[บันทึกการเดินทาง] เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-12-28 16:33







焰影穹音




บันทึกการเดินทาง


[ เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน ]

ไม่อยู่ศาลสามเดือนเรื่องวุ่นวาย
โดนคนร้ายปองหมายถึงปลายฟ้า
ลำบากยากทุกวันเร้าอุรา
จะต้องหาหนทางมิจำนน

แต่ทว่าพบกลับตาลปัตร
อึ้งถนัดมิตรสหายนึกฉงน
ในภาพจำเรื่องราวเล่าจำนน
สหายตนพิศวาสคนคั่งแค้น

วันก่อนโน้นฟ้องร้องอย่างเดือดดาล
วันนี้หวานหยดเยิ้มมิซ่อนแฝง
ไปรักกันตอนไหนโปรดแจกแจง
ช่วยแถลงเหตุการณ์ให้ข้าที

เพราะรอบก่อนหวังฟ้องให้ถึงตาย
วันนี้หมายปั้นหยกเคียงราศี
เป็นยอดรักพิทักษ์ไร้ราคี
ถิงเว่ยนี้สุดคาดเดาไม่เข้าใจ
By. จางทัง ถิงเว่ย


ผู้บันทึก

หนาน หลินหยา

นักแสดงสมทบ

จางกงกง (จางห่าวหมิง)
จาง ทัง (ถิงเว่ย)

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 5632 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-22 23:14
โพสต์ 2025-10-25 01:20:07 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-10-29 10:29

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 21 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามโฉ่ว เวลา 01.00 น. เป็นต้นไป โรงเตี๊ยมซิงหมิง นอกเมืองฉางอัน จักรวรรดิต้าฮั่น

ยามโฉ่ว…ลมหนาวพัดผ่านกระเบื้องหลังคาเสียงดังกรอบแกรบ เหมือนเสียงกระซิบของปีศาจที่กำลังไล่ตามวิญญาณหลงทาง พระจันทร์กลมโตลอยต่ำเหนือโรงเตี๊ยมซิงหมิง แสงสีเงินไหลผ่านกระจกกระดานเก่า สาดเข้ามาในห้องพักผีเสื้อสุริยันวสันต์ ซึ่งหลินหยาจองไว้เพียงคืนเดียว ข้างเตียงมีขลุ่ยประจำตัววางพาดอยู่บนหมอนกลีบท้อ กลิ่นดอกชากับกลิ่นกฤษณาเจือจางในอากาศ เสียงฝนตกพรำที่หลังคาทำให้บรรยากาศเหมือนโลกหยุดนิ่ง หญิงสาวใต้ผ้าห่มขาวยังคงหลับนิ่งแต่ลมหายใจของเธอกลับไม่สม่ำเสมออย่างคนหลับลึก ความจริงแล้วเธอไม่ได้หลับเลยตั้งแต่หัวค่ำ


เสียงบางอย่างดังเบาๆ จากหน้าต่าง เสียงเหล็กขูดไม้และเสียงผ้ากระทบเบาๆ ทำให้แมวที่นอนขดอยู่ข้างเตียงสะดุ้งเงยหน้าก่อนจะหลบใต้โต๊ะในทันที เงาดำแทรกผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอย่างเงียบกริบ ร่างชายสวมชุดดำทั้งตัว หน้ากากปิดครึ่งใบ มีดสั้นเย็นเฉียบในมือสะท้อนแสงจันทร์วาววับ เขาเคลื่อนไหวอย่างผู้ชำนาญการลอบสังหารไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้า


มือข้างหนึ่งของนักฆ่าค่อยๆ ยกมีดขึ้นเหนือร่างหญิงสาวที่ดูเหมือนหลับสนิท แต่ก่อนที่คมมีดจะสัมผัสผิว เงาในเตียงกลับขยับราวกับวิญญาณรู้ล่วงหน้า หลินหยาคว้าหมอนขึ้นมารับคมมีดเต็มแรง เสียง “ฉับ!” ดังในความเงียบก่อนที่หมอนจะแตกขาด ขนในหมอนปลิวว่อนเหมือนหิมะโปรยในราตรี เธอพลิกตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ขลุ่ยไม้ในมือสะบัดฟาดเข้าเต็มขมับของชายชุดดำจนเกิดเสียงดังโป๊ก


เขาถอยหลังสองก้าวแต่ยังไม่ล้ม ทว่าหลินหยาไม่ปล่อยโอกาสนั้นให้สูญเปล่า ร่างของนางเคลื่อนไหวพลิ้วราวผีเสื้อแต่แรงปะทะกลับหนักเหมือนเหล็กนิล หมัดแรกอัดเข้าท้อง หมัดที่สองฟาดเข้าชายโครง เสียงกระดูกดังกรอบแกรบ ก่อนจะตามด้วยหมัดที่สามถึงสิบเก้าอย่างต่อเนื่องเร็วเกินตามสายตาคนทั่วไปได้ทัน จังหวะสุดท้ายหลินหยาเหวี่ยงเท้าหมุน 360 องศา เตะเข้ากรามอีกฝ่ายเต็มแรงจนร่างนักฆ่าหงายหลังฟาดพื้นดังสนั่น


ฝนด้านนอกยังไม่หยุดตก แต่ตอนนี้เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงลมหายใจของหญิงสาว เธอหอบเบาๆ ผมหลุดรุ่ยเล็กน้อย ขลุ่ยไม้ในมือมีรอยแตกตรงปลาย เธอก้มลงดูร่างนักฆ่าที่หมดสติไปแล้วด้วยสีหน้าทั้งตกใจและหงุดหงิด


“เฮ้อ...หนักมือไปหน่อยสินะ” เธอพึมพำกับตัวเอง เสียงเบาจนแทบกลืนไปกับฝน “ใครกันแน่ที่ส่งเจ้ามา จะมาปล้นหรือมาฆ่า...” เธอกระตุกผ้าคลุมหน้าของชายชุดดำออกเผยให้เห็นใบหน้าขาวซีด มีรอยสักรูปประหลาดแต่คุ้นเคยตรงต้นคอ หลินหยาขมวดคิ้ว “...เฮ้อ งั้นก็พวกมันอีกสินะ” ที่บอกเช่นนั้นเพราะหลังจากที่นางเปิดความสัมพันธ์กับจางกงกง ก็มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกับนาง


นางเดินไปจุดตะเกียงไฟเพิ่มจนห้องสว่างขึ้นเล็กน้อย แสงสะท้อนบนมีดสั้นที่ตกอยู่บนพื้น เธอเก็บมันขึ้นมาพลิกดูกลิ่นโลหะเย็นเฉียบยังติดปลายคม


หลินหยาหันไปมองหน้าต่างที่เปิดอ้า ลมฝนสาดเข้ามาจนพื้นเปียก เธอเดินไปปิดช้าๆ ดวงตาเป็นประกายระวังระไว เธอรู้ดีว่าในโลกของผู้คนที่มีอำนาจ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ โดยเฉพาะการถูกลอบสังหารกลางยามโฉ่วเช่นนี้ และที่สำคัญ…จางกงกงอยู่ที่ฉางอัน ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้เรื่องนี้แน่


ยามโฉ่วที่ลมหอบฝนยังเกาะชายคาห้องพัก  “ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูสองครั้งดังแน่นคมราวปลายเข็มกระทบไม้ ก่อนเงาเท้าคู่หนึ่งจะถอยหายไปจากระเบียงอย่างไร้ร่องรอย ซองจดหมายสีงาช้างถูกสอดใต้ธรณีบานประตูเรียบร้อยประหนึ่งมือที่ทำงานนี้ชำนาญกว่าพ่อครัวหั่นผัก หลินหยาเงยหน้าเล็กน้อยจากการตรวจบาดแผลเสี้ยนไม้ที่ปลายนิ้ว รับซองนั้นขึ้นมาโดยใช้ปลายนิ้วก้อยเสยขอบมัน เป็นนิสัยของคนที่ไม่ยอมทิ้งรอยนิ้วไว้ให้ใครอ่าน แม้จะอยู่เพียงในโรงเตี๊ยมนอกเมืองก็ต้องระวังเมื่อนางต้องคอยเคียงกายคนอันตราย 


นางปลดครั่งพลับพลึงเห็นเส้นหมึกสีดำสนิทและลายมือคมกริบที่รู้จัก น้ำหมึกหอมจาง ๆ ของกฤษณาชั้นดีลอยขึ้นแตะแก้ม จางกงกงเรียกชื่อเธอสั้นกระชับไม่เสียคำ จากนั้นมีเพียงคำสั่งปลายเปิดว่าให้ไปพบที่ศาลาจื่อเถิงฮวาอย่างเร่งด่วน ท้ายจดหมายแนบแผ่นหยกเย็นเยียบเมื่อแตะผิว ขอบถูกเกลาเนียน ประทับตราเข้าสู่ตำหนักจงฉางชื่อชัดเจน ไม่มีช่องให้ทักท้วงตามธรรมเนียมราชสำนักสำหรับคนข้างนอก


“ท่าทางจะเรื่องใหญ่…แต่ข้ารู้ว่าการเคียงท่านไม่ใช่เรื่องง่าย” คิ้วเรียวของหลินหยาขมวดน้อย ๆ ก่อนคลายลงพร้อมลมหายใจสั้น เธอรู้กติกาดี…คนอย่างนางเข้าเขตวังหลวงไม่ได้ด้วยคำพูด แต่แผ่นหยกชิ้นนี้คือกุญแจที่ทำให้ประตูซึ่งชอบปิดใส่หน้าโลกภายนอกยอมขยับ นั่นแปลว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นจริงไม่ใช่เรื่องเล็กเสียด้วย 


นางเก็บจดหมายและแผ่นหยกเสียบซองผ้าด้านอก ใส่ผ่านอกซ้ายให้แนบหัวใจให้จำที่อยู่ จากนั้นคุกเข่าข้างเตียง ดึงหีบไม้เตี้ย ๆ ออกมาเปิดเพียงครึ่งฝา หยิบชุดสีน้ำแข็งสะอาดที่ตัดบางเบาแต่ซ้อนชั้นพอดี ใส่รวดเดียวแล้วรูดเชือกคาดเอวไหมให้แน่นพอจะวิ่งและต่อสู้ได้โดยไม่สะดุด ชายแขนเสื้อถูกพับครึ่งฝ่ามือเพื่อไม่ให้เปียกฝน ผมสีดำถูกรวบขึ้นด้วยปิ่นเงินเรียบ ติดดอกปั้นเซรามิกเล็กสีฟ้าจางคู่เดียวพอให้แสงจันทร์สะท้อน เลือกสร้อยคอเส้นบางห้อยหยกรูปหยดน้ำที่เบามือ แล้วหยิบขลุ่ยไม้กลิ่นหอมประจำตัวสอดแนบหลังเอวในมุมที่ชักไวที่สุด


นางกวาดตาไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว ตรวจหน้าต่างที่ถูกงัดทิ้งไว้เมื่อครู่ ปิดกลอนและเสียบลิ่มไม้ใหม่อีกชั้นเพื่อไม่ให้ใครย้อนมาเช็คผลงาน กล่องยาน้ำมันรักษาแผลถูกโยนเข้าถุงผ้าข้างเอว ขณะที่ปลายรองเท้าหนังอ่อนแตะแผ่นพื้นครั้งสุดท้ายก่อนก้าวออกสู่โรงเตี๊ยม ลมหายใจกลางคืนเย็นจัดแตะปลายจมูกให้ตื่นเต็มตา


“เยวี่ยเหยียนเรามีเรื่องแล้ว ขอโทษที่ต้องปลุกนะ” เสียงของหลินหยาเอ่ยเมื่อนางลงมาถึงที่พักม้าของโรงเตี๊ยม ใต้ชายคาของที่พักม้าเยวี่ยเหยียน ปีศาจม้าดำทมิฬกำลังยืนเงียบราวส่วนหนึ่งของความมืด ดวงตากลมลึกของมันมีประกายสว่างบาง ๆ คล้ายถ่านไฟที่กำลังจะคุ นางแตะสันคอมันเบา ๆ "ไปทำงานกันเจ้าม้าหนุ่ม" คำพูดของหลินหยาเอ่ย เยวี่ยเหยียนย่อขาหน้าให้เจ้าของขึ้นคร่อมโดยไม่ต้องใช้บังเหียน หลินหยาประสานเข่ารับสันหลังม้า ก้มตัวให้ต่ำยามลมฝนพัดเฉียง แล้วกดส้นเท้าแตะซี่โครงสองครั้งเป็นสัญญาณออกตัว


พื้นลูกรังหน้าลานโรงเตี๊ยมเปียกลื่นแต่เกือกเหล็กของเยวี่ยเหยียนกัดพื้นอย่างมั่นคง ทำนองเกือกเท้ากระแทกถนนกลายเป็นจังหวะเร่งเร้า ตึก ตึก ตึก พาร่างทั้งคู่พุ่งออกจากแผงเรือนมุงฟางสู่เส้นทางหลักมุ่งฉางอัน ไอฝนบาง ๆ ตีใบหน้าเหมือนผ้าแพรเย็น หลินหยากดตัวตามแรงลมเพื่อหลบสาดน้ำจากล้อเกี้ยวของคนเดินทางยามวิกาลที่หลงเหลือ สองข้างทางเป็นทิวต้นหญ้าปากทางทุ่งที่โน้มศีรษะรับฝนจนหนักไหล่ เหนือศีรษะเมฆแตกบางจุดเผยดวงจันทร์สีเงินซีดเหมือนเสี้ยวมีดที่ลับมาดี


เมื่อเข้าใกล้ตัวเมืองเธอก็มุ่งหน้าสู่วังหลวง ไฟคบเพลิงแนวกำแพงเริ่มเรียงเป็นสว่างวับวาวตามซอกประตูและป้อมเวร สายน้ำฝนไหลจากปูนปั้นสู่ร่องหินเป็นทาง เสียงสังข์เวรยามไกล ๆ ลอยมาเป็นระยะคล้ายคนกระซิบชี้ทิศ หลินหยาเอื้อมแตะแผ่นหยกที่อกแนบเสื้ออีกครั้ง ให้ความเย็นของมันเตือนสติว่าคืนนี้เธอไม่ได้ขี่ม้าเข้าไปด้วยชื่อของตน แต่ด้วยน้ำหนักของตราที่เปิดประตูทั้งหลายให้คลายกลอน


“หยุดก่อน” เมื่อถึงเชิงประตูวังหลวงชั้นนอก นางดึงเยวี่ยเหยียนชะลอเป็นจังหวะก้าวพอดีให้สายตายามเวรจับโครงร่าง เธอไม่เอ่ยคำ พลิกฝ่ามือยกแผ่นหยกให้แสงคบไฟเล่นเงาตราอย่างชัดเจน ท่าทางนิ่ง เรียบ และไม่ขอความกรุณา แค่นั้นก็พอสำหรับคนที่อ่านภาษาแห่งอำนาจออก ยามเฝ้าประตูแลกเปลี่ยนสายตากันวูบเดียวก่อนขยับหอกหลีกทาง โซ่เหล็กประตูยกขึ้นช้า ๆ เสียงครืดคราดดังก้องเข้าไปถึงช่องอก


เยวี่ยเหยียนก้าวผ่านธรณีหินที่ชื้นด้วยฝน หลินหยาไม่หันซ้ายขวาเกินจำเป็น สายตาชี้ไปตามถนนหลวงที่ทอดยาวสู่เงากำแพงชั้นใน สายน้ำฝนเริ่มเบาบางจนเหลือเพียงละอองเยือก เธอกดตัวต่ำลงอีกครั้ง เสียงกระซิบเบาเท่าใจคิดลอดไรฟัน "ไป" แล้วปีศาจม้าดำก็พุ่งต่อไปในจังหวะที่มั่นคง เร็วพอจะไปให้ถึงประตูวังหลวงโดยไม่เสียเวลา แม่นยำพอให้ทุกลมหายใจระหว่างทางเป็นดั่งหัวลูกศรตรงสู่เป้าหมายเดียว


ฝนบางเบาที่โปรยอยู่เหนือฉางอันเริ่มซาลงเมื่อหลินหยาขี่เยวี่ยเหยียนมาถึงหน้าประตูวังหลวง เสาไฟเรียงรายส่องแสงเหลืองสลัวคล้ายตาเฝ้ายามนับสิบจ้องมองผู้มาเยือนอย่างระแวดระวัง นางชะลอม้าให้หยุดตรงหน้าทหารเวร แล้วกระโดดลงอย่างเบา มือหนึ่งลูบแผงคอปีศาจม้าดำทมิฬเบา ๆ ก่อนฝากมันไว้กับคนเลี้ยงม้าประจำประตูพร้อมเหรียญเงินปิดปาก พอลมหายใจเย็นเฉียบปะทะปลายจมูก หลินหยาก็รวบชายแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย เดินตรงไปยังนายทหารเวรที่ยืนถือหอกยามอยู่ใกล้ซุ้มทางเข้า


“หยุดก่อนแม่นาง” เสียงเข้มดังขึ้นทันทีที่เธอก้าวพ้นระยะสองก้าว “ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่สตรีธรรมดาจะเข้ามาได้ ยามวิกาลเช่นนี้ยิ่งไม่มีข้อยกเว้น” หลินหยาหยุดนิ่ง ตีหน้าซื่อขึ้นทันควัน ดวงตากลมโตของนางฉายประกายเหมือนเด็กสาวที่หลงเข้ามาในที่ไม่ควร 


“ข้ามาพบท่านจงฉางชื่อเจ้าค่ะ” นางก้มศีรษะคำนับอย่างนอบน้อม “ได้ยินว่ามีการสอบคัดเลือกนางกำนัลรุ่นใหม่ด่วนให้รีบมาลงทะเขียน จึงเดินทางมาเพื่อเข้าทดสอบ” น้ำเสียงของนางอ่อนโยนไม่เร่งเร้า แต่แฝงจังหวะที่คนฟังไม่อาจปฏิเสธได้ง่าย ๆ


นายทหารเลิกคิ้วอย่างสงสัยแต่ก่อนจะพูดอะไรต่อ หลินหยาก็ยื่นสิ่งของในมือขึ้นมา แผ่นป้ายหยกของจงฉางชื่อที่มีตราประทับเข้าวังอย่างเป็นทางการ ดวงตาของเขาเบิกเล็กน้อย ก่อนยกมือรับด้วยความระมัดระวัง พลิกดูด้านหลังแล้วรีบโค้งศีรษะ “อ้อ...ที่แท้เป็นคนของท่านจงฉางชื่อเอง ข้าขออภัยที่เสียมารยาท เชิญด้านในได้เลย—ไม่สิ ขออภัย ข้าน้อยหมายถึง...แม่นางน้อย” เสียงฝีเท้าขันทีคู่หนึ่งดังขึ้นจากด้านใน นายทหารผายมือเรียกพวกนั้นไว้ “นำแม่นางผู้นี้ไปส่งยังตำหนักจงฉางชื่อ” เขาหันกลับมามองหลินหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพแบบงงงวย


ขันทีวัยกลางคนยกพัดไม้ไผ่ขึ้นคำนับ หลินหยาพยักหน้ารับบาง ๆ ก่อนเดินตามเขาเข้าไปอย่างสงบ ท่ามกลางความเงียบของยามราตรีที่มีเพียงเสียงรองเท้ากระทบพื้นหิน ทางเดินเข้าสู่ตำหนักด้านในทอดยาว มีสระบัวข้างทางสะท้อนแสงคบเพลิงบนผิวน้ำ นางมองเงาตัวเองสะท้อนพลางกลั้นยิ้มบาง นางกำนัลใหม่งั้นหรือ... คำโกหกนี้ออกจากปากได้อย่างราบรื่นเกินคาด แต่ถ้าไม่โกหก นางก็ไม่มีทางได้เข้าไปในวังหลวงอีก


ตั้งแต่วันที่นาง เผลอ ต่อยหน้าจางกงกงจนเลือดซิบ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็กลายเป็นสิ่งที่ใครแตะไม่ได้ เหมือนสายพิณที่ขึงแน่นจนพร้อมขาด ทว่ายิ่งนานไป ความโกรธในวันนั้นกลับกลายเป็นบางสิ่งที่นางไม่กล้าเรียกชื่อเต็มเสียง มันไม่ใช่เพียงความแค้น หากแต่เป็นบาดแผลที่เมื่อแตะเมื่อไรก็ยังอุ่นเหมือนเปลวไฟ…และหอมหวานเกินจะต้านทาน


หลินหยาเดินผ่านประตูชั้นในไปโดยไม่แสดงพิรุธ มือที่ถือป้ายหยกยังนิ่งสนิท สายตาหลุบต่ำในท่าทางของนางกำนัลที่ถูกฝึกมาอย่างดี ทั้งที่ความจริงแล้วนางเคยเป็นนางกำนัลเพียง 20 ชั่วโมง เท่านั้น 20 ชั่วโมงที่ทำให้นางได้เห็นความโหดร้าย ความลับ และความอ่อนแอในหัวใจของคนที่ทั้งรักและเกลียดในคราวเดียวกัน


ขันทีนำทางเหลียวกลับมาเห็นนางเงียบผิดปกติ จึงเอ่ยเตือนเบา ๆ “แม่นาง โปรดระวังพื้นเปียก”


หลินหยายกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย ยิ้มบางตอบ “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เพราะนี่คือทางเดิมที่นางเคยเดิน ทางที่เริ่มจากความแค้น และกำลังจะพาเธอกลับไปหาผู้ชายคนเดียวกันอีกครั้ง...ในฐานะที่ต่างออกไป เป็นผู้ถูกเรียกตัวแทนที่จะเป็นผู้หนีหนีเช่นดังเคย


ค่ำคืนสงบจนแม้แต่เสียงแมลงก็เหมือนกลืนหายไปในลมหายใจของวังหลวง เมื่อหลินหยาเดินตามขันทีที่ถือโคมเข้ามาในเขตตำหนักจงฉางชื่อ ความเงียบรอบตัวช่างหนักราวกับหมื่นสายตากำลังจับจ้องอยู่หลังม่าน ทุกย่างเท้าที่ก้าวไปบนพื้นหินเย็นชื้นเต็มไปด้วยกลิ่นกฤษณาเจือจางและความระแวดระวัง ศาลาจื่อเถิงฮวาเล็ก ๆ ตั้งอยู่ริมสระน้ำ ด้านหลังเป็นแนวไม้พุดขาวที่ปลูกเรียงอย่างประณีต ดอกที่ร่วงเกลื่อนพื้นกลายเป็นภาพเงาของหิมะในรัตติกาล ขันทีผู้นำทางหยุดยืนแล้วก้มศีรษะ “ถึงแล้วขอรับ” เขาถอยไปเงียบ ๆ ราวเงาเลือน หลินหยามองขึ้นไปเห็นเงาร่างหนึ่งในชุดสีแดงเข้มยืนอยู่ใต้แสงโคมกระดาษ ร่างสูงโปร่งของจางกงกงดวงตาคมกริบสะท้อนเงาจันทร์ มือข้างหนึ่งถือพัดขาวอีกข้างวางแนบหลัง ดวงหน้าเรียบนิ่งราวรูปแกะสลักแต่แฝงความกดดันที่จับต้องได้


นางก้าวขึ้นบันไดศาลาช้า ๆ ก้มคำนับพลางระบายยิ้มบาง “คำนับท่านจางกงกงเจ้าค่ะ” เสียงหลินหยานั้นนุ่มแต่มั่นคง เป็นจังหวะที่รอยยิ้มมุมปากของเขาขยับน้อยนิด “เสี่ยวหยา เข้ามาง่ายหรือไม่ หรือมีอะไรให้ลำบาก?” น้ำเสียงเหมือนถามเล่น แต่แววตากลับสอดแทรกการสำรวจละเอียดลึกยิ่งกว่าคำพูด


หลินหยาตอบด้วยแววตาขบขัน “ข้าบอกพวกทหารว่าจะมาสอบเป็นนางกำนัลน่ะเจ้าค่ะ เขาก็ให้ผ่านง่ายเสียจนข้าเองยังแปลกใจ” จางกงกงหัวเราะในลำคอ เสียงต่ำละมุนแต่ชวนให้ขนลุกตั้งชัน “ฮึ ตอนนั้นข้านำพาให้เป็นจริง ๆ ก็ไม่ยอมเป็น”


หลินหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาเธอเต็มไปด้วยประกายเจ้าเล่ห์ดังเช่นแม่แมวป่าที่ไม่เคยอยู่นิ่งให้จับตัว “หากข้าเป็นนางกำนัล คงได้เคียงกายองค์ชาย... แต่หากข้าไม่เป็น ข้าได้เคียงกายท่านไม่ดีกว่าหรือ?”


เขาชะงักไปชั่ววินาที ก่อนมุมปากจะยกขึ้น “เสี่ยวหยาเจ้าร้ายนัก” คำว่าร้ายของเขาไม่ใช่ตำหนิ หากแต่แฝงความเอ็นดูและยอมจำนนในเวลาเดียวกัน ทว่ารอยยิ้มนั้นค่อย ๆ จางหายกลายเป็นเงาหนักบนใบหน้าขาวซีด ดวงตาเรียวยาวของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที “เจ้าถูกลอบทำร้าย...กี่ครั้งแล้ว ตั้งแต่วันเกิดนั่น” หลินหยาหรี่ตาลงกับคำถาม คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน “สองครั้งเจ้าค่ะ คืนนี้เป็นครั้งที่สอง”


จางกงกงพยักช้า ๆ แล้วเดินไปยังโต๊ะหินกลางศาลา วางพัดลงก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำ “ข้าเดาว่าเป็นฝีมือพวกเดียวกันกับคนที่ขโมยเอกสารของข้าไป”


คำพูดนั้นทำให้หลินหยานิ่งไปทันที “เอกสาร?”


จางกงกงพยักหน้าเบา ๆ “เอกสารลับเกี่ยวกับงานของข้า เป็นบันทึกข้อมูลการเคลื่อนไหวของขุนนางกังฉินทั้งในและนอกวัง รวมถึงรายชื่อคนที่มีเอี่ยวกับศัตรูของฝ่าบาท… เอกสารนั้นคือกุญแจสำคัญที่ฮ่องเต้ทรงใช้ควบคุมสมดุลในราชสำนัก” เสียงเขาแผ่วลงแต่มั่นคงทุกถ้อยคำ “ข้ากำลังนึกสงสัยว่าใครกันที่ได้ไป ที่ข้าคิดมีหลายคนนัักและในนั้น...มีชื่อของจางทังด้วย” ชื่อที่หลุดออกมาทำให้หลินหยาชะงักทันที ความทรงจำอันเลือนรางแล่นกลับมา รอยยิ้มของจางทังวันที่เขาหายไปแ และคำถามที่นางมักจะถามจางกงกงแต่กลับไม่เคยได้รับคำตอบ มีเพียงความสงสัย ความขัดแย้ง ความเจ็บปวดที่ไม่เคยได้รับคำตอบ เธอขมวดคิ้ว “ท่านจางทังหรือเจ้าคะ?...เกี่ยวข้องด้วยอย่างไร ท่านเคยบอกว่าไม่ชอบเขา ไม่ใช่หรือ?”


“ข้าไม่เคยชอบเขา” จางกงกงตอบเรียบแต่กลับแฝงบางสิ่งเอาไว้ในคำ “แต่ข้าไม่เคยต้องการให้เขาตาย...ถ้าจะทรมารสักนิดก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร” เขาเหลือบมองออกไปนอกศาลา แสงจันทร์สะท้อนผ่านม่านฝนที่ยังโปรยบาง ๆ “วันนั้น...ที่เขาหายตัว ข้าต้องปกปิดเรื่องไว้เพราะข้าไม่อยากให้เจ้ามายุ่ง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยเชื่อคำข้า”


หลินหยายืนนิ่งมือแนบข้างลำตัวแน่น “ก็ท่านมันไม่น่าไว้ใจนี้เจ้าคะ…ท่านพูดเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือของท่าน”


“มันไม่ใช่” เขาหันกลับมามองเธอตรง ๆ น้ำเสียงเยือกเย็นแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น “ตอนนั้นข้าปิดความไว้เพราะมันเกี่ยวพันกับขุนนางกลุ่มหนึ่งที่ต้องการโค่นฝ่าบาท และตอนนี้พวกมันกลับมาอีกครั้ง...พร้อมเอกสารนั้น” สายลมยามค่ำพัดเข้ามาในศาลา เสียงผ้าคลุมของเขาไหวเบา ๆ หลินหยามองแววตาเขาแล้วรู้ทันทีว่าครั้งนี้เขาพูดจริง


“หากเอกสารนั้นรั่วไหล...” เขาเอ่ยต่อ น้ำเสียงต่ำลงจนแทบเป็นกระซิบ “มันจะไม่เพียงแต่ทำลายข้าหรือฝ่าบาท...แต่มันจะลากเจ้าลงไปด้วย”


“ข้า?” หลินหยาเบิกตาเล็กน้อย “เกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไรเจ้าคะ?”


“เพราะเจ้าคือคนเดียวที่พวกมันรู้ว่าเป็นจุดอ่อนของข้าอย่างไม่มีข้อสงสัย” จางกงกงเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “และนั่นคือเหตุผลที่มันจะไล่ล่าเจ้า ก่อนที่ข้าจะมีโอกาสปกป้อง” เขาก้าวเข้ามาใกล้หลินหยาหนึ่งก้าว ห่างเพียงระยะลมหายใจ ปลายนิ้วเรียวของจางกงกงแตะหลังมือเธอแผ่วเบา “เสี่ยวหยา ข้าต้องการให้เจ้าช่วย” เธอมองเขาอย่างระแวดระวังแต่ก็แฝงความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง “ช่วย...อย่างไรเจ้าคะ”


“ช่วยข้าตามล่าเอกสารนั้นกลับมา” เสียงของเขาสงบนิ่งแต่หนักแน่นราวคำสาบาน “เจ้ามีอิสระมากกว่าข้าเสี่ยวหยา การที่ข้าขยับตัวในตอนนี้อาจทำให้จางทังเป็นอันตราย ข้าจำเป็นต้องเชื่อใจใครบางคน และข้าเลือกเจ้า”


แววตาหลินหยาสั่นระริกชั่วขณะ นางรู้ดีว่าคำว่าเชื่อใจจากปากจางกงกงไม่ได้พูดง่าย ๆ เขาเป็นคนที่ไม่ไว้ใจแม้แต่เงาตัวเอง แต่กลับยอมพูดคำนี้กับนาง เธอสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยเบา ๆ “ข้าจะช่วย...แต่ขอให้ท่านสัญญาอะไรบางอย่างได้หรือไม่เจ้าคะ”


เขาเลิกคิ้ว “สัญญา?”

“ว่านี่จะไม่ใช่แผนอีกอันที่ข้าไม่รู้” เธอมองเขาตรง “และว่าท่านจะไม่ปิดบังข้าอีก”


รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนมุมปากซีดของจางกงกง ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความอ่อนล้าแต่แฝงความอบอุ่นอันน่าหวั่น “ข้าสัญญา...ในแบบของข้า” หลินหยาสบตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอื้อมมือไปแตะข้อมือเขาเบา ๆ “งั้นก็บอกมาเถิดเจ้าค่ะ จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้อยู่ที่ไหนกันแน่”


แสงโคมสั่นไหวบนผิวพรรณซีดจัดของจางกงกงจนดูคล้ายเคลือบด้วยน้ำค้าง เขาพยักหน้าช้า ดวงตาคมกริบเหมือนคมมีดที่เพิ่งลับใหม่ “ข้าจะส่งคนของข้าไปประกบ เจ้าเริ่มจากหอจิวหลิ่งอิน ระวังให้ดี ในนั้นอาจมีไส้ศึกซ่อนอยู่ ปล่อยให้ข้าจัดการส่วนที่ต้องเปื้อนมือ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้…อย่าได้กังวลไป” น้ำเสียงนุ่ม แต่ในนวลนั้นตึงแน่นด้วยอำนาจที่คุมสนามให้เงียบลงทั้งศาลา


หลินหยาพยักหน้ารับ แววตาโค้งเป็นรอยยิ้มวาววับ “ข้าจะไปเมื่อฟ้าสางเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องห่วง ข้าดูแลตัวเองได้ ท่านเองก็เหมือนกันอย่าทำให้ข้าต้องกลับมาปรามท่านนะเจ้าคะ” นางขยับเข้าใกล้แค่ระยะลมหายใจ แตะปลายนิ้วกับขอบพัดในมือเขาราวกับสะกิดเส้นประสาทให้ตื่น “หากที่นี่ไม่ใช่ตำหนักในวัง ข้ากอดท่านไปแล้ว…ข้าคิดถึงท่านนะเจ้าคะ”


รอยยิ้มของจางกงกงกระตุกขึ้นทีละเสี้ยว ดวงตายาวเรียวทอประกายอันตรายปนอบอุ่น มือเขาเลื่อนจากสันพัดลงมาเหมือนจะประคองกรอบหน้าของนางขึ้นจูบอย่างไม่สนหน้าอินหน้าพรม ท่วงท่าอ่อนช้อยแต่แฝงแรงครอบครองที่คมชัดกว่ามีดพิธี หน้าผากเขาโน้มลงเพียงคืบ ไหล่ผ้าสีแดงปักดิ้นทองไหววาบสะท้อนแสงโคมเหมือนไฟจะติด ทว่าหลินหยาหลับยกมือแตะอกเขาเบา ๆ ดันไว้พอดีองศา “ห้ามทำเจ้าค่ะ” นางเชิดคางน้อย ๆ แววตากึ่งล้อกึ่งเตือน “ไว้รอบหน้า ถ้าท่านทำตัวดีข้าจะให้ทำ” ปลายเสียงหวานจัดจนกัดลิ้น แล้วนางก็ถอยฉากอย่างแมวที่ชำนาญหลังคา ทิ้งระยะให้เขาคิดถึงโดยเจตนา


จางกงกงหัวเราะในลำคอแผ่วต่ำ “กล้าต่อรองกับข้าเช่นนี้ มีเพียงเจ้า เสี่ยวหยา” พัดในมือเขาหุบแนบข้างลำตัว ดวงตายังไม่ยอมปล่อยร่างนางจากกรอบสายตา “ตอนเช้าจะมีคนตามเจ้าไว้ เจ้าไม่ต้องกังวนเมื่อเจ้าเห็นแล้วจะรู้เอง” เขาเอียงหน้าเล็กน้อย เสียงทุ้มหยุดที่คำสุดท้ายเหมือนตราประทับ “และหลินหยา อย่าลืมว่าเจ้าคือของข้า”


หลินหยายิ้มแสนหวานจนความหวานนั้นกลายเป็นหนามยอกใจจงฉางชื่อ “ของตัวเองก่อนเถิดท่าน แล้วค่อยอ้างสิทธิ์คนอื่น” นางค้อมศีรษะพองาม รับคำสั่งโดยไม่แสดงท่าทีว่าจะยอมให้ใครคุมมากกว่าที่ควร “พบกันคราวหน้าเจ้าค่ะ ท่านจงฉางชื่อ” นางหมุนกาย ผ้าสีน้ำแข็งเคลื่อนไหวเหมือนคลื่นในชามหยก ก้าวลงบันไดศาลาด้วยฝีเท้านิ่งและเร็วพอดี ลมกลางคืนพัดพาเอากลิ่นกฤษณาจาง ๆ ของนางให้ย้อนกลับไปหาคนที่ยืนมองอยู่ จางกงกงยืนนิ่ง ปลายนิ้วของเขาที่ถูกปฏิเสธเมื่อครู่ยังคงอุ่นด้วยความปรารถนาที่ถูกหยุดครึ่งทาง ดวงตาคมกริบยิ้มไม่หมดแต่ขอบมุมปากตั้งใจแน่วแน่กว่าเดิม


ก่อนพ้นแนวเสา จางกงกงนั้นแล้วเฝ้ามองแผ่นหลังบางเฉียบลับเข้าเงาทางเดิน ราตรียังคงนิ่ง แต่ลมหายใจของศาลาจื่อเถิงฮวากลับอุ่นขึ้นหนึ่งจังหวะ พอให้รู้ว่าศึกใหญ่เริ่มนับเวลา และคนสองคนที่รักกันอย่างดื้อรั้นต่างเก็บความคิดถึงไว้อย่างมีระบบ เพื่อเอาแรงไปแทงกลางหัวใจศัตรูในยามเช้าที่กำลังจะมาถึง


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

(พาร์ทเสริม: เจ้าสัวโอวหยางเสนอ นำเอกสารที่คุณกำลังตามหาให้จงฉางชื่อมาให้เขา แล้วเขาจะมอบเงินให้ 800 ตำลึงทอง +3 หัวใจกับโอวหยาง แต่จะสูญเสียหัวใจจางทังและจางกงกง -20 ดวง โพสต์ 2025-10-25 09:30
หลังแยกกับจางกงกงไม่ทันออกจากฉางอัน ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปตะวันออกคุณพบเจอเกี้ยวหรูหรามาดักรอ ก่อนเจ้าสัวโอวหยางลงมาจากเกี้ยว  โพสต์ 2025-10-25 09:29
โพสต์ 91535 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-25 01:20
โพสต์ 91,535 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-10-25 01:20
โพสต์ 91,535 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว จาก ตำราขนมหวานสูตรลับ  โพสต์ 2025-10-25 01:20
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x4
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x70
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-10-27 08:08:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-10-29 10:29

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 21 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเฉิน เวลา 07.00 น. เป็นต้นไป ณ หอจิวหลิ่งอิน (หอข่าวสารราชการลับ) ฉางอัน จักรวรรดิต้าฮั่น

แสงเช้าไหลทาบหลังคาอิฐหอของนครฉางอันเป็นริ้วทองจาง ๆ ทางเดินขึ้นหอจิวหลิ่งอินทอดผ่านแนวไม้หนาทึบที่พรางสายตาผู้คน ดวงโคมเล็ก ๆ ระยิบอยู่ตามเรือนยอดเหมือนหิ่งห้อยถูกบังคับให้เป็นดาวถาวร หอสูงสร้างด้วยหินขัดสีเทาอ่อนตัดด้วยคานไม้เข้ม เรียบ ดุจสุสานของความลับทั้งแผ่นดิน แต่ภายในกลับอบอุ่นด้วยกลิ่นหมึกสดและกฤษณา หลินหยาก้าวผ่านธรณีพร้อมเซียนเฉ่าหมาปีศาจสามหัวที่ยอมทำตัวเป็นร่างหมาน้อยร็อตไวเลอร์หัวเดียว ตากลมแบ๊ว หน้าเชิดนิด ๆ แบบลูกคุณหนู รสนิยมสูงที่กำลังอยากจะบอกว่าตัวเองจะยอมเดินเฉพาะทางหินสะอาด นางถอนใจเบา ๆ เพราะรู้นิสัยมันดี เขี้ยวจริงแต่เรื่องมากเหลือใจ


คนของจางกงกงรออยู่แล้วพวกเขานั้นเงียบและเรียบร้อย ใบหน้านิ่งเสียจนเหมือนเขียนด้วยพู่กันบางเส้นเดียว พวกเขาถอยให้พื้นที่นำชาหอมมาเทให้หลินหยาและเสนอห้องบันทึกหมายสำหรับผู้ที่ได้รับอนุญาตเพื่อให้หลินหยาได้ตรวจเอกสารตามต้องการ พวกเขาไม่มีคำถามมีเพียงสายตายอมรับคำสั่ง นางพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ทั้งหมดถอย เหลือเพียงเธอกับเซียนเฉาในห้องเอกสารชั้นรองแสง กระดาษไผ่เรียงอยู่ในลิ้นชักและชั้นหีบ หมึกประทับตราจิวหลิ่งบนมุมผืนละมุนเหมือนรอยนิ้วมือของราชสำนัก


หลินหยาวางขลุ่ยไว้ชิดมือ เปิดแฟ้มรายชื่อขุนนางฝ่ายในที่เพิ่งส่งเข้ามาตอนอรุณ ไถสายตาตามรหัสและสัญญะที่คนของจางกงกงใช้ นางจดจำตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวก่อนปิดลงอย่างนิ่งสนิท เซียนเฉ่ากระดิกหู หยุดหาวกลางคัน ขนหลังค่อย ๆ ตั้ง อากาศมีรสแปลกสำหรับมันเป็นรสของคนที่แกล้งไม่มีเงาแต่ทิ้งน้ำหนักบนพื้นจนกระถางธูปสั่นชั่วเสี้ยวคำ


“เจ้าอยู่ตรงนั้น ข้าก็รู้อยู่ดี” หลินหยาเอ่ยเรียบ ๆ ไม่แม้แต่เงยหน้า ขลุ่ยกลอกแนบฝ่ามือ


สิ้นคำเงาแยกออกจากเสาไม้ ชายหนุ่มในอาภรณ์ขุนนางเนื้อแพรแพง ก้าวออกมาช้า ๆ ไม้เท้าปลายประดับหยกชนพื้นหินเป็นจังหวะคม ใบหน้าหล่อเหลาราวภาพเขียนหมึกจีน ผมดำยาวรวบด้วยปิ่นสีชาด แววตาหยิ่งเย็นเสียจนห้องทั้งห้องดูต่ำต้อยลงครึ่งช่วง เขายิ้มเพียงมุมปาก ยิ้มแบบคนที่เชื่อว่าราคาเสื้อผ้าคือเหตุผลให้ทุกคนต้องก้มศีรษะ


“ท่านเป็นใคร” หลินหยาถามสั้น ไม่เอ่ยคำนำหน้า ไม่ปรับระดับน้ำเสียงให้สูงต่ำตามยศ


ชายผู้นั้นยกหัวคิ้วนิดเดียว รอยยิ้มกลับคมขึ้นราวกลับตัวเองเป็นต่อ “แม่ค้าตัวน้อยไม่ควรจดจำชื่อข้า เพราะงั้น…ตายซะ” ถ้อยคำยังไม่ทันจบ เงาสี่สายก็ผละจากแผงฉากนักฆ่าชุดดำเต็มยศ ย่างเท้าเข้าประชิดในมุมจำกัดอย่างคนรู้ฝีมือพื้นที่หอ เสียงไม้เท้าชุดแรกฟาดวืด ไม่ใช่ไม้เท้า หากเป็นสัญญาณ หลินหยาไม่ถอย นางขยับครึ่งก้าวให้บัวผ้าเฉียดปลายมีดนักฆ่าคนแรกพอดี จังหวะเดียวกันขลุ่ยซุนสะบัดจากสะเอวฟาดโฮมรัน เข้ากลางกระหม่อมอย่างสะอาด เสียง “โป๊ก” ดังนิ่งเหมือนเคาะถ้วยหยก คนแรกทรุดเป็นเสาไม้ที่ถูกตัดโคน


คนที่สองบิดข้อมือแทงต่ำหวังทะลุซี่โครง นางกดขลุ่ยลงรับมุมมีดให้ไถไปตามลำไม้แล้วบิดข้อมือย้อน ฟาดสันปลายเข้าขอบกราม เสียงกระดูกก้องเป็นคำสารภาพสั้น ๆ ก่อนร่างจะล้มพับ เซียนเฉ่ากระโจนขวางแนวที่สาม เห่าเสียงต่ำเพียง “วู่ฟ” เดียวแต่แรงกดจากเงี้ยวปีศาจทำให้เข่าเป้าหมายแอ่น หลินหยาหมุนตัวหนึ่งรอบชายแขนเสื้อวาดโค้ง ขลุ่ยพุ่งอัดใต้อกที่สามจนลมหายใจขาดตอน ล่างสุดร่วงลงเหมือนถุงทราย คนสุดท้ายคิดหักจังหวะด้วยขว้างดาวเหล็กสองแฉกซ้อน หลินหยายกขลุ่ยขึ้นเพียงคืบ รับกระทบ “แกร๊ง” แล้วสะบัดสันลงบนข้อมือเปล่าของมัน มีดสั้นร่วงดังฉ่า เธอเติมหมัดสั้นสิบเก้าจังหวะลงท้อง แขน ซี่โครง เร็วพอให้เงาไม่ทันซ้อนทับ จากนั้นปิดท้ายด้วยเตะสันเท้าตรงสะบัก จนร่างดำปลิวไปชนชั้นหีบล้มระเนระนาด เอกสารสั่นไหวยังกำเรียงเดิม


ตอนนี้สี่คนสลบเรียงจนพื้นเหมือนพรมมนุษย์ เซียนเฉานั่งบนกองหนุนหน้าเชิดแบบผู้ดี แล้วเลียอุ้งเท้าตัวเองเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย


คิ้วของขุนนางหนุ่มกระตุก เขาขบกรามอย่างเสียหน้า “กะแค่สตรีตัวกระเปี๊ยก ยังจับไม่ได้” ไม้เท้ากดพื้น เสียงกังวานเป็นจังหวะออกศึก เขาพุ่งเข้ามาเอง ท่าทางเก็บสายแอบฝึกมาจากค่ายอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่แค่พวกขุนนางกระดูกกลวง


หลินหยาไม่ถอย ขยับเท้าหนึ่งก้าวจนปลายรองเท้าทับเงาเขาไว้พอดี คว้าจังหวะที่ไหล่เขาเปิด แล้วทุบขลุ่ยลงที่โหนกแก้มซ้ายอย่างแม่น รอยไม้เรียวยาวผลิบานบนผิวเหมือนเถาวัลย์แดง เขายังดื้อเงื้อศอกหวังปักร่องคาง นางรับด้วยสันขลุ่ยด้านหลัง ตีกลับที่บั้งซี่โครง เสียงหอบเปลี่ยนระดับเป็นฟืดฟาด แล้วเธอก็วาดปลายขลุ่ยลากเฉียงตั้งแต่ไหล่ถึงอกไม่ให้เลือดแตก แต่ให้ปวดลึกพอจำไปสามคืน ปิดท้ายด้วยเคาะกลางหน้าผาก “ติ๊ง” ดุจเคาะขันน้ำมนต์ ดวงตาเขาพร่าชั่ววูบ เข่าทรุดครึ่งช่วง แขนหลุดเรี่ยว


“ทีนี้ค่อยคุยรู้เรื่อง” หลินหยาประคองขลุ่ยพาดไหล่เหมือนไม่ได้ใช้มันเป็นค้อนเมื่อครู่ สายตาเย็นจัด “ชื่อ?” คำเดียวที่ออกมาจากสตรีที่ปกติจะร่าเริงเพราะมันหมายถึงความเป็นความตายเพื่อนและผู้ที่นางรัก หลินหยาเอ่ยแผ่วแต่มีน้ำหนักเหมือนตราไฟ


เขากัดฟันแบบคนที่ยังถือดี หลินหยาเลยถอนหายใจน้อย ๆ หันหน้าไปทางประตู “เข้ามาได้” ประโยคคล้ายพูดกับอากาศ แต่คนของจางกงกงสองนายก้าวลื่นเข้ามาเงียบกริบทันที ล็อคข้อมือขาเป้าหมายด้วยเชือกผ้าไหมเสริมเส้นเหล็ก กวาดอาวุธบนพื้นอย่างเป็นระเบียบ อีกสองนายตามมารับตัวนักฆ่าที่สลบ ชะลอหายใจ ตรวจชีพจรทุกคนยังอยู่ครบเพื่อใช้การได้


หลินหยาหันกลับมาหาขุนนางหนุ่ม ยิ้มบางเฉียบจนหวานกลายเป็นมีด “สองทาง เลือกเอง ทางหนึ่งตอบข้าให้หมด แล้วได้โอกาสหายใจช้า ๆ อีกทางไปห้องไถ่โทษของจิวหลิ่งอิน ตอบเหมือนกัน แต่อาจเร็วกว่า” เธอเอียงคอนิดเดียว “ข้าใจดีแค่ยามเช้า พอดีกำลังอารมณ์เสีย เป็นรอบเดือนอยู่” ขุนนางกังฉินผู้นั้นมองดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนคู่นั้น ชั่วขณะหนึ่งความหยิ่งที่พอกทับไว้ถูกเก็บเข้ากลีบปาก หลินหยาพยักหน้าให้คนของจางกงกง “เก็บกวาดให้เรียบร้อย พาไปห้องไถ่โทษ ถอดแหวน สร้อย ปิ่นป้าย ตรวจพิษทุกชิ้น อย่าให้ตายก่อนพูดครบ จดทุกคำ ส่งสำเนาเข้าตำหนักจงฉางชื่อ”


“ขอรับ” เงาในเครื่องแบบมืดก้มศีรษะพร้อมกัน ทำงานแยกย้ายคล่องราวละครซ้อมมาหลายร้อยรอบ เซียนเฉาลุกขึ้นกระดิกหางหนึ่งทีราวประทับตราเห็นชอบ ก่อนกลับไปนั่งสูงบนหีบเอกสารที่ตั้งตรงมุม เหมือนเจ้าอาณัติ หลินหยาปัดฝุ่นปลายขลุ่ยเบา ๆ ใส่ฝักผ้าแล้วมองแสงเช้าที่เลื่อนขึ้นตามบานหน้าต่างหิน ยามเฉินเพิ่งเริ่ม แต่คำตอบของเช้าวันนี้ได้เปิดปากตัวเองแล้ว เหลือเพียงคั้นให้ไหลออกมาทั้งหมด


ยามเฉินล่วงเข้ากลางสาย แสงแดดเช้าสาดทาบหน้าหอจิวหลิ่งอินจนลายหินขัดสีเทาอ่อนดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันเงาไม้หนาทึบยังคงพรางสายตาคนทั้งเมืองจากความลับที่ขังอยู่ภายใน ผ่านจากชั่วโมงไต่ถาม คนของจางกงกงยกบานประตูเล็กเข้ามา รายงานเสียงต่ำชัดถ้อยพวกเขาบอกว่าปากมันไม่ยอมเปิดแต่ร่องรอยชี้ไปลั่วหยาง หลินหยาฟังเงียบ ๆ เพียงพยักหน้า “เข้าใจแล้ว บอกท่านจงฉางชื่อด้วย ข้าจะออกจากฉางอันเดี๋ยวนี้ ถ้าเขากังวลเรื่องข้าอีก…ก็ให้ตามมาด้วยตัวเอง” คำสุดท้ายวางลงด้วยน้ำหนักแต่บ่งบอกว่าตอนนี้เธอจะไปจริง ๆ หวังว่าจางกงกงจะไม่หึงอีกนะ


นางออกจากหอข่าวสาร รวบชายแขนเสื้อขึ้นให้พอดีจังหวะการขี่ม้า แล้วก้มลงลูบหัวเซียนเฉ่า หมาปีศาจสามหัวที่แปลงเป็นลูกหมาร็อตไวเลอร์ ตาแบ๊วแต่ท่าทางคุณชายไม่ทิ้งลาย “กลับร้านข้า ปกป้องร้านกับไป่จิ่นหงและสวี่หลิว อย่าให้ใครแตะต้อง และคอยรับข่าวจากข้านะเจ้าตัวแสบ” เสียงนางนิ่งมั่น เซียนเฉาเงยหน้ารับคำพลางสะบัดหางทีหนึ่งแล้วเปลี่ยนฝีเท้าเป็นจังหวะ ดุก ๆ มุ่งสู่ตลาดตะวันออกอย่างรู้หน้าที่


หลินหยาขึ้นคร่อมเยวี่ยเหยียน ปีศาจม้าดำทมิฬกรีดลมหายใจเป็นควันเย็นจากปาก มันรับสัญญาณเพียงแตะส้นเท้าบาง ๆ ก็พุ่งออกจากแนวหอไปยังถนนหลวงที่ทอดสู่ประตูทิศเหนือ ฉางอันยามสายมีแสงสาดระยิบบนหลังคากระเบื้อง แตรเวรยามดังสั้น ๆ สองท่อนเป็นจังหวะเปลี่ยนผลัด ผู้คนหลบชายทางเมื่อเห็นม้าดำวิ่งเรียบเนียนเหมือนเงาเคลื่อนที่


กระนั้น ยังไม่ทันถึงธรณีหินของประตูเมือง เกี้ยวหรูสีครามประดับดิ้นทองลายเมฆก็มาหยุดขวางอย่างรู้จังหวะ ผ้าม่านไหมค่อย ๆ แหวก ชายวัยราวสี่สิบกว่าก้าวลงอย่างสำรวม ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะอาดตา จัดจ้านด้วยอำนาจที่ขัดจนเงาวับ ดวงตาคมมีประกายฉลาดกราย ๆ คล้ายยิ้มไว้ก่อน โอวหยาง เป่าเฉิง รองผู้ว่าการที่คนชมครึ่งเมืองและคนชังอีกครึ่งเมืองชอบเอ่ยถึงด้วยน้ำเสียงไม่เท่ากัน เขายกมือคำนับอย่างผู้ดีรอยยิ้มอุ่นพอดีคำสอนขงจื๊อ แต่ความเยือกเย็นแทรกอยู่ใต้รอยยิ้มอย่างเปิดเผยสำหรับผู้ที่ดูเป็น


“นี่หรือ…สตรีของจงฉางชื่อ”ขาเอ่ยเสียงนุ่มมีไหวพริบ ขยับตัวพอให้ดิ้นทองที่อกสะท้อนแดดวาบ “ข้ารู้ว่าแม่นางตามหาอะไร เอาอย่างนี้เถิด นำเอกสารนั้นมามอบข้า ข้าจะส่งต่อให้ท่านจงฉางชื่อเอง เงินตอบแทน…สักแปดร้อยตำลึงทองดีหรือไม่”


หลินหยาดึงบังเหียนชะลอม้า เท้าขาวนวลแอบบีบสันหลังเยวี่ยเหยียนให้หยุดนิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนงามกวาดมองเขาตั้งแต่ปิ่นที่หัวจนถึงชายอาภรณ์แพร ก่อนยิ้มบางเล็ก ๆ สีหน้าอ่อนโยนราวชวนคุยเรื่องอากาศ “หนึ่งสัปดาห์ ข้าทำเงินได้สองร้อยตำลึงทอง ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ราคาท่าน…น้อยไปนัก” น้ำเสียงของหลินหยานั้นไม่แข็ง ไม่ตะคอก แต่คมพอให้คำสุดท้ายจบเหมือนวางมีดลงบนโต๊ะ


เป่าเฉิงชะงักบางเบาก่อนหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะตัวละครที่คิดว่าตารางบนกระดานอยู่ในมือ “ปากกล้าดีนัก” แววตาเขาดูเธออย่างตั้งใจขึ้นนิดเดียว เหมือนบันทึกเส้นโค้งริมฝีปากเพื่อใช้ในวันหน้า


หลินหยาไม่เสียเวลาคุยกับเขาเธอช้อนสายบังเหียนหมุนข้าง มือรวบชายเสื้อให้เรียบ ตอบเขาเพียงสายตา “ข้าขอตัวเจ้าค่ะ” เยวี่ยเหยียนรับคำสั่งจากน้ำหนักกายที่เปลี่ยนแค่ครึ่งนิ้ว มันเบนข้างพาเจ้านายไถผ่านแนวเกี้ยวอย่างไม่เฉี่ยวชายผ้าแม้เส้นเดียว กลิ่นกฤษณาจาง ๆ และลมหายใจเย็นของม้าดำทิ้งร่องรอยไว้ให้แผ่นหลังของผู้มากด้วยบารมีได้สูดตาม


เป่าเฉิงยืนมองร่างสีน้ำแข็งที่ไกลออกไปทุกจังหวะเกือกม้า เขาหัวเราะเบา ๆ ไล่หลังอีกครั้ง เสียงนั้นนุ่มจนคนผ่านไปมานึกว่าเป็นมิตร ทว่าความคิดที่คมเหมือนมีดถูกเก็บเข้าแขนเสื้อแล้วเรียบร้อย ข้ารับใช้ข้างเกี้ยวโน้มตัวถามเบา ๆ ว่าจะให้ติดตามหรือไม่ เขาแค่มองท้องถนนแล้วส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่จำเป็น ปล่อยให้เธอเชื่อว่าถนนถึงลั่วหยางราบเรียบ…ยิ่งดี”


ด้านหน้า หลินหยาขยับตัวต่ำตามสันคอม้าขณะลมเหนือพัดกระทบใบหน้า ใบหูเยวี่ยเหยียนส่ายรับสัญญาณถี่สั้น นางแตะแผ่นหยกที่อกให้ชิดผิว เย็นพอเตือนใจว่าคนบางคนกำลังเดิมพันชีวิตเงียบ ๆ อยู่ในวังหลวง อีกคนยิ้มเย็นอยู่หน้าประตูเมือง และอีกเมืองหนึ่งกำลังรอคำตอบ “ไป ลั่วหยางกันเถอะ” นางกระซิบเบาเท่าลมหายใจ เยวี่ยเหยียนพุ่งผ่านธรณีประตูเหนือ ราวศรดำที่หลุดสายคัน ท้องถนนนอกกำแพงทอดยาวเป็นเส้นเงินกลางแผ่นดิน และทุกลมหายใจต่อจากนี้ หลินหยาจะเป็นคนกำหนดจังหวะเอง ไม่ใช่ใครหน้าไหนทั้งนั้น


[หลินหยา ออกจากฉางอัน มุ่งหน้าสู่ลั่วหยาง]


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

ที่ด่านตงกวน ด่านของฉางอันทางตะวันออก คุณเผชิญหน้ากับกลุ่มมือสังหารที่ถูกส่งมาชิงม้วนเอกสาร ข่าวลือว่าคุณได้เอกสารจากจางกงกงแพร่สะพัดไป  โพสต์ 2025-10-27 10:38
โพสต์ 49883 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-27 08:08
โพสต์ 49,883 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-10-27 08:08
โพสต์ 49,883 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว จาก ตำราขนมหวานสูตรลับ  โพสต์ 2025-10-27 08:08
โพสต์ 49,883 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-10-27 08:08
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x4
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x70
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-10-29 08:40:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-10-29 10:29

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 21 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเว่ย เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ณ เส้นทางระหว่าง เมืองฉางอัน ถึง เมืองลั่วหยาง จักรวรรดิต้าฮั่น

แดดบ่ายคล้อยทาบเขาหินสีเทาเป็นเงายาว ขอบฟ้าสะท้อนแสงจนลานด่านตงกวนวาวเหมือนกระดูกปลาแห้ง ลมแล้งพัดกรูผ่านช่องเขาเป็นเสียงหวีดบาง ๆ ราวเส้นด้ายตึง หลินหยากดตัวต่ำบนสันหลังเยวี่ยเหยียน ปีศาจม้าดำทมิฬที่ยังหอบไอเย็นจากปอดอย่างสม่ำเสมอ เห็นแนวป้อมหน้าด่านอยู่ไม่ไกลแปลว่าลั่วหยางอยู่พ้นไปอีกไม่กี่ชั่วยาม สองข้างเป็นหน้าผาพลันตก บันไดหินเก่าถูกแสงเคี่ยวจนซีด แต่ยังคมพอให้เท้าพลาดตกเลือด


เสียงฝีเท้าอีกพวกแทรกจากริมหินไม่ใช่ชาวเดินทาง ไม่ใช่ยามหลวง ท่วงท่าเงียบผิดธรรมดา สี่เงาดำก้าวออกมาขวางทางอย่างรู้จังหวะพอดี ไล่เรียงปีกซ้ายขวาและปิดหลังทางล่อ บนใบหน้ามีผ้าดำปิดจนเห็นเพียงดวงตาแคบเฉียบเหมือนรูเข็ม คนหน้าแบกคันธนูสั้น อีกคนถือโซ่เหล็กพันแขน สองคนหลังมีมีดสั้นคู่วาวสะท้อนแดด หลินหยาเพียงชะลอม้า ดวงตาสีน้ำตาลของเธอเหมือนรับรู้บางอย่างเบิกตาขึ้นนิดเดียวก่อนกลับราบเรียบเหมือนผิวน้ำ


“ส่งม้วนเอกสารมา” เสียงหนึ่งต่ำและขุ่น ดังก้องกังวานไปกับหน้าผา

“เอกสารอะไรหรือเจ้าคะ” หลินหยาพูดราบ ๆ ไม่ใส่เสียงสงสัยแม้ครึ่งคำ


หัวหน้ามือสังการกระตุกปาก “อย่าทำเป็นเฉไฉ จะให้ดี ๆ หรืออยากให้พวกข้าสั่งสอนเจ้าให้ยอมจำนน” อีกคนหัวเราะทึบ “แม่ค้าตัวขาวอย่างเจ้า เหมาะจะเป็นเมียมากกว่านักสืบเสียอีก” คำหยาบคายลอยบนอากาศแห้งเหมือนเขม่าดำจะเปื้อนทุกอย่างที่มันแตะ


หลินหยาถอนใจบางเบาเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางเหยียบส้นเท้าแตะซี่โครงเยวี่ยเหยียนให้หยุดนิ่ง ร่างนางเหยียดขึ้นบนอานอย่างสง่างาม มือขวาล้วงขลุ่ยซุนจากแนบเอวออกมาวางพาดบ่าดุจถือพัด “หากคำพูดมีราคา พวกเจ้าคงรวยกว่านี้นะเจ้าคะ” นางเอียงหน้าเพียงเสี้ยว “แต่น่าเสียดายนักที่คำของพวกเจ้าน้ำหนักเบากว่าเถ้าลมเสียอีกเจ้าค่ะ”


หัวหน้าแผดสัญญาณสั้นเพื่อเริ่มการต่อสู้ “นังแม่ค้าปากดี” โซ่เหล็กพุ่งมาก่อน เสียงหวดฉึบเฉียดอากาศ หลินหยาก้มครึ่งคืบ ปล่อยให้โซ่ผ่านกระหม่อมไป แล้วสะบัดขลุ่ยลง “เป๊าะ” ใส่ข้อมือผู้เหวี่ยงอย่างแม่น ข้อมือเขาชาเฉียบ โซ่หลุดแรงเฉื่อยตวัดพันข้อเท้าเพื่อนด้านข้างซ้อนกันเองจนเสียจังหวะ คนธนูสั้นฉวยโอกาสยิงเสียงสายดีดแผ่ว นางเพียงยกขลุ่ยเฉียงรับ “แกร๊ง” หัวศรสะบัดเฉียดแก้ม ทิ้งรอยเย็นเล็ก ๆ บนผิวเหมือนจูบของมีด แล้วกระทุ้งปลายขลุ่ยสวนเข้ากลางอกคนธนูแรงพอให้ลมหยุดครึ่งจังหวะ เข่าทรุดลงอย่างเสียฟอร์ม


อีกสองคนบุกประชิดเป็นกรวยคีบกุ้ง มีดคู่วาวฉวัดเฉวียนหวังเฉือนแขนเสื้อให้ติดเลือด หลินหยาหมุนเอวบนอานเคลื่อนไหวเหมือนน้ำลื่นจากไหล่เขาไปอีกไหล่ ฟาดสันขลุ่ย “โป๊ก” ที่โหนกแก้มคนซ้ายทันที เสียงกระดูกดังชัดเจนพอให้คนขวาชะงักหนึ่งกระพริบ นางฉวยช่องว่าง สะบัดข้อมือเปลี่ยนจับกลางท่อนไม้ ทิ่มปลายเข้าช่องท้องล่างแบบไม่ทำอวัยวะเสียหายแต่ตัดแรงเกร็ง คนขวาหอบงอตัวเป็นกุ้งโดนแช่น้ำร้อนฟันบดกันกรอด


โซ่เหล็กกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ฟาดหวังตวัดอานม้าให้หลุด หลินหยาชูขลุ่ยขึ้นรับเชือดแรง “ฉึบ” แล้วบิดขลุ่ยเป็นงัด โซ่สะท้อนกลับเข้ากลางหน้าคนเหวี่ยงเองดัง “ฉาก” ดั้งหักเลือดซึมทันควัน เธอตามด้วยหมัดสั้นยี่สิบจังหวะใส่ซี่โครงและท้อง เร็ว กะทัดรัด ไม่มีท่าทางเกินจำเป็น จากนั้นปิดงานด้วยเตะส้นเท้าที่ข้อพับทำให้เขาพับคุกเข่าตามแรงโลกโดยไม่ต้องขอร้อง


หัวหน้าที่เหลือถลึงตา คายฟันมีดใบเล็กออกจากปากหวังแทงซ้อน “เป็นวิธีที่หมาเลียแผลตัวเองสินะเจ้าคะ” หลินหยาก้มตัวต่ำจนผมแตะแผงคอเยวี่ยเหยียน พุ่งขลุ่ยเฉียงขึ้นรับคมเล็กให้เบี่ยงก่อนลากสันไม้ฟาดขมับอย่างพอดีแรง เสียงโลกเงียบลงครึ่งวินาทีแล้วร่างนั้นก็ล้มกลิ้งไปกับฝุ่น ดวงตายังค้างด้วยความเชื่อผิด ๆ ว่าผู้หญิงต้องช้ากว่าเสมอ


ฝุ่นบ่ายคลุ้งอยู่ชั่วลมหายใจ หลินหยายกขลุ่ยพาดข้อศอก ตรวจม้าก่อนออกเดินทางเจ้าเยวี่ยเหยียนยังนิ่งสนิท ตาดำสุกนิดหน่อยราวอยากวิ่งต่อ เธอก้มลงแตะแส้หนังเบา ๆ กับอานเป็นสัญญาณ “ดีมาก” แล้วจึงกวาดตาดูสี่ร่างที่ยังหายใจครบ ใช้การต่อสอบสวนได้ทุกตัว “เอกสารที่ข้ายังไม่มี คงยากจะยกให้ใครนะเจ้าคะ” นางพูดกับก้อนสติที่ใกล้ดับใต้เท้าตัวเองมากกว่าพูดกับคน จงใจกระทืบส้นเท้าลงข้างมีดให้จมหิน ทิ้งสาส์นคร่าว ๆ ไว้กับพื้นหินของตงกวน ก่อนดีดตัวขึ้นอานในครึ่งคืบเดียว "ดูท่าทางการเดินทางของเราคงไม่ราบเรียบเสียแล้วเยวี่ยเหยียน" เธอเอ่ยก่อนที่จะลูบแผ่คอของมัน แล้วจากนั้นก็ขยับตัวเอาหัวสัมผัสแผงคอแล้วถ่ายทอดประสบการณ์และโอนถ่ายตบะให้เจ้าม้าหนุ่มเพื่อให้มันรับรู้ว่าการจัดการคนพวกนี้ต้องทำเช่นไร "เอาล่ะ ไปกันเถอะ"


หลินหยาบิดบังเหียน เยวี่ยเหยียนตอบเหมือนศรใต้สายคัน พุ่งฉวัดตรงไปทางลั่วหยาง เงาทั้งสองทอดยาวบนพื้นหินสีขาวซีด ลมบ่ายตีแก้มให้แสบอย่างสดชื่นและคมชัด นางไม่หันกลับไปมอง แต่รู้แน่ว่าเสียงสาปแช่งและความขายหน้าจะกระเพื่อมค้างในช่องเขานี้ไปอีกนานพอ ๆ กับรอยขลุ่ยที่ประทับบนกระดูกพวกมัน และถนนสู่ลั่วหยางในยามนี้ ราบเรียบเท่าความตั้งใจของเธอ ไม่มีใครหน้าไหนจะมาตั้งราคาแทนได้อีกต่อไปล


[หลินหยา อยู่ระหว่างการเดินทาง มุ่งหน้าสู่ลั่วหยาง]


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

มอบพลังแก่สัตว์อสูร 
 ใช้ได้เฉพาะคน Level Max เท่านั้น และ EXP ตัน 99 
 เปิดติดตามสัตว์อสูรและต้องปิดการใช้งานสกิลทั้งหมด 
 สัตว์อสูรจะได้รับ 99 EXP จากผู้ถ่ายโอน 
 (-50 ตบะฝึกฝน -99 EXP ในการถ่ายโอนพลังฝีมือแก่สิ่งมีชีวิต) 

 สรุปรางวัลที่ได้ : +500 คุณธรรม, +100 พลังใจ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 29188 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-29 08:40
โพสต์ 29,188 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม จาก ตำราขนมหวานสูตรลับ  โพสต์ 2025-10-29 08:40
โพสต์ 29,188 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-10-29 08:40
โพสต์ 29,188 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-10-29 08:40
โพสต์ 29,188 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-10-29 08:40
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x4
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x70
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-10-29 10:28:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 21 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามโหยว่ เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ณ เมืองลั่วหยาง จักรวรรดิต้าฮั่น

แสงสนธยากวาดปลายฟ้าลั่วหยางเป็นสีม่วงไหม้ ป้ายไม้ตามตรอกซอยเริ่มจุดโคม กระแสผู้คนหลั่งไหลราวสายน้ำที่เพิ่งหลุดเขื่อน หลินหยากดส้นเท้าชะลอเยวี่ยเหยียนให้ฝีเท้าเบาลงเมื่อเข้าสู่ถนนใหญ่ กลิ่นชาอุ่น ๆ จากโรงน้ำชา กลิ่นบะหมี่ซุปกระดูก และกลิ่นกฤษณาจากร้านเครื่องหอมคลอเคล้า ทว่ากลางเสียงคึกคักกลับมีความเงียบแข็ง ๆ แบบคมมีดแทรกตัวอยู่ นางกะจะสอดส่ายสายตาหาโรงเตี๊ยมที่พื้นไม้ไม่ชื้นและหมอนไม่มีกลิ่นอับ แต่เงาเคลื่อนไหวสี่สายก็ซ้อนทับเข้ามาโดยไม่ล่วงหน้า ฉับไวและไร้คำทักทาย


คนแรกพุ่งจากขอบชายคาเหมือนลูกศร คนที่สองโผล่จากท้ายเกี้ยวผ้า คนที่สามตัดมุมตรอกซ้าย คนที่สี่ตีกลับหลังร่มขนาดใหญ่ รูปขบวนปิดทางหนีอย่างมืออาชีพ ไม่มีเสียงขู่ ไม่มีคำถาม มีเพียงเจตนาของเหล็กและความมุ่งหมายแบบคนที่คิดว่าจบงานในหนึ่งลมหายใจ หลินหยาตวัดข้อมือเดียว ขลุ่ยซุนหลุดจากแนบเอวมาอยู่ในมือราวถูกเรียกด้วยชื่อ


เสียง “โป๊ก” แรกดังสะอาดกลางหน้าผากของคนบนชายคา ร่างนั้นร่วงปักร้านเกี๊ยวซ่าเป็นห่อไม้ คนที่สองยกมีดขวางแนว ปลายขลุ่ยของนางเฉียงรับคมแล้วไถลงกระดูกไหปลาร้า เขาชาไปครึ่งซีกก่อนถูกสันขลุ่ยเคาะปิดไฟ คนที่สามแทงต่ำหวังให้ม้าตื่น เยวี่ยเหยียนแค่ส่ายหัว ในขณะที่หลินหยาวาดปลายขลุ่ยกลับกรีดอากาศเฉียงขึ้น ฟาดเข้ากรามจนฟันกระทบกันดังกรอด ร่างทรุดเหมือนเสาบ้านผุ คนสุดท้ายใช้เชือกถ่วงเหล็กหวดหมายพันข้อมือเธอ นางยกขลุ่ยค้ำงัดแรงสะท้อนย้อนกลับเข้าหน้าเขาเองดังฉาด ก่อนนางจะเติมหมัดสั้นสองจังหวะเข้าท้องและซี่โครง ร่างนั้นปลิวไปกระแทกผนังดินอัดจนฝุ่นแตกฟุ้ง


ทุกอย่างจบในช่องไฟสามลมหายใจ ฝูงชนเพียงหรี่ตาแล้วทำเป็นไม่ได้เห็น ลั่วหยางรู้จักกฎทองของถนนดี ใครตายไม่ใช่เรื่องของฉันตราบใดที่ซุปในถ้วยยังร้อน หลินหยาแตะคอเยวี่ยเหยียนเบา ๆ ให้สงบ แล้วลากสายตาดูทั้งสี่ที่ชีพจรยังเต้นอยู่ ทุกตัวใช้การต่อสอบได้ นางสะบัดชายแขนเสื้อให้ฝุ่นหลุด กดขลุ่ยคืนแนบเอวแล้วคลึงแผ่นหยกที่อกหนึ่งทีให้ใจอุ่นขึ้นครึ่งองศา ก่อนขยับบังเหียนพาม้าดำทมิฬเลี้ยวเข้าสู่โรงเตี๊ยมที่ป้ายไม้แกะคำโคมกระดาษสีชาดสว่างกำลังดี กลิ่นฟางแห้งในคอกสะอาด ไร้กลิ่นชื้นเน่า


“ฝากเลี้ยงม้าด้วยเจ้าค่ะ ให้เขากินหญ้าดี น้ำหนึ่งถังใหญ่ ถั่วหนึ่งชามนะเจ้าคะ” นางวางเหรียญเงินบางสองเหรียญลงที่ถาดไม้ เด็กเลี้ยงม้ารับพลันยิ้มจนตาแคบ โผไปจัดคอกราวกับรับสัตว์เทพ หลินหยาลูบสันคอเยวี่ยเหยียนครั้งสุดท้าย “พักนะเจ้าม้าหนุ่ม” เสียงนุ่มนั้นพอแล้วสำหรับปีศาจม้าที่เชื่อคำ


ในห้องโถง กลิ่นชาเขียวและเนื้ออบลอยอ้อยอิ่ง นางเช่าห้องชั้นบนที่หันหน้าสู้ลม ไม่ชื้นไม่อับ หลินหยาจ่ายเงิยเงียบ ๆ รับกุญแจไม้สลักหมายเลขขึ้นบันไดไป เปิดบานหน้าต่างให้ลมเย็นยามโหยว่าพัดผ้าม่านสั่น จัดขลุ่ย วางมีดซ่อนไว้ใต้หมอนเชิง แล้วล้างมือในชามน้ำอุ่น กลิ่นผงเกลือสนทำให้ปลายนิ้วที่เคยจับความแข็งของกระดูกเมื่อครู่ค่อย ๆ คืนความอ่อนลง นางเอนตัวลงบนฟูกที่เตรียมไว้ หมอนสะอาดพอให้หลับได้โดยไม่โกรธใครเพิ่ม


ก่อนปิดเปลือกตา หลินหยาวางแผนในหัวอย่างมีวินัยเกี่ยวกับการหาข้อมูล


เช้าตรู่ไปตรอกถามเครือข่ายรับส่งข่าวก็น่าจะได้ สายสองไปถนนกลาง  เที่ยงแวะโรงชาฟังข่าวลือและกินขนม แผ่นหลังนางจมสู่ฟูกอย่างช้า ดวงตางามปิดลงสงบ ร่างกายรับรู้ความเมื่อยจากถนนยาวทั้งวัน ทว่าหัวใจยังนิ่งดุจคมมีดเก็บฝักพร้อมชักเมื่อฟ้าสาง ลั่วหยางด้านนอกยังคึกคัก แต่ห้องเล็กนี้เงียบพอให้หญิงสาวนักล่าความจริงยอมพักครึ่งยาม เพื่อให้แรงทั้งหมดกลับมาคมกริบในรุ่งขึ้นที่จะถึง


[หลินหยา เดินทางถึง ลั่วหยาง และพักผ่อน]


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 20,809 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-10-29 10:28
โพสต์ 20,809 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-10-29 10:28
โพสต์ 20,809 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-10-29 10:28
โพสต์ 20,809 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-10-29 10:28
โพสต์ 20809 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-29 10:28
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x4
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x70
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-10-31 06:46:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 22 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเฉิน เวลา 07.00 น. เป็นต้นไป ณ เมืองลั่วหยาง จักรวรรดิต้าฮั่น

แสงอรุณอาบเมืองลั่วหยางเป็นสีทองอุ่น ฟ้าหลังคาไม้เรียงเป็นระเบียบเหมือนคลื่นสงบในท้องสมุทร กำแพงเมืองยิ่งใหญ่ตระหง่านสะท้อนแสงตะวันราวกับอัญมณีขัดเงา เสียงระฆังยามเช้าจากวัดกลางเมืองดังแว่วเป็นสัญญาณเริ่มต้นวันใหม่ ผู้คนเริ่มทยอยเปิดร้าน พ่อค้าตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นซาลาเปานึ่งสดและชาใบอ่อนคลุ้งอยู่ทั่วตลาดกลางเมือง


หลินหยาเปิดบานหน้าต่างห้องพักในโรงเตี๊ยมที่เธอพักผ่อน สูดอากาศเย็นยามเช้าพลางขยับแขนไล่ความเมื่อยจากการเดินทาง เธอแต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายสีอ่อน ผมถูกรวบขึ้นอย่างเรียบร้อย ใบหน้าสดใสแต่แฝงแววระแวดระวัง ก่อนจะหยิบขลุ่ยไม้คู่ใจเสียบไว้ที่เอวแล้วก้าวออกจากห้องอย่างคล่องแคล่ว ทันทีที่เท้าน้อยก้าวออกจากประตูโรงเตี๊ยม สายลมยามเช้าแผ่วผ่านปลายผม เธอเหลือบเห็นบางสิ่งสะท้อนแสงวาบอยู่ที่หลังคาฝั่งตรงข้าม สัญชาตญาณทำให้หลินหยาหยุดเท้าในทันที ก่อนเสียงฝีเท้าเบา ๆ จะดังขึ้นจากทั้งสี่ทิศ เงาร่างสี่สายพุ่งออกมาพร้อมกันจากหลังร้านชา ซุ้มประตู และรถม้าร้างข้างถนน ดวงตาของพวกมันเย็นชาไร้แววชีวิต มีเพียงเป้าหมายเดียว


เพื่อ…ฆ่าเธอ


หลินหยากรอกตาเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าพวกนี้อีกแล้วหรือ...ไม่เข็ดกันเสียทีนะเจ้าคะ” น้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนพูดกับเด็กดื้อ แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย


เธอหมุนข้อมือหนึ่งที ขลุ่ยไม้ซุนหลุดจากที่เอวมาอยู่ในมือ พวกนักฆ่าไม่พูดสักคำ แผ่พลังสังหารเต็มเปี่ยมพุ่งเข้าใส่ราวกับฝนเหล็กที่สาดซัดจากสี่ทิศพร้อมกัน ทว่าหลินหยาขยับตัวเบาเพียงปลายเท้า ขลุ่ยในมือนางเหวี่ยงหมุนดุจเงามังกร เสียง “ป๊าก!” ดังขึ้นเมื่อศีรษะของนักฆ่าคนแรกถูกฟาดเข้ากลางหน้าผากจนหงายหลังล้มไม่เป็นท่า


คนที่สองพุ่งมาในระยะประชิดหวังแทงมีดเข้าช่องท้อง หลินหยาเบี่ยงหลบข้างหนึ่งแล้วฟาดสันขลุ่ยใส่ซี่โครง เสียงกระดูกดัง “กรอบ” ก่อนที่ชายคนนั้นจะทรุดลงไปกองกับพื้น คนที่สามหวดกระบี่หวังฟันเฉียงจากด้านหลัง แต่หลินหยาแค่ขยับเอียงตัวแล้วใช้ปลายขลุ่ยทิ่มกลับเข้าที่ขมับของมันอย่างแม่นยำ ร่างนั้นสั่นไหวก่อนหมดสติไปโดยไม่ทันร้อง นักฆ่าคนสุดท้ายเห็นดังนั้นก็ชักมีดคู่ออกมา พุ่งเข้าใส่ด้วยแรงสุดท้าย หญิงสาวยกขลุ่ยขึ้นรับอย่างมั่นคง เสียงโลหะกระทบไม้ดัง “แกร๊ง” ก่อนที่เธอจะบิดข้อมือพลิกกลับ ฟาดปลายขลุ่ยใส่คางของมันเต็มแรงจนร่างหมุนคว้างลงไปกองกับพื้นเหมือนถุงทราย


ฝุ่นควันจากพื้นดินลอยคลุ้งอยู่เพียงครู่เดียวก่อนสงบ หลินหยาใช้ปลายขลุ่ยเคาะฝ่ามือเบา ๆ ปัดเศษฝุ่นออกจากชายเสื้ออย่างใจเย็น “คราวนี้สลบครบทุกคนแล้วเจ้าคะ ดี...จะได้ไม่ต้องเสียเวลา” นางก้มตัวลง มัดมือพวกนั้นด้วยเชือกจากข้างคอสัมภาระ เยวี่ยเหยียนที่เธอผูกไว้หน้าโรงเตี๊ยมส่งเสียงฮึ่มต่ำ ๆ อย่างระวังตัว เธอลูบสันคอมันเบา ๆ “ไม่เป็นไรเยวี่ยเหยียน ข้าไม่เป็นอะไร” ก่อนจะหันไปบอกกับยามเมืองที่วิ่งเข้ามาเมื่อเห็นเหตุการณ์


“แม่นาง ข้าน้อยเห็นเหตุร้าย รีบมาช่วยแต่ช้าไปหนึ่งก้าว ท่านปลอดภัยหรือไม่ขอรับ” นายทหารคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าตกใจ


หลินหยายิ้มบาง ก้มหัวเล็กน้อย “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าขอฝากคนพวกนี้ไว้กับท่านด้วย พวกมันติดตามข้ามาตั้งแต่เมื่อวาน คงคิดร้ายต่อข้าแน่เจ้าค่ะ รบกวนท่านช่วยจัดการเรื่องนี้ต่อ ข้าเชื่อว่าพวกท่านจะจัดการได้ดีกว่า”


นายทหารค้อมศีรษะรับ “ขอรับ แม่นางไม่ต้องกังวล พวกข้าจะจัดการเอง ขอขอบคุณที่ช่วยสกัดจับพวกมันไว้” หลินหยาพยักหน้ารับอย่างสุภาพ “เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” นางหันไปยิ้มเล็ก ๆ ให้เหล่าทหาร แล้วเดินจากไปอย่างสง่างามราวสายลม


เสียงเกือกม้าดังเป็นจังหวะเมื่อเยวี่ยเหยียนเคลื่อนไปตามถนนสายหลักของลั่วหยาง เมืองเริ่มมีชีวิตเต็มที่ ร้านผ้าไหมเปิดม่านให้เห็นลายงดงามจากตะวันตก พ่อค้าจากเปอร์เซียเสนอขายเครื่องประดับโลหะเงาวับ เสียงหัวเราะของเด็กและเสียงเจรจาต่อรองดังประสานกัน


หลินหยามองบรรยากาศรอบตัว พลางคิดในใจ “ถ้าเอกสารถูกขโมยมาที่นี่จริง ย่อมมีข่าวแพร่ในตลาดแน่...” นางกระตุกบังเหียนให้ม้าหยุดตรงแผงขายชาและขนม จากนั้นก็ลงจากม้า ก้าวเดินอย่างสงบเข้าไปในตลาดลั่วหยางอันคึกคัก เตรียมเริ่มต้นวันใหม่ในฐานะหญิงสาวนักสืบที่กำลังจะเปิดโปงความลับของแผ่นดินอีกครั้ง


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 26751 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-31 06:46
โพสต์ 26,751 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-10-31 06:46
โพสต์ 26,751 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม จาก ตำราขนมหวานสูตรลับ  โพสต์ 2025-10-31 06:46
โพสต์ 26,751 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-10-31 06:46
โพสต์ 26,751 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-10-31 06:46
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x4
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x70
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-10-31 10:06:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 22 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามอู่ เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป ณ เมืองลั่วหยาง จักรวรรดิต้าฮั่น

ยามอู่ที่แสงแดดกลางวันของลั่วหยางเริ่มส่องแรงจนพื้นถนนศิลาแผ่ความร้อนระอุเป็นคลื่นลม หลินหยาสวมหมวกไม้ไผ่ทรงกลมปีกกว้างเดินทอดน่องไปตามตลาดกลางเมืองที่คึกคักไปด้วยเสียงพ่อค้าเรียกลูกค้า กลิ่นขนมหวาน ชา ใบไม้แห้ง และเนื้อย่างลอยอบอวลไปทั่ว นางเดินดูของช้า ๆ พลางสอดหูฟังข่าวเกี่ยวกับเอกสารลับที่อาจมีคนพูดถึง แต่ตลอดครึ่งค่อนวันกลับไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงเจรจาซื้อขายทั่วทิศทาง


“เฮ้อ…” หลินหยาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนสายตาจะสะดุดกับร้านซาลาเปาไส้หมูเจ้าเก่า กลิ่นอบร้อนลอยมาเตะจมูกจนท้องน้อยร้องประท้วง นางจึงจ่ายเงินซื้อซาลาเปาลูกใหญ่หนึ่งลูก แล้วเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกข้างตลาดที่ค่อนข้างเงียบเพื่อจะได้ทานให้สบายใจ ในมือขาวนวลนั้นถือซาลาเปาอยู่ครึ่งลูก อีกคำเดียวเท่านั้นก็จะหมด นางกัดไปพลางคิดถึงเรื่องงานในหัว “เมืองใหญ่ขนาดนี้ ทำไมกลับเงียบผิดปกตินักนะ…” แต่ก่อนจะได้กลืนคำสุดท้าย เสียงฝีเท้าหนักสี่คู่ก็ดังขึ้นจากปลายตรอก


ชายฉกรรจ์สี่คนแต่งกายแบบนักเดินทาง แต่ทุกคนมีดวงตาคมเฉียบราวคนผ่านศึก ดาบข้างเอวขัดมันสะท้อนแสงแดดแสบตา คนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า “แม่นางหนาน หลินหยา ใช่หรือไม่ ข้ามาเพื่อพาตัวเจ้าไปส่ง”


หลินหยาเช็ดนิ้วจากแป้งซาลาเปาอย่างใจเย็น “ส่ง? ส่งไปที่ใดเจ้าคะ”


“แม่นางไม่จำเป็นต้องรู้” อีกคนตอบเสียงเข้ม “ตอนนี้มีผู้ต้องการตัวเจ้านัก หากไม่ไปด้วยกันดี ๆ คงต้องใช้กำลัง” อีกคนหัวเราะเบา เสียงทุ้มแฝงความลามก “แต่ไม่ต้องกลัวหรอก พวกข้าจะไม่ทำให้แม่นางมีร่องรอย”


หลินหยาขมวดคิ้ว มองพวกนั้นนิ่ง ๆ ก่อนพูดสุภาพแต่ชัดถ้อยชัดคำ “ข้าขอปฏิเสธเจ้าค่ะ”


พวกมันสบตากัน รอยยิ้มเหยียดมุมปากปรากฏแทบพร้อมกัน จากนั้นทั้งสี่ก็พุ่งตัวเข้าหาเธอในจังหวะเดียว เห็นชัดว่าทักษะพวกมันต่างจากนักฆ่าทั่วไป เป็นนักล่าเงินรางวัลที่ผ่านสนามจริง นางเบี่ยงตัวรับทันที ขลุ่ยไม้ที่พาดอยู่ข้างเอวถูกดึงออกมาหมุนในมือ เสียงหวีดของอากาศแหวกกระทบไม้ดัง “วูบ!”


ชายคนแรกโดนฟาดเต็มแรงที่ต้นแขนจนเสียงกระดูกดังกรอบ เขาทรุดลงโดยไม่ทันร้อง คนที่สองคว้าเชือกออกมาหมายจะพันตัวหลินหยา นางหมุนตัวเบี่ยงหลบแล้วสะบัดขลุ่ยขึ้นฟาดคางเข้าพอดี แรงพอให้ร่างหมุนตกไปกับพื้นอย่างนุ่มนวล คนที่สามก้าวเข้ามาเร็วพอสมควร ดาบเฉียดชายผ้า หลินหยายกขลุ่ยขึ้นรับ เสียงโลหะกระทบไม้ดังแกร๊ง แล้วนางใช้แรงบิดข้อมือกระแทกกลับเข้าหน้าอกตรง ๆ เสียง “ปัก” ดังหนักจนชายผู้นั้นหายใจติดขัด ถอยหลังไปสองก้าวก่อนจะล้มลง


คนสุดท้ายเห็นเพื่อนล้มเรียงก็เริ่มลังเล แต่ยังฝืนพุ่งเข้าใส่ด้วยความโมโห หลินหยาใช้จังหวะนั้นยกส้นเท้าสะกิดฝุ่นขึ้นบังตา แล้วใช้ขลุ่ยเคาะข้อมือเขาแรงพอให้หลุดอาวุธ จากนั้นจึงสะบัดสันไม้เข้ากลางหน้าผากจนเสียง “โป๊ก” ดังชัด ร่างชายผู้นั้นทรุดลงนอนหงายตาเหลือก 


หลินหยายืนนิ่ง หอบเบา ๆ แต่สีหน้ายังคงสงบ ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนมองไปรอบ ๆ อย่างระวัง “พวกนี้…ไม่ใช่นักฆ่าแน่ ท่าทางฝึกมาดีแต่ไม่มีเจตนาฆ่า คงอยากจับตัวข้าไปขายให้ใครบางคนสินะ...ใครกัน” นางพึมพำกับตนเองเสียงเบา เธอก้มลงมัดมือพวกมันไว้หลวม ๆ ด้วยเศษเชือกใกล้ตัวเพื่อไม่ให้ลุกตาม แล้วรีบสาวเท้าออกจากตรอกทันที หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยจากความสงสัยมากกว่าความกลัว “ใครกันแน่...ที่ต้องการตัวข้า”


ลมกลางวันพัดผมเธอปลิวเล็กน้อยเมื่อออกสู่ถนนใหญ่ของลั่วหยางอีกครั้ง เสียงพ่อค้าตะโกนขายของกลับมาแทนที่เสียงต่อสู้เมื่อครู่ ราวกับเหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้น หลินหยากระชับขลุ่ยที่เอวแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินต่อไปอย่างสงบ จนไม่อาจรับรู้ได้ถึงสายตาเย็นเฉียบแต่นุ่มนวลตามแบบหญิงสาวผู้อยู่ในเงามืดของอำนาจที่กำลังไล่ตามเงาของความจริงทีละก้าว

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 24391 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-31 10:06
โพสต์ 24,391 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-10-31 10:06
โพสต์ 24,391 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม จาก ตำราขนมหวานสูตรลับ  โพสต์ 2025-10-31 10:06
โพสต์ 24,391 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-10-31 10:06
โพสต์ 24,391 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-10-31 10:06
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x4
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x70
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-11-3 14:01:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 24 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามซวี เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ณ เมืองลั่วหยาง จักรวรรดิต้าฮั่น

สายลมเย็นยามสนธยาแผ่วผ่านตรอกเล็กของเมืองลั่วหยาง กลิ่นฝุ่นควันจากร้านก๋วยเตี๋ยวผสมกลิ่นไม้จันทน์จากโรงน้ำชาข้างทางแตะจมูก หลินหยาเดินอย่างเงียบงัน มือซ้ายถือขลุ่ยไม้สีเข้มแนบลำตัว ส่วนมือขวาลูบเชือกคาดเอวเบา ๆ ดวงตาคู่หวานหรี่ลงมองท้องถนนที่เริ่มมีเงาคนเคลื่อนไหวผิดปกติ เธอถอนหายใจแผ่ “วันนี้ก็อีกแล้วหรือ… ข้าชักเริ่มคิดว่าข้าเป็นเป้าซ้อมของพวกเจ้าเสียแล้ว” เสียงเธอแฝงรอยล้อเลียนแต่แววตาเยียบเย็นอย่างคนที่ผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน


ทันใดนั้นร่างในชุดดำสี่คนพุ่งออกจากเงาอาคารพร้อมเสียงหวีดของเหล็กที่แหวกอากาศ หลินหยาไม่ถอยแม้ก้าวเดียว เธอหมุนขลุ่ยขึ้นบังมีดคู่แรกแล้วพลิกข้อมือซัดด้ามไม้เข้ากลางอกอีกคน เสียงกระดูกแตกเบา ๆ ดังขึ้นพร้อมเลือดกระเซ็นชุ่มชายผ้า แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ตั้งหลักรับศัตรูคนถัดไป เงาวูบหนึ่งก็พุ่งลงจากหลังคา กระบี่สั้นสีดำวาวเฉือนเฉียบเป็นเส้นโค้งและแทรกผ่านอาวุธของนักฆ่าเหมือนผ่าฉีกผ้าไหมในพริบตา


“หลบไปข้างหลัง!” เสียงทุ้มเยือกดังขึ้นแฝงอำนาจ เงานั้นหมุนตัวลงพื้นอย่างมั่นคงเพียงหนึ่งก้าวก็ฟาดปลายกระบี่หักเข้าซี่โครงศัตรูอีกคน เสียงร้องขาดตอนดังสั้นก่อนร่างนั้นจะร่วงลงไปนอนแน่นิ่ง ความเงียบกลับคืนภายในไม่ถึงสามลมหายใจ


หลินหยาเหวี่ยงขลุ่ยลงพาดบ่าพลางหันมาจะขอบคุณผู้ช่วย แต่แล้วลมหายใจของเธอก็สะดุดทันที ดวงตาเบิกเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าใต้เงาแสงตะเกียงตรงหน้า “...ท่านจางทัง!?” เสียงเธอหลุดออกมาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความตกตะลึง


ชายหนุ่มในชุดขาวสะอาด ผ้าคาดเอวสีน้ำฟ้าอ่อนยังขยับไหวตามแรงลม เขาก้าวออกจากเงาไม้ มือถือกระบี่ที่เปื้อนเลือดเพียงปลายคม ใบหน้าคมสงบแต่แววตาเต็มไปด้วยคำถามที่เก็บไว้มานาน “หลินหยา... เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เสียงเขานุ่มแต่เด็ดขาดเหมือนเดิม


หลินหยายืนนิ่งครู่หนึ่งจ้องใบหน้าชายหนุ่มตรงหน้าราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เธอก้าวเข้าไปช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นปนดีใจ “ท่าน...ท่านอยู่ที่ลั่วหยางจริง ๆ หรือ?” เสียงนั้นเบาราวกลัวว่าหากพูดดังเกินไป ภาพตรงหน้าจะเลือนหายไปเหมือนฝัน “ข้า...ข้าเป็นห่วงท่านแทบแย่ ท่านรู้ไหมว่าท่านหายไปตั้งสามสี่เดือนเต็ม ๆ ข้าคิดว่า—” เธอหยุดคำไว้กลางคัน ก่อนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พยายามกลั้นความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาในอก “วันนั้นท่านยังไม่ได้กินข้าวกับข้าให้เสร็จเลยด้วยซ้ำ ข้านึกว่าท่านจะเป็นอันตรายเพราะข้าเสียอีก...”


จางทังมองหญิงสาวตรงหน้า เงาสีน้ำตาลเข้มของดวงตาเธอสะท้อนเปลวไฟจากตะเกียงข้างทาง เหมือนแสงนั้นสั่นระริกด้วยความรู้สึกจริงแท้ที่เขาไม่กล้ามองตรง ๆ มือที่ยังถือกระบี่อยู่ลดลงอย่างเงียบงัน ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่ใช่เช่นนั้นเลยแม่นาง ข้ามีความจำเป็นต้องออกจากฉางอันอย่างกะทันหัน เพื่อความปลอดภัยของบางคน...และของตัวข้าเอง ข้ารู้ดีว่ามันทำให้เจ้ากังวล ข้าก็รู้สึกผิดไม่น้อย แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจะจากไปโดยไม่บอกลา”


“ไม่บอกลา?” หลินหยาขมวดคิ้ว ใบหน้าอ่อนหวานที่เคยยิ้มกลับดูเย็นลงเล็กน้อย “ข้าจำได้ว่าไม่มีใครบอกอะไรข้าเลยสักคำ ท่านคิดว่าข้าจะเชื่อได้ยังไงว่าท่านปลอดภัย?”


จางทังนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดอย่างระมัดระวัง “ข้าฝากคนไปบอกแล้วมิใช่หรือ... ชายคนนั้น...”


คำพูดนั้นทำให้หลินหยายกแขนขึ้นกอดอก ดวงตาหรี่ลงอย่างสงสัย “ท่านหมายถึง...ท่านชายห่าวหมิงหรือไม่?” น้ำเสียงของเธอเริ่มเย็นเฉียบ ชายหนุ่มชะงักอย่างเห็นได้ชัด แม้แววตาจะยังสงบ แต่ริมฝีปากกลับกระตุกน้อย ๆ ก่อนตอบช้า ๆ “ใช่...เขานั่นแหละ”


“หึ” หลินหยาหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นฟังดูไม่ใช่ขบขัน หากแต่แฝงทั้งเหนื่อยใจและประชด “ท่านเลือกฝากข่าวกับเขา? ช่างเลือกคนได้ดีเสียจริง...” เธอส่ายหน้าเบา ๆ พลางถอนหายใจ ก่อนสายตาจะอ่อนลงเมื่อเห็นสีหน้าจางทังที่ดูอึดอัดเหมือนอยากอธิบายอะไรบางอย่างแต่ยังไม่กล้า ชายหนุ่มจึงรีบเบี่ยงเรื่องทันที “แล้วเจ้าเล่า หลินหยา...เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ลั่วหยางไม่ใช่เมืองที่เจ้าควรมาเพียงลำพัง”


หญิงสาวเหลียวมองซากศัตรูที่ยังนอนเกลื่อนพื้น พลางเอื้อมหยิบผ้าเช็ดมือขึ้นเช็ดคราบเลือดบนขลุ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าว่าเดี๋ยวค่อยอธิบายดีกว่าเจ้าค่ะ ที่นี่มีกลิ่นพวกมันเต็มไปหมด พูดมากไปก็เสียเวลา...ตามข้ามาเถิด ไปที่โรงเตี๊ยมของข้า ข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่างเอง” แววตาเธอเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาอย่างฉับพลัน จางทังพยักหน้า เขาเก็บกระบี่หักเข้าฝักเรียบร้อยก่อนหยิบหมวกปีกกว้างขึ้นสวมปิดบังใบหน้า สีผ้าขาวของอาภรณ์ที่เขาสวมโดดเด่นเกินกว่าจะเดินในยามค่ำโดยไม่เป็นเป้า ทั้งสองจึงรีบออกจากตรอกอย่างระวัง ฝีเท้าเบาและเงียบราวเงา


ถนนในลั่วหยางเวลานั้นสลัวด้วยแสงโคมแดงจากร้านเหล้าและโรงน้ำชา สายลมหนาวพัดกลิ่นดอกเหมยปลิวผ่าน เสียงระฆังวัดดังจากที่ไกล เหมือนเตือนให้ผู้คนกลับที่พักก่อนยามห้ายจะมาถึง หลินหยาเดินนำหน้าโดยไม่พูดอะไร จางทังเดินตามอย่างเงียบงัน เขาเหลือบมองด้านข้างเห็นเธอกำขลุ่ยแน่นในมือราวกับถือดาบ และแววตาที่เคยสดใสในอดีตกลับแฝงความแข็งกร้าวของคนที่ผ่านศึกมามากกว่าที่เขาคิด


“สามเดือน...” เขาพึมพำเบา ๆ ขณะเดินตามเธอ “ข้าไม่คิดเลยว่าเวลาเพียงเท่านี้จะทำให้เจ้ากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้” 


หลินหยาเหลือบมองเขานิดหนึ่ง “ข้าไม่ได้กลายเป็นคนอื่นหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่คนบางคนทำให้ข้าเรียนรู้ว่า ถ้าไม่ปกป้องตัวเองก็ไม่มีใครจะปกป้องข้าได้ อีกอย่างข้าจะให้เขามาปกป้องข้าตลอดไปไม่ได้...”


จางทังไม่ตอบ แต่แววตาเขานิ่งลง ก่อนทั้งคู่จะเดินลับเข้าสู่ถนนซอยแคบที่มีป้ายไม้เล็ก ๆ เขียน เสียงฝีเท้าทั้งสองหยุดลงตรงหน้าประตูไม้เก่า ๆ ที่มีโคมดวงเดียวส่องแสงนวล หลินหยาหันมามองเขา “เข้ามาเถิด ท่านคงหิวแล้วสินะเจ้าคะ” จางทังยกมือแตะปีกหมวกเบา ๆ แล้วตอบเสียงเรียบ “เจ้ามีข้าวอุ่น ๆ ให้ข้ากินหรือไม่”


หญิงสาวยิ้มมุมปาก “มีเจ้าค่ะ...แต่ข้าคงไม่ได้ทำเองหรอก ข้าเหนื่อยจากการทุบหัวนักฆ่ามาทั้งวัน” เขาเผลอยิ้มบาง ๆ กับคำพูดนั้น ก่อนทั้งคู่จะเดินเข้าไปในเงาแสงอบอุ่นของโรงเตี๊ยมที่เงียบสงบ ทิ้งตรอกเลือดไว้เบื้องหลัง โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า การกลับมาพบกันครั้งนี้ของทั้งสอง จะเป็นจุดเริ่มต้นของเงื่อนงำที่โยงระหว่างเอกสารลับและคนของวังหลวงเข้าด้วยกันอีกครั้ง


ไฟในห้องพักของโรงเตี๊ยมส่องแสงอบอุ่นสะท้อนเงาผ้าม่านบางที่พัดไหวตามลมยามค่ำ กลิ่นชาอ่อนกับควันไฟจากตะเกียงทำให้บรรยากาศดูสงบต่างจากความวุ่นวายภายนอก หลินหยาวางขลุ่ยไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินไปบอกเจ้าของโรงเตี๊ยมให้ส่งอาหารมาที่ห้องแทน เธอไม่อยากให้ใครเห็นแขกของตนในคืนนี้ แม้แต่สายตาของคนรับใช้ก็ไม่ควรรู้ว่าชายในชุดขาวสะอาดผู้สวมหมวกปิดหน้าคือใคร ไม่นานนัก เสียงเคาะประตูดังเบา ๆ ตามด้วยกลิ่นอาหารร้อน ๆ ที่ลอยเข้ามาเมื่อเด็กใช้ยกถาดเข้ามาวาง หลินหยาโบกมือไล่ให้ไปพักก่อนจะปิดประตูและหันกลับมาหาชายที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ เขายังคงวางตัวสงบเยือกเย็นเช่นเดิม ใบหน้าแม้มีเงาหมวกปิดบัง แต่แววตาใต้เงานั้นกลับสะท้อนความคิดที่ซับซ้อน


“ท่านสงสัยว่าทำไมข้ามาที่นี่สินะ พอดี… ข้ากำลังทำงานอยู่เจ้าค่ะ” หลินหยาเริ่มต้นเสียงเรียบขณะรินชาให้ทั้งคู่ “ตามหาเอกสารบางอย่าง...เป็นเอกสารลับ”


จางทังเลิกคิ้วช้า ๆ ดวงตาคมสงบนั้นสะท้อนเปลวไฟในตะเกียง “เอกสารลับหรือ? แล้วใครเป็นคนมอบหมายเจ้าให้ทำ” หลินหยาหันไปสบตาเขาอย่างไม่ลังเล “จางกงกงเจ้าค่ะ” คำตอบนั้นทำให้จางทังนิ่งไป สีหน้าใต้หมวกขาวคมชัดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “...อะไรนะ?” น้ำเสียงที่มักสุขุมกลับแฝงความตกใจชัดเจน “เจ้าพูดว่าจางกงกง? เจ้าแน่ใจหรือหลินหยา?”


“แน่ใจสิเจ้าค่ะ” เธอตอบพลางยิ้มมุมปาก แต่แววตาแฝงแววเหนื่อย “ท่านคงแปลกใจสินะ ที่ข้ายอมรับงานจากคนที่ข้าเคยเกลียดนักเกลียดหนา”


“ไม่เพียงแค่แปลกใจ” จางทังพูดช้า ๆ “ข้ากังวลด้วยซ้ำ เขา...ทำอะไรกับเจ้าอีกหรือไม่?” น้ำเสียงนั้นอ่อนลงแต่ยังคงเข้มด้วยความห่วงใยเพราะเกรงว่าหลินหยาจะโดนหลอกใช้งานอีก หลินหยาหัวเราะในลำคอเล็กน้อย พ่นลมหายใจยาวเหมือนระบายความเหนื่อย “ทำไว้เยอะอยู่เจ้าค่ะ” เธอว่าพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ทั้งขู่ ทั้งหลอก ทั้งทำให้ข้าอยากฆ่าเขานับสิบครั้ง แต่สุดท้าย...ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้เขาหวงข้าจะตายชัก”


จางทังชะงักไปอีกครั้ง “หวง...?”

“ขี้หึงด้วยเจ้าค่ะ เห็นข้ามองชายคนอื่นก็แทบจะลากกลับเสียให้ได้”

มือที่จางทังจับถ้วยชาชะงักค้าง ความนิ่งสงบในแววตาเริ่มแตกพร่า “เจ้าหมายความว่า? ระหว่างเจ้ากับเขา...”


“อืม” หลินหยาเอ่ยเบา ๆ พลางยิ้มบาง “ข้ากับเขา...กำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่คนอื่นคงพูดยาก จะเรียกว่ารักก็ใช่ จะเรียกว่าคุมขังก็ไม่ผิดนักเจ้าค่ะ” สิ้นคำนั้นความเงียบงันชั่วครู่ก็ปรากฎ มีเพียงเสียงตะเกียงที่ลุกพรึ่บตามแรงลม จางทังถอนหายใจแผ่วเหมือนพยายามยับยั้งคำพูดที่ไม่ควรเอ่ยออกมา “ข้ากลัวว่าเขาจะใช้เจ้าเพียงเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง...หลินหยา เจ้ารู้ใช่ไหมว่าคนอย่างจางกงกงไม่เคยให้สิ่งใดโดยไม่คิดผลตอบแทน”


หญิงสาววางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ราวกับเข้าใจในความหวังดีนั้น “ท่านเถียนเฟิงก็พูดเช่นนี้เจ้าค่ะ มีแต่คนเป็นห่วงข้าเต็มไปหมด” เธอหัวเราะเบา ๆ “แต่ข้ารับได้เจ้าค่ะ เขาอาจไม่เหมือนคนอื่น แต่ข้าเข้าใจในวิธีของเขา” แววตาเธอนุ่มลงอย่างประหลาด ขณะพูดต่อเสียงแผ่วแต่ชัด “เอาเป็นว่าตอนนี้อาจยังไม่ชัดนัก แต่ท่านเชื่อเถอะ หากท่านเห็นเขากับข้าอยู่ด้วยกัน ท่านจะรู้เองว่า...เราสองเป็นอย่างไรกันบ้าง”


คำพูดนั้นทำให้จางทังนิ่งไปอีกครั้ง เขามองหญิงสาวตรงหน้าที่เคยอ่อนโยนสดใส กลับมีแววแข็งแรงและแน่วแน่จนเขาเองยังอ่านไม่ออก เขาลูบปลายคางเบา ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เช่นนั้นเอง…งั้นข้าก็มีอะไรที่เจ้าน่าจะตกใจบอกเจ้า…เอกสารที่เจ้าตามหา...ข้าคือคนที่นำมันออกมาเอง”


หลินหยาหยุดชะงัก ดวงตากลมโตเงยขึ้นทันที “อะไรนะเจ้าคะ...?”


จางทังพยักหน้าบ่งบอกว่ามันเป็นความจริง “ข้าเกรงว่ามันจะถูกใช้ในทางที่บิดเบี้ยวจากหลักยุติธรรม ข้าจึงเอามันออกมาและลี้ภัยมาอยู่ลั่วหยาง เพื่อหาทางคืนให้กับคนที่สมควรถือมัน” 


หลินหยามองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะแผ่วในลำคอ “เช่นนั้น...ข้ากับท่านก็กำลังไล่ตามสิ่งเดียวกัน แต่ในฐานะของคนละฝ่ายสินะ” เธอยกชาขึ้นจิบ แววตาฉายประกายเย้ยบาง ๆ “ท่านตามหาความยุติธรรม ส่วนข้าทำตามคำสั่งของคนที่หมายจะยืนอยู่เหนือมัน” เมื่อพูดจบจางทังก็เงียบมีเพียงเสียงลมหายใจของทั้งคู่ที่ผสมอยู่ในอากาศหนืดแน่นนั้น ความจริงเริ่มเผยเพียงเล็กน้อย แต่กลับหนักอึ้งเกินกว่าจะพูดออกไป 


แสงตะเกียงในห้องพักสั่นไหวตามแรงลมที่ลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ กลิ่นชาอุ่นที่เพิ่งรินยังลอยกรุ่นในอากาศ หลินหยาเอนตัวพิงข้างโต๊ะเล็ก มองจางทังที่ยังคงนั่งนิ่ง สีหน้าเขาสงบเยือกเย็นดังเดิม แต่ร่องแสงเหนื่อยล้าในดวงตากลับบอกได้ว่าเขาผ่านเรื่องหนักหนามาเพียงใด “ข้าไม่คิดจะแย่งเอกสารนั้นมาจากท่านหรอกเจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ยขึ้นเสียงนุ่ม แววตาเธออ่อนลงจากความแข็งกร้าวเมื่อครู่ “ท่านเป็นคนไว้ใจได้ ข้าเชื่อว่าท่านจะทำให้บ้านเมืองนี้ปลอดภัยได้จริง ๆ”


คำพูดนั้นเรียบง่าย ทว่าจางทังกลับชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาคมคู่นั้นสะท้อนแสงไฟนวลราวกับเงียบรับคำ เขามองหญิงสาวตรงหน้าที่พูดด้วยความจริงใจ เหมือนสายลมอ่อนที่พัดซึมเข้าไปในกำแพงใจของคนที่ชินชากับความเย็นชาในราชสำนัก


หลินหยามองเขาอย่างพินิจ สีหน้าของจางทังดูอ่อนแรงกว่าเดิม ขอบตาเข้มคล้ำราวกับคนที่พักผ่อนไม่เต็มอิ่มมาหลายคืน เธอยกมือขึ้นวางถ้วยชาใกล้มือเขา ก่อนพูดอย่างเบา “วันนี้ท่านพักให้สบายเถิดเจ้าค่ะ ข้าว่าท่านคงถูกตามล่ามาไม่น้อยไปกว่าข้าแน่ ต้องปลบซ่อนตัวอย่างลำบาก ข้าจะช่วยเท่าที่ข้าทำได้”


“ช่วยข้า?” เขาทวนคำราวกับไม่แน่ใจว่าหญิงสาวตรงหน้าพูดจริงหรือเพียงเกรงใจ


หลินหยายิ้มบาง “ใช่เจ้าค่ะ เพราะเอาตามตรง...จางกงกงเป็นคนบอกข้าเองว่าท่านถูกข่มขู่ เขาดูจะอยากช่วยท่านอยู่ไม่น้อย ข้าคิดว่าท่านทั้งสองอาจมีความสัมพันธ์บางอย่างกันมาก่อน ข้าพอเดาได้จากสายตาที่ท่านมองเขา กับวิธีที่พวกท่านเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด”


คำพูดนั้นทำให้ปลายนิ้วของจางทังที่วางอยู่บนโต๊ะกระตุกเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองหญิงสาวช้า ๆ แววตาคมนิ่งนั้นไม่ได้ปฏิเสธ หากแต่สั่นไหววูบหนึ่งอย่างยากเก็บงำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจาง “แม่นางโตขึ้นมากนัก...” เขากล่าวอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงนั้นมีทั้งความแปลกใจและชื่นชมปนอยู่ “เมื่อคราวก่อนที่พบกัน เจ้าคือสตรีที่ร่าเริง สดใส หัวเราะง่ายเหมือนดอกเหมยแรกแย้ม แต่ตอนนี้กลับเฉียบแหลม เข้าใจสิ่งรอบตัวรวดเร็วเหลือเกิน ทว่าเจ้าก็ยังคงเป็นคนจริงใจไม่เปลี่ยน”


หลินหยายกคิ้วเล็กน้อยแต่ยิ้มอบอุ่น “แน่นอนเจ้าค่ะ ข้าน่ะไม่มีวันเปลี่ยนสิ่งนั้นหรอก แม้โลกจะโหดร้ายเพียงใด คนเราก็ต้องเหลือส่วนที่อ่อนโยนไว้บ้าง ท่านมิต้องกังวล ข้าพร้อมช่วยเหลือท่านเสมอ” เธอหันไปมองตะเกียงที่เริ่มอ่อนแสง “เพราะท่านคือผู้มีพระคุณของข้า หากไม่มีท่าน ข้าคงไม่มีชีวิตมาถึงวันนี้ได้”


จางทังเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าช้า ๆ “ขอบคุณเจ้ามาก หลินหยา...เจ้าทำให้ข้ายังเชื่อได้ว่าความจริงใจยังมีอยู่ในแผ่นดินนี้” หญิงสาวยิ้มอย่างอบอุ่นไปด้วยความโล่งใจให้กับจางทัง “วันนี้ท่านพักให้สบายใจเถิดเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เราค่อยมาคุยกันเรื่องแผนการต่อ” 


เธอลุกขึ้นเดินไปจัดเตียงสำรองข้างหน้าต่างให้เขาอย่างไม่รอคำตอบ จางทังมองแผ่นหลังนั้นอย่างเงียบงัน แผ่นหลังของหญิงที่เคยอ่อนแอ แต่บัดนี้กลับยืนหยัดได้ด้วยตัวเองอย่างน่าภาคภูมิ เขาไม่พูดอะไรอีก เพียงถอดหมวกวางลงข้างหมอน แล้วเอนตัวลงนอนเงียบ ๆ หลินหยาปิดตะเกียงลงเหลือเพียงแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้ มันตกกระทบเส้นผมเธอเป็นเงาเงินบาง ๆ เสียงลมหายใจของทั้งคู่ค่อย ๆ ผสานกันในความเงียบสงัดของยามดึก ราวกับสองวิญญาณที่เคยห่างกันไกล ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในชั่วคืนที่แสนเปราะบาง ก่อนที่รุ่งสางจะพาพวกเขาเข้าสู่เรื่องราวใหม่ ที่ไม่มีใครรู้ว่าปลายทางจะเป็นมิตรหรือหายนะ


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 68178 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-3 14:01
โพสต์ 68,178 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-11-3 14:01
โพสต์ 68,178 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-11-3 14:01
โพสต์ 68,178 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-11-3 14:01
โพสต์ 68,178 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-11-3 14:01
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x4
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x70
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-11-3 22:09:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 25 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเฉิน เวลา 07.00 น. เป็นต้นไป ณ เมืองลั่วหยาง จักรวรรดิต้าฮั่น

ยามเช้าของลั่วหยางไม่รีบร้อนกว่าที่ควรจะเป็น แสงอ่อนจากตะเกียงค่อย ๆ หายไปเมื่อแสงทองจากขอบฟ้าสาดผ่านรอยแยกของผ้าม่าน ภายในห้องพักกลิ่นชาจาง ๆ และไอของซุปร้อนยังลอยอยู่ในอากาศ หลินหยาเรียกให้คนรับใช้ของโรงเตี๊ยมมาเติมชากับยกถาดอาหารมา เสียงฝีเท้ากระทบไม้เบา ๆ หยุดลงเมื่อคนของโรงเตี๊ยมวางชามและจานเรียบร้อย หลินหยาหยิบช้อนตักข้าวพร้อมยิ้มค่อย ๆ ไปหาเขา 


“ท่านจางทัง กินมาก ๆ เถิดเจ้าค่ะ ท่านผอมลงมาก ข้ากลัวว่าท่านจะไม่ไหว” น้ำเสียงของเธออ่อนโยนแต่แฝงด้วยการสั่งอย่างมั่นใจ เหมือนแม่ค้าที่รู้ว่าต้องดูแลของมีค่าให้พ้นจากความเสียหาย 


จางทังยกมือขึ้นรับน้ำใจนั้นอย่างเงียบ ๆ รับช้อน รสชาติน้ำซุปร้อนช่ำในปากทำให้กล้ามเนื้อคอคลายออกบ้าง เขามองหลินหยาแล้วพยักหน้าเล็ก ๆ เสียงเรียบของเขาไม่ต้องการคำมากนัก “ขอบใจเจ้ามาก แม่นางหลินหยา ข้าว่าข้าลำบากมาพอสมควรจริง ๆ”


หลังจากกินกันพออิ่ม ทั้งคู่ย้อนกลับมานั่งที่โต๊ะไม้แคบ ๆ ไฟในห้องยังอ่อนแต่เพียงพอจะเห็นเงาเขียนบนโต๊ะ จางทังวางช้อนลง ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อแล้วยกกระดาษพับบางชิ้นขึ้นมาวางบนฝ่ามือ “เรื่องที่ข้าพูดเมื่อคืน ไม่ใช่เพียงคำกล่าวลอย ๆ ตอนนี้ข้ากำลังถูกกลุ่มผู้มีอิทธิพลตามล่า พวกเขาบีบให้ข้าส่งมอบเอกสารให้พวกนั้น” น้ำเสียงของเขานิ่งและหนักแน่น ทุกคำเหมือนมีคมที่ค่อย ๆ เผาไหม้ความสงบในห้อง 


หลินหยาพยักหน้าเบา ๆ ดวงตาเธอเป็นประกายมองมาที่เอกสาร “เอกสารนั้นคงสำคัญนักหนา เจ้าค่ะ ตั้งแต่ข้าออกจากฉางอัน ข้าก็เจอแต่คนที่มองหาเอกสาร เดาว่าข่าวลือมันลงมาถึงลั่วหยางว่าเอกสารอยู่กับข้า ข้าจึงถูกตามล่า ทั้งนักฆ่า ทั้งนักล่าเงินรางวัลตามมาไม่เว้นแต่ละวัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงแววเหนื่อย มีทั้งภูมิใจและเหน็ดเหนื่อยปะปนกันไปในคำพูดนั้น


จางทังมองหลินหยาด้วยความระมัดระวัง พยายามชั่งน้ำหนักความจริงใจในน้ำเสียงของเธอ “ข้าตกใจที่เจ้ายังรอดมาได้อย่างไรแม่นาง เจ้าเป็นคนตัวเล็ก หากถูกจับไป เพียงคิดก็น่าสลดนัก” เขายังไม่วางใจ ทั้งความยุติธรรมและความห่วงใยถี่ถ้วนในสายตาของถิงเว่ยหนุ่มคนนี้ 


หลินหยาหัวเราะในลำคอเบา ๆ คล้ายสะท้อนความงามของชีวิตที่ทนทาน “ข้าสู้มาเยอะเจ้าค่ะ ตั้งแต่ท่านหายตัวไป ข้าก็ฝึกตัวเองให้อดทนและแข็งแกร่งขึ้น ท่านไม่ต้องเป็นห่วงอีกต่อไป เพราะตั้งแต่ข้าตัดสินใจที่จะยืนเคียงข้างจางกงกง ข้าคงเป็นเพียงสตรีอ่อนแอไม่ได้แล้ว” คำพูดนั้นออกมาราบเรียบแต่หนักแน่น จางทังขมวดคิ้วอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้หญิงสาวคนนั้นยินดีจะยืนเคียงบุรุษที่ทำร้ายเธอได้ถึงเพียงนี้ 


หลินหยายิ้มบาง ๆ ตอบกลับด้วยความจริงใจ “ตั้งแต่ข้าตัดสินใจยืนข้างท่านจางกงกง ข้าจึงรู้แล้วว่าเป็นแค่สตรีอ่อนแอไม่พอ ข้าต้องเป็นคนที่เข้มแข็งพอที่จะเคียงข้างเขา หากข้าหลวมตัวเป็นจุดอ่อน แล้วเขาต้องพินาศเพราะข้า ข้าจะไม่มีวันยอมให้เป็นเช่นนั้น”


คำพูดนั้นทำให้จางทังหยุดชะงัก ดวงตาเขาหรี่ลงชั่วครู่ก่อนเคลื่อนมองหลินหยาอย่างไม่คุ้นชิน หญิงสาวที่เคยสดใสกลับมีความเด็ดขาดแน่วแน่เกินกว่าจะเป็นเพียงแม่ค้าธรรมดา เขาไม่ปิดบังความเป็นห่วง ความห่วงนั้นลึกซึ้งยิ่งกว่าคำนับฐานะผู้มีพระคุณที่เธอเคยเอ่ยถึง เขากลัวว่าเธอจะถูกบังคับหรือหลอกใช้โดยฝีมือของจางกงกงหรือผู้ใดก็ตามที่ประสงค์ร้าย


 “ข้าหวั่นว่าเขาจะใช้งานเจ้าหรือบังคับใช้เจ้าเป็นเครื่องมือ แม่นางหลินหยา เจ้าแน่ใจหรือว่าทั้งหมดนี้เป็นทางที่เจ้าต้องการ?” น้ำเสียงเขาจัดว่าจริงจังจนแข็งท่าทางเป็นกังวนดั่งเช่นคนรู้ว่าจางกงกงมิอาจเปลี่ยนได้มากนัก


แต่หลินหยากลับพูดอย่างไม่หวั่นไหวต่อคำถามนั้น “ท่านมิต้องห่วงเจ้าค่ะท่านจางทัง ข้ารู้วิธีคิดของข้าเอง ข้าพร้อมช่วยท่านเท่าที่ข้าทำได้ ข้าไม่ใช่ของเล่นที่จะใช้แล้วทิ้ง หากข้าจะยอมอยู่ข้างคน ๆ หนึ่ง ข้าต้องเข้มแข็งจริง ๆ จนเขาไม่ต้องปกป้องข้าเพียงลำพัง” 


จางทังค่อย ๆ ยิ้มบาง ๆ อย่างคนที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยในดวงตาเด็กสาว เขาพูดเสียงต่ำแต่หนักแน่น “แม่นางโตขึ้นมากนัก แม่นางกลายเป็นสตรีที่งดงามและเฉียบคม แต่ข้ายังหวาดหวั่น ข้ากลัวว่าเขาจะใช้เจ้าเพื่อจุดประสงค์ที่ข้าไม่เห็นด้วย” ความเงียบแผ่คลุมห้องเล็ก ๆ นั้นก่อนที่หลินหยาจะเริ่มพูดต่อ


“ท่านเถียนเฟิงก็พูดเช่นนี้เจต้าค่ะ มีคนเป็นห่วงข้ามากมาย แต่วิถีของข้า ข้ารู้ว่าข้าทำได้หรือไม่ ข้าถนัดจะเลือกทางที่ข้าคิดว่าเหมาะกับข้า และถ้าข้าเลือกเคียงข้างเขา ก็เพราะข้าพยายามเข้าใจเขา ข้ารู้เขาบ้างพอสมควร ข้าเชื่อว่าเขา...มีเหตุผลของเขา” คำว่าเหตุผลของเขาพลิ้วผ่านไปในอากาศเหมือนกลิ่นกฤษณาที่ไม่อาจอธิบาย


สายแดดยามเฉินไหลผ่านผ้าม่านลงมากระทบโต๊ะไม้ที่มีกระดาษรายงานและชามชาวางอยู่คู่กัน กลิ่นหมึกสดเจือชาอุ่น ๆ ทำให้ความเงียบในห้องพักดูนุ่มนวลกว่าเดิม หลินหยาวางขลุ่ยลงข้างตัวพลางมองหน้าจางทังที่กำลังจ้องเอกสารอยู่อย่างเคร่งครัด “เอาเป็นว่าเรามาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า ข้าว่าเราคงต้องหาวิธีแก้ให้ทันก่อนที่มันจะสายนะเจ้าคะ” หลินหยาว่าขึ้นก่อนยิ้มบาง “กันไว้ดีกว่าแก้เจ้าค่ะ ถ้าเราปลอมเอกสารอีกชุดไว้ แล้วปล่อยข่าวว่าเอกสารตัวจริงถูกทำลายไปแล้วเสียเลย น่าจะตัดไฟแต่ต้นลมได้”


จางทังเงยหน้าขึ้นจากกระดาษ คิ้วขมวดน้อย ๆ ด้วยความคิดตาม “หมายความว่าเจ้าอยากให้ข้า...ทำเอกสารปลอมขึ้นมาแทนของจริง?”


“เจ้าค่ะ” หลินหยายิ้มอย่างมั่นใจ “เราจะเก็บของจริงไว้ในที่ปลอดภัยที่สุด ส่วนข่าวที่ปล่อยไปก็จะบอกว่ามันถูกเผาทิ้งไปแล้วระหว่างการต่อสู้หรือระหว่างขนย้าย เช่นนั้นคนที่ตามล่าเราก็จะละสายตาไปเอง” จางทังนิ่งคิด ก่อนพยักหน้าช้า ๆ “อุบายนี้ฟังดูเข้าท่า...” เขาพูดเสียงเรียบ “ข้าจะเขียนสำเนาให้เหมือนทุกตัวอักษร แต่จะฝังรหัสที่ต่างออกไปเพื่อแยกแยะของจริงกับของเทียม”


“เยี่ยมเลยเจ้าค่ะ!” หลินหยาหัวเราะแผ่วอย่างพอใจ “ข้ารู้ว่าท่านต้องคิดออกแน่” หลังจากตกลงกันได้ ทั้งคู่เก็บของเตรียมออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อไปหาวัสดุและหมึกที่ร้านเครื่องเขียนในเมืองลั่วหยาง บรรยากาศภายนอกยังคลาคล่ำด้วยผู้คน ร้านค้าต่าง ๆ เริ่มเปิดรับลูกค้า กลิ่นหมึก กลิ่นขนมอบ และเสียงพ่อค้าเร่ปนกันจนบรรยากาศดูมีชีวิตชีวาอย่างไม่น่าเชื่อ หลินหยาเดินนำหน้า มือถือขลุ่ยไม้พลางหันกลับมาพูดกับจางทัง “ท่านเคยอยู่ลั่วหยางนานไหมเจ้าคะ?”


“ไม่นานนัก” เขาตอบเสียงนิ่ง “แต่ก็พอรู้ว่ามีร้านเครื่องเขียนดี ๆ อยู่ไม่กี่แห่งในย่านนี้—”


ยังไม่ทันจบคำ เสียงกรีดอากาศแหวกเข้ามาอย่างเฉียบพลัน มีดสั้นเล่มหนึ่งเฉียดแขนเสื้อของจางทังไปเพียงเส้นผม เขาหมุนตัวทันที กระบี่เหล็กดำถูกชักออกด้วยท่วงท่าที่เฉียบคม ส่วนหลินหยาหยุดยืนนิ่ง ดวงตาแวววาวแฝงรอยขบขันมากกว่าตกใจ “ข้าบอกแล้วไงเจ้าคะ ว่าข้าโคตรเนื้อหอม” เธอพูดเสียงใส มือข้างหนึ่งสะบัดขลุ่ยขึ้นฟาดกระแทกข้อมือของมือสังหารคนแรกจนมีเสียงกรอบดังสนั่น


จางทังอดยิ้มมุมปากไม่ได้ “ตอนข้ามาที่นี่ ข้าก็เนื้อหอมพอกัน” เขาก้าวแทรกเข้ากลาง พร้อมฟันกระบี่เฉือนมีดอีกคนจนหลุดมือ เหล็กกระทบกันดังเสียงแผ่วในจังหวะสั้นแต่แม่นยำ มือสังหารอีกสองคนพุ่งมาพร้อมกันจากด้านหลัง หลินหยาหมุนตัวรวดเร็ว ขลุ่ยไม้ในมือฟาดขึ้นเป็นวงแส้ เสียงแตกกระทบกระดูกดัง “เพล้ง” ก่อนอีกฝ่ายทรุดลงแทบเท้า เธอหันมาสบตาจางทังพร้อมรอยยิ้มระรื่น “สองคนนี้ของข้า ท่านดูแลอีกสองก็พอเจ้าค่ะ”


“เจ้าชักจะชินกับเรื่องพวกนี้เกินไปแล้วนะแม่นาง” เขาว่าทั้งที่ยังต่อสู้ มือข้างหนึ่งปัดการโจมตี อีกข้างใช้กระบี่เฉือนรั้งมีดจนคนร้ายล้มลงในจังหวะเดียวกับที่หลินหยาใช้ขลุ่ยเคาะท้ายทอยของอีกคนจนแน่นิ่ง เพียงอึดใจ ความเงียบก็กลับคืน ถนนร้างผู้คนอีกครั้งเมื่อพวกมือสังหารสี่ร่างนอนกองอยู่ตรงทางเดิน จางทังมองภาพหญิงสาวตรงหน้าอย่างตะลึงปนเอ็นดู เธอยังคงยิ้มอย่างสดใส ทั้งที่ชายเสื้อเปื้อนเลือดบางส่วนจากศัตรู “เจ้าทุบหัวเขาแรงเกินไปหรือเปล่า?” เขาพูดติดตลกแต่แฝงความจริงใจ


“ข้าเบาแล้วเจ้าค่ะ” หลินหยาตอบเสียงขำ “ถ้าไม่เบา พวกมันคงไม่มีหัวให้ท่านถามแล้ว”

จางทังส่ายหน้าแผ่ว ๆ “ข้าเริ่มห่วงจางกงกงเสียแล้ว...” เขาพึมพำอย่างครุ่นคิด

หลินหยาหัวเราะน้อย ๆ “ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่อย่างน้อยเขาคงต้องเรียนรู้ไว้ว่าถ้าเผลอทำให้ข้าโกรธ...ข้าไม่รับประกันว่าจะเบามือเท่านี้”


แววตาจางทังสั่นนิด ๆ ก่อนหัวเราะออกมาอย่างอ่อนแรง “แม่นางหลินหยา เจ้านี่...ทั้งโหด ทั้งน่ารักในเวลาเดียวกันจริง ๆ” หลินหยาเชิดคางเล็กน้อยกับคำบอก “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ข้าถือว่าท่านชม” 


แสงแดดยามเฉินลอดผ่านควันฝุ่นหลังการต่อสู้ กลบร่องรอยการต่อสู้ไว้เพียงกลิ่นเลือดจาง ๆ และเสียงลมหายใจที่ผ่อนคลายของทั้งสอง หลังเช็ดเลือดออกจากขลุ่ยและกระบี่เรียบร้อย หลินหยาหันไปมองร้านเครื่องเขียนที่อยู่ไม่ไกล “ไปเถิดเจ้าค่ะ ก่อนคนอื่นจะรู้ตัวว่ามีคนรอดอีกแล้ว” จางทังพยักหน้า พับกระบี่เข้าฝักแน่น ทั้งสองเดินเคียงกันไปกลางถนนที่กลับมาเงียบอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มบางของหญิงสาวผู้โคตรเนื้อหอม และชายหนุ่มผู้เริ่มสงสัยว่าคนอย่างจางกงกง...จะรับมือกับหญิงคนนี้ได้อย่างไร

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 46288 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-3 22:09
โพสต์ 46,288 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-11-3 22:09
โพสต์ 46,288 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-11-3 22:09
โพสต์ 46,288 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-11-3 22:09
โพสต์ 46,288 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-11-3 22:09
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x4
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x70
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-11-4 09:37:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 27 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเว่ย เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ณ เมืองลั่วหยาง จักรวรรดิต้าฮั่น

ลมเย็นยามบ่ายพัดผ่านตรอกแคบของเมืองลั่วหยาง กลิ่นหมึกแห้งใหม่ยังติดปลายนิ้วทั้งสองหลังจากใช้เวลาครึ่งวันในร้านเครื่องเขียน ท่ามกลางเสียงกระดิ่งหน้าร้านและกลิ่นกระดาษที่ผสมกับกลิ่นชาหอม หลินหยากับจางทังต่างมีรอยหมึกติดปลายนิ้วและรอยยิ้มที่บอกถึงความสำเร็จของแผน เอกสารปลอมเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ “เช่นนี้ หากข่าวลือแพร่ออกไปว่าเอกสารถูกเผาทิ้งหรือทำลายแล้ว” หลินหยาวางพู่กันลงอย่างเบา “คงไม่มีใครกล้าตามหามันอีกสักพักเจ้าค่ะ”


จางทังมองเอกสารบนโต๊ะ ใบหน้าหล่อคมยังคงนิ่งสงบแต่แววตาเปี่ยมความพึงพอใจ “เราจะเก็บของจริงไว้กับข้า ส่วนข่าวเรื่องการทำลาย...ฝากเจ้าเผยแพร่ให้แนบเนียน ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้แน่นอน”


“แน่นอนเจ้าค่ะ” หลินหยาอมยิ้ม ก่อนเก็บเอกสารใส่ห่อผ้า “เราควรออกไปก่อนตะวันตกดิน เดี๋ยวคนของพวกมันจะได้กลิ่นหมึกใหม่เข้า” ทั้งสองเดินเคียงกันออกจากร้าน เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังแผ่วไปตามทางคดเคี้ยวของตรอกเก่าที่ทอดยาวระหว่างตึกสูงสองฝั่ง จนกระทั่งความเงียบเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมผิดสังเกต ลมหยุดพัด เสียงตลาดที่ควรได้ยินจากปลายตรอกกลับหายไป


“หยุดก่อน” จางทังพูดเสียงต่ำ สายตาเขาเฉียบวาวเหมือนสัตว์ป่าที่ได้กลิ่นเลือดในอากาศ


จากเงามุมอาคารทั้งสองข้าง ปรากฏเงาดำราวสิบร่าง ชุดดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ละคนถือดาบสั้นและกระบองเหล็กในท่วงท่าเตรียมพร้อม ร่างหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหน้า ชายรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเฉียบจัด ดวงตาคมวาวเหมือนสัตว์ป่าที่กำลังยิ้ม เขาก้มศีรษะให้จางทังเล็กน้อย “เราพบกันอีกแล้ว...ท่านถิงเว่ย” เสียงนั้นราบเรียบแต่แฝงความเย้ยหยันราวงูเห่าที่เลื้อยเข้าหาเหยื่อ หลินหยาขยับเท้าอย่างระวัง มือเลื่อนไปแตะขลุ่ยที่ข้างเอว ทว่าไม่ทันที่เธอจะพูด ชายคนนั้นกลับปรายตามามองแล้วหัวเราะเบา ๆ “หลีกไปเสียดีกว่าสาวน้อย เรื่องของใต้เท้าจางมันไม่เกี่ยวกับเจ้า”


แต่แทนที่หลินหยาจะถอย เธอยกคางขึ้นน้อย ๆ ดวงตาแวววาวดุจแมวที่พร้อมข่วนคนที่มายุ่งกับสหายของนาง “ข้าไม่ค่อยชอบฟังคำสั่งจากคนที่แตะขลุ่ยของข้าไม่ทันหรอกเจ้าค่ะ”


ชายผู้นั้นกลับยิ้ม หันก้าวเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ ก่อนเอื้อมมือเชยคางหลินหยาขึ้น นิ้วของเขาเย็นเฉียบและหยาบกร้านไล้ผ่านผิวเนียนราวกระเบื้องเคลือบของนาง เสียงหัวเราะต่ำลอดลำคอ “ปากกล้านักสมกับคำร่ำลือ งามยิ่งกว่าคำเล่าอ้างเสียอีก” แสงวาบเฉียบปรากฏขึ้นในพริบตา กระบี่เหล็กดำของจางทังพาดคมขวางกลางร่างชายผู้นั้น ปลายคมเฉียดผิวแก้มอีกฝ่ายเพียงเส้นผม เสียงเหล็กกระทบดังแกร่ง “ข้าแนะนำว่า อย่าแตะต้องนาง” น้ำเสียงของเขานิ่งแต่แฝงความเยือกเย็นที่ทำให้ทุกคนชะงัก


ชายชุดดำหัวเราะแผ่ว ถอนมือออกช้า ๆ “งั้นสินะ...เช่นนั้นคงต้องใช้กำลัง”


“ดีเลยเจ้าค่ะ” หลินหยาตอบพลางหมุนขลุ่ยในมือ เสียงหัวเราะนุ่มแต่ดวงตาเธอเฉียบคมจนทำให้ศัตรูบางคนลังเล “ข้ากำลังเบื่อพอดี” เพียงชั่วลมหายใจ การต่อสู้ก็เริ่มขึ้น มือสังหารสิบคนกระจายตัวล้อมรอบทั้งสองอย่างมีระเบียบ ฝุ่นทรายลอยฟุ้งในตรอกแคบ ร่างหนึ่งในพวกนั้นปลดพลังปราณออกจนลมหมุนแรง จิตหมาป่าเหมันต์แผ่กระจายทั่วอากาศ เงาร่างของหมาป่าสีเงินพุ่งพรวดออกจากพื้นตะคุ่ม พร้อมเสียงคำรามต่ำสะท้าน กรงเล็บที่เกิดจากปราณเฉียบวาวฟาดใส่จางทัง เขายกกระบี่หักธรรมขึ้นปัด เสียงโลหะเสียดสีกับพลังปราณดังสนั่นสะท้อนกำแพงสองฝั่ง แต่เขายังคงยืนมั่นไม่ถอยแม้ครึ่งก้าว


หลินหยากระโดดหมุนตัวขึ้นกลางอากาศ ขลุ่ยในมือฟาดลงกลางศีรษะมือสังหารที่พุ่งเข้ามาด้านหลัง เสียง “ปึก!” ดังสะท้านราวไม้ฟาดหิน เธอเหวี่ยงตัวต่อเนื่องจนขลุ่ยในมือกลายเป็นวงแส้ไม้ที่ต่อสู้กับศัตรูสองคนพร้อมกันอย่างคล่องแคล่ว จางทังหันมามองแวบหนึ่ง พลันอึ้งกับความเร็วและแรงของหญิงสาว เธอทั้งแม่นยำและโหดเหี้ยมพอ ๆ กับนักรบชั้นยอด “จางกงกงสอนอะไรเจ้ากันแน่นะ” เขาพึมพำพลางผลักกระบี่ออก ส่งพลังสะท้อนกลับจนชายที่ใช้ปราณหมาป่าถอยไปสามก้าว


หลินหยายิ้มทั้งที่เหงื่อไหลซึม “ท่านคงไม่เข้าใจหรอกเจ้าค่ะ ข้าเรียนรู้วิธีสู้จากเขามาพอสมควรเหมือนกัน” เธอว่าพร้อมสะบัดขลุ่ยกระแทกจุดข้อมืออีกฝ่ายจนดาบหลุดกระเด็น ลมแรงพัดผ่านกลางตรอก ปลายผมของหลินหยาปลิวสะบัด เธอยืนเคียงข้างจางทังท่ามกลางศัตรูที่เริ่มทยอยล้มลงทีละคน 


การต่อสู้ทำให้ตรอกคับแคบเหม็นกลิ่นเหล็กคาวคลุ้ง ขณะที่จางทังหมุนข้อมือจะปิดบัญชีผู้ใช้ปราณหมาป่าเหมันต์ให้จบในกระบี่เดียว แสงวาวเฉือนเฉียดผิวอีกฝ่ายพอดีกับจังหวะที่ชายคนนั้นฟาดกึ่งดึงลูกน้องตัวเองเข้ามาแทน คมกระบี่ของจางทังจมเข้าแผ่นอก “ฉึก!” เสียงขาดใจดังติดในคอ ร่างชุดดำทรุดฮวบลงตรงเท้าทั้งสอง กลิ่นอุ่นคาวคุ้งทะลักขึ้นฉับพลัน


ผู้ใช้ปราณหัวเราะต่ำทั้งที่หอบ “ท่าทางพวกเจ้าจะเก่งกว่าที่ข้าคิดไว้… รอบหน้า ข้าคงไม่ได้มาแค่นี้” เขาเอียงหน้ามองหลินหยา แววตาเหยียดหยอกจงใจขีดไล่บนผิวสายตา “สาวน้อย จำหน้าข้าไว้” คำท้ายยังไม่ทันจบ ร่างนั้นดีดตัวขึ้นบนชายคาเหมือนเงาหมาป่าพุ่งทะยาน กรงเล็บปราณกรีดอากาศ “ฟึ่บ!” แล้วสาบสูญไปในแนวหลังคา ทิ้งไว้เพียงลูกสมุนที่นอนแน่นิ่งกับคนบาดเจ็บครางฮืด ๆ 


ความเงียบที่ตามมาไม่ใช่ความสงบ หากเป็นบ่วงยามวิกาลที่รัดแน่นคอเมือง หลินหยากระชับขลุ่ย พ่นลมหายใจหนึ่งครั้งเพื่อไล่กลิ่นเลือดออกจากปลายลิ้น ก่อนหันสบตาจางทัง ทั้งสองไม่จำเป็นต้องพูดมาก แค่แลกสายตาก็รู้คำตอบเดียวกัน ลั่วหยาง ไม่เหลือที่ให้ยืนแล้ว “พฤติกรรมนี้มีข้อบกพร่อง” จางทังเอ่ยเรียบ นัยน์ตายังคมดั่งดาบ “ขุนนางชั่วเริ่มเล่นงานเปิดหน้า ต่อให้พวกมันปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ทั้งย่าน พรุ่งนี้ตรอกทั้งย่านนี้คงถูกปิดปาก”


“งั้นเราต้องเร็วกว่า” หลินหยาก้มลงใช้ผ้าเช็ดคราบเลือดบนขลุ่ยอย่างใจเย็นเหมือนลบหมึกที่หกบนกระดาษ “ข้าจะสั่งให้โรงเตี๊ยมแพร่ข่าวคืนนี้นะเจ้าคะ เอกสารถูกทำลายกระทันหันตอนโดนลอบฆ่า ให้คนในตลาดเม้าท์ต่อกันเองว่าจริงหรือไม่อย่างน้อยก็ทำให้มันไขว้เขว ส่วนของจริง…เราไม่แตะต้องมันกลางเมืองอีก”


เธอชี้คางไปทางเงาร่างคนเจ็บที่ยังคราง “ทิ้งไว้แบบนี้ เดี๋ยวพวกที่เนียนเป็นทหารเวรจะมารับช่วงปิดเรื่องให้เอง พวกมันถนัดนะเจ้าค่ะ” จางทังพยักหน้า มุมปากกระตุกวาบอย่างคนเห็นกลไกสกปรกของเมืองมานับครั้ง “ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว เราต้องออกก่อนไก่โห่” เขาเก็บกระบี่หักธรรมเข้าฝัก ตวัดชายเสื้อให้เลือดที่กระเด็นเมื่อครู่ร่วงหล่น แล้วหันมาสำรวจหญิงสาว “เจ้าไหวหรือไม่”


“ไหวกว่าท่านหน่อยหนึ่งเจ้าค่ะ” หลินหยายิ้มตาเป็นประกายล้อเลียน “แต่ถ้าท่านหิว ข้ามีบ๊วยเชื่อม…อ้อ ไม่ใช่เวลา” เธอสะบัดชายแขนเสื้อ พยักพเยิดไปทางปลายตรอก “ไปเอาเยวี่ยเหยียนก่อนแล้วกันเจ้าค่ะ จากนั้นค่อยออกเดินทาง”


ยามท้องฟ้าเริ่มซีดราวควันหมึกผสมน้ำนม ทั้งสองมาปรากฏตัวพร้อมกันที่ริมคลอง น้ำเย็นสะท้อนแสงจันทร์ที่ยังไม่ยอมไถลไปไหน เสียงกงล้อไม้หมุนครืดคราดอย่างเงียบงัน หลินหยากระตุกบังเหียน “ทางทิศตะวันออกมีด่านลอย ข้าแนะให้เราเลาะคันคลองขึ้นไปทางเรือนแพช่างหมึก จากนั้นมุดสวนลูกพลับ ทะลุช่องฝายออกนอกกำแพง จะเลี่ยงสายตาได้ครึ่งค่อนนะเจ้าคะ”


“เราจักไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไป” จางทังเอ่ยถ้อยคำประจำใจ แต่ครานี้คล้ายคำสาบานกับตัวเองมากกว่ากับศาลต้าหลี่ “และจะไม่ทิ้งคนบริสุทธิ์ไว้ข้างหลัง”


หลินหยาเหลือบตามองเขา ยิ้มบางเหมือนชโลมยาพระจันทร์ “ท่านนี่…เดิมข้าคิดว่าท่านดุเหมือนดาบ แต่ที่จริงท่านคือฝักที่ห่อดาบไว้ไม่ให้บาดคน” เธอคลึงลูบลำคอเยวี่ยเหยียน “ไปเถิด เด็กดีของข้าพาเราผ่านคืนนี้ให้ได้” พวกเขาขึ้นอานพร้อมกันม้าดำกับม้าขาวทะยานเป็นเส้นสายตัดหมึก ลมหายใจร้อนฝ่าความเย็นของน้ำค้าง ยามล้อกงน้ำหมุนเอื่อย ๆ ข้างล่างเหมือนโลกเก่ากำลังคอยเชิญจากสองเงาบนหลังม้า เสียงเกือกเหล็กแตะไม้สะพาน “กั้ง กั้ง” แล้วหายลับเข้าสู่แนวตะเกียบไผ่

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 39606 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-4 09:37
โพสต์ 39,606 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-11-4 09:37
โพสต์ 39,606 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-11-4 09:37
โพสต์ 39,606 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-11-4 09:37
โพสต์ 39,606 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-11-4 09:37
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x1
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x4
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x70
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้