
วันที่ 26 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอประมูลสือฟั่ง (ไปประมูล)
อีเว้นท์ ภารกิจ “ม้าคู่ใจใต้หล้า (良驹天下)”
ความมืดยามราตรีปกคลุมทั่วฉางอันแต่ฝั่งตะวันตกกลับคึกคักราวงานเทศกาลเพราะมีแสงโคมไฟนับร้อยพันดวงส่องสว่างอยู่ สถานที่หนึ่งที่เป็นศูนย์รวมของความมั่งคั่งและอำนาจ หอประมูลสือฟั่ง ตัวอาคารตั้งตระหง่านดั่งวังทองคำ ไฟประดับสีส้มแดงลุกโชนส่องผนังไม้ดำฉลุลายมังกรหงส์ราวกับเรืองแสงเองได้ ตรงหน้าประตูมีสิงโตหินเฝ้ายืนตระหง่าน ข้างในเป็นบันไดหินอ่อนทอดยาวขึ้นสู่ห้องโถงใหญ่ที่เสียงผู้คนขับขานกันหนาหูทั้งพ่อค้าใหญ่ ขุนนาง ผู้มีบารมี และบุคคลลึกลับจากเงามืด ต่างมารวมตัวเพื่อแย่งชิงสิ่งล้ำค่าที่จะถูกนำออกมาประมูล
วันนี้หลินหยาเลือกชุดที่เรียบหรูต่างจากทุกวัน อาภรณ์แพรสีม่วงอ่อนที่ทำให้นางดูนุ่มนวลน่ามอง ผมยาวถูกรวบอย่างประณีต ไม่โดดเด่นจนสะดุดตาเกินไป แต่กลับพอเหมาะพอดีจนดูสง่างามอย่างไร้ที่ติ นางเดินผ่านผู้คนด้วยกิริยาเรียบง่าย แต่แววตากลับส่องประกายแฝงความมุ่งมั่น
พนักงานของหอประมูลนำทางนางเข้าสู่ห้องประมูลเฉพาะซุ้มส่วนตัวที่เลือกไว้ตั้งแต่ตอนลงทะเบียน ภายในตกแต่งหรูหราด้วยม่านแพรบางสีม่วงอ่อน มีฉากกั้นสูงตลอดแนวห้องเพื่อให้ผู้เข้าประมูลแต่ละคนมองเวทีได้ แต่ไม่มีใครมองเห็นหน้ากันเอง บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นกำยานอ่อน ๆ ที่ช่วยให้ใจสงบ หลินหยาเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ไม้สลักที่ปูด้วยเบาะไหมนุ่ม ข้างโต๊ะมีป้ายไม้เล็ก ๆ สำหรับยกขึ้นเมื่อต้องการเสนอราคา มือเล็กวางขลุ่ยของตนข้างตัวก่อนจะพ่นลมหายใจเบา ๆ
“ดี…อย่างน้อยที่นี่ก็ปลอดภัย ไม่ต้องทนกับสายตาประเมินค่าของใครสักพัก”
ม่านสีม่วงกั้นนางไว้จากสายตาทั้งหมด ทำให้เธอได้เพียงฟังเสียงจากรอบด้าน เสียงกระซิบกระซาบของขุนนางผู้มั่งคั่ง เสียงหัวเราะคิกคักของพ่อค้าใหญ่ เสียงกระทืบเท้าของบอดี้การ์ด และเสียงฆ้องแผ่วที่ดังขึ้นเพื่อบอกว่าการประมูลกำลังจะเริ่มต้นแล้ว ในความมืดที่อบอวลด้วยความตึงเครียดและความโลภ ทุกคนต่างเฝ้ารอว่าสมบัติชิ้นแรกที่ถูกนำขึ้นเวทีคืออะไร แต่สำหรับหลินหยา...สิ่งที่นางรออยู่คือ "ม้า" ที่ถูกคัดออกจากกรมโยธา ของที่นางตั้งใจจะคว้าให้ได้
เสียงฆ้องดัง ปังงงง!! ก้องสะท้อนทั่วโถงหอประมูลสือฟั่ง ไฟตะเกียงน้ำมันนับร้อยดวงส่องสว่างระยิบระยับเหนือศีรษะ ผู้ดำเนินการสวมชุดแดงเข้มยืนอยู่กลางเวทีไม้ยกสูง ด้านหลังมีม่านผืนใหญ่ปักลายมังกรหงส์ไขว้กันอย่างสง่า “ของประมูลชิ้นแรกในคืนนี้ม้าศึกสีน้ำตาลเข้ม พึ่งถูกจับมาจากป่าทุ่งหญ้าแดนเหนือ!” เสียงของเขาดังชัดเจน “ม้าตัวนี้แกร่งกล้า ยืนหยัดได้ยามสมรภูมิ ปราดเปรียวดุจสายลม ราคาตั้งต้น 80 ตำลึงเงิน!!” ม่านเล็กสีม่วงตรงซุ้มของหลินหยาไหวเบา ๆ เมื่อหญิงสาวโน้มตัวไปข้างหน้า ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนทอประกายสนใจทันที แต่เพียงไม่กี่อึดใจเธอก็เม้มปากเล็กน้อย “ไม่ใช่เป้าหมายของเรา...คงต้องรอดูต่อไป”
ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดนาน เสียงป้ายไม้กระแทกโต๊ะจากซุ้มต่าง ๆ ก็ดังขึ้นรัว ๆ
“30 ตำลึงทอง 80 ตำลึงเงิน!!”
“70 ตำลึงทอง 80 ตำลึงเงิน!!”
เสียงประมูลแข่งกันดังระงมแทบไม่ให้หยุดหายใจ หลินหยาเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าพวกขุนนางและพ่อค้าใหญ่ในซุ้มรอบด้านล้วนเล่นกันด้วย ตำลึงทอง ไม่ใช่ตำลึงเงิน หัวใจเธอเต้นแรง ความตื่นเต้นผสมความกังวลวิ่งพล่านในอก “เพิ่งลำดับแรกก็พุ่งไปขนาดนี้เลยรึ?!” ราคาพุ่งทะยานราวกับเปลวไฟโหมกระหน่ำ เสียงตะโกนแข่งกันดังสนั่น จนสุดท้าย เสียงจากซุ้มผ้าม่านสีดำด้านทิศเหนือดังขึ้นเพียงคำเดียวแต่เด็ดขาด “80 ตำลึงทอง 80 ตำลึงเงิน” ทั้งหอประมูลเงียบกริบไปชั่วขณะ ก่อนเสียงฆ้องดังขึ้น ปังงง!!
“ผู้ชนะคือซุ้มม่านดำ!” เสียงอื้ออึงตามมา ผู้คนต่างพึมพำชื่นชมและคาดเดาตัวตนของผู้ที่กล้าทุ่มขนาดนั้น ขณะที่หลินหยาซ่อนตัวอยู่หลังม่านสีม่วงของนาง ริมฝีปากเล็กอ้าค้าง ตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ
“โอ้ววววว...เพิ่งเริ่มประมูลก็ราคามหาศาลขนาดนี้เลยหรอ ข้า...ข้าจะสู้ไหวหรือเนี่ย!” นางเผลอกำชายชุดแพรสีม่วงของตนแน่น แต่แล้วก็หัวเราะเบา ๆ อย่างขบขันตัวเอง “ก็ใช่สิ ข้ามาที่นี่เพื่อม้า จะหวั่นไหวอะไรนัก...แค่ต้องประหยัดและฉลาดกว่าพวกนั้นเท่านั้นเอง” ม่านสีม่วงยังปกปิดรอยยิ้มขี้เล่นของหญิงสาว ในขณะที่การประมูลยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด...
เสียงฆ้องดังขึ้นอีกครั้ง ปังงงง!! พิธีกรบนเวทีชูมือตะโกนอย่างตื่นเต้น “ต่อไป! ของประมูลชิ้นที่สอง รถม้าคันหรูแห่งตำหนักใน! รถม้าที่ครั้งหนึ่งลู่กุ้ยเฟยเคยประทับร่วมกับฝ่าบาท ทุกอย่างยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย!!” ม่านใหญ่ถูกเลิกขึ้นเผยให้เห็น รถม้าสีดำประดับลายทองหรูหรา ม้าศึกดำเชิดหัวสง่างาม แสงตะเกียงสะท้อนบนพู่ประดับสีแดงเข้ม ทุกสายตาในหอประมูลแทบจะพร้อมใจกันเบิกกว้าง บรรยากาศเงียบงันไปเสี้ยวอึดใจ ก่อนเสียงฮือฮาดังก้องราวกับคลื่น
หลังม่านสีม่วงของตน หลินหยาอ้าปากค้างทันที “หะ…หา!? ใครมันบ้าเอาของแบบนี้มาประมูลวะเนี้ย!!” ใจเต้นระรัวทั้งตกใจทั้งขบขัน นี่มันไม่ใช่แค่รถม้าธรรมดา แต่เป็น ของที่มีเรื่องเล่าทางราชสำนักติดอยู่เต็มเปา! “ราคาเริ่มต้น 1 ตำลึงทอง!!” เพียงแค่นั้น เสียงเสนอราคาก็ดังขึ้นเป็นสายฟ้าแลบ
“21 ตำลึงทอง!!”
“61 ตำลึงทอง!!” เสียงผู้ประมูลตะโกนแทรกกันระงมจนเวทีแทบสั่นสะเทือน หลินหยาถึงกับเอามือปิดปากตัวเองไม่ให้เผลออุทานออกมา “นี่มันน้อยกว่าม้าน้ำตาลอีก แต่กลับไต่สูงกว่าเป็นสิบเท่าเรอะ!” และหลังจากนั้น ตัวเลขก็พุ่งทะยานขึ้นเรื่อย ๆ อย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่ง...เสียงจากซุ้มทางซ้ายมือของหลินหยาดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ “121 ตำลึงทอง!!” ทั้งหอประมูลเงียบกริบราวถูกตัดลมหายใจ ทุกสายตาเบนมาที่ซุ้มผ้าม่านนั้นในทันที ก่อนเสียงฆ้องประกาศดังสนั่น ปังงงง!!
“121 ตำลึงทอง!! รถม้าคันหรูตกเป็นของซุ้มด้านซ้ายสีม่วงแล้ว!!” เสียงอื้ออึงดังสะท้อนรอบห้อง บ้างฮือฮาชื่นชม บ้างพึมพำด้วยความระแวง “ใครกันแน่...ถึงกล้าทุ่มมหาศาลเพื่อครอบครองรถม้าของกุ้ยเฟย?”
หลินหยาในม่านสีม่วงแทบจะล้มพับลงบนโต๊ะ นางอ้าปากค้าง มือสั่นน้อย ๆ “โอ้โหววว ซุ้มข้าง ๆ ข้าเองเรอะ!! นี่มันบ้าไปแล้วนะ...จะประมูลอะไรขนาดนั้น! เป็นสลิ่มลู่กุ้ยเฟยกับลฝ่าบาทเราะ” หัวใจหญิงสาวสั่นสะท้าน ทั้งเพราะความตื่นเต้นจากราคาที่ทะยานสูง และทั้งเพราะความรู้สึกไม่สบายใจที่ผู้ชนะอยู่ใกล้นางเสียจนเผลอหายใจแรงไปทีเดียว “เฮ้อ...นี่มันเพิ่งลำดับสองเองนะ ข้างหน้าจะขนาดไหนกันอีกวะเนี่ย...”
เสียงฆ้อง ปังงงง!! ดังขึ้นอีกครั้ง ผู้ดำเนินการเวทีเผยรอยยิ้มพร้อมผายมือไปยังม่านที่ถูกเปิดออก เผยให้เห็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามราวภาพฝัน “ของลำดับที่สามแพะจากภูเขาเทียนซาน!” เสียงตะโกนก้องสะท้อนทั้งหอประมูล “ร่างกายแข็งแกร่งทนหนาวจัดได้ งดงามสง่าราคาเริ่มต้น 70 ตำลึงทอง!!” ทันใดนั้นม่านเล็กถูกเลิกออก เผยร่างแพะสีขาวเงินสง่างาม เขาโค้งงามเหมือนเสี้ยวจันทร์ ดวงตาสีเหลืองทองทอประกายมีพลัง เครื่องประดับเงินประดับอัญมณีสีน้ำแข็งส่องประกายรอบตัวมันราวกับเป็นสัตว์ในตำนาน
หลินหยาในม่านสีม่วงถึงกับยกมือปิดปากตัวเอง “โอ้ววว…สวยขนาดนี้ ใครไม่อยากได้บ้างล่ะเนี่ย!!” หัวใจเธอเต้นแรง รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา แต่แล้วก็สะบัดหัวเบา ๆ “ไม่ ๆ ข้าต้องการม้า ไม่ใช่แพะ…อย่าเผลอเด็ดขาดนะหลินหยา!” และหลังจากนั้นบนเวทีเสียงการประมูลแข่งกันดังรัวราวกับฟ้าผ่า
“110 ตำลึงทอง!!”
“120 ตำลึงทอง!!” ราคาพุ่งทะยานราวกับไฟโหมเผาในพริบตา หลินหยามองด้วยตาโต อ้าปากค้างจนแทบหุบไม่ลง “270 ตำลึงทอง” สุดท้ายเสียงหนักแน่นจากซุ้มม่านสีเหลืองนวลด้านขวามือของหลินหยาดังขึ้น “310 ตำลึงทอง!!” ทั้งหอประมูลเงียบกริบในเสี้ยววินาที ก่อนเสียงฆ้องดังขึ้นประกาศชัยชนะ ปังงงง!!
“310 ตำลึงทอง!! แพะจากเทียนซานตกเป็นของซุ้มสีเหลืองนวล!!” เสียงฮือฮาดังกระหึ่มทั่วโถง มีทั้งเสียงอึ้ง เสียงยกย่อง และเสียงซุบซิบว่าใครกันแน่ที่มีทรัพย์สินมหาศาลขนาดนี้
หลินหยาที่นั่งหลังม่านถึงกับเงยหน้าพิงเก้าอี้ ร้องกรี๊ดในใจแบบไร้เสียง “เชี่ยยยยย!! 310 ตำลึงทอง!! ซื้อแพะนะเว้ยไม่ใช่มังกร!! พระเจ้าโว้ยยยยย โอ้วววว รวยขนาดนี้ข้าไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง ๆ เลยด้วยซ้ำ!” มือเล็กกำชายเสื้อแน่น ความเครียดผสมตื่นเต้นสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มบาง “ดี...ดีก็ดี ข้าแค่ต้องรอ รอจนกว่าจะถึงรอบของม้าเท่านั้นแหละ!” ม่านสีม่วงสั่นเบา ๆ ตามแรงสะท้านของหัวใจหญิงสาว ในขณะที่เวทีเริ่มประกาศของชิ้นถัดไป...
เสียงฆ้องดังขึ้นสามครั้งติด ปังงงง!! ปังงงง!! ปังงงง!! ทุกสายตาในหอประมูลสือฟั่งเบนไปยังเวทีราวถูกสะกด ผู้ดำเนินการโบกพัดหยกในมือก่อนประกาศด้วยน้ำเสียงทรงพลัง “และนี่คือ สินค้าพิเศษสุดท้ายของคืนนี้! … ยอดอาชาแห่งทุ่งหญ้าตอนเหนือ ม้าดำทมิฬ!” ม่านผืนใหญ่ถูกเลิกขึ้นเผยให้เห็นม้าดำเงางามสง่า แผงคอยาวสลวยสยายไปตามลม ดวงตาคมกริบวาววับราวมีประกายไฟซ่อนอยู่ทุกก้าวที่มันกระทืบพื้น เสียงกีบกระแทกไม้ดังก้องกังวานจนผู้คนรอบด้านต่างกลืนน้ำลายพร้อมกัน
หลินหยาในซุ้มม่านสีม่วงถึงกับโน้มตัวไปข้างหน้า ตากลมทอประกาย “ใช่เลย! ข้าอยากได้เจ้าตัวนี้แหละ!”
แต่ยังไม่ทันได้ยิ้มกว้าง เสียงประกาศต่อมากลับทำเอาหญิงสาวแทบหงายหลัง
“ยอดอาชาตัวนี้ มิใช่เพียงม้าศึกธรรมดา ร่ำลือกันว่าเคยเป็นอาชาที่ฝ่าบาททรงร่วมขี่กับลู่กุ้ยเฟย! … และทั้งสองได้แสดงความรักต่อกันบนหลังม้าตัวนี้!! นับเป็นสิริมงคลหาที่เปรียบมิได้!! มูลค่าเริ่มต้น 100 ตำลึงทอง!!” โถงประมูลถึงกับอื้ออึงทันที บ้างพึมพำว่ามันคือของสูงค่าเพราะเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ บ้างกลับหัวเราะในลำคออย่างหยาบโลนที่จินตนาการออกทันทีว่าความหมายของคำว่า “แสดงความรัก” คืออะไร
ส่วนหลินหยานั้นอึ้งค้างไปสามวิ ก่อนจะกุมขมับหน้าซีดเผือด “เชี้ยยยยยยยย!!! บนหลังม้า!? ทำบ้าอะไรกันฮ่องเต้กับกุ้ยเฟย!! อายโคตรรรร!!” ใบหน้าแดงก่ำราวจะระเบิด นางแทบอยากวิ่งหนีออกจากซุ้ม แต่แล้วก็กัดฟันแน่น “แต่ว่า…ช่างหัวสิ! มันคือลาภลอยชัด ๆ มันคือนิพพานของคนจนอย่างข้า!! ต่อให้ต้องหน้าด้าน…ข้าก็ต้องได้ม้าตัวนี้มา!!!” มือเล็กกำป้ายประมูลแน่นจนเส้นเลือดขึ้น ร่างกายสั่นสะท้านทั้งเพราะความโกรธ ความเขินอาย และความโลภในเวลาเดียวกัน
“บัดซบเอ๊ย…แม่งเอ๊ย…โดนทำร้ายจิตใจที่จะต้องประมูลม้านี้ แต่…T_T แต่ข้าต้องได้มันมา!!!” ม่านสีม่วงสั่นไหวเบา ๆ ราวกับสะท้อนความวุ่นวายภายในใจหญิงสาวผู้หมายมั่น ยอดอาชาสีดำยืนตระหง่านอยู่กลางเวที ในขณะที่เสียงประมูลเริ่มดังขึ้นรอบด้านอย่างดุเดือด…
เสียงฆ้องดังระรัว ปังงงง!! เปิดศึกการประมูลม้าดำทมิฬอย่างเป็นทางการ ทันใดนั้นซุ้มด้านซ้ายของหลินหยาก็ยกป้ายไม้ขึ้นทันที น้ำเสียงทุ้มต่ำดังลอดม่านออกมา “140 ตำลึงทอง” ทั้งหอประมูลสะท้านเฮือกทันที ราคาพุ่งขึ้นเกินฐานตั้งต้นไปหลายเท่า หลินหยาเบิกตากว้างปากอ้าค้าง “ห๊าาา!? มึงเปิดมาก็ 40 ตำลึงทองเลยเรอะ!!” ใจเต้นระส่ำแทบทะลุออกมาจากอก แต่ยังไม่ทันตั้งสติ เสียงอีกซุ้มหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา “150 ตำลึงทอง!!”
หลินหยาอ้าปากค้างไม่ทันหุบ มือเล็กสั่นระริกจนแทบทำป้ายหลุด “เดี๋ยวนะ!! เพิ่งเริ่มเองนะเว้ยยย!!” ยังไม่ทันขาดคำเสียงซุ้มด้านซ้ายเดิมก็โพล่งขึ้นมาอีกครั้ง “200 ตำลึงทอง!!”
“อึ๊กกก!!” หลินหยาแทบสำลักน้ำลายตัวเอง “ไอ้ซุ้มบ้านี่มันจะเอาให้ได้เลยใช่ไหมวะะะ!!” โถงทั้งโถงแตกตื่น เงียบลงชั่วครู่ก่อนระเบิดเสียงฮือฮาออกมาเป็นระลอก บรรยากาศเริ่มตึงเครียดเข้มข้น ทว่าไม่ทันไร เสียงหนึ่งที่หลินหยาคุ้นเคยก็โพล่งขึ้นจากแถวที่นั่งปกติด้านล่างเสียงนุ่มทว่าหนักแน่นฟังแล้วหัวใจเธอกระตุกวาบ “250 ตำลึงทอง!!”
ดวงตาหญิงสาวเบิกกว้าง “โจวจินนนน!!! มึงมาทำเชี่ยไรที่นี่!!” เสียงรอบข้างดังลั่น บรรยากาศแทบแตกออกเมื่อโจวจินทุ่มราคาสูงเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดได้ และไม่หยุดเพียงเท่านั้น เสียงเขาดังซ้ำอีกครั้ง ราวกับจะกรีดใจหลินหยาให้ขาดกลาง “ข้าเสนอ 250 ตำลึงทอง!!”
“อ๊ากกกกกกก!!!” หลินหยาตะโกนกรี๊ดในใจ รู้สึกเสียวสันหลังวาบราวกับถูกลากขึ้นแท่นประหาร เสียงฆ้องดังตามมาทันที ปังงง!! ห้องทั้งห้องแตกตื่นด้วยเสียงซุบซิบ ราวกับกำแพงหินถล่มทับลงมาที่ซุ้มม่านสีม่วงของหลินหยา หญิงสาวนั่งแข็งค้าง หัวใจเต้นแรงจนเกือบหลุดออกจากอก มือเล็กกุมอกตัวเองแน่น “เชี่ยยยย โจวจิน…ไอ้พ่อค้าเถื่อนเวรตะไล!! มึงทุ่มราคาทำไม ข้าจะหายใจออกไหมเนี่ย!!!” เลือดแทบกระอักออกมาจากความเครียดที่ราคาพุ่งสูงปรี๊ด
หลินหยากัดฟันแน่น สูดหายใจเฮือกใหญ่ แล้วค่อย ๆ ยกป้ายไม้ในมือขึ้นเบา ๆ ด้วยเสียงเล็กแหบพร่าในลำคอ “…260 ตำลึงทอง” โถงทั้งโถงเงียบกริบลงอีกครั้ง ก่อนระเบิดเสียงอื้ออึงยิ่งกว่าเดิม บางคนถึงกับหัวเราะฮา เสียงซุบซิบดังลั่น “ใครวะ เสนอเพียง 10 ตำลึงทองทับราคามหาศาลแบบนั้น!?”
หลังม่านสีม่วง หลินหยาแทบจะก้มหน้าฟุบกับโต๊ะ ร่างบางสั่นสะท้านทั้งเพราะความอายและความบ้าบิ่นในคราวเดียว “โฮ๊กกกกกกกกกกกก เชี้ยยยยยยยยย!! กระอักเลือดได้ไหมเนี่ย!! แพงสัสสสสสสสสส!!!” ดวงตากลมพราวระยับ ทั้งหวาดกลัว ทั้งฮึกเหิม ทั้งสิ้นหวังในเวลาเดียวกัน การประมูลยังไม่จบ…และทุกสายตาเริ่มจับจ้องไปที่ม่านสีม่วงของเธอแล้ว ผู้กล้าหน้าด้านที่เพิ่งสาดน้ำมันลงบนกองไฟแห่งการประมูลอันเดือดดาล
เสียงฆ้องดัง ปังงงง!! ก้องสะท้อนหอประมูลทั้งหลัง การประมูลยังไม่หยุด ม้าดำทมิฬยืนสง่าอยู่กลางเวทีเหมือนกำลังหัวเราะเยาะผู้คนที่กำลังทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อตัวมัน หลังม่านสีม่วง หลินหยากัดริมฝีปากจนแทบแตก ใบหน้าซีดเผือดแต่ดวงตายังลุกโชน “ได้สิ…ข้าต้องได้เจ้ามา!!!” แต่ทันใดนั้น เสียงจากซุ้มอีกฝั่งดังขึ้นมาเย้ยหยัน “270 ตำลึงทอง!!”
“เชี่ยยยยย!!!” หลินหยาร้องกรี๊ดในใจแทบจะฟาดโต๊ะ มือเล็กกำป้ายไม้จนแทบหัก ก่อนจะกัดฟันประกาศเสียงสั่น “280 ตำลึงทอง!!” เสียงฮือฮาดังก้อง แต่ไม่ทันให้เธอได้หายใจ เสียงจากซุ้มด้านซ้ายไอ้เพื่อนบ้านนรกนั่นก็ประโคมขึ้นมาด้วยเสียงหยันแฝงอำนาจ
“310 ตำลึงทอง!!”
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก ไอ้สัสเอ๊ยยยย!!!” หลินหยากรี๊ดร้องในใจแทบขาดใจ ตัวสั่นงันงก ใบหน้าร้อนผ่าวจนแทบไหม้ แต่เธอก็กัดฟันสุดกำลัง ยกป้ายไม้ขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเหมือนคนกำลังสิ้นใจ
“320 ตำลึงทอง!!” โถงทั้งโถงเงียบกริบ ราวกับเวลาหยุดลงในชั่วอึดใจ เสียงกระซิบซุบซิบดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่มีใครยกป้ายตามต่อ ทุกคนเฝ้ามองซุ้มม่านสีม่วงด้วยความสงสัยว่าคนผู้นั้นเป็นใครกัน ที่กล้าทุ่มหน้าด้านชนพวกมหาเศรษฐีตรงหน้า เสียงฆ้องดังสนั่น ปังงงง!!
“320 ตำลึงทอง!! ม้าดำทมิฬตกเป็นของซุ้มม่านสีม่วงแล้ว!!” เสียงเฮ เสียงหัวเราะ เสียงปรบมือผสมปนเปกันไปทั่วหอ แต่หลังม่านสีม่วง หนาน หลินหยา หน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ น้ำตารื้นขึ้นมาเพราะทั้งโล่งใจ ทั้งช็อก ทั้งอยากตาย เธอทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้หอบหายใจแรงเหมือนเพิ่งกลับจากออกรบ ดวงตากลมพราวระยับด้วยทั้งความดีใจและความสิ้นหวังในเวลาเดียวกัน
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!! ข้าได้มันมาแล้วววววว!!! แต่พระเจ้าาาาา 320 ตำลึงทอง!!! ฮือออออออออออ!!! ข้ากระอักเลือดแน่!!!” มือเล็กสั่นระริกกอดป้ายประมูลแน่นเหมือนกำลังยึดเส้นชีวิตสุดท้ายไว้ รู้ตัวดีว่านี่คือทั้งชัยชนะและหายนะในคราวเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ชนะได้ครอบครองม้าดำทมิฬมาเป็นของตน!! ม่านสีม่วงไหวเบา ๆ ตามแรงสั่นสะท้านของหญิงสาวผู้หน้าด้านที่สุดในหอประมูลคืนนี้
เสียงฆ้องปิดฉากดัง ปังงงง!! ตามด้วยเสียงพิธีกรประกาศสิ้นสุดการประมูลคืนนี้ บรรยากาศในหอประมูลค่อย ๆ คลายความตึงเครียด เหล่าขุนนาง พ่อค้าใหญ่ และบุคคลลึกลับต่างทยอยลุกออกจากซุ้มของตน เสียงพูดคุย ก้าวเท้า และเสียงเหรียญทองตำลึงเงินดังระงมราวกับฝูงผึ้งแตกฮือ หลังม่านสีม่วง หลินหยาทิ้งตัวหายใจแรงเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิอเวจีมา ใบหน้าแดงซ่านเพราะทั้งเครียดทั้งเหนื่อยและ…ทั้งอับอาย กระเป๋าเบาจนแทบจะบินลอยขึ้นฟ้า “โอยยย…ข้าจะกินข้าวยังไงต่อไปดีวะเนี่ย…”
แต่ก่อนที่จะไปลงทะเบียนรับม้าดำทมิฬ หญิงสาวกลับไม่ยอมลุกทันที ดวงตากลมแอบเหลือบมองซุ้มด้านซ้ายที่ทำให้นางแทบจะกระอักเลือดหลายรอบตลอดการประมูล “ขอดูหน้ามึงหน่อยเถอะ…ว่าเป็นใครกันแน่ ไอ้บ้านี่!” นางค่อย ๆ เลิกชายม่านขึ้นเบา ๆ แค่พอให้มองลอดออกไปได้ จังหวะนั้นเอง ม่านซุ้มสีเข้มข้างซ้ายถูกเปิดออก บุรุษคนหนึ่งก้าวออกมา… แต่ระหว่างนั้น นางรีบก้มศีรษะ ดึงม่านลงอย่างรวดเร็วไม่ให้ใครจับได้ว่ากำลังแอบมอง ก่อนสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วบ่นเบา ๆ ในลำคอ “โอยยยย…กูจะตายเพราะความอยากรู้อยากเห็นนี่แหละ!” แต่ก็แอบมองอยู่ดี พลางทำท่าตีเนียน จัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย เดินออกจากซุ้มม่านสีม่วงไปยังโต๊ะลงทะเบียนเพื่อทำเรื่องรับม้าดำทมิฬที่เพิ่งประมูลมาได้อย่างระทึกขวัญ
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: แอบดูคนซุ้มข้าง ๆ มันบังอาจมาปั่นตัดหน้าฉัน 30 ตำลึง 50 ตำลึง มุง เป็น ใคร!!
หาเรื่องให้ตัวเองโดยแท้
จ่ายค่าม้า 320 ตำลึงทอง หรือ 120 ตำลึงทอง 2,000 ตำลึงเงิน
ขออนุญาตจ่ายเพิ่มเป็นตำลึงเงิน
รางวัล: -