แสงจันทร์เต็มดวงลอยสูงเหนือผืนน้ำสงบนิ่งของทะเลสาบเยว่ปิงเหอ สายน้ำสีทองจากการสะท้อนแสงจันทร์พลิ้วไหวระยับราวผ้าซาตินบางที่สวรรค์ขึงไว้ให้โลกได้ชื่นชม รอบทะเลสาบมีหินเรืองแสงสีอ่อนกระจายเป็นระยะ ทำให้ทั้งพื้นที่ส่องประกายละมุนตาเหมือนอยู่ในห้วงฝัน กลิ่นดอกหลิวและพีชจากป่ารอบ ๆ ลอยแผ่วในอากาศผสมกับกลิ่นน้ำเย็นของภูเขา ฉากทั้งหมดงดงามราวกับบทกวีโบราณที่หล่นลงมาจากสวรรค์
เสียงเท้าม้าดังก้องเบา ๆ บนพื้นดินชื้น หลินหยาดึงบังเหียนให้ม้าปีศาจทมิฬเยวี่ยเหยียนหยุดชะงัก เธอไล้ขนมันอย่างอ่อนโยนก่อนลงจากอาน เสียงกระดิ่งเงินที่คอของม้าดังแผ่วตามจังหวะลม นางยืนนิ่งครู่หนึ่ง สูดกลิ่นอากาศกลางคืนเข้าปอดอย่างระแวดระวัง ความสงสัยกับความรู้สึกบางอย่างในอกสั่นระคนกันปนเป เหตุใดจางกงกงถึงเรียกให้มาที่นี่ในยามเที่ยงคืน ในสถานที่อันแสนเงียบงามแต่ชวนระแวดระวังเช่นนี้
เมื่อเดินเลาะตามแนวโคมกระดาษสีทองที่ลอยเรียงเป็นทางจนถึงริมทะเลสาบ ดวงตาของหลินหยาก็เบิกขึ้นเล็กน้อย ภาพที่เห็นทำให้หัวใจเธอเต้นแรงไม่เป็นส่ำ ชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้ตั่งเตี้ยกลางลานหินขาวใต้ต้นหลิวห้อยระย้า เขาสวมอาภรณ์เรียบหรูสีเข้มขลิบเงิน ผมถูกรวบไว้เรียบร้อยแต่มีปอยบางเส้นหลุดคลอข้างแก้ม ใบหน้าที่ปราศจากหน้ากากครึ่งหน้าคุ้นตาอย่างเจ็บปวดนั้นนิ่งเรียบ มีเพียงแสงจันทร์ที่ทำให้ผิวของเขาดูเหมือนหยกสลัก เสียงสายลมพัดผ่านปลายผ้าคลุมบางของเขาทำให้เธอแทบลืมหายใจ
โต๊ะเบื้องหน้าเขาเต็มไปด้วยอาหารชั้นเลิศจัดเรียงอย่างประณีต ข้าวอบหอมหมื่นลี้ ปลานึ่งเหล้าขาว ผักกาดน้ำทอดกรอบ ซุปกระดูกซี่โครง และผลไม้ที่เธอชอบ ท้อ ทับทิม เมล็ดส้ม และผลไม้รสเปรี้ยวหวานฉ่ำน้ำทั้งหลาย ที่เธอหลงรักตั้งแต่ครั้งยังอยู่ร้านในตลาดตะวันออก แต่ที่ทำให้หลินหยาชะงักคือไม่มีอาหารที่เกี่ยวกับถั่วเหลืองแม้แต่ชิ้นเดียว รายละเอียดเล็กน้อยนี้บอกชัดว่าเขาจำได้ทุกสิ่งแม้แต่สิ่งที่ทำให้เธอแพ้ถึงตาย
ข้างโต๊ะมีเบาะนุ่มปูล้อมไว้ด้วยผ้าลินินสีอ่อน พับเป็นมุมให้เอนกายได้สะดวก โคมไฟดวงน้อยแขวนจากกิ่งหลิวเหนือศีรษะเปล่งแสงอบอุ่นแต่ไม่จ้า เงาแสงจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำทอดผ่านม่านผมของเขา ดูคล้ายภาพในความฝันที่เคยพยายามลืมแต่ไม่เคยลืมได้จริง
เมื่อสายตาของจางกงกงเงยขึ้นพบกับนาง เขาไม่ได้พูดสักคำ เพียงผายมือเชิญให้มานั่งข้าง ๆ ที่เบาะอีกฝั่งที่จัดไว้ไม่ใช่ตรงข้ามแต่เคียงกันอย่างจงใจ สายตาของเขาเรียบนิ่งแต่มีบางอย่างแฝงอยู่ในนั้น ความนิ่งที่หลินหยารู้ดีว่าภายในอาจซ่อนพายุหลายลูกที่เธอไม่รู้จะหนีอย่างไร
หลินหยายืนนิ่งในแสงจันทร์นานกว่าที่ตั้งใจ ใจเต้นแรงจนรู้สึกเหมือนลมหนาวเริ่มไม่เย็นนัก นางค่อย ๆ เดินไปทีละก้าว ชุดสีอ่อนสะบัดเบา ๆ ตามแรงลม เงาของเธอและเขาเริ่มทาบกันยาวบนพื้นหินขาว เมื่อถึงโต๊ะหลินหยาชำเลืองอาหารกลืนน้ำลายเล็กน้อย “อาหารพวกนี้…” เสียงเธอเบาแต่ไม่กล้าขาด “ล้วนเป็นของที่ข้าชอบทั้งนั้น ท่านเตรียมไว้หรือเจ้าคะ”
จางกงกงเพียงเลื่อนสายตามาช้า ๆ ริมฝีปากขยับน้อยจนแทบไม่เห็น “เจ้าคิดว่าข้าจะให้คนอื่นเตรียมของที่เจ้ากินไม่ได้หรือ” เสียงของเขาเรียบแต่หากฟังลึกจะได้ยินแววอบอุ่นเจืออยู่ใต้ชั้นความเย็นนั้น เหมือนเหล็กที่เก็บความร้อนอยู่ภายใน หลินหยานิ่งไปก่อนวางมือลงบนเบาะอย่างไม่รู้ตัว แล้วนั่งลงข้างเขาห่างกันเพียงระยะฝ่ามือ
รอบทะเลสาบมีหิ่งห้อยเริ่มบินวนช้า ๆ เสียงน้ำกระทบหินดังแผ่วราวกับจะกล่อม ทั้งสองเงียบงันในความสงบงามนั้น เหมือนเวลาทั้งหมดหยุดอยู่เพื่อพวกเขาเท่านั้น เงาจันทร์เหนือผืนน้ำสะท้อนใบหน้าทั้งคู่จนดูคล้ายภาพคู่ในกระจกทอง และหากตำนานที่ผู้คนเล่ากันว่า ไม่มีคู่ใดมาที่เยว่ปิงเหอแล้วยังไม่ตกหลุมรัก เป็นจริง คืนนี้…คำสาปพรแห่งความรักนั้นก็คงกำลังเริ่มต้นอีกครั้งอย่างเงียบงัน ใต้แสงจันทร์สีทองที่ทำให้หัวใจของหลินหยาเต้นแรงเกินควบคุม
ลมกลางคืนพาไอเย็นจากผิวน้ำมาปัดชายผ้า หลินหยานั่งลงข้างเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็ยังยกคางนิด ๆ รักษาฟอร์มแม่ค้าผู้สุภาพและขี้บ่นในบางครา จางกงกงเอนตัวเพียงเล็กน้อยกลิ่นกฤษณาอ่อน ๆ จากแขนเสื้อเขาลอยแตะจมูก “ข้าคิดว่าเจ้าจะมาช้ากว่านี้” เขาเอ่ยโดยไม่มองตรงส่งเสียงเรียบเย็นตามเคย
“ข้าขี่เยวี่ยเหยียนมาด้วยตนเองนะเจ้าคะ ถ้าช้าก็เสียชื่อสิเจ้าคะ” หลินหยาตอบ น้ำเสียงทำเป็นกล้าหาญ แต่ปลายนิ้วกลับกำชายผ้าแน่นอยู่ใต้โต๊ะ หัวใจเต้นระรัวจนเธอหงุดหงิดกับตัวเอง “ว่าแต่…ท่านนัดข้ายามจื่อที่ทะเลสาบนี่ ตั้งใจจะทำให้ข้าใจเต้นแรงใช่ไหมเจ้าคะ หากข้าตายเพราะหัวใจวายขึ้นมาใครจะชดใช้ค่าเสียหายให้ร้านข้า”
“ข้า” เขาตอบสั้น ตาคมกวาดมองหน้าเธอเพียงครู่เดียวก่อนวางตะเกียบลง “แต่ก่อนให้เจ้าใจเต้นแรงจนตาย…กินเสียก่อน”
จานแรกถูกเลื่อนไปใกล้เธอ ปลานึ่งเหล้าขาวเนื้อขาวฉ่ำโรยขิงซอย จางกงกงคีบชิ้นกลางที่ไขมันเรียบเนียนที่สุดวางที่จานหลินหยาอย่างประณีต ราวกับกลัวตะเกียบจะบาดแผ่นหยก “ชิ้นนี้ไม่มีก้าง” เขากล่าวขณะมืออีกข้างยกกาน้ำอุ่นรินซุปกระดูกให้เธอ กลิ่นหอมหวานลอยขึ้นเธอเกือบเผลอพึมพำคำชม แต่ยั้งไว้เป็นบ่นเบา ๆ แทน “ก็ยังดีที่ท่านจำได้ว่าข้าไม่กินถั่วเหลืองนะเจ้าคะ ไม่งั้นได้เห็นคนเป็นลมคาโต๊ะแน่”
มุมปากเขากระตุกน้อยมากจนแทบมองไม่เห็น “ข้าจำมากกว่านั้น” ว่าพลางใช้มีดปลอกเปลือกผลทับทิมออกอย่างเชื่องช้า แกะเมล็ดทีละพวงด้วยความใจเย็นเกินฐานะจงฉางชื่อของเขา
หลินหยาเห็นดังนั้นก็กลอกตา “ท่านนี่…จะใจดีกับข้าไปถึงไหนกันนะเจ้าคะ ช่างน่าโมโหนัก” วาจาว่าโทษแต่หูกลับร้อนทั้งที่ลมเย็นนัก เธอพึมพำพลางคีบปลาชิมคำเล็ก ๆ ละลายในปากทันที “อืม…อร่อย” ก่อนเผลอคำชมหลุดปากแล้วรีบไอกระแอมกลบเกลื่อน “ก็…พอได้อยู่เจ้าค่ะ”
จางกงกงไม่ได้โต้ตอบเขาเพียงยื่นผ้าเช็ดปากผืนเล็กให้ เธอรับแบบกลัวมือจะสั่น หลังจากนั้นทั้งคู่กินเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง เสียงน้ำกระทบหินและหิ่งห้อยตีวงเหนือผิวน้ำกลายเป็นฉากประกอบ เพลงเบาสุดที่โลกขับให้ “เรียกข้ามาทำไมกันแน่หรือเจ้าคะ” หลินหยาถามในที่สุด “อย่าบอกนะว่าแค่อยากเลี้ยงข้าว คนอย่างท่านไม่น่าจะสิ้นเปลืองเพราะเรื่องไร้สาระเช่นนั้นใช่ไหมเจ้าคะต้องมีบางอย่างที่ท่านอยากได้?”
เขาหยุดตะเกียบที่กำลังคีบอาหาร “เพราะเรื่องที่ไม่ไร้สาระต่างหาก…เจ้าควรได้กินให้อิ่มก่อน” ดวงตาเขาหันมาแตะนางเต็ม ๆ ครั้งแรก แสงจันทร์ทำให้มันคล้ายแววมีดที่ถูกอุ่นเหนือเตาถ่านคมแต่ไม่ทำให้เลือดเย็น “วันนี้เจ้าเหนื่อยมา ข้ารู้”
หัวใจหลินหยากระตุกข่าวของเธอมาถึงเขาเร็วเกินไปเสมอ “หากท่านรู้…แล้วทำไมไม่มาหาให้เร็วกว่านี้หรือเจ้าคะ บางครั้งท่านก็เงียบหายไปบางครั้งก็มาใส่ใจข้าทำข้าสับสนเก่งจริงนะเจ้าคะ” เธอเบือนหน้าแต่กลับเห็นจานเล็กที่เขาเลื่อนมาอีก เป็นผักกาดน้ำทอดกรอบราดซอสน้ำผึ้งดอกพลับ เมนูโปรดที่เธอเคยเผลอพูดยามเมื่ออยู่ด้วยกัน
“สับสนเพราะอาหาร หรือเพราะคน” เขาถามเรียบ ๆ
“ข้าคิดว่าทั้งสองเจ้าค่ะ” หลินหยาตอบตรงเกินกว่าที่นางตั้งใจ เป็นจังหวะที่จางกงกงหันมามองนางที่อยู่ข้างตัว “ท่านอย่ามองข้าแบบนี้สิเจ้าคะ…ข้าขี้เขิน เดี๋ยวข้างอนท่านจริง ๆ หรอก”
“งอนก็ยังมา เสี่ยวหยาเจ้านี่ดื้อนัก” จางกงกงเอ่ยก่อนที่เขาจะวางตะเกียบ หันกายเล็กน้อยให้ไหล่แตะกัน “เสี่ยวหยา…ข้าจัดการศึก จัดการคน จัดการความลับได้ทั้งวังหลวง แต่ข้ากลับจัดการเสียงหนึ่งในหัวไม่ได้…เสียงของเจ้า” ปลายประโยคนั้นเหมือนหินเม็ดเล็กตกลงกลางอก หลินหยาชะงักเมื่อได้่ยิน ทุกคราวที่เธอคิดว่ารู้จักความนิ่งของเขาดีพอ ก็จะมีแสงอีกชั้นหนึ่งฉายออกมาให้ตะลึงอีกครั้ง นางเงยหน้ามองแสงจันทร์แสร้งสูดลมให้คอโล่ง แต่หัวใจกลับเต้นรัวเหมือนเด็กโดนเรียกชื่อหน้าโรงเรียน
“เจ้าหายไปเป็นเดือน ให้ข้าคิดอย่างไรเสี่ยวหยา” เขาพูดช้า ๆ ชัด ๆ เหมือนจะให้คำแต่ละคำจารลงบนหิน “ข้ารู้ ว่าตอนนั้นข้าโมโหและโกรธแต่เจ้าช่วยรู้ตัวเองหน่อยได้ไหม ว่าเวลาเจ้าหายไป ข้าควบคุมมันไม่ได้” น้ำเสียงเขาไม่ดังนัก ทว่ามีน้ำหนักของคนที่ยอมถอดเกราะทิ้งตรงหน้าเธอ หลินหยากัดริมฝีปาก เธออยากบ่นว่าก็ใครใช้ให้ท่านมาทำให้ข้าคิดถึงก่อนกัน แต่พอเห็นเส้นเลือดจาง ๆ ตรงขมับเขาเต้นตามจังหวะใจ เธอกลับพูดไม่ออก มือบางจึงยื่นไปจับแขนเสื้อเขาเบา ๆ เพียงเท่าปลายนิ้วแต่สื่อว่ารับรู้ทั้งหมด
“ข้า…ไม่ได้ตั้งใจให้หายไปนานขนาดนั้นเจ้าค่ะ” หลินหยาค่อย ๆ เอ่ย เสียงยังมีเงาหยอก แต่ปลายประโยคสั่นนิด “ข้านิสัยแย่ ขี้บ่น ขี้งอนและดื้อด้วย…แต่ไม่ได้หนีท่านหรอกนะ”
เขามองนิ้วของนางที่แตะแขน จนเหมือนคิดจะเก็บสัมผัสนั้นไว้ในความทรงจำ แล้วเอ่ยขออย่างเงียบงามราวพิธีกรรม “คืนนี้…ข้าขอนอนพักบนตักเจ้า นอนดูดาวอย่างเรียบง่ายกับเจ้าสองคน ได้ไหม” คำว่าได้ไหม นั้นออกมาจากปากคนที่สั่งขันทีและนางกำนัลทั้งวังได้ด้วยประโยคเดียว ทำให้โลกเงียบลงจนได้ยินเสียงหิ่งห้อยกระพือปีก หลินหยาก้มหน้าเล็กน้อยเธอแก้มร้อนขึ้นทันที “ถ้าให้ข้านั่งเป็นหมอน ข้าจะคิดค่าจ้างเพิ่มนะ” เธอแกล้งยักคิ้ว “ชดเชยความเมื่อยล้า…และค่าเสียหายที่ท่านทำให้ข้าใจเต้นแรงเกินมาตรฐาน”
มุมปากของจางกงกงยกขึ้นน้อยมากแต่บ่งบอกอารมณ์ “บอกใบ้ตัวเลขมาสิเสี่ยวหยา ข้ายินดีจ่ายดอกเบี้ยตลอดชีพ”
“ท่านนี้นะ…ปากดีนัก” นางหัวเราะในคอก่อนดึงผ้าปูนุ่มข้างตัวมาปูให้เรียบ เอียงกายเล็กน้อยแล้วตบตักตัวเองเบา ๆ เป็นสัญญาณบอกอีกคน “มาสิเจ้าคะ แต่อย่ากดแรงนะ” เมื่อเห็นดังนั้นจางกงกงเอนตัวลงอย่างระมัดระวังอย่างคนคุ้นกับการไม่ฝากน้ำหนักไว้กับใคร เขาวางศีรษะบนตักเธอจนกลิ่นกฤษณาลอยอุ่นอยู่ในอากาศ หลินหยายกชายผ้านุ่มห่มอกให้เขาโดยไม่พูดอะไร ปลายนิ้วเรียวก็เผลอเกลี่ยปอยผมที่หลุดเคลียหน้าผากเขาให้เข้าที่ ช้าและเบากว่าทุกครั้งที่เธอชงชา
“หนักไหม” เขาถาม เสียงต่ำใกล้จนผิวหน้าขาของเธอสั่นตามคำถาม
“ไม่เลยเจ้าค่ะ” หลินหยาตอบ “หนักกว่านี้คือความคิดมากของข้าเองต่างหาก” แล้วเธอหลุบตา “ถ้าท่านจะ…อยู่เงียบ ๆ แบบนี้ต่ออีกหน่อย ข้าก็ไม่บ่น” เขาหลับตา รับคำเชิญของความเงียบอย่างวางใจ เสียงน้ำกระทบหินยังคงตีจังหวะสม่ำเสมอ หิ่งห้อยโค้งแสงผ่านเหนือศีรษะทั้งสองเป็นสาย ฝ่ามือของหลินหยาวางบนมือของเขาอย่างไม่รู้ตัวรับรู้จังหวะหายใจที่ค่อย ๆ ช้าลง จางกงกงยกมือขึ้น หยุดที่เหนือข้อมือเธอไม่รั้งไว้ แต่เพียงวางไว้เหมือนยืนยันว่านางอยู่ตรงนี้แล้วจริง ๆ
จางกงกงที่เอนกายอยู่บนตักของหลินหยา ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ทอดสายตามองใบหน้าของนางที่กำลังมองดาวด้วยแววตาอ่อนโยน เขาไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับกำลังกลั่นความคิดมากมายที่ปั่นป่วนอยู่ในใจออกมาให้เป็นคำพูดได้เพียงพอจะระบาย “ช่วงนี้ในวังไม่สงบเลย” เขาเริ่มต้นเสียงแผ่ว คล้ายคนที่ไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องในใจ “ฝ่าบาทยังไม่เสด็จกลับจากการเดินทางลงใต้…แต่มีเพียงกุ้ยเฟยที่ติดตามไปด้วย”
เขาเว้นช่วงนิดหนึ่ง ดวงตาหงส์คมเฉียบหลุบต่ำ “พอไม่มีฝ่าบาทอยู่ทุกสิ่งในวังเหมือนพยับเมฆที่ซ่อนฟ้า เหล่าองค์ชายองค์หญิงต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อเตรียมรับหน้าที่ เหล่าขุนนางเองก็จับตากันไม่วางตาส่วนน้อยนักที่ไว้ใจได้…” เสียงของเขาแผ่วลงในตอนท้าย ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “ข้าเฝ้าคิดว่าข้าชินกับความวุ่นวายพวกนั้นแล้ว แต่พอคืนนี้ได้นอนอยู่อย่างนี้ กลับรู้ว่าข้ายังมีบางสิ่งที่ทำให้ไม่อยากกลับเข้าไปอีกเลย”
หลินหยาเงียบฟัวเขาไม่กล้าพูดอะไรเพราะเธอรู้ดีว่าคำบ่นของจางกงกงนั้นแบกน้ำหนักสิ่งที่เขาต้องพบ เธอจึงเพียงเอื้อมมือไปจับมือของเขาเบา ๆ มือเรียวบางขาวเนียนวางทับลงบนฝ่ามือที่หยาบกระด้างและเย็นเยียบของคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน ราวกับจะบอกว่าไม่ต้องพูดก็เข้าใจ
จางกงกงกลับเป็นฝ่ายขยับก่อนเขากุมมือเธอไว้แน่นแล้วค่อย ๆ ยกขึ้นมาวางไว้กลางอกตนเอง “เสี่ยวหยา…” เสียงของเขานุ่มลงจนเกือบกลายเป็นเสียงกระซิบ “ขอบคุณนะ การมีเจ้าอยู่ตรงนี้ ทำให้ข้ามีช่วงเวลาที่ได้รู้ว่าตัวเองยังสัมผัสชีวิตอีกด้านได้ ด้านที่ไม่ต้องคิดถึงความตาย การทรยศ หรือแผนการใด ๆ ด้านที่ข้า… แค่เป็นคนคนหนึ่งเท่านั้น” คำพูดนั้นทำให้หลินหยาสะท้าน เธอเบิกตาขึ้น ดวงตาสั่นระริกเพียงชั่ววินาทีก่อนน้ำตาเอ่อขึ้นโดยไม่รู้ตัว เธอมองใบหน้าเขาที่ดูอ่อนลงกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น จางกงกงในค่ำคืนนี้ไม่ใช่ขันทีผู้โหดเหี้ยมที่ทั้งวังเกรงกลัว แต่เป็นชายคนหนึ่งที่เหนื่อยล้าและต้องการพักใจในอ้อมแขนของใครสักคน
หลินหยาไม่รู้ว่าความกล้าจากไหน เธอยกมืออีกข้างขึ้นแตะใบหน้าเขา เกลี่ยเส้นผมที่ระไปตามหน้าผากให้เรียบ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือสัมผัสแก้มเขาอย่างแผ่วเบา “ท่าน…พูดแบบนี้ ข้าจะร้องไห้นะ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นท่านพูดเรื่องแบบนี้กับข้า”
จางกงกงมองดวงตาเธอ ดวงตาที่สะท้อนแสงจันทร์และเงาน้ำ ริมฝีปากเขาโค้งขึ้นน้อยมากแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่เขามีให้นางเพียงคนเดียว เขาเอื้อมมือขึ้นแตะปลายนิ้วเธอที่ยังสัมผัสแก้มของเขาไว้ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยหยดน้ำใสที่ไหลลงมาตามข้างแก้มนั้นอย่างช้า ๆ “ข้าเคยบอกหรือไม่ ว่าใบหน้าเจ้าตอนมีน้ำตา…งดงามกว่าดอกท้อยามผลิบาน” เขาพูดพลางมองตรงเข้าตาเธอจนหลินหยาหลบไม่ทัน หัวใจของเธอเต้นแรงจนน่าตกใจ
“ท่านพูดบ้าอะไร…ล้อข้าหรือ” หลินหยาเอ่ยเบา ๆ ในขณะที่ใบหน้าเริ่มแดงเล็ก ๆ
“ข้าไม่ได้ล้อเสี่ยวหยา” เขาพูดเสียงเรียบแต่จริงจัง “ข้าหมายความตามนั้นจริง ๆ น้ำตาของเจ้ามันเหมือนของจริงที่สุดในโลกนี้ ไม่มีเล่ห์ ไม่มีแผน… และข้าอยากเป็นคนที่ทำให้เจ้ามีมีน้ำตาและคอยเช็ดมันให้มันหายไป” หลินหยาก้มหน้าลงทันทีที่เขาบอก มือบางที่ยังแตะแก้มเขาอยู่เริ่มสั่น เธออยากจะตอบแต่คอแน่นเหมือนกลืนก้อนอะไรไว้ไม่ลง
จางกงกงมองเธออยู่อย่างนั้น แสงจันทร์อาบบนเส้นผมของหลินหยาเป็นประกาย เขายกมืออีกข้างขึ้นจับมือเธอที่ยังวางบนใบหน้าตนเอง แล้ววางริมฝีปากลงบนหลังมือนั้นอย่างเงียบงัน เป็นจูบที่ไม่มีไฟร้อน ไม่มีแรงบีบเพื่อตอกย้ำอำนาจมีเพียงความรู้สึกอบอุ่นของชายผู้เคยไม่รู้จักคำว่ารัก หลินหยาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง น้ำตายังขังในหางตาแต่รอยยิ้มกลับปรากฏ เธอกระซิบเบา “ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าท่านรักข้าจริง ๆ”
“ข้าเองก็เชื่อ…ว่าตลอดเวลาที่ข้าคิดถึงเจ้า มันไม่ใช่แค่เพราะหลงใหล แต่มันเพราะข้าไม่รู้จะอยู่ยังไงโดยไม่มีเสียงของเจ้า” และใต้แสงจันทร์สีทองอ่อน ทั้งสองคนเงียบอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรจะพูด หากเพราะคำพูดทั้งหมดได้กลายเป็นสิ่งเดียวกับลมหายใจที่ผสานอยู่เหนือผืนน้ำเยว่ปิงเหอ คืนนี้…ไม่มีอำนาจ ไม่มีศักดิ์ศรี มีเพียงชายผู้เคยถูกพรากความเป็นมนุษย์ กับหญิงผู้ทำให้เขากลับมารู้จักคำว่ามีชีวิตอีกครั้ง
“ท่านไม่จำเป็นต้องหวานกับข้าก็ได้…เป็นเพียงท่านอย่างที่ท่านต้องการ…แค่นี้ข้าก็มีความสุขที่ได้อยู่ข้างท่านแล้ว” เมื่อได้ยินแบบนั้นจางกงกงที่นอนอยู่ก็ค่อย ๆ ขยับตัวขึ้น ความนิ่งและเงียบหายไป เหลือเพียงแรงบางอย่างที่อัดแน่นอยู่ในอากาศ เขาเงยหน้า ดวงตาคมเข้มสะท้อนแสงจันทร์เหมือนเงามังกรที่กบดานใต้ผืนน้ำ เสียงของเขาแหบพร่าออกมาเป็นประโยคที่ทำให้เลือดในกายหลินหยาเย็นวาบ “เจ้าเคยคิดว่าข้าเป็นปีศาจ…” เขาเอ่ยช้า ๆ แต่ทุกคำหนักแน่นพอจะฝังลึก “แต่เจ้ารู้หรือไม่เสี่ยวหยา…รู้ว่าปีศาจตนนี้…มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ครอบครองหัวใจมันได้”
เขาโน้มตัวลงมาช้า ๆ ใบหน้าห่างกันเพียงคืบ ลมหายใจอุ่นร้อนของเขากระทบผิวแก้มเธอราวกับไฟลูบ กลิ่นหอมจากกายนางกลิ่นผลไม้จาง ๆ กับกลิ่นชาหอมประจำตัวเธอตีกันจนรบกวนสมาธิของชายผู้เสียการควบคุมทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้านาง ดวงตาของจางกงกงค่อย ๆ ลากลงมาหยุดที่ริมฝีปากนาง แววตาไม่ใช่เพียงความปรารถนา แต่เป็นความหิวกระหายราวกับเขาเป็นนักล่าในเงามืดที่พยายามอดกลั้นตลอดมา
“เจ้าคือของข้า…หลินหยา…” เสียงเขาแผ่วลงเหมือนสัตว์ร้ายกำลังขู่ก่อนตะครุบเหยื่อ “ตั้งแต่ลมหายใจแรกที่ข้าได้เห็นเจ้า…และตลอดไป”
คำพูดสุดท้ายหายไปในระยะห่างนั้น เขาไม่รอให้นางตอบ ริมฝีปากบดเบียดเข้าหากันอย่างแรงจนลมหายใจของทั้งคู่พันกันเป็นหนึ่ง ลิ้นหนาสอดเข้าโพรงปากหวานเล็กที่มักจะจูบแต่คราวนี้กลับให้การจูบนั้นไม่เหมือนเคยเลย การจูบครั้งนี้ของเขาไม่ใช่ความอ่อนหวานของชายที่วอนขอความรัก แต่เป็นการกระโจนเข้าใส่เหมือนคนกระหายน้ำที่พบน้ำกลางทะเลทราย เป็นจูบที่ดูดลึก ดุดันเร่าร้อน และเต็มไปด้วยความต้องการที่เก็บซ่อนมาตลอด
มือใหญ่เลื่อนไปจับท้ายทอยของเธอ กดแรงขึ้นทีละน้อยให้ริมฝีปากนางไม่อาจขยับหนี ลิ้นหนาขยับเกี้ยวกับลิ้นเล็กของคนที่อยู่ในอ้อมแขนราวกับจะสลักความรู้สึกดึงรั้งเธอเข้ามาจนไม่มีช่องว่าง สัมผัสนั้นเหมือนจะผนึกเธอให้เป็นส่วนหนึ่งของเขาตลอดกาล เขาไม่ได้เพียงจูบหลินหยาสัมผัสได้ถึงแรงของคนที่อยากดูดกลืนลมหายใจและจิตวิญญาณของเธอเข้าไปในตัว หลินหยากระตุกนิดหนึ่งเมื่อถูกดึงแน่นขึ้น แต่ร่างกายกลับสั่นสะท้านอย่างไม่อาจเป็นไปตามความคิดของตนเอง ลิ้นเล็ก ๆ ขยับเข้าหา มือบางของแม่ค้าสาวกลับเลือกที่จะโอบกอดคนตรงหน้าแทนที่จะผลักออก
แสงจันทร์ส่องลอดผ่านต้นไม้ตกต้องผิวทั้งคู่เป็นลวดลายสีเงินจาง ๆ เหมือนพยานเพียงหนึ่งเดียวในค่ำคืนนั้น จางกงกงจูบเธอราวกับจะเขียนคำสาบานลงบนริมฝีปาก จนไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงหายใจที่สั่นและแรงเต้นของหัวใจทั้งสองที่โถมเข้าหากันไม่หยุดยั่ง…

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: เมื่อไรแถวสองจะมากันนะ..อ๊าคคค หรือรอหมอต่อโจยจางกงกงหรอ?
ผมอยากโรลเรทแบบมีโจย..แม่งเอ้ย อยากมีผัวเป็นตัวเป็นตน!!
ทำยังไงดีนะ จางกงกงไม่มีโจย รอไปก่อนแล้วกัน ฮรุก ๆ
รักกันขนาดนี้แล้วง่ะ คุณพี่ช่วยใจดีกับทุกคนหน่อย หมาโบ้สักกะที โฮ๊ก ๆ ซึ้ง
รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง