123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Watcher

[พิภพเทพ] ตำหนักเทพประมุข

[คัดลอกลิงก์]

1

กระทู้

21

ตอบกลับ

1059

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
919
ตำลึงทอง
54
ตำลึงเงิน
367
เหรียญอู่จู
9440
STR
0+5
INT
0+0
LUK
0+0
POW
0+5
CHA
0+0
VIT
0+2
คุณธรรม
123
ความชั่ว
0
ความโหด
113
โพสต์ 2025-8-17 04:54:52 | ดูโพสต์ทั้งหมด





ที่ไหนสักที่ ที่แสนไม่เข้าใจเลยสักนิด


เสียงลมกรีดผ่านหูเหมือนถูกฉุดออกจากเหวลึก แสนค่อย ๆ ลืมตา ดวงตาคมที่เคยเห็นแค่ตึกสูง ถนน ฝุ่นควัน และไฟนีออนของกรุงเทพ กลับได้เห็นภาพที่ชวนอ้าปากค้าง “เชี้ย…ที่ไหนวะเนี้ย” รอบตัวเขาคือท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนยามเช้าที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆขาวหนานุ่ม เมืองทั้งเมืองตั้งตระหง่านอยู่เหนือหมู่เมฆ ปราสาทสูงเสียดฟ้า หลังคาทองเปล่งประกายระยิบระยับเหมือนสรวงสวรรค์ มีกำแพงแกะสลักโบราณทอดยาว สะพานหินพาดเชื่อมเขาสูงกับเกาะลอย เมฆเป็นทะเลแทนพื้นดิน มีนกขาวคล้ายกระเรียนบินโฉบเหนือสายรุ้งที่โค้งผ่านสวนดอกไม้ซากุระสีชมพูเรืองรอง


แสนยืนอึ้งไปพักใหญ่ก่อนสบถออกมาดัง ๆ “เชี้ย อลังการโคตร! แฟนตาซีสัส ๆ…กูนึกว่าตายแล้วไปอยู่ในเกมออนไลน์!” เสื้อช็อปปทุมวันยังอยู่บนตัว กางเกงยีนส์เก่า ๆ ก็ยังใส่อยู่ แต่ทุกสิ่งรอบตัวแม่งต่างจากโลกที่เขารู้จักโดยสิ้นเชิง เสียงขลุ่ยโบราณแว่วมาเบา ๆ ตามสายลม ก่อนจะมีร่างในชุดคล้ายเทพเซียนโบราณก้าวออกมาจากหมอกเมฆ มองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ


“มนุษย์…?? ผู้กำลังรอคัดสรรหรือ?” แสนขมวดคิ้วระหว่างกำลังจุดบุหรี่ที่ติดมาเข้าปาก สูบบุหรี่มวนที่ยังติดไฟอยู่ พ่นควันใส่หน้าคนตรงหน้าอย่างไม่สนโลก พลางยกยิ้มมุมปาก “ไม่รู้โว้ย…แล้วนี่มันที่ไหนวะ สวรรค์เหรอ?” แสนยังยืนงงสูบบุหรี่อยู่ แต่ร่างในชุดยาวคล้ายเซียนมองเขาด้วยแววตาตำหนิอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวไม่คิดจะยกมือไหว้หรือทำท่าทางเคารพอะไรเลย 


เขาจึงเอ่ยเสียงทุ้ม “ไป…รอที่ตำหนักเทพประมุขเสีย”


“ห๊ะ? ตำ…เหี้ยอะไรนะ?” แสนหรี่ตา ควันบุหรี่ยังคลุ้งรอบหน้า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกวนตีนตามสไตล์เด็กช่าง แต่ร่างนั้นไม่ตอบอะไร เพียงแค่ชี้ไปยังเขตสูงตระหง่านในหมู่เมฆ ที่มีวังสีทองเปล่งรัศมีเรืองรองเหนือทุกสิ่ง แสนหันไปมองตาม สายตาเบิกเล็กน้อย “โห…ไอสัส…อะไรจะโคตรอลังการขนาดนี้วะ” วังนั้นมีบันไดหินยาวทอดจากเมฆขึ้นไปเหมือนพาดสู่สวรรค์ เสียงขลุ่ยโบราณดังก้องอยู่ไกล ๆ พอประกอบกับภาพตึกระฟ้าที่เหมือนจะสร้างด้วยหยกและทองแล้ว มันเหมือนภาพในเกมออนไลน์ที่เขาเคยเล่นตอนร้านเน็ตสมัยเรียนเลย


“เชี่ย…นี่กูไปนรกไม่ใช่เหรอ? หรือว่าก่อนเข้าต้องมีการ คัดสรรความเหี้ย ก่อนวะ?” แสนบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ก็เริ่มสาวเท้าเดินขึ้นบันไดเมฆแบบงง ๆ ควันบุหรี่ยังตามเขาไปเหมือนเงา ขณะที่ใจยังครุ่นคิดว่านี่แม่งเป็นบทลงโทษ หรือบททดสอบกันแน่


เสียงเมฆครืน ๆ ดังแผ่ว ๆ ใต้เท้า ทุกย่างก้าวเหมือนโลกทั้งใบกำลังจับตามอง แสนยกยิ้มเหี้ยมเล็ก ๆ ทั้งที่ใจไม่รู้ว่าปลายทางคืออะไร แต่ความคิดดิบเถื่อนก็ยังไม่หาย “ช่างแม่งสิวะ…ถ้ากูจะตกนรก กูจะไปนรกแบบตัวตึง”


แสนเดินก้าวเข้ามาในตำหนักใหญ่ที่โอ่อ่าเกินกว่าที่สมองเด็กช่างจะจินตนาการได้ เสาหินอ่อนแกะสลักมังกรพันเลื้อยสีทองยืนตระหง่านรับเพดานสูงจนแสงแดดลอดลงมาจากช่องบนสุดเป็นลำ เสียงน้ำไหลในร่องหินกลางโถงก้องสะท้อนดั่งท่วงทำนองพิธี ทุกอย่างแม่งโคตรจะอลังการ ยิ่งกว่าหนังจีนทุนสร้างพันล้านเสียอีก “เชี้ย…นี่มันโรงถ่ายหนังปะวะ? หรือกูนอนสลบแล้วเพื่อนแม่งเอากูมาล้อเล่น?” แสนพึมพำกับตัวเอง ก่อนหันไปมองข้าง ๆ แล้วชะงัก…เพราะสิ่งที่เห็นไม่ใช่แค่พวกคนจีนโบราณในชุดผ้าแพร แต่มันมีทั้งแขกฝรั่งผมทอง ตาฟ้าในสูทเนี๊ยบ อเมริกันผิวขาวสะพายเป้ ญี่ปุ่นผมดำย้อมทองใส่ชุดนักเรียนยังยืนงงอยู่ข้าง ๆ กระทั่งคนผิวเข้มจากแอฟริกาที่แต่งชุดพื้นเมืองก็มี รวมถึงพวกหน้าเจ๊ก หน้าแขกเต็มไปหมด แม่งโคตรเหมือนสนามบินสุวรรณภูมิที่โดนยกขึ้นมาบนสวรรค์...มีเกตหรือว่าดิวตี้ฟรีไหม? ตอนนี้เริ่มหิวมาม่าละ จะว่าไปตรงนั้นมันมีไว้ซื้ออย่างอื่นนี้หว่า


ทุกคนกำลังต่อแถวยาวสุดลูกหูลูกตา จนมองไม่เห็นหัวแถวว่าไปสิ้นสุดตรงไหน เสียงพูดคุยปนเสียงภาษาต่าง ๆ ดังระงม แต่ละคนเหมือนกำลังรอคิวเข้าไปยังห้องโถงด้านในที่มีบัลลังก์สูงสุดตั้งเด่น แสนยืนเกาหัว หรี่ตาแล้วบ่นด่าหยาบ ๆ ตามสันดาน “เหี้ยไรของมันวะ…กูนึกว่ามาเข้าวัดในนรก ที่ต้องมานั่งคัดความเหี้ยของคนกันก่อนลงกระทะทองแดง ที่ไหนได้…นี่มันออฟฟิศตรวจคนเข้าแดนเทพชัด ๆ!”


เขามองไปรอบ ๆ อีกทีแล้วแค่นหัวเราะ “แม่งไม่ใช่แค่ไทยที่ซวย กูนี่ได้เป็นคนชาติหมาของโลกทั้งใบรวมอยู่ในแถวเดียวกันแล้วมั้งเนี้ย…กูก็ดันชาติหมาพอสมควรด้วยสิ”






อื่น : โดนบอกว่าให้มาต่อแถวครับ 5555+ สงสัยเทพทรงงานหนักอยู่ละมั้ง เขินจังเลยครับ


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 20189 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-17 04:54
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกไผ่ผ้าคลุม
กระบี่คู่สลักจันทรา
ผู้ใช้กระบี่
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x1

1

กระทู้

21

ตอบกลับ

1059

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
919
ตำลึงทอง
54
ตำลึงเงิน
367
เหรียญอู่จู
9440
STR
0+5
INT
0+0
LUK
0+0
POW
0+5
CHA
0+0
VIT
0+2
คุณธรรม
123
ความชั่ว
0
ความโหด
113
โพสต์ 2025-8-18 20:33:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ขอจูบหน่อยสิ?


บรรยากาศในโถงตำหนักที่เต็มไปด้วยเสียงคนพูดคุยปนภาษานับไม่ถ้วน แสนยืนกอดอกอยู่กลางแถว พลางถอนหายใจยาวจนเกือบจะสบถออกมาแล้วด้วยความเบื่อหน่าย “ไอ้สัส…นี่กูมายืนรอคิวทำพาสปอร์ตแดนเทพหรือไงวะ” แต่ทันใดนั้น สายตาเขาก็สะดุดเข้ากับใครบางคน สตรีหนึ่งในชุดขาวบริสุทธิ์เดินผ่านฝูงชนมาอย่างสง่างาม แสงแดดลอดช่องกระทบผิวเธอจนดูสว่างราวเทพธิดา ใบหน้าเรียวสวย ตาคมอ่อนโยน แต่กลับซ่อนความเด็ดเดี่ยวไว้ในแววตา เครื่องประดับบนศีรษะสะท้อนแสงวิบวับเหมือนมงกุฎของสรวงสวรรค์ ทุกฝีเท้าที่นางก้าวผ่าน คนทั้งหลายต่างหลีกทางโดยไม่ต้องมีใครสั่ง


หัวใจเสือกอย่างแสนที่ไม่เคยยอมก้มหัวให้ใครกลับสะดุดวูบ ราวกับสมองสั่งให้เขาหุบปากหยาบที่พร้อมจะด่าพ่อล่อแม่ทุกเมื่อไปโดยไม่รู้ตัว แทนที่จะตะโกนด่าหรือทำท่ากวนตีนเหมือนเคย ริมฝีปากของแสนกลับเผยยิ้มทะเล้น ท่าทีเปลี่ยนเป็นสุภาพขึ้นมาทันตา “สวัสดีครับ…แสนครับ โสดครับ” คนรอบ ๆ ถึงกับเหลือบตามอง บางคนอ้าปากค้างที่เห็นเด็กช่างปทุมวันากหมากลับยืนยืดอกแนะนำตัวเหมือนสุภาพบุรุษในงานหมั้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มักใช้กับสาว ๆ แถวประตูดินตอนนี้กลับถูกโยนใส่เทพธิดาผู้สูงส่งตรงหน้าโดยไม่ลังเล


นางหาใช่ใครอื่นไม่ เทพซ่างกู่ หนึ่งในสัจจเทพทั้งสี่ ผู้เป็นถึง เทพประมุขแห่งสามพิภพ ผู้แบกรับชะตาโลกนับครั้งไม่ถ้วน และเป็นผู้ที่เลือกเองว่าจะพาวิญญาณจากโลกดั้งเดิมมาเกิดใหม่ในพิภพแห่งนี้เพื่อรับมือมหันตภัยครั้งใหม่ที่กำลังคืบคลาน


ดวงตาของซ่างกู่จับจ้องแสนเพียงเสี้ยวขณะ ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักอะไรบางอย่างในตัวเขา ท่าทางของนางสงบนิ่ง สมกับฐานะผู้กำหนดชะตาของสามพิภพ แต่ในใจนางก็อดแปลกใจไม่ได้ชายผู้นี้กลิ่นอายปะปนทั้งความเถื่อนหยาบโลนและไฟชีวิตแรงกล้า ราวกับเป็นตัวตนที่โลกนี้ไม่เคยมีมาก่อน 


เทพซ่างกู่ปรายตามองแสนเพียงเสี้ยว ก่อนคิ้วเรียวงามจะขมวดเล็กน้อย เหมือนแปลกใจที่เจอสายตาแบบนั้นจากมนุษย์ในตำหนักแห่งเทพ นางไม่พูดอะไรนอกจากเอ่ยเสียงนุ่มแต่ทรงอำนาจ “ต่อไปคือเจ้า” ฝูงชนรอบข้างเงียบลงราวกับมีแรงกดจากสวรรค์ แสนยังยืนกอดอกเหมือนเดิม แต่ก็ต้องขยับตามเมื่อร่างงามในชุดขาวหมุนตัวเดินนำ เขามองรอบ ๆ อย่างงง ๆ พลางคิดในใจว่าต่อไปต้องมีการคัดเหี้ยอะไรสักอย่างก่อนจะส่งคนลงนรกแน่ ๆ


ระหว่างเดิน นางเอ่ยอย่างชัดถ้อย “เราคือ เทพประมุขอี๋เหอ หากมนุษย์เรียก ก็มักใช้ว่า สัจเทพอี๋เหอ…หรือ เทพซ่างกู่ เสียงนั้นอ่อนโยน แต่ทุกถ้อยคำแฝงพลังที่บ่งบอกถึงความสูงส่งเหนือสรรพชีวิต แสนชะงักไปครู่ ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวเขาไม่ได้นับถือเทพตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่พอเห็นคนตรงหน้าใกล้ ๆ แล้ว…ใจแม่งเริ่มไม่ค่อยมั่นคงนัก ใบหน้านั้นสวยแบบที่ไม่มีสาวแถวประตูดินคนไหนเทียบได้


เขายกยิ้มมุมปาก ก่อนปล่อยประโยคกวน ๆ ออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังเกินกว่าที่ควร “พี่สาว…สนใจไปจิบน้ำชากับผมไหมครับบบ” เสียงกระซิบซุบซิบจากคนในแถวดังขึ้นทันที บางคนตกใจ บางคนหัวเราะหึ ๆ เหมือนอยากดูว่าชะตาของไอ้มนุษย์ปากหมานี่จะเป็นยังไงต่อเมื่อมันไปเล่นลิ้นใส่ เทพประมุขแห่งสามพิภพ ต่อหน้าแบบนี้


ซ่างกู่เพียงปรายตามองมาที่แสน ริมฝีปากงามมิได้ขยับแม้จะได้ยินคำเชื้อเชิญไร้มารยาทนั้น นางเมินเสียโดยไม่คิดตอบ ทว่าปลายนิ้วเรียวขยับเพียงครั้งเดียว บรรยากาศรอบกายพลันเงียบวังเวงเสียงผู้คนที่ต่อคิวหายไปสิ้น เหลือเพียงโถงตำหนักอันกว้างใหญ่กับเงาร่างของนางและเขา แสนยืนกอดอก มองซ้ายมองขวาอย่างงง ๆ ก่อนสบถเบา “เชี่ย…นี่กูโดนลากเข้าห้องสอบปากคำเหรอ?” แต่ดวงตาคมก็ต้องชะงักเมื่อซ่างกู่ก้าวเข้าใกล้ กลิ่นลมปราณอุ่นนุ่มห่อหุ้มจนแทบลืมหายใจ


เสียงนางเอ่ยเรียบง่าย ทว่าทุกถ้อยคำดังก้องชัดเจนในอก “เจ้า…ตายไปจากโลกเดิมแล้ว” คำพูดนั้นหนักแน่นจนเหมือนแผ่นดินไหวในใจแสน เขาชะงักไปชั่ววูบ แต่ยังฝืนหัวเราะในลำคอ “เออก็จริงว่ะ…ซากตึกแม่งยังติดอยู่ในหัวอยู่เลย” ทว่านางมิได้หยุดเพียงนั้น ซ่างกู่ยกมือขึ้น พลันเบื้องหน้าก็เกิดเป็น ม่านภาพแสง ฉายเหตุการณ์ ตึกใหญ่ในกรุงเทพที่ถล่มลงมา เสียงกรีดร้อง เสียงปูนแตกกระจาย และร่างของแสนที่โดนบดขยี้จนมืดดับไปชั่วขณะ ภาพโศกนาฏกรรมโถมใส่เขาเหมือนพายุ


“เพียงแต่ชีวิตเจ้ามิได้ถึงฆาต” นางเอ่ยต่อ สายตาคมที่เปี่ยมด้วยบารมีทอดมองแสนตรง ๆ “หากนับตามชะตาและเส้นอายุขัย เจ้าควรยังไม่ตายเจ้าเพียงถูกพรากเพราะอุบัติเหตุ”


แสนยืนนิ่งไปชั่วครู่ สูบบุหรี่ค้างอยู่จนควันไหม้ก้นกรอง “เหี้ย…พี่พูดจริงดิ? แสดงว่าผมแม่งยังไม่ถึงเวลา แต่โดนตึกกดหัวก่อนอ่ะหรอ?” ซ่างกู่พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนนางกล่าวต่อ น้ำเสียงยังคงสงบแต่หนักด้วยชะตา “เพราะเหตุนี้…จึงมีข้อเสนอแก่เจ้าเป็นการถือกำเนิดใหม่ ในโลกที่ต่างออกไป เพื่อทำสิ่งที่มนุษย์จากโลกดั้งเดิมเท่านั้นพึงทำได้” ภาพม่านแสงส่องกระจายรอบโถง เผยให้เห็นโลกอีกใบขุนเขา ลำธาร เมืองที่เต็มไปด้วยพลังปราณ และเงาของภัยร้ายที่คืบคลานอยู่ในความมืด


ในโถงตำหนักอันโอ่อ่า เทพประมุขซ่างกู่ประทับบนบัลลังก์สูง แสงทองส่องรอบองค์ราวกับเวลาหยุดนิ่ง ดวงเนตรของนางทอดลงมาที่วิญญาณของแสน ราชสีห์ ผู้ยังยืนกอดอกมองขึ้นไปด้วยแววตาดื้อรั้น เสียงนางเอื้อนเอ่ยชัดถ้อย พลังแห่ง สัจเทพ ก้องสะท้อนทุกมุมตำหนัก “วิญญาณมนุษย์เอ๋ย เจ้าถูกพรากไปจากโลกเดิมก่อนกำหนดชะตา บัดนี้เจ้ามีสองทางเลือก… หนึ่ง เจ้าจะได้ชีวิตที่สอง เกิดใหม่ในโลกใบอื่นที่คล้ายคลึงโลกเดิม เพียงแต่เป็นยุคสมัยโบราณ หากเลือกเช่นนี้ เจ้าจะยังได้มีโอกาสลิ้มรสชีวิตอีกครั้ง สอง…หากเจ้าไม่ปรารถนา เจ้าจะไปสู่ปรโลกในบัดนี้”


เสียงเงียบกริบภายในโถง แสนหรี่ตาลง สูบบุหรี่ที่ไม่มีไฟ แต่ยังคีบไว้เป็นสัญลักษณ์ของความดื้อด้าน รอยยิ้มกวน ๆ แผ่วออกมา “ให้ผมเลือกว่าจะไปผับกาชาปองต่อ หรือไปลงนรกเลยใช่มั้ยล่ะ…”


ซ่างกู่ปรายตามองเขานิ่ง ราวกับไม่สะทกสะท้านต่อถ้อยคำหยาบคาย แล้วกล่าวต่อ “รู้ไว้เพียงเท่านี้ มนุษย์จากโลกดั้งเดิม มีศักยภาพที่จะเข้าถึง ลมปราณ ได้ง่ายกว่าผู้ใดในโลกนั้น นั่นคือเหตุผลที่เจ้าได้รับโอกาส” นางเลือกไม่พูดถึงสิ่งอื่น ไม่กล่าวถึงมหันตภัย ไม่กล่าวถึงภัยเงียบที่คืบคลาน…เพราะรู้ดีว่า หากเปิดเผยไปตอนนี้ ชายตรงหน้าที่ปากหมายิ่งกว่ามังกรคงหัวเราะเยาะแล้วปฏิเสธทุกสิ่งทันที


แสนยืนอึนไปนิด ก่อนหัวเราะหึในลำคอ “โลกจีนโบราณเรอะ? จะมีเหล้า มีหญิง มีบ่อนให้ผมเล่นปะล่ะ?” รอยยิ้มเจ้าชู้ผุดขึ้นบนใบหน้า “แต่ถ้าพี่สาวสวย ๆ อย่างพี่จะไปอยู่โลกนั้นด้วยกัน ผมก็ว่าน่าสนุกอยู่เหมือนกันนะ” 


ซ่างกู่มิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงยกมือขึ้นอีกครั้ง ม่านแสงเบื้องหน้าเริ่มเปิดออกเผยเส้นทางสู่ชะตาใหม่ ดวงวิญญาณแสนสั่นสะท้านเมื่อแสงนั้นโอบล้อมร่าง เหมือนถูกดึงไปสู่ห้วงมิติที่ไร้จุดสิ้นสุด ซ่างกู่ประทับสายตานิ่งทอดลงมาที่แสน ก่อนที่สุรเสียงนุ่มแต่ทรงพลังจะก้องสะท้อนทั่วทั้งตำหนัก “โลกที่เจ้าจะไปนั้น…คือโลกในยุคราชวงศ์ฮั่น อาณาจักรที่ปฐมกษัตริย์ ฮั่นเกาจู่ ได้บุกเบิกและสถาปนาขึ้นบนแผ่นดินตะวันออก ตรงกับแผนที่จีนโบราณในโลกเดิมของเจ้า”


ม่านแสงเบื้องหน้าฉายภาพแผนที่กว้างใหญ่ ภูเขา ลำน้ำ แม่น้ำเหลืองคดเคี้ยว เมืองใหญ่กำแพงหินสูง และทุ่งราบอุดมสมบูรณ์ สลับกับพื้นที่รกร้างนอกเขตแดนที่ชนเผ่าป่าเถื่อนพำนัก ทั้งมิตรที่สามารถค้าขาย และศัตรูที่พร้อมจะเข่นฆ่า ส่วนฟากตะวันตกเป็นดินแดนสีดำหม่นดินแดนปีศาจ คล้ายเงายักษ์สวมหอกหอกสีโลหิต ทรงพลังจนเพียงภาพเงาก็ทำให้บรรยากาศหนักอึ้ง 


“ยุคที่เจ้าจะไปเกิดนั้น เป็นรัชสมัยของ ฮั่นอู่ตี้ จักรพรรดิผู้ขยายแผ่นดินให้กว้างใหญ่ที่สุดแห่งราชวงศ์ฮั่น” ซ่างกู่กล่าวพลางก้าวลงจากบัลลังก์อย่างช้า ๆ “โลกใบนั้นมีทั้งความรุ่งเรือง ความโลภ และความโหดร้าย…เจ้าจะต้องเลือกว่าเจ้าจะมีชีวิตเช่นไร” นางยกมือขึ้น แสงสีทองประสานเป็นดวงแก้วเล็ก ๆ ลอยอยู่กลางอากาศ เสียงนางกังวานต่อ “เอาล่ะ…หากเจ้าตกลง ข้าจะประทาน พลังหนึ่งอย่าง ให้เจ้าเป็นการตอบแทนที่เจ้ายินยอมถือกำเนิดใหม่ พลังนี้จักเป็นเสมือนดั่งกุญแจ ที่จะเปิดทางชีวิตของเจ้าในโลกนั้น”


ดวงตาของซ่างกู่จ้องมองเขาแน่วแน่ “เลือกเสียเถิด ว่าจะเอาอะไร…แล้วชะตาของเจ้าจะถูกเขียนขึ้นใหม่ในโลกแห่งราชวงศ์ฮั่น”


แสนยกยิ้มกวน ๆ มองตรงไปยังซ่างกู่ ใบหน้าคมยังมีควันบุหรี่จาง ๆ คลอปาก “ถ้าผมจะขออย่างอื่นแทนได้มั้ยล่ะ…แค่พี่ยอม ผมตกลงทันทีเลย เอาปะล่ะ?” เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ไม่บอกด้วยซ้ำว่าจะขออะไร แต่แววตาที่ฉายออกมามันบอกหมดแล้วนี่ไม่ใช่การขอพรธรรมดา แต่มันคือการ หาทางจีบเทพประมุขผู้สูงส่ง ตรงหน้าอย่างโจ่งแจ้ง ในความเงียบสงบอันศักดิ์สิทธิ์ เทพประมุขสัจเทพอี๋เหอหรือเทะซ่างกู่เพียงมองเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง ไม่แสดงความหวั่นไหว ริมฝีปากอ่อนเอ่ยออกมาตามนิสัยของนาง “พรใดที่ข้าประทานได้ ย่อมต้องเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับชะตา ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เพ้อฝันเอาเอง”


ถ้อยคำสั้น ๆ แต่เย็นชัดเจน บ่งบอกว่านางไม่คิดปล่อยให้มนุษย์ปากหมาเบื้องล่างได้ก้าวล้ำเกินเส้น เทพประมุขยืนอยู่เหนือความรักเหนือราคะ การเสียสละของนางเพื่อพิภพทั้งสามทำให้นางไม่อาจเอนเอียงกับถ้อยคำใด ๆ ของแสนได้ง่าย ๆ อย่างไรก็ตาม แววตาของซ่างกู่ที่ทอดมองเขานั้นยังมีแววประหลาดใจซ่อนอยู่เล็กน้อย มนุษย์ตรงหน้ามิได้เกรงกลัว ไม่ได้สั่นสะท้านต่ออำนาจอันยิ่งใหญ่ หากกลับเลือกใช้รอยยิ้มและวาจากวนประสานสายตากับนางอย่างเท่าเทียม นี่คือสิ่งที่แตกต่างจากคนทั้งหลายที่เคยยืนอยู่เบื้องหน้าเธอ


ซ่างกู่ทอดพระเนตรมองแสนอย่างแน่วแน่ เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ยอมเลือกจริงจัง นางจึงเอ่ยวาจาดังก้องตำหนัก น้ำเสียงสงบแต่เต็มไปด้วยอำนาจ “เจ้าจงเลือกหนึ่ง…พรสวรรค์ที่จะกำหนดเส้นทางชีวิตใหม่ของเจ้า” เบื้องหน้าปรากฏม่านแสงเจ็ดสาย แต่ละสายแปรเปลี่ยนเป็นอักขระเรืองรอง พร้อมกับเสียงกังวานประกาศทีละพร


พรสวรรค์: เทพสงคราม ผู้ถือครองจะมีความแข็งแกร่งเกินกว่ามนุษย์ทั่วไป พลังกล้ามเนื้อและกำลังภายในเสมือนกองทัพหนึ่งคน

พรสวรรค์: เทพธิดาดอกท้อ ผู้ถือครองจะมีความงดงามเปล่งประกายกว่าคนทั่วไป งามจนเป็นอาวุธที่ชี้ชะตาผู้คนได้

พรสวรรค์: เทพโชคลาภ ผู้ถือครองจะมีโชคลาภเหนือชาวบ้าน การค้าการเสี่ยงโชคและวาสนาจะติดตามเสมอ

พรสวรรค์: จอมปราชญ์ ผู้ถือครองจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าผู้อื่น มองเห็นกลยุทธ์และทางออกในยามวิกฤติ

พรสวรรค์: หมอเทวดา ผู้ถือครองจะมีพรสวรรค์ด้านการรักษา โรคภัย พิษ บาดแผล ทั้งยังเข้าถึงสมุนไพรได้ลึกซึ้งยิ่ง

พรสวรรค์: เซียนกระบี่ ผู้ถือครองจะมีความช่ำชองในวิถีแห่งกระบี่ ลีลาเหนือมนุษย์สามัญ ปราดเปรียวและรุนแรง

พรสวรรค์: จิตวิญญาณแห่งทวน ผู้ถือครองจะเชี่ยวชาญในวิถีแห่งทวน อาวุธแห่งสนามรบ แข็งแกร่งดุจพายุ


แสงทั้งเจ็ดส่องสะท้อนในดวงตาของแสน ราชสีห์ ราวกับล่อตัวเลือกที่พร้อมจะเขียนอนาคตเขาใหม่ในโลกยุคราชวงศ์ฮั่น แต่ทว่าแสนกลับยืนกอดอก รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก ใบหน้าดูเหมือนจะกวนตีนเจ้าชู้ตามนิสัย แต่ในแววตากลับมีประกายบางอย่างที่ไม่ใช่แค่ไฟปรารถนา เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำชัดถ้อย “ถ้าผมบอกว่าผมยังไม่เลือก…ถ้าพี่ยังไม่ยอมบอกว่าสิ่งที่อยู่ในหัวผม มันทำได้ไหมล่ะ?” คำพูดนั้นเหมือนกับการโยนหินก้อนเล็กลงกลางสระน้ำ คลื่นสะท้อนพลังปราณบางเบากระเพื่อมในอากาศ เทพประมุขผู้สูงส่งเงียบไปชั่วอึดใจ ดวงตาที่เคยสงบนิ่งปราศจากความหวั่นไหวกลับวาวแสงเล็กน้อยราวกับนางเพิ่งมองเห็น “เงา” บางอย่างที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของชายผู้ยืนอยู่ตรงหน้า


นางมิได้ตอบด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้โต้ด้วยความอ่อนหวาน ทว่าด้วยสุรเสียงนิ่งเย็นสงบดังน้ำแข็ง “มนุษย์เอ๋ย…สิ่งที่เจ้าคิด มิใช่พรในบัญญัติที่ข้ากล่าวไป แต่ชะตาและเจตนาล้วนมีร่องรอยอยู่ในกระแสลมปราณ หากเจ้าต้องการให้ข้าตอบ…ก็จงกล้าพูดออกมาตามตรง” สายลมในโถงใหญ่พัดวูบ แสงทั้งเจ็ดพรสวรรค์ยังคงลอยรออยู่รอบตัวแสน ราวกับยั่วให้เขาเลือกทันที แต่คำของซ่างกู่ก็ดังชัดราวตีฆ้องในใจ “หากสิ่งนั้นคือสิ่งที่หัวใจเจ้าต้องการ…เจ้าจงเอื้อนเอ่ยด้วยปากของเจ้าเอง”


โถงตำหนักยังคงสว่างด้วยแสงพรสวรรค์ทั้งเจ็ดที่ลอยวนรอบตัวแสน ราชสีห์ เขายืนนิ่งชั่วครู่ ก่อนยกยิ้มเจ้าเล่ห์ เอ่ยออกมาแบบตรง ๆ ตามสไตล์ 


“ขอจูบหน่อยได้ไหมค้าบบบ” เสียงในโถงเงียบวูบ !!! เทพซ่างกู่ เทพประมุขผู้สูงส่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นจากบัลลังก์ งดงามสง่าดุจดั่งหงส์ขาว นางมิได้พูดอันใด เพียงหันกายหมายจะเดินหนีโดยไม่แม้จะปรายตามอง แสนรีบยกมือขึ้นหัวเราะหึ ๆ “ล้อเล่นค้าบบบ ใครมันจะขอจูบกับคนที่เพิ่งเจอกันล่ะ” ปากพูดไปอย่างนั้น แต่สายตาคมกลับจับจ้องแผ่นหลังนางแน่วแน่ ไม่ใช่แค่ความเจ้าชู้ แต่มันมีประกายบางอย่าง…เหมือนคนที่เฝ้ามองใครสักคนแล้วไม่อยากเห็นเขาเศร้าอีก


เขาพ่นลมหายใจออกเบา ๆ ก่อนพูดต่อ เสียงทุ้มต่ำแต่นุ่มกว่าที่เคย “เอางี้…ผมเลือกแล้ว ผมจะเป็น เซียนกระบี่รอยยิ้มบางยังผุดอยู่ตรงมุมปาก ขณะที่เขาเอ่ยปิดท้าย “ไปรอบนี้ หวังว่าพี่จะไม่ทำตาเศร้าอีกนะ…เจอกันรอบหน้า” คำพูดนั้นก้องสะท้อนในโถงตำหนัก ดวงตาของซ่างกู่ที่เย็นสงบพลันสั่นไหววูบหนึ่ง เทพซ่างกู่ที่หันหลังจะจากไป กลับหยุดฝีเท้าลงเพียงชั่วลมหายใจ ราวกับถูกบางสิ่งในคำพูดของแสนดึงให้กลับมา นางเบือนหน้าเพียงน้อย ดวงเนตรที่เคยเย็นชากลับมีประกายบางอย่างซ่อนเร้น แล้วปลายนิ้วเรียวก็สะบัดเบา ๆ อากาศพลันแตกประกายเป็นเส้นแสง


“เจ้ามิใช่เพียงจะได้พรแห่งกระบี่…” สุรเสียงนางก้องกังวานดุจระฆังในห้วงเมฆ “…แต่ที่เจ้าจะไปเกิดนั้น จะเป็น สายเลือดโดยตรงแห่งราชสำนักฮั่น ม่านแสงเบื้องหน้าฉายให้เห็นภาพวังหลวงแห่งราชวงศ์ฮั่นโอ่อ่า กำแพงมังกรทองทอดยาว บัลลังก์มังกรตั้งสง่า และเหนือสิ่งอื่นใดคือจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ฮั่นอู่ตี้ จักรพรรดิผู้ครองรัชสมัยรุ่งเรืองที่สุดแห่งราชวงศ์ฮั่น เสียงซ่างกู่สะท้อนต่อมา “เจ้าจะไปเกิดในฐานะ องค์ชายสายเลือดโดยตรงของฮั่นอู่ตี้ …”


แสนยืนนิ่งไปเสี้ยววินาที ควันบุหรี่ที่พ่นออกมาเหมือนหยุดกลางอากาศ ดวงตาคมมองภาพตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อเพราะเอาตรง ๆ ไม่เหลือเชื่อ รอยยิ้มกวนตีนยังคงมี แต่ข้างในหัวใจพลันสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัวจากเด็กช่างปากหมาไร้ที่ยืนในโลกเก่า…ตอนนี้เขากำลังจะได้กลายเป็นผู้สืบสายเลือดแห่งราชสำนัก ผู้ที่โลกทั้งใบต้องก้มหัวให้หรือไง บ้าน่า ทว่าทำไมซ่างกู่ต้องเลือกให้เขาไปเกิดเป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์? …นั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่แสนก็ไม่รู้ และเทพประมุขก็ไม่ยอมบอก


แสงทองพวยพุ่ง กลืนร่างวิญญาณเขาไปในมิติหมุนวนก่อนที่ร่างแสนจะถูกห้อมล้อมด้วยแสงกระบี่นับพันที่ฟาดวูบขึ้นสู่ฟ้า พลังใหม่หลอมรวมเข้าสู่วิญญาณของเขาอย่างรุนแรง เปิดฉากชีวิตใหม่ที่กำลังรอคอย






เลือก พรสวรรค์ : เซียนกระบี่


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [GOD-01] สัจเทพอี๋เหอ (ซ่างกู่)

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

(ผมมีโอกาสผมต้องลองใช้ 555+)


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [GOD-01] สัจเทพอี๋เหอ (ซ่างกู่) เพิ่มขึ้น 15 โพสต์ 2025-8-18 20:57
โพสต์ 73869 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-18 20:33
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกไผ่ผ้าคลุม
กระบี่คู่สลักจันทรา
ผู้ใช้กระบี่
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x1
โพสต์ 2025-9-3 13:16:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ความตายที่เลือกได้

ความมืด…ความหนาวเย็น…

เสียงหัวใจที่เต้นช้าลงเรื่อย ๆ ของเอสเปอร์ดับวูบในห้วงเวลาสุดท้ายที่เลือดของเขาหลั่งรินเต็มพื้นห้องหรู เสียงกรีดร้องของอวี่ซวนและเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของหลิวเหม่ยฮวาเลือนหายไปเหมือนถูกกลืนกินด้วยความว่างเปล่า

กระทั่งสติสุดท้ายขาดห้วงไป ร่างบางทรุดลงแต่แทนที่จะจมหายไปในความว่างเปล่าตลอดกาล วิญญาณของเขากลับถูกแรงลึกลับบางอย่างดึงรั้งขึ้นสู่ที่สูง แสงสีทองสว่างเจิดจ้าห้อมล้อมรอบกายเหมือนสายหมอกแห่งสวรรค์

ดวงจิตของเอสเปอร์ลอยละล่องไปในความเวิ้งว้าง เหมือนกำลังข้ามผ่านประตูที่ไม่อาจมองเห็นได้ จนเมื่อสติกลับมาอีกครั้ง เขาพบว่าตนยืนอยู่บนแผ่นดินกว้างใหญ่ที่งดงามเกินกว่าจะบรรยาย

เบื้องหน้าไม่ใช่โลกมนุษย์ที่เขาเคยรู้จัก แต่เป็นพิภพที่ตระการตาดั่งฉากในซีรีส์เทพเซียนที่เขาเคยดูในอดีตท้องฟ้าสีครามอาบด้วยแสงทองแห่งรุ่งอรุณ ภูเขาสูงเสียดฟ้าที่ปกคลุมด้วยหมอกขาวอ่อน พลิ้วไหวดั่งม่านแพรสวรรค์ แม่น้ำสีหยกใสไหลเอื่อยตัดผ่านทุ่งดอกไม้ที่ผลิบานตลอดปี กลีบดอกไม้ร่วงหล่นกลางอากาศเหมือนหิมะฤดูใบไม้ผลิ
“ที่นี่ คือที่ไหนกันแน่” เอสเปอร์พึมพำ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลฉายแววตะลึงงัน

เสียงอันทรงพลังแต่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนดังขึ้นจากเบื้องบน “ที่นี่คือ ดินแดนที่อยู่เหนือความฝันและความจริง เจ้าคือวิญญาณที่ถูกเลือก เอสเปอร์”

เอสเปอร์หันไปตามเสียง เห็นสตรีหนึ่งปรากฏกายท่ามกลางแสงทอง เธอสวมอาภรณ์ยาวสีขาวปักดิ้นทอง ปลายผมดำยาวปลิวไสวเหมือนสายน้ำ ดวงหน้างามดั่งจันทร์ในคืนเพ็ญ นัยน์ตาล้ำลึกดุจมหาสมุทรที่เก็บซ่อนความลับของสรรพชีวิต

เธอคือ เทพประมุขอี๋เหอ—ผู้นำสูงสุดแห่งพิภพสวรรค์

เอสเปอร์ยกมือขึ้นอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ “เทพ…ประมุข?”

อี๋เหอยกยิ้มอ่อน แต่แฝงด้วยอำนาจอันหาที่เปรียบมิได้ “ใช่แล้ว เด็กน้อย วิญญาณเจ้าถูกชักนำมายังพิภพนี้ เพราะดวงชะตาของเจ้ามิอาจดับสูญในภพเดิมได้ง่าย ๆ”

เอสเปอร์ยกมือแตะอกตนเอง หัวเราะแห้ง ๆ “แหงสิตายทั้งที โดนหักหลัง ถูกเมียหลวงด่า แล้วยังถูกยิงลากตายไปพร้อมกันอีก อนาถกว่านี้ไม่มีแล้ว”

เทพประมุขหัวเราะเบา ๆ ราวกับฟังเรื่องเล่าตลกร้ายจากมนุษย์ “ชะตาของเจ้ามิใช่เรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งล้วนเป็นเหตุปัจจัย เจ้าถูกลิขิตให้ก้าวสู่ภพใหม่ โลกใหม่ที่เจ้ามิอาจคาดคิดได้”
“โลกใหม่?” เอสเปอร์เลิกคิ้ว สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย

“ใช่ หากเจ้าปรารถนา เจ้าจะได้ถือกำเนิดอีกครั้งในพิภพแห่งนั้น แต่มีเงื่อนไขหนึ่ง—เพื่อให้วิญญาณเจ้าปรับตัว เจ้าจะมิอาจจดจำเรื่องราวในชาติภพก่อนใด ๆ ได้ เว้นแต่…เจ้าจะเก็บเศษเสี้ยววิญญาณที่กระจัดกระจายกลับคืนมาแต่ละส่วน”

เอสเปอร์ทำตาโต “โห นี่มันพล็อตเกมเก็บชิ้นส่วนวิญญาณชัด ๆ เทพประมุขจะให้ผมวิ่งทำเควสต์ไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมครับ”

“เรียกอย่างไรก็สุดแล้วแต่เจ้า” อี๋เหอยิ้มละมุน แต่เสียงยังทรงพลัง “ทุกเศษเสี้ยวที่เจ้าตามหาจะนำความทรงจำและพลังกลับคืนแก่เจ้า และทุกเศษเสี้ยว จะนำพาเจ้าพบเจอกับวิบากกรรมของตนเอง”

เอสเปอร์กอดอก ถอนหายใจแรง “แต่มีอะไรให้เลือกติดตัวไปบ้างหรือเปล่าครับ อย่างน้อยต้องมีของขวัญปลอบใจคนเพิ่งตายสด ๆ ร้อน ๆ แบบผมบ้าง”

เทพประมุขยกมือขาวเรียวงามขึ้นพลันเกิดแสงสีทองส่องประกาย “ถูกต้อง เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้ารับข้อเสนอ ข้าจะให้เจ้าเลือกความแข็งแกร่งติดตัวหนึ่งประการ ความแข็งแกร่งนี้อาจพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงระดับตำนาน…หรือที่เจ้ามนุษย์เรียกกันว่า ‘คุณภาพแดง’”

เอสเปอร์มองลูกแก้วแสงไปมา ดวงตาสีฟ้าใสวิบวับเหมือนเด็กที่เลือกขนมในร้าน เขายกมือแตะคางแล้วหัวเราะคิก “อืมม… ผมไม่อยากได้อะไรที่มันโหด ๆ หรอกครับ มันไม่เข้ากับรูปร่างบาง ๆ ของผมเลย งั้นขอเลือก พรสวรรค์น่ารัก ดีกว่าครับ อย่างน้อยถ้าซวยขึ้นมา อย่างน้อยก็ยังมีคนนึกเอ็นดู ช่วยเหลือบ้างเนอะ”

เทพประมุขอี๋เหอหัวเราะเบา ๆ สายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู “เจ้าช่างเป็นวิญญาณประหลาดนักเอสเปอร์ ความแข็งแกร่งของเจ้าจะมิได้อยู่ที่การฆ่าฟัน แต่จะอยู่ที่เสน่ห์ ความใสซื่อ และโชคชะตาที่พร้อมอวยให้ หากเจ้าพบทางตัน ก็จะมีผู้ยื่นมือมาช่วย หากเจ้าพบความพินาศ ก็จะมีคนใจอ่อนพาเจ้ารอด และบางที…แม้เจ้าต้องตายอีกครั้ง ก็อาจมีปาฏิหาริย์เพียงเพราะ ‘หน้าตา’ ของเจ้าเอง”

เอสเปอร์ยิ้มกว้าง กะพริบตาปริบ ๆ “ว้าว ฟังดูเข้ากับผมที่สุดแล้วล่ะครับ”

“บางทีก็ใช่ บางทีก็ไม่” เทพประมุขตอบเรียบง่าย “โชคชะตาที่มากเกินไป ก็อาจเป็นบ่วงพันธนาการ”

เอสเปอร์กลืนน้ำลาย “เอ่อ ฟังไม่ค่อยดี”

สายตาของอี๋เหอเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น เธอก้าวลงมาหาเอสเปอร์จนใกล้พอที่เขาจะได้กลิ่นหอมละมุนจากอาภรณ์สวรรค์ ดวงตาเรียวคู่งามจับจ้องเขาแน่วแน่

“จำไว้เอสเปอร์ เจ้าผู้เคยเป็นเมียน้อย ผู้ลิ้มรสรักต้องห้ามจนชีวิตดับสิ้น กรรมเก่าจะตามเจ้ามาในภพใหม่ เจ้ายังมิอาจหลีกเลี่ยงบททดสอบแห่งความรัก วิบากกรรมนี้จะทำให้เจ้าได้เรียนรู้ ว่าความรักแท้จริงมิใช่เพียงความหลงใหล หากแต่คือพันธะและการยอมรับ”

เอสเปอร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะฝืด ๆ “สรุปว่าโลกใหม่อะไรเนี่ยผมก็ยังจะซวยเรื่องความรักอยู่ดีใช่ไหมครับเนี่ย”

เทพประมุขยิ้มบาง ๆ “ใช่ แต่ครั้งนี้ เจ้าจะได้โอกาสเลือกทางเดินด้วยตนเอง”

ทันใดนั้น แสงสีทองก็ส่องสว่างรอบกายเอสเปอร์ แรงดึงมหาศาลห้อมล้อมวิญญาณเขาอีกครั้ง

“ไปเถิด สู่พิภพใหม่ที่รอเจ้าอยู่” เสียงของเทพประมุขอี๋เหอก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้าแห่งพิภพสวรรค์

ร่างวิญญาณของเอสเปอร์ถูกห่อหุ้มด้วยพลังอันศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะถูกส่งทะลุผ่านมิติ ร่วงหล่นไปยังโลกใหม่ที่เขายังไม่รู้จัก…

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 17879 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-9-3 13:16
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3

1

กระทู้

91

ตอบกลับ

1161

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
888
ตำลึงทอง
39
ตำลึงเงิน
114
เหรียญอู่จู
9349
STR
0+6
INT
0+1
LUK
0+5
POW
0+0
CHA
20+5
VIT
5+7
คุณธรรม
130
ความชั่ว
694
ความโหด
1563
โพสต์ 2025-9-13 15:31:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย JiTiandao เมื่อ 2025-9-13 15:48


ความผิดพลาด


เสียงคลื่นวิญญาณอื้ออึง ก้องกังวานอยู่รอบตัว ราวกับความว่างเปล่าแห่งจักรวาลได้กลืนกินทุกสรรพสิ่งและเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น


จี เทียนเต้า รู้สึกตัวอีกครั้ง ราวกับเพิ่งหลุดพ้นจากห้วงความฝันยาวนานนับศตวรรษ สติค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นทีละเสี้ยว พาเขากลับมาสัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ตัวตน’ แต่สิ่งที่พบเป็นลำดับแรกไม่ใช่ความอบอุ่นของชีวิต หรือแม้แต่ความเจ็บปวดของความตาย หากแต่เป็น ความว่างเปล่า ความเงียบสงัด และความประหลาด


สายตาของเขากวาดไปยังเบื้องหน้า


ผืนฟ้าไร้ดวงอาทิตย์ สีฟ้าหม่นอมม่วง ปรากฏเงาศาลาสูงใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ หลังคามังกร หยกขาวเรียงประดับขอบ หลังคาซ้อนชั้นราวกับวังสวรรค์ เสาใหญ่สลักอักษรโบราณที่แม้เขาจะไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่ากลับ เข้าใจได้โดยสัญชาตญาณ


'ตำหนักเทพประมุข'


“ตื่นแล้วสินะ”


เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น เรียบนิ่ง ทุ้มนุ่ม แต่หนักแน่นดังภูเขา เสียงนั้นไม่ดังนัก ทว่ากลับแทรกซึมเข้าสู่จิตใจอย่างน่าพิศวง


จี เทียนเต้า หันกลับไป เบื้องหน้าเขา ปรากฏบุรุษในชุดยาวสีขาวบริสุทธิ์ เส้นผมยาวสีเงินสลวยไหลถึงกลางหลัง ดวงตาเรียวรีทอแสงอันลึกล้ำ ราวกับสามารถเห็นทะลุวิญญาณทั้งมวลในสามโลก


“ข้า ตายแล้ว” จี เทียนเต้าเอ่ยเสียงแผ่ว มองฝ่ามือของตนที่ยังคงโปร่งแสงเล็กน้อย “นี่มันอะไรกัน”

บุรุษผู้นั้นพยักหน้าช้า ๆ


“ใช่แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เจ้าตาย เพียงเพราะความผิดพลาดของ ระบบสวรรค์


น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบจนแทบไร้อารมณ์ แต่ก็เปี่ยมด้วยอำนาจบางอย่างที่ทำให้จี เทียนเต้าไม่กล้าเอ่ยแทรก


“ความจริงแล้ว ดวงชะตาของเจ้ามิได้ถึงฆาต”
เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่คล้ายคำพิพากษา


“แต่เพราะเอกสารวิญญาณผิดพลาด เจ้าจึงถูกเก็บก่อนเวลาอันควร”


จี เทียนเต้านิ่งงัน เขาอายุห้าสิบปีในปี 1975 เติบโตในยุคแห่งความแหลมคมทางการเมือง ผ่านชีวิตที่ต้องระวังแม้แต่เงาของตน เป็นบุรุษผู้มากด้วยปัญญาและความเยือกเย็น แต่ภายในกลับเต็มไปด้วย ความมืดดำและอดีตอันลึกลับ แม้เขาจะสุขุมและนิ่งสงบ ทว่าในใจ กลับถูกหล่อหลอมด้วยเปลวเพลิงแห่งความทะเยอทะยานอันไม่มีวันดับมอด


“เช่นนั้น เจ้าจะทำอย่างไร” เขาถามตรง ๆ


“ข้าจะให้โอกาสเจ้า ถือเป็นการชดใช้ความผิดของสวรรค์”


ชายผู้นั้นยิ้มบาง ดวงตาสะท้อนแสงแปลกประหลาด


“เจ้าจะได้ไปเกิดใหม่ ในภพอดีต ยุคฮั่น โลกแห่งยุทธภพ องค์จักรพรรดิ เทพมาร และโชคชะตาอันยุ่งเหยิง  โลกที่เจ้าจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”


จี เทียนเต้าขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เขาไม่แสดงความลังเล


“มีเงื่อนไขใด”


“หนึ่งเดียวเท่านั้น” เทพประมุขกล่าว “เจ้าจะลืมทุกสิ่งในชาติก่อน เว้นเสียแต่ จะสามารถเก็บรวบรวม เศษเสี้ยววิญญาณ ของตนที่กระจัดกระจายอยู่ในโลกใหม่นั้นกลับมาได้”


จี เทียนเต้าพยักหน้า


“ข้าไม่ติดขัดใด ๆ ขอเพียงได้ใช้ชื่อเดิม ‘จี เทียนเต้า’”


เทพประมุขเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยิ้ม


“มีความมั่นใจในตนเองยิ่งนัก  ดี ข้าจะให้เจ้ารักษาชื่อและแซ่เดิมไว้ ถือเป็นสายใยบางระหว่างเจ้ากับชาติก่อน”


เขายื่นมือออกมา แสงสีทองพุ่งพล่านขึ้นกลางอากาศ


“และในฐานะการขอขมา ข้ายินดีมอบ ‘ของขวัญ’ ให้หนึ่งสิ่ง”


“เจ้าปรารถนา พลังแบบใด ติดตัวไปเกิด”


จี เทียนเต้าเงียบไปครู่หนึ่ง พลางมองตรงไปยังสายตาลึกล้ำของเทพประมุข คำตอบที่หลุดออกมานั้น ทำให้แม้แต่เทพประมุขยังต้องนิ่งอึ้งไปชั่วครู่


“ข้าขอ... ความน่ารัก


ความเงียบแผ่ซ่านทั่วตำหนัก…

จากนั้นเทพประมุขหัวเราะออกมาเบา ๆ เสียงนั้นดังกังวานไปทั่วฟากฟ้า คล้ายระฆังสวรรค์


“เจ้ามีรสนิยมแปลกนักความน่ารักที่แท้ มิใช่เพียงใบหน้า แต่คือ แรงดึงดูด บางอย่างที่สามารถชักนำใจผู้คน ให้ศัตรูกลายเป็นสหาย ให้สหายยอมพลีใจ และให้สตรี ยากจะลืม”


จี เทียนเต้าเพียงยิ้มบาง ๆ


“บางที นั่นอาจมีประโยชน์ในภพใหม่มากกว่าพลังฝ่ามือพิชิตสวรรค์เสียอีก”


เทพประมุขยื่นมือมา


“เช่นนั้น จงไปรับโชคชะตาของเจ้าเสีย จี เทียนเต้า ผู้มีจิตวิญญาณลึกล้ำ และความมืดภายในที่แม้สวรรค์ยังไม่อาจหยั่งถึง”


ทันใดนั้น แสงสีทองจ้าสาดส่อง เสียงลมคำราม ร่างของจี เทียนเต้าถูกห่อหุ้มด้วยพลังวิญญาณบริสุทธิ์ก่อนที่เขาจะถูกฉุดลากผ่านท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต ราวกับดวงดาวดวงหนึ่งที่กำลังกลับคืนสู่โลกเบื้องล่าง


เลือกพรสวรรค์เทพธิดาดอกท้อ


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 10119 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-9-13 15:31
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่คู่สลักจันทรา
เกราะทองแดง
เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ
พู่กันคัดอักษร
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1
123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้