บทเรียนแรกของจางกงกง ในวันนี้ เริ่มบรรเลงขึ้นทันทีหลังจากเห็นฝีปากของเหล่าบุตรและธิดา แซ่หลิวทั้งสอง
“กระหม่อมจะช่วยสอนบทเรียนการเป็นขุนนางให้ ทั้งองค์หญิงทั้งองค์ชาย เพราะวันหนึ่ง ทรัพยากรของราชสำนักและความมั่นคงของราชวงศ์ ย่อมต้องอาศัยคนที่รู้จักจังหวะและหน้าที่”
เขาหยุดมองหน้าเว่ยจางกงจู่ก่อนจะหันมาแจกแจงด้วยท่าทีเยือกเย็นแต่ชัดถ้อย “ท่านอาจจะยังเด็ก แต่การเข้าใจระบบ การแยกแยะบารมีและสายสัมพันธ์ให้ได้ก่อนผู้อื่น คืออำนาจชนิดหนึ่ง”
หรูเหมยยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นและเหมือนคู่สนทนาจะกล่างกับตน ดวงตากลมโตกลับทอดต่ำมองพื้นไม้เรียบของศาลา
“อันที่จริง… สตรีเช่นข้า...” พลางเงยหน้าขึ้น ดวงตาสบตาอีกฝ่าย “ ก็หาใช่ผู้ที่มีสิทธิ์เลือกชีวิตตนเองไม่อยู่แล้วหรืออย่างใดกัน” นางเว้นถ้อยคำลงช้า ๆ แล้วกล่าวต่อ
“ ไม่ว่าจะยิ้มหรือร้องไห้ ท้ายที่สุด…สิ่งที่ถูกกำหนดไว้ก็แค่ เป็นหนึ่งในเครื่องราชบรรณาการ เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นใดแคว้นหนึ่งอยู่แล้ว ” สีหน้าของนางดูจริงจัง ขึ้นมองคู่สนทนา
“ เรื่องของหัวใจของเราหรอ หามีคนสนใจไม่ ”
ดวงตาและใบหน้าที่สบดถออกมา ดูจะสิ้นหวังไปบ้าง และเสียงของสตรีน้อยผู้นั้นพูดถึงชะตาชีวิตตนเอง ส่วนด้านเค่อซินที่ยังคงมีสีหน้าท่าทางที่ท้าทาย “ แต่ว่าถ้าการแต่งงานมันเป็นแค่การวางหมาก ท่านไม่กลัวข้าจะสังหารพี่ชายตัวเองขึ้นมาเป็นไท่จื่อเองก็ได้ไม่ใช่หรือ? ”
สิ้นคำของผู้เป็นน้อง นัยน์ตากลมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ความตกตะลึงฉายชัดบนใบหน้าที่โดยชัดเจน คำพูดนั้นมิใช่แค่ลมปากเล่น ๆ หากแต่คือดาบปลายคมที่หันปลายเข้าหาตัวเอง
“เค่อซิน…” เสียงของนางเอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกมา
ไม่เพียงเเต่หรูเหยที่กล่าว แต่จางกงกงก็เช่นกัน “องค์ชายคำพูดแบบนั้น…มิใช่คำพูดที่เด็กเล็กพูดเล่น ส่วนข้าจะขอบอกไว้ชัดเจน ท่านสามารถพูดจาให้เป็นบทกวี ด่าทอให้เป็นบทเพลง แต่การจองเวรตัดชีวิตนั้น ไม่มีใครให้เป็นบทเรียนที่ง่ายดาย”
“องค์ชายโปรดไตร่ตรองคำของพระองค์ ท่านอาจคิดว่าการสังหารคือทางลัด แต่การฆ่าโดยไร้เสาหลักนั่นย่อมจบด้วยการถูกเข่นฆ่าเสียเอง การเป็นไท่จื่อไม่ใช่เพียงการมีบัลลังก์ แต่ต้องมีแผ่นดินและคนนับหมื่นให้พึ่งพิง หากข้าเห็นประโยชน์ในเจ้า ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกตัดทิ้งเพราะความชาญฉลาดที่พร่าเลือน”
ครั้งยังไม่ทันที่หรูเหมยจะได้กล่าวใดๆต่อเค่อซินก็ได้พูดออกมาอย่างรู้และเรื่องที่เขากล่าวมานั้นมันคือความจริงที่นางเองก็พึ่งรู้เช่นกัน “ ทำอย่างกับว่าพ่อข้าไม่เคยทำแบบนั้น อ้อ…ไม่สิ คนดีนี่เนอะ… กับคนที่ส่งลูกออกจากอ้อมอกแม่ตั้งแต่วัยไม่ถึงเจ็ดวัน ”
บัดนี้คนทั้งสองในศาลานั้นชะงักไปทันควัน หรูเหมยเงียบไปครู่หนึ่ง ขณะที่ปลายนิ้วเรียวลูบผ่านด้ามพัดของตน นางเหลือบมองน้องชายเพียงเสี้ยว ก่อนเบือนสายตากลับมาหาจางกงกงอีกครา
“ เรื่อง…. เรื่องเมื่อครู่นั้น.. .”
“ ข้าหวังว่าท่านจะไม่กล่าวถึงมันอีก ไม่ต่อหน้าใคร ไม่แม้แต่ในคืนฝันของท่านเอง ” หรูเหมยกำชับ
“ กระหม่อม…เข้าใจ ” จางกงกงพูดสั้น ๆ และไม่มิแต่จะโต้แย้งใดๆ
“ งั้นถ้ามันไม่ใช่การฆ่า ตั้งใจสอนข้ามาเถอะ ข้าจะเรียนทั้งการจับคันศรและจับกระบี่ แต่ข้าก็จะไม่ลืมเล่น มิตรช่างดีและศัตรูก็ช่างสนุก ” เขายิ้มกวน ๆ แล้วเหลือบมองพี่สาว “ พี่หญิงอย่ามองข้านิ่งสิ ข้าก็มีหลักการของข้า…” เค่อซินเอ่ยเช่นนั้น “ ข้าไม่มีวันทิ้งคนที่ให้ความอบอุ่นกับข้าไม่กี่คนหรอก”
หรูเหมยนิ่งไปพักหนึ่ง ดวงตานั้นหันไปมองใบหน้าเจ้าเล่ห์นั้น นางทอดมองน้องชายตน…ที่เขาพูดด้วยท่าทางเย้าแหย่นั้น “ หลักการที่เจ้าว่ายึดมั่น… คือหลักการใดกันหรือเค่อซิน ” เสียงนางเอ่ยถาม นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางเหลือบตามองอีกฝ่าย “ และหากเจ้ากล่าวว่ามิตรคือสิ่งดี ก็คงต้องรักษามิตรเหล่านั้นไว้ให้ดี… ยิ่งกว่าความสนุกในวังวนอำนาจเสียอีก”
นางผินหน้ากลับไปเบื้องนอกศาลา ละสายตาจากผู้เป็นน้องอย่างเนิบนาบ และเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา แต่มั่นคง
“ เพราะในวังนี้… มิตรที่แท้จริง มีค่ายิ่งกว่ากระบี่พันเล่มหรือบัลลังก์ทองเสียอีก ” หรูเหมยกล่าว
@Kexin
เหมือนว่ากงกงเองจะได้เวลาเข้าสู่บทเรียนถัดไปกันแล้ว เขากล่าวอย่างใจเย็น “ เช่นนั้นแล้วเราจะเริ่มบทเรียนบทเรียนหนึ่ง จงดูโลกเหมือนด่านตรวจ ”
“ เวลาทอดพระเนตรผู้คน อย่ามองหน้าอย่างเดียว ให้ไล่สายตาตั้งแต่รองเท้าถึงยอดผม” นิ้วเขายกชี้ไปยังสามบุรุษที่ยืนห่างออกไปเฝ้าเส้นทาง “ คนนั้น รองเท้าเปื้อนดินโคลนไม่แห้ง แปลว่ามาจากทางลาดชัน ไม่ใช่ทหารยามประตูหน้า แต่ถูกยืมตัวจากด่านเชิงเขา อีกคน กิ่งเถิงฮวาติดชายแขนเสื้อ ยืนใต้ลมทวนอยู่เมื่อครู่ เขากลัวใครสักคนในศาลานี้จนไม่กล้าเข้ามาใกล้ ”
หรูเหมยนั่งฟังถ้อยคำของจางกงกงเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหาววอดออกมาอย่างมิได้ปิดบัง เพียงเสียแต่ มือเรียวรีบยกพัดหยกขึ้นบังปากตามมารยาท ขณะเปลือกตาปรือลงราวคนที่ถูกลมเย็นพัดกล่อมจนหนังตาหนัก
นางมิได้กล่าวถ้อยคำใด ทั้งยังมิได้แสดงออกว่าฟังหรือไม่ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพร่ำสอนทว่าก็ไม่ใช่ความใส่ใจเต็มที่เช่นกัน… ดวงตาที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นภายใต้พัดนั้น เหลือบมองเพียงเล็กน้อยไปยังจางกงกง ก่อนจะเบือนสายตาออกไป
“บทเรียนสองขอทรงแยกคำถามกับคำสารภาพ” จางกงกงหันกลับมาทางสองพี่น้อง “เมื่อครู่ องค์ชายถามข้าว่าพามาที่นี่ทำไม นั่นคือคำถาม แต่ประโยคต่อท้าย เรื่องไม่ให้เข้าเรียนแล้วพามานอกวังนั่นคือคำสารภาพว่ามองเห็นช่องในระเบียบ ว่ารู้ว่าคนอย่างข้าจะไม่ทำเรื่องเปลืองแรงหากไร้เหตุผล”
“ถ้าอย่างนั้นก็สอนให้จบสิท่านกงกง เล่นครึ่ง ๆ กลาง ๆ มันคันคอ” ท่าทางขององค์ชายทำให้หรูเหมยหันไปมอง หรูเหมยคลี่ยิ้มบางใต้พัดที่ยังบังครึ่งใบหน้าไว้ มือเรียวลดพัดลงช้า ๆ เสียงหัวเราะเบา ๆ หลุดออกมาจากลำคอ
บทเรียนก่อนหน้านี้เหมือนจะเป็นของ องค์ชาย ส่วนนางนั้นเหมือนจะพึ่งเริ่มขึ้นเอง “ส่วนองค์หญิง บทเรียนของพระองค์วันนี้ง่ายกว่านั้นเลือกคนที่ทำให้แผ่นดินมั่น แล้วค่อยขอความสุขจากคนผู้นั้น ความรักโดยลำพังอยู่ไม่นานในวัง แต่ความร่วมมืออยู่ได้เป็นสิบเจ็ดปีขึ้นไป”
หรูเหมยนิ่งฟังถ้อยคำของจางกงกง รอยยิ้มที่เคยแต้มมุมปากก็ปรากฎขึ้น “ทางเลือก...หึ” เธอเอ่ยเสียงเบา “ทางเลือกสำหรับใครเล่า… อย่างสำหรับสตรีเช่นข้า? ที่ชะตากำหนดให้เป็นหมากในมือผู้ใหญ่?” พัดในมือ พรางลดลง “ประโยชน์ของสตรีในวัง… มักมิได้อยู่ที่เป็นผู้เลือก แต่เป็นผู้ถูกเลือก”
หลังจบคำกล่าวของหรูเหมย ภายใต้ศาลาก็เงียบลง ก่อนจะถูกทำลายลงเค่อซินก็กล่าวขึ้น “เข้าใจแล้ว ด่านตรวจ ชั่งคำถามให้เป็นสารภาพ เรียกตำแหน่งให้พอดีแล้ว…?”
“แล้วเลือกว่าจะเงียบเมื่อไร”
“คำนั้นขององค์ชายเมื่อครู่ แทงถูกที่เจ็บ ข้าน้อมรับแต่ข้าก็เลือกเงียบ เพราะไม่มีคำไหนที่ทำให้แผลหาย มีแต่การสอนให้ท่านไม่ต้องมีแผลเดียวกันในวันหน้า… นี่คือการเงียบที่มีประโยชน์ต่างจากการเงียบเพราะกลัว”
“เข้าใจล่ะ…เห่อ…วุ่นวายชัก” คำกล่าวของผู้เป็นน้องทำให้หรูเหมยที่เงียบมานานช้อนตามองทั้งคู่ ดูจะมีเรื่องให้ได้ทะเลาะกันอีกกระมัง หรูเหมยทอดถอนลมหายใจแผ่วเบา
“พอทีเถิด...” นางเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ เพียงตัดบททั้งสองลงได้ “วันนี้มีบทเรียนมากพอแล้ว ข้าเกรงว่าอีกครู่ เจ้าจะพ่นคำจนโดนเอาไปฝังไว้ใต้ด่านตรวจเสียก่อน”
“กระหม่อมรับคำ” กงกงเองก็ตอบรับ “สำหรับวันนี้กลับวังเถิดพะยะค่ะ ก่อนลมร่วงจะกลายเป็นหนาวจัด”
“นับเป็นเรื่องที่ดี…” นางเอ่ยเสียงนุ่ม พรางนางลุกขึ้นช้า ๆ ปัดชายกระโปรงเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัวออกไปยืนใต้เงาศาลา
“ เรากลับกันเถอะ ” หรูเหมยหันไปพูดกับองค์ชายน้อย
@Kexin