใจเต้นระรัวขณะตอบกลับอย่างนอบน้อมแต่ไวปานลม


"ขะ-ข้า...ข้าเป็นเด็กรับใช้ที่นี่มานานแล้วเจ้าค่ะ(?) อาจเคยเสิร์ฟท่านมาก่อนละมั้งเจ้าคะ..."


เพียงกล่าวจบ นางก็รีบยอบตัวแล้วก้าวถอยหลังอย่างแช่มช้าโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ซักต่อแม้ครึ่งคำ จากนั้นก็หมุนตัวเบี่ยงถาดไม้ในมือแล้วเดินเร็วออกจากโซนนั้นด้วยท่วงท่าของเด็กรับใช้มืออาชีพจนไร้พิรุธ ทิ้งเพียงกลิ่นหอมจาง ๆ จากน้ำอบบนเสื้อและภาพเงาอ้อยอิ่งไว้ให้ชายผู้นั้นเพ่งมองตาม เสียงกระซิบระงมกลับมาอีกครั้งยามนางหลุดออกจากเขตโต๊ะวีไอพีมาได้ "หนอยแน่ะ...ใครใช้ให้ไปเร็วขนาดนั้นเล่า? นั่นลูกค้าชั้นสูงนะเสี่ยวหนาน!" เสียงสาวใช้รุ่นพี่ดังแว่วมาจากด้านหลัง แต่หลินหยาแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วผละจากไปทางอีกโซนทันที





@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ผมมาทำงานนนนน สร้างเรื่องวุ่นวาย ย ย วะฮ่ะๆๆๆ


รางวัล: 30 ตำลึงเงิน

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 27648 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-21 06:37
โพสต์ 27,648 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-21 06:37
โพสต์ 27,648 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-21 06:37
โพสต์ 27,648 ไบต์และได้รับ +20 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-21 06:37
โพสต์ 27,648 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-8-21 06:37

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +30 ย่อ เหตุผล
Watcher + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-22 00:55:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 21 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (พบจางกงกง - ทำงานหาเงิน)


เสียงกู่ลมหายใจของหลินหยาเบาเกินกว่าจะมีใครได้ยิน ขณะนางกำชายเสื้อของตนแน่นราวกับกลั้นหายใจวิ่งฝ่าพายุ เสียงก้าวเท้าเร่งรีบของนางหยุดลงหน้าโรงเตี๊ยมอันโอ่อ่าซึ่งทอดเงาทาบทับถนนสิบลี้ฝั่งตะวันตกหอว่านหงเหริน สถานที่ที่ทั้งน่าหวาดหวั่นและน่าอับอายสำหรับนางที่สุดในโลก “เฮ้ออออออออออ...ซวยแท้แม่เอ้ย...” เด็กสาวพึมพำพลางเชิดหน้าเข้าไปข้างในอย่างกลั้นใจ ดวงตากลมหวานตวัดมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง มือประคองผ้าโพกศีรษะสีซีดของตนให้มั่น ท่าทีปราดเปรียวปนระวังตัวบ่งบอกว่ากำลังระวังภัย


วันนี้นางต้องมาทำงานแทนเสี่ยวอวี๋ที่ปวดท้องจนลุกไม่ขึ้น เหล่าสาวใช้ด้านในต่างยุ่งกันจ้าละหวั่นในช่วงบ่ายที่ลูกค้าเริ่มแน่นขึ้น เพราะนี่คือช่วงเริ่มต้นทำเงินของหอว่านหงเหริน “อย่าหวังเลยว่าข้าจะเฉียดไปชั้นสอง...เฉพาะห้องทางทิศตะวันตกนั่นนะ! ข้ายอมล้างโถอ่างน้ำตาแตกยังดีกว่าไปเฉียดให้เขาเห็น!” เธอบ่นงึมงำกับตัวเองเหมือนแม่ครัวแก่ ๆ ระหว่างคว้าไม้ถูพื้นแล้วเดินหลบไปทางห้องเก็บอุปกรณ์ เธอจะทำงานเงียบ ๆ ซอก ๆ มุม ๆ พวกข้างครัวก็ได้ ไม่ต้องมีใครเห็น! แค่ครึ่งชั่วยามเดี๋ยวก็ผ่านไป...


แต่ปากที่พร่ำบ่นไม่หยุดนั้นกลับหยุดลงทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอและเสียงชุดไหมละเอียดเสียดสีกันแผ่วเบา เด็กสาวชะงักค้างกลางทางเดิน พลันเงยหน้าขึ้นช้า ๆ อย่างไม่สมัครใจ เสียงฝีเท้านั้น...นุ่มลึกและมั่นคงเกินกว่าจะเป็นใครอื่น


พระเจ้า…


เงาร่างสูงในชุดผ้าไหมสีเข้ม สวมเสื้อคลุมยาวปักลวดลายเมฆไอปราณทองคำ เดินผ่านประตูบานเลื่อนเข้ามาโดยมีเหล่าสตรีของหอติดตามสองคน เขาไม่พูดอะไร ทว่าแววตาคมกริบที่ส่องผ่านใต้ขนตายาวคล้ายหยาดน้ำค้างในฤดูหนาวนั้น กลับกวาดไปรอบบริเวณอย่างเฉยเมย เยือกเย็น และ...น่ากลัว หลินหยากลืนน้ำลายแทบไม่ลง รีบหันหลังกลับแอบก้มหน้าใส่ท่าก้มถังน้ำล้างพื้นแทบจะจุ่มหน้าลงไป


เจ้าบ้าเอ๊ย! จะมาทำไมทุกวันทุกบ่าย ๆ ฮะ! ไปวังไปปรับบัญชีไปเซ็นเอกสารไป๊!


เธอบ่นในใจแทบระเบิด หัวใจเต้นตึกตักประหนึ่งโดนปีศาจล่าในคืนพระจันทร์แดง... เพราะหากเขารู้ว่าเธอแอบมาทำงานที่นี่ล่ะก็…เจอนรกไม่มีที่สิ้นสุดแน่นอน เธอกัดฟันแน่นจนแทบหัก ก้มหน้าก้มตาเตรียมถูพื้นไปทางห้องทิศใต้ชั้นล่างแบบเนียน ๆ หลีกให้ไกลที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะเลี่ยงได้ แต่โชคชะตานั้นช่างโหดร้ายยิ่งนัก


“เจ้า?” เสียงทุ้มหยุดนิ่งราวกับลมหายใจฤดูหนาวเรียกเธอจากด้านหลัง ตายแน่แล้วกู...


เสียง "เจ้า" ที่เปล่งออกจากริมฝีปากจางกงกงนั้นทั้งสั้น เรียบ และทรงพลังจนหลินหยาที่ก้มหน้าหลบอยู่ถึงกับชาวาบตั้งแต่ต้นคอลงมาถึงส้นเท้า ลำคอของนางแข็งเป็นหิน ขณะที่หัวใจเต้นรัวราวกลองศึกในสงคราม สองมือตะครุบไม้ถูพื้นแน่นจนข้อขาวซีด ชิบหายแล้ว


นางยังคิดไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำว่า “ควรโกหกแบบไหนถึงจะรอด ร่างก็สะดุ้งเล็กน้อยด้วยสัญชาตญาณเมื่อเสียงฝีเท้าของเขาเข้ามาใกล้ขึ้น...ใกล้ขึ้น...พอที่จะสัมผัสกลิ่นเฉพาะตัวที่คุ้นเคยอย่างเจ็บปวด กลิ่นกฤษณาอำพันอ่อน ๆ ปนเย็นชาแบบกลั่นจากสมุนไพรโบราณที่เขามักใช้ชำระร่างกาย ทันใดนั้นเอง เสียงของเขาก็เปล่งมาอีกครั้ง


“เสี่ยวหยา...เจ้ารู้ไหมว่าถูพื้นผิดมุมแบบนั้น น้ำอาจไหลเข้าห้องด้านใน...ที่ข้าพักอยู่” คำว่า ‘ที่ข้าพักอยู่’ นั้นฟังดูปกติสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับหลินหยาแล้วมันคือดั่งสายฟ้าผ่ากลางกระหม่อมอย่างชัดเจน และทุกคนในหอนี้รู้ว่าเขตของ ‘เถ้าแก่ใหญ่’ ไม่ใช่ที่ใครอยากเฉียดก็เฉียดได้! หลินหยาขนลุกซู่จนหลังแทบสะบัด เธอค่อย ๆ หันหน้ากลับไปอย่างช้า ๆ ราวกับลูกแมวที่โดนเจ้าของจับได้ขณะกำลังปีนม่าน และทันทีที่สบตากับเขา ตาของจางกงกงเรียบเฉยยิ่งกว่ากระจกน้ำแข็งในฤดูหนาว


“ข้า...ข้ามาช่วยงานเพื่อนเฉย ๆ เจ้าค่ะ! ใช่ ใช่แล้ว!” เสียงนางสั่นน้อย ๆ ราวกับพยายามกลบเกลื่อนอาการตื่นตระหนกโดยใช้ความจริงผสมสีเทา “เสี่ยวอวี๋นางปวดท้องหนักจนลุกไม่ไหว ข้าเลย...แค่...มาช่วยนิดเดียว! ไม่ได้แอบทำอะไรเลยนะ ไม่ได้ทำเรื่องลับหลัง ไม่ได้แอบ! ไม่ได้...ไม่ได้อะไรเลยจริง ๆ นะ” นางรีบพ่นออกมาเป็นชุด ๆ พร้อมยิ้มแหย ๆ บิดตัวไปมายังกะลูกเต่าในกะลาร้อน ทั้งที่ในใจตะโกนแทบเป็นไฟว่า ท่านอย่าจับได้สิฟะ!


ทว่าสิ่งที่หลินหยาพูดออกไปก็เป็นความจริงเพียง “บางส่วน” เท่านั้น เพราะในความจริงแล้ว... นางมาช่วยก็เพื่อแลกกับค่าแรงด้วย และไม่ใช่ค่าแรงธรรมดา แต่เป็นเงินค่าข้าวสารและค่าเหล้าที่กำลังร่อยหรอในชีวิตนาง...เพียงแต่นาง “ไม่ได้บอก” เขาเท่านั้น ว่านางแอบมาทำงานในหอของเขาเองเพื่อ ‘หาเงิน’ เพราะอะไรน่ะหรือ... ก็เพราะเขาเป็น “จางกงกง” เจ้าบ้าโรคจิตที่วัน ๆ เอาแต่ใช้วิธีพิลึก ๆ ทำให้ชีวิตนางแทบขาดใจ แล้วเขาก็ยัง...เอ่อ...มักจะยัดเงินให้เธอเหมือนโยนให้แมวจรจัดข้างทางถ้าเขารู้ว่าเธอแอบมาทำงานในหอของเขาเองแลกเงินละก็...


หายนะมาเยือนแน่นอน


“เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้คิดทำอะไร...” น้ำเสียงของจางกงกงยังคงเรียบเฉย แต่ดวงตาคู่นั้นกลับจ้องลึกอย่างทะลุทะลวง ราวกับกำลังวินิจฉัยว่าเธอกำลังโกหก ‘ระดับไหน’ ในมาตราส่วนสิบระดับ จางกงกงที่อยู่ในคราบท่านชายห่าวหมิงไม่พูดเปล่า เขายังขยับรวดเร็วราวเสือกลางพงอุ้มหลินหยาเข้าไปในห้องพักส่วนตัวของเขาชั้นสองอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย แม่นางเจ้าของร่างเล็กเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก ขาแทบเตะอากาศกลางลอยเพราะไม่ทันตั้งตัว


“เฮ้ยๆๆๆ! เดี๋ยว! ท่านจะทำอะไรน่ะ?! ปล่อยนะข้าเดินเองได้!” หลินหยาโวยวายตีนิดถีบหน่อยไปตามแขนเขาเหมือนลูกแมวตกใจ แต่ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย ร่างสูงห่มอาภรณ์สีเข้มเพียงเหลือบตามองอย่างเย็นเยียบก่อนจะผลักบานประตูไม้เนื้อดีเปิดออก พาเธอเข้าไปวางแหมะกลางเบาะนั่งตรงโต๊ะน้ำชาหรูหราโดยไม่พูดคำใด เพียงครู่เดียวเขาก็นั่งลงด้านข้าม ทอดสายตาคมเฉียบจ้องเธอเหมือนนักล่าที่เพิ่งจับลูกกระต่ายได้


“ไหนเจ้าบอกว่ามาทำงานช่วยเพื่อนมิใช่หรือ” เสียงเรียบเอ่ยคล้ายจะซักถาม แต่จริง ๆ แล้วมันคือการออกคำสั่งในคราบประโยคบังคับแบบผู้ดี หลินหยาเบ้ปากอย่างจนใจ พอคิดจะเถียง เขาก็พูดต่อทันทีราวกับอ่านใจออกหมด “ถ้างั้น...ก็บริการข้าแทนแล้วกัน” คำว่า “บริการ” ทำเอาร่างเล็กชะงักหัวทิ่มในใจ


โอ้ยเชี่ย...! ตาบ้าเอ๊ย!!


หลินหยาได้แต่ค่อย ๆ ขยับตัวไปนั่งใกล้โต๊ะรินเหล้าให้เขาเงียบ ๆ พลางหน้างอคิ้วผูกกันเป็นปมแน่นราวกับเกลียดโลกใบนี้ บ่นพึมในใจว่ากำลังถูกใช้แรงงานแบบไม่สมัครใจโดยมนุษย์จิตวิปริตผู้หนึ่ง แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้น “นวดด้วยสิ” เสียงนุ่ม ๆ เรียบสนิทดังขึ้นอีกครั้ง โดยที่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเหลือบตามองเธอด้วยซ้ำ

 

“อ-อะไรนะเจ้าคะ?” หลินหยาอ้าปากค้าง มือตะครุบไหเหล้าแน่นเหมือนจะใช้เป็นอาวุธได้ทุกเมื่อ นี่มัน... เด็กเสิร์ฟรินเหล้ายังไม่พอ ต้องมาเป็นหมอนวดอีกเรอะ?!


สายตาคมที่จ้องเธอมาเย็นยะเยือกอย่างไม่ยินดียินร้าย ราวกับบอกว่า “จะบ่นหรอ?” ซึ่งหลินหยารู้ดีว่ากับผู้ชายโรคจิตแบบเขานั้น...หากเธอเผลอพูดคำว่า “จางกงกง” ขึ้นมาในห้องนี้ มีหวังเขาจะ “กำจัดพยาน” ทั้งหอก่อนนั่งจิบเหล้าอย่างใจเย็นแน่นอน เว้นเสียแต่ตัวเธอเองที่เขาคงไว้เพื่อแกล้งเล่นอย่างต่อเนื่องแบบยาวนานน่าหงุดหงิดแต่เขาก็ไม่กล้าฆ่าเธออยู่ดี เพราะงั้นนางเลยกัดฟันแน่น รวบผ้าแล้วขยับตัวไปนั่งข้างหลังเขา กำมือขึ้นแล้วเริ่มนวดไหล่ให้แบบแรง ๆ แบบสะใจเล็กน้อยจนเขาหรี่ตานิด ๆ


“ท่านชายห่าวหมิง...” นางขยับเสียงเรียกอย่างเสแสร้งแบบสุดใจ แอบกัดฟันในลำคอ “ไม่ใช่หน้าที่นางโลมหรือหรือเจ้าคะ เรื่องบริการแบบนี้น่ะ...”


“เสี่ยวหยาไม่ใช่นางโลมหรือ?” เสียงของเขาตอบกลับราบเรียบหยอกเย้านาง แต่ฟังดูอันตรายเหมือนใบมีดที่วางพาดบนต้นคอเธอแบบเฉียดฉิว มือเล็กที่กำลังนวดไหล่อยู่ก็ยังนวดต่อไปอย่างขมุกขมัว แต่ถึงจะหน้างอเท้าสะเอวในใจแค่ไหน เด็กสาวตาโตผิวผ่องที่อยู่ด้านหลังบุรุษผู้นั่งตัวตรงอยู่หน้าชุดน้ำชานั้นก็ยังพยายามรักษาความเนียนไว้อย่างสุดกำลัง ในขณะที่อีกคนเอาแต่นั่งเงียบเหมือนราชสีห์จำศีล หลินหยาที่รู้สึกว่าความเงียบมันชวนให้หงุดหงิดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็เลย...เผลอหลุดคำออกไปเหมือนปกติเวลาที่อยากแกล้งเขาคืน


“หากข้าเป็นนางโลมขึ้นมาจริง ๆ ล่ะก็...ก็คงต้องบริการคนอื่นด้วยสิ ไม่ใช่ท่านคนเดียวนี่นา” น้ำเสียงนั้นเหมือนจะล้อเล่นปนเหน็บ ทว่ามีประกายยียวนอยู่ชัดเจน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนขยิบเล่นในอากาศ พลางทำปากยื่น ๆ กัดริมฝีปากเบา ๆ อย่างคนที่กำลังจะหัวเราะออกมาเพราะตัวเองหาเรื่องได้สำเร็จ…แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมา คือไหล่ของอีกฝ่ายที่หยุดนิ่งในทันที


น่ากลัวกว่าคือเขาไม่ได้หันกลับมาทันที ไม่ได้กระโจนหรือพูดเสียงดังอย่างที่บุรุษทั่วไปจะทำเมื่อถูกแหย่ให้หึง แต่กลับค่อย ๆ วางจอกเหล้าลงกับโต๊ะอย่างแผ่วเบา…เสียง "กรึก" ของก้นจอกกระทบไม้ช่างเบาจนได้ยินชัดเจนท่ามกลางความเงียบ “หืม…” เสียงหนึ่งหลุดออกมา ราวกับเจ้าตัวกำลังแปรงความคิดในหัวให้กลายเป็นคำพูดที่ไม่ฆ่าเธอตรงนี้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยต่ออย่างเนิบช้า แต่บรรยากาศรอบกายกลับเย็นเยียบลงราวกับมีมือเย็นเฉียบแตะตรงท้ายทอย “ถ้าอย่างงั้น…ข้าควรทำเช่นไรกับเจ้าดี?” 


หลินหยาที่รู้ตัวว่าพลาดแล้วแค่เพียงเสี้ยววินาทีก็หัวเราะแห้ง ๆ ออกมา ยิ้มเจื่อนพลางยกมือประสานที่ท้ายทอยเขาแล้วนวดแรงขึ้นราวกับเอาใจสุดฤทธิ์สุดเดช “ล้อเล่นน่าาา ข้าแค่แกล้งพูดเล่นเฉย ๆ เอง ก็รู้ว่าท่านเป็นคนขี้หวงนิเจ้าคะ จริงไหมล่ะ? ฮ่า ๆ ๆ…”


จางกงกงไม่พูดตอบในทันที ทว่าหลังจากนั้นเพียงครู่เดียวเขากลับหันศีรษะมาเล็กน้อย เสี้ยวใบหน้าขาวจัดใต้แสงเทียนฉายชัดขึ้นในมุมสายตา พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่ประหลาดจนเธอแทบไม่กล้าหายใจ “เพราะข้าเป็นคนขี้หวง…และข้าไม่ชอบพูดซ้ำสอง” นัยน์ตาสีดำสนิทมองสบตาเธออย่างลึกล้ำจนเหมือนจะดูดกลืนลมหายใจของหลินหยาเข้าไปทั้งดวง วิญญาณของนางเผลอสั่นไหวในจังหวะนั้น มือที่นวดอยู่ถึงกับชะงักไปเสี้ยววิ “แล้วก็…” เขาโน้มตัวไปใกล้ ใกล้จนได้กลิ่นเนื้อผ้าอาภรณ์และกลิ่นกฤษณาอ่อน ๆ ที่เขามักใช้เสมอ


“…ถ้าเจ้ากลายเป็นนางโลมขึ้นมาจริง ๆ ข้าก็คงต้องซื้อเจ้าทั้งคืนไว้คนเดียว…ทุกคืนทุกวัน...ไม่มีวันให้ใครได้เห็นแม้แต่ปลายผมเจ้านั่นล่ะ” เสียงกระซิบเย็น ๆ ข้างหูที่กระตุ้นประสาททุกเส้นจนนางขนลุกซู่ หลินหยาถึงกับลืนนวด หัวใจเต้นรัว ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ บ้าเอ๊ย...บอกว่าพูดเล่นแล้วไง จะเอาจริงอะไรนักหนา! แต่ปากเธอก็ยังทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนอีก “ขะ...เข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านชาย! ข้าไม่พูดแบบนั้นอีกแล้ว! พอใจยัง!” เสียงหัวเราะของเขาที่ดังแผ่วเบาราวกับพอใจในความร้อนรนของเธอ...กลับยิ่งทำให้เธออยากจะปาหมอนใส่หน้าเขาให้รู้แล้วรู้รอด


“แต่ซื้อเจ้าทุกคืนคงไม่พอใจข้า…” เสียงนั้นแผ่วเบา ราบเรียบ แต่กลับหนักแน่นเสียยิ่งกว่ามีดปลายแหลมวางนิ่งอยู่บนลำคอ มือเล็กที่นวดบนไหล่ของชายตรงหน้าแทบหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ร่างบางของหลินหยาชะงักค้างเมื่อคำพูดที่เธอคิดว่าเขาเพียงต้องการแกล้งให้ขวยเขินกลับกลายเป็นแค่ประโยคเปิดทาง…


“ข้าจะซื้อตัวเจ้าทั้งหมด ทั้งวันทั้งคืน ให้อยู่แต่ในห้องข้าตลอดเวลา ไม่ต้องรับใช้ใครอื่นใดอีกเลยนอกจากข้า…” เขาหันกลับมาทั้งตัวช้า ๆ แล้วมองตรงมาที่นางราวกับไม่ใช่แค่เพียงพูดเล่นอีกต่อไป ใบหน้าที่มักจะเรียบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยเลศนัยในคราบของ "ท่านชายห่าวหมิง" กลับยิ่งดูไม่ไว้ใจเมื่อเอ่ยสิ่งนั้นด้วยน้ำเสียงเหมือนกับว่า มันเป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจแน่นอนแล้ว “จะนวด จะรินเหล้า จะเป่าเพลง จะต้มซุป จะขับกล่อม หรือจะแค่นั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงเตียงของข้า…เจ้าก็ต้องทำทั้งหมดนั้นเพื่อข้าคนเดียว” นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาขยับเข้าใกล้ในวูบหนึ่ง ประกายในดวงตานั้นเหมือนสัตว์นักล่าที่มองเหยื่อด้วยความพึงใจ…และความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอันไม่อาจโต้แย้งได้


หลินหยาตาโต ใจเต้นตึก ๆ อย่างควบคุมไม่ได้ แม้ปากจะอยากแย้งสุดใจแต่ร่างกายกลับไม่ฟังคำสั่ง นางรู้ดีว่าจางกงกงไม่ใช่คนที่พูดอะไรลอย ๆ โดยไม่ตั้งใจ และที่น่ากลัวกว่าคือ…เขาทำได้จริง "ข้า...ข้าไม่ได้อยากเป็นคนของใครตลอดเวลาขนาดนั้นเสียหน่อยเจ้าค่ะ!" นางโพล่งออกมาแบบรีบ ๆ ร้อน ๆ แม้สีหน้าจะดูพยายามทำใจกล้า แต่เสียงที่แฝงความตระหนกกลับสั่นไหวเล็กน้อยโดยไม่อาจหลบซ่อน "แล้วอีกอย่าง...ข้าก็มีชีวิต ข้ามีร้านของข้า ข้ายังต้องไปดูแลเซียงเฉินเสี่ยวพู้! ข้ายังต้องขายชา ต้องสั่งของ ต้อง…ต้องไปเดินตลาดตอนเย็น! ข้าต้องอยู่ในเมือง! ท่านจะลากข้าไว้กับตัวทุกวันได้ยังไง!" หลินหยาว่าพลางถอยหลังไปเล็กน้อยแต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่อีกฝ่ายเอื้อมมือถึงอยู่ดี นางไม่ได้โกรธ แค่ตกใจ...และกลัวว่าเขาจะเอาจริง


แต่จางกงกงกลับไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว เขามองนางด้วยแววตาเจือยิ้มแบบที่น่าระแวงเสียยิ่งกว่า แล้วเอ่ยเบา ๆ “ทุกอย่างที่เจ้าว่ามา...ข้าสามารถสั่งให้คนอื่นทำแทนเจ้าได้ทั้งหมด แล้วเจ้าก็จะมีเวลาว่างเหลือเฟือ…ไว้บริการข้าเพียงผู้เดียว”


เขาขยับจากเบาะช้า ๆ เหมือนพญามารผู้กำลังย่างเท้าเข้าสู่จุดหมาย นางถอยหลังไปอีกนิดแต่ถูกมือหนึ่งของเขาเอื้อมคว้าไว้ทัน ก่อนที่จางกงกงจะโน้มใบหน้าเข้าใกล้ กระซิบตรงข้างหูด้วยน้ำเสียงพร่าเบาจนทำให้แก้มเธอร้อนวาบ “คิดให้ดีนะ หลินหยา…ข้าไม่พูดซ้ำสองหรอกว่าอยาก ‘ได้เจ้า’ …ข้าแค่ทำ” ดวงตาของเขามืดดำแต่ส่องประกายวาบน่ากลัว ราวกับสัตว์นักล่าที่กำลังคิดจะกลืนเหยื่อทั้งเป็น ไม่ใช่เพราะความหิว…แต่เพราะความหวงและอยากตรึงนางไว้กับตัวนานที่สุด


หลินหยาหน้าร้อนผ่าว สองขาแข็งทื่อ มือกำชายเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่นจนตัวเองไม่รู้ตัว นางหายใจแรงขึ้น แต่ยังพอเรียกสติกลับมาพึมพำเบา ๆ ว่า… “…ท่านอย่าคิดนะว่าทำแบบนี้แล้วข้าจะยอมง่าย ๆ…” แต่ถ้อยคำที่ดูเหมือนจะท้าทายกลับยิ่งทำให้เขายิ้มกว้างขึ้น ชายชุดผ้าหรูผืนหนาเบื้องหน้าเอ่ยตอบเบา ๆ พลางจับปลายผมของเธอขึ้นมาเล่น


“ข้ายังไม่ได้ให้เจ้ายอม…ข้าแค่จับเจ้ามาไว้ข้างกายก่อนต่างหาก เสี่ยวหยา” และนั่น…นั่นต่างหากที่ทำให้หลินหยาแทบอยากร้องกรี๊ดออกมา! จางกงกงแม่ง…โคตรโรคจิต! แต่เธอกลับทำได้แค่กำมือแน่น หน้าแดงและนั่งเงียบเป็นปลาในอวนไปเรียบร้อยแล้ว…!




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ตอนนี้ยังไม่แตก แต่รอบหน้าอาจจะแตก ถ้าแอดยังไม่บอกว่าจางกงกงตรวจสอบบัญชี ผมก็จะตีเนียน 555


รางวัล: 30 ตำลึงเงิน

คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 64680 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-22 00:55
โพสต์ 64,680 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-22 00:55
โพสต์ 64,680 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-22 00:55
โพสต์ 64,680 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-22 00:55
โพสต์ 64,680 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-22 00:55

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +30 ย่อ เหตุผล
Watcher + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-22 20:06:52 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 22 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


ภายในห้องทำงานอันเงียบงันบนชั้นสองของหอว่านหงเหรินนั้น กลิ่นกฤษณาหอมลอยอ่อน ๆ เจือด้วยกลิ่นชาอบแห้ง กลิ่นควันกำยานนั้นรวยรินในอากาศราวกับพันธนาการไร้รูปที่ค่อย ๆ เกาะรัดอากาศทุกหย่อม หลอดไฟข้างฝาเป็นแสงจากตะเกียงน้ำมันหอมสีทองเรื่อยอ่อน เยียบเย็นกระทบผิวจนหลังหลินหยาขนลุกวาบแม้ยังไม่ทันได้พูดสักคำเดียว ชายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้จันทน์หอมสลักลายมังกรนั้นคือเถ้าแก่ใหญ่แห่งหอว่านหงเหริน ท่านชายห่าวหมิง หรือที่นางรู้ดีว่าแท้จริงแล้วคือจางกงกงจอมบงการผู้นั้น


เขาสวมชุดคลุมยาวสีหมึกมรกตประดับดิ้นเงิน นั่งทอดตัวอย่างสง่างามแต่เยือกเย็น มือข้างหนึ่งหมุนแหวนหยกบนปลายนิ้วช้า ๆ ด้วยจังหวะที่แทบจะคล้องไปกับเสียงหัวใจของหลินหยาที่เต้นแรงขึ้นทุกขณะ ดวงตาคมราวสลักจากเหล็กกล้าภายใต้ขนตายาวหนาเหลือบต่ำลงมองเอกสารตรงหน้า แต่แม้ไม่มองตรง หลินหยาก็รู้ว่าเขารับรู้ทุกการขยับของนาง...จนกระทั่ง


"เข้ามาแล้วก็ปิดประตูซะ" เสียงนั้นเรียบ ราบ แต่ก้องในหัวนางราวกับคำสั่งของเทพใต้พิภพ หลินหยากลืนน้ำลายลงคอ ฝ่ามือเย็นเฉียบหัวใจเต้นระส่ำ แต่ก็ยอมขยับเข้ามาตามคำสั่งก่อนจะค่อย ๆ ปิดประตูลงเบา ๆ เหมือนกลัวว่าหากเสียงดังไป เขาจะโมโหขึ้นมาอีก


"เถ้าแก่หลิวไค่บอกข้ามาว่าท่านต้องการพบ...ข้าเลยมาเจ้าค่ะ" นางพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้มั่นคง แต่หางเสียงนั้นสั่นพร่าไม่ต่างจากขนตานางที่กระพือเบา ๆ เหมือนผีเสื้อติดพายุ


เขาไม่ตอบทันทีเพียงแต่หยุดหมุนแหวน แล้วเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมดุหรี่ลงจ้องมาที่หล่อนเต็ม ๆ "ตอนนี้ข้าต้องเรียกเจ้าว่า เสี่ยวหนานสินะ?...เสี่ยวหนานของพวกข้าทำงานเก่งนักนี่ ใช่หรือไม่?" เสียงของเขาเปรยขึ้น ราวกับพูดชม แต่แฝงไว้ด้วยบรรยากาศเย็นยะเยือกที่บีบรัดซี่โครงของหลินหยาจนแน่นตึง "เก่งเสียจนกล้าแอบทำงานที่นี่โดยไม่บอกเจ้าของหอเสียด้วยซ้ำ" คำพูดนั้นราวกับกระบี่แทงเข้าอก หลินหยาเผลอก้าวถอยครึ่งก้าวก่อนจะหยุดไว้ทัน รีบยกมือขึ้นทาบอกแล้วยิ้มแห้ง ๆ ตีหน้าซื่อ


"คือ...เพื่อนข้าปวดท้องขึ้นมากะทันหัน ข้าเลยมาช่วยแทนไงเจ้าค่ะข้าบอกท่านแล้วนี้ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะ...จะปิดบังหรอกนะ แค่..."


"แค่ไม่อยากให้ข้ารู้?" น้ำเสียงของเขาเย็นลงไปอีก ดวงตาดำสนิทนั้นจ้องนางไม่วาง ตลอดเวลาที่เขาพูดร่างของเขาไม่ขยับแม้แต่น้อยแต่มันกลับน่ากลัวกว่าตอนที่เขาโกรธจนโวยวายเสียอีก "หรือเจ้าคิดว่าอยู่ใต้ข้าคืนเดียว เจ้าก็มีสิทธิ์หลบเลี่ยงกันได้แล้ว?" เสียงเขาแผ่วต่ำ แต่แรงจนแทบทำให้บรรยากาศรอบตัวสั่นคลอน "หรือว่าเจ้าอยากเป็นเหมือนคืนนั้นอีก...ที่โรงเตี๊ยมเมืองจี้?"


หลินหยาตาเบิกกว้างในทันที ใบหน้าร้อนวาบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอรีบพูดขัดทันทีทั้งที่ยังหน้าร้อน "ข-ข้าไม่ได้อยากเป็นแบบนั้นอีก! ข้าไม่ได้คิดถึงมันสักหน่อย! ท่านอย่าพูดมั่ว ๆ นะเจ้าคะ!"


จางกงกงหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบา แสยะยิ้มเยือกเย็นแฝงเร้า สายตาของเขายิ่งคุกคามมากขึ้นขณะเอียงหน้าเล็กน้อย ราวกับกำลังชื่นชมใบหน้าแดงซ่านของนางอย่างใจเย็น เสียงบัญชีเล่มหนาตกกระทบโต๊ะดัง "ปึก!" รุนแรงพอจะทำให้ไหล่ของหลินหยากระตุก เธอเงยหน้าขึ้นนิดเดียวก็พบสายตาเยียบเย็นจนเลือดในกายราวกับแข็งค้าง ดวงตาคมคู่นั้นไม่อ่อนโยนอีกแล้ว มันเต็มไปด้วยแรงอารมณ์กรุ่นกร้าวและความผิดหวังอันเข้มข้น บีบหัวใจนางเหมือนโดนทุบด้วยฝ่ามือหนา ๆ ที่ไร้แม้แต่คำด่า


"เลิกพูดหาข้ออ้างกันเสียที" เสียงของจางกงกงกดต่ำ เจือโทสะอัดแน่นในทุกถ้อยคำ มือเขากดโต๊ะแน่นจนข้อเรียวสั่น เขาพูดช้า ชัด แต่น้ำเสียงนั้นแทงลึก "ไหนว่า 'วันเดียว' ฮึ? ตั้งแต่วันที่ยี่สิบถึงสามสิบ เจ้าทำงานเป็นสาวใช้รายวันของหอนี้ในชื่อเสี่ยวหนานใช่หรือไม่?" มือเรียวยาวเอื้อมไปหยิบหน้าบัญชีขึ้นโชว์ หลายแผ่นแสดงวัน เวลา และลายมือเซ็นเป็นชื่อเดียวกัน เสี่ยวหนานที่นางเคยใช้หลบหลีกตาเขาเพื่อมาหาเงิน


"ช่วงที่เจ้าหายไปตามหาข้านอกฉางอัน ไม่มีชื่อในนี้เลย...แต่พอกลับมา? เจ้าก็กลับมาใช้ชื่อนี้อีกครั้ง" เขาเงยหน้าขึ้นมอง หลินหยารู้ว่าไม่ควรสบตา แต่สายตานั้นแรงราวกับรั้งดวงหน้านางให้เงยขึ้นมาเองโดยไม่ต้องสั่ง "จะโกหกอะไรอีกล่ะเสี่ยวหยา? หรือเจ้าจะบอกว่ามีใครหน้าเหมือนเจ้าถึงขั้นปลอมลายมือเจ้ามาเซ็นรับเงินด้วยหรอ?"


หลินหยาได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น สองมือประสานกันไว้แนบหน้าตักอย่างเกร็ง กลืนถ้อยคำทุกคำที่อยากจะพูดลงคอ เพราะมันไร้ประโยชน์แล้วไร้ข้อแก้ตัวใดจะเพียงพอ "ข้า...ข้าแค่..." เสียงของหล่อนแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน ดวงตากลมโตหลุบต่ำ ริมฝีปากแดงจางเม้มแน่นอย่างคนที่กำลังจะร้องไห้แต่กลั้นไว้สุดกำลัง "ข้า...ไม่ได้ตั้งใจ..."


"ไม่ตั้งใจ?" จางกงกงย้อนถามทันควัน รอยยิ้มบนมุมปากนั้นเย้ยหยัน และโหดร้ายยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา "เจ้ากล้าโกหกข้าซ้ำ ๆ กล้าใช้ชื่อปลอมเข้ามาทำงานในหอของข้าเอง ทั้งที่รู้ดีว่าที่นี่เป็นหอคณิกา? แล้วเจ้าทำอะไร? หืม?" เขาโน้มตัวลงมา มือข้างหนึ่งยันโต๊ะ อีกข้างยื่นออกไปคว้าแขนหลินหยาเอาไว้แน่น บีบเบา ๆ ไม่ถึงกับเจ็บ แต่แรงพอจะทำให้หัวใจนางสั่นสะท้านราวกับจะเต้นหลุดออกมาทางปาก "แอบทำงาน หาเงิน โผล่มาในหอว่านหงหรือนี้โดยไม่ให้ใครรู้ ทั้งที่ข้ารู้ว่าที่นี่...อันตรายกับเจ้าขนาดไหน" คำพูดสุดท้ายของเขานั้นไม่ได้เปล่งเสียงดัง แต่น้ำเสียงมันสั่นไหวเล็กน้อยจนหลินหยาเงยหน้าขึ้นมอง จู่ ๆ เธอกลับเห็นในแววตานั้นมีบางอย่างที่ต่างไป


ไม่ใช่แค่ความโกรธ ไม่ใช่แค่ความผิดหวัง...แต่มันคือความเป็นห่วงที่ร้อนลึกจนแทบควบคุมไม่ได้ ราวกับคนที่เกือบเสียสิ่งสำคัญที่สุดไปแล้วต้องมารู้ว่า...อีกฝ่ายเลือกจะเสี่ยงทั้งที่ไม่จำเป็น "...เจ้าทำให้ข้าต้องคอยระแวงหรือเสี่ยวหยา?...ข้าต้องพะวงหน้าหลัง ไม่รู้ว่าคืนหนึ่งเจ้าจะหายไปหรือไม่ ไม่รู้ว่าเจ้าจะโดนใครในที่แบบนี้ลากไป หรือมีคนจำหน้าได้...เจ้าเคยคิดถึงข้าไหมว่ามันทำให้ข้าต้องเจ็บปวดแค่ไหน?" หลินหยานิ่งงัน น้ำเสียงของเขาในวินาทีนั้นไม่ใช่เพียงผู้ควบคุมหอ หรือผู้มีอำนาจเหนือหล่อน แต่มันคือเสียงของใครคนหนึ่งที่กำลังเจ็บอย่างแทบขาดใจ


หลินหยานรู้ว่าเขาควรจะด่า ควรจะลงโทษ ควรจะโกรธจนตะคอกใส่ แต่น้ำเสียงเช่นนั้นมันทำให้เธอใจหาย… "...ข้า...ขอโทษเจ้าค่ะ" เสียงของนางสั่นพร่าเปลือกตาร้อนวาบ "ข้าไม่ได้คิดว่าท่านจะ...จะเป็นห่วงข้าขนาดนี้..."


"เจ้าก็ไม่เคยคิด...ว่าข้าเป็นคนเหมือนกันใช่ไหมเสี่ยวหยา?" เขาเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ คลายมือออกจากแขนหล่อน แล้วหันหลังกลับ เดินไปหยุดที่หน้าต่าง มองออกไปยังระเบียงด้านนอกที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้คน "ข้าไม่ใช่พระ ไม่ใช่ภูตผี ไม่ใช่หิน...แล้วก็ไม่ใช่คนที่รู้สึกไม่เป็น..." คำพูดนั้นแผ่วเบาราวสายลม ทว่าเสียดแทงจนหลินหยารู้สึกเหมือนถูกตบหน้า จางกงกงไม่หันกลับมา...แต่เงาหลังของเขา มันกลับดูโดดเดี่ยวจนใจนางเจ็บยิ่งกว่าโดนตำหนิ


ห้องทั้งห้องเงียบงันจนได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจที่อัดแน่นของผู้คนในนั้น ใบหน้าของจางกงกงยังหันมองออกไปที่บานหน้าต่าง แต่ถ้อยคำของเขากลับแทงทะลุแผ่นหลังของหลินหยาเข้าไปถึงขั้วหัวใจอย่างไร้ปรานี "ข้าให้เจ้าไปเท่าไร?" น้ำเสียงเรียบเย็นนั้นหลุดออกมาทีละคำ แม้จะเบาแต่หนักแน่นดังหินถล่มใจ "มากมายเป็นร้อย ๆ ตำลึงทอง ข้าส่งให้เจ้าตลอดส่งไปถึงมือเจ้าโดยตรง เจ้ายังต้องมาทำงานหามรุ่งหามค่ำอยู่อีกหรือ?" เขาหันกลับมาช้า ๆ ดวงหน้าเรียบเฉยปราศจากรอยแย้มใด แต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งกว่าพายุคลั่งกลางหุบเหว


"ข้ากักขังเจ้าหรือเสี่ยวหยา? ข้าเอาเจ้าไปมัดไว้ในวังหรือ? ไม่เลย ข้าให้เงินเจ้าไปตั้งตัว ให้เจ้าเลือกเองได้ว่าชีวิตจะไปทางใด ไม่อยากเป็นนางกำนัล ข้าก็ยอม ข้าไม่บังคับ ไม่จับขัง ไม่แม้แต่จะขัดขืนคำขอของเจ้า แต่วันนี้เจ้ากลับมาอยู่ในที่แบบนี้...ให้ชายอื่นมอง มาสัมผัส มาชื่นชม" เสียงของเขาเริ่มเค้นต่ำ ลึกลงไปเรื่อย ๆ จนหลินหยารู้สึกราวกับกำลังยืนอยู่บนเข็มหนามที่กำลังแทงทะลุตรงฝ่าเท้า


"เสี่ยวหยา...ถ้าเจ้าจะเลือกเส้นทางนี้ต่อไป...ข้าจะไม่ขวาง แต่จงจำไว้ว่าข้าจะเรียกเงินทุกตำลึงที่เคยให้เจ้าคืนทั้งหมดทุกตำลึง" คำพูดนั้นประหนึ่งฟ้าผ่าใส่กลางอก หลินหยาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ น้ำตาคลอในดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อน มันไม่ใช่เพราะเรื่องเงินเลย ไม่แม้แต่นิดเดียวแต่มันคือความรู้สึกเจ็บลึกที่เหมือนเขากำลังผลักนางออกไป เหมือนเขาตัดใจ...เหมือนเขา เสียใจ เพราะนาง


เธอรู้ดีว่าความโกรธในน้ำเสียงนั้นไม่ใช่เพราะโมโหธรรมดา แต่เป็นความผิดหวังที่แหลมคมบาดลึกจนเขาต้องใช้ถ้อยคำเด็ดขาดมาบังความรู้สึกในอกไว้ "ท่าน..." เธอพึมพำเบา ๆ กัดริมฝีปากแน่น ฝ่าเท้าก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแต่หยุดลงอย่างลังเล ดวงใจเหมือนโดนบีบจนแน่น...แต่เมื่อคิดถึงคำว่า เสียใจ บนใบหน้าของเขา ความลังเลทั้งหมดก็พังทลาย


ร่างเล็กนั้นก้าวฉับเข้าไปหาเขาโดยไม่สนสิ่งใดอีก เธอคว้าแขนเสื้อของเขาแน่น สะบัดหน้าขึ้นมองด้วยน้ำตาคลอเบ้าพูดเสียงสั่นพร่าทั้งหมดออกมาจากใจ


"ข้าขอโทษเจ้าค่ะ...ข้าขอโทษจริง ๆ"


"ข้าไม่ได้คิดหน้าหลัง...ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านเสียใจเลย..." เสียงหลินหยาสั่นเครือ ใบหน้าแดงซ่านด้วยความละอาย "ข้าไม่รู้เลย...ว่าท่าน…ว่าท่านรู้สึกกับข้ามากขนาดนี้...ข้าแค่อยากช่วยตัวเอง...ไม่อยากรบกวนท่านตลอดไป ข้าคิดแค่จะทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยตัวเอง แต่ข้าผิดเองผิดที่โกหก ผิดที่ไม่บอกท่าน...ข้าไม่กล้าบอกเพราะกลัวท่านจะโกรธ...แต่ข้าไม่เคยคิดจะให้ใครมองข้าหรือแตะต้องข้าเลย..." คำพูดพรั่งพรูจากใจราวกับสายน้ำพัดหลาก หลินหยาเงยหน้าขึ้นสบตาเขาทั้งที่น้ำตาเริ่มคลอเบ้าใบหน้าแดงซ่านด้วยความรู้สึกผิดอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน


"อย่าโกรธข้าเลยนะเจ้าคะ...อย่าผลักข้าออกไปเลย...ข้าจะไม่ทำอีกข้าสัญญา ข้าจะไม่ทำงานที่นี่ถ้าท่านไม่อนุญาต" คำว่า สัญญา ครั้งนี้มีเพียงความรู้สึกตรงไปตรงมาราวกับเด็กที่ทำผิดจริง ๆและไม่อยากให้คนที่รักต้องเศร้าใจเพราะตนเอง เธอกอดแขนเขาแน่น ดวงตาสั่นระริกเงยขึ้นอย่างขอความเมตตา 


"...ท่านอย่าเสียใจเพราะข้าเลยนะเจ้าคะ...ได้ไหม..."


จางกงกงยืนนิ่งอยู่นาน ราวกับรูปปั้นที่หล่อขึ้นจากอารมณ์ทั้งหลายที่อัดแน่นจนเกินจะระบายออกทางสีหน้า เขามองใบหน้าของหลินหยาที่เต็มไปด้วยน้ำตาและความสำนึกผิดอย่างจริงใจ ดวงตาคู่นั้นที่เคยท้าทายเขานักหนา...ตอนนี้กลับมีเพียงการวิงวอน ความรู้สึกผิด และการยอมจำนนอย่างหมดใจ ใช่...แบบนี้แหละ… เขาคิดในใจโดยไม่เปล่งเสียงใดออกมา แม้ใบหน้ายังคงเงียบขรึมไร้คลื่นอารมณ์ใด ๆ


นี่แหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ


การที่นางยอมสัญญาด้วยตนเอง...การที่นางยอมถอยกลับมาหาเขา การที่นางยอมรับว่าตัวเองทำผิด และยื่นมือมาให้เขาจูงด้วยความสมัครใจทั้งหมดนั้นมันไม่ใช่แค่ชัยชนะ แต่มันคือการพิสูจน์ว่าหลินหยาคือของเขา หญิงสาวที่ดื้อรั้นไม่ยอมใคร นางที่มักปากกล้า ใช้เล่ห์กล ต่อต้านทุกสิ่งอย่างตามอำเภอใจ ในตอนนี้กลับอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างเต็มใจยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ และพูดคำว่า สัญญา ออกมาเองกับปาก


นางไม่เคยผิดคำพูด จางกงกงรู้นิสัยข้อนี้ดียิ่งกว่าใครและนั่นคือห่วงโซ่ที่เขาต้องการ การบีบบังคับไม่ใช่ทางที่ได้ผลกับหลินหยา แต่การทำให้นาง รู้สึกผิดและเต็มใจมอบตนเองให้ นั่นต่างหาก คือโซ่ล่ามที่แข็งแกร่งที่สุด


ในใจเขาไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความสงสารหรือเสียใจสักนิดมีแต่ความพึงพอใจในผลลัพธ์ ดวงตาคมเรียวพลันคล้ายมีประกายวาวแผ่วเบา เป็นรอยยิ้มบาง ๆ ในแววตาที่หลินหยามองไม่เห็น ราวกับพยัคฆ์ที่กำลังเลียเลือดหลังจากจับเหยื่อไว้แน่นในกรงเล็บ


ข้าควบคุมนางได้แล้ว...ดั่งใจนึก


แม้นางจะดื้อในบางครา พูดกลับไปกลับมา หรือแอบแว้บหนีเหมือนแมวบ้านข้างรั้ว จางกงกงไม่หวั่นเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ว่ายังมีอีกนับร้อยวิธีที่เขาจะทำให้นางวิ่งกลับมาเชื่อง ๆ ได้ทุกครั้ง ปลอบบ้าง ขู่บ้าง หลอกบ้าง กดบ้าง รั้งไว้ด้วยความผูกพันบ้าง ไม่มีวิธีใดที่เขาไม่รู้จัก หรือไม่สามารถใช้ได้กับหลินหยาผู้นี้ อีกไม่นาน...นางจะไม่ใช่แค่เชื่อฟัง แต่จะยอมก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตตามจังหวะของข้าอย่างไม่รู้ตัว


นั่นคือวิถีของคนอย่างจางกงกงผู้ที่ไม่ได้ควบคุมด้วยกำลังแต่ควบคุมด้วยอารมณ์ ความคิด และความผูกพันอย่างลึกซึ้งจนกระดูกยังไม่อาจดิ้นหนี


เขายอมยกมือขึ้นในที่สุด ลูบกลุ่มผมนุ่มเบา ๆ อย่างแผ่วโยนราวกับกำลังปลอบใจ "อย่าร้องเสียจนหน้าบวมไปหมดเสี่ยวหยา...ข้าชอบเจ้าตอนดื้อ ๆ แต่อย่าให้มันมากเกินไปก็แล้วกัน" ถ้อยคำนั้นเหมือนจะเย้า แต่ในน้ำเสียงยังคงแฝงอำนาจอยู่ชัด "จำไว้ว่าคำสัญญา...คือสิ่งที่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าผิดได้เลย แม้เพียงครั้งเดียว"


เขาโน้มหน้าลงชิดใบหูขาวสะอาดของนาง เสียงพร่าต่ำแผ่วเบาคล้ายกระซิบ "...และถ้าเจ้าทำผิดล่ะก็...ข้าก็มีวิธี ลงโทษ ที่เจ้าคงจะไม่ลืมไปตลอดชีวิต" วินาทีนั้นหลินหยาไม่อาจแยกแยะได้ว่าเขา ล้อเล่น หรือ พูดจริง แต่ความสั่นสะท้านที่ไหลผ่านแผ่นหลังนั้นคือสัญญาณที่บอกเธออย่างแน่นอนว่า…นับจากนี้ ไม่ว่าเธอจะรู้ตัวหรือไม่ ชีวิตของหลินหยา ก็กำลังถูกหล่อหลอมทีละน้อย จนไม่เหลือทางหนีจากเขาอีกเลย


ไม่นานกลิ่นหอมหวานละมุนแบบที่เขาคุ้นเคยแผ่วซ่านเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับน้ำเสียงอ้อน ๆ ที่ทั้งอ่อนโยนและน่าขันในทีแรงสะเทือนเบา ๆ ที่ส่งผ่านจากแขนซ้ายของเขาก็พอจะบอกได้ว่าเจ้าตัวรู้ตัวดีว่ากำลังถูกกอดแน่นเอาไว้โดยร่างเล็กข้างกาย "ท่านอย่าโกรธข้าเลยนะ...หายโกรธนะเจ้าคะ" เสียงนั้นเบาราวกับแมวเหมียวครางขอความเมตตา เธอเบียดเข้ามากอดแขนเขาเหมือนแมวขี้อ้อนที่รู้ว่าทำผิดแต่ก็ยังอยากให้เจ้าของลูบหัวให้อยู่ดี


"หากข้าจะทำอะไรต่อไปนี้...ข้าจะบอกท่านตลอดนะเจ้าคะ ท่านหายโกรธข้าได้ไหม?"


เด็กโง่…นางไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าคำพูดนั้นยิ่งเหมือนโซ่ทองคล้องขาให้เขาแน่นขึ้น ยิ่งนางยอมลดตัวลงมาอ้อน ยิ่งทำให้เขารู้สึกถึง ‘ชัยชนะ’ อันแสนหวานที่ตักตวงได้อย่างไม่มีสิ้นสุด แววตาคมดั่งเหยี่ยวมองต่ำลงยังใบหน้าเรียวที่ซบแขนเขา แก้มที่แดงจัดเพราะทั้งความรู้สึกผิดและความขวยเขิน ดวงตากลมหวานที่ช้อนมองมาด้วยแววเว้าวอน มันไม่มีสิ่งใดที่เขาปรารถนาไปมากกว่านี้อีกแล้วในตอนนี้


“ข้าจะหายโกรธเจ้า…เสี่ยวหยา” เสียงของเขาเอ่ยออกมาอย่างเงียบขรึม คล้ายปลอบแต่แฝงแรงกดดันลึก ๆ “เพียงแต่...ข้าจำเป็นต้อง ‘จัดการ’ อะไรบางอย่างให้เจ้าจำ” เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย กระซิบข้างใบหูนุ่มที่แดงจัดด้วยเสียงเรียบต่ำดั่งงูรัด “เพราะแมวที่ชอบหนีออกไปนอกบ้าน ข้าจะไม่ปล่อยให้ได้อิสระนักหรอก...แม้จะยอมคลอเคลียกลับมา ข้าก็จะจับมันล่ามโซ่เอาไว้ ให้มันลืมไปเลยว่ามีขาไว้ใช้หนี...”


จางกงกงไม่เคลื่อนไหวไปมากกว่านั้น แต่แรงที่เขาเอื้อมมือขวาขึ้นมาวางบนหลังมือนางที่กอดแขนเขาเอาไว้ มันทั้งหนักแน่น อบอุ่น...และชัดเจนว่านี่ไม่ใช่เพียงคำปลอบประโลม แต่เป็นสัญญาณว่าเจ้าของร่างนี้ไม่คิดจะปล่อยมืออีกแล้ว "เจ้าจะบอกข้าทุกอย่าง...งั้นก็บอกจริง ๆ" เสียงของเขาชิดริมใบหูและนุ่มนวลขึ้นในแบบที่คนข้างนอกคงไม่มีวันเคยได้ยิน


"บอกหมดว่าไปไหน เจอใคร ใครมองเจ้า...แม้กระทั่งใครทำให้เจ้ายิ้ม ใครทำให้หน้าเจ้าร้อนผ่าวไปถึงใจ" เขากระชับปลายนิ้วลงบนมือบางของนางแน่นขึ้น "เพราะจากนี้...เจ้าต้องเป็นของข้า...ทั้งกาย ทั้งใจ และแม้กระทั่งสายตา" แมวตัวนั้นหายใจแรงในอ้อมแขนเขา และคงไม่รู้เลยว่าสายโซ่ทองที่กำลังล่ามนางไว้อยู่ในตอนนี้ไม่มีทางหลุดออกอีกเลย


“โธ่…ขนาดนั้นก็เกินไปนะเจ้าคะ ถ้าข้าเจอหรงเล่อต้องบอกท่านด้วยหรือ?” หลินหยาหน้างออย่างเห็นได้ชัดตอนที่เขาบอกนางแบบนั้น จางกงกงยังไม่ทันได้ถอนหายใจด้วยซ้ำเมื่อหลินหยาพูดจบคำแรก นางหน้างอ ทำตาโต ริมฝีปากแดงน้อย ๆ เม้มแน่นอย่างไม่พอใจ แล้วก็แย้งเขาทันทีว่าที่ว่า ‘ใครทำให้เจ้ายิ้ม’ มันก็เกินไปหน่อย นางถึงขั้นเอ่ยชื่อ “แม่นางหรงเล่อ” ออกมาเป็นตัวอย่างจงใจยกให้ฟังชัด ๆ 


...จางกงกงมองจากมุมตาแล้วคลี่ยิ้มจาง ๆ ที่ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไรกันแน่ แต่ก่อนที่เขาจะได้โต้กลับ ร่างเล็ก ๆ นั้นก็ดันพูดต่อทันทีด้วยน้ำเสียงใสเจือเจ้าเล่ห์นิด ๆ แบบที่เขารู้ทันทีว่านางจะเริ่มวางกับดักอะไรสักอย่างแล้ว


“อ่ะ ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ ข้าต้องบอกท่าน ข้าจะไปที่หอประมูลสือฟั่งนะ!” นางประกาศเสียชัดเจน ดวงตากลมสดใสฉายแววคึกคักประหนึ่งลูกแมวอยากเล่นซนไม่รู้จักพอ “อีกไม่กี่วันข้างหน้าเขาจะเปิดประมูลม้า! ข้าได้ยินมาว่าเป็นม้าที่ถูกคัดออกจากการฝึกอาจจะมีปัญหาสุขภาพบ้าง หรือบางตัวก็ดุร้าย” เธอพูดแบบนั้นด้วยท่าทีร่าเริงจนคนฟังอดคิดไม่ได้ว่านางสนใจ “นิสัยดุร้าย” เป็นพิเศษ...แต่ก่อนเขาจะคิดอะไรเกินไป หญิงสาวก็บอกเหตุผลต่อด้วยน้ำเสียงหวานราวจะกล่อมให้เขายอมใจอ่อน


“ข้าอยากได้ม้าสักตัว…เวลาออกไปซื้อของนอกฉางอันจะได้กลับมาเร็ว ๆ…กลับมาเจอท่านเร็ว ๆ ไงเจ้าคะ…” คำพูดนั้นคล้ายจะชดเชยคำบอกเล่าก่อนหน้า พริบตาเดียวหลินหยาก็ส่งยิ้มหวานให้เขา...หวานพอจะละลายอารมณ์ใครได้ไม่เว้นแม้แต่คนจิตเบี้ยวอย่างเขา “ยังไงท่านก็ให้เงินข้ามาตั้งหลายร้อยตำลึงทอง…” น้ำเสียงของเธอแผ่วลงนิดหนึ่งก่อนขยิบตาข้างเดียว “แค่ไปซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ เองน่า ไม่ได้ขออนุญาตด้วยนะ ข้าบอกเฉย ๆ จะไปแน่นอนเจ้าค่ะ~”


จางกงกงนิ่งเงียบจนน่ากลัวอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีคำตอบกลับทันที…มีเพียงสายตาคมกริบดุจมีดที่ไล่มองตั้งแต่ปลายนิ้วนางไปจนถึงแววตาแสบซนของนาง เขารู้ดีว่า...ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ยิ่งตึงนางก็ยิ่งผลักและยิ่งเงียบ นางก็จะคิดว่าเขายอม แต่ในจังหวะที่อีกฝ่ายคิดว่าเขาจะปล่อยผ่าน เขากลับยื่นปลายนิ้วเรียวยาวขึ้นมาแตะปลายคางของนางเบา ๆ กดให้นางเงยหน้าสบตา


“เจ้าอยากไปที่ไหนก็ได้เสี่ยวหยา” เสียงของเขานุ่มนวลราวละอองควันร้อนจากน้ำชา แต่แฝงด้วยรังสีร้ายที่ไม่มีวันละลาย “แต่อย่าลืมกลับมาให้เร็วจริง ๆ อย่างที่พูด เพราะข้าจะรอเจ้า” เขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เสียจนปลายจมูกแทบชนกัน “และหากเจ้าเอาเงินข้าที่ให้ไป…ไปซื้อสัตว์ดุร้ายมาเลี้ยงแล้วมันทำเจ้าบาดเจ็บ...แม้เพียงแค่รอยขีดเดียว…”


“…ข้าจะจับมันเชือด แล้วหมักเนื้อทิ้งไว้ให้เจ้ากินจนหมดทั้งตัว เข้าใจไหม?” เขากระซิบถ้อยคำนั้นช้า ๆ ชัดเจน พร้อมกับกดริมฝีปากแตะหน้าผากขาวเนียนของนางเบา ๆ เป็นตราประทับไม่ใช่ด้วยความรักหากแต่เป็นการประกาศ ‘กรรมสิทธิ์’ อย่างแนบเนียนและเงียบงัน แม้เขาจะไม่ห้าม...แต่ต่อจากนี้ ทุกก้าวที่หลินหยาเดิน จะต้องมีเงาของเขาติดตามไปตลอดไม่ว่าจะด้วยสายตา หรือด้วยอำนาจที่นางมองไม่เห็นก็ตามที


หลินหยายิ้มบางอย่างคนกำลังจะทำความผิดซ้ำซ้อน กลิ่นหอมของดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิประจำตัวเธอลอยคลุ้งปนกับความออดอ้อนในน้ำเสียงและแววตา ก่อนร่างเล็กจะยกปลายเท้ายืดตัวขึ้นอย่างสุดกำลัง ท่ามกลางท่าทีมาดมั่นนั้นแฝงความขี้เล่นตามนิสัย จางกงกงยังคงยืนนิ่ง ร่างสูงในอาภรณ์สีหมึกขลับดูคล้ายเสาหินยามหลินหยาขยับเข้ามา ดวงตาของเขาทอดมองต่ำอย่างเงียบงันขณะเฝ้ารอว่านางจะทำอะไรอีกแต่ลึกในอกกลับร้อนวาบอย่างที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์สุราหรือเพราะฤทธิ์ของแม่นางน้อยตรงหน้า


ริมฝีปากบางของนางขยับไปจุ๊บแก้มซ้ายขวาและสุดท้าย…ปลายริมฝีปากของนางแตะเบา ๆ ลงบนปากของเขาเพียงเสี้ยววินาทีนุ่มละมุนอ่อนโยน ไม่เร่งร้อนแต่มากพอจะทำให้โลกในห้วงนั้นหยุดหมุน


จางกงกงไม่ได้ขยับไม่ได้หลบและไม่ได้ตอบโต้ทันที มีเพียงดวงตาดำลึกที่ทอแววเย็นชาลงชั่วครู่ราวกับจะข่มอารมณ์ที่พวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรงในอก เขารู้ว่านางไม่รู้หรอกว่าทำอะไรลงไปบ้างแต่มันได้ผลและที่สำคัญ...นางรู้ว่ามันได้ผล


หญิงสาวเบี่ยงตัวกลับมามองเขา ยิ้มอย่างคนที่กำลัง "เอาใจ" และ "เจ้าเล่ห์" พร้อมกันในคราวเดียว ท่าทีอ้อนเหมือนลูกแมวช่างประจบที่เอาหางลูบเจ้าของให้อภัย ยิ่งเห็นแววตาของเขาที่เริ่มหม่นลงแล้วค่อย ๆ ทอประกายวาวซ่อนกลิ่นพิษ หลินหยากลับยิ่งทำหน้าทะเล้นเข้าใส่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกระลอก จางกงกงคลี่ยิ้มบาง...รอยยิ้มที่มิใช่ของคนดี ไม่ใช่ของคนอ่อนโยนแต่เป็นรอยยิ้มของคนที่ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว


ใช่…ชัยชนะนั้นหอมหวานและแม้หลินหยาจะดูเหมือนเป็นฝ่ายควบคุมบรรยากาศด้วยอ้อมกอด รอยจูบ และคำพูดหวานแต่นางกลับไม่รู้เลยว่า…นั่นแหละคือสิ่งที่เขาวางไว้ทั้งหมด


หากจะหลอมแมวให้เป็นแมวเชื่องก็ต้องให้นางคิดว่าเจ้าเป็นผู้เลือกเดินเข้ามากอดต่างหาก เขาขยับปลายนิ้ว ลูบเรือนผมนางเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วชิดข้างหู “อืม...เจ้ารู้วิธีทำให้ข้าหายโกรธได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ เสี่ยวหยา...” และถ้าหากในโลกนี้มีสิ่งใดที่เขายินดีจะให้มันอยู่ใกล้เขาเสมอนั่นคงไม่ใช่ทองคำ ไม่ใช่บัลลังก์ ไม่ใช่แม้แต่ชีวิต...แต่มันคือเจ้าสัตว์น้อยขนฟูนี่ต่างหาก ที่ทำให้เขาทั้งเจ็บใจทั้งเจ็บปวดและติดใจจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาง้อค้าบบบบ มาโดนดุด้วย 555 เขิน (ดิ้นไปมา)


รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 87116 ไบต์และได้รับ 64 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-22 20:06
โพสต์ 87,116 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-22 20:06
โพสต์ 87,116 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-22 20:06
โพสต์ 87,116 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-22 20:06
โพสต์ 87,116 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-22 20:06
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-23 19:52:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 23 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


ภายในห้องชั้นบนสุดของหอว่านหงเหริน กลิ่นหอมอ่อนของเครื่องหอมตระกูลตานเซียงจางแตะปลายจมูก กลบกลิ่นหมึกและกระดาษที่แผ่คลุมพื้นที่โดยรอบได้เพียงน้อยนิด บนโต๊ะหินอ่อนทรงยาวเอกสารม้วนข่าวนับสิบวางเรียงซ้อนกันดั่งภูเขาย่อม ๆ โดยมีร่างสูงในอาภรณ์สีหมึกดำขลับเป็นผู้นั่งก้มหน้าไล่นิ้วเรียวบนแผ่นบัญชีอย่างเงียบงัน แววตานิ่งเฉียบเย็นเยียบจนน่าขนลุก ประตูกระจกไม้ไผ่บานใหญ่ที่เปิดออกโดยไม่มีเสียงเคาะ บ่งชัดว่านางผู้นั้นไม่คิดจะรออนุญาต มือหนึ่งกุมประคบถุงร้อนเล็กไว้ตรงหน้าท้อง อีกมือประคองหมวกไม้ไผ่ให้เอียงพอจะมองเห็นทางเดิน พลางเดินทะลุเข้ามาดั่งเป็นห้องของตนเอง


หลินหยายังไม่ได้ถอดหมวกด้วยซ้ำเมื่อเสียงขุ่นเล็กน้อยของนางดังขึ้น "ช่วงนี้ข้าไม่ไปเจอท่านที่ศาลาจื่อเถิงฮวานะเจ้าคะ ข้าไม่สบายตัวเอาเสียเลย"


นางก้มหน้าเบา ๆ ผมยาวปล่อยสยายไม่ถักมวยดังเคย ปลายเส้นสั่นน้อย ๆ ตามแรงลมยามเซินที่พัดลอดหน้าต่างไม้ฉลุเข้ามา ร่างบอบบางดูอ่อนแรงกว่าทุกวัน ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนเคลือบเงาคล้ายจะง่วงหรือไม่ก็หงุดหงิดจากอาการป่วยสตรีเพศที่ไม่อาจหลีกพ้น


จางกงกงเงยหน้าเพียงเล็กน้อย ดวงตาคมลึกจ้องนางแนบแน่นราวกับจะอ่านความเคลื่อนไหวของทุกอณู แต่ไร้คำพูด เขาแค่ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินตรงเข้ามาหาไม่เอ่ยคำใด ไม่มีแม้แต่การเหน็บแนมหรือเย้าแหย่ที่เขามักชอบทำในยามนางเข้ามาไม่บอกกล่าว เขามาหยุดตรงหน้า แล้วเอื้อมมือดึงหมวกไม้ไผ่ของนางออกอย่างเบามือ เผยให้เห็นใบหน้าเนียนใสที่ซีดลงเล็กน้อย สีปากจืดจางกว่าปกติชัดเจน เขาขมวดคิ้วทันที


"ทำไมไม่อยู่ห้องพักของเจ้าเสี่ยวหยา?" น้ำเสียงของเขาฟังดูห้วนแต่ไม่แข็งกร้าวนัก "มาทำไมถึงนี่?" 


หลินหยาพ่นลมหายใจเบา ๆ ดวงตากลอกไปมาเหมือนไม่อยากเถียง แต่อยากบอกให้รู้ว่า…ก็แค่อยากมา "ข้าหงุดหงิดอยู่ห้องคนเดียว ข้าเบื่อ ไม่อยากนอนกลิ้งทั้งวัน จะมาหาไม่ได้หรือไร…" คำพูดเหมือนเด็กเอาแต่ใจแต่สายตากลับอ่อนลงจนน่าสงสาร จางกงกงมองสบตานางนิ่งอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอื้อมมือรวบข้อมือนางเบา ๆ พาเดินไปยังตั่งไม้กลึงขนาดใหญ่กลางห้อง


"นั่งลง แล้วก็อยู่นิ่ง ๆ" หลินหยาไม่ขัดขืน นางทิ้งตัวลงนั่งแบบไม่รักษาท่วงท่า ศีรษะพิงเบาะแบบแมวขี้เกียจ มือกุมถุงร้อนแนบหน้าท้องแล้วหลับตาลงครู่หนึ่งไม่ใช่เพราะอาการหนัก แต่เพราะความเหนื่อยใจและเหนื่อยกายบรรจบพร้อมกัน


จางกงกงนั่งลงข้าง ๆ เงียบ ๆ เขาไม่พูด ไม่ถาม ไม่เย้า แค่ปล่อยให้มือข้างหนึ่งของเขาขยับไปลูบเรือนผมนางช้า ๆ อย่างอ่อนโยนผิดวิสัย "พักก่อน ข้าจะอยู่ตรงนี้" ไม่ใช่เพราะเป็นห่วง…ไม่ใช่เลย แต่เพราะเขาอยากอยู่ในสายตา อยากให้รู้ว่านางไม่จำเป็นต้องวิ่งไปวิ่งมาเพื่อให้เขาเห็น เพียงแค่มาหาเขา…มาหาโดยไม่บอกเหตุผล แค่นั้นก็เพียงพอให้หัวใจของเขาอ่อนยวบลงเกินกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว


แต่ทว่าอีกไม่กี่นาทีต่อมาจางกงกงชะงักเล็กน้อยเมื่อร่างอุ่นข้างกายค่อย ๆ ขยับเบียดเข้ามาแนบไหล่เขาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว น้ำหนักศีรษะที่แนบลงมาเบา ๆ พร้อมลมหายใจอุ่นรินบริเวณต้นคอ ทำให้หัวใจในอกซ้ายเต้นแผ่วอย่างประหลาด ไม่ใช่เพราะเขาไม่คุ้นกับการถูกแตะต้อง หากแต่เพราะเป็นนาง...หลินหยา


“ข้าจะมาหาท่านที่นี่ทุกวันนะเจ้าคะ” เสียงนุ่มของหญิงสาวลอดออกมาจากผ้าผืนบางที่คลุมไหล่เขาอยู่ นางพูดเรียบ ๆ ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในโลก ดวงหน้าแนบไหล่ของเขา เงยน้อย ๆ แล้วกระซิบต่อด้วยน้ำเสียงซื่อ ๆ “แต่ข้าไม่ทำงานหรอกท่านสบายใจได้…ข้าแค่อยากเห็นหน้าท่านเผื่ออารมณ์จะดีขึ้นบ้าง…สักหน่อย หากหายคิดถึงท่าน” จางกงกงไม่ตอบ เขาแค่ยกมือขึ้นแล้ววางมือลงบนศีรษะของนางเบา ๆ ใช้ปลายนิ้วลูบเรือนผมที่หล่นระต้นคออย่างเงียบงัน หัวใจภายในอกเหมือนกำลังปะทุเบา ๆ คล้ายอารมณ์ของผู้ควบคุมไฟที่ทำเป็นไม่รู้สึก…แต่จริง ๆ กำลังเพลินกับไอร้อนของเปลวเพลิงนั้น


นางไม่รู้เลย ว่าคำพูดของนางทุกคำมันมีอานุภาพเพียงใดกับผู้ชายอย่างเขายิ่งนัก ไม่ใช่แค่ความคิดถึง…ไม่ใช่แค่อารมณ์ดี แต่เป็นคำประกาศกร้าวในคราบคำอ้อนว่า 'ข้าจะอยู่ในสายตาท่านทุกวัน' และมัน…คือพันธะอ่อนหวานที่เขาอยากได้ยินที่สุด


ริมฝีปากบางเฉียบของชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากเบา ๆ ดวงตาคู่นั้นวาวโรจน์คล้ายเปลวเทียนในเงามืด มือที่ลูบผมค่อย ๆ เลื่อนลงมาลูบต้นคออีกคนอย่างจงใจ เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหูนางอย่างแผ่วเบา “เสี่ยวหยา…ถ้ามา…ก็อยู่ให้นานหน่อยอย่ารีบไปไหน” คำพูดดูเรียบง่าย หากแต่แฝงเร้นน้ำเสียงของผู้ควบคุมอารมณ์ไว้แนบแน่น เขาไม่ห้าม ไม่แกล้ง ไม่รั้ง แต่กลับใช้ความนิ่งปกคลุมเพื่อกลืนกินนางให้ชินกับการอยู่ใกล้เหมือนดั่งแมวป่าถูกเลี้ยงจนลืมหนทางสู่ป่าและเขาก็เลี้ยงนางอย่างเงียบ ๆ มาตลอด...แม้นางจะไม่รู้ตัว




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาอ้อนแฟน(?)


รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 25370 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-23 19:52
โพสต์ 25,370 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-23 19:52
โพสต์ 25,370 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-23 19:52
โพสต์ 25,370 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +9 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-23 19:52
โพสต์ 25,370 ไบต์และได้รับ +20 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-23 19:52
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-24 22:14:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 24 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


เสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่ขึ้นบันไดชั้นบนสุดอย่างคุ้นเคยของหอว่านหงเหรินยังไม่ทันถึงหน้าประตู ห้องพักด้านในซึ่งสงวนไว้สำหรับบุคคลสำคัญก็ยังคงคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของธูปไม้หอมกฤษณาชั้นดี กับกลิ่นสุราระดับหรูที่รินในถ้วยหยกตัดขอบทอง… และใช่ ข้างกายบุรุษที่นั่งเหยียดยาวนั้นมีนางโลมคนหนึ่งนั่งเคียง หญิงงามในชุดผ้าโปร่งสีน้ำผึ้งที่รัดรอบทรวงอกจนล้นนูนกำลังรินสุราให้เขาอย่างงดงามเรียบร้อยตามแบบฉบับหอคณิกา ใบหน้าแต่งแต้มด้วยแป้งสีอ่อนให้ดูนวลเนียนยิ่งกว่าไข่มุก มือเรียวค่อย ๆ ประคองถ้วยสุราแล้วยื่นให้บุรุษผู้ครองตำแหน่งจงฉางชื่อในเงาหลังม่านของวังหลัง


…แต่เพียงครู่เดียว


ประตูไม้เลื่อนเปิดออกอย่างแรงจนสตรีภายในห้องที่อยู่ก่อนหน้าแปลกใจ เจ้าของใบหน้าหวานที่โผล่เข้ามาใต้หมวกไม้ไผ่นั้นคือหลินหยาผู้เคยเดินเข้าห้องนี้โดยไม่เคาะ ครั้งนี้นางก็ทำเช่นเดิมหากแต่มีสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไปชัดเจน…


“นี้มันอะไรกันเนี้ย…” น้ำเสียงห้วนปนหงุดหงิดเอ่ยขึ้น


สายตาสีน้ำตาลอ่อนวาววับด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองจ้องมองนางโลมอย่างไม่เก็บอาการ ก่อนจะกวาดตาไปยังจางกงกงในคราบท่านชายห่าวหมิงที่นั่งอยู่อย่างสงบนิ่งบนตั่งยาว สวมอาภรณ์สีเทาเข้ม ปลายผมถูกรวบหลวม ๆ ตำแหน่งประจำบนโต๊ะยังคงมีเอกสารเรียงราย แต่ถ้วยสุรากลับกลายเป็นภาพที่นางรับไม่ได้แม้แต่น้อย นางรู้อยู่เต็มอกว่าจางกงกงหาใช่คนเจ้าชู้ หรือติดผู้หญิง เข้าไม่ได้มาที่นี้เพื่อระเริงหอคณิกาแต่ก็ใช่ว่านางจะไม่ขุ่นใจ โดยเฉพาะในยามที่ร่างกายของนางปั่นป่วน อารมณ์เปราะบางเป็นพิเศษเพราะพิษของเลือดประจำเดือน ความขี้หึงที่มักถูกกลบเกลื่อนด้วยเหตุผลจึงปะทุขึ้นมาเป็นชั้น ๆ บนใบหน้าใสที่คราวนี้ไม่ยิ้มหวานให้เขาเหมือนเคย


"ข้ากลับก่อนดีกว่า..." น้ำเสียงประชดเล็กน้อยหลุดออกมา พลางหันตัวหมายจะกลับออกไป แต่ยังไม่ทันก้าวครบสองก้าวเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วเหมือนนุ่มนวล แต่กลับแฝงไปด้วยความเย็นเฉียบก็ดังขึ้น 


“เจ้าหึงหรือ?” แค่สามพยางค์นั้นเอง…


นางหยุดเท้าโดยอัตโนมัติ ร่างของหลินหยาชะงักราวกับถูกตบเบา ๆ ด้วยคำพูดที่กระทบเข้าจุดใจตรง ๆ นางหันกลับมาช้า ๆ หน้างอยิ่งกว่าเดิม แต่คราวนี้มีความรู้สึกกระดากแฝงอยู่ด้วย “ข้าแค่ไม่สบายตัว…อารมณ์ไม่ดี ท่านไม่ต้องใส่ใจหรอกเจ้าค่ะ” ปากบอกอย่างนั้นแต่น้ำเสียงนางกลับบึ้งตึงยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก


จางกงกงเหลือบมองนางโลมที่ยังถือถ้วยสุราอยู่ มือเรียวยกขึ้นรับถ้วยแล้ววางลงบนโต๊ะโดยไม่แม้แต่จะจิบ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่มีแรงกดดันที่รู้กันในหมู่ผู้คน “ออกไป” นางโลมค้อมหัวอย่างรู้หน้าที่แล้วล่าถอยไปเงียบ ๆ เหลือไว้เพียงบรรยากาศระหว่างคนสองคน และกลิ่นกฤษณาที่คละคลุ้งในห้อง "เข้ามาสิเสี่ยวหยา เจ้าเองก็มาหาแล้วอย่าทำเหมือนจะโกรธอย่างงั้นสิ" เขาว่าพลางพิงหลังกับพนักตั่ง ส่งสายตามองนางราวกับจะบอกว่าหากนางโกรธ ก็ให้โกรธมาบนตักเขานี่แหละ ในใจเขากลับนึกยิ้ม ไม่ได้เพราะคำพูดของนาง หรือท่าทีหึงหวงอย่างไร้เหตุผลของหลินหยา แต่เพราะสิ่งนี้แหละ…คือหลักฐานว่าแม่นางหนานคนดื้อผู้นั้นเริ่มจะ เป็นของเขา ยิ่งกว่าทุกวันเข้าไปแล้ว


หลินหยามองสบดวงตาเขาแวบหนึ่ง ใบหน้าหวานที่เคยยิ้มรับอ้อมแขนเขาเสมอเวลามาหา คราวนี้กลับเย็นชากว่าทุกครา เสียงนุ่มเอ่ยออกมาทั้งที่ตายังฉ่ำด้วยอารมณ์ที่ควบคุมไม่อยู่ “ข้าว่าวันนี้… ข้าไปที่อื่นดีกว่าเจ้าค่ะ” นางหันใบหน้าเล็กหลบสายตาเขาเล็กน้อย มือเลื่อนจับสายหมวกไม้ไผ่เหมือนจะดึงลงปิดบังสีหน้าที่บึ้งตึงไม่อาจปิดบังได้มากพอ เสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังมาพร้อมถ้อยคำที่ตามมา “ข้าไม่อยากงี่เง่าใส่ท่านหรอก… ข้ารู้ว่าท่านเหนื่อย เรื่องงานก็เยอะแล้วใช่ไหมล่ะเจ้าคะ ยังต้องมาเจออารมณ์ข้าอีก มันคงน่ารำคาญ…” น้ำเสียงของนางแม้จะพยายามเรียบเฉย แต่กลับสั่นสะท้านเล็กน้อยในตอนท้าย เหมือนแมวขนฟูน้อย ๆ ที่อยากอ้อน แต่เพราะโดนขัดใจเลยกระฟัดกระเฟียดกลับไปหลบมุมแทน ร่างเล็กขยับจะหมุนตัวกลับ แต่ยังยืนอยู่นิ่ง ๆ คล้ายรออะไรบางอย่าง… บางอย่างที่อาจมาจากปากของเขา หรือมือของเขา หรือแค่ว่า…แค่คำเดียวก็ได้ ที่จะรั้งเธอไว้


ทว่าทันทีที่คำพูดนั้นของหลินหยาหลุดจากริมฝีปาก ราวกับทุกอณูอากาศในห้องพลันชะงัก หยุดนิ่งเพียงเสี้ยวลมหายใจ สายตาของจางกงกงที่เคยทอดเฉยพลันเฉียบคมขึ้นในพริบตา เขาค่อย ๆ วางถ้วยสุราราคาแพงในมือลงบนโต๊ะอย่างเงียบงัน ไม่มีเสียงกระทบ ไม่มีเสียงขัดขืน มีเพียงน้ำเสียงที่เรียบนิ่งแต่ทรงอำนาจเจือรอยตำหนิที่ค่อย ๆ เอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้า


“เจ้ากำลังประชดข้าหรือเสี่ยวหยา?” เพียงประโยคนั้น หลินหยาก็ชะงักปลายเท้า นางเม้มปาก ไม่ตอบ ไม่กล้าหันหลังกลับมามองเขา ความเงียบในห้องขยายตัวออก เหมือนขังทุกสรรพเสียงไว้ใต้ฝ่ามือของชายผู้มีอำนาจเหนือความรู้สึกของนางทุกครั้ง “แค่เห็นข้าอยู่กับสตรีคนอื่น ก็คิดจะผลุนผลันเดินหนีราวเด็กเอาแต่ใจแล้วหรือ?” เขากล่าวต่ออย่างไม่เร่งรีบ น้ำเสียงไม่สูงไม่ตํ่า แต่กดทับอารมณ์ให้เหมือนถูกตรึงไว้ใต้ฝ่ามือของเขา ไม่มีการลุกขึ้น หรือคำอธิบาย ไม่มีคำแก้ตัวจากเขาในเรื่องนางโลมเพราะเขาไม่คิดว่าต้องอธิบายอะไรต่อหญิงสาวคนใดในโลกนี้ ยกเว้นนางคนเดียว


แต่เขากลับไม่พูดคำว่าไม่หรือรั้ง เพราะสำหรับเขาการที่นางยังยืนอยู่ตรงนั้น ยังไม่หมุนหลังเดินจากไปนั่นคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด "...หรือเจ้ากำลังจะบอกว่าการที่ข้าทุ่มเงินทองให้เป็นร้อยเป็นพันตำลึง ดูแลทุกอย่าง คุ้มครองเจ้า ให้เจ้าเลือกทางเดินชีวิตเอง ไม่ขังเจ้าไว้... มันน้อยไป?"  ประโยคสุดท้ายฟังราวกับคำต่อว่า หากแต่หางเสียงกลับเงียบงันเจือเศร้าลึก ๆ อยู่ภายใน ความอ่อนล้าที่ไม่เคยเผยออกมาต่อใคร…เผยออกเล็กน้อยให้หลินหยารับรู้โดยไม่จำเป็นต้องเห็นใบหน้า ทำไมเขาถึงต้องมาทวงบุญคุณตอนนี้…


“เจ้าจะไปไหนก็ไป” เขาพูดช้า ๆ พร้อมเหยียดริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้แตะดวงตา “แต่ถ้ากลับมา ก็อย่าทำเป็นงอนเหมือนเด็กอีกข้าขี้เกียจโอ๋” คำพูดร้าย ๆ ที่แฝงความห่วงใยแบบคนป่วยทางใจ และคิดว่ามันคือคำพูดหยอกเล่นที่รุนแรง เขาไม่รู้จักวิธีรักใครแบบคนปกติ ไม่รู้วิธีง้อ ไม่รู้แม้แต่จะอธิบายความรู้สึกตัวเองอย่างไร


แต่คำนั้นมันเหมือนคำกรีดแทงหลินหยาอย่างจัง..


หลินหยาพยายามกลั้นน้ำตาไว้ ฝืนให้ขาตัวเองขยับ เดินต่อไปอย่างเข้มแข็ง แม้น้ำตาจะไหลอาบแก้มโดยไม่ทันรู้ตัวเพียงเพราะคำสั้น ๆ เธอแค่ไม่อยากสร้างปัญหา ไม่อยากให้เขาต้องมารับมือกับอารมณ์ของเธอในช่วงที่ร่างกายปั่นป่วนไปหมด แต่เขากลับพูดคำนั้น... ‘จะไปไหนก็ไป’ อารมณ์ของเธอไม่คงที่จากประจำเดือน ทำไมเขาโหดร้ายกับนางนัก… 


ทันทีที่แผ่นหลังบอบบางนั้นเริ่มเคลื่อนไหว ราวกับตั้งใจจะก้าวพ้นธรณีประตูออกจากห้องไป ดวงตาของจางกงกงซึ่งเงียบงันอย่างคมกริบพลันกระตุกวูบเล็กน้อย สีหน้าไม่เปลี่ยน ทว่าปลายนิ้วที่เคยวางนิ่งบนพนักเก้าอี้กลับกระชับแน่นราวกับพยายามควบคุมตนเองไม่ให้ขยับ เขาเห็นไหล่นางสั่นน้อย ๆ แม้จะไม่มีเสียงสะอื้น ไม่มีถ้อยคำร่ำไห้ ทว่าเขารู้… รู้ดีเกินไปว่านางกำลังเจ็บ และเจ็บเพราะเขา


แม้จะเป็นเพียงคำพูดหนึ่ง แต่สำหรับหลินหยา มันคือการผลักเธอออกอย่างเลือดเย็น


จางกงกงไม่ใช่คนที่ต้องใช้เสียงตะคอกใคร... แต่เขาเลือดเย็นพอที่จะใช้คำที่คมยิ่งกว่าคมดาบ และหลินหยาก็เป็นคนเดียวที่เขาเผลอทำไปเพราะคิดว่านางจะยังคงอยู่ เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ กำลังจะพ้นกรอบบานประตู จางกงกงยังไม่ขยับ แววตาเขาเจือรอยขุ่นมัว ผสมอึดอัด ปลายนิ้วข้างหนึ่งกระตุกเบา ๆ บนที่วางแขน จนกระทั่งเสียงรองเท้าของนางขยับถึงธรณีประตู จังหวะนั้นเอง...


"อย่าร้องสิ" น้ำเสียงของเขาเอ่ยขึ้นเบาราวกับลมพัดผ่าน แต่คมชัดจนแทรกทะลุอารมณ์อ่อนไหวของนางได้อย่างง่ายดาย "เจ้าจะร้องไห้แค่เพราะคำพูดของข้าหรือเสี่ยวหยา เช่นนั้นข้าก็ควรตัดลิ้นตัวเองทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอดใช่หรือไม่?" จางกงกงลุกขึ้นอย่างเงียบงัน ก้าวไปช้า ๆ เขาไม่เอ่ยขอโทษ เพราะในโลกของเขา ‘คำขอโทษ’ ไม่มีความหมายใดเลยเท่ากับ ‘การลงมือทำ’


เขาขยับมายืนด้านหลังนางโดยไม่แตะต้องสักนิด แต่เพียงแค่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เสียงทุ้มนั้นเอ่ยช้า ๆ ราวกับจะกล่อมรอยร้าวในใจ "เจ้ามีสิทธิ์จะอารมณ์ไม่ดี มีสิทธิ์จะงี่เง่าใส่ข้า แต่ห้ามเดินหนี ห้ามร้องไห้คนเดียว เข้าใจหรือไม่เสี่ยวหยา หากคิดจะหลบหน้า... ข้าจะไปลากเจ้ากลับมาด้วยมือของข้าเอง" แม้เป็นถ้อยคำเอาแต่ใจและโหดร้ายเหมือนเดิม แต่ถ้าฟังให้ลึก... มันไม่เคยเปลี่ยนใจความจริงเลยว่าเขาไม่อาจทนเห็นนางจากไปได้อีก ไม่นึกว่าคำพูดนั้นจะสร้างความอ่อนไหวให้นางได้ถึงเพียงนี้


สงสัยเขาจะประมาทอาการอารมณ์แปรปรวนของหลินหยาผิดไปมากนัก 


นิ้วเรียวยาวของเขาแตะลงเบา ๆ บนรอยน้ำตาที่อาบแก้ม… ทว่าคราวนี้ หลินหยาเบือนหน้าหนี ใบหน้านวลนั้นเปื้อนน้ำตาไม่หยุด มือบางที่กอดอกแน่นแสดงชัดว่าเธอไม่ได้ร้องไห้เพียงเพราะอ่อนไหวแต่เพราะเจ็บจริง ๆ เจ็บกับคำพูดที่ไร้เยื่อใยและแววตาที่เย็นชาเกินทานทนในยามที่เธออ่อนแอที่สุด


“ท่านไม่เข้าใจข้าเลย... ไม่แม้แต่จะพยายามเข้าใจ...” เสียงของหลินหยาแหบพร่าจากการกลั้นสะอื้นนานเกินไป นางพูดพลางสะอื้นพลาง ยกมือปาดน้ำตาเอง แต่ยิ่งเช็ดมันก็ยิ่งไหล น้ำตาแห่งความเสียใจที่ผสานเข้ากับความหงุดหงิดจากการเป็นประจำเดือนพานให้อารมณ์เธอวุ่นวายไร้ที่ยึดเหนี่ยว “ข้าไม่อยากสร้างปัญหาให้ท่าน ข้าถึงเดินออกมาเงียบ ๆ แต่ท่านกลับพูด... ว่าจะไปไหนก็ไปเนี้ยนะ” นางยืดอกเถียงอย่างเจ็บช้ำเหมือนแมวป่าที่พลัดหลง กลอกตาเต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน นางทั้งโกรธ ทั้งรัก ทั้งเจ็บ และทั้งอยากให้เขารั้งไว้


จางกงกงมองใบหน้างามนั้นอย่างนิ่งงัน สองตาสั่นวูบ แต่ไม่กล่าวคำขอโทษ เขาไม่ใช่คนที่ใช้คำพูดอ่อนหวาน และยิ่งไม่ใช่คนที่จะแต่งกลอนปลอบโยนใครแต่สิ่งที่เขาทำ กลับตรงข้ามกับคำพูดของตนทุกประการ มือข้างหนึ่งที่เย็นเยียบเพราะคุ้นกับความตายค่อย ๆ เอื้อมมาประคองแก้มนุ่มนั้น ดึงใบหน้านางให้หันกลับมาอย่างอ่อนโยนแต่แน่วแน่… จากนั้น เขาก็ใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตานางช้า ๆ อย่างคนที่ไม่รู้จักการโอ๋ แต่พยายามเรียนรู้


“เสี่ยวหยา…เจ้าพูดถูก” เขาเอ่ยเสียงเบา แทบจะไม่หลุดจากริมฝีปากเสียด้วยซ้ำ “ข้าไม่เข้าใจเจ้า... ข้าไม่เคยเข้าใจใครเลย นอกจากฝ่าบาท” มืออีกข้างที่ว่างอยู่ลูบกลุ่มผมของนางเบา ๆ ซุกมือเข้ากับท้ายทอยราวกับจะดึงหลินหยาเข้ามาในโลกที่ทั้งเย็นเยือกและว่างเปล่าของตนอย่างช้า ๆ 


“แต่เจ้ากำลังทำให้ข้าต้องเปลี่ยน”


คำพูดนั้นแฝงความรุนแรงน้อยกว่าเดิมมากนัก แต่กลับสั่นสะเทือนในอกมากกว่าเสียงตวาดใด ๆ ที่เขาเคยใช้กับใคร “เจ้าทำให้ข้าอยากเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าเสี่ยวหยา…แม้แต่ช่วงวันที่เจ้าร้องไห้เพราะเป็นประจำเดือน ข้าก็ต้องจดจำเอาไว้ใช่หรือไม่?” ปลายนิ้วเขาหยุดลงใต้ตาของเธอ ฝ่ามือยังแนบแก้มนวลแน่นอย่างอ่อนโยนแต่เป็นเจ้าข้าวเจ้าของเกินบรรยาย


“ข้าไม่มีความอ่อนโยนพอจะประคองใครให้สบายใจ แต่หากเจ้าอนุญาต... ข้าจะหัดเป็นปีศาจที่รู้จักวิธีวางดอกไม้บนหัวแมวซุกซนที่ชอบร้องไห้" เขาหมายถึงนางแมวซุกซนตัวนี้... ที่กำลังร้องไห้เพราะเขา


จางกงกงยื่นหน้ามาใกล้ ชิดมากเสียจนได้กลิ่นหอมจาง ๆ จากผิวของหลินหยา “ถ้ายังร้องอีก ข้าจะลงโทษเจ้าเสียตรงนี้…” น้ำเสียงของเขาอ่อน แต่ดวงตาไม่ล้อเล่นเลยสักนิด “ไม่ใช่เพราะเจ้าผิด... แต่เพราะข้าทนเห็นน้ำตาเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้” และเขาจะไม่ยอมให้ใครได้เห็นภาพแบบนี้ของนางอีกแม้แต่วินาทีเดียว เขาเฝ้ามองนางอยู่อย่างนั้น… ในวินาทีที่น้ำตาของหลินหยายังไหลรินไม่หยุด แม้เขาจะพูดดีขนาดไหน ปลอบแล้วอย่างไร มือเขาเช็ดแล้วอย่างไร แมวยังร้องเหมือนเดิม ร้องเพราะน้อยใจ ร้องเพราะอ่อนไหว ร้องเพราะรักเขามากจนเจ็บ


คิ้วเรียวของจางกงกงกระตุกเล็กน้อย… ไม่ใช่เพราะหงุดหงิดนาง แต่หงุดหงิดตนเองที่ไม่อาจควบคุมแม้แต่คนเดียวในโลกใบนี้ที่เขายอมให้เข้ามาใกล้ได้ขนาดนี้ "เจ้ารู้ใช่หรือไม่เสี่ยวหยา..." เสียงของเขาขาดห้วงแต่คมกริบ ลมหายใจที่รินรดอยู่เหนือหน้าผากหลินหยาร้อนผ่าวราวกับกลิ่นจันทน์ที่ติดคอ


"ว่าข้าไม่เคยใจดีได้นานเลย"


คำพูดนั้นสิ้นสุดลงพร้อมฝ่ามือที่เคลื่อนตัวมาประคองท้ายทอยนาง แล้วออกแรงดึงนางเข้าแนบอกในจังหวะที่รวดเร็วเกินกว่าที่นางจะตั้งตัวได้ จางกงกงกอดแน่นจนหลินหยาต้องเงยหน้าขึ้นตามแรง บังคับให้เธอมองเขา…มองลึกลงในดวงตาดำสนิทที่วูบไหวด้วยเงาร้อนซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบาย "ในเมื่อเจ้าร้องไม่หยุด เช่นนั้นก็ควรถูกลงโทษเสียบ้าง" เขาโน้มตัวลงหา หลินหยายังสะอื้นไม่หยุด นางรู้ว่าเขาไม่ชอบน้ำตา ไม่ชอบเสียงร้องไห้ของนาง... แต่แทนที่เขาจะผลักไส กลับยิ่งดึงนางเข้าหา ยิ่งกระชับอ้อมแขน แผ่นอกของเขาแนบแน่นจนเธอแทบหายใจไม่ออก


แล้วริมฝีปากนั้นก็แตะลงที่เปลือกตาของนาง...หนึ่งครั้ง... สองครั้ง... สามครั้ง...


"ทุกหยดน้ำตา... ข้าจะลบมันออกด้วยปากข้าเอง"


เสียงกระซิบของจางกงกงเต็มไปด้วยความเงียบงันที่อันตราย เขาลูบหลังนางด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอแต่ลึกซึ้ง คล้ายกับจะกล่อม คล้ายกับจะสะกด คล้ายกับจะเปลี่ยนความอ่อนไหวให้กลายเป็นเพลิงที่เขาควบคุมได้ ก่อนที่เขาจะกดจูบลงที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มนั้น... คราวนี้ไม่ใช่จูบอ่อนโยน หากแต่เป็นจูบลงทัณฑ์... ราวกับจะตอกย้ำให้นางจดจำ ว่าอย่าร้องไห้ให้เขาเห็นอีก... หรืออย่างน้อยถ้าจะร้องก็จงร้องให้เขาคนเดียวเห็น


“เจ้าอย่าหมายไปร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นบ่อย ๆ ล่ะเสี่ยวหยา” เขากระซิบริมปากนางในจังหวะที่ผละห่างชั่วครู่หนึ่ง ใบหน้าเย็นเยือกที่ซ่อนซากของอดีตอันบิดเบี้ยวอยู่ภายใต้ดวงตาคมกริบคู่นั้น ช่างเหมือนเสือที่ซ่อนเล็บไว้ในผ้ากำมะหยี่ "และหากเจ้าคิดจะขัดขืนคำสั่ง..." เขาเอียงหน้าช้า ๆ กระซิบชิดใบหูนางเสียงต่ำราวกับงู “ข้าก็จะลงโทษเจ้า… ซ้ำแล้วซ้ำเล่า… จนกว่าเจ้าจะเลิกร้องและยอมจำว่าร่างกายนี้จิตใจนี้ เป็นของข้าแต่ผู้เดียว” จางกงกงไม่เคยใจดีนานนักและหลินหยาเองก็รู้ดี ทว่าในความโหดร้ายอันเร้นลึกของเขา นางกลับถูกโอบรัดไว้แน่นขึ้นทุกที จนมิอาจหนีไปไหนได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะหยุดร้องหรือไม่…


...หัวใจของหลินหยาก็เป็นของเขาไปเสียแล้ว


แต่ทว่ายิ่งแสดงความบิดเบียวให้หลินหยาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นคือหลินหยายังคงมีน้ำตาไหล แต่ตอนนี้เธอหน้างอคอหักใส่เขาแทนเสียอย่างงั้น จางกงกงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง... เมื่อเห็นแมวของเขายังคงร้องไห้ไม่หยุด ทั้งปากเบะ ทั้งน้ำตาร่วงไม่ขาดสายแล้วไหนจะเสียงสูดฟืดฟาดเพราะน้ำมูกตันอีก ฟังดูแล้วมันช่างน่าเวทนาแต่น่าหมั่นไส้ไปในตัว… ราวกับแมวเปียกฝนที่หัดเดินหัดอ้อน แต่ดันอ้อนผิดจังหวะ


“เจ้าจะให้ข้าทำยังไงกับเจ้าอีกหืม?” เสียงถอนหายใจนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยใจ…แต่ก็ไม่มีวี่แววจะปล่อยนางให้ร้องจนพอใจ มือยาวเรียวที่ปกติถนัดใช้พัดหรือกระบี่สังหาร หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนบางลวดลายงามสีเข้มที่เขาชอบพกติดตัวขึ้นมา แล้วแทบไม่ต้องพูดอะไร กดแนบจมูกนางตรง ๆ พลางออกคำสั่งนิ่ง ๆ ว่า


“สั่งออกมา”


หลินหยาขมวดคิ้วทันทีพยายามพูดแม้จะยากก็ตาม “ม่ายยย” เสียงของนางขึ้นจมูกและแง่งใส่เขาด้วยน้ำเสียงอุดตันเหมือนลูกแมวที่เพิ่งเรียนรู้วิธีพ่นลม


“เจ้าจะให้ข้าใช้พัดเป่าจมูกเจ้าแทนหรือ?” น้ำเสียงเย้าของจางกงกงเอ่ยออกมาเรียบ ๆ ก่อนจะกดผ้าแน่นขึ้นอีกหน่อย “สั่งซะ ฟืดเดียว เดี๋ยวก็หาย”


“อื๊อออ...” หลินหยาอิดออดอย่างน่าหยิก สุดท้ายก็ยอมพ่นออกมาเสียงดังฟื้ดดดดดดจนผ้าแทบปลิว แล้วก็ขยับหน้าหนีอาย ๆ ตนเอง ก่อนที่ร่างเล็กจะทิ้งตัวแนบลงบนอกเขาอย่างหมดแรง “ข้าก็ไม่อยากงี่เง่าหรอกนะ...” เสียงบ่นแผ่วเบาดังขึ้นข้างหูเขา “แต่ข้ามีแค่ท่าน... ข้าคิดถึงท่าน ข้าเลยมา ข้าเลยหวง ข้าก็เลย...งอแง...”


จางกงกงสบถเบา ๆ ในใจ…บ้าจริง นี่มันคือกับดักชนิดหนึ่งหรือเปล่า? นางร้องไห้ยังกับเด็ก แล้วก็มาซบแนบอกเขาแบบนี้ ยิ่งรู้ว่านางพูดมาจากใจก็ยิ่งรู้สึก...แพ้ เขากอดนางแน่นขึ้น... แน่นพอให้เธอรู้ว่าเขาจะไม่ผลักไส “ต่อให้เจ้าจะงี่เง่าทุกวัน... จะมาฟืดฟาดจะน่าสมเพชจะร้องไห้เป็นลูกแมวเปียกน้ำ…ข้าก็ยังอยากให้อ้อมแขนของข้า... เป็นที่พักของเจ้าเสมอ” เขาก้มลงกระซิบชิดขมับนาง แผ่วเบาแต่จริงใจเกินกว่าจะกลั่นกรอง


แต่ทว่าในไม่กี่นาทีต่อมาจางกงกงกลับต้องชะงักนิ่งเมื่อรู้สึกถึงการขยับตัวเล็กน้อยจากร่างที่แนบอกเขาอยู่ สัมผัสเบา ๆ บริเวณอกคล้ายแมวน้อยที่ไถซบ ลมหายใจอุ่นเบาราวกลีบดอกไม้ผะผ่าวผ่านเนื้อผ้าบางเบา เมื่อเขาก้มมองก็สบเข้ากับดวงตากลมโตฉ่ำวาวน้ำตา ที่แม้จะยังมีร่องรอยอารมณ์อ่อนไหว แต่ก็แฝงแววซุกซนและคะนึงหาอย่างโจ่งแจ้ง... ริมฝีปากแดงระเรื่อเม้มเข้าหากันน้อย ๆ ก่อนจะยื่นหน้าขึ้นมาใกล้จนแทบชนปลายคางเขา


"..." ไม่มีเสียงใดจากนาง มีเพียงสายตานั้นที่บอกชัดว่านางต้องการอะไร เป็นสายตาแบบที่เขาเคยเห็นและไม่เคยต้านทานได้เลยสักครั้ง


จางกงกงเหยียดยิ้มบางเฉียบมุมปาก ดวงตาคมสั่นไหวด้วยความรู้สึกผสมปนเปอย่างบอกไม่ถูก ทว่ามีบางอย่างในแววตานั้นที่ต่างจากเดิม... ไม่ใช่ความเย้าหยอก ไม่ใช่เล่ห์กล หรือความพึงใจยามแกล้งเธอเล่น แต่เป็นความอ่อนโยนที่เหมือนจะสั่นสะเทือนจากแก่นกลางลึกสุด เขาไม่เอ่ยคำตอบใด เพียงเอียงใบหน้าลงอย่างเชื่องช้า...ปล่อยให้ปลายจมูกแนบชิดน้อย ๆ กับแก้มใส แล้วแตะจูบลงบนหน้าผากนางอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวหลินหยาจะละลายไปต่อหน้าต่อตา ตามมาด้วยจูบที่สันจมูก และปลายจูบที่แตะแต้มมุมปากคล้ายจะหยอกล้อแต่ไม่ใช่แค่การแกล้งหยอกอีกต่อไปแล้ว


เมื่อเห็นเธอยังหลับตาพริ้ม ริมฝีปากเม้มแน่นรอจังหวะนั้น...ชายผู้ที่มักแสดงออกเฉียบขาดทุกเรื่องจึงค่อย ๆ โน้มตัวลง บดเบียดสัมผัสริมฝีปากของเขาเข้ากับของนางอย่างเนิบนาบ ไม่เร่งร้อน ไม่ละโมบ หากแต่เจือด้วยความใส่ใจอันลึกซึ้งอย่างที่เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าตนจะมีให้ใครได้ ริมฝีปากนุ่มของนางเหมือนจะอุ่นยิ่งกว่าเดิมหลังจากร้องไห้จนน้ำมูกตัน พอเขาสัมผัสเข้าไป ก็ได้ยินเสียงครางในลำคอเบา ๆ แบบแมวที่โดนลูบถูกจุด


"เจ้ายังจะร้องไห้อีกไหม?" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นติดกระซิบ แววขำเจืออยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อย ราวกับพยายามจะปิดความอ่อนโยนไว้ภายใต้หน้ากากคนเจ้าเล่ห์ "หรือว่าต้องให้ข้าจูบอีกที...จนเจ้าหายขี้แงเสียที?" แต่ก่อนที่เธอจะได้ตอบอะไร เขากลับกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอย่างไม่ให้หนี จมูกเฉียดแก้มนางแล้วพูดต่อด้วยเสียงต่ำที่ใกล้จนลมหายใจแทบกลืนเข้าไปในผิว "ไม่ต้องพูด... แค่เป็นของข้าให้มากกว่านี้ก็พอ"


และยามนั้น...ในอ้อมแขนของเขา...กลับอุ่นพอจะละลายความหนาวเหน็บทั้งหมดในใจเธอลงได้จนสิ้น





@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: มาตีกันตามเคย เห่อ ชีวิตติดคอนเท้น

เห่อ มีแฟน(?)เป็นคนอารมณ์แปรปรวนนี้ลำบากจัง

อ่อนหวานหน่อยพี่ โปรดโบ้ที อันนี้อะไรวะเนี้ยยยย (บ่นแปป)


รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 82079 ไบต์และได้รับ 64 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-24 22:14
โพสต์ 82,079 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-24 22:14
โพสต์ 82,079 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-24 22:14
โพสต์ 82,079 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-24 22:14
โพสต์ 82,079 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-24 22:14
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-25 15:49:45 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 25 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (พบจางกงกง)


ภายในห้องส่วนตัวบนชั้นสูงสุดของหอว่านหงเหรินซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในฉางอันที่สามารถขึ้นมาได้บ่อยครั้ง เงียบงันจนน่าประหลาด แสงแดดยามบ่ายลอดม่านไหมโปร่งบางขับแสงอุ่นเรืองรองตัดกับเงาของฉากไม้แกะสลักรูปเมฆคลื่นลายมังกร แสดงถึงรสนิยมอันประณีตของผู้เป็นเจ้าของสถานที่โดยไม่ต้องอธิบายคำใดให้มากความ หลินหยาค่อย ๆ ยกมือเคาะบานประตูไม้ลวดลายงามตามธรรมเนียม ก่อนรอคำอนุญาตอย่างมีมารยาท ผิดไปจากเมื่อครั้งก่อนที่เธออารมณ์ขุ่นเคืองแล้วเปิดเข้าไปเองอย่างหุนหันพลันแล่น นี่อาจเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่นางรู้ว่าควรระวังตัว ไม่ใช่เพราะกลัว...แต่เพราะห่วงใย


เสียงต่ำเย็นที่ตอบกลับมาว่า "เข้ามา" ไม่ใช่ของจางกงกง แต่เธอจำได้ดีว่าเป็นใคร


เมื่อผลักประตูเข้าไป เธอก็พบชายหนุ่มในชุดผ้าแพรสีครามลายดอกเหมยที่กำลังรินชาลงในจอกด้วยท่วงท่าสงบนิ่งผึ่งผาย เส้นผมสีอ่อนยาวถูกรวบสูงเรียบร้อย สีหน้าของเขาสงบเฉกเช่นยอดขุนเขายามกลางวัน ทว่า...แววตาเป็นประกายดั่งธารน้ำแข็งใต้แสงจันทร์ ไม่สะท้อนอารมณ์ใดที่อ่านออกชัด หลิว ไค่ เถ้าแก่แห่งหอว่านหงเหรินในยุคใหม่ ชายผู้ลุกขึ้นเปลี่ยนสำนักที่เคยตกต่ำให้กลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ ด้วยศาสตร์การชักใยอารมณ์ ความบันเทิง และเงามืดที่ล้วนสอดประสานราวบทกวีอันแยบยล


"ท่านหญิงหนาน..." น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกนั้นอ่อนโยนเย็นเยียบในคราเดียว ไม่ช้าไม่เร็ว คล้ายตั้งใจทดสอบใจคนฟัง 


หลินหยาที่ได้ยินกลับขมวดคิ้วที่ได้ยินเช่นนั้น หือ??!! ท่านหญิง? หลินหยานิ่งเธอพยายามทำตัวให้ปกติที่สุดก่อนที่จะหยุดฝีเท้าแล้วก้มคำนับอย่างสำรวมก่อนยิ้มแบบไม่ให้ผิดปกติ "ท่านเถ้าแก่หลิว สวัสดีเจ้าค่ะ ข้ามารบกวนหรือไม่เจ้าคะ?"


"มิต้องกังวนข้าเพียงแวะมาส่งรายงานให้ท่านเถ้าแก่ใหญ่ ไม่ได้ค้างนานนัก" เขาตอบอย่างราบเรียบ มือยังยกจอกชาขึ้นจิบอย่างไม่เร่งรีบ ชวนให้บรรยากาศเย็นลงเล็กน้อยอย่างไร้เหตุผล แต่เป็นเวลานั้นเองที่ม่านโปร่งเบื้องหลังถูกแหวกออกเล็กน้อย เผยเงาของผู้ที่เธอเฝ้ารอ จางกงกงในชุดคลุมยาวสีดำทองลายผ้าคลุมไหล่ปักทองที่นางเคยเห็นเขาสวมยามทำงานสำคัญในฐานะท่านชายห่าวหมิงยังคล้องอยู่บนบ่า ผมถูกรวบขึ้นครึ่งศีรษะ ปล่อยปอยผมด้านข้างตกพาดพวงแก้ม ลุคที่ดูเยือกเย็นจนเหมือนจะหายใจไม่ออก แต่หลินหยาเพียงมองแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเขา...ยังไม่ได้หลับพักเลยเสียด้วยซ้ำ


"เสี่ยวหยา…เจ้ามาเร็วกว่าที่คิด" เขาเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ มองไปทางหลิวไค่แวบหนึ่งราวกับส่งสัญญาณที่รู้กัน ก่อนจะขยับก้าวเข้ามาใกล้ 


หลิวไค่ลุกขึ้นโค้งให้อย่างนอบน้อม "เช่นนั้น ข้าขอตัวไม่ขัดเวลาแล้วขอรับ" จากนั้นก็หยิบเอกสารกระดาษปิดผนึกสีดำเข้มขึ้นมา วางลงบนโต๊ะอย่างแนบเนียน ก่อนหมุนตัวออกจากห้องไปอย่างไร้เสียงเหมือนเงา...ประหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห้องนั้นเอง


เมื่อประตูปิดลง ความเงียบก็ทิ้งตัวลงครู่หนึ่ง จางกงกงไม่พูดมาก เขาเพียงเดินมาใกล้ ใช้ปลายนิ้วแตะเส้นผมหลินหยาที่พลิ้วข้างแก้มเบา ๆ "วันนี้...เจ้าไม่ร้องไห้แล้วหรือ?" ถามพลางยกมุมปากบางขึ้นเล็กน้อย แววตาเจ้าเล่ห์แฝงความเอ็นดูร้าย ๆ อย่างเคย หลินหยาเบ้ปากเล็กน้อยตอนที่ได้ยินเขาแซวเธอพ่นลมหายใจใส่เขาเบา ๆ แล้วตอบว่า "ท่านอยากให้ข้าร้องหรือเจ้าคะ?"


"หึ ไม่หรอก" เขาก้มกระซิบข้างใบหูเบา ๆ เสียงต่ำดุจอสรพิษกระซิบเย้า "ข้าชอบตอนเจ้าขี้อ้อน...แต่ก็ชอบตอนเจ้าดื้อด้วย" แล้วเขาก็ก้มลงแตะจูบเบา ๆ ที่หน้าผากเธอเป็นการทักทายเพราะเขารู้ว่านางยอมอยู่แล้วหากเขาต้องการทำ เหมือนเป็นรางวัลสำหรับการไม่ร้องไห้ในวันนี้ ราวกับว่าต่อให้นางผ่านมือใครหรือบทสนทนาใดมาก่อน แต่สุดท้าย...ทุกอย่างของหลินหยาก็ยังถูกจองจำไว้ในอ้อมแขนของเขาเช่นเดิม


หลินหยามองอีกคน เธอยอมให้เขาจูบที่หน้าผากแต่โดยดีเพราะเป็นความเคยชิน และความที่หลินหยาเคยเป็นคนยุคที่ไม่จำเป็นต้องเหนียมอายทางสังคมด้วยแล้วเธอกลับไม่คิดมาก ออกแนวที่จะชอบการสัมผัสเพื่อบ่งบอกความรักเช่นนี้ด้วยซ้ำ “ท่านเหนื่อยไหมเจ้าคะ? วันนี้น่ะ?” นางเอ่ยถามระหว่างที่ระบายยิ้มให้กับเขาเหมือนเช่นเคย


จางกงกงมองใบหน้าที่แต่งแต้มรอยยิ้มบางเบาของหลินหยา เขาไม่พูดอะไรในทันที เพียงแค่มองเธอด้วยสายตานิ่งลึกนั้นเนิ่นนานพอจะทำให้คนที่ถูกมองเริ่มใจเต้นคล้ายถูกแอบอ่านใจอยู่เงียบ ๆ ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แสงแดดยามบ่ายที่สะท้อนลอดม่านเข้ามาทำให้ดวงตาคู่นั้นยิ่งดูราวกับมีประกายแวววาวที่มองไม่ออกว่าเย็นชา...หรือกำลังอบอุ่น


"เจ้าคิดว่าข้าเหนื่อยหรือไม่ล่ะ…เสี่ยวหยา?" เขาตอบเสียงเบา ขยับนิ้วเรียวขึ้นลูบปลายผมเธอที่ปรกข้างแก้มอย่างอ้อยอิ่งคล้ายลูบของเล่น "แต่แค่เจ้ามายืนอยู่ตรงนี้...ก็เหมือนได้พักแล้วกระมัง" 


หลินหยาได้ยินเช่นนั้นใบหน้าก็ร้อนขึ้นนิดหน่อยโดยไม่ตั้งใจ เธอเม้มปากพลางเบือนหน้าเล็กน้อย แต่ยังยกห่อผ้าเล็ก ๆ ที่ห่อด้วยผ้าสีชมพูอ่อนลายดอกเหมยแน่นหนาขึ้นมา แล้วเอ่ยเสียงเบาแต่ชัดเจน "ถ้างั้นก็…ข้าทำขนมไหมฟ้ามาให้เจ้าค่ะ" ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นมองเขาตรง ๆ อย่างจริงจังและซื่อสัตย์เต็มเปี่ยมเหมือนจะบอกว่า แม้ไม่ได้มีค่ามาก...แต่ข้าตั้งใจทำเองกับมือ "ไม่หวานมากนะเจ้าคะ ข้าคิดว่าท่านไม่ชอบอะไรเลี่ยน ๆ"


“ขนมไหมฟ้า?” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าไม่ใช่สงสัย แต่เป็นเชิงสำรวจ


หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ ขณะพากันไปนั่งลงภายในห้องก่อนที่หลินหยาจะนั่งลงข้างเขา เธอคลี่ห่อผ้าอย่างบรรจง เผยให้เห็นก้อนกลมเล็ก ๆ สีขาวนวล ที่ดูคล้ายไหมพรมแต่นุ่มนวลกว่า กลิ่นหอมของน้ำผึ้งและถั่วลอยแตะปลายจมูกอย่างอ่อนโยน “เส้นไหมนี่...เจ้าทอเอง?” เสียงทุ้มเย็นถามขณะหยิบขึ้นพิจารณา ดวงตาคมวาวลอบไล่มองผิวของขนมเหมือนกำลังมองกลไกพิสดารที่ซับซ้อน


“ไม่ถึงกับทอเจ้าค่ะ...ท่านก็เวอร์ไปฮ่ะ ๆ” หลินหยาหัวเราะคิกเบา ๆ เหมือนเด็กที่เพิ่งแกล้งใครได้สำเร็จ “แต่ก็ดึงเส้นด้วยมือนะเจ้าคะ ดึงอยู่สามร้อยรอบกว่าจะออกมาได้สวยแบบนี้!”


“สามร้อยรอบ?” จางกงกงหัวเราะในลำคอเสียงเบา ขณะที่ปลายนิ้วยกขนมขึ้นพิจารณาแสงส่องลอดเส้นไหมขาวบาง ๆ ที่ราวจะละลายเพียงแค่หายใจใส่ "เจ้าต้องว่างมากเลยสิ ถึงมานั่งดึงอะไรแบบนี้"


“ไม่ได้ว่างหรอกเจ้าค่ะ...แต่บางมันคิดถึงหน้าใครบางคนแล้วมันก็อยากระบายอารมณ์บ้าง” คำพูดของหลินหยาเหมือนจะพูดกับขนมมากกว่าพูดกับเขา แต่คนฟังนั้นหูไวเกินไป จางกงกงจึงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนหัวเราะแผ่วเบาอีกครั้งอย่างคนไม่ยอมเปิดเผยใจ จากนั้นเข้าก็ขยับหยิบขนมไหมฟ้าก้อนเล็กไปจ่อริมฝีปากตัวเอง และกัดเบา ๆ ครึ่งหนึ่ง ก่อนชะงักนิ้ว...แล้วยื่นอีกครึ่งที่เหลือมาทางเธออย่างเงียบ ๆ


“ทำให้ข้าแล้วเจ้าก็ต้องกินด้วยเสี่ยวหยา...ไม่งั้นจะนับว่าไม่ยุติธรรม” เสียงเย้ากลั้วความเจ้าเล่ห์ดังขึ้นเบา ๆ


หลินหยาเบิกตาน้อย ๆ อย่างคาดไม่ถึง แล้วก็ต้องกัดริมฝีปากพยายามกลั้นยิ้ม ดวงหน้าแดงเรื่อก่อนจะก้มหน้าตัวเองเล็กน้อยเหมือนจะซ่อนแววเขินในดวงตา ทว่าเธอก็ยอมโน้มหน้าเข้าไปกัดขนมครึ่งนั้นจากปลายนิ้วของเขาอย่างว่าง่ายโดยไม่เถียงอะไร จางกงกงมองเธอรับขนมไปด้วยดวงตานิ่งลึก ริมฝีปากเขาขยับน้อย ๆ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่แค่พึงพอใจในรสชาติของขนม แต่น่าจะ...ในคนที่ยื่นมันมาให้ด้วย “ต่อไป...หากจะทำอะไรให้ข้ากิน” เขาเอ่ยเบา ๆ “ไม่ต้องหาเหตุผล แค่เจ้าเอามาให้ก็เพียงพอเสี่ยวหยา”


“เช่นนั้นท่านต้องบอกข้าแล้วล่ะเจ้าค่ะ ว่าท่านชอบกินอะไร ข้าจะลองทำมาให้” หลินหยาเอ่ยถามกับเขาเช่นนั้นพลางยิ้มละมุนให้กับเขา


จางกงกงไม่ตอบในทันที เขาเพียงเอนหลังพิงพนักเบาะไม้กลึงของตั้งเตี้ยใต้หน้าต่างเบื้องหลัง ปล่อยให้แสงอาทิตย์ยามเซินส่องต้องปลายผมสีดำขลับที่ตกแนบเคล้าไหล่และพวงแก้มคมของตนให้ดูละมุนลงอย่างไม่ตั้งใจ ใบหน้าที่ยากจะคาดเดาอารมณ์นั้นเอียงน้อย ๆ มาทางหลินหยา เขามองนางด้วยสายตาที่ไม่ใช่เย็นชา...แต่ก็ไม่อ่อนโยนแบบที่คนทั่วไปเข้าใจ เขาเพียงจดจ่ออย่างที่มักทำเสมอเวลาสังเกตนาง


ปลายนิ้วเรียวของเขาเลื่อนไปหยิบกล่องขนมไหมฟ้าอีกครั้ง มองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนใช้ปลายนิ้วหยิบก้อนหนึ่งขึ้นหมุนเล่นช้า ๆ เหมือนพิจารณาอะไรที่มากกว่าความกรุบของถั่วหรือรสของน้ำผึ้ง “มีแต่คนในที่อยากรู้ว่าข้าชอบกินอะไร…เพื่อจะได้เอาใจแล้วเรียกมันว่า ‘ความใกล้ชิด’ หรือ ‘ความโปรดปราน’ ” เขาว่าอย่างเรียบเฉยก่อนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นสบตานางตรง ๆ “แต่เจ้ากลับถามแบบนี้หรือเสี่ยวหยา?”


หลินหยาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดไม่ออกเสียเฉย ๆ เธอเพียงยิ้มเล็ก ๆ แล้วกะพริบตาถี่นิดหนึ่งเพราะรู้สึกว่าหัวใจตนเองกำลังเต้นแรงผิดปกติ


จางกงกงวางขนมลงก่อนขยับตัวมานั่งโน้มตัวน้อย ๆ มาหานาง เสียงของเขานุ่มลงจนน่าประหลาด เมื่อกล่าวว่า “ข้าชอบอะไรที่ ‘มีเจ้าทำให้’ นั่นก็พอแล้ว” แม้คำพูดจะหวานจัดแต่ก็เหมือนจะเคลือบยาพิษ มันดึงหัวใจคนฟังไปทั้งดวง หลินหยาเม้มริมฝีปากน้อย ๆ พยายามหุบยิ้มแต่ก็ไม่สำเร็จ หัวใจเต้นตุบตับอย่างควบคุมไม่อยู่...เหมือนแมวโดนลูบขนถูกจุด


คนบ้า…บอกมาดี ๆ สิว่าชอบกินอะไร…




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: จางกงกงชอบกินอะไร อ่านแล้วตอบด้วย


รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง

มอบ ขนมไหมฟ้า ขนมหวานเกรดทอง ให้ [NPC-11] จางกงกง

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 45693 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-25 15:49
โพสต์ 45,693 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-25 15:49
โพสต์ 45,693 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-25 15:49
โพสต์ 45,693 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-25 15:49
โพสต์ 45,693 ไบต์และได้รับ +35 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-25 15:49
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้