123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Watcher

[The Earth] โลกดั้งเดิม 2024

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-6-3 16:59:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด



“ฟ้อนนำกับคือเก่าเด้อ พี่น้อง ในค่ำคืนนี้ นำโดย..สายฟ้าตะวันร้อน!!” เสียงสำเนียงภาษาอีสานขอนแก่นตกโคราชเอ่ยขึ้นมาภายในงานบวชนาคอำเภออุบลรันต์ของจังหวัดขอนแก่นปีนี้ เจ้าภาพจัดแบบอลังการงานสร้างเพราะเป็นลูกของกำนัลบ้านแพ้ว ยิ่งใหญ่แบบโต๊ะจีนพันโต๊ะ ไม่รู้คนมาทั้งอำเภอหรือจังหวัด เยอะกว่างานกาชาดอีก เวทีหมอลำซิ่งสูงกว่าสามเมตร แสงสีเสียงไฟและวงดนตรีพร้อมแดนเซอร์พร้อมเพียงกันโดยไม่ได้นัดหมายในชุดขนนกฟูฟ้องแนบเนื้อ เพรชปลอมวับ ๆ แวม ๆ แบบที่ต้องร้องเพลง ยายแลม อีตอนสาว ๆ ผิวขาว ตาคม สมใจจ เวทีติดไฟ LED สามมิติ ห้อยระย้าราวกับจะไปแข่งงานเจ็ดศรีคอนเสิร์จ สมัยนี้ยังมีไหมวะ ไม่แน่ใจ เอาเถอะ เดี๋ยวมันก็มีเองแหละ ใครมันจะไปลืมเพลงช่องเจ็ดได้ไม่มีหรอก


แถมด้านล่างเวทีตรงลานด้านหน้าสำหรับให้เพื่อนนาคและญาตินาคมาเต้นก็เป็นสนามหญ้าเขียวที่มีตายเป็นหย่อม ๆ มีควันแห้งกับฟองสบู่หลากสียิ่งตลอดงานแบบไม่กลัวเข้าอาหารของโต๊ะคุณลุงแขกด้านหลังที่กำลังโซ่ยเส้นหมี่กระเพาะปลาน้ำแดงแบบที่แกน่าจะมากินงานเลี้ยงเฉย ๆ ไม่ได้ใส่ซองแน่นอน


ฝ่ายแม่ครัวก็กำลังต้มหม้อแกงหอมฉุยหัวหมู ต้มยำ ปลากระพงนึ่งมะนาว แหม่ ราคาโต๊ะจีนคงโต๊ะละหมื่น ไอ้บ้านนี้มันรวยจริง ๆ เว้ย อิจฉาแท้ เป็นตาสะอ้อนเงินพ่อใหญ่คัก ๆ พวกเด็ก ๆ ก็วิ่งเล่นใส่หน้ากากฮิบิกิกันรอบงาน สมัยนี้ยังฮิตกันอยู่หรอ? มันควรไปใส่หน้ากาก Attack on Titan ได้ละ ชุดกายวิภาคแนบเนื้ออ่ะ รู้จักไหม หน้าเวทีตอนนี้ประชาชนแน่นขนัดยิ่งกว่าตลาดนัดคลองถมบ้านหม้อช่วงวันสิ้นเดือนที่เหมือนสิ้นใจเพราะต้องหาข้าวฟรีกินแถววัดหรืองานเลี้ยงคนอื่น


และนั้นเอง…


เสียงแตรวงลำซิ่งของหมอลำก็ดังแหลมขึ้นมาจนบาดหูแต่บาดใจคนดู ลำโพงยี่ห่อก้องจักรวาล 900 วัตต์ดังกระหึ่ง ๆ จนเวทีเหล็กสั่น กึก ๆ กึก ๆ อย่างกับเจ้าเข้า “แซ่บ ๆ ๆ เด้งเด่อพี่น้อง เด้ง เพลงอะไรดีตอนนี้ มา..ยายแล่ม!!” เสียงคนกรี๊ดโอโห ให้กับนักร้องหมอลำสาวที่แต่งหน้าขาวโป๊ะ ตัวฟองครีมตัวขาวของวอชิที่ซื้อมาจากออนไลน์ในช่วงโปรโมชั่น บทเวทีหมอลำใต้แสงไฟนีออนสีม่วงกับไฟพาร์สีชมพูสลับแดงกระพริบพึ่บพับ ๆ อย่างกับทหารเรียงพาเรด ร่างสูงของนักร้องสาวผู้คร่ำหวอดในวงการหมอลำยืนจับไมค์แน่นมาดยิ่งกว่าผู้สมัคร ส.ส. เสียอีก


เธอคือ ชิดตะวัน ไอดอลสาวหมอลำ วัย 28 ปี นักร้องนำที่พึ่งได้ขึ้นเวทีครั้งที่ 77 เลขสวยซะด้วย..โดนจ้างค่าตัวแพงหูฉีกจากการจ้างงานมาแสดงงานบวชจนต้องสละวันหยุดแต่แทนที่ด้วยเงินแบงค์พันเป็นบึก ๆ ก็ยอมได้ปะวะ! 


เธอสวมชุดคอสตูมสีแดงสด ตัดด้วยดีเมลกลิตเตอร์เงินปลอมพราวระยิบระยับทั้งตัว ชุดเว้าชุดแหวกโชว์อกอัดแน่นเป็นลูกโป่งเบอร์ 5 ที่น่าจะไปทำมา เพราะน่าจะหนักกากกว่า 400 CC แน่ ๆ ด้านบนเป็นบราเลื่อมปักเพรช(แน่นอนว่าปลอม)แน่นไปทั้งเต้าจนแสงไฟสะท้อนลงมาจนตาแทบบอด ส่วนช่วงเอวมีลายหัวใจสีชมพูเด้นเป็นสง่าตัดกับสายกลิตเตอร์ห้อยระย่าย้อยลงมาเป็นพู่ระหงเหมือนม่านเงินของคาราโอเกะเคลื่อนที่ ก่อนที่จะจบท้ายรองเท้าบูทส้นสูงสีแพงเพลิงเสริมให้ทุกก้าวของเธอเหมือนกับจะไปเด้งเป้าใส่ใครหรือเอาส้นสูงไปเจาะหัวใครสักคน


โอ้ยยย~ ยายแล่มอีตอนสาวสาว~~ ผิวขาวตาคมสมใจ! ฉันจะเล่ากล่าวตอนย้อนไป อายุแกได้วัยปิ๊งพอดี~~ พอทุ่มตรงแต่งองค์เยื้องกราย ชักแถวเรียงราย หมายไปดูของดี!! ลมหนาวก็พัดมายามราตรี ยายแล่มโสภี ก็ออกมาที่แท่นรำ!! 


เสียงร้องเพลงลั้นร้องพร้อมอินเนอร์ของความเป็นหมอลำดาวร้าย จัดเต็มทุกท่อนส่งเสียงพร้อมเอวพริ้ว เด้งเป้าซ้ายทีขวาที ช่วงท่อนฮุกก็ฟาดมือ ฟาดเอว ฟาดไมค์ มือขวาสะบัดมือสะบัดพู่เงิน หมุนตัวตามจังหวะ ผมที่มัดเป็นหางม้าเด้งไปเด้งมา แน่นเฟิ้มไม่มีทางหลุด พร้อมจิกตาใส่คนดูแถวหน้าที่เต้นระบัด เหล่าสาวสองที่ตอนนี้กำลังเด้งไปเด้งมาไม่ยอมแดนเซอร์สาวด้านบน เสียงเอ็นเตอร์เทรนของผู้คนดังขึ้นมาเรื่อย ๆ จากบนเวที


คนรุ่นหลานกรี๊ดกรายเหมือนเจอ T-pop ประจำหมู่บ้าน พอท่อนจังหวะตีลำหนัก ๆ ก็มีซอยสะโพกเด้งเอวเป็นระยะ ๆ เสียงลูกคู่ก็ดังตะโกน “ส่ำได๋! ส่ำได๋!” เล่นกันกับหญิงสาว จากนั้นก็หมุนตัวแล้วสะบัดตัวเต้นแรงจนเทวีสั่นสะเทือน จนได้ยินเสียง “ปั่กๆๆๆๆ” ดังสนั่นเวที เหงื่อกระจาย บางคนยกมือไลฟ์สดลง ตต. กันเยอะแยะ งี้แหละ มันมักม่วนเนอะ 


แต่แล้ว…


ตึง!!! 

“แอ๊ค!!”

“โอ๊ยยยย ฮวยยยย”

"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"


ไฟสปอร์ตไลท์ขนาดเท่าถังแก๊สที่ยังห้อยอยู่เหนือหัวเวที ได้รับแสงสั่นสะเทือนจากการเด้งเป้าของชิดตะวันมากเกินไปละมั้ง ทำไมวะ เต้นแรงผิดหรอ? โซ่ที่ยึดไว้มันหลุด ทั้งที่ปกติก็สะบัดมากกว่านี้อีกนะ ทำไมวันนี้มันหลุดล่ะ พรึ่บบบบ!!! ไฟทั้งดวงก็หล่นลงมาอย่างกับจับวาง ปั่ก!! ตรงกลางกระหม่อมของชิดตะวันทันทีอย่างแม่นยำราวกับฟ้าส่งลงมากับมือ เสียงกรี๊ดตกใจดังระงมทั่วงาน พิธีกรตะโกนแล้วรีบวิ่งเข้ามาดู ญาติฝ่ายเจ้าภาพยืนอ้าปากค้างกันเป็นแถว นาคยังอึ้งอ่ะคิดดู ยังไม่ทันจะได้บวชเลยงานนี้มันอะไรกันเนี้ย ทีมงานวิ่งเข้ามาดู ส่วนแดนเซอร์ชายหญิงก็แทบจะตกใจหายแวบ เพราะพึ่งผ่านประสบการณ์เฉียดตายมา แต่คนโดนน่าจะตายจริง…


ทั้งงานเต็มไปด้วยความโกลาหล…


ก่อนที่ข่าววันถัดมาจะประกาศออกทีวีคุณสรยุทธ์กับน้องไบร์ทก็ถึงขั้นกุมขมับไม่รู้จะสงสารยังไงแล้วดี "สวัสดีครับท่านผู้ชม เราไปสนใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่องนายกกันก่อนดีกว่าไหมครับ คืองี้ เมื่อวานเวลา 23 นาฬิกา 33 นาที แหม่ เลขสวยเสียด้วย ได้เกิดอุบัติเหตุสลดกับนักร้องหมอลำดาวรุ่งเสียชีวิต ชิดตะวัน ที่ไปแสดงที่จังหวัดขอนแก่นเมื่อคืนนี้ครับน้องไบร์ท" เสียงของพี่(?) สรยุทธ์อ่านข่าวขึ้นพลางทำหน้าเครียด ส่วนน้องไบร์ทก็รับไม้ต่อ "ค่ะ เกิดเหตุเต้นกันจนไฟสปร์ดไลท์ด้านบนตกเพราะเต้นแรงเกินไปค่ะ ระหว่างนั้นค่อนข้างโกลาหนเลยทีเดียวนะคะ โดยเจ้าของงานได้ให้การว่าได้จ้างวงของคุณชิดตะวันไปแสดงในงานบวชลูกชายคนเล็กค่ะ แต่ระหว่างงานเลี้ยงก็ได้เกิดเหตุสลดขึ้นจนถึงแก่ชีวิต มีผู้ชมทางบ้านและในติ๊กต๊อกมีคนบันทึกภาพได้ไว้ เราไปดูกันค่ะ" แน่นอนว่าเมื่อภาพปรากฎออกมาคือภาพอันแสนน่าสลด(?) ของการที่นักร้องสาวเต้นแรงในเพลงยายแล่มจนไฟตกลงใส่หัวเสียชีวิตคาที่จริง ๆ หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องราวสนั่นโซเชี่ยวของไทยเกิดแฮทแท็ค


#ตายเพราะเด้งเป้าแรงเกิน #RIPชิดตะวัน 



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 31534 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2025-6-3 16:59
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x16
x16
x30
x1
x30
x5
x27
x2
x10
x8
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x6
x4
x4
x4
x21
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x7
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x20
x6
x93
x79
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x196
x55
x68
x78
x4
x105
x5
x8
x4
x3
x11
x9
x8
x15
x69
x1
x1
x5
x53
x42
x47
x16
x140
x10
x11
x10
x26
x9
x10
x4
x15
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x167
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x120
x12
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x6
x1
x1
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x11
x14
x48
x3
x1
x4

1

กระทู้

3

ตอบกลับ

24

เครดิต

คนธรรมดาดาษดื่น

พลังน้ำใจ
0
ตำลึงทอง
0
ตำลึงเงิน
28
เหรียญอู่จู
823
STR
0+0
INT
0+0
LUK
0+5
POW
0+0
CHA
0+0
VIT
0+0
โพสต์ 2025-6-21 18:04:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ZhuXiling เมื่อ 2025-6-21 18:08

Last day in life
วาริสา อนันตราตรี หรือ น้ำ นี่คือชื่อของหญิงสาววัย 26 ปีผู้อาศัยอยู่คอนโดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย เธอทำอาชีพเป็นศิลปินวาดรูปประกอบอิสระ ที่จริง ๆ แล้วเธอก็ไม่จำเป็นต้องออกนอกบ้านไปไหนหรอกนะ ถ้าไม่ใช่เพราะสมองไม่แล่นหรอกล่ะนะ ล้อเล่นล่ะน่า จริง ๆ แล้วคือ…

“ไหนดูสิวันนี้มีข่าวไรบ้าง อือ….”

ในตอนที่กำลังปัด ๆ เฟสดูข่าวสารบ้านเมือง ข่าววงในแถมมาดูด้วยว่ามีลูกค้าติดต่อมาบ้างรึเปล่า และในตอนนั้นเอง…

“กรี๊ด! อุ้บ!”

ในตอนที่กำลังจะส่งเสียงกรี๊ดออกมาเธอก็ต้องรีบอุดปากตัวเองไม่ให้กรี๊ดออกมารบกวนข้างห้องเขา ก่อนจะอ่านข่าวนั้นอีกครั้งดี ๆ

“อือ…วันนี้ตอนห้าโมงเย็นมีมินิคอนเสิร์ตของวง Lykn ที่ เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ตอนนี้กี่โมงแล้วนี่“

เธอรีบมองนาฬิกาแขวนในห้องของตัวเองก็พบว่าตอนนี้บ่ายโมงแล้ว เธอจึงตัดสินใจอาบน้ำแต่งตัวเองใหม่ให้เป็นชุดสวยในแบบของเธอเองพร้อมจะออกไปดูคอนเสิร์ตศิลปินโปรด พร้อมเอาไอแพตไปด้วยเผื่อจบงานแล้วจะได้ไอเดียไปวาดรูปต่อได้เลย เป็นฟรีแลนต์ก็งี้แหละเนาะ ก่อนจะออกจากห้อง ลงลิฟท์ไปโบกรถมอไซต์ไปสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดแล้วนั่งรถไฟฟ้ามาถึงยังสถานีรถไฟฟ้าสยาม เธอก็เดินตามสกายวอลมาถึงยังเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ แต่ดูท่าเธอจะมาเร็วไปหน่อย เลยตัดสินใจว่าจะไปเดินดูงานศิลปะที่หอศิลป์ก่อนดีกว่า แต่ในระหว่างที่กำลังเดินจะไปหอศิลป์อยู่นั่นอยู่ดี ๆ ก็เกิดพายุลมแรงเกิดขึ้นจนแผ่นหลังคาตรงนั้นมาร่วงลงมาเฉียดตัวเธอจนเสียหลักเซไปทางราวสะพานลอยแต่ราวเจ้ากรรมดันหักจนเธอร่วงลงจากข้างบน ในตอนที่กำลังจะถึงพื้นอยู่นั่นก็มีรถบรรทุกพุ่งมาชนร่างเธอกระเด็นไปอยู่กลางสี่แยกไฟแดงสิ้นใจไป และเสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินคือเสียงกรี๊ดวี๊ดว๊ายดังประสานกันจำนวนมากพร้อมเสียงเพลงที่เธอคุ้นเคยดังขึ้นเป็นเสียงหนุ่มหล่อห้าคนที่เธอติ่งแต่ตอนนี้เธอไม่มีโอกาสได้หวีดวงนี้อีกต่อไปแล้ว และแล้วเธอก็หมดสติสิ้นลมจากไป
★ วาริสา อนันตราตรี อายุ 26 ปี เสียชีวิตด้วยสาเหตุตกจากที่สูง และถูกรถบรรทุกชนระหว่างทางไปดูคอนเสิร์ต ★
—Hakrabi

แสดงความคิดเห็น

เรามากรี๊ดผู้ชายในโลกนี้ต่อกันดีกว่าค่ะ... .ตบบ่า  โพสต์ 2025-6-21 21:25
โพสต์ 7284 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2025-6-21 18:04
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลาภลอย
โพสต์ 2025-6-26 19:08:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย SuYao เมื่อ 2025-6-26 19:10


พุทโธ ธัมโม สังโฆ!!!


ท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ ที่ซึ่งเสียงรถรา เสียงพูดคุยหลากภาษา และกลิ่นอาหารจากร้านริมทางประสมปนเปกันอย่างมีชีวิตชีวา มีป้ายไม้สีเข้มสภาพเก่าสุดแสนสะดุดตา ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดเก่าแก่อายุนับร้อยปี บนป้ายนั้นมีอักษรไทยและอักษรล้านนาโบราณเขียนว่า 'สลุงคำ นวดแผนโบราณ' ด้วยสีทองสดใสตัดกับพื้นไม้สีเข้ม คล้ายจะบอกเล่าเรื่องราวของความผ่อนคลายที่ซ่อนอยู่ภายใน

เมื่อผลักบานประตูไม้เข้าไป เสียงกระดิ่งเล็ก ๆ ที่แขวนไว้ตรงขอบประตูส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเบา ๆ ทักทายผู้มาเยือน ภายในร้านตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยเสน่ห์แห่งวัฒนธรรมล้านนา ผนังประดับด้วยตุงหลากสีห้อยระย้าร่วมกับสมุนไพรตากแห้งในถุงผ้าเล็ก ๆ

กลิ่นหอมของยานวดสมุนไพรคลุ้งไปทั่ว กลิ่นน้ำมันระกำ น้ำมันไพล และกลิ่นยูคาลิปตัสที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ชวนให้รู้สึกอบอุ่น สงบ และผ่อนคลายตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปในร้าน หยดของน้ำมันหอมระเหยจากเตาอโรม่าที่ตั้งอยู่มุมห้อง ลอยอ้อยอิ่งเคล้ากับกลิ่นใบมะกรูดและตะไคร้แห้งที่กำลังถูกอังไอน้ำในหม้อสมุนไพร เสียงดนตรีบรรเลงเบา ๆ ประหนึ่ง ASMR ชั้นดีดังอยู่ฉากหลัง เป็นจังหวะที่ทำให้ใจสงบ ราวกับเวลาภายนอกหยุดหมุน

เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นจากบริเวณเก้าอี้นวด ภาพตรงหน้าคือหมอนวดสองคนกำลังนวดเท้าให้นักท่องเที่ยวสองคน โดยนั่งข้างกันอย่างคุ้นเคย หนึ่งในหมอนวดคือ ฟองคำ หมอนวดมากฝีมือ เธอกำลังเม้าท์มอยเรื่องข่าวเก่าแต่ยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงเกี่ยวกับนักร้องหมอลำชื่อดังที่เพิ่งตายไปแบบอนาถสุด ๆ ด้วยสำเนียงแบบคนพูดไทยสาบเมือง

“นี่ ๆ ได้ข่าวเรื่องนักร้องหมอลำตายไหม?” ฟองคำเอียงหน้ามองเพื่อนหมอนวดด้วยสายตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“อ้ออ๋อย…สงสารเนอะ” เพื่อนของเธอทำเสียงอ่อน

“ได้ข่าวว่าไฟตกใส่หัวตายเพราะเด้งเป้าแรง” ฟองคำพูดต่อ

“จะเป็นไปได้จะใด?” เพื่อนหมอนวดยกมือขึ้นปาดเหงื่อเล็กน้อย ก่อนจะถามด้วยความสงสัย

“ฆาตกรรมแน่นอน!” ฟองคำทำท่าทางเหมือนกำลังเป็นโมรินักสืบ

“ไม่ดีไปเล่าขวัญเขานะ เดี๋ยวผีหลอกเอา…เอานี่ วันนี้วัดข้าง ๆ มีงาน ได้ข่าวว่ามีคอนเสิร์ตโตย”

“ไผมา?” ฟองคำวรีบถามตาเป็นประกาย

“เอ็ดดี้ ตลาดแตก” เพื่อนตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ว๊ายยยยยยยย! ไป!!!!” ฟองคำตอบรับทันทีที่ได้ยินชื่อศิลปินซุปตาร์ล้านนาคนโปรด

เสียงโอดโอยจากลูกค้านักท่องเที่ยวหนุ่มยังคงดังขึ้นเป็นระยะ ขณะที่ฟองคำกำลังใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือกดลึกลงไปที่กลางฝ่าเท้า มือทั้งสองข้างนวดคลึงวนเป็นวงกว้างบริเวณจุดที่เรียกกันว่า จุดสะท้อนของไต ตามศาสตร์แพทย์แผนไทยที่เธอร่ำเรียนจากวัดโพธิ์มาโดยตรง

“โอ๊ยยยยยยยย!!! หมอนวด เบา ๆ หน่อยครับ!” นักท่องเที่ยวร้องเสียงหลง

“เจ็บเหรอคะคุณลูกค้า” ฟองคำไม่ละมือ เพียงถามไถ่พอเป็นพิธี

“ตรงฝ่าเท้ามันจี๊ดมากเลยครับ!” เขาย้ำอีกครั้ง ร่างกายเริ่มเกร็ง สองมือจิกที่วางแขนแน่น

“แสดงว่าคุณมีปัญหาเรื่องไตนะคะ เดี๋ยวจะนวดเน้น ๆ ตรงนี้ให้ ทนหน่อยนะคะ อีกแป๊บเดียวสบายแน่นอน”

เธอกดนิ้วแรงขึ้นโดยไม่รอคำอนุญาต ลูกค้าตัวแข็งเป็นหินทันที ก่อนจะตะโกนเสียงหลง

“อ้ากกกกกกกกกกก!!”

“คุณลูกค้าไม่ดีไปดิ้นสิคะ เดี๋ยวพอนวดเสร็จตัวก็จะเบาสบายแล้ว” พูดไทยทุกคำสาบเมืองได้ไง! มือของฟองคำยังไม่หยุดเคลื่อนไหว ขณะที่เธอใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือกดคลึงเป็นวงกลมบริเวณฝ่าเท้าของนักท่องเที่ยวหนุ่ม

“ก็มันเจ็บนี่!”

เสียงร้องนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานและความตื่นกลัวปนกัน ร่างของคุณลูกค้าเกร็งจนกล้ามเนื้อขาเด้งหนีโดยสัญชาตญาณ ฝ่าเท้าที่เคยพาดอยู่บนหมอนนวด ยกขึ้นหนีอย่างรวดเร็ว

แต่ฟองคำยังไม่ยอมแพ้ เธอหัวเราะเบา ๆ แล้วคว้าเท้ากลับมาด้วยความคล่องแคล่วอย่างหมอนวดมืออาชีพ นวดคลึงบริเวณเดิมอีกครั้งโดยไม่ลังเล ใช้ทุกเทคนิคที่เธอร่ำเรียนมา ทั้งการบิดเส้น ยืดกล้ามเนื้อ และการลงน้ำหนัก เธอมั่นใจว่ามันจะเจ็บแค่ช่วงแรกเท่านั้น เดี๋ยวก็โล่งแล้ว

นิ้วของเธอออกแรงกดจุดหนักขึ้น จากจุดที่ ‘เจ็บนิด ๆ’ กลายเป็นจุดที่ ‘เจ็บเหมือนแทงทะลุเส้นประสาท’

“โอ๊ยยยยยยยย!!!”

ร่างกายของคุณลูกค้าเปิดโหมดป้องกันตัวในระดับสูงสุด และแล้ว…

ปั้ก!!!

เท้าข้างขวาของเขาฟาดเข้าเต็มแรงที่ลำตัวของฟองคำอย่างแม่นยำ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังปั้ก ก่อนที่เธอจะลอยตัวออกจากเก้าอี้ม้านั่งปลิวไปชนเข้ากับตู้ไม้เก่าแก่ที่ตั้งอยู่ข้างผนัง ซึ่งเป็นตู้สำหรับวางบูชานางกวัก ถ้วยน้ำแดงที่วางประดับอยู่ด้านบนโยกเยก ก่อนจะร่วงหล่นลงมาราวกับภาพสโลว์โมชั่น หกเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวสไตล์ล้านนาของเธอจนแดงฉาน ท้ายทอยของเธอกระแทกกับขอบตู้ไม้แข็ง ๆ ดังโป๊ก ก่อนร่างจะทรุดลงนอนแน่นิ่ง

เสียงฮือฮาดังลั่นร้าน ผู้คนที่กำลังนวดอยู่ หยุดนิ่งในจังหวะเดียวกัน กลิ่นสมุนไพรที่เคยอบอวลแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นคาวจาง ๆ ปะปนมากับกลิ่นน้ำแดงที่ไหลเปรอะเสื้อฝ้ายของหมอนวดสาว

นักท่องเที่ยวหนุ่มที่เผลอปล่อยลูกถีบออกไป ถึงกับหน้าซีดมือสั่น 

“ผม…ผมไม่ได้ตั้งใจ! แค่เจ็บ มันสะบัดออกไปเอง!”

ลูกค้าคนอื่น ๆ ในร้านพากันลุกพรวด บ้างเอามือปิดปาก บ้างยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายคลิป บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อครู่กลายเป็นความโกลาหลอย่างฉับพลัน

“เรียกรถพยาบาลเร็ว!” เสียงหนึ่งตะโกน

แต่ทุกอย่างดูจะสายเกินไปแล้ว บัดนี้ร่างแน่นิ่งของฟองคำกลับบ้านเก่าเป็นที่เรียบร้อย ตุงหลากสีที่ประดับในร้านเห็นทีคงต้องเปลี่ยนเป็นตุงแดงแทนแล้ว เรียกได้ว่าพอพูดถึงคนตาย ความตายก็ตามมาหาในทันที… R.I.P.



ฟองคำ ขวัญระมิงค์ อายุ 25 ปี อาชีพ หมอนวดแผนโบราณ
เสียชีวิตด้วยลูกถีบไรเดอร์คิกของลูกค้าจนท้ายทอยกระแทกตู้ตาย

แสดงความคิดเห็น

5555 เขิน  โพสต์ 2025-6-26 21:22
โพสต์ 19697 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-6-26 19:08
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x6
x8
x2
x6
x8
x2
x11
x28
x50
x90
x90
x1
x2
x2
x10
x12
x42
x18
x20
x1
x14
x2
x100
x2
x2
x442
x1
x32
x2
x2
x1
x20
x30
x30
x20
x10
x10
x6
x23
x34
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4

1

กระทู้

21

ตอบกลับ

1059

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
919
ตำลึงทอง
54
ตำลึงเงิน
367
เหรียญอู่จู
9440
STR
0+5
INT
0+0
LUK
0+0
POW
0+5
CHA
0+0
VIT
0+2
คุณธรรม
123
ความชั่ว
0
ความโหด
113
โพสต์ 2025-8-17 04:31:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Kexin เมื่อ 2025-8-17 04:40





ปี 2025 กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย


ไฟนีออนสีชมพูสลับน้ำเงินกระพริบเป็นจังหวะหน้าบาร์ “ราชสีห์คลับ” เสียงเพลงลูกทุ่งแดนซ์กระแทกเบสสะท้อนกำแพงปูนเก่า ควันบุหรี่ลอยปะปนกับกลิ่นน้ำมันเครื่องจากรถจอดเรียงข้างถนน ด้านหน้ามี Honda PCX แต่งเต็มคันสีดำด้าน ท่อซิ่งไทเทเนียมสะท้อนแสงกับ Ducati 1199 Panigale R ปี 2012 จอดคู่กันเหมือนประกาศศักดา ใต้ไฟถนน 


แสน ราชสีห์ ยืนพิงบังโคลนรถ สูบบุหรี่ด้วยท่าทางไม่รีบไม่ร้อน กล้ามเนื้อไหล่ขยับทุกครั้งที่เขายกบุหรี่ขึ้นแตะริมฝีปาก แววตาคมกริบมองออกไปกลางถนนเหมือนกำลังคาดการณ์อะไรบางอย่าง เพื่อน ๆ ในกลุ่มใส่เสื้อช็อปปักตราปทุมวันกำลังหัวเราะเสียงดังอยู่หลังเขา มีสาวสองสามคนเดินเข้ามาคล้องแขน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กประตูดินผมทองดัดลอน สะกิดไหล่แล้วแซว “วันนี้ดูหล่อเป็นพิเศษนะคะพี่แสน… หรือว่ามีศึกใหญ่?” แสนยกยิ้มมุมปาก สูดควันเข้าปอดแล้วพ่นช้า ๆ “หึ…ศึกใหญ่ก็พวกมันดิ กูแค่รอ”


ไม่ทันขาดคำ รถเวฟซิ่งคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดกะทันหัน ชายร่างผอมลงจากรถแทบไม่ทันตั้งตัว รีบวิ่งเข้ามาหา “พี่แสน! ไอ้พวกอุเทนมันรวมตัวกันอยู่ท้ายซอยสี่สิบกว่า มีมีด มีไม้ครบมือเลยพี่” เสียงรอบตัวเงียบลงทันที เหลือเพียงเสียงเบสจากในบาร์กับหัวใจที่เต้นแรงของทุกคน แสนทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้น ใช้ปลายรองเท้าขยี้ให้มอดก่อนเงยหน้าขึ้น สายตาวาวโรจน์เหมือนเสือที่ได้กลิ่นเลือด “งั้นคืนนี้…ก็ถึงเวลาซ้อมพวกมันให้จำแล้วมั้งงงง”


เขาก้าวขึ้นคร่อม PCX สตาร์ทเครื่อง เสียงท่อดังลั่นเหมือนคำท้าทาย เพื่อน ๆ ก็รีบขึ้นรถตาม ขบวนรถนักเลงปทุมวันเริ่มเคลื่อนตัวช้า ๆ ออกจากหน้าบาร์ ท่ามกลางแสงไฟส้มซีดของถนนและสายตาคนแถวนั้นที่รู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า


เครื่อง PCX สีดำด้านพุ่งทะยานฝ่าไฟถนนที่กระพริบวูบวาบ เสียงท่อไทเทเนียมคำรามก้องกังวานเหมือนประกาศศึก ลมกลางคืนตีหน้าแรงจนผมของแสนปลิวไปด้านหลัง กล้ามแขนที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดแน่นจับแฮนด์แน่น เขาเลี้ยวเข้าไปในซอยแคบ ๆ จนมาถึงท้ายทอดสิบที่ไฟถนนขาดเป็นช่วง ๆ เงามืดตัดกับแสงร้านโชห่วยซอมซ่อข้างทางทำให้บรรยากาศขึงตึงอย่างบอกไม่ถูก เสียงเบรก “กึกกึก!” ดังพร้อมรอยล้อครูดพื้นแอสฟัลต์ แสนเหยียบขาตั้งรถ ลุกขึ้นเต็มความสูง มือข้างหนึ่งเอื้อมไปใต้เบาะหยิบ “ไม้คมแฝก” สั่งทำพิเศษที่หุ้มด้วยผ้าดำเก่า ๆ แต่ปลายไม้ยังมันวาวราวกับรอวันได้ลิ้มเลือด พอแกะผ้าออก กลิ่นไม้เก่าอบอวลผสมกับกลิ่นเหล็กจาง ๆ ยิ่งทำให้เพื่อน ๆ ข้างหลังฮึกเหิม


แสนยกไม้ขึ้นพาดบ่า หันหน้ามองไปยังฝูงหมาในคราบคนในชุดช็อปสีเลือดหมูที่ยืนกันเป็นแถว สายตาคมกริบกวาดมองทีละคนเหมือนวัดใจ ก่อนจะตะโกนลั่นซอย เสียงก้องไปชนกำแพงปูนทั้งสองฝั่ง “พวกมึง… สั่งหมูกรอบแถวสุดท้ายของร้านป้าศนีไปใช่ไหม!?” เสียงหัวเราะเย้ยหยันจากฝั่งตรงข้ามดังขึ้น แสนกระแทกไม้ลงกับพื้น “กูบอกแล้วใช่ไหมว่าร้านป้าศรีถิ่นกู!” พวกเพื่อนปทุมวันหลังแสนเริ่มชักอาวุธ ใครมีโซ่ดึงโซ่ ใครมีท่อเหล็กก็ฟาดกับพื้นจนเสียงดังเปรี้ยง ๆ ฝั่งอุเทนถวายก็ไม่ยอม เงาวูบวาบของมีดและท่อเหล็กสะท้อนใต้แสงไฟน้อยนิด เสียงรองเท้าวิ่งย่ำพื้นกระแทกดังถี่ขึ้นเรื่อย ๆ


แล้วเหมือนทุกอย่างหยุดชั่วขณะ ก่อนที่เสียง “ลุยแม่งงงง!” จะระเบิดออกมาพร้อมกันจากทั้งสองฝั่ง เสียงเหล็กปะทะไม้ดังสนั่น เสียงด่าทอปนกับเสียงฝีเท้าวิ่งไล่ เสียงใครบางคนล้มลงกับพื้นอย่างแรง แต่แสนยังพุ่งไปข้างหน้า ฟาดไม้คมแฝกลงใส่ไหล่ศัตรูเต็มแรงจนอีกฝ่ายเซถอย เสียงหอบหายใจกับกลิ่นเลือดเริ่มปะปนกับอากาศร้อนระอุในซอย


เสียงโครมครามของไม้คมแฝกกระแทกกับท่อเหล็กยังดังสะท้อนซอย แต่ท่ามกลางความวุ่นวายสายตาของแสนก็ไปหยุดที่ไอ้เหี้ยคนหนึ่ง ไอ้มะเดี่ยว หัวโจกอุเทนถวาย ตัวสูงไหล่กว้าง รอยสักเต็มคอและแขนซ้าย มีแผลเป็นผ่ากลางคิ้วเหมือนเครื่องหมายการค้า และที่ทำให้เลือดในอกของแสนเดือดพล่านไม่ใช่ฝีมือมันในตีกัน…แต่เพราะข่าวที่ลือกันทั้งย่านว่ามันชอบไปแทะโลม “ผู้หญิงของแสน” ทั้งที่แสนมีเมียเป็นโหลแล้วก็เถอะ แสนพิงไม้คมแฝกบนไหล่ ก้าวแหวกฝูงคนออกไปกลางวงตีกัน เสียงโซ่ เสียงมีด เสียงตะโกนยังดังระงมแต่เหมือนพื้นที่รอบตัวเงียบลงในพริบตา ดวงตาของทั้งคู่จ้องกันแน่วราวเสือสองตัวที่เล็งเหยื่อชิ้นเดียวกัน ไอ้เดี่ยวยกยิ้มเยาะ “ไงวะ ไอ้ราชสีห์… ได้ข่าวยังว่ากูไปกินตับกับเด็กมึง”


แสนหัวเราะสั้น ๆ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้มองไอ้เหี้ยนี้เป็นคนด้วยซ้ำ “แดกตับเหี้ยอะไร กูว่ามึงแดกเศษหมูกรอบจากปากกูมากกว่า” คำพูดแทงใจจนไอ้เดี่ยวหน้าตึง คิ้วกระตุกอย่างเห็นได้ชัด เสียงเพื่อนมันตะโกน “เฮีย! จัดแม่งเลย!” แต่แสนยกมือซ้ายขึ้นเป็นเชิงห้าม ขณะที่มือขวายังกำไม้คมแฝกแน่น


“กูไม่ชอบซัดหมาเห่า กูชอบซัดหมาที่กัด” เสียงทุ้มต่ำลอดฟันก่อนที่ร่างของแสนจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม้คมแฝกเหวี่ยงลงจากด้านบนด้วยแรงเต็มแขน ไอ้เดี่ยวตั้งท่อเหล็กขึ้นกัน เสียงปะทะ “ปั้งงง!” ดังจนเพื่อนทั้งสองฝั่งหยุดมอง เสี้ยววินาทีต่อมา แสนเตะเข้าชายโครงมันเต็มแรงจนมันเซถอยไปสองก้าว ไอ้เดี่ยวพุ่งกลับมาเหวี่ยงท่อใส่หัว แสนก้มหลบเฉียดเส้นผมไปนิดเดียวแล้วสวนด้วยการฟาดไม้เข้าขาซ้ายจนมันทรุด เสียงด่าหยาบ ๆ ปะทะกันไปมาไม่มีใครยอมใคร “มึงนี่ปากจัดเหมือนเมียมึงเลยนะ” ไอ้เดี่ยวสบถหอบหายใจ “ก็เพราะเมียกูบอกว่ามึงอ่อนนี่แหละ กูเลยต้องมาจัดให้เอง” แสนตอบสวนทันควัน


ซอยแคบ ๆ กลายเป็นเวทีของสองเสือคู่อริ ทุกฟาด ทุกฟัน ทุกคำด่าเหมือนจะจบด้วยเลือด


เสียงท่อเหล็กหล่นกระแทกพื้นดัง “แครงงง!” ตามด้วยเสียงหอบหายใจแรง ๆ ของไอ้เดี่ยวที่ตอนนี้ถูกแสนกระชากคอเสื้อจนตัวแทบลอย กระแทกมันติดกับกำแพงปูนซีดที่มีคราบสนิมน้ำฝนไหลเป็นทาง ไม้คมแฝกของแสนกดพาดข้ามลำคอมันไว้แน่นจนเส้นเอ็นที่คอโป่งตึง แสนก้มหน้าลงจนจมูกเกือบแตะหน้ามัน ดวงตาคมเต็มไปด้วยประกายเดือดจัด ปากยกยิ้มเยาะแต่เสียงที่ลอดออกมาทุ้มต่ำจนเย็นสันหลัง 


“กูจะพูดแค่รอบเดียว… อย่ามายุ่งกับถิ่นกู”


ไอ้เดี่ยวกัดฟันแน่นพยายามยันไม้คมแฝกออก แต่แสนกดแรงขึ้นอีกนิด พร้อมกระซิบใกล้หูจนได้ยินชัดทุกพยางค์ “แล้วมึงจำไว้นะ ถ้ามึงไปเอากับเมียกู…แล้วทำเมียกูเสร็จไม่ได้ มึงก็อย่าเสือกอยากแย่งเมียจากกูอีก เข้าใจมั้ย ไอ้ควาย” เพื่อนฝั่งอุเทนเริ่มจะพุ่งเข้ามา แต่พวกปทุมวันของแสนก็ยืนขวางเป็นกำแพงมีดและโซ่ เสียงด่าทอปนกับเสียงหัวเราะกวนตีนดังรอบวง


แสนใช้แรงดันไม้คมแฝกพามันอัดกับกำแพงอีกที ก่อนปล่อยให้มันร่วงลงไปนั่งพิงพื้น หอบแฮ่ก ๆ ด้วยหน้าที่แดงเพราะเลือดสูบฉีดและความอับอาย เขาไม่ลืมเงยหน้ามองพวกอีกฝั่งแล้วตะโกนก้องลั่นซอย “จำชื่อกูไว้ แสน ราชสีห์ กูคือคนที่มึงไม่ควรเหี้ยใส่” เสียงท่อ PCX ของแสนคำรามขึ้นอีกครั้งในความเงียบชั่วขณะ ราวกับตอกย้ำว่าใครใหญ่ในถิ่นนี้


ไฟท้าย PCX สีแดงเข้มฉายวาบในความมืดขณะเครื่องสองจังหวะคำรามก้อง แสน ราชสีห์ ขี่รถกลับจากท้ายทอดสิบด้วยหัวใจที่ยังเต้นแรงจากกลิ่นเลือดและเสียงตะโกนในซอย มือขวาบิดคันเร่ง มือซ้ายจับไม้คมแฝกที่พาดบนตักอย่างสบายใจราวกับเพิ่งกลับจากงานอดิเรกธรรมดา ๆ บาร์ “ราชสีห์คลับ” ยังสว่างไสวเหมือนเดิม เสียงเพลงลูกทุ่งผสมเบสหนัก ๆ กระแทกพื้นไม้จนสั่น แสงนีออนสะท้อนบนขวดเหล้าที่เรียงรายหลังเคาน์เตอร์ สาวประตูดินชุดรัดรูปคนเดิมยืนพิงโต๊ะยกแก้วรออยู่แล้ว พอเห็นแสนลงจากรถก็ยิ้มมุมปากก่อนเดินเข้ามาคล้องแขน “อ้าว… กลับมาแล้วเหรอพี่ตัวตึงของหนู”


แสนหัวเราะเสียงต่ำ เดินลากไม้คมแฝกพาดบ่าเข้ามาในบาร์เหมือนเสือกลับรัง “เธอ รินเหล้าให้หน่อยดิ วันนี้คอแห้งชิบหาย” แก้วแรกวางตรงหน้า แสนกระดกหมดในทีเดียว ก่อนหยิบกัญชามามวนแล้วจุดไฟ กลิ่นควันเฉพาะตัวลอยปะปนกับกลิ่นเหล้าในอากาศ เขาพ่นควันช้า ๆ พลางยกมือโอบเอวสาวแน่นจนอีกฝ่ายหัวเราะคิก


ไม่กี่นาทีต่อมา บ่องแก้วใบยาวก็ถูกวางบนโต๊ะ แสนก้มลงสูบลึก ดวงตาครึ่งปิดด้วยความมึนเคลิ้ม เสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ ในกลุ่มดังอยู่รอบตัว สาว ๆ เดินวนอยู่ข้างเก้าอี้เขาเหมือนผึ้งรุมดอกไม้ บางคนยื่นแก้วเหล้ามา บางคนเอามือคลึงไหล่ให้ แสนก็แจกยิ้มกวน ๆ กับทุกคนเหมือนเจ้าของฮาเร็ม เขาเอี้ยวหน้ามาหอมแก้มสาวข้างตัวแล้วกระซิบเสียงแหบ “คืนนี้ไม่ต้องกลับไปไหน… อยู่กับพี่ทั้งคืนไหม” ก่อนจะเอนตัวพิงโซฟาหนัง สูบบ่องอีกทีเหมือนราชาที่ครองอาณาจักรยามราตรี


ไม่นานไฟสลัวหลังบาร์ตรงโต๊ะมุมมืดแทบไม่เหลือคนอื่นนอกจากเสียงเพลงเบสต่ำ ๆ ที่ลอดมาจากโซนหลัก แสน ราชสีห์ ลากเก้าอี้ถอยไปพิงผนังด้วยท่าทางเจ้าของถิ่น มือข้างหนึ่งยังคีบบุหรี่ปล่อยควันคลอในแสงนีออนแดงหม่น อีกข้างดึงเอวสาวประตูดินคนเดิมเข้ามานั่งคร่อมตัก ดวงตาเขาคมกริบ ลากสายตาจากอกอิ่มขึ้นไปยังริมฝีปากแดงของเธอ ก่อนก้มลงประกบจูบหนักแน่น เสียงจูบชื้นผสมกับลมหายใจถี่เร่ง มือแสนไล้ไปตามแผ่นหลังโค้งแล้วเลื่อนต่ำลงอย่างจงใจ สาวในอ้อมแขนเริ่มครางต่ำ ๆ ร่างเธอสั่นตามแรงสัมผัส เสียงครางนั้นดังแข่งกับเพลงจนเพื่อน ๆ บางคนที่อยู่ไกลยังแอบเหลียวมอง แสนหัวเราะในลำคอ 


“ชู่วว…อย่าให้คนอื่นได้ฟังหมด เดี๋ยวของดีพี่หมดค่า” เขากระซิบด้วยน้ำเสียงหยอกแต่แฝงแรงข่ม ก่อนจะดันโต๊ะเล็กข้างตัวให้พ้นทาง จัดท่าทางเธอให้อยู่ในมุมที่เขาต้องการ การเคลื่อนไหวต่อจากนั้นเต็มไปด้วยแรงดิบ ความเร้าใจ และจังหวะที่มั่นคง เสียงโต๊ะสั่นกระทบพื้นเป็นจังหวะรัวปนเสียงหอบ เสียงครางแหลมสูงของเธอดังระงมในมุมเงียบของบาร์


แสนไม่รีบ เขารู้จักใช้ทั้งแรงและลีลา กดจังหวะให้เร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนอีกฝ่ายตัวเกร็ง ขยุ้มเสื้อเขาแน่นเหมือนจะขาด เขาก้มลงกระซิบข้างหูพร้อมยิ้มกวน “ก็บอกแล้วว่าอย่าไปให้ไอ้พวกนั้นยุ่ง…เพราะมันทำให้เธอเสร็จไม่ได้แบบกูใช่ไหม…หืม?” จังหวะท้ายที่ร่างสาวกระตุกเกร็งแล้วปล่อยเสียงครางยาวลอดไรฟัน แสนก็กดสะโพกแน่นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนถอนตัวออกอย่างใจเย็นเหมือนคนที่คุมเกมมาตลอด เขายืนขึ้น สะบัดผมเล็กน้อยแล้วรูดถุงยางออกด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก ก่อนขยำมันในมือแล้วโยนลงถังขยะมุมห้องแบบไม่แม้แต่จะหันมอง


แสนหยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นจุด สูบเข้าลึก พ่นควันผ่านรอยยิ้มกวน ๆ พลางมองร่างสาวที่ยังนั่งหอบอยู่บนเก้าอี้ เสียงทุ้มต่ำของเขาดังชัดเจน “จำไว้นะเธอ… ผู้ชายคนไหนไม่ใส่ถุงยาง อย่าให้มันเอาเด็ดขาด” เขากระตุกยิ้มมุมปาก สายตาคมยังจับจ้องเหมือนกำลังตอกย้ำคำพูด “เพราะถ้ามันไม่รักตัวเองพอ…มันก็ไม่รักเธอเหมือนกัน” เขายื่นแก้วเหล้าให้เธอจิบ แล้วทิ้งตัวนั่งพิงพนักแบบสบาย ๆ เหมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องปกติในค่ำคืนของเขา กลิ่นเหล้าผสมควันกัญชายังคละคลุ้งในมุมมืดของบาร์ ข้างนอกยังมีเสียงหัวเราะและเสียงเครื่องยนต์เพื่อน ๆ ดังเป็นฉากหลัง แต่ในวงแคบนี้ แสนคือคนที่กำหนดจังหวะทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่เคยปล่อยให้ใครได้มีอำนาจเหนือกว่า


……


เสียงเครื่อง PCX ดับเงียบหน้าตึกเช่าเก่า ๆ ย่านหลังตลาดสด แสน ราชสีห์ สะพายกระเป๋าผ้าข้างลำตัว เดินลากรองเท้าแตะขึ้นบันไดเหล็กที่ส่งเสียงเอี๊ยดทุกก้าว ความเหนื่อยหลังคืนยาวยังติดอยู่ในกล้ามเนื้อ แต่ในดวงตาคมยังมีประกายเย็น ๆ ของคนที่พร้อมรับมือทุกอย่าง เขาไขกุญแจห้อง เสียง “กึก” ดังเบา ๆ ก่อนผลักประตูเข้าไปภาพตรงหน้ากลับไม่ใช่ห้องรก ๆ ที่เต็มไปด้วยขวดเหล้าและเสื้อผ้ากองพะเนินเหมือนใครคงคิด แต่มันกลับเรียบร้อยผิดคาด พื้นไม้สะอาด ปลอกหมอนและผ้าปูเตียงสีขาวตึงเรียบ โต๊ะไม้ตัวเล็กวางแก้วกาแฟเคลือบลายสวย หนังสือวางซ้อนอย่างเป็นระเบียบ และมุมชั้นวางมีเทียนหอมดับแล้วแต่ยังมีกลิ่นลาเวนเดอร์อุ่น ๆ ลอยอ้อยอิ่ง


เขาวางกุญแจไว้ในถาดไม้ใบเล็กตรงชั้นวางหน้าประตู ปลดเสื้อช็อปปทุมวันแขวนอย่างตั้งใจ ราวกับเป็นพิธีที่ทำประจำทุกครั้งที่กลับบ้าน ขยับไหล่คลายความเมื่อยแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาผ้าเนื้อนุ่มที่มีผ้าห่มพับเรียบวางอยู่ปลายเบาะ


ความเงียบในห้องนี้ต่างจากเสียงดังและกลิ่นควันเมื่อคืนโดยสิ้นเชิง ไม่มีเพื่อน ไม่มีหญิง ไม่มีเสียงหัวเราะหรือด่าทอ มีแต่เขาคนเดียว แสน ราชสีห์ ในพื้นที่ที่เป็นของเขาเท่านั้น สถานที่ที่ไม่มีใครเห็นด้านนี้ของเขาได้ง่าย ๆ


เขาหยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า จุดไฟสูบช้า ๆ พ่นควันลอยขึ้นในแสงเช้าสีซีดที่ลอดผ่านผ้าม่าน แล้วเอนหัวพิงพนักโซฟา หลับตาลงในความสงบที่เหมือนจะเป็นโลกอีกใบหนึ่งของคนที่ภายนอกดูเหมือนสัตว์นักล่า แต่ในที่นี่…มีเพียงชายคนหนึ่งที่เงียบเกินกว่าทุกคนจะจินตนาการ แสนคีบบุหรี่ไว้ที่มุมปาก เดินเท้าเปล่าไปหยุดหน้าตู้ไม้บานกระจกเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง เขายื่นมือไปหยิบกรอบรูปเก่า ๆ ที่มีคราบเหลืองจางตามกาลเวลา ในรูปนั้นมีเด็กชายตัวเล็กตาใส ยิ้มกว้างจนเห็นฟันไม่ครบ นั่งคุกเข่าอยู่หน้าพ่อกับแม่ที่โอบไหล่เขาไว้ พี่ชายยืนซ้อนด้านหลัง มือวางบนหัวอย่างปกป้อง ข้าง ๆ ยังมีพี่สาวคนโตยิ้มอ่อนโยนให้กล้อง บรรยากาศในภาพอบอุ่นจนแทบได้ยินเสียงหัวเราะ


ควันบุหรี่ค่อย ๆ ลอยผ่านกระจกกรอบรูป ราวกับหมอกบางปิดบังระหว่างปัจจุบันกับอดีต แสนจ้องอยู่นานก่อนที่แววตาคมจะเปลี่ยนไป…เหมือนรอยยิ้มในรูปกำลังหลุดลอกทีละน้อย ภาพตรงหน้าก็ราวกับค่อย ๆ เลือนหายแทนที่ด้วยความมืดและเสียงกรีดร้อง


ภาพในหัวชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน ค่ำคืนฝนกระหน่ำ เสียงลมพัดสาดกระจกหน้าต่างดังลั่น บ้านทั้งหลังสว่างวาบจากแสงฟ้าแลบ ก่อนจะมืดสนิทในชั่วพริบตา เสียงโวยวายของพ่อดังจากหน้าบ้าน ตามด้วยเสียงแก้วแตกและเสียงข้าวของล้มกระแทกพื้นหนักหน่วง กลิ่นน้ำมันและคาวเลือดตีเข้าจมูกจนแสบ แสนในวัยเด็กซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะกินข้าว เห็นเงาคนล้มลงกับพื้นทีละคน พี่ชายที่วิ่งออกไปช่วยพ่อถูกฟันจนร่างเซล้ม พี่สาวกรีดร้องเรียกแม่แต่ก็ถูกกระชากผมหายเข้าไปในเงามืด แม่พยายามวิ่งมาหาเขา…แต่ร่างนั้นหยุดชะงักกลางทางก่อนทรุดลงในแอ่งเลือด


เสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินในคืนนั้น คือเสียงฝีเท้าหนักหน่วงใกล้เข้ามา กับลมหายใจกรุ่นกลิ่นเหล้าขมจัดที่หยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะ ก่อนที่ผ้าขาวเก่า ๆ จะถูกปิดลงบนหน้าเขา ความเย็นชืดซึมผ่านผิวและทุกอย่างดับวูบลง…


ควันบุหรี่ในปัจจุบันค่อย ๆ เลือนจากปลายนิ้ว แสนวางกรอบรูปกลับที่เดิมเหมือนไม่อยากให้ใครเห็นความทรงจำที่ซ่อนอยู่ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก กลืนความรู้สึกเก่า ๆ กลับลงไปในที่เดิม ร่างเขาแข็งเหมือนเสือที่เรียนรู้แล้วว่าการเปิดแผลให้คนอื่นเห็นคือการเชื้อเชิญให้ถูกฆ่า แสนยืนพิงตู้ไม้ สูบลากบุหรี่ลึกจนปลายนิ้วร้อนผ่าว แล้วพ่นลมหายใจออกช้า ๆ ดวงตาคมเหม่อมองภาพบนผนังราวกับมองทะลุผ่านเวลาไปในอดีต “อีกไม่กี่วัน…ก็ครบรอบแล้วหรอ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกับตัวเอง เบา แต่หนักพอให้หัวใจเต้นแรงแปลก ๆ เวลาช่างผ่านไปเร็วฉิบหาย ทั้งที่ความรู้สึกในวันนั้นยังเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน


ทันใดนั้น เสียงแจ้งเตือนมือถือดัง ติ๊งๆๆๆ รัว ๆ หน้าจอสว่างขึ้นพร้อมข้อความจากเหล่าสาว ๆ ในรายชื่อ บางคนส่งรูปเซ็กซี่มาล่อ บางคนบ่นคิดถึง บางคนถามว่าจะไปเจอกันคืนนี้มั้ย รอยยิ้มมุมปากของแสนค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ดวงตาเปลี่ยนจากเย็นชากลายเป็นเจ้าเล่ห์แบบที่ใคร ๆ รู้จัก เหมือนหน้ากากที่เขาใส่ทุกครั้งเวลาต้องเจอโลกภายนอก


เขาทิ้งตัวนั่งบนโซฟา พิมพ์ตอบไปทีละคนด้วยคำล่อลวงที่ทำให้ปลายทางหัวใจเต้นแรงแน่ ๆ ในหัวกลับเต็มไปด้วยเสียงกระซิบของความจริง เขาก็แค่อยากตายเร็ว ๆ ให้พ้นจากโลกเฮงซวยนี้ แต่ไม่…ไม่เร็วกว่ามัน ไอ้เหี้ยที่พรากทุกคนไปจากเขา คุกแม่งก็ยังไม่สาสมกับสิ่งที่มันทำ แสนพ่นควันบุหรี่ขึ้นสู่เพดานเหมือนปล่อยความคิดดำมืดลอยไปกับควัน เสียงโทรศัพท์ดังซ้ำอีก แต่ครั้งนี้เขาวางมันลงบนโต๊ะ ปล่อยให้สั่นต่อไป ดวงตาคมหรี่ลงพลางคิด… 


วันนั้นมันจะมาถึง ไม่ช้าก็เร็ว และเมื่อถึงวันนั้น ไอ้เหี้ยคนนั้นจะได้รู้ว่าบางครั้งนรกมันไม่ได้อยู่หลังความตาย แต่มันเริ่มตั้งแต่ยังหายใจอยู่


เช้าวันถัดมา ท้องฟ้าเมืองกรุงยังหม่นเหมือนเมื่อคืนไม่เคยผ่านไป แสน ราชสีห์ คว้ากุญแจรถกับซองบุหรี่ติดมือเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ขับ PCX คันเก่งฝ่ารถติดไปถึง ปทุมวัน สถาบันที่เรียกได้ว่าบ้านหลังที่สองของพวกเขา แต่คำว่า “ไปเรียน” สำหรับแสนนั้นมันออกจะเป็นมุขตลกมากกว่า เพราะทุกคนรู้ดี เขาไปเรียนเพราะต้องไปกร่าง ไม่ได้มีเวลาไว้ตั้งใจนั่งจดหนังสือเรียน แสนเดินเข้าประตูรั้วสถาบันด้วยเสื้อช็อปเปิดกระดุมสองเม็ด คอเสื้อยับเพราะนอนค้างบาร์เมื่อคืนแต่ยังคงมีเสน่ห์ร้าย ๆ ที่ใครเห็นก็ต้องเหลียวตาม กลิ่นน้ำหอมราคาถูกปนกลิ่นบุหรี่ยังติดตัว เสียงท่อรถจากลานจอดดังตามหลังเมื่อเพื่อน ๆ ของเขายกพวกกันมาสมทบ


ห้องเรียนมีอาจารย์ยืนหน้ากระดาน เขียนตัวอักษรยึกยือเต็มกระดานดำ แต่แสนไม่แม้จะมอง เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หลังห้อง ยกเท้าวางบนโต๊ะอย่างไม่แคร์สายตาใคร มือหยิบมือถือขึ้นอ่านข้อความเมื่อคืนที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน สาว ๆ จากประตูดินยันเด็กเรียนแถวมหา’ลัยยังส่งข้อความหาเขาไม่หยุด


เพื่อนข้าง ๆ กระซิบหัวเราะ “เห้ย มึงนี่มาเรียนหรือมาโชว์วะ”


แสนหันไปยักคิ้วตอบกลับเสียงกวน “มาเช็กชื่อ…กับมาเช็กหัวใจผู้หญิงน่ะแหละ” เสียงหัวเราะกร่าง ๆ ดังไปทั่วหลังห้อง ในขณะที่อาจารย์หันมาทำหน้าดุ แต่ไม่มีใครกล้าเอาเรื่องกับแสน ราชสีห์ เพราะชื่อเสียงตัวตึงย่านนี้มันดังเกินกว่าใครจะกล้าท้าชน


เสียงเคาะโต๊ะดัง ปัง ข้างหลังห้องเรียน ทำเอาเพื่อน ๆ หันไปมอง เด็กช่างรุ่นน้องหอบแฮ่ก ๆ เข้ามา “พี่แสนค้าบ!” เสียงมันดังจนแทบจะกลบเสียงอาจารย์ที่กำลังสอน “พวกเด็กวัดธาตุทองแม่งมาท้าพี่แข่งรถอ่ะพี่! บอกว่าถ้าพี่ชนะรอบนี้…มันมีของดีเอามาแลกด้วยนะพี่” ทันทีที่ได้ยินคำว่า แข่งรถ รอยยิ้มกวนตีนก็ค่อย ๆ โผล่บนหน้าแสน เขายกมือเสยผม หลุบตามองรุ่นน้องเหมือนเสือได้กลิ่นเหยื่อแล้วหัวเราะในลำคอ “ของดีหรอวะ…หึ มีหรือกูจะปฏิเสธ”


เพื่อน ๆ หลังห้องเฮกันลั่น บางคนตะโกน “จัดดิพี่! จัด!” บางคนรีบกดโทรศัพท์ส่งข่าวต่อไปย่านอื่นทันทีว่าตัวตึงปทุมวันกำลังจะลงสนามจริงคืนนี้


แสนลุกขึ้นจากเก้าอี้ ดึงเสื้อช็อปขึ้นพาดบ่าแล้วเดินออกจากห้องเรียนท่ามกลางเสียงซุบซิบกับสายตาหลายคู่ที่มองตาม รอยยิ้มมุมปากไม่เคยหาย เขาสะบัดบุหรี่มวนที่คีบอยู่ในมือออกไปนอกหน้าต่างก่อนพูดลอย ๆ เสียงทุ้มต่ำก้องไปทั่วห้อง “คืนนี้แม่งจะได้รู้…ว่าราชสีห์อย่างกูไม่เคยหลบสนาม”


เสียงเครื่องยนต์คำรามก้องใต้สะพานพระรามเจ็ด ค่ำคืนนี้ไม่มีไฟถนนส่องสว่าง มีเพียงแสงไฟจากรถยนต์ที่จอดเรียงราย และไฟแช็กที่วูบวาบเป็นจังหวะควันบุหรี่คละคลุ้ง คนเป็นร้อย ๆ มารวมตัวกันเสียงเชียร์ดังไม่ขาดหู เด็กวัดธาตุทองขี่รถซิ่งเรียงคัน โชว์ท่อแต่งกับไฟท้ายกระพริบแบบหลอกตำรวจ เสียงหัวเราะเยาะดังระงมเมื่อเห็นแสน ราชสีห์ ขี่ PCX แต่งเครื่องคันดำเงา ขับเข้ามาช้า ๆ “ไอ้เหี้ย นี่มึงจะเอา PCX มาแข่งกับพวกกูเนี่ยนะ?” เด็กวัดธาตุทองหัวเราะลั่น โชว์รถ Wave 125 ลูกโตท่อดังแสบหู บางคนเอา Fino แต่งโชว์ไฟ LED วับ ๆ แต่ทุกคันล้วนใส่เครื่องมาท้าชน


แสนดับเครื่อง PCX หยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาคาบ ยกยิ้มกวนตีนก่อนพูดเสียงดังจนก้องสะพาน 


“กูไม่ต้องเอารถหรูมาอวดหรอก แค่ไอ้นี่ก็พอจะปาดหน้าเมียพวกมึงกลับบ้านได้แล้ว” เสียงเฮลั่นทั้งฝั่งปทุมวัน เพื่อน ๆ โห่ร้อง ตะโกน “โหดว่ะพี่แสน!”


เด็กวัดธาตุทองกัดฟัน หน้าเริ่มแดงด้วยความอาย พวกมันส่งหัวโจกออกมา ชายหนุ่มร่างสูงผอมในเสื้อยืดดำ ทรงผมสกินเฮด ยืนกอดอกข้าง Wave ตัวแรงของมัน “มึงพูดมากจังวะ ราชสีห์ ถ้าแพ้รอบนี้…กูจะเอาเมียมึงไปกิน” หึ แสนหัวเราะเสียงต่ำ สูบบุหรี่พ่นควันขึ้นฟ้า ก่อนโยนมันทิ้งแล้วคร่อมรถ มือบิดคันเร่ง แง๊น แง๊น แง๊น เสียงท่อดังจนสะพานสะเทือน “ถ้ามึงชนะได้…กูยกลูกสาวป้าศรีถิ่นให้เลย แต่ถ้ามึงแพ้…จำชื่อกูไว้แสน ราชสีห์”


เสียงนกหวีดดังขึ้น รถทุกคันพุ่งออกจากเส้นสตาร์ททันที ล้อบดกับยางมะตอยประกายไฟกระเด็นเป็นทาง แสนโน้มตัวไปข้างหน้า บิดเต็มข้อ PCX พุ่งทะยานด้วยเสียงท่อไทเทเนียมกระหึ่ม เส้นทางตรงยาวใต้สะพานเต็มไปด้วยเสียงเชียร์ลั่น คนดูตะโกนชื่อเขาไม่หยุด


“แสน! แสน! ราชสีห์!”


เสียงเครื่องยนต์ระเบิดก้องไปทั้งใต้สะพาน ล้อรถขูดกับแอสฟัลต์เป็นเส้นไฟยาว ๆ ทุกคันเร่งจนตาแทบไม่กะพริบ ฝุ่นควันตีขึ้นคลุ้ง ผู้คนสองฝั่งตะโกนเชียร์ลั่นจนสะพานสั่น แสน ราชสีห์ โน้มตัวกอดรถ บิดคันเร่ง PCX แต่งเครื่องสุดข้อ ท่อไทเทเนียมคำรามก้องแข่งกับหัวใจที่เต้นระรัว ด้านข้างคือไอ้หัวโจกวัดธาตุทอง ขี่ Wave ลูกโตพุ่งตามมาติด ๆ มันหันมาหัวเราะเยาะ “ไงวะ ราชสีห์ รถแก๊งตลาดสดยังไงก็แพ้กู!” แสนไม่ได้ตอบ เพียงยกยิ้มมุมปาก ริมฝีปากขยับเบา ๆ ราวกระซิบกับเครื่องยนต์ 


“ยังไม่ถึงโค้ง อย่าเพิ่งเห่า” เส้นทางตรงกำลังหมดลง เบื้องหน้าเป็น โค้งหักศอก ที่ขึ้นชื่อว่าอันตราย ใครพลาดคือร่วงลงคูน้ำข้างทาง เสียงคนดูเฮลั่นเมื่อเห็นว่าทั้งคู่ไม่มีใครเบรค!


ไอ้หัวโจกพยายามดึงเบรคแต่น้ำหนักรถกับความเร็วทำให้มันเสียหลักเล็กน้อย ล้อท้ายส่ายวูบไปหนึ่งที แต่แสนกลับทำตรงข้าม เขา บิดเพิ่ม ใช้แรงส่งกับน้ำหนักตัวกดเข้าโค้งจนประกายไฟแตกพรึ่บจากแคร้งรถที่ขูดพื้น มันคือเทคนิคที่เสี่ยงตายแต่เฉียบคมราวใบมีด


เสียงคนดูตะโกนดังลั่น “เฮ้ยยยย!! แม่งแซงแล้ววว!!” PCX คันดำเงาของแสนพุ่งปาดหัว Wave ลูกโตไปแค่เสี้ยวคืบตรงโค้งหักศอก ก่อนจะดีดตัวออกจากโค้งด้วยความเร็วที่มั่นคงกว่า ฝั่งธาตุทองได้แต่กัดฟันเหยียบเร่ง แต่ไม่ทันแล้ว เส้นชัยอยู่ตรงหน้า แสนเงยหน้ารับเสียงเชียร์ มือบิดคันเร่งสุดให้เสียงท่อคำรามก้องกังวาน ดวงตาคมกริบสะท้อนแสงไฟสาด รอยยิ้มเหี้ยม ๆ ปรากฏบนใบหน้า เฉือนคมกันด้วยหัวใจ ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์ และเขาก็เป็นคนเดียวที่กล้าทำแบบนั้น 


รถของแสนข้ามเส้นชัยท่ามกลางเสียงเฮระเบิดดังสนั่น สะพานทั้งสะพานสั่นสะเทือนด้วยเสียงโห่ร้อง “ราชสีห์! ราชสีห์!”


เสียงเฮเชียร์ยังไม่ทันจาง ฝั่งเด็กวัดธาตุทองก็พากันหน้าซีด หัวโจกคนนั้นเหยียบเบรกจอดรถด้วยท่าทางไม่เต็มใจนัก เพื่อน ๆ รอบตัวมันพยายามจะหาเรื่องแต่เสียงเชียร์ราชสีห์กดดันจนใครก็ไม่กล้าเสี่ยง พวกมันจึงต้องยอมจำนน หัวโจกถอดหมวกกันน็อค ปาดเหงื่อจากหน้าผากก่อนจะควัก “ของดี” ออกมาจากเป้ผ้าใบสภาพโทรม ห่อผ้าเก่าผูกเชือกแน่น มันวางลงบนเบาะ PCX ของแสนแบบไม่อยากจะทำ “ตามสัญญา ไอ้ราชสีห์…ของดีแม่งก็ของดี แต่กูไม่อยากให้หรอกเว้ย”


เสียงเพื่อน ๆ ปทุมวันโห่กันสนั่น “โห่ไอ้สัส! จะท้าแข่งแต่ไม่อยากให้ของ กวนตีน!” บางคนตะโกนไล่ แต่แสนเพียงยกมือห้าม ดวงตาคมกริบมองหัวโจกธาตุทองนิ่ง ๆ ก่อนยกยิ้มเหี้ยม “ในสนาม กูไม่เคยทิ้งสัญญา…มึงเองก็ต้องจำไว้เหมือนกัน ของดีมึงก็ไม่ใช่ของมึงอีกต่อไปแล้ว” เขาคว้าห่อผ้านั้นขึ้นมาโยกเล่นในมือ น้ำหนักของมันหนักเกินกว่าจะเป็นแค่เงินสด กลิ่นเหล็กอวลบาง ๆ รั่วออกมาจากห่อผ้าทำให้ทุกคนลุ้นว่าข้างในคืออะไร มีทั้งเสียงซุบซิบว่า อาวุธป่ะวะ” “หรือของเถื่อนจากตลาดมืด” ยิ่งทำให้บรรยากาศร้อนแรงขึ้น

 

แสนยัดห่อผ้าไว้ในกล่องเก็บของใต้เบาะ PCX แล้วสตาร์ทรถ เสียงเครื่องคำรามก้องก่อนที่เขาจะหันไปประกาศต่อหน้าฝูงชน “คืนนี้ราชสีห์แม่งไม่ใช่แค่ชนะ แต่แม่งเอาถิ่นพวกมึงไปด้วย!”


เสียงโห่ร้องกึกก้องตามหลังขณะที่เขาบิดคันเร่งพารถพุ่งออกจากใต้สะพานไป พร้อมกับของดีที่เพิ่งคว้ามา ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของศึกใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมก็ได้


เสียงท่อ PCX ของแสนคำรามก้องขณะรถพุ่งฉิวไปบนถนนกลางกรุง เขาหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ มือหนึ่งบิดคันเร่ง อีกมือแตะกระเป๋ากางเกงที่มีเบอร์สาว ๆ เต็มไปหมด “คืนนี้แม่งต้องได้มันส์ต่อแน่ ๆ…” ความคิดวนเวียนเรื่องเหล้า เรื่องคั่วสาว เรื่องเสียงดนตรีและควันกัญชาในผับ


แต่แล้ว… ครืนนนนน!


แผ่นดินสั่นสะเทือนวูบอย่างไม่ทันตั้งตัว ล้อรถแทบส่าย แสนรีบประคองแฮนด์ ขนลุกซู่ทั่วร่างเพราะนี่ไม่ใช่ถนนเป็นหลุม แต่คือแรงไหวจริง ๆ จากใต้พื้นดิน ตึกสูงสองฝั่งถนนแกว่งเบา ๆ ป้ายโฆษณาเหล็กสั่นกราวเหมือนจะหลุดร่วง เสียงเหล็กกระทบกันดัง ก๊องแก๊ง ไปทั่ว คนเดินถนนบางคนหยุดยืนแล้วกุมหัว “โอ๊ย…เวียนหัวว่ะ” บางคนหันไปบ่นว่าเมาเหล้ารึเปล่า แต่ในใจแสนกลับสบถเสียงต่ำ “เชี่ย…นี่แม่งไม่ใช่เวียนหัวแล้ว มันแผ่นดินไหวจริง ๆ”


เขาเบนสายตาไปมองตึกกระจกสูงที่สะท้อนแสงไฟเมือง มันกำลังโยกช้า ๆ อย่างเห็นได้ชัด และเสี้ยววินาทีนั้นหัวใจเขาก็เต้นแรง ไม่ใช่จากความกลัว แต่จากสัญชาตญาณเสือที่รู้ว่า อะไรบางอย่างไม่ปกติ กว่าที่ใครคิด มือใหญ่บิดคันเร่ง PCX เร่งความเร็ว เสียงเครื่องยนต์แหวกกลางความโกลาหลในกรุงเทพที่กำลังตื่นตัว คนบางส่วนยังงง บางส่วนเริ่มวิ่งหนี แสนยกยิ้มมุมปาก “กรุงเทพแม่ง…ชิบหายหมดแล้ว”


เสียงแผ่นดินสั่นสะเทือนยังไม่ทันจางหาย ความโกลาหลก็กลืนกินถนนทั้งสาย แสงไฟกะพริบ ตึกสูงโยกเหมือนจะหักครึ่ง และแล้ว เสียงโครมสนั่นสะเทือนฟ้า ก็ดังขึ้น ตึกขนาดใหญ่ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ตั้งตระหง่านกลางกรุงเทพ พังครืนลงมาอย่างช้า ๆ แต่หนักหน่วง ราวกับภูเขาถล่มตรงใจกลางเมือง เศษกระจกแตกว่อนเป็นฝนคมกริบ เสียงเหล็กบิดงอแหลมสูงปานนรก และฝุ่นควันมหาศาลพวยพุ่งปกคลุมทุกอย่าง


แสน ราชสีห์ ที่กำลังบิด PCX เสือกร่างไปกลางถนนเงยหน้าขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ดวงตาคมที่เคยเปล่งรัศมีเยาะเย้ยทุกสถานการณ์ กลับสะท้อนภาพ ตึกทั้งหลัง กำลังล้มลงตรงมาทับเส้นทางของเขาโดยตรง


“ชิบหาย...!!” เสียงสบถสุดท้ายของเสือตัวตึงดังขึ้นพร้อมแรงกระแทกสั่นสะเทือน โลกทั้งใบถูกบดขยี้ด้วยคอนกรีตและเหล็กกล้า PCX แต่งเครื่องที่ครั้งหนึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเร็วถูกแหลกละเอียด เสียงดัง ครืนนนนน!!! กลบทุกเสียงตะโกน ทุกเสียงร้อง ทุกเสียงเครื่องยนต์ เหลือไว้เพียงความเงียบอันอนาถา ควันฝุ่นคลุ้งคลั่งปกคลุมไปทั่ว ท่ามกลางความชุลมุนของผู้คนที่วิ่งหนีรอดชีวิต มีเพียงเงาของ ราชสีห์แห่งปทุมวัน ที่ถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ตายอย่างโหดร้ายและไร้เกียรติ ไม่ได้ตายในสนามบวก ไม่ได้ตายในสนามแข่ง แต่ตายเพราะโลกใบนี้แม่งโคตรเหี้ยกว่าที่เขาเคยคิด


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 107237 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-17 04:31
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกไผ่ผ้าคลุม
กระบี่คู่สลักจันทรา
ผู้ใช้กระบี่
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x1
โพสต์ 2025-9-3 12:42:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย XueXi เมื่อ 2025-9-3 12:45

ชะตากรรมเมียน้อย
ที่ไม่รู้ตัวว่าเป็น

เสียงดนตรีแจ๊สคลอเบา ๆ ท่ามกลางแสงไฟอบอุ่นในเพนท์เฮาส์กลางมหานครเซี่ยงไฮ้ กลางดึกคืนหนึ่ง ‘อวี่ซวน’เจ้าพ่อมาเฟียจีนเทาผู้ลือชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม กำลังนั่งทอดกายบนโซฟาหนังสีดำหรูหรา ร่างสูงสง่ากับดวงตาคมเข้มที่ทำให้ใครต่อใครต่างหวาดหวั่น ทว่าเวลานี้ ใบหน้าเย็นชานั้นกลับผ่อนคลายลง เมื่อมองชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังยิ้มขวยเขินอยู่ข้าง ๆ

เอสเปอร์ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้า ลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสที่มีผมยาวสีขาวราวหิมะ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกขับกับผิวกายขาวเนียน เขามีรูปร่างผอมบางราวกับสามารถหักได้เพียงสัมผัสเดียว แต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ลึกลับ เอวคอดรับกับสะโพกผาย เรียวขายาวจนใครต่อใครที่ได้เห็นมักหยุดหายใจ ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ทำให้อวี่ซวน—ผู้ที่ไม่เคยศรัทธาในความรักกลับยอมสยบอยู่ใต้อ้อมแขนของชายคนนี้
“คุณห้ามหัวเราะผมนะ” เอสเปอร์พูดเสียงใส ขณะยกแก้วไวน์จิบเบา ๆ “ผมเพิ่งหัดทำต้มยำกุ้งครั้งแรก… ถึงแม้มันจะออกมาเหมือนซุปมะเขือเทศก็เถอะ”

อวี่ซวนหัวเราะทุ้ม พลางยกมือใหญ่ลูบผมสีขาวนุ่มของคนรัก “ถึงมันจะเค็มไปหน่อย แต่ก็อร่อยเพราะนายทำเอง”
“โกหกเก่งจังนะครับคุณมาเฟีย” เอสเปอร์ทำแก้มพองใส่ “ถ้าจะเอาใจผมก็ไปล้างจานแทนสิ”

“ได้สิ” อวี่ซวนยกยิ้ม ก่อนจะโน้มหน้าลงจูบขมับของเอสเปอร์เบา ๆ

บรรยากาศระหว่างทั้งคู่หวานราวกับคู่รักธรรมดา ท่ามกลางโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยเลือดและควันปืน อวี่ซวนในยามนี้ไม่ใช่เจ้าพ่อโหดเหี้ยม แต่เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังหลงรักเอสเปอร์จนถอนตัวไม่ขึ้น

แต่แล้ว…

ความสุขนั้นก็พังทลายในชั่วพริบตา

เสียงเปิดประตูดังปัง! แรงสะท้อนดังจนแก้วไวน์บนโต๊ะสั่นสะเทือน ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งคู่ เธอสวมเดรสสีแดงสด เครื่องเพชรระยิบระยับ ดวงตาคมดุดันเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

“นี่มันเรื่องบ้าอะไร อวี่ซวน!!!” เสียงเธอกรีดก้องไปทั่วห้อง

เอสเปอร์สะดุ้ง หันไปมองอวี่ซวนด้วยสายตาสับสน ขณะที่หญิงสาวย่างก้าวเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว

“แกเองสินะ เมียน้อยที่กล้ามายุ่งกับสามีฉัน!!!”

เอสเปอร์อ้าปากค้าง “หา?! สามี??” เขาหันขวับไปหาอวี่ซวน “นี่คุณแต่งงานแล้วเหรอ!!”

อวี่ซวนหน้าถอดสีทันที มือใหญ่กำแน่นราวกับหาคำแก้ตัวไม่เจอ “เอสเปอร์… ฉัน…”

หญิงสาวเชิดหน้าสูง “ฉันชื่อหลิวเหม่ยฮวา ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของอวี่ซวน! แกน่ะมันก็แค่ของเล่นชั่วคราว!!”

“ของเล่นบ้านเธอสิ!” เอสเปอร์หันไปเถียงกลับไฟลุก “ของเล่นตรงไหนกัน เอวคอด สะโพกผายแบบนี้ หุ่นดีกว่าเธออีก!!”

อวี่ซวนยกมือกุมขมับ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูละครตบตีสด ๆ อยู่ตรงหน้า แต่ไม่ทันจะห้ามอะไร เหม่ยฮวาก็ควักปืนพกสีดำสนิทออกมาจากกระเป๋าอย่างไม่ลังเล

“วันนี้ฉันจะลบเกียรติยศความเป็นเมียหลวงด้วยเลือดของแก!!”

ปัง !

เสียงปืนดังสนั่นกลางห้องหรู กระสุนเจาะเข้าที่ร่างบางของเอสเปอร์จนล้มลงไปนอนบนพื้นหินอ่อน เลือดแดงสดไหลนองราวกับดอกกุหลาบที่ผลิบานในยามค่ำคืน

เหม่ยฮวาก้าวเข้ามาใกล้ กรีดเสียงใส่ “แกมันก็แค่เมียน้อยไร้ค่า ตายไปซะเถอะ!!”

แต่ใครจะคาดคิดว่า เอสเปอร์ในสภาพเลือดอาบยังมีแรงฮึดสุดท้าย เขายกมือคว้ากำผมดำยาวของเหม่ยฮวา กระชากเต็มแรงจนอีกฝ่ายกรี๊ดลั่น

“โอ๊ยยย! ปล่อยผมนะ ไอ้—”
“ไม่ปล่อยเฟ้ย ตายทั้งที ฉันไม่ยอมตายคนเดียวหรอก มาลงนรกเป็นเพื่อนกันไปเลย ยัยเมียหลวง”เอสเปอร์ตะโกนสุดเสียง

เสียงปืนลั่นอีกครั้ง คราวนี้กระสุนทะลุร่างของทั้งคู่พร้อมกัน เลือดสาดกระเซ็นท่วมผนังห้อง

อวี่ซวนตะโกนสุดเสียง “ไม่!!!”

ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือร่างของเอสเปอร์นอนเคียงข้างเหม่ยฮวา มือทั้งสองยังคงกำผมกันแน่นราวกับจะลากกันลงนรกไปด้วยกัน รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าซีดเผือดของเอสเปอร์
“ฮ่า… อย่างน้อยกูก็ไม่ใช่เมียน้อยโง่ ๆ ตายคนเดียว…”

เสียงหัวเราะแผ่วเบาดับลงพร้อมกับลมหายใจสุดท้าย เหลือไว้เพียงความเงียบงันและหัวใจแตกสลายของมาเฟียหนุ่มผู้ที่สูญเสียทั้งภรรยาและคนรักไปพร้อมกัน

แสดงความคิดเห็น

อย่าลืมเปิดใช้งานกระเป๋า My Status > My Bag  โพสต์ 2025-9-3 14:11
โพสต์ 13497 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-9-3 12:42
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3

1

กระทู้

91

ตอบกลับ

1161

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
888
ตำลึงทอง
39
ตำลึงเงิน
114
เหรียญอู่จู
9349
STR
0+6
INT
0+1
LUK
0+5
POW
0+0
CHA
20+5
VIT
5+7
คุณธรรม
130
ความชั่ว
694
ความโหด
1563
โพสต์ 2025-9-12 22:26:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด
เงาใต้ผืนน้ำ ณ ปี 1975

เสียงคลื่นเงียบเกินจริง เรือ Hai Long ลอยนิ่ง ราวกับไม่มีแรงโน้มถ่วงดาวหายไปจากท้องฟ้า

JI Tiandao ยืนอยู่บนดาดฟ้า มือไขว้หลัง สวมชุดสูทสีน้ำเงินลายนกกระจอกเทศ สีหน้าเรียบเฉย ดวงตาทอดมองผืนน้ำที่ไร้ชีวิต



“คลื่น... เจ้าหยุดทำหน้าที่ของเจ้าแล้วหรือ?”



          เขาก้มลงหยิบบุหรี่จากกระเป๋าในเสื้อสูท จุดไฟด้วยไม้ขีดที่จุดไม่ติดในทีแรก ลมไม่พัดเลย



“คืนนี้ไร้ลม ไร้เสียง ไร้สิ่งมีชีวิต มันคือค่ำคืนที่สมบูรณ์แบบ. สำหรับความตาย”



เสียงฝีเท้ารีบร้อน กลายเป็นเสียงน้ำกระเซ็นหนึ่งในลูกเรือกรีดร้อง แล้วเงียบหายไม่มีเสียงกระแทกไม่มีเสียงร่างกระทบทะเล


Ji Tiandao เดินลงไปชั้นล่างของเรือ ผ่านห้องนอนที่ประตูเปิดค้างไว้ เลือดหยดเล็ก ๆ นองอยู่หน้าห้อง เขาหยุดอยู่หน้ากระจก ดูเงาของตัวเองสลัวๆ ใน



แสงตะเกียงแวบหนึ่ง เงาสะท้อนของเขา "ยิ้ม" ทั้งที่เขาไม่ได้ยิ้ม และเขาก็เดินสำรวจตัวเรือ ประตูเหล็กของห้องเย็นเปิดออกอย่างช้า ๆ โดยไม่มีใครอยู่



ใกล้



Ji Tiandao เดินเข้ามา ยืนกลางห้องที่เต็มไปด้วยถังเลือด หูฉลาม และน้ำแข็งที่กำลังละลาย เขาหยิบเขี้ยวฉลามจากสร้อยคอขึ้นมาดู แล้วกระซิบ


“พวกเกก็แค่ปลาโง่ๆ ข้าคือเจ้าแห่งทะเลนี้ แล้วข้าจะเอาชีวิตของพวกแกทุกตัวด้วย”



ไฟในห้องกะพริบ แล้วดับสนิท เสียง “ขูด” โลหะดังขึ้นจากท้องเรือ เหมือนมีบางสิ่งใหญ่โตขูดผ่านจากด้านล่าง



Ji Tiandao เดินกลับขึ้นไปบนดาดฟ้าทุกอย่างเงียบ ไฟทุกดวงบนเรือดับลงโดยไม่มีเหตุผล จากผืนน้ำเบื้องล่าง “เงา” ขนาดมหึมาเริ่มโผล่ขึ้นช้า ๆ... ไม่มีเสียง



Ji Tiandao ยืนอยู่ที่หัวเรือ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องลอดเมฆลงมาเพียงเสี้ยวเดียว



“เจ้ามาช้ากว่าที่ข้าคิดนะ แต่นั่นก็สมกับพวกเจ้าดี...ช้า... ลึก... และรอคอยได้เป็นร้อยปี”



เงานั้นใหญ่กว่าตัวเรือหลายเท่า ไม่มีตา ไม่มีปาก แต่เต็มไปด้วย "เขี้ยว" คล้ายสัตว์ แต่ไม่ใช่ คล้ายวิญญาณ แต่ไม่ล่องลอย



เสียงน้ำแตกกระจาย บางสิ่งโผล่ขึ้นจากใต้ทะเลตรงหน้า Ji Tiandao



Ji Tiandaoถอดเสื้อคสูทออก เหลือเพียงเสื้อในเปื้อนเลือดฉลามเก่า เขากางแขน ยืนตรงหน้าเงานั้น ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย



“มาสิ... กลืนข้า แต่จงรู้ไว้ ข้าคือมนุษย์คนสุดท้ายที่เจ้าจะได้กลืน โดยที่เขา ‘ยิ้ม’ ให้กับเจ้า”



เงานั้นโอบเรือไว้ช้า ๆ คลื่นเริ่มกลับมา แต่เป็นคลื่นย้อนขึ้นฟ้า ฟ้าผ่าลงใกล้หัวเรือ แต่ Ji Tiandao ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น



Ji Tiandao กระซิบเสียงสุดท้าย

“ข้าไม่กลัวความตาย ข้ากลัวเพียงอย่างเดียว ว่าโลกใบนี้จะลืมว่าข้าเคยยิ้งใหญ่”

และในวินาทีต่อมา เงานั้นพุ่งเข้ามาโอบ Ji Tiandao เข้าไปในมวลมืดสนิท ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีการดิ้นรน ไม่มีอะไรเลย

รุ่งเช้า เรือ Hai Long หายไป ไม่มีแม้แต่เศษไม้ลอยน้ำ ชาวประมงคนหนึ่งรายงานว่า. เขาเห็น “ผู้ชายในชุดสีน้ำเงิน”ยืนอยู่บนน้ำกลางทะเล ก้มหน้ามองคลื่น. แล้ว

หายไปในหมอก








แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 9772 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2025-9-12 22:26
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่คู่สลักจันทรา
เกราะทองแดง
เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ
พู่กันคัดอักษร
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1
123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้