เจ้าของ: Watcher

[หอว่านหงเหริน]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-8-26 12:11:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 26 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน  (พบ จางกงกง)


ภายในห้องรับรองส่วนตัวชั้นบนสุดของหอว่านหงเหริน ยังคงเงียบสงบและอบอุ่นด้วยกลิ่นจางจางของกำยานไม้กฤษณาชั้นดีประจำตัวของชายคนหนึ่ง กำยานนั้นเผาอยู่ในกระถางหยกเขียวที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง พาดผ่านม่านบางที่ปลิวรับลมเย็นของยามเซินอย่างเฉื่อยชา แสงอาทิตย์เอียงอ่อนของบ่ายคล้อยส่องสะท้อนเข้ากับเส้นไหมปักบนพรมผืนหรูและขอบพนักเก้าอี้ไม้ฉลุ ทำให้ทั้งห้องดูราวกับกำลังหลับใหลในนิทราเงียบงัน แต่ทว่า…คนในห้องกลับมิได้หลับใหลแต่อย่างใด


จางกงกงนั่งอยู่ริมโต๊ะชาไม้หอมข้างหน้าต่าง บ่าแนบเบาะหนังสัตว์สีดำเย็นเยียบ ผมยาวสลวยถูกรวบหลวม ๆ ด้วยด้ายไหมเงิน หน้าตาคมดุดันไม่บ่งบอกความเหน็ดเหนื่อยอย่างชัดเจน แต่หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าใต้ขอบตาเขามีรอยจางลึกอยู่ ริมฝีปากแม้คล้ายจะยิ้ม แต่กลับซีดเล็กน้อยราวกับเพิ่งปล่อยลมหายใจที่หนักหน่วงไปไม่นาน


และแล้วเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นหนึ่งครั้ง


“เข้ามา” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ต้องเงยหน้า ไม่ต้องหยุดมือจากการเปิดพัดงามที่ถืออยู่ในมือ บานประตูไม้บานใหญ่ค่อย ๆ แง้มออกอย่างรู้มารยาท และหลินหยาก็เดินเข้ามาช้า ๆ หญิงสาวในอาภรณ์เรียบง่ายสบายตา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสดใสราวลูกท้อคล้ายจะมีรอยยิ้มอยู่ในที เธอไม่ได้แต่งหน้าแม้แต่น้อย แต่กลับดูสะอาดสะอ้านและเย็นตายิ่งกว่าดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ นางย่อตัวคำนับงาม ๆ พลางเอ่ยเสียงแผ่วอย่างสุภาพแต่แฝงด้วยความคุ้นชิน


“ท่านยังทำงานอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ? ข้ามาเก้อหรือเปล่า?”


จางกงกงชะงักปลายนิ้วเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ พับพัดในมือลงช้า ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองหลินหยาอย่างตั้งใจ สายตาของเขาไม่ค่อยเปลี่ยนไปนัก ยังคงลึกซึ้ง เย็นชาและนิ่งเหมือนเดิม แต่ก็มีบางอย่างที่...หากมองผ่าน ๆ คงไม่เห็น ความรู้สึกบางอย่างที่แฝงเร้นราวกับหมอกเบาบาง


“หืม...เจ้าไม่คิดว่าข้ามีเวลาพักหรือเสี่ยวหยา?” เขาถามอย่างเรียบ ๆ แต่คำพูดนั้นพอหลุดจากปากจางกงกงเมื่อไร ก็ไม่เคยธรรมดาแม้แต่ประโยคเดียว


หลินหยาหรี่ตานิด ๆ แก้ตัวเบา ๆ “ก็ท่านขยันเกินไปนี่นา...ข้าห่วงจริง ๆ นะ เห็นทำงานทั้งในวังทั้งในหอ ไม่มีใครบังคับท่านสักหน่อย...ท่านบ้างานเกินไปแล้วนะเจ้าคะ” หญิงสาวขยับเดินเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย หยุดอยู่ที่โต๊ะข้างตัวเขา สายตาไล่มองเอกสารบนโต๊ะที่ยังเปิดค้างอยู่ เสียงถอนหายใจเบา ๆ หลุดออกจากริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อ “เห็นไหม...ท่านก็ยังคงไม่พักจริง ๆ ด้วย” นางเอ่ยพลางวางกล่องขนมผูกโบว์ผ้าไหมลงบนโต๊ะข้างกาน้ำชาเบา ๆ แล้วหันกลับมาสบตาเขา


“ข้าทำซิ่งเหรินโต้วฟูมาให้เจ้าค่ะ ไม่หวานมาก ท่านน่าจะชอบ...แค่ดูแลตัวเองหน่อยเถิด ไม่งั้นข้าจะเอาผ้าเช็ดหน้ามาไล่เช็ดกับป้อนยาให้ท่านทุกครั้งที่มาหาเลยนะ”


จางกงกงมองนางเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มอย่างบางเบาเหมือนล้อกันเงียบ ๆ ในใจ “หากเจ้าอยากดูแลข้าขนาดนั้น...” เสียงทุ้มของเขาลดต่ำลงอย่างมีชั้นเชิง ก่อนโน้มตัวเล็กน้อยมาหานาง สายตากดดันคล้ายจะเย้า แต่กลับแฝงความจริงจังไม่ธรรมดา “เสี่ยวหยา...เจ้าจะมาอยู่กับข้าเสียเลยดีหรือไม่?”

 

หลินหยาชะงักกึก ดวงตากะพริบถี่น้อย ๆ “ข้าแค่ห่วงท่าน ไม่ได้จะย้ายไปอยู่ด้วยนะเจ้าคะ!” เสียงของนางแม้จะแข็งนิด ๆ แต่แก้มกลับขึ้นสีจาง ๆ อย่างเห็นได้ชัด นางรีบเบือนหน้าหนีไปมองหน้าต่างแทน


แต่จางกงกงไม่พูดอะไรต่อ เขาเพียงเอนหลังพิงเก้าอี้อีกครั้ง มองกล่องขนมหวานแล้วเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาช้า ๆ นิ้วมือเรียวยาวที่สัมผัสเนื้อผ้าไหมนุ่มดูจงใจน่าหมั่นไส้อย่างยิ่ง “หืม...กล่องยังงามขนาดนี้ แล้วคนทำจักงามเพียงไหน?”


“ท่านนี่!” หลินหยาหันขวับกลับมามองเขา ดวงตาโตเบิกกว้าง หัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างไม่รู้ตัว แต่จางกงกงกลับหัวเราะในลำคอแผ่วเบาเหมือนลมพัดผ่าน “ข้าแค่ชมขนม”


“ชมขนมหรือชมคน...มันก็เห็น ๆ กันอยู่ปะล่ะ!”


“หึ” เสียงหัวเราะของเขาหายไปในความเงียบ แต่ในห้องนั้นกลับอบอวลด้วยบรรยากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ บางอย่างที่มากกว่าการพบกันตามเวลา...ลึกซึ้งยิ่งกว่าความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มกับแขกผู้มาเยือน...และบางอย่างที่แม้แต่หลินหยาก็ไม่อยากตั้งชื่อมันนัก เพราะแค่เธอเดินเข้ามาในห้องนี้...หัวใจก็แทบไม่อยากกลับออกไปอีกเลย


แต่เพราะแบบนั้นทำให้หลินหยาสังเกตเห็นดวงตาของเขาที่คล้ำเล็กน้อย จนกอดเป็นห่วงไม่ได้หากเขาไม่ได้ดูแลตัวเอง ท่าทางอาจจะโหมงานหนักตอนที่กลับมาจากหานตานแน่แท้ และทันทีที่คิดอย่างงั้น มือของนางกลับยกขึ้นสูงแล้วสัมผัสไปที่แก้มของเขา จางกงกงหยุดเคลื่อนไหวทันทีเมื่อปลายนิ้วของหลินหยาสัมผัสลงบนแก้มเขา ผิวเนื้อนุ่มอุ่นที่แตะต้องอย่างอ่อนโยนเกินกว่าที่เขาคาดคิดจะได้รับจากใครอีกครั้งในชีวิตนี้ ปลายนิ้วนั้นเกลี่ยเบา ๆ ราวกับลูบไล้ความเหนื่อยล้าและความเย็นชาทั้งปวงที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากเยียบเย็นของชายผู้นี้มาเนิ่นนาน ราวกับนางรู้ดีว่าความเงียบที่เขาพกติดตัวไม่ใช่เพราะไร้ใจ...แต่เพราะใจเขาเคยถูกกระชากจนป่นเป็นเสี่ยงไปแล้ว


หลินหยามองตาเขานิ่ง ๆ ดวงตาคู่นั้นอบอุ่นและแน่วแน่ “วันนี้ข้าจะไปโรงประมูลสือฟั่งตอนยามไห่นะเจ้าคะ...จะไปประมูลม้าอย่างที่เคยบอกท่านไป” เสียงนางนุ่มนวลและแผ่วเบา ทว่าชัดเจนในความตั้งใจ “หากท่านไม่ต้องทำงาน ข้าก็อยากชวนท่านไปด้วยหรอกเจ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มนิดหนึ่ง “แต่ข้ารู้ว่าท่านมีหน้าที่ในฐานะจงฉางชื่อก็วุ่นพอตัวอยู่แล้ว”


จางกงกงนิ่งฟังไม่มีแม้กระทั่งพยักหน้า ปล่อยให้มือเล็ก ๆ ของหล่อนยังลูบผ่านแก้มเขาเบา ๆ ดั่งคนไม่เคยรู้จักความรักที่ไม่หวังครอบครอง “ท่านไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ข้าได้ที่นั่งพิเศษ...เสียเงินไปพอตัว แต่มีม่านปิด ไม่เปิดเผยตัว ได้พักแยกต่างหาก คนนอกไม่มีสิทธิ์เข้า ข้ารู้ว่าต้องระวังแค่ไหนหากจะอยู่ต่อหน้าใครในสถานที่เช่นนั้น” เสียงพูดของนางอ่อนโยนแต่แน่วแน่ นางไม่ต้องขออนุญาตจากเขา ทว่ากลับบอกเขาด้วยความรู้สึกอธิบายไม่ได้ เหมือนกำลังฝากตัวให้รู้ว่า นางมีที่ที่ต้องไป...แต่ใจของนางก็ยังอยู่ตรงนี้


จางกงกงหลุบตาลงช้า ๆ ราวกับไล่ตามความอบอุ่นจากปลายนิ้วนั้นที่กำลังจะเลื่อนจากแก้มเขาไป เขาจับข้อมือนางไว้...นิ้วมือเรียวยาวของเขาสอดประสานแน่นอย่างเงียบงัน พลางยกขึ้นจรดริมฝีปากจูบเบา ๆ ที่หลังมือขาวของนางสัมผัสแผ่วเบาราวกับไม่ได้เกิดขึ้นจริง ก่อนที่เขาจะพูดเสียงแหบต่ำราวกับไม่อยากให้ความเงียบนี้แตกออก “ข้ารู้ว่าเจ้าระวังตัว...แต่หากมีใครแม้แต่จะมองเจ้าอย่างผิดวิสัย แม้แต่คิดจะเอ่ยชื่อเจ้าออกมาในที่อันไม่ควร...”


เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาดำสนิทเต็มไปด้วยหมอกแห่งเงาและเปลวเพลิงที่รอจะลุกไหม้ “ข้าจะลากคอพวกมันมาให้เจ้าถามเอง...ว่ารอยแผลจากลิ้นมีรสเช่นไร” คำพูดนั้นแม้กล่าวเรียบง่าย แต่กลับเย็นเยียบถึงกระดูก “แต่ข้าก็คิด…ข้าจะปล่อยให้เจ้าออกไปกลางตลาดประมูลโดยไร้เงาข้าได้อย่างไร” เขาเอ่ยขึ้นในตอนท้าย ริมฝีปากยังแตะแนบหลังมือนางอยู่สายตาที่เขาเงยขึ้นสบกลับมานั้นทั้งดุ ทั้งแฝงความรู้สึกซับซ้อน ราวกับกำลังพูดทั้งในฐานะเจ้าขุนมูลนาย...และชายคนหนึ่งที่หวงหญิงสาวตรงหน้าอย่างสุดใจ


“ท่านมันขี้เป็นห่วง…”


เสียงหัวเราะของหลินหยานั้นแว่วใส เจือแววขบขันปนเจ้าเล่ห์น้อย ๆ ยามเอ่ยถ้อยคำแหย่อีกฝ่าย...มือที่พึ่งถูกจูบยังรู้สึกร้อนวูบอยู่ปลายนิ้ว แม้เจ้าตัวจะทำท่าทีล้อเล่น แต่แก้มนวลนั้นกลับแต้มสีชมพูอ่อนดั่งกลีบบัวในสายลมเย็น “ท่านไม่กระดากใจหรือเจ้าคะ?” นางเอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างยียวน ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนพราวระยับด้วยเล่ห์ขบขัน “ตามธรรมเนียมประเพณี...ชายหญิงที่ไม่ได้แต่งงานกัน ไม่ควรจับเนื้อต้องตัว อยู่ด้วยกันในที่ลับตาคนสองต่อสองเช่นนี้” นางเอ่ยเสียงแผ่วราวกับแกล้งเขา


“แต่ข้ากับท่าน…” นางหยุดแล้วขำออกมาเบา ๆ ยกมือลูบปลายจมูกตัวเองอย่างเก้อ ๆ “...ก็ทำผิดมาเสียหมดทุกข้อแล้วใช่ไหมเล่าเจ้าคะ?”


จางกงกงที่ยังคงยืนอยู่ในระยะใกล้ หรี่ตาน้อย ๆ จ้องใบหน้ายิ้มแย้มที่เอ่ยหยอกเย้าเขา ใบหน้านั้นช่างสดใสอย่างน่าหมั่นไส้ แต่ดวงตาคู่นั้น...กลับมีบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตาได้ เขาไม่ตอบในทันทีแต่ก้าวเข้ามาใกล้...อีกก้าวเดียวเท่านั้น ร่างสูงของเขาก็เกือบจะเงาทาบร่างเล็กตรงหน้าแล้ว กลิ่นกฤษณาจาง ๆ ที่เขาใช้เจือกลิ่นไม้หอมจาง ๆ ที่นางชอบ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น ลูบปลายผมนางเบา ๆ อย่างคนกำลังคิดอะไรบางอย่างที่ยังไม่อยากให้ใครรู้ สีหน้าของเขานิ่งสนิท แต่ในแววตาดำสนิทนั้นมีประกายของอารมณ์ร้อนรุ่ม...ที่คล้ายจะเป็นรอยยิ้มยากจะคาดเดา


“ข้าไม่ใช่คนเคร่งธรรมเนียม...หากรู้ว่าเจ้าไม่ชอบ” เขาพูดเสียงเบา ริมฝีปากเขาอยู่ใกล้ใบหน้านางแค่ครึ่งฝ่ามือ “...และเจ้า ก็ไม่ใช่สตรีที่มีความคิดสามัญ” เขาก้มลงเล็กน้อย กระซิบชิดข้างหูของหลินหยาด้วยเสียงที่นุ่มแต่แฝงด้วยอำนาจอ่อน ๆ ที่ฝังอยู่ในนิสัยลึก ๆ ของเขาเสมอมา “แต่ถ้าหากเจ้ารู้สึกว่าควร ‘แต่งงาน’ เพื่อให้ถูกต้องตามธรรมเนียมละก็…” เขาหยุด แล้วช้อนสายตากลับมามองสบเธอเต็มตา น้ำเสียงยังเรียบแต่ดวงตานั้น...เหมือนเหล็กกล้าผ่านเปลวไฟ


“...ข้าก็ไม่ขัดข้อง” คำพูดนั้นทำให้ความขำของหญิงสาวสะดุดอย่างสมบูรณ์


รอยยิ้มเย็นเฉียบผุดขึ้นที่ริมฝีปากของเขา แม้เป็นเพียงแววบาง ๆ แต่กลับให้ความรู้สึก...เสมือนเขากำลัง ‘จับจอง’ สิ่งหนึ่งอย่างเงียบงันโดยไม่ต้องเอ่ยคำสาบานใด ๆ “แต่อย่าเข้าใจผิดไป...” เขาเอ่ยเสียงเบา “...ข้าไม่ได้จูบมือเจ้าเพราะข้าชอบขัดธรรมเนียมบ้านเมือง” เขาโน้มเข้ามาอีกนิด จนหน้าผากแทบแตะกัน


“แต่เพราะ...มันเป็นของข้า” เสียงคำรามแผ่ว ๆ แฝงไว้ใต้ประโยคสุดท้าย หลินหยาที่หน้าแดงอยู่แล้ว คงไม่มีเวลามานั่งหาข้อโต้แย้งอีก…เมื่อชายผู้นี้ยังคงเป็นเขาเช่นเคย ทั้งบ้าอำนาจ ชอบควบคุม ทั้งเจ้าเล่ห์ ทั้งเอาแต่ใจและที่สำคัญ...รู้จักจังหวะจู่โจมดวงใจนางทุกที ไม่เคยพลาดแม้แต่ครึ่งก้าว




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: เขิน...เห่อ หวานจัง อ้อ เราหวานเอง


รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง

มอบ ซิ่งเหรินโต้ฟู ขนมหวานเกรดทอง ให้ [NPC-11] จางกงกง

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 45315 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-26 12:11
โพสต์ 45,315 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-26 12:11
โพสต์ 45,315 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-26 12:11
โพสต์ 45,315 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-26 12:11
โพสต์ 45,315 ไบต์และได้รับ +35 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-26 12:11
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-28 22:12:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-9-7 03:07




วันที่ 28 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย - ยามเซิน(ละมั้ง) เวลา 14.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


ห้องชั้นบนสุดของหอว่านหงเหรินในยามบ่ายเต็มไปด้วยแสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างบานกว้างเข้ามา แต่มันกลับถูกกลืนหายไปด้วยอำนาจมืดมนที่แผ่ออกมาจากบุรุษเพียงผู้เดียวซึ่งนั่งทอดกายอยู่กลางห้อง จางกงกง จงฉางชื่อแห่งราชสำนัก ร่างสูงในชุดดำแดงดุจอสุรา ดวงตาคมเรียวทอประกายที่ทำให้หลินหยาเพียงก้าวแรกก็แทบหยุดหายใจ 


เสียงประตูห้องชั้นบนสุดของหอว่านหงเหรินค่อย ๆ ปิดลงอย่างเงียบงัน เหลือเพียงบรรยากาศที่กดดันแผ่ซ่านไปทั่วห้อง กลิ่นกำยานหอมระเหยผสมกับกลิ่นเหล้ารสเข้มข้นลอยอ้อยอิ่งในอากาศ เสียงฝีเท้าคนงานและนางโลมที่เพิ่งออกไปค่อย ๆ ห่างหายไปทีละก้าว จนเหลือเพียงความเงียบที่แทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง หลินหยายืนนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด ใบหน้าของนางซีดเผือดปนแดงระเรื่อเพราะความกังวล สายตาหวาดหวั่นเลื่อนไปจับอยู่บนร่างสูงที่เอนพิงเบาะหรูด้วยท่วงท่าสง่างามและน่าเกรงขามของจางกงกง


จางกงกงเอนกายพิงเบาะ มือหนึ่งวางกระบี่สั้นยังเปื้อนเลือดลงบนโต๊ะข้างตัว กลิ่นโลหิตเจือปนคละคลุ้งในอากาศยิ่งขับให้บรรยากาศกดดันหนักหน่วง เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาคมลึกจับจ้องสตรีตรงหน้า ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ทว่าแววตากลับบิดเบี้ยวด้วยอารมณ์ที่ผสมกันระหว่างหวงแหน สงสัย และความคุกรุ่นที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ “เสี่ยวหยา…เจ้ามาแล้ว…” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ ลากช้า แต่กลับก้องสะท้อนในอกหญิงสาวอย่างแรง เหมือนเสียงกระซิบของปีศาจที่เกาะกินหัวใจ


หลินหยาที่กำลังพยายามเก็บสีหน้าให้สงบรู้สึกขาทั้งสองแข็งเป็นหิน หัวใจเต้นแรงจนเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน เธอก้าวเข้ามาก้มตัวคำนับ แอบเม้มปากแน่นจนแทบเป็นเส้นตรง พระเจ้า…เขารู้หรือเปล่าว่าข้าเจอกับบุรุษคนนั้นที่ร้านบะหมี่?


จางกงกงไม่พูดต่อทันที เขายกมือเรียวยาวที่เต็มไปด้วยรอยแผลเก่า ๆ เคาะโต๊ะเบา ๆ สามครั้ง สายตาไม่ละไปไหนจากนาง บรรยากาศรอบตัวหนักหน่วงจนแทบขยับลมหายใจไม่ได้ ด้านล่างของหอว่านหงเหรินยังคงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและดนตรี แต่ภายในห้องนี้กลับมีเพียงความกดดันที่ทำให้เลือดในกายหลินหยาเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง ไม่นานดวงหน้าคมคายแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยแต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเล่ห์ร้ายและการครอบงำ สายตาของเขาเลื่อนผ่านร่างเล็กของหลินหยาอย่างพินิจพิเคราะห์เหมือนกับอ่านความคิดในใจเธอได้ทุกถ้อยคำ


"เจ้า..." น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น แฝงความเย็นชาแต่ก็คล้ายกับกำลังหยอกล้อ หลินหยาสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก มือเรียวกำชายเสื้อของตัวเองแน่นจนสั่น เขาโน้มตัวเล็กน้อย ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น "วันนี้ดูจะ... เพลิดเพลินกับการพบปะผู้คนมากเกินไปกระมัง?"


หลินหยาก้มหน้าลงต่ำทันที หวั่นเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยคำแก้ตัว ความคิดมากมายประดังประเดเข้ามาในหัวภาพตอนอยู่กับชายแปลกหน้าเมื่อครู่ ภาพที่เธอกลัวเหลือเกินว่าจะทำให้เขาเข้าใจผิด จางกงกงไม่ได้โวยวายหรือตะโกน แต่ความเงียบของเขานั้นกลับน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าพายุโหมกระหน่ำ 


ไม่นานนักจางกงกงก็ขยับดวงตาคมนั้นจ้องมองนาง เขาผ่ายมือมาให้หลินหยานั่งให้นางได้คิดเองแล้วแต่จะพิจารณาว่านางจะนั่งตรงไหน ตรงข้ามเขาหรือข้างเขา แต่หากนั่งไม่ถูกใจหลินหยาคงรู้ว่าวันนี้อาจจะไม่ได้จบแค่คำว่าพูดคุยกันก็เป็นได้ หญิงสาวหลุบตาลงต่ำทันทีที่เห็นมือเรียวยาวซึ่งเต็มไปด้วยอำนาจของจางกงกงผ่ายออกมาเป็นสัญญาณให้เลือกที่นั่ง หญิงสาวลังเลอยู่ชั่วครู่ หัวใจสั่นไหวไม่เป็นจังหวะ รู้ดีว่าหากเลือกผิดแม้เพียงเล็กน้อย ความพอใจหรือไม่พอใจของเขาอาจกลายเป็นสิ่งที่ชี้ชะตาวันนี้


นางก้าวขาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเลือกนั่งลงด้านข้างเขาในตำแหน่งที่ไม่ใกล้เกินไป แต่ก็ไม่ห่างเกินไปนัก รักษาระยะที่บ่งบอกถึงความเคารพและความนอบน้อมและรู้ตัวว่าตัวเองจะโดนเรื่องอะไร ทว่าในขณะเดียวกันก็เผยความจริงใจว่ามิได้คิดจะหนีห่าง


จางกงกงเลื่อนสายตาคมกริบมองนางจากหางตา ความเย็นเยียบของนัยน์ตานั้นบีบรัดจิตใจจนหลินหยารู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าหาวังวนมืดมิดที่ไม่อาจขัดขืนได้ เสียงรินสุราดังเบา ๆ ก้องกังวานในห้องเงียบสงัด ราวกับหยดเวลาอันช้าเนิ่นยืดยาว "เจ้ามีอะไรกับต้าหงหลู... จางเซียน" เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นอย่างชัดเจน แต่เนิบนาบ แฝงด้วยน้ำหนักที่แทรกซึมเข้ามาในหัวใจหลินหยาเหมือนเล็บแหลมคมกรีดลากทีละน้อย ริมฝีปากโค้งเล็กน้อยอย่างยากจะอ่านว่าเป็นยิ้มหรือการเย้ยหยัน "ถึงได้คุยกันนานถึงเพียงนั้น... คนระดับเจ้า กับจางเชียน จะมีเรื่องอันใดที่ต้องพูดกันมากมาย"


ต้าหงลู่?! เขาเป็นต้าหงลู่งั้นหรอเนี้ยชายคนนั้น?!! 


หลินหยาหน้าซีดเผือดหัวใจเต้นโครมคราม นางรู้สึกได้ว่าทุกคำพูดของเขาไม่ได้เพียงถาม หากแต่กำลังชั่งน้ำหนัก กำลังทดสอบ และกำลังสอดส่องเข้าไปลึกถึงความลับในใจตนเอง ราวกับเขาต้องการฟังไม่ใช่แค่คำตอบ แต่ฟังไปถึงความจริงที่ซ่อนอยู่ในดวงตาและลมหายใจของนาง ปลายนิ้วของหลินหยากำชายกระโปรงแน่นจนสั่น ริมฝีปากเผยอจะเอ่ยคำชี้แจง แต่ก็หวาดหวั่นเกินกว่าจะหลุดเสียงออกมา นางรู้ดีสำหรับจางกงกงแล้ว คำพูดไม่ใช่สิ่งเดียวที่เขาตัดสินใจ หากแต่เป็นทุกการสั่นไหวของหัวใจนางที่เขามองออกได้โดยไม่ต้องถาม...


"ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นต้าหงหลูด้วยซ้ำเจ้าค่ะ ที่รู้จักกับเขาคือวันนั้นข้าเดินชนเขา ไหสุราแตกก็เลยยกสุราที่มีให้เป็นการตอบแทน…แค่นั้นเอง รอบนี้เจอกัน เขาเพียงเลี้ยงบะหมี่ข้าเฉย ๆ ระหว่างกินเขาเห็นม้าของข้าเลยบอกว่ามันเป็นอาชาที่ดี ม้านั้นก็คือเยวี่ยเหยียน ม้าที่ท่านช่วยข้าตั้งชื่อให้ไงเจ้าคะ" จางกงกงเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ แววตาคมกริบสะท้อนประกายบางอย่างคล้ายจะยิ้มแต่กลับกดดันจนหัวใจสั่น "เพียงแค่นั้นงั้นหรือ" เขายกจอกสุราขึ้นจิบช้า ๆ สายตาไม่ละจากนาง "เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าคำว่า 'เพียงแค่นั้น' ของเจ้าบางครั้งก็ทำให้ข้าอยากจะเฉือนหัวใจเจ้าออกมาดูว่ามันซื่อจริงหรือแกล้งซื่อ"


หลินหยากัดริมฝีปากแน่น พยายามฝืนรอยยิ้มบาง "โธ่…ท่าน…ท่านอยากเฉือนหัวใจข้าไปดูก็ได้นะเจ้าคะ แต่เมื่อท่านมองเข้าไปท่านจะเห็นเพียงความจริงใจที่ข้ามีต่อท่านนะเจ้าคะ ไม่เคยมีสิ่งใดมากกว่านี้ ข้าไม่เคยคิดจะโกหกท่านเลย"


"หึ…" จางกงกงหัวเราะในลำคอเบา ๆ วางจอกสุราลงกระแทกโต๊ะดัง กึก ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ จนลมหายใจอุ่นเฉียดแก้มขาวของนาง "เจ้าแน่ใจหรือเสี่ยวหยา ว่าไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความคิดลื่นไหล ที่เผลอไผลไปกับรอยยิ้มของบุรุษอื่น" ก่อนปรายตามองนางด้วยแววตาคมกริบ น้ำเสียงทุ้มต่ำดังลอดริมฝีปาก "แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรหลินหยา ว่าหน้าเจ้ามิได้ร้อน หัวใจเจ้ามิได้เต้นวูบไหวเพราะเขา"


หลินหยาชะงักไปทันที ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าเล็กน้อยเหมือนอยากเอื้อนเอ่ยคำปฏิเสธ แต่เพียงเสี้ยวอึดใจเลือดในกายกลับวิ่งพล่าน ร้อนผ่าวขึ้นมาบนแก้มจนเธอแทบหายใจไม่ทั่วปอด คำพูดที่อยากจะใช้แก้ตัวติดค้างอยู่ในลำคอ สุดท้ายนางไอแผ่ว ๆ กลบเกลื่อน "ข้า…ข้า…"


รอยยิ้มเย็นเยียบผุดขึ้นบนมุมปากของจางกงกง เขามองอากัปกิริยาของนางด้วยแววตาที่ลึกจนเหมือนทะลวงเข้ามาในดวงใจ "หึ เด็กไม่ดี…" เสียงของเขาขาดห้วน แต่กลับเต็มไปด้วยแรงกดดันจนหลินหยารู้สึกเหมือนร่างถูกตรึงไว้กับเก้าอี้ "แมวน้อยของข้า กล้าดีอย่างไร…ถึงได้ปล่อยสายตาเหลือบแลไปทางผู้อื่น"


"ขะ…ข้าไม่ได้…" หลินหยาพยายามปฏิเสธ แต่เสียงกลับเบาหวิว หัวใจเต้นแรงรัวจนแทบหลุดออกจากอก


จางกงกงโน้มกายเข้ามาใกล้ กลิ่นสุราเจือหอมสมุนไพรโอบรัดบรรยากาศรอบตัว ริมฝีปากเขาเฉียดหูของนางเอื้อนกระซิบช้า ๆ ราวคำพิพากษา "อย่าคิดว่าข้ามิอาจมองออก ทุกอาการของเจ้า ข้าอ่านได้หมด…แม้แต่ความสั่นไหวเพียงเสี้ยวใจ ข้าก็จะไม่ปล่อยผ่าน" ดวงตาของหลินหยาสั่นระริก ฝ่ามือกำกระโปรงแน่นจนสั่นสะท้าน ทั้งหวาดกลัว ทั้ง…รู้สึกผิดในความจริงที่ซ่อนอยู่ในหัวใจ นางอยากเถียง อยากยืนกราน แต่ลึก ๆ ก็รู้ว่าตนเองเผลอไผลไปเพียงชั่วครู่หนึ่งจริง ๆ และเพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะกลายเป็นโทษทัณฑ์ในสายตาของจางกงกง


มือเรียวยาวของจางกงกงค่อย ๆ เอื้อมมาคล้ายจะลูบแก้ม แต่กลับเปลี่ยนทิศมากระชากคางหลินหยาให้เงยขึ้นอย่างไม่ปรานี “อึก!!” ดวงตาของเขาคมกริบจ้องลึกเข้ามาจนหลินหยาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง “แมวน้อยของข้า…” เสียงแผ่วต่ำแฝงพิษเย็นเยียบดังลอดออกมา “…เจ้ากล้าดียังไงถึงให้หัวใจเต้นเพราะผู้อื่น ขนาดข้าอยู่ตรงหน้ายังกล้าจะสะทกสะท้านเพราะเขาอีกหรือ”


นางสะดุ้งเฮือกริมฝีปากสั่นพยายามเอ่ยแก้ตัวแต่เสียงกลับขาดห้วง “ข้า…ข้ามิได้ตั้งใจ…มันเป็นแค่ชั่วครู่เท่านั้น…ท่านอย่าโกรธเลยนะเจ้าคะ ข้า…” เขากระตุกยิ้มเย็น เงารอยยิ้มที่บิดเบี้ยวทำให้หัวใจของหลินหยายิ่งหายใจติดขัด 


“เจ้าเรียกว่าชั่วครู่หรือเสี่ยวหยา? ฮึ…สำหรับข้าแม้เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เกินพอที่จะทำให้เจ้าต้องชดใช้” มือหนาของเขาลากปลายนิ้วเกลี่ยไปตามแนวกรามของนางช้า ๆ จนหลินหยาต้องหลับตาแน่นด้วยความหวั่นไหว เขากระซิบชิดใบหู น้ำเสียงอาบด้วยความเย็นเยียบที่สั่นสะท้านไปถึงกระดูก “เจ้าเป็นของข้าเพียงผู้เดียว จำเอาไว้…ไม่ว่าจะหัวใจ ดวงตา หรือแม้แต่ลมหายใจ เจ้าไม่มีสิทธิ์มอบให้ผู้อื่น”


หัวใจหลินหยาสั่นสะท้านจนแทบจะขาดร่าง นางพยายามเอื้อนเสียง “ข้า…ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้ามีเพียงท่านจริง ๆ นะเจ้าคะ…” แต่แก้มร้อนผ่าวจนหลินหยารู้ว่าตัวเองกำลังหน้าซีดสลับแดงด้วยทั้งความอายและความกลัว หลังจากนั้นมือใหญ่ของเขากดทับลงบนไหล่ของหลินหยาอย่างแรงจนนางสะดุ้งเฮือก ก่อนจะถูกบังคับให้นั่งนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาคมวาวสะท้อนแสงโคมราวกับปีศาจในร่างมนุษย์ “แมวน้อย…เจ้ากล้าทำให้ข้าเห็นว่าแก้มเจ้าแดงเพราะบุรุษอื่นงั้นหรือนี้…” น้ำเสียงเขาทุ้มต่ำแต่สั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง หลินหยานั้นกัดริมฝีปากแน่นส่งเสียงสั่นเครือ “ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ…”


“มิได้ตั้งใจ?” จางกงกงหัวเราะหึในลำคอ พลันคว้าข้อมือนางอย่างแรงแล้วดึงจนร่างบางโถมเข้าหาอกกว้าง กลิ่นสุราและกลิ่นกฤษณาแรงจนมึน เขากดร่างหลินหยาแนบกับเก้าอี้หรู เบียดจนหายใจแทบไม่ออก นิ้วเรียวยาวหยาบกร้านจากการใช้ดาบเลื่อนช้า ๆ ไล้ไปตามซอกคอของนาง แช่มช้าจนผิวกายหลินหยาสั่นสะท้าน “เจ้าเป็นของข้า จำเอาไว้ ของข้าเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สะทกสะท้านเพราะใครหน้าไหนทั้งนั้น”


หลินหยาเผลอครางแผ่วในลำคอทั้งหวาดหวั่นทั้งอับอาย ร่างกายแข็งทื่อแต่หัวใจกลับเต้นแรงแทบขาดร่าง ริมฝีปากบางสั่นระริกพยายามเอ่ย “ขะ…ข้าไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ ท่านอย่า…” 


แต่ไม่ทันได้จบคำ จางกงกงก็โน้มลงมาใกล้จนริมฝีปากเฉียดแก้มแดงซ่าน “สายตาของเจ้า…หัวใจของเจ้า…หากยังกล้าหวั่นไหวเพราะคนอื่นอีกครั้ง ข้าจะขังเจ้าไว้ ไม่ให้แม้แต่เงาแสงตะวันส่องถึง” มือเขาบีบปลายคางให้นางเงยหน้าขึ้น สายตาเย็นจัดเจือด้วยรอยยิ้มโรคจิตจนเลือดในกายเย็นเฉียบ แต่ขณะเดียวกันกลับทำให้หัวใจสั่นสะท้านด้วยแรงปรารถนาที่หลินหยาไม่อยากยอมรับ “จงจำไว้หลินหยา” เสียงทุ้มต่ำชิดริมฝีปากจนแทบกลืนหายใจข้า “การลงโทษของข้า…คือการทำให้เจ้ารู้ว่าเจ้าจะไม่มีวันเป็นของใครอื่นนอกจากข้า”


หัวใจของหลินหยาเต้นรัวจนแทบแตก ร่างกายถูกตรึงด้วยพลังอำนาจและความบิดเบี้ยวของเขา…และแม้ในความหวาดกลัวสุดขีด แต่หลินหยากลับเผลอหลงใหลในความวิปริตนั้นอย่างห้ามไม่อยู่


จางกงกงบีบข้อมือเล็กทั้งสองข้างของหลินหยาแน่นตรึงกับพนักเก้าอี้ ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยเพลิงหึงหวงและความวิปริต เขาก้มลงโน้มตัวใกล้จนลมหายใจร้อนกรุ่นคลอเคลียข้างแก้มนวล เสียงทุ้มต่ำลอดออกมาแผ่ว ๆ แต่เต็มไปด้วยแรงกดดัน “หลินหยา…เจ้ากล้าดียังไงให้หัวใจสั่นเพราะคนอื่น เจ้าเป็นของของข้า เหตุใดจึงกล้าเช่นนี้” เขากระชากคางบอบบางขึ้นให้เงยหน้าสบตา รอยยิ้มบิดเบี้ยวผุดขึ้นบนใบหน้าคมคายราวกับปีศาจที่ได้ของเล่นถูกใจ ริมฝีปากกดลงบนลำคอขาวผ่อง ดูดเม้มจนผิวเกิดรอยแดงฉ่ำ แล้วลากลิ้นชื้นช้า ๆ ไล่ตามรอยนั้นราวกับกำลังเขียนตราแห่งความเป็นเจ้าของ หลินหยาตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เขากลับกดน้ำหนักแรงขึ้น ยิ่งนางสั่น เขายิ่งยิ้ม


มือหยาบกร้านของจางกงกงสอดเข้ากับเอวเล็ก กดร่างนางแนบชิดกับแผ่นอกแข็งราวกำแพงเหล็ก ปลายนิ้วลากไล้ลงต่ำช้า ๆ ก่อนจะบีบแน่นอย่างจงใจให้สะดุ้ง หลินหยาร้องห้ามด้วยเสียงสั่นเครือ แต่ยิ่งอ้อนวอน เขายิ่งยกยิ้มเย้ยหยัน “หึ…เสียงเจ้าในยามนี้ ข้าชื่นใจยิ่งนัก ยิ่งเจ้าอ้อนวอน ข้ายิ่งอยากทำให้เจ้าจำจนไม่กล้าแม้แต่จะชายตาหาผู้อื่นอีก”


จางกงกงกระชากร่างนางขึ้นมานั่งตัก ครอบครองพื้นที่ทุกส่วนจนไม่เหลือทางหนี มือหนึ่งสอดรัดแน่นรอบเอว อีกมือบังคับให้หน้าของหลินหยาโน้มเข้าหา ริมฝีปากบดขยี้กลีบปากแดงเร่าร้อน กัดเม้มสลับจูบลึกจนหลินหยาหายใจแทบไม่ทัน เสียงหัวเราะต่ำแฝงความโรคจิตเล็ดลอดขณะแทรกสัมผัสไม่ปล่อยให้พัก “นางแมวตัวดื้อ…กล้าหน้าแดงเพราะคนอื่น? เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าแดงไปทั้งตัวเพราะข้าเพียงผู้เดียว” เขาเลื่อนริมฝีปากลงต่ำ ไล่จูบไปทั่วแผ่นอกบางผ่านอาภรณ์บางเบาอย่างไม่ปรานี ฟันคมขบเม้มจนเกิดรอยลึกเป็นดั่งตราประทับ รอยแล้วรอยเล่า จนผิวกายของหลินหยาเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ของการลงโทษ 


จางกงกงกระซิบเสียงพร่าเคลือบพิษแห่งความเป็นเจ้าของ “ต่อจากนี้…ไม่ว่าร่างกายส่วนใดของเจ้า ลมหายใจใดของเจ้า หรือแม้แต่เสียงร้องของเจ้า…จะเป็นของข้าเท่านั้น”


ร่างเล็กของหลินหยาเกร็งสั่นสะท้าน ถูกกดตรึงด้วยทั้งแรงกายและแรงจิตวิปริตของเขา จางกงกงไม่เพียงลงโทษนางด้วยการกดดัน แต่ยังครอบครองนางอย่างเร่าร้อน ดิบเถื่อน และโหดร้ายจนทุกอณูร่างกายและหัวใจของหลินหยา จนนางนั้นหวงคืนความรู้สึกของคืนเมื่อครั้งอยู่ที่โรงเตี๊ยมเมืองจี้ที่นางไม่มีทางลืมความรู้สึกในค่ำคืนนั้นได้เลย


จางกงกงกักร่างของหลินหยาไว้แน่นหนา ไม่มีช่องว่างให้ดิ้นหลุดได้เลย มือหยาบรัดข้อมือเล็กไว้เหนือศีรษะ ขณะที่อีกข้างบังคับให้เอวบางแนบชิดเข้าหาอกแข็งราวหินผา ทุกแรงกดราวกับกำลังสั่งสอนให้นางจดจำว่าไม่มีสิทธิ์จะชายตามองผู้ใดนอกจากเขา ริมฝีปากที่เย็นชาแต่ร้อนแรงบดขยี้ลงมาอย่างดุดัน สลับกัดริมฝีปากอิ่มจนหลินหยาสะท้าน "ท่าน!...ข้าเจ็บ" น้ำตาเอ่อคลอแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธสัมผัสนั้นได้ เสียงหัวเราะต่ำพร่าดังข้างหู “เจ็บรึ? จำเอาไว้ นี่คือผลที่เจ้ากล้าทำให้ข้าหึงหวงนัก” เขาไม่หยุดเพียงแค่จุมพิต ริมฝีปากลากไล่ลงมาตามลำคอขาวผ่อง ดูดเม้มจนเกิดรอยแดงชัด บางครั้งขบกัดแรงจนหลินหยาสะดุ้งเฮือก มือของเขาก็ไม่ยอมอยู่นิ่ง ลากผ่านแผ่นหลังเล็กแล้วกดแน่นกับร่างตนเอง ราวกับจะให้หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน ทุกครั้งที่หลินหยาพยายามเบี่ยงตัวหลบ จางกงกงกลับกักเธอไว้ กัดกลีบปากนุ่มอีกครั้งก่อนจะจูบลึกพร่ำลงโทษให้นางหายใจแทบไม่ทัน


เสียงหอบสั่นเครือของหลินหยาแทบกลืนหายไปกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัว เธอกัดฟันพยายามทน แต่ยิ่งทนก็ยิ่งถูกกดขี่มากขึ้น ริมฝีปากเขาไล่จูบดูดซับตามลาดไหล่ขาวจนเกิดรอยช้ำไปทั่วราวกับประทับตราแห่งความเป็นเจ้าของ ทุกสัมผัสทั้งกัด ทั้งดูด ทั้งจูบเร่าร้อนและโหดร้าย หลอมรวมกันเป็นการลงโทษที่ไม่มีทางลืมได้


จางกงกงยกใบหน้าเงยขึ้นเล็กน้อย มองหลินหยาที่ตัวสั่นสะท้านในอ้อมแขน สายตาคมคายแฝงรอยยิ้มโรคจิตที่ทำให้นางยิ่งหวาดหวั่น เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นชัดเจน “จนกว่าเจ้าจะจำได้ว่าเจ้าเป็นของใคร ข้าจะลงโทษเจ้าเช่นนี้เรื่อยไป หลินหยา เจ้าไม่มีสิทธิ์หนีจากข้า ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดถึงผู้ใดอีก” ริมฝีปากเขาทาบลงมาอีกครั้ง คราวนี้ทั้งรุนแรงและยืดยาว ราวกับจะกลืนเอาลมหายใจของนางไปทั้งสิ้น เหลือเพียงหลินหยาที่ไร้เรี่ยวแรง สั่นระริกอยู่ในอ้อมแขนที่ทั้งโหดร้ายและเร่าร้อนของจางกงกง โดยไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป


“ข้า..รู้แล้วเจ้าค่ะ…ท่านอย่าโกรธเลย…ข้าขอร้อง” หลินหยาเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเครือ ตอนนี้นางพยายามขยับดวงตาจ้องมองเขาให้เหมือนกับคนที่น่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าในสายตาของจางกงกมันจะเป็นสายตาที่อ้อนวอนขออะไรบางอย่างก็ตาม ดวงตาคมกริบของจางกงกงหรี่ลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงอ้อนหวานสั่นเครือของหลินหยา เขากดข้อมือเล็กทั้งสองไว้แน่นไม่ยอมปล่อยในทันที ริมฝีปากยังคงเฉียดคลอเคลียอยู่ข้างแก้มขาวเนียน ลมหายใจร้อนแรงราวกับเปลวไฟที่พร้อมจะเผาผลาญนางให้ละลายหายไป


“รู้แล้วจริงหรือ?  แล้วทำไมเจ้าถึงยังกล้าทำให้หัวใจข้าเดือดดาล…หืม?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามช้า ๆ แต่แฝงด้วยแรงกดดันอย่างมหาศาล ดวงตาคมจ้องลึกเข้ามาเหมือนจะเจาะเข้าไปถึงหัวใจ เขาเอียงใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเฉียดกลีบปากแดง แล้วกระซิบเสียงพร่าข้างหู “หรือว่าเจ้าเพียงพูดเพราะกลัวการลงโทษ เจ้าน่ะ…กลัวข้าหรือว่ากลัวเสียใจเพราะคนอื่น?”


หลินหยาสบตาเขาอย่างหวาดหวั่น นางรีบส่ายหน้าพร้อมเสียงอ้อนวอนที่สั่นเครือ “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ…ข้าจะไม่ทำแล้วท่านอย่าโกรธเลยนะเจ้าคะ…ข้าขอร้อง…” ดวงตากลมโตรื้นน้ำใส สั่นไหวราวลูกกวางตัวน้อย นางกัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยเพื่อกดกลั้นความหวาดหวั่น ก่อนจะยกใบหน้าเงยขึ้นมองเขาอย่างออดอ้อน


มือหยาบกร้านที่ตรึงข้อมือค่อย ๆ คลายออกเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะใจอ่อน ทว่าเพื่อจะเลื่อนมากอบกุมแก้มนุ่มบังคับให้ดวงตาของหลินหยาเงยขึ้นสบกับเขาเต็ม ๆ รอยยิ้มบิดเบี้ยวและแววตาแฝงความโรคจิตฉายชัด “น่าขันจริง ๆ…ยามอ้อนวอน เจ้าน่ารักยิ่งกว่าตอนหัวเราะเสียอีก เจ้าน่ารักเกินไปแล้วเสี่ยวหยา…อ้อนข้าเช่นนี้ ข้ายิ่งไม่อยากปล่อยเลยแม้แต่น้อย เจ้าเป็นของข้าเสี่ยวหยา ข้าจะสลักให้ลึกลงไปในหัวใจของเจ้า จนเงาของชายอื่นไม่อาจสะท้อนในดวงตาเจ้าได้อีก” ปลายนิ้วหยาบกร้านคลายแรงบีบลงเล็กน้อย แล้วไล้ผ่านผิวเนียนขาวตรงข้อมือ บีบเบา ๆ เหมือนจะปรานี แต่ดวงตากลับยังคงคมกริบราวจะกลืนกิน


“เสี่ยวหยา…เจ้าเป็นของข้า และจะไม่มีวันหนีไปไหนได้ เข้าใจหรือไม่?” แววตาของจางกงกงฉายประกายร้ายลึก เขาเลื่อนมือมาประคองแก้มเล็กไว้ ลูบอย่างแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยการครอบครอง “…จำให้ขึ้นใจ หากวันใดเจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่ของข้าอีก…ข้าจะทำให้เจ้าลืมไม่ลงไปทั้งชีวิต”


หลินหยาตัวสั่นสะท้าน นางก้มหน้าเล็กน้อย แต่เสียงยังอ่อนหวานออดอ้อน “ระ..รู้แล้วเจ้าค่ะ..” นางเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มบาง ๆ ทั้งเขินทั้งหวาดหวั่นแต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกจำยอมกับความหึงหวงที่อีกฝ่ายมี จางกงกงมองหลินหยาด้วยสายตาที่เหมือนจะอ่อนลง ริมฝีปากยกยิ้มบาง ๆ จนหญิงสาวแทบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เพียงเสี้ยววินาทีถัดมา เขากลับโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วกดจูบแรง ๆ ที่ริมฝีปากนุ่มของนางจนเจ็บแปลบ รสจูบหนักหน่วงราวกับเป็นตราประทับที่บอกว่านางไม่มีสิทธิ์เป็นของใครนอกจากเขา


“เสี่ยวหยา…เจ้าอ้อนเก่งนัก ข้าแทบอยากจะปล่อยไป แต่ของเล่นที่กล้าดื้อใส่เจ้านาย สมควรถูกปราบไม่ใช่หรือ?” เสียงของเขาแผ่วต่ำชิดริมใบหู ปลายนิ้วหยาบลากไล้จากคางลงมาตามลำคอ ก่อนจะกดจูบอีกครั้ง คราวนี้หนักหน่วงขึ้นจนหลินหยาสะท้านทั้งกาย หญิงสาวพยายามกลั้นเสียงสะอื้น มือที่ถูกปล่อยเป็นอิสระแล้วกลับถูกเขาคว้าข้อมือมากุมไว้บังคับให้นางโอบรอบลำคอเขา “อ้อนข้าอีกสิ เสี่ยวหยา ทำให้ข้าเชื่อว่าเจ้ามีแต่ข้า” เขากระซิบพร้อมรอยยิ้มโรคจิตในดวงตา


หลินหยาตัวสั่นระริก นางยอมทำตาม โน้มตัวเข้าหาแล้วเอ่ยเสียงหวานปนขลาดเขิน “อืออ…ก็…ก็มีแต่ท่าน…มีแต่ท่านคนเดียวอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ดวงตาเขินอายแต่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจราวจะละลายใจใครได้ทุกคน แต่จางกงกงเพียงหัวเราะเบา ๆ แทนที่จะพอใจ เขากัดลงบนริมฝีปากนางอีกครั้งจนเลือดซึมเล็กน้อย แล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบเลือดนั้นอย่างแผ่วเบา พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงพร่าลึก “ดีมาก…เจ้าพูดได้ไพเราะจริง ๆ แต่ข้าจะไม่ให้เจ้าลืมบทเรียนวันนี้ง่าย ๆ”


เขาขยับตัวกักหลินหยาแนบกับพนักพิงอีกครั้ง ริมฝีปากไล่จูบและกัดสลับลงมาตามลำคอและหัวไหล่ ทิ้งร่องรอยชัดเจนไปทั่วเหมือนตราประทับแห่งความเป็นเจ้าของ หลินหยาน้ำตาคลอแต่ก็ทำได้เพียงเม้มปากกลั้นไว้ ความรู้สึกทั้งร้อนวาบและเจ็บแสบประดังเข้ามาในอก ใช่แล้ว นี่คือจางกงกงผู้ที่ใจอ่อนเพียงครึ่ง แต่ซาดิสม์ร้ายลึกจนไม่เคยปล่อยให้นางรอดพ้นการลงโทษไปได้จริง ๆ


ดวงตาคมของจางกงกงที่เหมือนจะมีแววสงสารในตอนแรกกลับค่อย ๆ กลายเป็นประกายวาวโรคจิตขึ้นมาแทน เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ ราวกับพอใจที่ตัวเองกำลังชักพาหลินหยาลงสู่หลุมที่ไม่มีทางหนี มือข้างหนึ่งกดตรึงบ่าเล็กของนางแนบกับพนักเก้าอี้ ส่วนอีกข้างค่อย ๆ ลากผ่านเนื้อผ้าเนียนละเอียด ก่อนจะสะบัดแรงพอให้ผ้าฮั่นฝูหลุดแยกตรงกลาง 


“!!!?” หลินหยายังไม่ทันจะได้ร้องเพราะตกใจแต่ทว่าตอนนี้ร่างกายของนางกลับเผยให้เห็นเสื้อชั้นในบางเบาสีขาวที่แนบเนื้อจนทุกสัดส่วนชัดเจน “ฮึ…” เขาก้มต่ำลงมา ดวงตาคมดุเพ่งมองยอดอกสีหวานที่ดันผ้าบางจนเด่นชัด ใบหน้าเขาใกล้เสียจนลมหายใจร้อนจัดพ่นรดบนผิวอก หลินหยาตัวสั่นสะท้าน นางกัดริมฝีปากแน่นพยายามห้ามเสียงครางที่แทบเล็ดลอดออกมา ดวงหน้าแดงจัดแต่ดวงตากลมโตรื้นน้ำสะท้อนทั้งความเขินอายและความเสียวซ่าน “ยอดเยี่ยม…รอบก่อนที่ข้าลงโทษเจ้า ข้าฝึกเจ้าไว้ดีเยี่ยมใช่หรือไม่?” เสียงแหบพร่าของจางกงกงกรีดแทงเข้าหูหลินหยาราวคมมีด มือหยาบของเขาใช้นิ้วขยับบีบปลายยอดอกที่แข็งสู้มือจากนอกผ้าเบา ๆ สลับแรงขึ้นทีละนิด จนร่างเล็กสั่นสะท้านเผลออ้าปากปล่อยเสียงสะอื้นพร่าหวาน


หลินหยาพยายามสะบัดหน้า นางร้องเสียงแผ่วพร่า “อย่า…ได้โปรด ท่านจะทำแบบนี้ตรงนี้ไม่…” แต่ก่อนที่คำพูดจะจบ เสียงหอบสะท้านของนางก็ขาดห้วงเมื่อจางกงกงบีบคลึงแรงขึ้นจนร่างบางเกร็งสะท้าน น้ำตาคลอเต็มหน่วยตา ขณะที่ริมฝีปากเขาฉกกัดทิ้งรอยแดงจัดบนอกนวลซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้การลงโทษที่แสนเร่าร้อนและโรคจิต ยิ่งกว่าคำว่าสงสารหรือเมตตาใด ๆ กำลังเริ่มต้นขึ้น


จางกงกงหัวเราะในลำคอเสียงต่ำ ขณะมองร่างเล็กที่ถูกตรึงแน่นอยู่ตรงหน้า ดวงตาคมกริบส่องแสงโรคจิตยามเห็นหลินหยาหน้าแดงซ่าน น้ำตาคลอเบ้าแต่กลับออดอ้อนขอความเมตตา นั่นยิ่งปลุกไฟในกายเขาจนร้อนรุ่ม มือหนาเลื่อนจากอกนวลไล้ลงเอวคอดแล้วกระชากนางเข้ามาแนบชิด อ้อมแขนแข็งแรงราวคุมขังทั้งร่างให้ขยับหนีไม่ได้ “เสี่ยวหยา…เจ้าน่ารักเสียจนข้าแทบไม่อยากหยุด…แต่ของของข้าต้องถูกลงโทษให้จำใช่ไหม?” เขากระซิบชิดริมใบหู ลมหายใจร้อนเป่ารดจนหลินหยาขนลุกไปทั้งร่าง ก่อนที่เขาจะขบกัดติ่งหูเล็กแล้วลากลิ้นลงมาตามซอกคอ บีบเค้นปลุกเร้าทุกสัมผัสอย่างไม่ปรานี ทิ้งรอยแดงไว้ราวตราประทับอันเป็นกรรมสิทธิ์


หลินหยาสะท้านเกร็ง กัดริมฝีปากจนเสียงหวานหลุดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ จางกงกงยิ่งได้ใจ เขายกตัวนางขึ้นวางแนบกับโต๊ะเนื้อเรียบในห้องด้านใกล้ บังคับให้นางเอนหลังลง จนขวดสุราและจอกเหล้าล้มระเนระนาด ร่างสูงใหญ่คร่อมทับบดบังแสงไฟทั้งหมด เหลือเพียงเงาร่างสองคนที่พันธนาการกันอยู่ ดวงตาคมดุวาวโรจน์สะท้อนกับเปลวโคมไฟในห้อง ยามที่เขาโน้มตัวลงมากดริมฝีปากบดขยี้อีกครั้ง มือหนาลากผ่านเสื้อผ้าที่แหวกออก ปลดชั้นในบางเบาจนเผยผิวขาวผ่องสั่นสะท้านต่อความเย็นและร้อนสลับกัน


“ข้ายังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ระหว่างนี้…ข้าจะลงโทษจนเจ้าจะไม่ลืมว่าใครคือผู้ครอบครองเจ้า” จางกงกงแสยะยิ้ม เสียงพร่าเจือความคลั่ง เขาผลักตัวนางเข้าหาโคมไฟกระจกแก้วที่ตั้งเด่นกลางห้อง เปลวไฟสะท้อนร่างเล็กอ่อนระทวยในอ้อมแขนเขาเหมือนภาพลวงตาในแสงเพลิง ทั้งเร่าร้อน ทั้งหวาดหวั่น ในวินาทีนั้น ไม่มีอะไรเหลืออยู่ นอกจากเสียงหอบสะท้านของหลินหยา รสจูบเจ็บแสบปนหวานที่เขาปล่อยใส่นาง และไฟจากโคมที่โหมแรงราวจะกลืนกินเป็นการลงโทษที่ทั้งเร่าร้อนทั้งโรคจิต และเป็นเพียงแบบที่จางกงกงผู้เดียวพึงพอใจ




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ:

เอาไปแค่นี้พอหอมปากหอมคอ (บอกตัวเองเพราะเกือบหยุดไม่อยู่)

จางกงกง หึงโหด 101 ผมเกือบยั้งมือตัวเองไม่อยู่ มันส์เกิน

เห่อออ อยากแต่งงานจัง..แต่ก็..อีกใจก็ไม่อยากแต่ง 555


รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 97811 ไบต์และได้รับ 72 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-28 22:12
โพสต์ 97,811 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-28 22:12
โพสต์ 97,811 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-28 22:12
โพสต์ 97,811 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-28 22:12
โพสต์ 97,811 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-28 22:12
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-30 17:56:52 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 30 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี่ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน  (พบ จางกงกง)


ภายในห้องชั้นบนสุดของหอว่านหงเหรินนั้นเงียบสงบ แสงอาทิตย์ยามเซินลอดผ่านผ้าม่านบางสีขาวไข่มุก ทาบเงารำไรลงบนพื้นไม้หอม ราวกับวาดเส้นขอบแห่งเวลาให้หยุดชั่วคราวไว้ ณ ที่แห่งนั้น จางกงกงในคราบท่านชายห่าวหมิงนั่งอยู่ข้างโต๊ะกลมเคลือบเงา ใบหน้าคมหล่อเย็นชานั้นโน้มก้มเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังใช้พู่กันปลายแหลมจุ่มหมึกอย่างแม่นยำ และวาดลายเส้นประณีตลงบนกระดาษพับที่มีผิวบางละเอียดราวกับกลีบดอกบ๊วยแห้ง เขาไม่ได้เขียนอักษร แต่กำลังวาด ‘ภาพ’ ลายเส้นของเถาวัลย์ม่วงที่ไต่พันราวรั้วศาลา และมีเงาของใครบางคนในชุดกระโปรงยาวสีชมพูหม่นนั่งเหม่อมองฟ้า 


ภาพที่อยู่บนกระดาษนั้นดูราวกับมีชีวิต…


เสี้ยวหน้าของเขาสะท้อนผ่านกระจกเจียรปลายด้านข้าง ใบหน้าเรียบนิ่งราวกับไม่รู้สึก แต่หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามีริ้วรอยจางบางของอารมณ์ที่ไม่อาจพูดออกมาแฝงอยู่ที่หางตา...บางทีเขาอาจใช้ภาพนี้เพื่อกลั่นกรองความทรงจำบางอย่างที่เขาไม่อยากลืม


ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น ก๊อก ก๊อก


ก่อนที่ประตูไม้จะค่อย ๆ เปิดแง้มออกพร้อมใบหน้าสดใสราวกับดอกไม้แรกแย้มโผล่เข้ามาอย่างลอบเร้น “จ๊ะเอ๊” เสียงหวานนั้นดังขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มล้อเลียนในดวงตาของหลินหยา ทว่าในขณะที่นางโผล่หน้าเข้ามา จางกงกงกลับไม่หันกลับไปมองโดยทันที เขาเพียงวางพู่กันลงอย่างนิ่ง ๆ จากนั้นจึงกล่าวเรียบ ๆ โดยไม่หันหน้าไปทางประตู


“วันนี้มาช้า…หนึ่งเค่อ” เสียงของเขาไร้แววตำหนิ แต่กลับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา


หลินหยาย่นจมูกเล็กน้อยก่อนจะย่องเข้ามาด้านในพร้อมเสียงฝีเท้าเบาราวแมว “ก็ข้าติดเรื่องเล็กน้อยนี่นาไปซื้อของง่ะ…ข้าก็รีบมาแล้วน่าาา ท่านจะไม่ชมสักคำหรือเจ้าคะ?”


เขาเพียงปรายตามองมาเล็กน้อย ยามนั้นหลินหยาก็เดินอ้อมมาอยู่ข้างหลังเขาแล้ว เธอเห็นภาพที่เขาวาดบนโต๊ะและชะงักไปเพียงนิด หัวใจเหมือนจะสะดุดเต้นช้าลงเมื่อเห็นเงาร่างในภาพ…คล้ายใครบางคนที่นางคุ้นดี จางกงกงเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดหมึกเช็ดปลายพู่กันอย่างใจเย็น "เจ้ารู้ไหม ว่าเวลาที่เจ้าคิดว่าแค่ ‘เล็กน้อย’ สำหรับบางคนมันคือชั่วชีวิต..." น้ำเสียงนั้นราบเรียบอย่างเจืออารมณ์ แต่กลับมีประกายบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้แววตา


หลินหยาไม่ได้ตอบทันที นางกลับโน้มตัวลงด้านหลังเขา ขยับมือกอดรอบลำคอเขาหลวม ๆ ซบแก้มลงบนไหล่ของเขาเบา ๆ กลิ่นผมของนางลอยเข้าจมูกเขาอย่างจงใจ “ข้าก็มาแล้วนี่ไงเจ้าคะ” เสียงของเธอแผ่วเบาขณะนิ้วเรียวหนึ่งไล้วนบนอกเขา “กลับมาหาท่านเหมือนเดิม...แล้วก็เห็นท่านกำลังวาดภาพอะไรบางอย่างอยู่ด้วย...”


จางกงกงหลับตาลงชั่ววินาที เขาปล่อยให้นางกอดเขาไว้อย่างนั้นโดยไม่ผลักไส พลันพูดช้า ๆ “เจ้าควรไปนั่ง...ก่อนที่ข้าจะทำให้เจ้าต้องอยู่ตรงตักแทน” เสียงนั้นต่ำ ลึก และเย็นเยียบแต่กลับเผาไหม้ในอารมณ์เสียจนหลินหยาขนลุก แต่แทนที่นางจะถอย...หลินหยากลับยิ้มกว้างยิ่งขึ้น “แล้วใครบอกว่าข้าไม่อยากอยู่ตรงตักล่ะเจ้าคะ?” เสียงของนางกระซิบข้างหูเขาอย่างแผ่วพร่า “หรือท่านไม่กล้า?”


จางกงกงขยับสายตาแวบหนึ่งจากนั้นร่างของเขาก็พลิกกลับอย่างแม่นยำ ทันทีที่เขาหันมา หลินหยาก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมแขนอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างเล็กนั่นตกลงบนตักเขาโดยสมบูรณ์ แขนแข็งแรงรัดแน่นไม่ให้ขยับหนีได้อีก “ตอนนี้เจ้ามีเวลาเล่นกี่เค่อกัน?” เขาถามเสียงเรียบ แต่มือกลับแตะปลายคางเธอเบา ๆ ก่อนจะเชิดให้สบตากันตรง ๆ “หืม…เสี่ยวหยา?” น้ำเสียงนั้นเหมือนจะเยาะ แต่ดวงตาแฝงอันตรายไว้อย่างชัดเจน


และเธอ…ก็ยิ้มตอบ “จนกว่าท่านจะยอมปล่อยข้าลงจากตักนั่นแหละ” จางกงกงกระตุกยิ้มที่มุมปาก แววตาทอประกายราวกับเห็นของเล่นตัวเล็กน่ารักที่ดิ้นไม่หลุดอยู่ตรงหน้า เขาขยับมือช้า ๆ เลื่อนปลายนิ้วไล้ตามแนวแก้มของหญิงสาวในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา ไล้ผ่านข้างหูลงมาจนถึงลำคอ ก่อนจะหยุดนิ้วไว้ตรงกระดูกไหปลาร้าแล้วกดเบา ๆ ราวกับจะปราม “หืม...ทำไมวันนี้แมวน้อยช่างปากกล้านัก” เขากระซิบชิดใบหู เสียงทุ้มต่ำเย็นจัดแต่แฝงร้อนแรงราวกับมีอสรพิษเลื้อยพันอยู่รอบเอวหลินหยา “คิดว่าแค่ไปช่วยทำขนมกับเด็กในห้องเครื่อง จะทำให้ข้าใจอ่อนหรอ?”


ดวงตาของจางกงกงเป็นเพียงเสี้ยวเงาที่ไร้ความอ่อนโยน มีเพียงความเจ้าเล่ห์และความหึงหวงที่แอบแฝงซ่อนอยู่ลึกลงไป…


หลินหยาเบิกตากว้างเล็กน้อยแต่อมยิ้มทันทีราวกับจะยั่วโมโหเข้าให้เต็มที่ “อะไรกัน ท่านก็มิใช่เด็กแล้ว ทำไมยังขี้งอนนักเล่า…” แล้วนางก็ยกมือขึ้นแตะปลายนิ้วแตะปลายคางเขาเบา ๆ ส่งยิ้มขี้เล่นใส่จางกงกงอีกที “หรือว่า...กลัวข้าจะเปลี่ยนใจไปรักพ่อครัวแทน?” คำพูดนั้นไม่ใช่คำล้อเล่นหากอยู่ต่อหน้าบุรุษคนอื่น แต่กับจางกงกง…


เสียง ฟึ่บ ดังเพียงวูบเดียว ร่างหลินหยาถูกผลักแนบกับพนักพิงเบาะอย่างรวดเร็วในขณะที่จางกงกงตามขึ้นมาคร่อมเหนือร่างไว้อย่างแม่นยำ ฝ่ามือเย็นชาข้างหนึ่งล็อกข้อมือบางของเธอไว้เหนือศีรษะ ในขณะที่ใบหน้าเรียบเฉียบของเขาก้มลงต่ำจนจมูกแทบชิดแก้ม “ข้าต้องลงโทษเจ้าหนักแค่ไหน…เจ้าถึงจะเลิกพูดล้อข้าเล่นแบบนี้?” เสียงกระซิบเย็นเยียบแทบไม่ต่างจากคมมีด


“หรือเจ้าชอบให้ข้าหึงหวงนัก?”


หลินหยาแกล้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เอียงคอมองเขาใต้ฝ่ามือ “ข้าก็แค่…อยากรู้ว่าท่านจะทำอะไร ข้าไม่ได้ตั้งใจพูดอะไรให้น่าหึงเลยนะเจ้าคะ…” แต่น้ำเสียงที่ทำเป็นไร้เดียงสานั้นมันยั่วโมโหยิ่งกว่าคำพูดเย้ยหยัน


เขากระตุกยิ้มอีกครั้งก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากนางอย่างจงใจไม่ใช่จูบอ่อนหวาน หากแต่เป็นจูบที่บอกชัดว่าเจ้าเป็นของข้าและข้าเท่านั้น ลมหายใจของนางสะดุดเล็กน้อยแต่ก็ไม่ปัดป้อง ยิ่งรสจูบรุนแรงขึ้น หลินหยากลับยิ่งยกปลายเท้าจิกเบาะแน่น ก่อนจะสบตาเขาอย่างกลั้นขำ “อืมม…รู้สึกว่า...ข้าชอบให้ท่านหึงขึ้นทุกทีแล้วล่ะเจ้าค่ะ” และแน่นอนว่า…คำพูดนั้นเป็นเหมือนไฟที่จุดชนวนลงถังน้ำมันดี ๆ นี่เอง จางกงกงยิ้มด้วยแววตานิ่งราวกับนักล่า ก่อนจะโน้มลงซุกริมฝีปากเข้าที่ซอกคอเนียน “งั้นวันนี้ก็อย่าหวังจะได้กลับห้องง่าย ๆ ล่ะ...” เขากระซิบเสียงพร่า


เสียงหัวเราะหวานใสดั่งระฆังแก้วในฤดูใบไม้ผลิดังลอดลอดออกมาจากริมฝีปากบางของหญิงสาวเมื่อจางกงกงบอกแต่กลับคลายมือที่กดตรึงเธอไว้คลายออก หลินหยาใช้จังหวะนั้นขยับตัวขึ้นช้า ๆ ก่อนจะยกมือแตะที่แก้มของเขาเบา ๆ แล้วลูบลงด้วยปลายนิ้วราวกับจะปลอบใจ เด็กหญิงตัวน้อยในเรือนผมดำขลับผู้กล้าล้อเสือ กลับแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนที่กัดกร่อนใจของเขาทุกครั้งที่สัมผัส “ไม่มีเวลาแล้วเจ้าค่ะ...” หล่อนยิ้มขณะเอียงหน้ามองเขา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอประกายแสนซนแต่ก็แฝงไออุ่นอย่างห้ามไม่ได้ “ท่านต้องกลับไปทำหน้าที่จงฉางชื่อที่วังหลวงนะ ท่านทิ้งงานไว้กี่ยามแล้วเนี้ย…”


จางกงกงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ดวงตาคมที่เฉียบเย็นยิ่งกว่าสายลมยามค่ำพลันอ่อนลงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินถ้อยคำเช่นนั้น น้ำเสียงของหลินหยาเหมือนบอกให้เขารีบไป ทั้งที่มือยังไม่ยอมผละจากใบหน้าของเขาเสียด้วยซ้ำ


หญิงสาวยิ้มหวานขึ้นอีกนิดหนึ่ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ยิ้มล้อเล่น หากแต่แฝงความรู้สึกที่ลึกกว่าเดิมไว้เต็มเปี่ยม ริมฝีปากบางคลี่ยกขึ้นอย่างเรียบง่าย ทว่าอบอุ่นจนหัวใจของจางกงกงพลันรู้สึกเหมือนถูกห่มผ้าผืนหนาในคืนหนาวเหน็บ “แต่เดี๋ยวข้าอยู่กับท่าน…จนกว่าท่านจะไปนะเจ้าคะ” ประโยคนั้นไม่ได้เอ่ยด้วยเสียงอ้อนวอน ไม่ใช่คำสั่งหรือการยื้อเวลา แต่มันคือคำสัญญาเงียบ ๆ จากผู้ที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ ก่อนต้องกลับไปทำหน้าที่อันโหดร้ายในวังหลวง


จางกงกงเงียบไปชั่วอึดใจดวงตาคู่นั้นกะพริบช้าราวกับกลั้นบางอย่างเอาไว้...ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นโอบประคองหลังเธอไว้อย่างแนบแน่น แล้วดึงหญิงสาวเข้าสู่อ้อมกอดเงียบ ๆ โดยไม่มีถ้อยคำใดจากปาก เขาไม่พูด แต่กลับซุกใบหน้าแนบเข้าที่ลาดไหล่ของหลินหยา วางคางไว้ตรงกลุ่มผมของเธอเหมือนเด็กชายเงียบขรึมผู้ไม่รู้จักการบอกรัก แต่ดื้อดึงจะกอดเธอแน่น ๆ แทนคำพูด


ความเงียบโรยตัวลงครู่หนึ่งในห้องพักชั้นบนสุดของหอว่านหงเหริน ท่ามกลางม่านแสงบ่ายที่ส่องลอดบานหน้าต่างลงมากระทบผิวอุ่นของทั้งคู่ หลินหยาไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากวางคางลงบนบ่าของเขาแล้วกอดตอบกลับไปแน่น ๆ เช่นกัน


หากความรักของเขาคือรอยแผลลึกและขมขื่น...นางก็จะเป็นมือน้อย ๆ ที่ทายาให้อย่างเงียบ ๆ โดยไม่ถามไถ้อะไรเลยทั้งสิ้น นั่นแหละ...คือเหตุผลที่จางกงกงไม่อยากปล่อยนางให้ใครหน้าไหนไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: มาหวานไว้ก่อน เผื่อทะเลาะกันบ้านแตก 5555


รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 40512 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-30 17:56
โพสต์ 40,512 ไบต์และได้รับ +9 EXP +10 คุณธรรม จาก ตำราขนมหวานสูตรลับ  โพสต์ 2025-8-30 17:56
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-31 17:22:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-31 17:25


วันที่ 31 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


หอว่านหงเหรินในยามเซินดูสงบเงียบอย่างน่าประหลาด แสงแดดจากยามบ่ายคลี่คลุมลงบนตัวอาคารหลังใหญ่ที่ทอดตัวอยู่ริมถนนสิบลี้ฝั่งตะวันตก ผ้าแพรสีแดงอ่อนที่แขวนประดับตามหน้าต่างโบกพลิ้วเบา ๆ ตามแรงลม ลวดลายหงส์ประทับทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ ทำให้หอแห่งนี้ยังคงความหรูหราและลึกลับในเวลาเดียวกัน หลินหยาก้าวเท้าขึ้นบันไดชั้นบนสุดของหออย่างเคยชิน แววตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนฉายแววสดใสเหมือนทุกครั้งที่มาหาเขา วันนี้นางมาถึงโดยไม่แม้แต่จะแจ้งล่วงหน้า เพียงถือกล่องขนาดย่อมที่ห่อด้วยผ้าลินินสะอาดในมือ ซึ่งด้านในคือขนมชิงถวนที่เพิ่งทำเสร็จร้อน ๆ กลิ่นหอมอ่อนของหญ้าอ้ายเฉ่ารั่วลอดออกมาตามรอยพับของผ้าให้สัมผัสอุ่นใจแต่แรกเห็น


หญิงสาวยกมือเคาะบานประตูไม้เคลือบเงาเบา ๆ เสียงเคาะแผ่วชัดดังกังวานในโถงเงียบ แล้วเจ้าตัวก็โผล่หน้าเข้ามาชะโงกดูด้านในอย่างเคย "จ๊ะเอ๊~ ท่าน~" เสียงสดใสเอ่ยเรียกอย่างไม่เป็นทางการนัก ดวงหน้านวลเปล่งปลั่งคลี่ยิ้มขี้เล่นในแบบของนาง


ภายในห้องจางกงกงที่อยู่ในชุดผ้าไหมสีหม่นเรียบหรู นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานซึ่งเต็มไปด้วยม้วนหนังสือ บันทึกบัญชี และเอกสารหลายรายการ เขาไม่ได้อยู่ในอิริยาบถเคร่งขรึมของขุนนางวังหลวง หากแต่เอนกายเล็กน้อยในท่าอ่านรายงานอย่างสบายใจ มีถ้วยชาวางอยู่ข้างมือ และเส้นผมที่ถูกปล่อยลงไม่ได้มัดเก็บไว้อย่างเป็นทางการ ช่างดูคล้ายเจ้าของหอผู้ลึกลับเสียมากกว่า


ทันทีที่ได้ยินเสียงของนาง เขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาคมดั่งอสรพิษเงียบงันคู่นั้นวาววับในแสงอ่อนของห้อง ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงนิดราวกับปราม "เข้ามาได้แล้ว เจ้าชอบโผล่มาแบบนี้อยู่เรื่อยเสี่ยวหยา" น้ำเสียงทุ้มต่ำเปล่งออกเบา ๆ ราวกับจะตำหนิ แต่สีหน้าเขากลับผ่อนคลายขึ้นโดยไม่รู้ตัว


หลินหยาแสร้งเบ้ปากแล้วเดินเข้าไปวางกล่องขนมไว้บนโต๊ะ "แหนะ ข้าอุสส่ามาเลยนะก็แค่อยากให้ท่านชิมของอร่อย ข้าเอาขนมชิงถวนเพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ กลิ่นหญ้าอ้ายเฉ่ายังหอมอยู่เลยนะ" นางยิ้ม ดวงตาหยีลงอย่างทะเล้นพลางขยับตัวนั่งลงข้างเขาอย่างไม่มีพิธีรีตอง “อีกอย่าง ข้าคิดว่าท่านอาจจะไม่ได้ทานพวกของหวานบ้าน ๆ แบบนี้บ่อยนัก เพราะในวังคงมีแต่ของเลี่ยน ๆ...ที่หวานจนลิ้นจะละลายแน่ ๆ ใช่ไหมล่ะเจ้าคะ?”


เขาเหลือบตามองเธอที่ช่างพูดไม่หยุด ก่อนจะขยับมองเบื้องหน้านาง ขณะหนึ่งหลินหยาคิดว่าเขาจะดุ แต่กลับกลายเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นไปดึงปมผ้าที่ห่อกล่องออกอย่างเงียบงัน กลิ่นหอมละมุนของแป้งข้าวเหนียวและหญ้าอ้ายเฉ่าอบอวลทันทีที่ผ้าคลี่ออก จางกงกงหยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาพิจารณา สีเขียวอ่อนใสมันเงาราวกับหยกอ่อนขัดเกลา ผิวเนียนตึง บ่งบอกว่าแป้งนวดอย่างดีและนึ่งอย่างพอเหมาะ เขาใช้ปลายนิ้วหยิบมาวางไว้ในปากตัวเอง สัมผัสแรกคือความเหนียวหนึบอ่อนนุ่มที่ละมุนลิ้น กลิ่นหญ้าอ้ายเฉ่าอวลขึ้นในโพรงจมูกอย่างสดชื่น ถั่วแดงกวนละเอียดแทรกด้วยเม็ดบัวเนียนแน่นและน้ำตาลน้ำมันหมูที่ซ่อนอยู่ข้างใน...รสชาติสมดุลอย่างน่าประหลาด


เขาเคี้ยวเงียบ ๆ ช้า ๆ เหมือนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง...ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นเพียงเสี้ยวเดียว และสายตาก็ทอดมองหลินหยาที่รอคำชมอยู่เงียบ ๆ อย่างรู้งาน "อืม...ไม่เลว" คำชมแสนสั้นออกมาจากปากคนพูดน้อย แต่กับหลินหยานั้นเท่ากับบทกวีสามบทครึ่ง


"ข้าใส่ไส้เพิ่มพิเศษเลยนะเจ้าคะ ท่านชอบไหม?" นางยิ้มกว้างทันทีที่เขาชม


"เจ้าว่าข้าจะกล้าพูดไม่ชอบหรือ?" เขาถามกลับเรียบ ๆ แล้วเอื้อมมือไปหยิบอีกชิ้น "หรือเจ้าตั้งใจจะให้ข้าติดของกินเจ้า จนวันไหนไม่ได้กินจะนอนไม่หลับ?"


“ใช่เจ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวาน “นั่นแหละคือแผนของข้า” เมื่อได้ฟังจางกงกงหัวเราะในลำคอเบา ๆ กลั้นไม่ให้หลุดเสียงออกไปเต็มคำ แม้ใบหน้าจะนิ่งเฉยแต่ในดวงตากลับสั่นไหวแผ่วเบา และสำหรับเขา…ไม่มีพิษใดในโลกนี้ร้ายแรงเท่าขนมที่หลินหยานำมาให้อีกแล้ว เพราะมันไม่ใช่เพียงของหวานที่ชโลมปลายลิ้น หากแต่คือความผูกพันที่ค่อย ๆ ล้อมเขาไว้ด้วยรอยยิ้มของหญิงสาวคนหนึ่ง...จนแม้แต่จางกงกงผู้ไม่รู้จักคำว่าอ่อนแอก็ยังไม่อาจปฏิเสธ


ต่อมาร่างเล็กของหลินหยาเหมือนแมวตัวน้อยที่ชอบคลอเคลียเมื่อรู้สึกสบายใจ นางไม่ได้ขออนุญาตด้วยถ้อยคำใด เพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ เลื่อนสะโพกนั่งลงบนตักของจางกงกงอย่างแนบแนียน ราวกับถือสิทธิ์อยู่แล้วโดยไม่ต้องได้รับอนุญาต ใบหน้าหวานหันมายิ้มตาหยีอย่างเจ้าเล่ห์ ขณะมืออีกข้างก็ยกขึ้นแตะแขนของเขาไว้เหมือนจะพิงพา


"ข้าขอนั่งตรงนี้นะเจ้าคะ ท่านก็อย่าดุนะ" เสียงหวานเอ่ยเบา ๆ ราวกับกล่อมใจ


จางกงกงเงยหน้ามองนางครู่หนึ่ง ไม่ได้เอ่ยตำหนิแม้แต่น้อย เพียงแต่หรี่ตามองต่ำเล็กน้อย สีหน้าเรียบเย็นเช่นเดิม…แต่ในแววตานั้นกลับแฝงความอ่อนโยนอันยากจะอ่านทะลุ มือของเขาวางนิ่งบนตัก คล้ายจะไม่แตะต้องนาง แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่าปลายนิ้วที่ขยับแผ่วเบาอยู่ตรงข้างเอวของนางนั้น เป็นสัมผัสที่แทบจะมองไม่เห็นแต่เปี่ยมด้วยความหมาย


“ช่วงนี้...” เสียงของหลินหยาดังขึ้นข้างใบหูเขา ขณะเอนศีรษะพิงไหล่เขาเล็กน้อย “…ข้ารู้สึกแปลก ๆ เจ้าค่ะ ดวงตาข้าเหมือนจะมองเห็นอะไรบางอย่างมากขึ้น…มากกว่าที่ควรจะเห็นเลยไปเจอสิ่งนี้มาเจ้าค่ะ ข้าลืมมันไปเสียสนิท” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของนางเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะหยิบสิ่งของจากถุงผ้าข้างเอวออกมา มันเป็นกระจกกลมเล็ก ๆ ขอบโลหะสีเงินหม่นที่ดูไม่หรูหราแต่กลับมีออร่าบางอย่างน่าประหลาด ตัวกระจกไม่ใสส่องแบบธรรมดา หากแต่พื้นผิวภายในแผ่นสะท้อนนั้นดูคล้ายหมอกบาง ๆ ที่ไหลเวียนตลอดเวลา


“นี่...กระจกเงาแห่งปัญญา ข้าได้มาระหว่างเดินทางไปหาท่านที่หานตานนู่นแน่ะ” นางชูขึ้นให้เขาดู ก่อนจะบ่นเบา ๆ “สนมลั่วซานที่ให้มาบอกว่า ถ้าใช้สมาธิจดจ่อแล้วมองไปที่ใครในกระจก จะเห็นความจริงในใจของเขา ไม่ใช่แค่หน้าตา…ข้ายังไม่ได้ลองใช้เลยสักครั้ง” นางหมุนตัวเบา ๆ บนตักเขาให้หันมาประจันหน้ากับเขา แกว่งกระจกในมือเล่นอย่างคนกำลังครุ่นคิด แล้วหรี่ตาลงอย่างจงใจมองอีกฝ่าย


งาสะท้อนในกระจกฉายภาพใบหน้าคมคายของจางกงกง ผู้ยังนั่งนิ่งราวกับไม่สะทกสะท้าน สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม ขณะดวงตาลุ่มลึกยังจับจ้องที่นางโดยไม่หลบเลี่ยง "เจ้าจะลองกับข้ารึ?" เขาถามเสียงเรียบ แววตาวาววับน้อย ๆ คล้ายปรามคล้ายท้า


"ลองสิเจ้าค่ะ ข้าอยากรู้ว่าคนที่เอาแต่ทำหน้าดุ นั่งขึงขังอยู่ทุกวันนี่...ในใจเขาคิดอะไรอยู่แน่นะ?"


"หึ..." เขาแค่นหัวเราะในลำคอเบา ๆ แต่สายตาไม่หลบไปไหนเลย "เจ้ามั่นใจหรือว่าอยากเห็น?"


“ข้ามั่นใจเจ้าค่ะ…” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นอีกครั้ง หลินหยายังนั่งอยู่บนตักของเขา มือนั้นกุมกระจกไว้อย่างมั่นคง "...ข้าสงสัยมานานแล้ว ตั้งแต่เรื่องจางทัง…ถิงเว่ย…เขาเป็นเพื่อนของข้า" มือเล็กที่ถือกระจกแห่งปัญญาสั่นแผ่วไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะภายในดวงตาคู่งามของหลินหยาดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนซึ่งเคยทอแสงสดใสเสมอมาในยามนี้กลับเต็มไปด้วยเงาสะท้อนของความลังเล ความเจ็บปวด และความเชื่อที่กำลังถูกกัดกร่อนทีละน้อย นางไม่ได้กล่าวด้วยเสียงแข็งกร้าวหรือเอ่ยตัดสินด้วยความโกรธ ทว่าสิ่งที่กระซิบออกมานั้นกลับหนักแน่นยิ่งกว่าคำกล่าวโทษใดในโลก


“ตอนนั้น…ตอนที่ท่านจูบข้าเป็นครั้งแรก ท่านบอกว่าที่จางทังหายไปเพราะจางทังทรยศแผ่นดินหนีไปซ่องสุมกำลัง ทว่า...ท่านก็รู้ใช่ไหมเจ้าคะ ว่าคนอย่างจางทังไม่มีวันทำเช่นนั้น ข้าไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย” นางกลืนน้ำลายลงช้า ๆ มองใบหน้าเยือกเย็นของอีกฝ่ายนิ่งนาน "ข้าไม่อยากทะเลาะกับท่านนะเจ้าคะ แต่ข้าอยากรู้…ใจจริงของท่าน ข้าอยากให้ท่านยืนยัน ข้าจะไม่ถามเป็นครั้งที่สอง…เรื่องของจางทัง ถิงเว่ย เขาหายไปไหนกันแน่? ข้าอยากรู้ หากเพื่อนข้าเป็นอันตรายข้าจะไปช่วยเหลือเขา ข้าเห็นบางอย่างจากท่านตอนนั้น...ท่านได้โปรดข้าจะไม่โกรธเลยหากมันไม่ใช่อย่างที่ท่านพูด หากท่านเคยโกรธเขาเพราะข้าก็ไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้บ้านเมืองวุ่นวายนัก หรือท่านกับจางทังรวมหัวกันปั่นหัวใส่ข้า? ข้าไม่รู้เลยว่าสิ่งใดที่ข้าควรทำ? สิ่งใดกันแน่คือความจริงในใจของท่าน?" เสียงเงียบโรยตัวลงในห้องราวม่านหมอกหนา ชั่วขณะหนึ่งที่หลินหยาไม่ได้รับคำตอบหัวใจของนางเหมือนหยุดเต้นไปชั่วครู่


จางกงกงยังคงนิ่ง เงียบงัน เขานั่งอยู่ใต้แสงตะเกียงซึ่งสั่นไหวเบา ๆ ราวเงาที่แอบฟังทุกถ้อยคำในความเงียบงันนั้น ใบหน้าเรียบสนิทของเขาไม่เผยแม้ร่องรอยความลังเล แต่ดวงตากลับดูลึกซึ้งยิ่งกว่าท้องนภาราตรี กลับกลืนกินเสียงของนางราวหลุมดำที่ไม่มีแม้แต่เงาสะท้อนให้กลับคืน “เจ้าต้องการเห็นความจริงงั้นหรือ?” เสียงต่ำเอ่ยออกมาช้า ๆ


“ได้”


เมื่อคำว่าได้หลุดออกจากปากของเขามันเบาเป็นเสียงเรียบ แต่กลับหนักแน่นยิ่งกว่ามีดคมกริบหลินหยาก็รู้ทันทีว่าไม่อาจถอยหลังได้อีกแล้ว นางพ่นลมหายใจยาวออกมาจากปอด มือเรียวกำกระจกแน่นราวกับยึดมั่นในเงาของความจริงที่กำลังจะปรากฏ แม้จะยังไม่รู้ว่าจะต้องเจ็บแค่ไหน มือเล็กที่สั่นอยู่จาง ๆ คล้ายจะหยุดเมื่อหลินหยาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ตั้งสติทั้งหมดที่มี ก่อนจะมองเขาตรง ๆ ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของนางเปล่งประกายไม่ใช่เพราะหยาดน้ำตา แต่เพราะความตั้งใจแน่วแน่ที่ฝ่าความคลางแคลงทั้งหมดมารวมอยู่ ณ ขณะนี้


จางกงกงนั่งนิ่งตรงหน้า นัยน์ตาสีเข้มนั้นราวกับทะเลที่ไร้แสงจันทร์ลึกล้ำมืดมิด เย็นยะเยือก แต่มีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวน้ำนั้นเสมอ ขณะสายตาของทั้งสองประสานกันในความเงียบสงัดอันเปราะบาง ทุกสิ่งในห้องพลันชะงักราวโลกหยุดหมุน เหลือเพียงเสียงลมหายใจของกันและกันที่ค่อย ๆ สอดประสานเข้าหาอย่างไม่รีบร้อน...เหมือนดาบสองคมที่พร้อมเฉือนลึกลงกลางอก แต่ยังคงวางคมไว้อย่างสงบ


ดวงตาของหลินหยา...ในยามนี้งดงามยิ่งกว่าครั้งใด และก็น่ากลัวยิ่งกว่าครั้งใดเช่นกัน เพราะมันคือดวงตาของผู้ที่กล้ามองความจริงไม่ว่าเจ็บแค่ไหนก็ตาม และเขา…ก็กล้าที่จะยอมให้มองเช่นนั้น




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: มาตามจางทังกลับให้หมอ (เนื้อเรื่องจางทังสรุปในโรลแล้วเผื่อลืม)


ถามจางกงกงเกี่ยวกับความจริงเรื่องของจางทัง 

(ต้องการตามหาและพาจางทังกลับมาอย่างปลอดภัย)


ใช้เอฟเฟ็ค กระจกแห่งปัญญา

กระจกจะเผยให้เห็นความคิดที่ซ่อนเร้น ความตั้งใจที่แท้จริง อารมณ์ที่ถูกเก็บกด หรือแม้กระทั่งคำโกหกที่ถูกปกปิดไว้

ใช้ได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป้าหมายคือ  [NPC-11] จางกงกง


รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง


แสดงความคิดเห็น

กระจกใช้ได้อีกครั้งวันอาทิตย์สัปดาห์หน้า  โพสต์ 2025-8-31 17:36
กระจกส่องความในใจคนผู้นี้ไม่ได้เนื่องจากเขามีความคิดซับซ้อนเกินไป  โพสต์ 2025-8-31 17:35
โพสต์ 46945 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-31 17:22
โพสต์ 46,945 ไบต์และได้รับ +9 EXP +12 คุณธรรม +10 ความโหด จาก กระจกแห่งปัญญา  โพสต์ 2025-8-31 17:22
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-8-31 23:15:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 31 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


กระจกจงเงาในมือนางเปล่งแสงสีอ่อนวาบขึ้นคล้ายจะตอบสนองต่อพลังจิตที่หลินหยาใช้ในการเพ่งสมาธิ แต่ทันทีที่เงาภาพเริ่มปรากฏ มันกลับบิดเบี้ยว ผันแปรเป็นม่านหมอกหมุนวนก่อนจะสลายหายไปในพริบตา เหลือเพียงเงาตัวนางเองที่สะท้อนกลับมาเบลอเลือน ราวกับจ้องมองภาพในสระน้ำยามที่ฝนโปรยปราย


กระจกจงเงาแห่งปัญญา…ไม่อาจส่องภาพภายในใจของจางกงกงได้


หลินหยาขมวดคิ้วทันที ดวงตากลมโตเปล่งความไม่เข้าใจออกมาจากภายใน ทว่าสิ่งที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าคือคนตรงหน้า นัยน์ตาสีเข้มของเขากลับฉายแววเย้าแหย่อย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยตรงมุม มันไม่ใช่ยิ้มจริงใจหรอก แต่เป็นรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย แบบที่จางกงกงชอบทำเวลารู้ว่านางจนมุมแล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้


"อะไรกัน? มันมองไม่เห็นงั้นรึ?" เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นเบา ๆ เขาเอนกายพิงพนักที่นั่งราคาแพงในห้องส่วนตัวของหอว่านหงเหริน กอดเอวหลินหยาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งแนบแน่น ราวกับกลัวว่านางจะหนีไปตอนหงุดหงิด


หลินหยาทำหน้าพองแก้มริมฝีปากเล็ก ๆ เม้มแน่นอย่างคนที่ไม่ได้ดั่งใจ ท่านชายห่าวหมิงตรงหน้านางยังคงเก็บงำความจริงไว้ได้แม้จะใช้กระจกศักดิ์สิทธิ์แล้วเชียว ยิ่งมองใบหน้าระรื่นอย่างจงใจยั่วโมโหนั้น นางยิ่งรู้สึก หมั่นไส้! "ท่านมันร้าย!" เสียงใสพึมพำเบา ๆ ด้วยอารมณ์กรุ่น ก่อนที่เด็กสาวจะขยับตัวในท่านั่งตัก พลิกตัวเอียงเล็กน้อยหยิบกระจกจงเงาวางไว้ข้างกาย แล้วเอาสองมือเล็ก ๆ ยื่นไปยืดแก้มอีกฝ่ายเสียเลย!


“ฮึบ!”


สองมือบีบแก้มเรียวคมของจางกงกงเต็มแรง หยีตายืดแก้มทั้งสองข้างของเขาให้ย่นเป็นลูกหมาโดนบีบ แรงไม่แรงไม่รู้แต่แกล้งด้วยความสะใจล้วน ๆ ใบหน้างามคมที่มักแฝงไว้ด้วยเล่ห์ลึก กลับถูกยืดจนย่นพิลึก "ข้าหมั่นไส้ท่านที่สุดเลย! อยู่ดีไม่ว่าดี มาทำหน้าระรื่นใส่ข้าอีก! บอกความจริงก็ไม่บอก!" น้ำเสียงดื้อรั้นของหลินหยาแทบไม่ปิดอารมณ์ใด ๆ ได้เลย แต่ในดวงตากลับเปล่งประกายขบขันปนรักใคร่ พอ ๆ กับร่องรอยของความเป็นห่วงที่ยังคงไม่จางหาย


เขาหัวเราะในลำคอ เสียงทุ้มต่ำสั่นสะเทือนเหมือนคลื่นที่ปะทะริมฝั่งเบา ๆ "หึหึ...อย่าคิดว่าเจ้าจะรอดนะ" มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นแตะแขนของนางเบา ๆ ในจังหวะที่หลินหยายังยืดแก้มเขาอยู่ แล้วในพริบตาเดียว จางกงกงพลิกสถานการณ์ เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะกัดเบา ๆ ลงบนแก้มนุ่มของหลินหยาแทนคำเอาคืน "เจ้ากล้าบีบแก้มข้า...ก็เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ" เสียงของเขาดังอยู่ข้างหูเธอ ริมฝีปากยังแตะอยู่ที่ผิวนวลอย่างหยอกเย้า


บ้าจริง! แค่จะยืดแก้มทำไมถึงต้องแกล้งกลับแบบนี้ด้วยเล่า!!


“ถ้าท่านไม่ยอมบอกข้า ข้าจะไปหาซินแสที่ตลาด ดูดวงถามเลยว่า ‘จางกงกงโกหกข้าหรือเปล่า’  หรือ จางทังอยู่ที่ไหน ข้าจะไปช่วยเขา! น่ะสิ! และหากทำได้ ข้าจะลากท่านไปช่วยจางทังด้วย!!” เสียงหวานแว่วอย่างคับข้องใจของหลินหยาเอ่ยขึ้น มือเล็กยกกระจกวางลงข้างตัวอย่างหงุดหงิด พอ ๆ กับที่นางขยับตัวนั่งตัวตรงบนตักอีกฝ่าย หันข้างใบหน้าพอง ๆ ของตนให้อยู่ในระนาบเดียวกับสายตาชายหนุ่มแล้วกอดอกแน่น หน้างอเป็นลูกแมวถูกงดขนม ขณะที่สายลมจากหน้าต่างลูบเส้นผมสีน้ำตาลเข้มของนางให้พลิ้วเบา ๆ ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยแววขุ่นเคืองแต่ก็ยังซ่อนความน่ารักไว้อย่างเต็มเปี่ยม


"อ๋า...จะไปดูดวง?" จางกงกงทวนคำเสียงยานคาง น้ำเสียงเปื้อนรอยหัวเราะอย่างจงใจ "เช่นนั้นเจ้าควรรีบไปแต่เช้าเลยนะ จะได้จับจองคิวหน้าแผงก่อนใครเขา" ว่าแล้วเขาก็จงใจเอนกายพิงพนักตั่งไม้มากขึ้นอีกนิดในท่าทางสบาย ๆ มือใหญ่ที่ยังคงโอบเอวบางของหลินหยาไว้กลับเลื่อนขึ้นลูบแผ่นหลังนางเบา ๆ อย่างเอาใจ พร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจในแบบฉบับของตน "แต่เจ้าจะถามให้แน่ใจดีหรือ ว่าเรื่องของข้ากับเจ้านั่นน่ะ...ซินแสเขาจะบอกว่าอย่างไรบ้าง?"


“ข้าจะถามให้หมด! ทั้งเรื่องท่าน! ทั้งเรื่องจางทัง!” หลินหยาหันกลับมาเงื้อมือทำท่าจะตีเขาแต่เขายังนั่งนิ่งอย่างท้าทาย “ถ้าซินแสว่าท่านโกหกข้าก็จะไม่แปลกใจเลย แต่ข้าจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ทุกอย่างให้ดูเอง” จางกงกงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ฟังประโยคที่ดูกึ่งจะประชดประชันของหลินหยาแล้วกลับรู้สึกเพลิดเพลินไม่หยอก แววตาของเขาเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ขณะโน้มหน้าลงต่ำ เอ่ยเสียงนุ่ม


"หืม? ถ้าซินแสบอกว่าข้ารักเจ้าล่ะ?" คำพูดของเขากระซิบชิดใบหูนาง จนเจ้าของร่างในอ้อมแขนสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าร้อนวูบจนขึ้นสีลูกท้อสุกละเรื่อไปถึงปลายหู


“ทะ…ท่าน…! อย่ามาแกล้งนะ!” นางขยับตัวหนีอย่างเงอะงะ พยายามตีมือที่เลื้อยลูบแผ่นหลังนางออกไป แต่นั่นก็เป็นการเปิดช่องให้อีกฝ่ายฉวยโอกาสโน้มตัวมากอดรัดร่างนางแน่นขึ้นอีก มือหนึ่งกอดเอวนางไว้ ส่วนอีกมือก็ยันที่นั่งไว้มั่นปิดทางหนี "แกล้งหรือ? ข้าแค่ถามเฉย ๆ เองนะ" เสียงทุ้มยังคงเต็มไปด้วยแววขบขัน ดวงตาคมวาวอย่างหมาป่าร้ายที่รู้ดีว่าหนูน้อยในอ้อมแขนกำลังจนมุมแต่ก็ยังทำตัวแสนดื้อดึงไม่เลิก


"เจ้านี่นะ...จะเอาแต่ฟังซินแส แล้วไม่คิดฟังหัวใจของข้าเลยหรืออย่างไร?"


“หัวใจของคนท่าน…ไม่มีใครฟังออกหรอก!” หลินหยาสวนกลับเสียงแข็ง ทั้งที่เสียงสั่นเพราะตนก็ไม่แน่ใจนักว่าหัวใจของเขานั้น...กำลังจะพานางไปทางใด แต่เขากลับหัวเราะอีกครั้งเอื้อมมือแตะปลายคางนางเบา ๆ ยกขึ้นให้สบตา "งั้นก็อย่าลืมกลับมาบอกข้าด้วยล่ะ ว่าซินแสบอกว่าอย่างไร...ข้าจะได้รู้ว่าหัวใจข้านั้นพูดกับเจ้าผ่านกระจกหรือผ่านริมฝีปากของข้าดี?"


หลินหยาอ้าปากค้างหน้าแดงจัดแผดเสียงออกมา “บ้าจริง!!” ใส่เขา ก่อนจะฟาดมือลงบนหน้าอกกว้างด้วยแรงหมั่นไส้แล้วหันข้างหลบสายตาอย่างหมดท่าเพราะสุดท้าย...ไม่ว่าเธอจะทำอะไร คนผู้นี้ก็ยังหาทางแกล้งนางได้อยู่ดีไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: ผม จะ ไป หา จาง ทัง ได้ ที่ ไหน

อ๊าคคคคคคคคคค


รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 31224 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-31 23:15
โพสต์ 31,224 ไบต์และได้รับ +9 EXP +12 คุณธรรม +10 ความโหด จาก กระจกแห่งปัญญา  โพสต์ 2025-8-31 23:15
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-9-1 19:41:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 01 เดือน 8 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน  (พบ จางกงกง)


เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ในห้วงยามเซิน แสงอาทิตย์บ่ายคล้อยลอดม่านผ้าชั้นดีเข้ามาในห้องพักส่วนตัวชั้นบนสุดของหอว่านหงเหริน เงาของบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งทอดกายพิงพนักที่นั่งกลางห้อง ดวงตาเรียวยาวสีเข้มทอดมองภาพเมืองฉางอันจากหน้าต่างอย่างครุ่นคิด จนเสียงฝีเท้าเบา ๆ และกลิ่นเฉพาะตัวของใครคนหนึ่งลอยมาแตะปลายจมูก "…" เขาหันขวับไปทันที


ประตูเปิดออกโดยไม่ต้องรอคำอนุญาต และคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือคนที่เขาไม่เคยไล่พ้นจากความคิดแม้เพียงครึ่งวัน “...” หลินหยาไม่เอ่ยคำใด ไม่แม้แต่จะยิ้มตามแบบของนาง…ใบหน้าเล็กซีดเซียว นัยน์ตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนที่เคยเป็นประกายกลับดูเลื่อนลอยว่างเปล่า ราวกับเพิ่งเดินหลงมาจากโลกใบอื่น นางเดินเข้ามาหาเขาอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะโถมตัวซุกกอดเข้ากับร่างของเขาเต็มแรงเหมือนแมวน้อยที่วิ่งหนีฝนมา


จางกงกงชะงักเล็กน้อยในจังหวะแรก ก่อนจะยกแขนโอบรับร่างเล็กนั้นเข้ามาแนบอก ชั่วครู่หนึ่งเขาไม่ได้พูดอะไร นอกจากเลื่อนมือลูบเส้นผมนางอย่างเงียบงัน ปลายนิ้วไล้ลงมาตามแผ่นหลังบาง ละมุนราวจะปลอบโยนทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แล้วเสียงบ่นงึมงำของหญิงสาวก็ดังขึ้นตรงอกเขา เสียงที่ปนสะอื้นน้อย ๆ แบบคนที่ไม่ได้ร้องจริงจัง แต่เหมือนจะร้องก็ร้องไม่ออก


“วันนี้ข้าไปดูดวงมาแล้ว…” เสียงนั้นสั่นเครือ "ข้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด ซินแสตงฟางพูดอะไรก็ไม่รู้…แปลไม่ออกเลยสักนิด ข้าโง่เกินไปหรือเปล่า ฮือ…ข้าไม่ได้ตั้งใจ…แต่ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ตอนเขาพูดข้าหูดับไปหมดเลย…” คำสารภาพเหล่านี้ทำเอาชายตรงหน้าถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ เขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ขณะที่มือยังคงลูบหลังนางไปอย่างไม่หยุด ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นฉายแววขบขันและเอ็นดูท่วมท้น


“ก็เพราะเจ้ามันโง่ไง” เขาก้มลงกระซิบชิดใบหูนาง เสียงทุ้มพร่าเจือเจตนาแกล้งอย่างชัดเจน “โง่แล้วก็ยังดื้อ ยังเอาแต่ใจ ยังพาล ยังขี้อ้อนอีกต่างหาก”


“ท่าน…!” หลินหยาผละออกเล็กน้อยพลางตวัดสายตาค้อนเขาอย่างแรง ทั้งหน้างอทั้งแดงจัดไปถึงหูแต่ดูเหมือนคนพูดจะไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด เขากลับยกมืออีกข้างขึ้นจับปลายคางนางเบา ๆ แล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้อีกหน่อย ริมฝีปากแตะหน้าผากอย่างเนิบนาบ


"แต่ก็เป็นเจ้าแบบนี้แหละที่ข้าชอบ" เขากระซิบแผ่วยิ้มเอื่อย ๆ อย่างหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ที่ลอบงับหัวใจคนไม่ทันรู้ตัว “แม้จะโง่จนแปลคำของหมอดูไม่ได้…แต่กลับฉลาดพอจะเดินมาหาข้าก่อนใคร” หลินหยานิ่งงันเล็กน้อยสีหน้าที่หม่นลงเมื่อครู่เหมือนจะสว่างขึ้นมานิด ๆ นางไม่รู้ว่าทำไมคำพูดนั้นถึงปลอบโยนได้มากกว่าคำว่าไม่เป็นไรหรือเจ้าทำดีที่สุดแล้วเสียอีก นางกัดริมฝีปากตนเองเบา ๆ แล้วซบหน้ากับไหล่ของเขาอย่างหมดแรง


“ข้าหงุดหงิดนะเจ้าคะ…” เสียงนางดังอู้อี้จากอกเขา

“รู้” เขายิ้มขำ ๆ แล้วกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีก

“หงุดหงิดที่ข้าไม่เข้าใจ”

“ก็รู้…”


“แล้วก็หงุดหงิดที่ทำไมพวกหมอดูชอบพูดอะไรยาก ๆ ไม่ยอมใช้ภาษาคนง่าย ๆ ซะบ้าง…” หลินหยาหน้างอแล้วเหมือนจะไม่เข้าใจอะไรเลยจริง ๆ หลินหยางอนด้วยซ้ำตอนนี้ จางกงกงหัวเราะคราวนี้ออกมาเต็มเสียง “แหม เจ้าจะโทษซินแสก็ไม่ได้นะ คนเขาเป็นเซียนเกือบ ๆ จะไม่ใช่มนุษย์แล้ว เขาก็ต้องพูดแบบเซียนสิไม่ใช่แบบแม่ค้าแถวถนนสิบลี้”


"แต่ข้าเข้าใจแม่ค้าแถวนั้นมากกว่านี่!!"


“อา ข้ารู้” เขาพยักหน้าอย่างเอาใจสุดชีวิต "เช่นนั้นวันหน้า ถ้าเจ้าจะดูดวงอีก ข้าจะไปนั่งแปลให้เองดีหรือไม่?” หลินหยาชะงักหันมามองหน้าเขาอย่างตกใจนิด ๆ ก่อนที่ใบหน้าจะขึ้นสีโดยอัตโนมัติ เขาไม่ตอบอะไรไปมากกว่านี้แต่มือก็ลูบหลังนางไปมาเบา ๆ จนคนที่เพิ่งบ่น ฮือ ๆ เมื่อครู่ ค่อย ๆ สงบลง กลายเป็นแมวน้อยที่เอาแต่ซุกไหล่เขาเงียบ ๆ แบบคนหมดแรงจะดื้อ และในยามนั้น…จางกงกงก็ได้แต่มองเส้นผมนางที่ปลิวแผ่วตามลมอย่างเงียบ ๆ พร้อมเสียงลมหายใจสม่ำเสมอที่ชวนให้รู้สึกอบอุ่นเหลือเกินในอกเขา


ในเมื่อนางหันหลังกลับมา…แล้วบ่นถึงเขาเป็นคนแรก จะให้เขาทำอะไรได้อีกล่ะ นอกจากกอดนางไว้แน่น ๆ และเป็นคนที่นางบ่นใส่ได้เสมอไม่ว่านางจะโง่ จะฉลาด จะดื้อ จะร้องไห้ จะหัวเราะ หรือจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจเลยก็ตาม




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: ผม ไม่เข้าใจอะไรเลยยย


รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 28,048 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-9-1 19:41
โพสต์ 28,048 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-9-1 19:41
โพสต์ 28,048 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม จาก โล่ไม้  โพสต์ 2025-9-1 19:41
โพสต์ 28,048 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-9-1 19:41
โพสต์ 28,048 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-9-1 19:41
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-9-3 17:55:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ฉางอันเมืองหลวงที่ได้ชื่อว่าศูนย์กลางความรุ่งเรือง ทว่าสำหรับเสวี่ยซี เด็กหนุ่มวัยยี่สิบห้าผู้แบกหัวใจแตกสลายจากการถูกหักหลัง สิ่งที่เขาพบกลับมิใช่ความอบอุ่น หากแต่เป็นหลุมพรางแห่งโลกีย์ที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

วันแรกที่เขาเหยียบย่างเข้ามาในเมือง ทุกสิ่งรอบกายคือความตื่นตา ถนนกว้างใหญ่ พ่อค้าแม่ค้าขายของจอแจ เกี้ยวเจ้าขุนมูลนายผ่านไปมา ผู้คนแต่งกายหรูหรากว่าที่เขาเคยเห็นในเมืองอู๋ ทว่าในความตื่นตานั้น เขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าผู้สิ้นไร้ญาติพี่น้อง

ความทรงจำสิบปีที่ใช้ชีวิตอยู่กับหลี่หยางยังฝังแน่น ภาพรอยยิ้มที่เคยทำให้เขาหลงเชื่อว่าคือความรักจริง ภาพถุงเงินที่ถูกโยนลงตรงหน้าในวันงานแต่ง ภาพสายตาเย็นชาและคำปฏิเสธต่อหน้าผู้คนนับร้อย—ทุกสิ่งกลายเป็นแผลลึกที่กัดกินหัวใจ
“ข้าช่างโง่เง่า...สิบปีที่ทุ่มเท กลับไร้ความหมาย”


เขากระซิบกับตนเองทุกค่ำคืน ความเศร้าบีบคั้นจิตใจจนบางครั้งแทบอยากสิ้นลมหายใจ หากแต่ความหวังเล็ก ๆ ที่จะได้เริ่มต้นใหม่ทำให้เขาฝืนก้าวเดินต่อ

กลางตลาดใหญ่มีชายผู้หนึ่งเอ่ยทัก เสวี่ยซีรูปลักษณ์สะอาดสะอ้าน ดวงตาสีอำพันที่แม้จะหม่นหมองแต่ก็ยังงดงามสะดุดตา จึงเป็นที่ต้องตาของเถ้าแก่หลิว ไค่ เจ้าของหอว่านหงเหรินสถานที่เลื่องชื่อทั้งในด้านศิลปะการร่ายรำและเรือนกายที่ขายให้ผู้ร่ำรวย

“คุณชาย รูปร่างหน้าตาดีเช่นเจ้า เหตุใดจึงมาพเนจรเดียวดาย?”

เสียงทุ้มต่ำของเถ้าแก่หลิวแฝงรอยยิ้ม เสวี่ยซีลังเล ก่อนตอบด้วยความสัตย์ตรง “ข้า...เพิ่งมาจากเมืองอู๋ ยังหาที่ทำงานมิได้”

เถ้าแก่หลิวหัวเราะเบา ๆ สายตาเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่เสวี่ยซีไร้ประสบการณ์ย่อมมองไม่ออก

“หากเช่นนั้น...มาทำงานที่หอของข้าเป็นไร งานนี้มีทั้งเกียรติยศและเงินทอง ไม่เพียงได้เรียนรู้ศิลปะการขับร้องร่ายรำ ยังได้ค่าจ้างสูงถึงร้อยตำลึงเงิน”

เพียงได้ยินคำว่า ร้อยตำลึงเงิน เสวี่ยซีพลันตาเบิกกว้าง นั่นคือจำนวนที่มากพอจะทำให้เขาเลี้ยงชีพได้หลายปี เขาก้มศีรษะโดยไม่ทันคิดสิ่งอื่น
“ข้า...ยินดีจะทำงานที่นั่น”

หอว่านหงเหรินตกแต่งหรูหรา ประดับโคมแดงพราวระยับ กลิ่นเครื่องหอมลอยคลุ้งไปทั่ว ทันทีที่เสวี่ยซีก้าวเข้ามา เขากลับรู้สึกเย็นวาบในใจอย่างบอกไม่ถูก แต่คำพูดของเถ้าแก่หลิวเรื่อง เกียรติยศและเงินทอง ทำให้เขาเลือกจะเพิกเฉย


วันที่ 02 เดือน 8 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามโหย่ว เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ


ไม่กี่วันหลังจากนั้น เถ้าแก่หลิวเรียกเสวี่ยซีไปพบ

“วันนี้เจ้าจะต้องรับแขกผู้หนึ่ง ถือเป็นงานแรกของเจ้า หากทำให้เขาพอใจ ข้าจะให้รางวัลมากกว่าที่ตกลงไว้”

เสวี่ยซีชะงัก สีหน้าซีดเผือด “รับ...แขก ข้าเพียงคิดว่ามาทำงานร่ายรำ หรือขายศิลปะมิใช่หรือ?”

เถ้าแก่หลิวหัวเราะเสียงดัง “เด็กโง่เอ๋ย หอว่านหงเหรินหาได้ขายเพียงศิลปะ ร้อยตำลึงเงิน เจ้าคิดว่าจะได้มาเพียงเพราะร้องเพลงหรือร่ายรำงั้นหรือ? หากจะอยู่ที่นี่ ก็ต้องขายทั้งเสียง ทั้งร่างกาย”

ดวงตาสีอำพันของเสวี่ยซีเบิกกว้าง น้ำเสียงสั่นพร่า “ไม่...ไม่ใช่ว่าท่านบอกว่า”

“ฮึ! เจ้าอย่าลืมว่าเจ้ามาเพราะไร้ที่พึ่งพิง หากไม่ทำงานนี้ เจ้าจะกินอยู่อย่างไร? หรือจะออกไปเร่ร่อนเป็นขอทาน?”

คำพูดนั้นกดทับเสวี่ยซีจนไร้หนทาง เขาเม้มริมฝีปากแน่น ความเจ็บปวดเก่า ๆ จากหลี่หยางผุดขึ้นมาอีกครั้ง—ถูกหลอก ถูกหักหลัง และบัดนี้...ถูกผลักลงสู่เหวอีกครั้ง

ห้องส่วนตัวสลัวด้วยแสงตะเกียงน้ำมัน บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นสุรา ควันกำยานหอม ประตูถูกผลักเข้ามา บุรุษในชุดหรูหราก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

เสวี่ยซีคุกเข่าอยู่ตรงกลางห้อง ดวงตาสีอำพันสั่นไหว มือกำชายเสื้อแน่นจนข้อนิ้วขาวโพลน

แขกหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “วันนี้หอว่านหงเหรินมีของใหม่หรือนี่ งดงามนัก ดวงตาของเจ้าช่างสะกดใจ ข้าอยากรู้ว่าจะหวานล้ำเพียงใด”

เสวี่ยซีสั่นสะท้าน พยายามเอ่ยเสียงเบา “ข้า...มิได้ต้องการ...ข้าไม่—”

ทว่าเสียงหัวเราะของแขกดังขัดขึ้น “ในเมื่อเจ้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ก็ย่อมรู้ว่าต้องทำสิ่งใด อย่าแสร้งเล่นตัวไปเลย”

มือหนาของแขกยื่นเข้ามาแตะคางของเสวี่ยซี เงาสีอำพันในดวงตาเขาไหวระริก หัวใจปวดร้าวเหมือนถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ความทรงจำถึงหลี่หยางผุดขึ้นอีกครั้ง ชายที่เขาเคยฝากหัวใจไว้ทั้งดวง ทว่ากลับทำลายมันจนหมดสิ้น
“หลี่หยาง ทำไมข้าต้องมาตกอยู่ในที่เช่นนี้เพราะเจ้า”

น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงบนแก้ม เสวี่ยซีหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง เสียงหัวเราะของแขกดังคลอเคลียไปกับเสียงพิณที่ลอยมาจากห้องข้างเคียง ราวกับทั้งโลกสมเพชในชะตากรรมของเขา

เสวี่ยซีสะดุ้งเล็กน้อยความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ มีเพียงแสงโคมไฟสีแดงที่ไหวตามแรงลมจากช่องหน้าต่าง แสงสลัวนั้นส่องเงาร่างของเด็กหนุ่มลงบนพื้นห้อง ยิ่งขับให้ความสั่นไหวในดวงตาสีอำพันชัดเจน

แขกบุรุษผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ เสียงคล้ายผู้ล่าเพิ่งพบเหยื่อ เขาเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นสุราหนักหน่วงลอยคลุ้ง มือหนาเอื้อมมาแตะคางเสวี่ยซี บังคับให้เงยหน้าขึ้น

แสงโคมไฟสะท้อนเข้าดวงตาสีอำพันนั้น ราวกับเปลวไฟที่กำลังจะดับ “งดงามนัก...ยิ่งเมื่อเจ้าหวาดกลัวเช่นนี้” แขกผู้นั้นกระซิบเสียงพร่า

เสวี่ยซีเม้มปากแน่น ร่างกายแข็งเกร็งเหมือนถูกตรึงไว้ ความทรงจำเก่า ๆ ของหลี่หยางพลันแล่นเข้ามารอยยิ้มที่เคยคิดว่าจริงใจ กลายเป็นเพียงคมดาบที่แทงซ้ำในใจ

แสงโคมไฟไหวแรงขึ้น เงาบนฝาผนังบิดเบี้ยว… เสียงพิณจากห้องข้างเคียงดังคลอเบา ๆ ราวกับเย้ยหยันโชคชะตา

ค่ำคืนยาวนานราวไร้สิ้นสุด โคมไฟแดงริบหรี่ ส่องเพียงภาพเงาที่สั่นไหวบนผนังห้อง บางครั้งราวกับเงานั้นกำลังดิ้นรน บางครั้งราวกับทรุดลงอย่างสิ้นหวัง

น้ำตาหยดหนึ่งไหลลง เงาของหยดน้ำสะท้อนแสงไฟราวประกายแก้ว ก่อนจะดับสลายไปกับความมืด
ค่าจ้าง: 100 ตำลึงเงิน - 15 EXP (รายวัน)


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2025-9-3 18:10
โพสต์ 17198 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-9-3 17:55
โพสต์ 17,198 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก น่ารัก  โพสต์ 2025-9-3 17:55

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +100 ย่อ เหตุผล
Watcher + 100

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3
โพสต์ 2025-9-4 03:28:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย XueXi เมื่อ 2025-9-4 07:05


วันที่ 04 เดือน 8 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11


แสงสว่างยามเช้าเล็ดลอดผ่านหน้าต่างบานเล็กเข้าสู่ห้องแคบ ๆ ที่แทบไม่ต่างจากคุก เสวี่ยซีค่อย ๆ ลืมตา ร่างกายของเขาเหมือนถูกทุบตีทั้งคืน ข้อมือและต้นขายังมีรอยช้ำแดงชัด ความปวดร้าวที่ไม่เคยลบเลือนตอกย้ำว่าค่ำคืนที่ผ่านมาไม่ใช่เพียงฝันร้าย หากแต่คือความจริงที่หนีไม่พ้น

เขายกมือสั่น ๆ ขึ้นแตะดวงตาของตนเอง—ดวงตาสีอำพันที่ครั้งหนึ่งเคยเปล่งประกายใสบริสุทธิ์ยามมองท้องฟ้า วันนี้กลับหม่นหมอง ราวแสงเทียนใกล้มอดดับ

ผมยาวสีดำขลับปรกข้างแก้มยุ่งเหยิง ริมฝีปากบางซีดจนแทบไร้เลือดฝาด ร่างกายสูงโปร่งแต่ผอมบางเกินไป ไหล่แคบแสดงถึงการขาดสารอาหารมานาน เสื้อผ้าธรรมดาที่เขาสวมเมื่อคืนถูกถอดไป เหลือเพียงชุดบางที่หอบังคับให้สวมใส่เสื้อคลุมผ้าไหมบางสีขาวนวล ขลิบด้วยดิ้นเงินตรงชายแขนและคอเสื้อ เนื้อผ้าละเอียดนัก หากแต่สำหรับเสวี่ยซี มันคือพันธนาการที่เปลือยเปล่ากว่าการไม่สวมใส่เสียอีก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่บานไม้จะถูกผลักออก เถ้าแก่หลิวไค่ ก้าวเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่ไม่เคยสื่อถึงความเมตตาแม้แต่น้อย

“เจ้าหายดีหรือยัง? ไม่ว่าอย่างไร คืนนี้เจ้าต้องรับแขกอีก”

เสวี่ยซีเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นระริก ริมฝีปากขยับเอื้อนเสียงสั่นเครือ “ข้า...ข้าไม่อยาก...ปล่อยให้ข้าไปเถิด...”

เถ้าแก่หลิวหัวเราะหยัน ใช้นิ้วเคาะโต๊ะไม้ข้าง ๆ เสียงดัง กึก กึก กึก
“เด็กโง่ เจ้าเป็นหนี้ข้า เจ้ากินอยู่ในหอแห่งนี้ทุกวัน คิดหรือว่าไม่มีค่าใช้จ่าย? เจ้าจะหนีไปไหนได้? อย่าลืมเสียว่าเจ้าไม่มีบ้านแล้ว หากขัดขืน ข้าจะส่งเจ้าให้มือปราบ”

คำพูดนั้นกรีดลึกลงกลางใจเสวี่ยซี เขารู้ดีว่าตนไร้ที่พึ่งพิง โลกนี้ไม่มีหลี่หยางอีกต่อไปแล้ว มีเพียงโซ่ตรวนแห่งหอนี้ที่พันธนาการเขา

เขาก้มหน้าลงช้า ๆ มือสั่นเทายกขึ้นกอดอกตนเอง “...ข้าเข้าใจแล้ว”

ค่ำคืนนั้น

ห้องรับแขกชั้นสองถูกจัดแต่งด้วยโคมไฟแดงแขวนเรียงราย แสงสลัวส่องให้บรรยากาศดูร้อนรุ่ม เสียงพิณและกลิ่นธูปผสมเครื่องหอมอบอวล บนโต๊ะเตี้ยวางสุราหอมหวานและผลไม้แห้ง

เสวี่ยซีถูกพามานั่งอยู่กลางห้อง เขาสวมชุดที่ต่างไปจากเดิม เสื้อคลุมผ้าไหมบางสีครามเข้ม คาดด้วยสายรัดเอวผ้าแพรสีเงิน ลวดลายปักเมฆาเล็ก ๆ ประดับตรงชายเสื้อ ผ้าคลุมบางเบานั้นเผยให้เห็นเรือนร่างผอมบางภายในลาง ๆ ยิ่งทำให้เขาดูเปราะบางประหนึ่งหยกใสที่พร้อมแตกสลายเพียงสัมผัส

ใบหน้าขาวซีดราวหิมะ ดวงตาสีอำพันทอดต่ำไม่กล้าสบสายตาผู้ใด ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง เส้นผมดำยาวถูกมัดรวบหลวม ๆ ไว้ด้านหลัง บางปอยปล่อยลงคลอเคลียแก้ม ขับให้ภาพลักษณ์ของเขาชวนเวทนาราวกับภาพวาดในหอศิลป์ที่ถูกนำมาเหยียบย่ำ

ประตูเปิดออกบุรุษร่างใหญ่ในชุดกำมะหยี่สีม่วงก้าวเข้ามา ใบหน้ากลมเคราหนา แววตากรุ้มกริ่ม

“หึหึ...นี่หรือของใหม่ที่ว่ากันว่างดงามนัก” เขาหัวเราะเสียงดัง พลางเดินวนรอบร่างเสวี่ยซีเหมือนนักล่าที่กำลังชื่นชมเหยื่อ

เสวี่ยซีตัวแข็งทื่อ หัวใจเต้นแรงราวจะทะลุออกจากอก เขาพยายามหดตัวให้เล็กที่สุด มือกำชายเสื้อแน่นจนเนื้อผ้ายับย่น

อีกฝ่ายโยนถุงเงินลงบนโต๊ะ ดังกึก…แล้วโน้มกายเข้ามาใกล้ เสียงหายใจกรุ่นสุรากระทบข้างแก้มของชายหนุ่ม

“ไม่ต้องกลัว ข้าจะทำให้เจ้าลืมความเจ็บปวดทั้งหมดเอง”

คำพูดนั้นคือคมดาบที่แทงลึก เสวี่ยซีหลับตา น้ำตาเอ่อคลอ มือบางกำชายผ้าแน่น
“หลี่หยาง...หากเจ้ารักข้าจริง เหตุใดทิ้งข้าให้มาพบชะตากรรมเช่นนี้…”

เสียงหัวเราะของแขกดังกลบเสียงสะอื้นเบา ๆ แสงโคมไฟแดงสะบัดไหว เงาร่างสองเงาทับซ้อนบนผนัง บิดเบี้ยวคล้ายปีศาจร่ายรำ ความเป็นตัวตนของเสวี่ยซีถูกกลืนกินทีละน้อย

ค่ำคืนนั้นยาวนานราวนิรันดร์ จนเมื่อรุ่งสางมาเยือนโคมไฟมอดดับ เหลือเพียงกลิ่นควันบาง ๆ ลอยคลุ้ง เสวี่ยซีนอนซบลงกับหมอน ดวงตาสีอำพันมืดหม่น น้ำตาไหลเงียบงัน

หัวใจแตกสลายยิ่งกว่าคืนก่อน


ค่าจ้าง: 100 ตำลึงเงิน - 15 EXP (รายวัน)

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2025-9-4 10:09
โพสต์ 13073 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-9-4 03:28
โพสต์ 13,073 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก น่ารัก  โพสต์ 2025-9-4 03:28

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +100 ย่อ เหตุผล
Watcher + 100

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3
โพสต์ 2025-9-4 23:22:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-9-12 00:35


วันที่ 04 เดือน 8 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ตลอดทั้งวัน ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (รักษาวันที่ 2/5) 


รถม้าหยุดที่หน้าหอว่านหงเหรินในยามกลางวันแตกต่างจากช่วงเวลากลางคืนอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังเห็นผู้คนอยู่เนื่อง ๆ ภายในหอว่านหงเหรินยามเช้าเงียบสงัด ลมบางเบาพัดพากลิ่นบุปผาปะปนกับกลิ่นเครื่องหอมอวลลอย จางกงกงในคราบท่านชายห่าวหมิงก้าวเข้าสู่ประตูด้านหลังอย่างมั่นคง ร่างสูงสง่าของเขาอุ้มหลินหยาที่ซวนเซหมดเรี่ยวแรงแนบอก ม่านผมดำของนางหล่นลงข้างแก้มซีดจนแทบไร้สีเลือด แผ่นอกกว้างของเขาแนบแน่นกับเรือนกายบางอย่างทะนุถนอมราวกับกำลังอุ้มของล้ำค่าเหนือกว่าทุกสิ่งบนโลกนี้


@SuYao 


สายตาของจางกงกงเย็นเยียบยามกวาดมองหมอหญิงผู้ติดตามมา เพียงแค่ชำเลืองเดียว ความหมายที่แฝงอยู่ก็ชัดเจนที่ส่งตรงถึงหมอหญิงคือคำว่า อย่าคิดแม้แต่จะทำให้แมวน้อยข้าได้รับความเจ็บปวดเพิ่มแม้เพียงเสี้ยว ขบวนผู้ติดตามเบื้องหลังเงียบเชียบ ไม่มีใครกล้าเอ่ยสิ่งใด ขณะที่บรรยากาศอึดอัดราวกับเงาอสรพิษแผ่คลุม


เขาพาร่างหลินหยาขึ้นบันไดสูงทอดตรงสู่ชั้นบนสุดของหอ ห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้ข้างห้องทำงานของเขาเองเปิดประตูรับด้วยเสียงเอี๊ยดเบา ๆ ภายในห้องประดับเรียบหรูด้วยผ้าไหมสีเข้ม กลิ่นยาจีนอวลผสมกับกลิ่นดอกเหมยอบแห้งเพื่อขับพิษ จางกงกงค่อย ๆ วางร่างหลินหยาอย่างอ่อนโยนลงบนเตียง ดวงตาคมลึกทอดมองนางไม่วางตา มือเรียวยาวเกลี่ยเส้นผมที่เปื้อนเหงื่อออกจากใบหน้าซีดเซียว ดวงตาเยือกเย็นเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนลึกซึ้งที่เขาเก็บงำไว้ไม่ให้ใครเห็น “แมวน้อย…” เสียงทุ้มต่ำพร่าเบาราวกับเป็นคำที่หลุดจากหัวใจมากกว่าปาก


@SuYao 


จางกงกงเหลือบหันไปทางหมอหญิงเขาจ้องลึกในดวงตานางอีกครั้ง น้ำเสียงเรียบแต่แฝงแรงกดดัน “จงจำไว้…หากแม่นางผู้นี้แม้เพียงเจ็บแผลหนึ่งส่วน ข้าจะถือว่าเป็นความผิดของเจ้าโดยตรง” เขาเอ่ยถ้อยคำด้วยรอยยิ้มละมุนแต่แววตากลับเฉียบคมดั่งคมมีด จากนั้นเขาเอื้อมหยิบผ้าห่มไหมปักลายดอกเหมยคลุมร่างหลินหยาไว้ บรรยากาศรอบห้องกลับเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของหญิงสาวที่อยู่ในขั้นการรักษา และดวงตาของบุรุษที่เฝ้ามองนางด้วยความหวงแหนจนแทบคลั่ง ราวกับจะบอกทั้งโลกว่าแมวน้อยผู้นี้ไม่ว่ารอดหรือตายจะอยู่ในอ้อมแขนเขาเพียงผู้เดียว


@SuYao 


จางกงกงยืนนิ่งในเงาแสงเช้าสาดลอดหน้าต่างเข้ามาจ้องไปทางหลินหยาก่อนที่จะละสายตาหาหมอหญิงอีกครั้งราวกับเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ดวงตาคมกริบของเขามองตรงไปยังหมอหญิงเสียงทุ้มเยือกเย็นดังขึ้นทีละถ้อยชัดถ้อยชัดคำ “หลังจากนี้ เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่เพื่อดูแลนางอย่างไม่ขาด หากแม่นางนี้เป็นอะไรไป…แม้เพียงรอยเล็บ เจ้าก็ไม่มีวันชดใช้ความผิดนั้นได้หมด”


@SuYao 


เขาหยุดเพียงครู่ดวงตาเลื่อนจากใบหน้าหมอหญิงกลับมาที่ร่างหลินหยาซึ่งยังนอนหลับ ดวงหน้าซีดเซียวของนางสะท้อนในดวงตาคมดั่งดาบของเขา ก่อนที่เขาจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่ากดดันจนผู้ฟังขนลุก “ห้องพักของเจ้าจะอยู่ถัดจากห้องนี้ ข้างประตูทางเหนือของชั้นบนสุด อย่าได้เหยียบย่างออกไปนอกเขตหอว่านหงเหริน หากมีสิ่งใดต้องการ ไม่ว่าจะยา อาหาร หรือของใช้ ให้แจ้งกับผู้ติดตามที่เฝ้าอยู่รอบหอได้ทุกเมื่อ เบี้ยหวัดจะให้เจ้าวันละ 30 ตำลึงเงิน จนกว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะหายดี”


@SuYao 


จางกงกงกวาดตามองอีกครั้งอย่างเฉียบคมคล้ายอสรพิษเลื้อยอยู่ในอากาศ กดบรรยากาศจนหนักหน่วง ก่อนเขาจะหันกลับไปยังร่างหลินหยาที่นอนสงบอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาอ่อนลงอย่างที่ไม่เคยให้ผู้ใดเห็น มือเรียวยกขึ้นเกลี่ยปลายผมนุ่มของนางเบา ๆ “เสี่ยวหยา…พักให้เต็มที่เถิด” เขากระซิบแผ่ว ราวกับกลัวปลุกนางจากความฝัน หลินหยาแม้ยังหลับแต่ริมฝีปากเล็กคล้ายจะขยับ รับรู้ถึงเสียงและสัมผัสของเขาในห้วงสติเลือนลาง รอยยิ้มบางแตะแต้มมุมปากซีดจางของนาง จางกงกงกดสายตาลงต่ำมุมปากโค้งเพียงเสี้ยว แล้วเอ่ยกับหมอหญิงด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากการคุยกับคนป่วยอย่างสิ้นเชิง "เจ้ามีอะไรอีกหรือไม่"


@SuYao 


จางกงกงพยักหน้าก่อนจะพลิกกายกลับยืดตรงเต็มความสูง “ข้ามีงานต้องไปสะสาง” น้ำเสียงกลับมาเรียบนิ่งดังเดิม เขาก้าวออกไปช้า ๆ ชุดดำแดงสะบัดปลิวตามแรงก้าว เสียงประตูปิดลงอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายอำนาจและความห่วงใยลึกล้ำที่ยังอบอวลอยู่ในห้องพักของหลินหยา และหมอหญิงที่โดนลากมาแบบไม่รู้ตัว


@SuYao 



@Watcher 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: เชิญจ้าาาา


รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 27304 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-4 23:22
โพสต์ 27,304 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-9-4 23:22
โพสต์ 27,304 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม จาก ตำราขนมหวานสูตรลับ  โพสต์ 2025-9-4 23:22
โพสต์ 27,304 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-9-4 23:22
โพสต์ 27,304 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-9-4 23:22
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4
โพสต์ 2025-9-5 00:26:42 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 05 เดือน 8 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ตลาดฉางอันยังคงคับคั่ง เสวี่ยซีเดินเซ ๆ ท่ามกลางฝูงชน ใบหน้าอ่อนซีดสีผิวที่เคยขาวเนียนกลับคล้ำร้อนจากเหงื่อ ความสั่นสะท้านในมือบีบถุงผ้าที่เต็มไปด้วยของถูกส่งต่ออย่างแน่นหนา แต่ครั้งนี้เขาไม่โดดเดี่ยว

บุรุษร่างสูงหน้าตาคมเข้มเดินเคียงข้างร่างบอบบาง ช่วยประคอง “ไม่เป็นไร ข้าอยู่กับเจ้าเอง เดินช้า ๆ ก็ได้ อย่ารีบร้อน” หลัวเซินเอ่ยเสียงต่ำและอ่อนโยน

เสวี่ยซีพยักหน้าน้ำตาคลอในดวงตาสีอำพัน ยกมือจับชายแขนของหลัวเซินแน่น พลางสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับความตื่นกลัว “ข...ขอบคุณขอรับ ข้าไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร หากไม่ใช่เพราะท่าน”

ตลาดเต็มไปด้วยผู้คน เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนขายสินค้า และเสียงเด็กวิ่งเล่นดังสลับซับซ้อน แต่สำหรับเสวี่ยซีทุกเสียงคือความวุ่นวายและกดดัน

เมื่อถึงหอว่านหงเหรินเสวี่ยซีก้าวเท้าเข้าไปในโถงใหญ่ ร่างกายอ่อนล้า ใบหน้าซีดขาวผมดำขลับยังเปียกชื้นจากเหงื่อ

ทันใดนั้นเถ้าแก่หลิวไค่ปรากฏตัวตรงกลางโถง ดวงตาคมเข้มประดับแววโกรธกรุ่นร่างสูงท่าทางแข็งกร้าว

“เจ้าล่าช้า! กลับมาช้า ข้าเห็นเจ้าออกไปตั้งแต่เช้ากลับมาพร้อมของนี่หรือ?!” เสียงห้าวต่ำกดดันทุกพื้นที่ในหอ

เสวี่ยซีสะดุ้งใบหน้าแดงเถือกด้วยความอับอาย มือบางกำชายผ้าแน่น พลางยืดตัวตรงแต่หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุอก “ข้ากลับมาพร้อมของแล้วขอรับ...” เขาพูดเสียงสั่น

“พูดให้ชัด เจ้าไปซื้อของหรือไม่หรือเอาเวลาไปเล่นสนุก” หลิวไค่ก้าวเข้ามาใกล้ เงาทาบลงบนใบหน้าซีดเผือดของเสวี่ยซี

เสวี่ยซีก้มหน้ารับผิด ใช้เสียงเบาราวลมหายใจ “ขะ...ข้าซื้อของทุกอย่างตามสั่งแล้ว ข้าพยายามให้เสร็จเร็วที่สุด แต่ตลาดคนเยอะมาก”

เถ้าแก่ชี้หน้าเขาและพูดเสียงดังอย่างไม่ปราณี “อ้อ เจ้าอ้างตลาดคนเยอะหรือในหอว่านหงเหริน ไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น! การกลับมาช้าแม้เพียงหนึ่งลมหายใจ ก็ถือว่าละเมิดกฎ!”

ทุกคนทั้งหอเงียบสนิท หันมาจ้องชายหนุ่มผอมบางผู้สวมชุดหม่น เรียบง่ายไม่มีเครื่องประดับใด ๆ ข้างกายมีเพียงถุงของขวัญเต็มไปด้วยผลไม้แห้ง เครื่องหอมและผงแป้ง ดวงตาสีอำพันเริ่มพร่าเลือนน้ำตาเอ่อคลอ มือบางยกขึ้นปิดหน้า แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความอับอายจากสายตาทุกคู่ได้

“ไปรับแขกซะ” เถ้าแก่กล่าวพลางชี้ไปยังโต๊ะรับแขกที่ประดับโคมไฟแดงอาบแสงสว่างจ้า

เสวี่ยซีรู้สึกหัวใจเจ็บปวดราวถูกบีบให้เล็กลงทุกวินาที เขาก้าวไปยังโต๊ะรับแขก…เคลื่อนไหวด้วยท่าทางอ่อนโยน มือประคองถุงของด้วยความระมัดระวัง

แขกที่นั่งอยู่มองมา บางคนหัวเราะหยอกเย้า บางคนซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เสวี่ยซีไม่กล้าสบสายตาใคร เขาเพียงพยักหน้าเบา ๆ และยืนรอคำสั่ง “ข้าต้องทำอย่างเพราะถ้าหากไม่ทำ ข้าจะถูกลงโทษอีกครั้ง”

หลังจากรับถ้วยชาและวางของเรียบร้อย เสวี่ยซีก้าวไปทางห้องส่วนตัว มือบางยังสั่นสะท้าน ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากแห้งแตกจากความกลัวและเหงื่อ น้ำตายังคงซึมช้า ๆ บนแก้ม เขาหลับตาสูดลมหายใจลึก ๆ พยายามรวบรวมกำลังใจ

ห้องส่วนตัวมืดครึ้มผนังไม้สีน้ำตาลอมแดงสะท้อนแสงจากโคมข้างนอกเข้ามาเพียงน้อยนิด เสวี่ยซีนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือสั่นขยี้ผ้าเล็ก ๆ ที่พาดอยู่บนตัก เสวี่ยซีค่อย ๆ ปลดกระเป๋าส่วนเกินและของในมือวางไว้ข้าง ๆ ก้มลงมองชุดใหม่สำหรับรับแขกชุดผ้าไหมเนื้อบางสีแดงเข้ม ปักลวดลายละเอียด

พลางก้มหน้าเริ่มสวมชุด ปรับชายผ้าให้เรียบร้อยแต่หัวใจยังเต็มไปด้วยความอึดอัด ทุกครั้งที่ผืนผ้าแตะตัว เสวี่ยซีรู้สึกเหมือนถูกกดทับจากทุกสายตาที่เคยมองเขาในโถงใหญ่ เขาเดินไปยืนหน้ากระจกมองใบหน้าตัวเอง น้ำตาไหลช้า ๆ เขากระพริบตาพยายามเก็บความเปราะบางไว้ภายใน ดวงตาสีอำพันเต็มไปด้วยความเศร้า

เขาเหลือบมองประตูห้อง ค่อย ๆ ก้าวออกไป สู่ห้องรับแขกอีกครั้ง…ด้วยอาภรณ์สีแดง โดยไม่รู้ว่าคืนนี้ต้องรับแขกจากผู้ใดอีก


ค่าจ้าง: 100 ตำลึงเงิน - 15 EXP (รายวัน)

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2025-9-5 13:57
โพสต์ 32333 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2025-9-5 00:26
โพสต์ 32,333 ไบต์และได้รับ +15 คุณธรรม +6 ความชั่ว +15 ความโหด จาก เกราะทองแดง  โพสต์ 2025-9-5 00:26
โพสต์ 32,333 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +2 ความชั่ว +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)  โพสต์ 2025-9-5 00:26
โพสต์ 32,333 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-9-5 00:26

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +100 ย่อ เหตุผล
Watcher + 100

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้